Super God Gene 2761-2767

ตอนที่ 2761

 

aแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ดูเหมือนกับว่ามีพลังที่จะใช้ทำลายท้องฟ้าและผืนดิน เพียงแค่เธอยกมือหรือเท้า เธอก็สามารถสยบศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวได้ แต่ในความเป็นจริง เธอนั้นไร้ประโยชน์ หลังจากโจมตีไม่กี่ครั้ง เธอก็กลับกลายเป็นชิ้นปะการังโลหิตอีกครั้ง


 


ในตอนที่แอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้กลายเป็นปะการังโลหิต ออร่าที่น่ากลัวของเธอก็หายไป ปีศาจสีเลือดจ้องมองไปที่ปะการังโลหิตอยู่สักพัก สติปัญญาของมันไม่ได้สูงอะไรมากนัก เมื่อมันรู้สึกตัวว่าไม่สามารถสัมผัสถึงออร่าของแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ได้อีกต่อไป มันก็หันสายตากลับมาอยู่ที่หานเซิ่นอีกครั้ง


 


หานเซิ่นรู้สึกแย่ เขาคิดว่าแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้จะช่วยเขากำจัดมีดเทพนี้ไปได้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาหวังเอาไว้


 


แต่การปรากฏตัวของแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ซะทีเดียว อย่างน้อยแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ก็ช่วยยืนยันข้อสงสัยของหานเซิ่นเกี่ยวกับมีดเทพนี้ มันเป็นเพียงแค่ซีโน่เจเนอิคจริงๆ มันแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้า มันเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่สามารถโค้นล้มได้ด้วยการลองผิดลองถูกที่มากพอ


 


‘พระเจ้าเหล่านั้นต่อสู้ในจักรวาลจีโนไม่ได้ แต่มีดเทพนี้ทำได้ ดังนั้นมันไม่ได้เหมือนกับเจ้าของของมัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างพระเจ้าเหล่านั้นสั่งให้กู่หว่านเอ๋อเลี้ยงดูซีโน่เจเนอิคที่น่าสะพรึงกลัวนี่… นั่นจะต้องหมายความว่ามันยังคงไม่เติบโตเต็มที่ เรายังมีโอกาสที่จะเอาชนะมันได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง เขาต้องการจะหาวิธีที่จะกำจัดมีดเทพนี้ให้ได้


 


แม้แต่แอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ก็มีพลังไม่เพียงพอที่จะทำลายมีดเทพนี้ เนื้อของมีดจะต้องเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ และพลังประหลาดของมันก็ป้องกันหานเซิ่นจากการหลบหลีกได้


 


“ถ้ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอย่างแปลกประหลาด พระเจ้าก็คงจะไม่จะเลี้ยงมันเอาไว้ แต่แอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ได้มอบคำใบ้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว มีดแสงของมันไม่ได้ไร้เทียมทานซะทีเดียว มันมีหนทางที่จะทำลายมีดแสงนั่นอยู่”


 


ขณะที่หานเซิ่นครุ่นคิดอยู่นั้น เจ้าปีศาจเงาสีเลือดก็หมดความอดทนและปลดปล่อยมีดแสงเพื่อโจมตีใส่หานเซิ่นอีกครั้ง


 


หานเซิ่นใช้การเทเลพอร์ตเพื่อหลบหลีกมันอีกครั้ง และเหมือนกับครั้งก่อนๆ ถึงแม้เขาจะหลบมีดแสงได้สำเร็จ แต่ในตอนที่มีดแสงไปถึงจุดที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้ บาดแผลก็จะปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา


 


“เข้าใจแล้ว! นี่จะต้องใช่แน่ๆ ที่มีดเทพใช้คือวิชาจีโนที่รวมกันระหว่างพลังธาตุกาลเวลาและธาตุอวกาศ”

หานเซิ่นทำการคาดเดาแบบนั้น ขณะที่เขาศึกษาการต่อสู้ระหว่างมีดเทพและแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ ตอนนี้เมื่อเขาได้ประสบกับมันด้วยตัวเองอีกครั้ง เขาก็สามารถเปลี่ยนการคาดเดาให้กลายเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถช่วยเหลือเขาได้


 


ปีศาจเงาสีเลือดกวัดแกว่งมีดในมือและส่งมีดแสงเข้าใส่หานเซิ่นอีกครั้ง


 


หานเซิ่นใช้วิชาจีโนทั้งสี่จนถึงขีดจำกัด ร่างต่อสู้ซีโน่เจเนอิคของเขาระเบิดด้วยพลังที่น่ากลัว ทักษะการเทเลพอร์ตและการเคลื่อนไหวของเขาถูกใช้ร่วมกัน แต่ที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่สามารถหลบหลีกมีดแสงนั่นได้พ้น


 


หานเซิ่นเห็นบาดแผลปรากฏขึ้นบนอกของเขาอีกครั้ง แต่หานเซิ่นไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร จริงๆแล้วเขารู้สึกดีใจที่เห็นแบบนั้น มีดแสงนั่นควรจะฟันถูกหัวของเขา แต่ตอนนี้มันแค่ถูกอกของเขา นั่นพิสูจน์ว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง


 


“วิชาจีโนที่รวมธาตุกาลเวลาและอวกาศ มันเป็นพลังที่จะผ่านกาลเวลาและอวกาศ มันฟันถูกร่างกายของเราในตำแหน่งที่มันเคยอยู่ในอดีต เนื่องจากมันจะรู้เสมอว่าเรายืนอยู่ตรงไหนในอดีต การพยายามที่จะหลบหลีกจึงเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ มันจะถูกตัวของเรา ไม่ว่าเราจะหนีไปที่ไหน ตราบใดที่มันจะโจมตีอดีตของเรา มันก็ไม่จำเป็นต้องสัมผัสร่างกายจริงๆของเรา ซุปเปอร์สเปชสแลซ มันเป็นวิชาจีโนที่น่ากลัว” หานเซิ่นสามารถมองทะลุถึงความลับพลังของมีดเทพ


 


แต่การมองทะลุถึงความลับของมันคือเรื่องหนึ่ง การที่จะป้องกันมันได้นั้นคืออีกเรื่อง


 


หานเซิ่นรู้ว่าการโจมตีนี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง มันฟันอดีตที่ผ่านมาเพียงไม่นานเท่านั้น แต่ถึงจะรู้แบบนั้นหานเซิ่นก็หลบหลีกมันได้เพียงไม่กี่ครั้ง และมีดเทพก็จะพลาดไปฉิวเฉียดเท่านั้น เขาไม่สามารถหลบหลีกซุปเปอร์สเปชสแลซได้อย่างสมบูรณ์


 


ถ้ามันไม่ใช่เพราะอิมมอร์ทัลดราก้อนคอยรักษาร่างกายของหานเซิ่น เขาก็คงจะถูกฟันเป็นชิ้นๆไปนานแล้ว


 


“ไม่… มันยังไม่ได้ผล…”

นี่เป็นการต่อสู้ที่ยากที่สุดที่หานเซิ่นเคยประสบ เขารู้ถึงพลังของคู่ต่อสู้ แต่เขาไม่สามารถป้องกันมันได้ ร่างกายของเขายังคงได้รับบาดแผลอย่างต่อเนื่อง


 


“หยุดต่อสู้ได้แล้ว! เจ้าจำเป็นต้องหนีไป เจ้าเอาชนะมันไม่ได้ และเจ้าจะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้!” กู่หว่านเอ๋อตะโกนใส่หานเซิ่นจากใกล้ๆกับรถม้า


 


หานเซิ่นเองก็อยากจะหนีไปเช่นกัน แต่เขาไม่สามารถไปจากดาวดวงนี้ได้ ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะพยายามหนีไป เขาจำเป็นต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้า


 


“ฮ่า!” หานเซิ่นปล่อยเสียงคำราม มีดแสงนับไม่ถ้วนปรากฏในอากาศ สายธารของมีดดูเหมือนกับแม่น้ำในท้องฟ้าที่ไหลลงมาสู่ปีศาจเงาสีเลือด


 


หานเซิ่นไม่คิดว่ามีดสายธารจะทำลายมีดเทพได้ เขาแค่หวังว่ามันจะหยุดมีดเทพเอาไว้ได้นานพอ


 


แต่หานเซิ่นประเมินมีดเทพต่ำเกินไป มีดแสงสีเลือดของเจ้าปีศาจนั้นทะลุผ่านมีดแสงนับไม่ถ้วนและตรงเข้ามาหาหานเซิ่น


 


มีดแสงฟันมาถูกกล้ามเนื้อบริเวณคอของหานเซิ่น มันตัดคอของเขาเปิดออกและมีเลือดไหลทะลักออกมา


 


หานเซิ่นจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บไปกี่ครั้งแล้ว ร่างกายของเขาทุกส่วนถูกโจมตีโดยศัตรู และหานเซิ่นพยายามใช้หลายวิธีที่จะหยุดซุปเปอร์สเปชสแลซของมีดเทพ แต่ไม่มีวิธีไหนที่ได้ผล


 


หานเซิ่นยังเคยพยายามที่จะใช้คัมภีร์นภาอำพัน เขาต้องการจะลดระดับพลังของมีดเทพลง แต่มันไม่ได้ผล วิชาจีโนนั้นไม่สามารถสัมผัสถูกร่างที่แท้จริงของมีดได้ หลังจากที่หานเซิ่นใช้พลังของคัมภีร์นภาอำพัน มีดเทพนั้นก็ยังคงฟันใส่ร่างในอดีตของเขา มันจึงไม่ได้ปะทะกันกับพลังของหานเซิ่น


 


อิมมอร์ทัลดราก้อนยังคงรักษาหานเซิ่นต่อไป ความสามารถในการรักษาที่สุดยอดของอิมมอร์ทัลดราก้อนนั้นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เขายังคงสามารถต่อสู้ต่อไปได้


 


“กู่หว่านเอ๋อ ตามข้ามา!” หานเซิ่นเทเลพอร์ตไปด้านข้างกู่หว่านเอ๋อและเรียกลูกบาศก์สี่แกะออกมา เขาคิดจะใช้ลูกบาศก์สี่แกะเพื่อหนีไป


 


ถึงแม้ปราสาทแห่งนั้นจะเป็นเหมือนกับคุก แต่มันก็ยังดีกว่าการที่ต้องเป็นอาหารของมีดประหลาดเล่มนี้


 


“ข้าไปไม่ได้ เจ้าควรจะรีบหนีไปจากที่นี่” กู่หว่านเอ๋อส่ายหัว


 


หานเซิ่นอยากจะถามว่าทำไม แต่เขาถูกฟันอีกครั้ง เขาส่งเสียงร้องออกมาขณะที่บินหนีไป


 


ปีศาจเงาสีเลือดพยายามจะไล่ตามหานเซิ่นไป แต่กู่หว่านเอ๋อเอาตัวเองเข้ามาขวางเอาไว้ หานเซิ่นมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ


 


โชคดีที่มีดแสงของเจ้าปีศาจไม่ได้ฟันใส่เธอ มันไม่ต้องการจะฆ่ากู่หว่านเอ๋อ มันพยายามจะอ้อมผ่านกู่หว่านเอ๋อเพื่อเข้าไปโจมตีหานเซิ่น


 


แต่กู่หว่านเอ๋อยืนขวางระหว่างพวกเขา เธอใช้มือกำใบมีดของมีดเทพและเลือดจากมือของเธอก็ย้อมใบมีดเป็นสีแดง เลือดหลั่งไหลออกมาจากบาดแผลบนมือของเธอ และไม่กี่วินาทีต่อมาใบหน้าของกู่หว่านเอ๋อก็ดูซีดเซียว


 


“รีบหนีไปตอนนี้… มันยังจำเป็นต้องมีข้า… มันจะไม่ฆ่าข้า… แถมข้าก็มีร่างกายที่เป็นอมตะ… ข้าจะไม่ตาย… แต่เจ้าจะต้องตายถ้าเจ้ายังอยู่ที่นี่…”

กู่หว่านเอ๋อกำมีดเทพเอาไว้แน่นขณะที่ตะโกนออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอตัดสินใจอย่างหนักแน่นที่จะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปได้

 

 

 


ตอนที่ 2762

 

ปราสาทภายในขวด ใบหน้าของหานเซิ่นดูมืดมน เขานั่งอยู่บนพื้นขณะที่ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด


 


เขาไม่เคยรู้สึกอับอายเหมือนอย่างที่เขากำลังรู้สึกในตอนนี้ เขาจำเป็นต้องให้เด็กผู้หญิงคนนั้นเข้ามาช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ ถ้ากู่หว่านเอ๋อไม่ได้เข้ามาขวางมีดเทพเอาไว้ เขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้ใช้ลูกบาศก์สี่แกะเพื่อหนีมา หานเซิ่นจะไม่มีวันลืมสีหน้าของกู่หว่านเอ๋อในตอนที่เขาจำเป็นหนีเอาตัวรอดมา


 


“เราจะต้องหาหนทางเอาชนะมีดเฮงซวยนั่นและพากู่หว่านเอ๋อกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้”

หานเซิ่นสงบจิตใจและพยายามคิดอย่างมีเหตุผล เขารู้ว่าความรู้สึกโกรธและอับอายไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร เขาจำเป็นต้องหาทางรับมือกับมีดเทพนั่นเพื่อจะช่วยกู่หว่านเอ๋อ เขาจำเป็นต้องพาเธอมาจากที่นั่น


 


“ถ้าเราใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด เราก็ไม่ควรจะถูกทำร้ายโดยซุปเปอร์สเปชสแลซ แต่ถึงหว่านเอ๋อและร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของเราจะไม่ขัดแย้งซึ่งกันและกัน ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของเราก็คงจะอยู่ได้ไม่นานอยู่ดี แบบนั้นเราจะป้องกันซุปเปอร์สเปชสแลซโดยที่ไม่ใช่ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดได้ยังไง? และถึงเราจะป้องกันซุปเปอร์สเปชสแลซได้ก็ยังไม่พอ เราจำเป็นมีหนทางที่จะโต้กลับและทำลายมีดเล่มนั้น แม้แต่แอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ก็ทำร้ายมันไม่ได้ และพลังของเราก็ด้อยกว่าเธอมากนัก มันคงจะเป็นอะไรที่ยากยิ่งกว่าสำหรับเราที่จะทำลายมีดเล่มนั้น”

แต่หานเซิ่นไม่คิดจะยอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้ เขาใช้เวลาคำนวณถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นที่นั่น มันยังคงมีโอกาสที่เขาจะทำได้สำเร็จ ซึ่งเขาคำนวณว่ามันอยู่ในอัตราหนึ่งในหมื่น แต่นั่นจะไม่สั่นคลอนความมุ่งมั่นของเขา


 


อิมมอร์ทัลดราก้อนยังคงรักษาร่างกายของหานเซิ่นอย่างไม่หยุด เนื่องจากในตอนที่เขาอยู่ในฟาร์มของพระเจ้า เขาได้รับบาดแผลเพิ่มรวดเร็วเกินไป อิมมอร์ทัลดราก้อนจึงรักษาบาดแผลได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เขาได้รับบาดเจ็บมากซะจนเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บหนักขนาดไหนกัน


 


“เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตได้ ดังนั้นการจะหลบหลีกจึงเป็นไปไม่ได้ นอกซะจากเราจะลบอดีต…” เมื่อคิดได้แบบนั้น ดวงตาของหานเซิ่นก็เป็นประกายขึ้นมา


 


“บางทีเราควรจะลองอนัตตาของอัลฟ่าเผ่าเวรี่ไฮ อนัตตาเกี่ยวกับการหาหนทางให้ร่างกายตัดขาดจากจักรวาล แบบนั้นปีศาจนั่นก็จะไม่เห็นอดีตของเรา” หานเซิ่นคิดว่านี่เป็นบางสิ่งที่เขาควรจะลองดู เขามีประสบการณ์ของอัลฟ่าเผ่าเวรี่ไฮ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาที่จะฝึกอนัตตา


 


แต่ถึงอนัตตาจะป้องกันซุปเปอร์สเปชสแลซได้ หานเซิ่นก็ยังไม่มีหนทางที่จะทำลายมีดเทพอยู่ดี


 


หานเซิ่นไม่สามารถคิดเกี่ยวกับหนทางที่จะทำลายมีดเทพ แต่สำหรับตอนนี้เขาจำเป็นต้องฝึกอนัตตาซะก่อน เขาจำเป็นต้องดูว่าจะสามารถใช้มันป้องกันซุปเปอร์สเปชสแลซได้ไหม


 


เนื่องจากหานเซิ่นไม่มีเวรี่ไฮเซ้นส์เป็นฐาน เขาจึงใช้แค่วิชาใต้นภาเป็นฐานของมัน เขาใส่อนัตตาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิชามีดใต้นภา


 


หลังจากที่ผ่านไปสองอาทิตย์ หานเซิ่นก็ยังไม่ก้าวออกไปจากปราสาทแม้แต่ก้าวเดียว ตั้งแต่ที่แอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ปรากฏตัว ร่างกายของหานเซิ่นก็ไม่มีเกล็ดงอกขึ้นมาอีก และปะการังโลหิตก็ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเลย ถ้าหานเซิ่นไม่ได้เห็นมันกลายเป็นแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ เขาก็คงจะคิดไปว่ามันเป็นแค่ชิ้นของปะการังธรรมดาๆ


 


“ดูเหมือนว่าเลือดของแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ที่เรามียังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการเกิดใหม่ของเธออย่างสมบูรณ์ แต่นั่นไม่เป็นไร เราไม่รู้ว่าเธอเป็นมิตรหรือศัตรู ดังนั้นนี่ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้”

หานเซิ่นมองไปที่ปะการัง หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจเดินออกไปจากปราสาท


 


สองอาทิตย์ที่ผ่านมา หานเซิ่นได้พยายามที่จะทำให้อนัตตาละลายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิชามีดใต้นภา แต่เขาพบกับปัญหาบางอย่างที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ เขาจำเป็นต้องมีไอเดียอย่างสองอย่าง แต่มันไม่มีอะไรที่จะบันดาลใจเขาภายในปราสาทนี้ มันยากที่จะคิดไอเดียบางอย่างขึ้นมา


 


หานเซิ่นเดินวนรอบปราสาทเป็นวงกลม แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจและเขาก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะรู้ว่าในตอนนี้เขาจำเป็นต้องสงบจิตสงบใจเอาไว้ ความคิดเกี่ยวกับกู่หว่านเอ๋อและสถานการณ์ของเธอก็ทำให้เขาจะเป็นบ้า เขาไม่สามารถใจเย็นอยู่ได้


 


หานเซิ่นเรียกไซเรนเวอร์จิ้นออกมา เขาพูดกับเธอโดยหวังว่าจะได้รับไอเดียบางอย่างจากเธอ แต่ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอะไรที่น่าผิดหวัง ไซเรนเวอร์จิ้นไม่เคยเห็นซุปเปอร์สเปชสแลซมาก่อน ดังนั้นเธอไม่มีหนทางที่จะป้องกันมันได้


 


หลังจากที่ไซเรนเวอร์จิ้นใช้เวลาครึ่งวันพูดเรื่องไร้สาระ หานเซิ่นก็ส่งเธอกลับเข้าไปในขวดดังเดิม


 


ในปราสาทไม่มีใครที่จะมอบคำแนะนำให้กับหานเซิ่นได้ หลังจากที่ลังเลอยู่อีกสักพัก ในที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจเข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตา เขาจะไปพบกับจอมมารที่ถูกขังอยู่ในนั้น


 


ในตอนนี้จอมมารเป็นนักโทษเพียงคนเดียวที่หานเซิ่นขังเอาไว้ในหอคอยแห่งโชคชะตา สิ่งมีชีวิตอื่นทั้งหมดที่เคยอยู่ในนี้ถูกส่งไปในสถานล้างบาปแห่งสรวงสวรรค์หมดแล้ว มีเพียงแค่จอมมารเท่านั้นที่ดูอันตรายเกินกว่าที่จะปล่อยให้ออกไปจากหอคอยแห่งโชคชะตา


 


“เจ้าต้องการบางสิ่งจากข้า?” จอมมารถูกขังอยู่ในหอคอยมาอย่างยาวนาน แต่เขาไม่ได้ดูโกรธหรือร้อนใจเหมือนกับนักโทษทั่วๆไป มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังอยู่ระหว่างการพักร้อน แทนที่จะเป็นการถูกขังอยู่ในคุก หานเซิ่นชื่นชมในจิตใจที่แข็งแกร่งของจอมมาร ถ้าหานเซิ่นถูกขังอยู่ในนี้เป็นเวลาหลายปี เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะดูสงบนิ่งแบบนี้ได้


 


“ข้าได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่มีพลังซุปเปอร์สเปชสแลซ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะป้องกันมันยังไง” แทนที่จะพยายามปิดบัง หานเซิ่นพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นออกไปตรงๆ


 


สติปัญญาของจอมมารนั้นสูง เขาไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกโดยคำโกหก ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้พยายามจะปิดบัง


 


“นั่นเป็นเรื่องง่าย ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะปล่อยข้าไป ข้าจะสอนวิธีรับมือพลังซุปเปอร์สเปชสแลซให้กับเจ้า”

จอมมารพูดอย่างสงบนิ่ง ในตอนที่เขาพูดเกี่ยวกับเงื่อนไข เขาไม่ได้ดูตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย


 


“พลังของเจ้าอยู่ในระดับต่ำที่สุดของจักรวาลแห่งนี้ และคู่ต่อสู้ของข้าก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดของที่นี่ เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะเชื่อเจ้า?” หานเซิ่นถามขณะที่จ้องไปที่จอมมาร


 


“ข้าเชื่อ นั่นคือเหตุผลที่เจ้ามาที่นี่ไม่ใช่หรือยังไง?”

จอมมารหยุดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “แถมความแข็งแกร่งและความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ควบคู่กันไป ยังไงซะธาตุกาลเวลาและอวกาศในจักรวาลนี้ก็เหมือนกันกับธาตุกาลเวลาของที่อื่น พวกมันทำงานเหมือนกันกับที่พวกมันทำในก็อตแซงชัวรี่ ซุปเปอร์สเปชสแลซเองก็เช่นกัน เหตุผลเบื้องหลังของพวกมันเหมือนกัน ถ้าเจ้าเข้าใจเรื่องนั้น เจ้าก็จะหาหนทางรับมือกับมันได้”


 


“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมา ข้าจะรับมือกับซุปเปอร์สเปชสแลซได้ยังไง?” หานเซิ่นถาม


 


“ตกลงกับเงื่อนไขของข้าก่อน” จอมมารพูด


 


“เจ้าจะต้องพิสูจน์ให้ข้าเห็นก่อนว่าเจ้ารับมือกับพลังซุปเปอร์สเปชสแลซได้จริงๆ” หานเซิ่นพูดขณะที่มองไปที่จอมมารอย่างไร้สีหน้า


 


ชายคนนี้อันตรายเกินไป หานเซิ่นจะไม่ปล่อยจอมมารออกไป นอกซะจากจะไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ


 


นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความแข็งแกร่งของจอมมาร เพียงแต่ชายคนนี้น่ากลัวเกินไป ถึงแม้จอมมารจะเป็นแค่ระดับบารอน แต่หานเซิ่นก็จะไม่มอบโอกาสให้จอมมารหนีไปได้


 


จอมมารมองหานเซิ่นและยิ้มออกมา “เจ้าต้องการจะหลอกข้า เจ้าต้องการให้ข้ามอบหนทางให้กับเจ้า หลังจากนั้นเจ้าก็จะละทิ้งข้อตกลงและขังข้าเอาไว้ที่นี่”


 


“บอกบางสิ่งที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” หานเซิ่นพูด


 


จอมมารเป็นคนเฉียบแหลม เขาไม่ได้พูดซ้ำว่าหานเซิ่นจะไม่ยอมมอบอิสรภาพให้กับเขา เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นมา

“ตามหลักทฤษฎีแล้ว มันมีแค่หนทางเดียวที่จะรับมือกับซุปเปอร์สเปชสแลซ”


 


“หนทางอะไร?” หานเซิ่นรีบพูด เขาคิดว่าจอมมารจะไม่ยอมบอก แต่ชายคนนั้นกลับยอมพูดออกมา


 


“มันคือการฆ่าตัวเอง” จอมมารดูจริงจัง คำตอบนี้ของจอมมารทำให้หานเซิ่นรู้สึกสับสน

 

 

 


ตอนที่ 2763

 

อะไรได้


 


จอมมารยิ้มและพูด “เจ้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการตายและเกิดขึ้นมาใหม่หรือยังไง? ถ้าเจ้าไม่ตาย แบบนั้นเจ้าจะหลบซุปเปอร์สเปชสแลซได้ยังไง?”


 


หานเซิ่นเคยได้ยินเกี่ยวกับการเกิดใหม่มาก่อน แต่เขาไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับซุปเปอร์สเปชสแลซ เขาต้องการจะหาทางรับมือกับซุปเปอร์สเปชสแลซก็เพราะว่าเขาอยากจะมีชีวิตรอด แบบนั้นเขาจะฆ่าตัวเองไปเพื่ออะไร?


 


จอมมารชี้ไปที่หานเซิ่นและพูด “ก่อนอื่นพวกเราทุกคนสาบานที่จะตายเหมือนอย่างเมื่อวานนี้ หลังจากนั้นก็สาบานที่จะมีชีวิตเหมือนอย่างวันนี้ วันนี้เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ แบบนั้นมันจะมีความแตกต่างอะไรถ้าเจ้าตายไปเมื่อวาน?”


 


ขณะที่หานเซิ่นฟังจอมมารพูด เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองหลงทางอยู่ในหมอกหนา เขาไม่รู้เลวว่าจอมมารกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่เขารู้ว่าการถามคำถามต่อไปจะไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น นอกซะจากเขาจะยอมรับข้อตกลงของจอมมาร ไม่อย่างนั้นจอมมารก็จะหลีกเลี่ยงการพูดถึงปมของเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นความจริงแล้วคำใบ้ที่หานเซิ่นได้รับมาก็ถือว่าไม่เลวร้ายซะทีเดียว


 


หลังจากที่ออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตา หานเซิ่นก็คิดเกี่ยวกับสิ่งที่จอมมารพูด เขายังคงไม่เข้าใจว่าชายคนนั้นพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่


 


“ฆ่าตัวเอง… และตายไปเมื่อวาน… มีชีวิตวันนี้… นี่จอมมารพยายามจะบอกอะไรกันแน่?” หานเซิ่นใช้เวลาคิดอยู่นาน แต่เขาก็คิดไม่ออกเหมือนกับว่ามันเป็นอะไรที่ไกลเกินเอื้อม


 


ทันใดนั้นคลื่นกระแทกที่มองไม่เห็นก็ซัดผ่านอากาศมา เงาของคนสองคนปรากฏขึ้นในหมอกเมฆ และลงมาบนลานกว้างของปราสาท


 


“ในที่สุดเอ็กซ์ควิสิทและหลี่เคอเอ๋อก็มาที่นี่!” หานเซิ่นปลาบปลื้มเมื่อเขายืนยันได้ว่าเป็นพวกเธอ ตั้งแต่ที่เขาถูกขังอยู่ในโลกในขวดนี่ เขาก็ไม่ได้เห็นแม้แต่เส้นผมของหลี่เคอเอ๋อหรือเอ็กซ์ควิสิท


ถึงแม้พวกเธอจะเดินมาอยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ หานเซิ่นก็คิดจะไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเอ็กซ์ควิสิทและหลี่เคอเอ๋อเป็นเพียงแค่คนหนุ่มสาวในเผ่าเวรี่ไฮ พวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการตัดสินใจที่สำคัญ ถึงแม้พวกเธอต้องการจะปล่อยหานเซิ่นออกไป พวกเธอก็ไม่มีอำนาจที่จะทำแบบนั้น


“เกล็ดบนร่างกายของเจ้าหายไปแล้ว!” หลี่เคอเอ๋ออึ้งขณะที่มองไปที่หานเซิ่น


 


“ใช่ ข้าไม่รู้ว่าทำไม แต่จู่ๆเกล็ดก็หายไปเอง พวกเจ้าถามท่านผู้นำได้ไหมว่าตอนนี้ข้าออกไปได้แล้วใช่ไหม?” หานเซิ่นพูด


 


เอ็กซ์ควิสิทและหลี่เคอเอ๋อมองหน้ากัน มันเหมือนกับว่าพวกเธอต้องการจะบอกบางสิ่งกับเขา แต่พวกเธอลังเลที่จะพูดมันออกมา ในที่สุดเอ็กซ์ควิสิทก็พูดขึ้นมา

“ท่านผู้นำยังต้องการให้เจ้าอยู่ในขวดต่อไป”


 


“นั่นหมายความว่าเขาคิดจะให้ข้าอยู่ที่นี่ไปตลอดการอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“ไม่ต้องกังวล” หลี่เคอเอ๋อพูด

“พวกเราจะพยายามแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเจ้าไม่ได้เป็นภัยอันตราย พวกเราจะพยายามช่วยให้เจ้าได้อิสรภาพคืนเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”


 


“ร่างกายของข้าไม่ได้มีเกล็ดอีกแล้ว นั่นไม่ช่วยลบความหวาดระแวงที่พวกเขามีต่อข้าหรือยังไง?” หานเซิ่นพูด แต่เสียงของเขาไม่ได้ฟังดูมีความหวังอะไร


 


เอ็กซ์ควิสิทถอนหายใจ “ถ้าเกล็ดนั้นถูกกำจัดไปโดยคนของเผ่าเวรี่ไฮ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่หวาดระแวงอีก แต่ตอนนี้เมื่อเกล็ดหายไปด้วยตัวมันเอง ข้ากลัวว่าท่านผู้นำและเหล่าผู้อาวุโสจะไม่ยอมเชื่อว่าเกล็ดนั้นจะแค่หายไปด้วยตัวเอง”


 


“นั่นหมายความว่าข้าจะถูกขังอยู่ที่นี่ต่อไป?” หานเซิ่นพูด เขาไม่ได้คาดคิดว่าทางเผ่าเวรี่ไฮจะยอมปล่อยเขาไปอยู่แล้ว เขาต้องหนีออกไปด้วยตัวเอง


 


หลี่เคอเอ๋อพยายามจะปลอบเขา “พวกเราจะพยายามช่วยเจ้าทุกวิถีทาง เจ้าแค่ต้องทนอีกหน่อยเท่านั้น”


 


หานเซิ่นไม่ใช่คนอ่อนต่อโลกที่เพิ่งจะเริ่มออกผจญภัย เขารู้ว่าพวกนี้เป็นแค่คำพูดปลอบโยนที่จะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใดๆ


 


“ถ้าข้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้ พวกเจ้าช่วยนำหนังสือมาให้ข้าอ่านแก้เบื่อหน่อยได้ไหม?” หานเซิ่นถาม


 


“เจ้าอยากอ่านหนังสือแบบไหน? ในสถานการณ์แบบนี้ ข้าไม่คิดว่าคนของพวกเราจะปล่อยให้เจ้าอ่านวิชาจีโนไหนๆ” หลี่เคอเอ๋อพูดอย่างตรงไปตรงมา


 


“มันไม่ใช่วิชาจีโน ข้าอยากได้หนังสือเกี่ยวกับปรัชญาและศาสนศาสตร์ บางสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตและความตายจะเป็นอะไรที่ดีที่สุด”

หานเซิ่นหวังว่าหนังสือแบบนั้นจะมอบแรงบันดาลใจให้กับเขาและช่วยให้เขาเข้าใจว่าจอมมารหมายความว่าอะไร


 


“เข้าใจแล้ว พวกเราจะพยายามเอาหนังสือพวกนั้นมาให้กับเจ้า” หลี่เคอเอ๋อตอบ


 


“ขอบคุณมาก” หานเซิ่นยิ้ม


 


“เจ้าเป็นตัวไหมของพวกเรา นี่เป็นสิ่งที่พวกเราควรทำ…”

เสียงของหลี่เคอเอ๋อหายไปกลางคัน สถานะของหานเซิ่นในตอนนี้ไม่เหมือนเดิม เขาไม่ใช่ตัวไหมของพวกเธออีกต่อไปแล้ว


แต่หานเซิ่นดูเหมือนจะยอมรับมันได้ดีกว่าที่พวกเธอคิดเอาไว้ เขาพูดกับพวกเธออย่างเป็นกันเอง และเขาก็ดูไม่เหมือนกับคนที่จะต้องถูกขังไปตลอดการ


 


ก่อนที่พวกเธอจะจากไป เอ็กซ์ควิสิทพูดกับหานเซิ่น

“ข้าจะไปบอกท่านผู้นำว่าเกล็ดของเจ้าหายไปแล้ว พวกเขาจะต้องส่งคนเข้ามาเพื่อตรวจสอบสภาพของเจ้าแน่ แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะมีโอกาสสูงนักที่เจ้าจะได้ออกไป ดังนั้นอย่าได้หวังกับมันมากจนเกินไป”


 


“ข้าเข้าใจ” หานเซิ่นพูดพร้อมกับพยักหน้า เขารู้ว่าเอ็กซ์ควิสิทไม่มีอำนาจในเรื่องนี้


 


ไม่นานหลังจากที่พวกเธอจากไป ยอดฝีมือขั้นทรูก็อตของเวรี่ไฮคนหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าหานเซิ่น เขาตรวจเช็คสภาพของหานเซิ่นและถามหานเซิ่นอยู่หลายคำถาม หานเซิ่นได้คิดคำตอบทั้งหมดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นในตอนที่เขาถูกถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็มีเรื่องที่เตรียมเอาไว้พร้อม เรื่องเล่าของเขาไม่ได้ครบถ้วน เพราะหานเซิ่นพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการพูดเกี่ยวกับเรื่องบางเรื่อง ผู้อาวุโสของเวรี่ไฮนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


หลังจากที่ผู้อาวุโสของเวรี่ไฮจากไป มันก็ไม่มีใครเข้ามาหาเขาเป็นเวลาหลายวัน เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกอนัตตา เวลานั้นผ่านไปค่อนข้างรวดเร็ว


 


“มันผ่านมาสักพักหนึ่งแล้วตั้งแต่ที่เราไม่ได้เห็นเหยียนหรันและหลิงเอ๋อ หลิงเอ๋อจะโตขึ้นหรือยังนะ ในตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวฮวากัน แม่และพ่อบอกว่าพวกเขาต้องการจะใช้เวลาสักพักในการเดินทาง ป่านนี้พวกเขาจะกลับมาหรือยัง…” ในบางครั้งหานเซิ่นจะฟุ้งซ่านขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับครอบครัว


 


“อนัตตาแตกต่างไปจากวิชาใต้นภาโดยสิ้นเชิง หนึ่งในพวกมันเกี่ยวกับการเข้าสู่โลก ขณะที่อีกหนึ่งเกี่ยวกับการออกจากโลก การรวมพวกมันเป็นเรื่องยาก และเราก็ไม่เคยฝึกเวรี่ไฮเซ้นส์มาก่อน ดังนั้นเราจำเป็นต้องใช้วิชาใต้นภาเป็นฐาน ถ้าเราต้องฝึกมันตั้งแต่เริ่มต้น เราก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานสักแค่ไหนเพื่อเรียนรู้อนัตตา”

หานเซิ่นไม่มีหนทางที่จะคาดเดาอย่างถูกต้องว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะยกระดับวิชาใหม่นี้ไปถึงระดับที่สามารถใช้งานได้


 


อนัตตาและวิชาใต้นภานั้นคล้ายคลึงกันที่โครงสร้าง แต่ตามทฤษฎีแล้ว พวกมันทำงานกันบนความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน พวกมันเรียกได้ว่าตรงกันข้ามกัน ถึงแม้เขาจะได้รับประสบการณ์และจิตใจของอัลฟ่าของเวรี่ไฮมา เขาก็ไม่สามารถรวมพวกมันทั้งสองเข้าด้วยกันได้


 


ขณะที่หานเซิ่นกำลังปวดหัวกับเรื่องนี้ เงาของคนๆหนึ่งก็ผ่านเมฆหมอกที่ห้อมล้อมปราสาทเข้ามา เขาเป็นชายสูงอายุเผ่าเวรี่ไฮที่หานเซิ่นไม่คุ้นเคย


 


ชายแก่คนนั้นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่โยนบางสิ่งให้กับหานเซิ่น หลังจากนั้นเขาก็หันกลับและจากไป


 


หานเซิ่นขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าชายแก่คนนั้นเพิ่งจะทำอะไร เขาหยิบสิ่งของขึ้นมาดูและพบว่ามันเป็นแล็ปท็อปขนาดเล็กพอๆกับมือของคน


 


หานเซิ่นเปิดแล็ปท็อปดู เขาไม่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ แต่มันมีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มากมายอยู่ภายใน


 


ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้ว นี่คงจะเป็นสิ่งที่หลี่เคอเอ๋อและเอ็กซ์ควิสิทฝากมาส่งให้กับเขา หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในแล็ปท็อป และหนังสือส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับปรัชญาและศาสนศาสตร์ มันไม่มีหนังสือเล่มไหนที่เกี่ยวข้องกับวิชาจีโนเลยสักเล่มเดียว


 


แต่หานเซิ่นก็ไม่ได้คาดหวังจะได้อ่านเกี่ยวกับวิชาจีโนอยู่แล้ว เขาเริ่มพลิกผ่านหน้าหนังสืออย่างรวดเร็ว ด้วยสมองของเขาที่วิวัฒนาการไปมาก มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะจำเนื้อหาของหนังสือเล่มหนึ่งที่มีคำเป็นล้านคำ เขาสามารถจำเนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ทว่าการเข้าใจมันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


 


“ อนิจจตา” หานเซิ่นประหลาดใจในตอนที่เขาเห็นชื่อของหนังสือเล่มหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 2764

 

หานเซิ่นเคยเห็นอนิจจตามาก่อน แต่ครั้งนั้นวิชาจีโนถูกเขียนเอาไว้บนแผ่นจารึก หานเซิ่นไม่เข้าใจมัน


 


ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง วิชาจีโนนั้นถูกเขียนเอาไว้บนแผ่นจารึกหลายแผ่น และหานเซิ่นก็เคยเห็นแค่บางแผ่นเท่านั้น


 


จากเรื่องราวที่เล่าต่อกันมา เผ่าบุดด้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในยุคสมัยนี้ก็เพราะพวกเขาวิจัยเกี่ยวกับอนิจจตา นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาขึ้นมาเป็นใหญ่ในจักรวาล


 


วิชาจีโนมากมายของเผ่าบุดด้าถูกพัฒนามาจากอนิจจตา แม้แต่วิชาเปลี่ยนร่างของเบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าที่ใช้เปลี่ยนหานเซิ่นให้กลายเป็นมดก็มีต้นกำเนิดมาจากอนิจจตาเช่นกัน


 


“หนังสือนี่มีชื่อเดียวกันกับมัน แต่นี่คงจะไม่ใช่วิชาจีโนของจริงหรอกใช่ไหม?”


หานเซิ่นลองอ่านมันดูและพบว่ามันดูเหมือนจะไม่ได้เป็นวิชาจีโน มันเป็นเพียงแค่บทความที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดของศาสนศาสตร์และวิทยาศาสตร์


 


มันเหมือนกับหนังสือศาสนศาสตร์ธรรมดาทั่วไป อนิจจตานั้นมีข้อความที่กำกวมและลึกซึ้งอยู่มากมาย แต่หานเซิ่นมีความได้เปรียบกว่าคนอื่นในการทำความเข้าใจมัน เพราะยังไงซะเขาก็เคยพยายามอย่างหนักในการศึกษาศาสตร์ตงเสวียน


 


หานเซิ่นพลิกหน้าหนังสือต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับค้นพบบางสิ่งที่มีความสำคัญ แต่เขาไม่พบเนื้อหาสำคัญอะไรเลย และยิ่งเขาอ่านไปมากเท่าไหร่ ความสนใจของเขาก็น้อยลงมากเท่านั้น หลังจากผ่านไปอีกสักพัก เนื้อหาของมันก็น่าเบื่อซะจนหานเซิ่นอยากจะเปลี่ยนไปอ่านหนังสือเล่มอื่นแทน


 


แต่ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เห็นเนื้อหาที่กระตุ้นความสนใจของเขา มันพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่ามันมีเอกภพอยู่มากกว่าหนึ่งเอกภพ


 


มันพยายามจะบอกว่าเอกภพนั้นไม่ได้มีอยู่ตามลำพัง และจริงๆแล้วมันเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่ประกอบไปด้วยเอกภพต่างๆมากมาย มันเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตจะเดินทางข้ามระหว่างเอกภพเหล่านั้น


 


แนวคิดนั่นเป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจ มันเหมือนกับว่าหานเซิ่นกำลังนั่งอยู่บนรถไฟและเอกภพที่เขาอยู่ก็คือตู้โดยสารหนึ่ง ถ้าเขาเดินไปข้างหน้าเพื่อไปสู่ตู้โดยสารถัดไป เขาก็จะเข้าไปในอีกเอกภพหนึ่ง


 


ผู้คนไม่ได้ถูกล็อคให้อยู่ในเอกภพที่พวกเขาถือกำเนิด ในช่วงชีวิตของพวกเขา พวกเขาจะเคลื่อนย้ายจากเอกภพหนึ่งไปสู่อีกเอกภพหนึ่งอย่างไหลลื่น และพวกเขาส่วนใหญ่ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไป


 


การแบ่งระหว่างเอกภพนั้นไม่ได้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนอย่างรถไฟที่ถูกแยกเป็นตู้โดยสาร เอกภพนั้นถูกแบ่งแยกจากกันด้วยกฎของกาลเวลาและอวกาศ พื้นที่ที่คนๆหนึ่งอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งจะแตกต่างไปจากพื้นที่ที่คนๆนั้นอยู่ในวินาทีถัดไป


 


จากทฤษฎีนี้ มันก็สมเหตุสมผลที่คนๆหนึ่งจะย้อนเวลากลับไปในอดีตหรือเดินทางไปในอนาคต ถ้ามันมีเอกภพเพียงหนึ่งเดียว คนๆหนึ่งก็จะถูกล็อคอยู่ในจุดหนึ่งของกาลเวลา อดีตและอนาคตจะคงเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมไปตลอดการ แต่ถ้าพหุภพมีอยู่จริงๆ แบบนั้นกาลเวลาก็จะถูกเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเอกภพคู่ขนานมีอยู่ในอดีตหรืออนาคต แบบนั้นมันก็เป็นไปได้ที่จะไปที่นั่น


 


แน่นอนว่าอนิจจตาไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าหานเซิ่นจะสามารถไปข้างหน้าหรือย้อนหลังในพหุภพได้ยังไง แต่ทฤษฎีนั้นก็มอบแรงบันดาลใจกับหานเซิ่น


 


ตามทฤษฎีนั้น พลังของซุปเปอร์สเปชสแลซสามารถฟันผ่านหนึ่งเอกภพไปถึงเอกภพถัดไป ดังนั้นถึงแม้หานเซิ่นจะมองเห็นมีดแสง เขาก็ไม่สามารถป้องกันมันได้ นั่นก็เพราะว่าจริงๆแล้วการโจมตีนั้นไปถูกเขาในภพก่อน หานเซิ่นเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บจากผลที่ตามมาในภายหลัง


 


“ถ้าเราใช้ร่างกายป้องกันพลังของมีดเทพในภพก่อน แบบนั้นเราก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บในปัจจุบัน อย่างเช่นในตอนที่เราใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดนั้นไม่สำคัญว่าเวลาหรือเอกภพไหนที่เราจะไปอยู่ พลังของมีดเทพก็จะทำร้ายเราไม่ได้ แต่ปัญหาก็คือในตอนนี้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของเรามีเวลาที่จำกัด ถึงแม้เราจะใช้มัน เราก็เอาชนะมีดเทพไม่ได้อยู่ดี เพราะเราไม่มีหนทางที่จะทำลายมันได้ และในตอนที่ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของเราหมดเวลา การต่อสู้ก็จะจบลงโดยที่เราเป็นฝ่ายแพ้”


 


หานเซิ่นคิดต่อไปว่า “แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีทางอื่นอยู่เลย ถึงแม้ร่างกายของเราจะทนต่อมีดเทพไม่ได้ แต่พลังของซุปเปอร์สเปชสแลซก็ดูเหมือนจะไม่ได้สมบูรณ์ มันเลือกไม่ได้ว่าภพไหนที่มันจะฟันไปใส่ มันจะฟันไปใส่เอกภพของหนึ่งวินาทีก่อนเท่านั้น ถ้าเราคาดเดาการโจมตีของมีดเทพได้หนึ่งวินาทีก่อนที่มันจะถึง เราก็จะป้องกันมันได้”


 


“แต่มีดเทพนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และการโจมตีของมันก็ไม่ได้จำกัดอยู่ที่หนึ่งวินาทีก่อนหน้าเท่านั้น มันคาดเดาได้ยากว่าการโจมตีจะมาจากที่ไหน และถ้ามีดเทพพัฒนาไปยิ่งกว่านี้ มันก็จะยากขึ้นไปอีกที่จะจัดการกับมัน แถมมีดเทพก็เห็นตำแหน่งที่เราเคลื่อนที่ไป ดังนั้นไม่ว่าเราจะป้องกันแบบไหน มันก็จะเล็งเป้าไปที่จุดไหนก็ตามที่เป็นช่องโหว่ของฉัน”


 


“ถ้าเราฝึกอนัตตาได้สำเร็จ เราจะก็ตัดการเชื่อมต่อกับอดีตได้ แบบนั้นถึงแม้เราในอดีตจะถูกฟัน เราในปัจจุบันก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไร นั่นเป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุด แต่อนัตตาและวิชาใต้นภาขัดแย้งกัน พวกมันฝึกร่วมกันไม่ได้ ดังนั้นถ้าเราต้องการจะป้องกันซุปเปอร์สเปชสแลซ เราก็จำเป็นต้องคาดเดาทิศทางการโจมตีหนึ่งวินาทีก่อนที่มันจะถูกปลดปล่อย แบบนั้นบางทีเราอาจจะใช้โล่เมดูซ่าส์เกซป้องกันการโจมตีได้? นั่นเป็นอะไรที่ยาก แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ยังไงซะการคาดการณ์ล่วงหน้าก็คือสิ่งที่เราถนัดที่สุด วิชาใต้นภาเป็นวิชาจีโนระดับสูงที่โดดเด่นในเรื่องนั้น บางทีฉันอาจจะคาดเดาล่วงหน้าหนึ่งวินาทีได้จริงๆ แต่ปัญหาใหญ่ก็คือว่าเราจะหลีกเลี่ยงมีดเทพจากการโจมตีถูกช่องโหว่ ขณะที่มันเห็นการเคลื่อนไหวของเราได้ยังไงกัน”


 


อนัตตาไม่สามารถรวมเข้ากับวิชาใต้นภาได้ และหานเซิ่นก็ไม่เข้าใจสิ่งที่จอมมารพูดถึง แต่แทนที่จะกังวลเกี่ยวกับทั้งสองเรื่องพร้อมๆกัน หานเซิ่นโฟกัสไปที่การฝึกวิชาใต้นภาเพื่อลองดูว่าจะคาดเดาการกระทำของคนๆหนึ่งวินาทีก่อนล่วงหน้าได้ไหม


 


มีดเทพนั้นจะโจมตีเขาในอดีตหนึ่งวินาที ดังนั้นด้วยวิธีใดสักอย่างหานเซิ่นจะต้องบังคับให้คู่ต่อสู้โจมตีมาถูกโล่ของเขาแทนที่จะเป็นเนื้อหนังของเขา มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ คนปกติคงจะไม่ได้คิดเกี่ยวกับการทำอะไรแบบนั้น


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ซุบเปอร์สเปชสแลซก็เป็นแค่วิชาๆหนึ่ง มันต้องมีวิธีแก้ทางอยู่ การต่อสู้เป็นเหมือนกับเกมส์หมากรุก ทุกครั้งที่หานเซิ่นเดินหมาก มันก็จะเปลี่ยนการตอบสนองของคู่ต่อสู้ การรุกฆาตจะบรรลุโดยการผลักดันให้คู่ต่อสู้ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีตัวเลือกไหนที่เป็นตัวเลือกที่ดี


 


แต่นั่นจะนำไปสู่ความยุ่งยากอีกอย่างหนึ่ง ในเกมส์หมากรุก ผู้เล่นจำเป็นต้องโจมตีจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ เพื่อจำกัดตัวเลือกของคู่ต่อสู้ หานเซิ่นก็จำเป็นต้องข่มขู่อีกฝ่าย ถ้าระดับของภัยคุกคามไม่สูงพอ มีดเทพก็จะแค่เมินเฉยต่อการยั่วยุของหานเซิ่น


 


“มีดเทพนั้นทนทานมากๆ แม้แต่แอนท์เชี่ยนบลัดดราก้อนเลดี้ก็ทำลายมันไม่ได้ เราไม่มีอาวุธที่ทรงพลังพอ และพลังส่วนตัวของเราก็ยังไม่ถึงขั้น แต่ถึงเราจะทำลายมีดเทพไม่ได้ ถ้าเราแค่ต้องเขย่าขวัญมัน เราก็อาจจะพอมีโอกาสอยู่” หานเซิ่นตื่นเต้นขึ้นมาขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในที่สุดเขาก็ได้ไอเดียบางอย่าง


 


การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของหานเซิ่นคือท่าตบขั้นสุดยอด แถมเขายังมีวิชาเบรกซิกซ์สกายและวิชาฮาร์ทคอนเน็คชั่นอีก


 


ข้อดีข้อเสียของแต่ละวิชานั้นแตกต่างกัน ท่าตบขั้นสุดยอดยังคงไม่ทรงพลังพอที่จะสลายโซ่สสารของมีดเทพ ดังนั้นในตอนนี้มันจึงไม่มีประโยชน์


 


วิชาฮาร์ทคอนเน็คชั่นนั้นมีพลังในการเจาะทะลวงที่สูง แต่เมื่อต้องเผชิญกับความทนทานของมีดเทพ มันก็เป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์เช่นกัน แต่ทว่าพลังระเบิดของเบรกซิกซ์สกายนั้นเหมาะสมอย่างที่สุดสำหรับสถานการณ์ของหานเซิ่นในตอนนี้

 

 

 


ตอนที่ 2765

 

วันต่อๆมาหานเซิ่นไม่ได้กินหรือดื่มอะไรมากนัก เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการปรับแต่งวิชาใต้นภาและเบรกซิกซ์สกาย


 


วิชาใต้นภาไม่เข้ากันกับวิชาเบรกสกายนัก ดังนั้นหานเซิ่นจำเป็นต้องใช้ปืนคู่ของมนตราช่วย และวิชาเบรกซิกซ์สกายก็จำเป็นต้องถูกปรับแต่งเช่นกัน เขาอาจจะไม่ได้ใช้ศักยภาพในการทำลายล้างของวิชาจีโนอย่างเต็มที่ แต่พลังระเบิดจำเป็นต้องเพียงพอที่จะจัดการกับมีดเทพ ด้วยการทำแบบนั้นหานเซิ่นถึงจะทำการคาดการณ์หนึ่งวินาทีย้อนไปในอดีตได้


 


นี่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ หานเซิ่นจึงโฟกัสความสนใจทั้งหมดไปที่การปรับแต่งวิชาทั้งสอง เขาต้องทำให้พวกมันสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีดเทพเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว ถ้าแผนการมีข้อบกพร่องแม้แต่นิดเดียว หานเซิ่นก็จะพ่ายแพ้การต่อสู้และถูกฆ่าตาย


 


แต่หานเซิ่นมั่นใจว่าตัวเองมีความสามารถพอที่จะทำได้ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องทำมันได้สำเร็จ


 


“ตอนนี้เมื่อเราคิดวิธีที่จะรับมือกับซุปเปอร์สเปชสแลซได้แล้ว เราก็ต้องหันไปคิดเกี่ยวกับปัญหาสุดท้าย เราจะทำลายมีดเทพได้ยังไงกัน?”


ขณะที่หานเซิ่นฝึกวิชา เขาก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาอีกอย่างหนึ่ง


 


ถ้าหานเซิ่นทำลายมีดเทพไม่ได้ การป้องกันซุปเปอร์สเปชสแลซได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันจะเหมือนกับการพ่ายแพ้ และกู่หว่านเอ๋อก็ต้องถูกขังอยู่ที่นั่น


 


แต่ด้วยพลังของหานเซิ่นในตอนนี้ เขาไม่สามารถเอาชนะมีดเทพได้


 


“ถ้าเราทำลายมันไม่ได้ แบบนั้นเราก็ต้องหาทางเพื่อหยุดมัน บางทีวิชาเต่าอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลกับมีดเทพหรือเปล่า”


 


หานเซิ่นรู้สึกตัวว่าลำพังแค่จินตนาการของตัวเองไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหานี้ ไม่ว่าเป็นจะการคาดเดาการโจมตีของคู่ต่อสู้หรือการตัดสินประสิทธิภาพของวิชาเต่า เขาก็จำเป็นต้องลองทดสอบจริงถึงจะรู้ได้


 


“ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องไปที่ฟาร์มของพระเจ้าอีกครั้ง แต่มีดเทพนั้นจะยังอยู่บนดาวแกะหรือเปล่า?” หานเซิ่นตัดสินใจว่าหลังจากที่เขาปรับแต่งวิชาใต้นภาและเบรกซิกซ์สกายเสร็จแล้ว เขาจะเข้าไปที่ฟาร์มของพระเจ้าอีกครั้ง


 


“วิถีทางที่คนอื่นเดินคือวิถีทางของพวกเขา เราจำเดินในวิถีทางของตัวเอง”


หานเซิ่นยังคงไม่กินไม่ดื่มและใช้สมาธิไปกับการปรับแต่งวิชาจีโนต่อไป เขาไม่หลับหรือหยุดพักกว่าสองอาทิตย์


 


ทุกครั้งที่เขาคิดว่ากู่หว่านเอ๋อจะต้องใช้เลือดของเธอป้อนให้กับมีดนั่นทุกๆวัน หัวใจของหานเซิ่นก็รู้สึกเจ็บปวด


 


ก่อนที่การปรับแต่งวิชาจีโนจะเสร็จสิ้น เอ็กซ์ควิสิทก็กลับเข้ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอมาตามลำพัง หลี่เคอเอ๋อไม่ได้มากับเธอด้วย


 


“ท่านผู้นำยังไม่คิดจะปล่อยข้าออกไปใช่ไหม?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่เอ็กซ์ควิสิท


 


เอ็กซ์ควิสิทไม่ตอบหานเซิ่น เธอเพียงแค่บอกให้เขาตามเธอไป หลังจากนั้นเธอก็บินไปสู่เมฆหมอก


 


หานเซิ่นประหลาดใจ เรื่องนี่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา เอ็กซ์ควิสิทกำลังจะพาเขาออกไปจากขวด หานเซิ่นไม่เคยคาดคิดว่าทางเวรี่ไฮจะปล่อยเขาเป็นอิสระอีกครั้ง


 


แต่ถ้าเขาออกไปข้างนอกได้ง่ายๆ เขาก็จะไม่ลังเลหรือบ่นอะไร เขารีบบินตามเอ็กซ์ควิสิทไป


 


“นี่ท่านผู้นำเชื่อว่าข้าไม่ได้ถูกสาปแล้วอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามเอ็กซ์ควิสิท


 


“อย่าพูดหรือถามอะไรทั้งนั้น เจ้าแค่ต้องตามข้ามาเงียบๆ” เอ็กซ์ควิสิทพูดโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเขา


 


หานเซิ่นสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ แต่เขาไม่กล้าจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง เขาอยู่เงียบๆและตามเอ็กซ์ควิสิทไปเรื่อยๆ


 


พวกเขาทั้งคู่ผ่านเมฆหมอก และในที่สุดพวกเขาก็โผล่ออกไปด้านนอกของขวด


 


ห้องโถงที่เก็บขวดเอาไว้มีระบบป้องกันที่ทรงพลัง เอ็กซ์ควิสิทใช้ตราประทับขนาดเล็กอันหนึ่งเพื่อเข้ามาข้างใน มันช่วยปิดระบบป้องกันที่จะส่งผลกระทบต่อเธอ เธอพาหานเซิ่นออกไปนอกห้องโถง


 


หลังจากที่ออกไปจากห้องโถง เอ็กซ์ควิสิทก็วางมือลงบนไหล่ของหานเซิ่น เธอกำลังจะเทเลพอร์ตพวกเขาทั้งคู่ไปจากที่นั่น


 


แต่หานเซิ่นจับมือของเธอเอาไว้และหยุดเธอจากการใช้กาแล็กซี่เทเลพอร์ตเทชั่น


 


เอ็กซ์ควิสิทมองหานเซิ่นด้วยความสับสน และหานเซิ่นก็มองกลับไปที่เธอด้วยสีหน้าจริงจัง


“ตอบคำถามของข้า นี่เจ้าจะพาข้าไปหาท่านผู้นำหรือเปล่า?”


 


เอ็กซ์ควิสิทลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นเธอก็ส่ายหัวและพูด “ไม่”


 


เมื่อได้ยินคำตอบ หานเซิ่นก็มั่นใจว่าการคาดเดาของตัวเองถูกต้อง เขาถามเอ็กซ์ควิสิทต่อไปว่า


“นี่ท่านผู้นำไม่ได้อนุญาตให้เจ้ามาพาตัวข้าออกไปจากโลกในขวดอย่างนั้นสินะ?”


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องพวกนั้น ข้าจะพาเจ้าออกไปจากเอาท์เตอร์สกาย หลังจากที่เจ้าออกไปแล้ว เจ้าก็ควรกลับไปที่ปราสาทนภา และบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่กับจางเสวียนเต้า ถ้าเขายินดีจะปกป้องเจ้า ข้าไม่คิดว่าผู้นำของพวกเราจะพยายามพาตัวเจ้ากลับมาจากปราสาทนภา” เอ็กซ์ควิสิทพูด


 


สีหน้าของหานเซิ่นกลายเป็นอะไรที่ไม่สามารถ่านได้ ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เอ็กซ์ควิสิทกำลังเสี่ยงตัวเอง เธอคิดจะฝ่าฝืนกฎและพาเขาหนีออกไป


 


หานเซิ่นไม่เคยคิดว่าเอ็กซ์ควิสิทจะทำบางสิ่งแบบนี้เพื่อเขา


 


หานเซิ่นแค่คิดกับเอ็กซ์ควิสิทเหมือนเป็นเครื่องมือสำหรับการเร่งการเจริญเติบโต แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถคิดกับเธอแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว


 


“ทำไมกัน?” หานเซิ่นถามขณะที่มองเอ็กซ์ควิสิทด้วยสีหน้าซับซ้อน


 


“เจ้ามาที่นี่ขณะที่ยังมีชีวิต ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะออกไปจากที่นี่ขณะที่มีชีวิตเช่นเดียวกัน” เอ็กซ์ควิสิทพูดด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก


 


“ถ้าข้าจากไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?” หานเซิ่นรู้ว่ากฎของเวรี่ไฮนั้นเคร่งครัดขนาดไหน เวรี่ไฮสามารถเรียกได้เป็นว่าผู้คนที่ไร้หัวใจ ถ้าใครฝ่าฝืนกฎ พวกเขาก็จะไม่เมตตาแม้แต่ผู้คนของตัวเอง


 


“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนัก ทั้งหมดที่ข้าทำก็คือปล่อยตัวไหมของตัวเองเป็นอิสระ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องไปทำ ฉะนั้นหยุดทำให้ข้าต้องเสียเวลาได้แล้ว” เอ็กซ์ควิสิทพูดอย่างเย็นชา


 


หานเซิ่นพยักหน้าและพูด “เจ้าพูดถูก พวกเราจะมัวมาเสียเวลาไม่ได้ พาข้ากลับเข้าไปในขวด”


 


เอ็กซ์ควิสิทอึ้งไป หลังจากนั้นเธอก็มองหานเซิ่นด้วยความสับสนและถาม “เจ้าไม่อยากไปจากที่นี่หรือยังไง?”


 


“ถ้าเจ้าทำลายพันธสัญญากับข้าและขังข้าเอาไว้ในโลกในขวดนั่น สักวันหนึ่งข้าก็จะใช้มีดจี้คอเจ้าและออกไปจากที่นี่โดยใช้กำลัง”


หานเซิ่นหยุดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “แต่ถ้าเจ้าปล่อยข้าไปแบบนี้ ข้าจะรู้สึกผิดอย่างมาก ข้าจะเป็นหนี้บุญคุณคนอื่นมากขนาดนี้ไม่ได้”


 


หานเซิ่นมาอยู่กับเผ่าเวรี่ไฮได้ไม่นานนัก แต่เขาได้ใช้เวลาอ่านกฎระเบียบของเวรี่ไฮอย่างละเอียด เขารู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอปล่อยเขาไป เธออาจจะไม่ถูกฆ่า แต่เธอจะถูกจับไปขังเป็นศตวรรษ


 


หานเซิ่นจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น เขาไม่รังเกียจที่จะต้องต่อสู้กับผู้คน ไม่ว่าศัตรูของเขาจะโหดร้ายขนาดไหน หานเซิ่นก็จะหาหนทางฆ่าพวกเขา สิ่งที่หานเซิ่นกลัวคือการที่ผู้คนปฏิบัติกับเขาอย่างเมตตาเกินไป เขาไม่ต้องการจะเป็นหนี้บุญคุณใครมากขนาดนั้น


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าจะตอบแทนผู้หญิงที่สูญเสียวัยหนุ่มสาวเพื่อเขายังไง เขาไม่อยากให้เอ็กซ์ควิสิทถูกจับไปขังเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีเพราะเขา ดังนั้นเขาไม่มีทางเลือกนอกจากอยู่ที่นี่ต่อไป


 


แน่นอนว่าหานเซิ่นมีแผนการของตัวเอง สถานการณ์ของเขาไม่ได้สิ้นหวัง ถ้ามันสิ้นหวังจริงๆ เขาก็คงจะหนีไปและพาเอ็กซ์ควิสิทไปด้วย


 


แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะเอ็กซ์ควิสิทอาจจะไม่ยินยอมทรยศเผ่าเวรี่ไฮเพื่อเขา ดังนั้นหานเซิ่นจำเป็นต้องปฏิเสธเจตนาดีของเอ็กซ์ควิสิท


 


“เจ้าไม่ได้ติดหนี้บุญคุณอะไรข้า นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เอ็กซ์ควิสิทพูดกับหานเซิ่น


 


“การถูกจับตัวไปขังเป็นเวลาหนึ่งศตวรรษไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อย่างนั้นหรอ? นี่เธอมีชีวิตอยู่ได้กี่ศตวรรษกันเชียว?” หานเซิ่นถาม


 


“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้ยังไง?” เอ็กซ์ควิสิทแปลกใจ


 


“ส่งข้ากลับไป” หานเซิ่นไม่ตอบ เขาแค่มองเอ็กซ์ควิสิทอย่างสงบนิ่ง


 


“เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าถ้าเจ้าพลาดโอกาสนี้ไป เจ้าอาจจะถูกขังอยู่ในโลกในขวดไปตลอดการ” เอ็กซ์ควิสิทมองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน


 


“ไม่ ข้าจะไม่ถูกขังอยู่ในนั้นไปตลอดการ ข้าจะใช้พลังของตัวเองเพื่อหนีออกไป ไม่มีอะไรกักขังข้าได้” หานเซิ่นพูดอย่างหนักแน่น ใบหน้าของเขาดูมั่นใจราวกับว่าเขากำลังบอกเธอว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง

 

 

 


ตอนที่ 2766

 

เอ็กซ์ควิสิทมองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน เธอได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะฝ่าฝืนกฎและเสี่ยงพาหานเซิ่นหนีไป เธออาจจะไม่ถูกขังเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี แต่เธอยังจะได้รับบทลงโทษที่รุนแรง แต่ตอนนี้หานเซิ่นไม่ยินดีจะจากไป เขาบอกเธอว่าเขาจะใช้พลังของตัวเองเพื่อหนีไป เอ็กซ์ควิสิทไม่รู้ว่าทำไมหานเซิ่นถึงได้มั่นใจนัก สำหรับเธอแล้วสิ่งที่เขาพูดเป็นอะไรที่บ้ามากๆ


 


ขวดที่ขังหานเซิ่นเอาไว้นั้นถูกเก็บอยู่ในห้องโถงของอัลฟ่าเผ่าเวรี่ไฮ แม้แต่ยอดฝีมือขั้นทรูก็อตก็ไม่สามารถผ่านระบบป้องกันเพื่อเข้าออกจากที่นั่นได้ถ้าไม่มีตราประทับของเวรี่ไฮอยู่


 


หานเซิ่นเป็นเพียงแค่คนที่เพิ่งจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า แต่เขากลับพูดออกมาอย่างมั่นใจว่าเขาจะใช้พลังของตัวเองเพื่อหนีออกไปจากห้องโถงของอัลฟ่าเผ่าเวรี่ไฮ นอกจากนั้นเขายังคงถูกขังอยู่ในขวดอีก ไม่ว่าใครก็คิดว่าหานเซิ่นนั้นบ้าที่พูดอะไรแบบนั้นออกมา


 


“เจ้าจำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับมันดีๆ ข้อเสนอของข้าในตอนนี้คือโอกาสเดียว” เอ็กซ์ควิสิทพูดขณะที่จ้องไปที่หานเซิ่น


 


“ส่งข้ากลับไป มันจะดูไม่ดีถ้าคนอื่นมาเห็นพวกเราแบบนี้” หานเซิ่นพูดอย่างสงบนิ่ง


 


เอ็กซ์ควิสิทสัมผัสได้ถึงสิ่งที่หานเซิ่นกำลังคิด และเธอรู้สึกตื้นตันใจ เขาไม่อยากให้เธอต้องประสบกับปัญหาเพราะเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาแน่วแน่ที่จะกลับไปในขวด


 


แต่เอ็กซ์ควิสิทยังคงไม่เข้าใจว่าหานเซิ่นไปเอาความมั่นใจมาจากที่ไหน


 


ทันใดนั้นสีหน้าของเอ็กซ์ควิสิทก็เปลี่ยนไป เธอถอนหายใจและพูด “ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่เจ้าจะหนีไป”


 


หลังจากนั้นเธอก็เลิกลังเลและพาหานเซิ่นกลับเข้าไปในโลกในขวด


 


ในตอนที่เอ็กซ์ควิสิทพาหานเซิ่นกลับเข้าไปขวด เธอก็เห็นว่าลุงเก้ารอคอยเธออยู่ข้างใน เขามองมาที่เอ็กซ์ควิสิทและขมวดคิ้ว

“เอ็กซ์ควิสิท เจ้ามากับข้า”


 


หานเซิ่นรู้ว่าลุงเก้าต้องพบว่าเธอพยายามจะพาเขาหนีออกไป โชคดีที่เขาไม่ได้หนีไปจริงๆ ไม่อย่างนั้นเผ่าเวรี่ไฮก็คงจะถือว่าเอ็กซ์ควิสิทนั้นเป็นอาชญากร


 


เอ็กซ์ควิสิทมองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน หลังจากนั้นเธอก็ตามลุงเก้าออกจากโลกในขวดไป


“ดูเหมือนว่าทางเวรี่ไฮจะไม่รู้ว่าปะการังโลหิตนั้นหนีออกมาจากการปิดผนึกและกลับมาหาเรา น่าแปลกที่แม้แต่ผู้อาวุโสของเวรี่ไฮก็ไม่ได้สังเกตว่ามันหายไปแล้ว”

หานเซิ่นรู้สึกสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับปะการังโลหิต ถึงแม้มันจะดูเป็นอะไรที่ค่อนข้างทนทาน แต่เขาก็ไม่สามารถใช้มันเป็นอาวุธได้ มันเป็นเพียงแค่ภาชนะสำหรับร่างกายของแอนท์เชี่ยนบลัดดราก้อนเลดี้


 


หานเซิ่นยังคงทำการปรับแต่งวิชาใต้นภาและเบรกซิกซ์สกายต่อไป จนกระทั่งเขาไม่สามารถคิดหาหนทางไหนที่จะปรับแต่งพวกมันได้อีก หลังจากนั้นเขาก็หาเวลาเพื่อเข้าไปในฟาร์มของพระเจ้าอีกครั้ง


 


หานเซิ่นเข้าไปในฟาร์มของพระเจ้าอย่างระมัดระวัง แต่เขาไม่เห็นกู่หว่านเอ๋อหรือมีดเทพ รถม้าที่ถูกลากโดยยูนิคอร์นเก้าตัวก็หายไปเช่นกัน


 


“กู่หว่านเอ๋อควรจะกลับมาถูกไหม?” หานเซิ่นไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเองอีกต่อไป เขากังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งก่อน เขากลัวว่าตอนนี้มีดเทพหรือเจ้าของของมันอาจจะตัดสินใจหยุดกู่หว่านเอ๋อจากการมาที่ดาวดวงนี้อีก


 


“ฟาร์มของพระเจ้าคืออะไรกันแน่? มันคือสถานที่ที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลจีโนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นรู้สึกตัวว่าเขายังไม่ได้ลองพยายามกลับไปในก็อตแซงชัวรี่จากที่นี่ เขารู้ว่าโอกาสที่มันจะได้ผลนั้นน้อย แต่เขาก็ไม่รังเกลียดที่จะลองดู


 


แต่ในตอนที่เขาลองทดสอบดู เขาก็ถูกส่งกลับไปที่บ้านจริงๆ แม้แต่หานเซิ่นเองก็ประหลาดใจกับเรื่องนั้น

“ถ้าเราเดินทางกลับเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ได้ นั่นหมายความว่าฟาร์มของพระเจ้านั้นอยู่ที่ไหนสักแห่งในจักรวาลจีโน มันไม่ได้อยู่ในมิติที่แยกตัวออกไปเหมือนอย่างเอาท์เตอร์สกาย ถ้าอย่างนั้นเราจะเป็นอิสระถ้าเราหนีไปจากระบบป้องกันของดาวแกะปีศาจได้”


 


ถ้าปัญหาเดียวของหานเซิ่นคือการถูกขังอยู่ภายในโลกในขวด นี่ก็จะทำให้เขาดีใจอย่างมาก แต่ตอนนี้ถึงแม้เขาจะเป็นอิสระ เขาก็ไม่ได้รู้สึกดีใจ เพราะเขาไม่มีหนทางที่จะช่วยกู่หว่านเอ๋อ


 


“เราควรบอกกับไผ่เดียวดายเกี่ยวกับกู่หว่านเอ๋อไหมนะ? แต่เราไม่รู้ว่าจะหาฟาร์มของพระเจ้าได้จากที่ไหน นอกซะจากเราจะเดินทางโดยใช้ลูกบาศก์สี่แกะ มันไร้ประโยชน์ที่จะบอกกับไผ่เดียวดายในตอนนี้”

เมื่อหานเซิ่นกลับไปที่บ้าน เขาก็ได้เห็นหลิงเอ๋อลูกสาวของเขา


 


“หลิงเอ๋อที่รักของพ่อ ในตอนที่พ่อไม่อยู่ หนูเป็นเด็กดีใช่ไหม?” เขาอุ้มหลิงเอ๋อขึ้นมาและหอมแก้มของเธอ


 


“หลิงเอ๋อเป็นเด็กดี พ่อเป็นเด็กไม่ดี” หลิงเอ๋อพูดพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ


 


“พ่อเป็นเด็กไม่ดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้


 


หลิงเอ๋อมองจีเหยียนหรันที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว เธอกระซิบบอกหานเซิ่น “พ่อไม่กลับมาเป็นเวลานาน มันทำให้แม่โกรธมากๆ”


 


“แม่โกรธแค่ไหนกัน?” หานเซิ่นถามหลิงเอ๋อเบาๆ


 


หลิงเอ๋อกระซิบด้วยเสียงที่มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่จะได้ยิน

“แม่บอกว่าแม่จะสั่งสอนบทเรียนให้กับพ่อในตอนที่พ่อกลับมา”



 


หานเซิ่นพักอยู่ที่บ้านอยู่หลายวัน และเขาก็จะกลับเข้าไปที่ฟาร์มของพระเจ้าอยู่เป็นครั้งคราว แต่เขายังคงไม่เห็นกู่หว่านเอ๋อหรือมีดเทพ หานเซิ่นไม่รู้ว่าเธอจะกลับมาที่ดาวดวงนั้นอีกไหม


 


“เราจะเอาแต่รออยู่แบบนี้ไม่ได้ ดูเหมือนว่ามันถึงเวลาที่เราจะต้องลองฝ่าการป้องกันของดาวแกะปีศาจออกไป”

หานเซิ่นมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเข้าสู่โหมดร่างต่อสู้ซีโน่เจเนอิคและบินขึ้นจากพื้นดิน


 


เหมือนกับครั้งก่อน ในจังหวะที่หานเซิ่นกำลังจะผ่านชั้นบรรยากาศไป ใบมีดนับไม่ถ้วนก็ก่อตัวขึ้นรอบๆตัวเขา พวกมันแต่ละอันเทียบได้กับการโจมตีของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ และพวกมันก็ปรากฏออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 


หานเซิ่นพอจะรับมือกับหนึ่งถึงสองใบมีดได้ แต่เขาไม่สามารถจะรับมือกับพวกมันนับหมื่นได้ มันมีใบมีดอยู่มากเกินไป และพวกมันก็หลั่งไหลเข้ามาหาเขาอย่างไม่หยุดยั้ง


 


หานเซิ่นใช้โล่เมดูซ่าส์เกซเพื่อป้องกัน และถึงโล่ของเขาจะไม่ถูกทำลาย แรงกระแทกจากการโจมตีก็ส่งหานเซิ่นร่วงลงไปจากท้องฟ้า เขาพุ่งลงไปสู่พื้นผิวราวกับลูกอุกกาบาตทำให้เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่บนพื้น


 


หานเซิ่นพยายามจะฝ่าระบบป้องกันของดวงดาวอยู่หลายครั้ง แต่เขารู้สึกตัวว่าไม่สามารถหนีออกไปจากดวงดาวโดยการใช้กำลังได้ แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าขั้นลาร์วาก็ไม่สามารถฝ่าการป้องกันนี้ไปได้


 


“ถ้าร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของเราไม่ได้รับผลกระทบจากหว่านเอ๋อ เราก็คงจะหนีไปได้ แต่เราจะใช้ร่างเทพเจ้าสปิริตขึ้นสุดยอดเป็นเวลานานไม่ได้ มันทำงานได้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่เราไม่รู้ว่านั้นเพียงพอที่จะหนีไปได้หรือเปล่า”

ตอนนี้หานเซิ่นไม่มีตัวเลือกอื่นอีกแล้ว ดังนั้นเขาจำเป็นต้องลองดู เขายกโล่ขึ้นและบินสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง


 


ในตอนที่ร่างกายของเขาไม่สามารถทนรับแรงกระแทกของใบมีดได้อีกต่อไป เขาก็ลดโล่เมดูซ่าส์เกซลงและเปิดใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด


 


ขณะที่อยู่โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด หานเซิ่นก็ทำการเทเลพอร์ต ซึ่งการพยายามนี้ได้ผลออกมาดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้ หัวใจของเขาเริ่มเต้นอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เขาจำเป็นต้องเทเลพอร์ตไปให้ไกลที่สุด ด้วยเหตุนั้นในตอนที่เขาทำการเทเลพอร์ต เขาไม่ได้ดูว่าตัวเองเทเลพอร์ตไปไกลขนาดไหน แต่ในตอนที่เขาปรากฏตัวออกมาหลังจากการเทเลพอร์ตนั้น เขาพบตัวเองอยู่ในส่วนที่แปลกประหลาดของอวกาศ หลังจากนั้นสักพักเขาก็หาดาวแกะปีศาจเจอด้านหลัง มันอยู่ไกลแสนไกลจนดวงดาวมีขนาดพอๆกับกำปั้น


 


โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดมาถึงจุดสิ้นสุด มันคงอยู่นานพอแค่ให้หานเซิ่นเทเลพอร์ตได้ครั้งหนึ่งเท่านั้น


 


ขณะที่หานเซิ่นมองไปรอบๆ เขาก็เห็นกลุ่มคนบินผ่านมา เมื่อเขามองดูดีๆ เขาก็สังเกตเห็นว่ามีเดสทรอยเยอร์คนหนึ่งที่เขารู้จักอยู่ในหมู่คนพวกนั้น เดสทรอยเยอร์คนนั้นก็คือบาร์

 

 

 


ตอนที่ 2767

 

“ดอลลาร์? ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” บาร์สังเกตเห็นหานเซิ่นและจำชุดเกราะตงเสวียนของเขาได้


 


“ถ้าข้าบอกว่าหลงทาง จะเชื่อข้าไหมล่ะ?” หานเซิ่นถาม


 


บาร์ขมวดคิ้วกับคำตอบที่ได้รับ เขามองหานเซิ่นอย่างแปลกๆและพูด

“เจ้าหลงทางมาที่นี่?”


 


“ที่นี่คือที่ไหนกัน?” หานเซิ่นถาม


 


“พวกเราอยู่ในบริเวณรกร้างที่ด้อยพัฒนา มันไม่ได้ห่างไกลจากระบบจักรวาลขนาดใหญ่มากนัก ส่วนเรื่องที่ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน ข้าบอกเจ้าไม่ได้จริงๆ เพราะยังไงซะที่แห่งนี้ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ถูกสำรวจ มันไม่มีแผนที่ของที่นี่” บาร์พูด


 


หานเซิ่นแปลกใจ เขาคิดกับตัวเอง ‘ระบบจักรวาลร้างขนาดใหญ่? นั่นหมายความว่าที่นี่คงจะเป็นของเซเคร็ดในสมัยโบราณกาล มันเป็นทางข้างสู่ก็อตแซงชัวรี่ ที่นี่คือสถานที่ที่เจ้าแมวเก้าชีวิตพาตัวเสี่ยวฮวาไป’


 


“พวกเจ้ามาทำอะไรในสถานที่ที่อันตรายแบบนี้?” หานเซิ่นถามบาร์


 


“ที่นี่ไม่ใช่ระบบจักรวาลร้าง ดังนั้นมันไม่ได้อันตายจนเกินไป มันเป็นแค่ระบบจักรวาลด้อยพัฒนาที่พอจะมีทรัพยากรอยู่ เผ่าพันธุ์เล็กๆเผ่าหนึ่งค้นพบซีโน่เจเนอิคสเปชที่นี่ พวกเขาบอกว่าเห็นพบบางสิ่งที่สุดยอดที่นี่ พวกข้าจึงมาที่นี่เพื่อดูมัน”

บาร์มองไปที่หานเซิ่นและถาม “เจ้าสนใจจะไปตรวจดูซีโน่เจเนอิคสเปชนั่นด้วยกันไหม?”


 


หานเซิ่นยังไม่ทันตอบ ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนหนึ่งที่มากับบาร์ก็พูดขึ้นมา

“บาร์ ทำไมเจ้าไม่แนะนำเพื่อนคนนี้ให้พวกเราได้รู้จัก?”


 


“นี่คือมนุษย์ที่มีชื่อว่าดอลลาร์ เขาคือคนที่ชนะเลิศในการประลองของบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนของระดับมาร์ควิสในครั้งก่อน”


 


หลังจากนั้นบาร์ก็ชี้ไปที่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนนั้นและพูด

“ดอลลาร์ ผู้นี้คือผู้อาวุโสนาเดอร์ เขาเป็นระดับเทพเจ้าขั้นทรานส์มิวเทชั่นของเดสทรอยเยอร์”


 


บาร์ไม่ได้แนะนำตัวคนอื่นที่อยู่ข้างๆผู้อาวุโสนาเดอร์ บาร์แค่บอกว่าพวกเขาเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสนาเดอร์เท่านั้น


 


พวกเขาแต่ละคนเป็นแค่ระดับราชันหรือไม่ก็ครึ่งเทพ ส่วนตัวบาร์เองเป็นระดับเทพเจ้าเรียบร้อยแล้ว


 


ผู้อาวุโสนาเดอร์เห็นว่าบาร์ดูจะสนิทกับหานเซิ่นมากๆ ในตอนแรกเขาจึงคิดไปว่าหานเซิ่นคงจะต้องเป็นยอดฝีมือจากเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่โต เมื่อเขาได้ยินว่าหานเซิ่นมาจากเผ่าพันธุ์เล็กๆที่ไม่มีใครรู้จัก เขาก็สูญเสียความสนใจอย่างรวดเร็ว


 


ดอลลาร์ได้อันดับที่หนึ่งในการประลองระดับมาร์ควิส แต่ระดับมาร์ควิสนั้นแตกต่างไปจากระดับเทพเจ้า ผู้อาวุโสนาเดอร์นั้นคิดว่าเขาไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปสนใจระดับเทพเจ้าที่มาจากเผ่าพันธุ์เล็กๆ


 


ถึงแม้มันเป็นเรื่องยากที่จะกลายเป็นระดับเทพเจ้า แต่ในบางครั้งเผ่าพันธุ์เล็กๆก็จะโชคดีบังเอิญไปเจอทรัพยากรของเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งและกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้สำเร็จ


 


ระดับเทพเจ้าแบบนั้นมักจะมีรากฐานที่แย่ พวกเขาขาดความรู้และขาดการฝึกฝนวิชาการต่อสู้ชั้นสูง พวกเขามีโอกาสสูงที่จะสร้างปัญหา เผ่าเดสทรอยเยอร์เคยรับระดับเทพเจ้าแบบนั้นมาหลายคน แต่มันไม่เคยให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อเผ่าเดสทรอยเยอร์เลย และพวกเขาก็มักจะเป็นตัวปัญหาซะมากกว่า ตั้งแต่นั้นมาเผ่าเดสทรอยเยอร์ก็หยุดรับคนที่เป็นระดับเทพเจ้าจากเผ่าพันธุ์เล็กๆ


 


ถ้าหานเซิ่นมาจากเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่โต ผู้อาวุโสนาเดอร์ก็คงจะอยากพูดคุยกับเขา แต่หลังจากที่ได้รู้ว่าดอลลาร์เป็นใคร เขาก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอีกต่อไป


 


ผู้อาวุโสนาเดอร์อาจจะไม่ให้ความสำคัญอะไรกับหานเซิ่น แต่บาร์นั้นรู้จักดอลลาร์ผ่านเดียร็อบเบอร์ แม้แต่เดียร็อบเบอร์ก็ยังนับถือดอลลาร์ผู้ลึกลับ ดังนั้นบาร์จึงไม่เคยคิดที่จะประเมินเขาต่ำแบบนั้น


 


“ดอลลาร์ ถ้าเจ้าไม่ได้มีธุระอะไร เจ้าไปสำรวจซีโน่เจเนอิคสเปชนั่นร่วมกับพวกเราเป็นยังไง?” บาร์พูดเชิญหานเซิ่นอีกครั้ง


 


“พวกเราสำรวจร่วมกันได้ แต่ถ้าพวกเราเจอบางสิ่งที่มีค่า พวกเราจะแบ่งกันยังไง?”

หานเซิ่นไม่ได้สนใจอะไรในซีโน่เจเนอิคสเปชมากนัก แต่เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับระบบจักรวาลนี้ การติดตามบาร์และคนอื่นไปนั้นอาจจะช่วยป้องกันเขาจากการไปเจอเข้ากับปัญหา


 


“ผู้อาวุโสนาเดอร์เป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรานส์มิวเทชั่น เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้ เขาจะรับส่วนแบ่งหกสิบเปอร์เซ็นต์ แบบนั้นเจ้ากับข้ามาแบ่งสี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือคนละครึ่งเป็นยังไง?” บาร์เสนอขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปชั่วครู่


 


ผู้อาวุโสนาเดอร์ไม่ค่อยพอใจกับข้อเสนอของบาร์ ในสายตาของเขา ดอลลาร์นั้นเป็นแค่ระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟจากเผ่าเล็กๆ เขาเชื่อว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์นั้นถือว่ามากเกินไป ดอลลาร์ไม่ควรจะได้รับมากไปกว่าสิบเปอร์เซ็นต์


 


แต่ในเมื่อบาร์เสนอออกไปแบบนั้น ผู้อาวุโสนาเดอร์ก็ไม่คิดจะพูดโต้แย้งอะไร เขาจึงมองดูอย่างเงียบๆ


 


หานเซิ่นส่ายหัว “นั่นไม่ค่อยยุติธรรม”


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าพวกเราควรจะแบ่งกันยังไง?”

บาร์รู้ว่าการเดินทางในครั้งนี้เป็นอะไรที่อันตราย การมียอดฝีมืออย่างดอลลาร์อยู่จะเป็นประโยชน์ต่อภารกิจของพวกเขา


 


“ข้าเป็นคนที่ยุติธรรมเสมอ ถ้านี่เป็นการร่วมมือกัน ข้าคิดว่าพวกเราควรแบ่งรางวัลกันแบบห้าสิบห้าสิบ เผ่าเดสทรอยเยอร์ได้ไปห้าสิบ และเผ่ามนุษย์ได้ห้าสิบ” หานเซิ่นพูดอย่างจริงจัง


 


แค่หานเซิ่นจะได้รับส่วนแบ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ผู้อาวุโสนาเดอร์ก็ไม่ค่อยพอใจแล้ว แต่เขารู้ว่าการสำรวจซีโน่เจเนอิคใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบนั้นเป็นการเดินทางที่อันตราย การได้รับความช่วยเหลือจากระดับเทพเจ้าอีกคนหนึ่งถือเป็นความคิดที่ดี แต่ถึงอย่างนั้นถ้าให้เขาเป็นคนตัดสินใจ ผู้อาวุโสนาเดอร์ก็คงจะไม่ยอมมอบส่วนแบ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์ให้กับระดับเทพเจ้าจากเผ่าพันธุ์เล็กๆอย่างหานเซิ่น แต่ตอนนี้หานเซิ่นกลับบอกว่าเขาต้องการส่วนแบ่งห้าสิบเปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นอะไรที่บ้าบอสิ้นดี


 


“เผ่าพันธุ์เล็กๆมีสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเป็นแค่เผ่าพันธุ์เล็กๆ หลังจากที่ตัวเองกลายเป็นระดับเทพเจ้า พวกเขามักจะหลงตัวเองขึ้นมา ข้ากลัวว่าเขาจะไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟกับระดับเทพเจ้าขั้นทรานส์มิวเทชั่น เขาถึงต้องการจะแบ่งรางวัลแบบห้าสิบห้าสิบ”

ผู้อาวุโสนาเดอร์รู้สึกโกรธกับข้อเสนอนั้น เขามองไปที่หานเซิ่นและพูด “ถ้าเจ้าเป็นระดับเทพเจ้าขั้นลาร์วาคนหนึ่ง ข้าก็อาจจะแบ่งรางวัลกันแบบห้าสิบห้าสิบ”


 


“ข้าเป็นขั้นพริมิทีฟ แต่ข้าจะยอมตกลงก็ต่อเมื่อพวกเราแบ่งส่วนแบ่งกันแบบห้าสิบห้าสิบเท่านั้น” หานเซิ่นยืนกราน


 


ถึงแม้เขาจะเป็นแค่ขั้นพริมิทีฟ แต่ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งมากๆ และเขาศึกษาวิชาจีโนหลายอย่าง แม้แต่ระดับเทพเจ้าขั้นทรานส์มิวเทชั่นธรรมดาก็ไม่สามารถเอาชนะหานเซิ่นได้ ดังนั้นหานเซิ่นจึงเชื่อว่าการแบ่งแบบห้าสิบห้าสิบเป็นอะไรที่ยุติธรรม


 


แต่ผู้อาวุโสนาเดอร์ไม่ได้คิดแบบนั้น หลังจากที่ได้ยินหานเซิ่น เขาก็หัวเราะออกมา

“เจ้าขอมากเกินไป พวกเราคงจะตอบสนองต่อความต้องการของเจ้าไม่ได้”


 


“ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอตัว” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็หันมาหาบาร์และพูด

“บาร์ เจ้ามีแผนที่ดวงดาวให้ข้าซื้อต่อไหม? ข้าจะซาบซึ้งมากถ้าเจ้าขายมันให้กับข้า”


 


“ข้ามีแผนที่อยู่ มันไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก เจ้าเอามันได้เลยถ้าเจ้าจำเป็นต้องใช้มัน” บาร์เปิดเครื่องมือสื่อสารและส่งแผนที่ดวงดาวให้กับหานเซิ่น


 


“ขอบคุณมาก หวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีก” หานเซิ่นรีบมันมาและกล่าวขอบคุณ


 


เมื่อเห็นหานเซิ่นจากไป หนึ่งในลูกศิษย์ของผู้อาวุโสนาเดอร์ก็หัวเราะ

“เขาไม่รู้จักฐานะของตัวเองซะจริงๆ เขาคิดว่าการกลายเป็นระดับเทพเจ้าจะทำให้เขาไร้เทียมทานในจักรวาลหรือยังไง”


 


“ใช่ เขาเป็นแค่ระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ อาจารย์ของพวกเราบดขยี้เขาให้ตายได้ด้วยมือข้างเดียว”


 


“ข้ากลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างขั้นพริมิทีฟและขั้นทรานส์มิวเทชั่น นั่นเป็นเหตุผลที่เขาอวดดีแบบนั้น ท่านอาจารย์น่าจะแสดงให้เขาเห็นว่าใครกันแน่ที่เป็นใหญ่ในที่นี้”


 


“เขากล้าดียังไงมาขอส่วนแบ่งแบบห้าสิบห้าสิบกับอาจารย์ของพวกเรา?”

เหล่าลูกศิษย์ของผู้อาวุโสนาเดอร์พูดคุยกัน พวกเขาพูดเหมือนกับว่าพวกเขาทุกคนแข็งแกร่งกว่าหานเซิ่น พวกเขาดูจะลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นแค่ระดับราชัน ขณะที่หานเซิ่นเป็นระดับเทพเจ้า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)