Super God Gene 2621-2641

ตอนที่ 2621

 

‘เป็นเมืองที่แปลกจริงๆ มันจำกัดพลังของเรา ถึงแม้เราจะยังแข็งแกร่งเหมือนปกติ แต่เราใช้พลังที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตธรรมดาไม่ได้ มันเหมือนกับว่าตอนนี้เราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ’

หานเซิ่นตกใจ เขาพยายามจะเปิดใช้การวิชาต่างๆของเขา แต่เขาไม่สามารถใช้พวกมันได้ในดินแดนประหลาดนี้


 


ขณะที่หานเซิ่นพยายามหาว่าพลังถูกจำกัดได้ยังไง ชายชาวนภาคนหนึ่งก็เดินเข้ามาและโค้งคำนับเขาอย่างมีมารยาท

“อาจารย์หาน ชื่อของข้าคือลุงฉิน ข้ารับหน้าเป็นมัคคุเทศก์ของเมืองราชาดำ”


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่ประชากรของเมือง


 


ลุงฉินหัวเราะและพูด “ใกล้ๆนี้มีคาเฟ่อยู่ พวกเราควรจะไปดื่มชาและพูดคุยกันต่อที่นั่น สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองราชาดำนั้นค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นมันคงจะใช้เวลาสักพักในการอธิบาย”


 


หานเซิ่นตามลุงฉินไปยังคาเฟ่ที่อยู่มุมถนนใกล้ๆ พวกเขาทั้งสองคนนั่งในอยู่บนชั้นสอง พวกเขามองลงมายังสี่แยกที่อยู่ด้านล่าง


 


ลุงฉินสั่งชามาดื่ม ในตอนแรกหานเซิ่นยังคงเชื่อว่าเมืองทั้งเมืองเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่เมื่อเขายกชาขึ้นดื่ม เขาก็ต้องทิ้งความคิดนั้นไป


 


ชามีกลิ่นหอมและรสชาติของมันก็เป็นเลิศ มันไม่ใช่แค่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน


 


“อาจารย์หานไม่ต้องกังวล เมืองราชาดำเป็นสถานที่จริงๆ มันแค่แตกต่างออกไป ในมิติแห่งนี้มีเพียงแค่เมืองๆนี้เท่านั้น สิ่งมีชีวิตที่นี่อาศัยอยู่เฉพาะในเมืองแห่งนี้ พวกเขาเกิดและตายที่นี่ ซึ่งพวกเขามีอายุขัยแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาฝึกวิชาไม่ได้” ลุงฉินพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ถ้าผู้คนที่นี่ฝึกฝนไม่ได้ แล้วทำไมที่นี่ถึงอันตราย?” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน


 


ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่ลุงฉินพูดจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรในสถานที่นี้ที่จะทำร้ายเขาได้ แบบนั้นทำไมยวิ๋นฉางคงถึงได้เตือนเขาว่าให้เก็บบัตรผ่านติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา?


 


“สิ่งมีชีวิตในเมืองราชาดำนั้นธรรมดา แต่ตัวเมืองไม่ธรรมดา ข้าเชื่อว่าอาจารย์หานคงจะรู้สึกได้ถึงมันเรียบร้อยแล้วว่าพลังของพวกเราถูกจำกัด นอกจากความแข็งแกร่งทางร่างกายแล้ว พลังอื่นๆของพวกเราสูญหายไป”


 


“ถึงแม้พวกเราจะมีแค่พลังทางกายภาพ แต่สิ่งมีชีวิตของที่นี่ก็ทำร้ายพวกเราไม่ได้อยู่ดี”


 


ลุงฉินพยักหน้าและพูด “สิ่งมีชีวิตของที่นี่ทำร้ายพวกเราไม่ได้ แต่กฎที่ผูกมัดเมืองราชาดำอยู่จะฆ่าพวกเรา มันมีอยู่ 2 เรื่องที่อาจารย์หานห้ามทำในเมืองราชาดำ หนึ่งคืออาจารย์หานห้ามทำบัตรผ่านราชาดำหาย อย่างที่สองคืออาจารย์หานห้ามทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่นในที่แห่งนี้ มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะอ่อนแอแค่ไหน ถ้าอาจารย์หานทำร้ายพวกเขา อาจารย์หานก็จะถูกลงโทษด้วยกฎของเมืองราชาดำ ถึงแม้อาจารย์หานจะเป็นระดับเทพเจ้า ผลที่ตามมาก็เป็นอะไรที่เลวร้ายอยู่ดี”


 


“ถ้าอย่างนั้นมันมีประโยชน์อะไรที่จะเข้ามาในเมืองแห่งนี้?” หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“มันมีประโยชน์อยู่อย่างหนึ่ง ถึงสิ่งมีชีวิตที่นี่จะอ่อนแอ แต่สิ่งของในบ้านของพวกเขาไม่ใช่ มันมีบ้านอยู่ในเมืองแห่งนี้ทั้งหมดหนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบเจ็ดหลัง คนหลายต่อหลายรุ่นอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน พวกเขาจึงมีสมบัติที่สืบทอดมาจากสมัยอดีต และเนื่องจากพวกเขาฝึกฝนไม่ได้ พวกมันจึงเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าพวกเราได้พวกมันมา พวกมันก็จะมีประโยชน์ อาจารย์หานลองคิดดู มันอาจจะมีสมบัติระดับเทพเจ้าอยู่รอบๆนี้”

ลุงฉินหยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “แต่ในเมืองราชาดำนั้น อาจารย์หานจะขโมย ปล้นหรือทำร้ายคนอื่นไม่ได้ พวกเขาต้องยอมมอบสิ่งของให้กับอาจารย์หานอย่างเต็มใจ ถ้าอาจารย์หานละเมิดกฎ เมืองราชาดำก็จะลงโทษอาจารย์หาน”


 


“นั่นเป็นกฎที่แปลกมาก… แต่ถ้าคนที่นี่ไม่ได้ฝึก แล้วแบบนั้นสมบัติเหล่านั้นมาจากที่ไหนกัน?” หานเซิ่นถาม


 


“เรื่องนั้นไม่มีใครรู้ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงมีสถานหยกขาวอยู่ในจักรวาลนี้ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเมืองราชาดำถึงมีกฎแบบนี้และไม่มีใครรู้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มาจากที่ไหน ทั้งหมดที่พวกเราต้องทำก็คือพยายามเอาสิ่งของที่จำเป็นออกไป” ลุงฉินพูด


“ข้าจะแลกเปลี่ยนกับพวกเขาได้ไหม?” หานเซิ่นถาม


 


“อาจารย์หานทำได้ แต่อาจารย์หานจะไปบังคับพวกเขาไม่ได้” ลุงฉินตอบ


 


หานเซิ่นถามลุงฉินเกี่ยวกับเรื่องของเมืองราชาดำเพิ่มเติม ซึ่งเขานั้นย้ำหลายครั้งเกี่ยวกับกฎของที่แห่งนี้


 


เมื่อหานเซิ่นพร้อมจะออกเดินทางแล้ว ลุงฉินก็พูดขึ้นมา

“อาจารย์หานอย่าลืม… พวกเราใช้พลังในที่แห่งนี้ไม่ได้ ถึงแม้สมบัติระดับเทพเจ้าจะมาอยู่ตรงหน้าพวกเรา แต่พวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกมันมีพลังระดับไหน พวกเราเห็นแค่ว่าพวกมันดูเป็นยังไง ในบางครั้งคนที่เข้ามาได้ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาสิ่งของชิ้นหนึ่งออกไป แต่กลับมาพบที่หลังว่ามันเป็นแค่ระดับบารอนเท่านั้น เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยภายในเมืองราชาดำ ดังนั้นอาจารย์หานต้องไตร่ตรองให้ดี ข้าหวังว่าอาจารย์หานจะเลือกสมบัติระดับเทพเจ้าออกไปได้”


 


“ขอบคุณที่ช่วยอธิบายเรื่องทั้งหมดนี่” หานเซิ่นพูดบอกลาและออกจากคาเฟ่ไป เขาเริ่มเดินไปบนถนนอีกครั้ง


 


หลังจากที่เดินไปไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นช่างเหล็กสองคนกำลังทุบค้อนลงไปบนทั่งตีเหล็ก


 


เมื่อหานเซิ่นเห็นทั่งตีเหล็กนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา


 


ทั่งตีเหล็กมีสีดำสนิท มันดูค่อนข้างเก่าและเต็มไปด้วยสนิม แต่หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่ามันไม่ได้ขึ้นสนิมจริงๆ


 


ทั่งอันนั้นเป็นฐานรองที่ช่างเหล็กใช้ทุบอาวุธ ในตอนที่เหล็กถูกนำออกมาจากไฟ พวกเขาจะใช้ค้อนทุบเหล็กร้อนๆให้เข้ารูปบนทั่ง


 


หานเซิ่นสามารถบอกว่ามันดูเก่ามากๆ ใครจะรู้ว่ามันอยู่ภายในโรงตีเหล็กเป็นเวลานานแค่ไหนแล้ว แต่มันยังคงอยู่ในสภาพดี การที่มันไม่บุบสลายหรือเป็นรอยอะไรถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นเลิศของมัน หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่ามันค่อนข้างพิเศษ


 


“ทั่งนี่เป็นสมบัติอย่างนั้นหรอ? แต่ระดับของมันคืออะไร?” หานเซิ่นยืนอยู่นอกโรงตีเหล็กขณะมองไปที่ทั่ง เขาไม่สามารถใช้พลังได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ถึงระดับของทั่งอันนี้


 


“ทั่งนี่ต้องเป็นสมบัติอย่างหนึ่ง แต่ข้าบอกไม่ได้ว่ามันอยู่ระดับไหน มันอาจจะเป็นอะไรที่ไม่เลว ซึ่งศิษย์ของปราสาทนภาที่เข้ามาก็คงจะอยากได้เจ้าสิ่งนี้เช่นเดียวกัน แต่ช่างเหล็กจำเป็นต้องใช้ทั่งตีเหล็กในการทำงาน ดังนั้นถึงจะผ่านมาหลายต่อหลายรุ่น ทั่งตีเหล็กก็ยังอยู่ที่นี่ เนื่องจากไม่มีช่างเหล็กคนไหนยอมขายมัน”

เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นหันไปเห็นเอ็กซ์ควิสิทอยู่ข้างๆเขา เธอสวมใส่ชุดสีขาว

 

 

 


ตอนที่ 2622

 

“เจ้าบอกได้ไหมว่าสิ่งของชิ้นไหนที่เป็นสมบัติจีโน?” หานเซิ่นถามเอ็กซ์ควิสิท


 


เอ็กซ์ควิสิทส่ายหัว “ไม่”


 


หานเซิ่นสังเกตทั่งตีเหล็กอีกสักพัก หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเดินไปบนถนนต่อ


 


“เจ้าคิดจะยอมแพ้ก่อนที่จะลองดูอย่างนั้นหรอ?” เอ็กซ์ควิสิทถามเมื่อเห็นหานเซิ่นเดินออกมา


 


“เดิมพันว่ามีผู้คนนับไม่ถ้วนจากปราสาทนภาที่พยายามจะเอาทั่งตีเหล็กนั่น ข้ายืนอยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง แต่สายตาของช่างเหล็กนั้นไม่เป็นมิตรเลยสักนิด ข้าจึงเลือกไปที่อื่นที่การต้อนรับดีกว่านี้” หานเซิ่นพูดขณะที่มองไปรอบๆ


 


ขณะที่หานเซิ่นเดินไปรอบๆเมือง ประชากรภายในเมืองก็มองมาที่เขาเช่นเดียวกัน เมืองไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้จักกันเป็นอย่างดี คนนอกที่เข้ามาจึงโดดเด่นเป็นพิเศษในที่แห่งนี้


 


ผู้คนในเมืองกำลังมองหานเซิ่นด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร แต่หานเซิ่นเข้าใจทัศนคติของพวกเขา ในอดีตศิษย์ของปราสาทนภาคงจะเคยมาพยายามขโมยของของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าผู้คนในเมืองไม่ชื่นชอบการที่คนนอกเข้ามา


 


ที่ยวิ๋นฉางคงไม่ยอมบอกรายละเอียดเกี่ยวกับเมืองราชาดำกับเขา นั่นคงจะเป็นเพราะศิษย์ของปราสาทนภาไปทำอะไรหลายอย่างภายในเมืองที่ไม่มีใครคนไหนภาคภูมิใจ


 


ผู้คนภายในเมืองนั้นไม่ชื่นชอบคนนอก แต่พวกเขาก็ไม่ได้เข้ามาหาเรื่องอะไร พวกเขาแค่จ้องมองหานเซิ่นด้วยสายตาที่เย็นชา มันเหมือนกับว่าพวกเขาเคยถูกเอาเปรียบมาก่อน


 


ศิษย์ของปราสาทนภาที่เข้ามาถูกจำกัดพลังภายในเมืองแห่งนี้ แต่พวกเขายังคงมีความแข็งแกร่งทางกายภาพอยู่ ผู้คนที่นี่ไม่สามารถต่อต้านพละกำลังแบบนั้นได้


 


ถ้าไม่ใช่เพราะกฎของเมืองราชาดำ ศิษย์ของปราสาทนภาคนไหนก็สามารถถล่มทั้งเมืองด้วยกำปั้นของพวกเขา


 


“ไม่แปลกใจเลยที่ลุงฉินบอกว่าทุกวันนี้มันเป็นเรื่องยากที่จะเอาบางสิ่งในเมืองราชาดำออกไป”

หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา เขาไม่เก่งเรื่องการพูดคุยและความสามารถในการสื่อสารกับคนอื่นของเขาก็ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เขาไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับอะไรมากจากเมืองแห่งนี้


 


แถมตอนนี้เขาก็ไม่สามารถใช้พลังของตัวเองได้ เขาพึ่งพาได้แค่สัญชาตญาณและสายตาของเขาเท่านั้น


 


หานเซิ่นลองเรียกวิญญาณอสูรออกมา แต่วิญญาณอสูรก็ถูกจำกัดเช่นเดียวกัน เขาไม่สามารถเรียกวิญญาณอสูรออกมาจากจิตได้


 


“เอ็กซ์ควิสิท เจ้ารู้ไหมว่าเผ่าพันธุ์ของผู้คนที่นี่คือเผ่าอะไร? ทำไมพวกเขาถึงได้ดูเหมือนกับคริสตัลไลเซอร์?” หานเซิ่นถามขึ้นมา


 


หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ เอ็กซ์ควิสิทก็พูด “นี่เป็นแค่รูปลักษณ์ของพวกเขา พวกเขาไม่ใช่คริสตัลไลเซอร์ที่แท้จริง จริงๆแล้วพวกเขาไม่เหมือนกับเผ่าพันธุ์ไหนในจักรวาลแห่งนี้ พวกเขาเป็นแค่สิ่งมีชีวิตของเมืองราชาดำ พวกเขาต้องใช้ทั้งชีวิตอยู่ภายในเมืองแห่งนี้”


 


“สิ่งมีชีวิตในเมืองอีกสี่เมืองเหมือนกับเมืองแห่งนี้หรือเปล่า?”

หลังจากที่หานเซิ่นถามไปแบบนั้น เขาก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมา เขาเป็นคนของปราสาทนภา แต่เขากำลังถามคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องที่อาจจะเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของเขา


 


เอ็กซ์ควิสิทดูเหมือนจะไม่ได้คิดอะไรมากกับคำถามของหานเซิ่น เธอส่ายหัวและพูด “เมืองทั้งห้าแต่ละเมืองจะแตกต่างกันออกไป ประชากรของแต่ละเมืองจะมีลักษณะพิเศษและอุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน เมืองอื่นไม่ได้ปลอดภัยเหมือนอย่างเมืองราชาดำ แม้แต่ระดับเทพเจ้าก็อาจจะตายได้ถ้าโชคร้าย”


 


หานเซิ่นและเอ็กซ์ควิสิทเดินชมเมืองต่อไปเรื่อยๆ หญ้า ไม้ อิฐและหินชนวนของเมืองแห่งนี้นั้นเก่ามากๆ


 


หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเดินบนถนนในภาพยนตร์ย้อนยุค ทุกอย่างนั้นดูเหมือนกับสมบัติ แต่พวกมันไม่ใช่


 


‘มันแย่จริงๆเมื่อไม่มีความสามารถในการสัมผัสสิ่งต่างๆ’

หานเซิ่นถอนหายใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่ามีแว่นตาของคริสตัลไลเซอร์อยู่ เขาไม่รู้ว่าเทคโนโลยีของคริสตัลไลเซอร์จะใช้งานในเมืองแห่งนี้ได้ไหม ดังนั้นเขาจึงลองดู


 


หานเซิ่นนำแว่นตาขึ้นมาสวมและมองไปที่ผู้คนในเมือง ข้อมูลแล่นผ่านเลนส์ของแว่นตา


 


“ล็อคเป้าหมาย…วิเคราะห์ข้อมูล…” เสียงของกลาสเซสดังขึ้นในหัวของหานเซิ่น ข้อมูลยังคงเคลื่อนผ่านเลนส์ของแว่นตา


 


“ทำไมเจ้าถึงสวมแว่นตา?” เอ็กซ์ควิสิทรู้สึกว่าหานเซิ่นกำลังทำอะไรแปลกๆ เธอมองไปที่แว่นตาของเขา


 


“ผู้คนไม่ชอบหน้าพวกเรา การสวมใส่แว่นตาเพื่อปกปิดใบหน้าอาจจะช่วยให้พวกเราขอสิ่งของจากพวกเขาได้” หานเซิ่นอธิบาย


 


เมื่อเอ็กซ์ควิสิทได้ยินหานเซิ่นพูดแบบนั้น เธอก็มองไปที่ผู้คนและพูด

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ใครก็ตามที่เอาสิ่งของออกไปจากที่นี่จะถูกตราหน้าว่าเป็นภัย และพวกเขาจะกลับเข้ามาไม่ได้อีก”


 


หานเซิ่นหัวเราและไม่ตอบ เขาเริ่มเดินต่อไป ไม่นานหลังจากนั้นผลการวิเคราะห์ของกลาสเซสก็แสดงออกมา


 


“เป้าหมาย: ยีนกลายพันธุ์ชนิดAT6 เพศชาย อายุยีน: 34 ปี”

“ระดับยีน: ไม่มี”

“ศักยภาพยีน: ไม่มี”


 


“ยีนกลายพันธุ์ชนิดAT6คืออะไร?” หานเซิ่นถามกลาสเซสด้วยความสงสัย


 


“ATบ่งชี้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิต หมายเลขหกหมายความว่ามันคือสาขาที่หกของสิ่งมีชีวิต” กลาสเซศตอบ


 


“ATหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นถามอีกครั้ง


 


“ATคือAT” ปัญญาประดิษฐ์ของกลาสเซสมีสติปัญญาระดับเด็กหกขวบ มันไม่สามารถอธิบายให้หานเซิ่นฟังได้


 


“พวกมันเกี่ยวข้องกับคริสตัลไลเซอร์หรือไม่?” หานเซิ่นเปลี่ยนวิธีการถามของเขา


 


“ไม่” กลาสเซสตอบ


 


หานเซิ่นลองถามมันเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์อื่นที่ดูคล้ายคลึงกัน แต่กลาสเซสก็ตอบว่าไม่ทุกครั้ง


 


“ข้าดูได้ไหมว่ามันมีสิ่งมีชีวิตATไหนอยู่บ้าง?” หานเซิ่นถาม เขายังไม่คิดจะยอมแพ้


 


“ข้อมูลไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถตอบคำถามได้” กลาสเซสตอบ


 


ในเมื่อเขาไม่สามารถถามข้อมูลจากกลาสเซสได้ หานเซิ่นก็หันความสนใจกับไปที่ตัวเมือง


 


กลาสเซสสามารถใช้งานได้ แต่มันสแกนได้แค่สิ่งมีชีวิตเท่านั้น มันไม่สามารถสแกนสมบัติได้ ดังนั้นหานเซิ่นจึงต้องพึ่งตัวเอง


 


“ถ้าเจ้ายอมติดตามข้าไปที่เผ่าเวรี่ไฮ ข้าบอกเจ้าได้ว่าสมบัติระดับเทพเจ้าอยู่ที่ไหนและจะเอามันมาได้ยังไง” เอ็กซ์ควิสิทพูดขณะที่พวกเขาทั้งคู่เดินวนไปรอบเมืองจนครบรอบ จนถึงตอนนี้หานเซิ่นยังคงมือเปล่า


 


“สมบัติระดับเทพเจ้าอยู่ที่ไหน?” หานเซิ่นรีบถาม


 


เอ็กซ์ควิสิทเคยถูกหลอกโดยหานเซิ่นมาครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ เธอจึงแค่มองเขาอย่างเงียบๆ


 


หานเซิ่นไม่สามารถหลอกให้เธอบอกข้อมูลเพิ่มเติมได้ ดังนั้นเขาจึงยักไหล่และพูด “อย่างน้อยๆเธอก็ควรจะบอกว่ามันเป็นสมบัติแบบไหน”


 


“เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ถ้าข้าบอกเจ้าไปว่ามันคืออะไร เจ้าจะหามันเจอ” เอ็กซ์ควิสิทกรอกตา


 


หานเซิ่นประหลาดใจ มันถือเป็นเรื่องยากที่เธอจะแสดงอารมณ์ความรู้สึกแบบนั้น


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ” หลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ หานเซิ่นก็ตัดสินใจกลับไปที่โรงตีเหล็ก


 


ปราสาทนภานั้นครองเมืองราชาดำมาเป็นเวลานานหลายปี ป่านนี้ของดีๆคงจะถูกเอาไปจนหมดแล้ว ถึงแม้มันจะมีของดีเหลืออยู่ แต่มันก็คงจะเป็นเรื่องยากหรือเป็นไปไม่ได้ที่จะหามันเจอ จนถึงตอนนี้มีเพียงแค่ทั่งตีเหล็กเท่านั้นที่หานเซิ่นรู้สึกสนใจ และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาจะพยายามเอามันไป

 

 

 


ตอนที่ 2623

 

ตอนที่ 2623 รักษา


 


“ไอ้เวรนี้… ถ้าเจ้ายังไม่รีบไสหัวไปล่ะก็ ข้าจะทุบเจ้าให้ตายด้วยค้อน!” ช่างเหล็กแกว่งแกว่งค้อนอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่เขาไล่หานเซิ่นออกไปจากโรงตีเหล็กของเขา


 


หลังจากที่หานเซิ่นถูกไล่ออกไปแล้ว น้ำก็ถูกสาดตามออกมา และทำให้เขาเปียกไปทั้งตัว หูจิ้งจอกของหานเซิ่นหุบลงเมื่อพวกมันเปียก และภาพนั้นก็ทำให้เอ็กซ์ควิสิทหัวเราะออกมา


 


หานเซิ่นสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเอ็กซ์ควิสิท เขาจึงพูดขึ้นมา

“เจ้าควรจะยิ้มบ่อยๆ เจ้าดูดีมากเมื่อยิ้ม”


 


รอยยิ้มของเอ็กซ์ควิสิทหายไปอย่างรวดเร็ว และเธอก็กลับมาดูเหมือนกับรูปปั้นอีกครั้ง


 


“ในทุกวันนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของเมืองราชาดำเป็นเหมือนกับช่างเหล็ก การจะเอาสมบัติไปจากที่นี่เป็นอะไรที่ยากกว่าเมื่อก่อน เจ้าควรจะคิดเกี่ยวกับข้อเสนอของข้า ถ้าเจ้ายอมไปที่เผ่าเวรี่ไฮกับข้า ข้าก็จะได้รับสมบัติระดับเทพเจ้าหนึ่งชิ้นเป็นอย่างน้อย” เอ็กซ์ควิสิทพูดอย่างไร้ความรู้สึก


 


หานเซิ่นเริ่มเช็ดน้ำออกไปจากใบหน้า หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าไปในโรงตีเหล็กและถามช่างตีเหล็กว่ายินดีจะขายทั่งตีเหล็กไหม ช่างตีเหล็กที่ก้ามโตแกว่งค้อนใส่หานเซิ่น แต่หานเซิ่นหลบมันได้อย่างฉิวเฉียด


 


หานเซิ่นไม่ได้โกรธอะไรกับการกระทำของช่างตีเหล็ก ถ้ามีใครบางคนพยายามจะมาเอาสมบัติของเขาไป เขาเองก็คงจะทำเหมือนๆกัน ความจริงแล้วเขาอาจจะทำอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้


 


หานเซิ่นเดินไปรอบๆเมืองราชาดำอีกรอบ แต่เขาก็ไม่ได้อะไรกลับมา เมื่อตกค่ำเขาก็เดินทางออกจากเมืองราชาดำ


 


ทุกคนบอกเขาว่าเมืองราชาดำไม่ได้อันตราย ตราบใดที่เขาทำตามกฎ แต่นั่นเป็นความจริงเฉพาะในตอนกลางวันเท่านั้น ถ้าเขาและเอ็กซ์ควิสิทยังคงอยู่ในเมืองราชาดำต่อในตอนกลางคืน พวกเขาก็คงจะต้องตาย


 


เมื่อนานมาแล้วในตอนที่สถานหยกขาวถูกค้นพบเป็นครั้งแรก ศิษย์ของปราสาทนภาหลายคนได้อยู่ค้างคืนที่เมืองราชาดำ แต่วันต่อมาพวกเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทางปราสาทจึงส่งยอดฝีมือระดับเทพเจ้าเข้ามาตามหาพวกเขา แต่เขาก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทางปราสาทนภาจึงสั่งห้ามไม่ให้ค้างคืนภายในเมืองราชาดำ พวกเขาต้องออกมาก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า


 


หานเซิ่นเดิมกลับออกมามือเปล่า เอ็กซ์ควิสิทดูจะไม่ได้เสียใจอะไร เพราะยังไงซะเธอก็ไม่ได้เข้าไปเพื่อสมบัติ เธอแค่ต้องการเพลิดเพลินกับการเดินไปรอบๆร่วมกับหานเซิ่น


 


หลังจากการเดินทางครั้งนั้น หานเซิ่นก็ไม่รู้สึกสนใจที่จะกลับเข้าไปในเมืองราชาดำอีก เขาคิดว่าการใช้เวลาศึกษาวิชาจีโนในหอคอยที่เจ็ดเป็นอะไรที่มีประโยชน์มากกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่มีแผนจะกลับเข้าไปในเมืองราชาดำอีกครั้ง


 


หานเซิ่นได้ศึกษาวิชาจีโนภายในนั้นมาพักหนึ่งแล้ว แต่จำนวนและชนิดของวิชาจีโนภายในนั้นเป็นอะไรที่น่าประทับใจ มันจะมีวิชาใหม่ปรากฏขึ้นมาทุกวันโดยไม่ซ้ำกัน มันมีสิ่งใหม่ๆให้เขาได้ศึกษาอยู่เสมอ


 


ตัวอักษรบนตำราที่ปรากฏในหอคอยเป็นเหมือนกับคิงอีซบนใบไม้ของต้นไม้กษัตริย์ของเอ็กซ์ตรีมคิง หานเซิ่นไม่เคยเห็นตัวอักษรพวกนั้นมาก่อนในชีวิต แต่ด้วยเหตุบางอย่างเขาสามารถเข้าใจได้ว่าพวกมันหมายความว่ายังไง


 


แต่ถ้าเขาพยายามจะจดตัวอักษรพวกนั้นออกไป ความหมายของมันก็จะสูญหายไป มันเป็นเหมือนกับเวทย์มนตร์ที่ประหลาด



 


หนึ่งปีผ่านไป มันเป็นปีที่สงบสุขที่สุดในชีวิตของหานเซิ่น เขาใช้เวลาไปกับการอ่านตำราในหอคอยที่เจ็ดและรักษาร่างกายของตัวเอง ในบางครั้งเขาจะเข้าไปในเมืองราชาดำ มันไม่มีการต่อสู้ในที่แห่งนั้น หานเซิ่นรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเด็กขี้เกียจขึ้นทุกวันๆ


 


สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นรำคาญมากที่สุดคือผลกระทบจากแส้เหล็กเทพเสน่หาที่รุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม มันเปลี่ยนแปลงร่ายกายของหานเซิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ


 


รูปลักษณ์ของเขายังคงไม่เปลี่ยนไปมาก เขายังคงมีหูและหางของจิ้งจอก แต่ส่วนอื่นๆของเขายังคงเป็นมนุษย์


 


แต่ทว่าหานเซิ่นสัมผัสได้ว่าบางสิ่งเปลี่ยนแปลงภายในดวงตาของเขา เขาไม่รู้จะอธิบายมันยังไง เขาไม่ได้พยายามจะเกี่ยวพาราสีใคร แต่เมื่อเขาสบสายตากับผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้หญิง พวกเธอก็จะรู้สึกราวกับว่าเขากำลังจีบพวกเธอ


 


ในตอนที่หานเซิ่นพูดคุยกับพี่น้องยวิ๋น ยวิ๋นซู่อีจะหน้าแดงและก้มหัวลงเป็นเวลานานเมื่อไหร่ก็ตามที่เขามองไปที่เธอ


 


ยวิ๋นซู่ซางไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก แต่ตอนนี้เธอแทบจะไม่มาเยี่ยมเขาอีก


 


“ถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้คนจะคิดว่าเราเป็นคนเจ้าชู้”

หานเซิ่นคิดว่าสถานการณ์เป็นอะไรที่น่าท้อใจ ผู้หญิงดูเหมือนไม่อยากจะเข้าใกล้เขาอีกต่อไปแล้ว แม้แต่เอ็กซ์ควิสิทเองก็เช่นกัน


 


“นี่เจ้าเป็นแส้เหล็กเทพเสน่หาหรือเป็นแส้เหล็กเทพน่ารังเกียจกันแน่? ถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็จะไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะพูดกับข้าอีก”’ หานเซิ่นยกแส้เหล็กเทพเสน่หาขึ้นและเขย่ามันราวกับว่าเขากำลังสั่งสอนมัน


 


โชคดีที่หานเซิ่นไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้หญิงมากนัก นั่นทำให้การเปลี่ยนแปลงประหลาดนี้เป็นอะไรที่พอจะทนรับได้


 


วันหนึ่งหานเซิ่นรู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่ในห้อง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับไปที่เมืองราชาดำ


 


“พี่กระทิง วันนี้เป็นยังไงบ้าง?” หานเซิ่นไปที่โรงตีเหล็กและยิ้มให้กับช่างเหล็ก


 


“นั่นไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้า!” ช่างตีเหล็กขึ้นเสียงใส่หานเซิ่นที่เรียกเขาว่า‘กระทิง’


 


“เมื่อไหร่พี่จะขายทั่งตีเหล็กนั่นให้กับข้า?” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับการต้อนรับที่เกรี้ยวกราด


 


“บางทีในชีวิตหน้าของเจ้า” ช่างตีเหล็กพูด


 


ตลอดปีนั้น หานเซิ่นมาที่โรงตีเหล็กอยู่บ่อยๆ เขาไม่ได้เร่งรีบจะเอาทั่งตีเหล็กไป เขาแค่อยากจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนภายในเมือง การเดินทางมาที่เมืองราชาดำนั้นกลายเป็นเหมือนกับการผ่อนคลายของเขา


 


ในตอนแรกผู้คนเกลียดชังและกีดกันหานเซิ่น แต่ทว่าหลังจากที่เขาเดินทางมาบ่อยครั้งเข้า ผู้คนก็เริ่มเคยชินกับการเห็นเขาไปไหนมาไหน ถึงแม้ทุกคนจะยังระวังเขาอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้กีดกันหานเซิ่นเหมือนอย่างที่เคยทำ แม้แต่ช่างเหล็กก็ยังพูดคุยกับเขาอยู่บ้างเป็นครั้งคราว


 


ถึงแม้ชายคนนั้นจะอารมณ์บูดบึ้งเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพูด แต่การพูดคุยก็เป็นการพูดคุย


 


เหมือนกับทุกครั้ง หานเซิ่นเริ่มจะเดินเตร็ดเตร่ไปรอบๆเมือง


 


ในตอนนี้หานเซิ่นรู้จักที่นี่เป็นอย่างดีเหมือนกับหลังมือตัวเอง แต่เขาก็ยังคงไม่พบของมีค่าอะไร


 


ตำนานบอกว่าในตอนแรกที่เมืองราชาดำถูกค้นพบ มันมีสมบัติอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่อิฐก้อนหนึ่งที่พบได้ทั่วไปก็อาจจะมีพลังพิเศษอยู่ภายใน


 


แต่เมื่อเวลาผ่านไปสมบัติก็ถูกผู้คนของปราสาทนภาเอาออกไปชิ้นแล้วชิ้นเล่า สิ่งที่เหลืออยู่อย่างทั่งตีเหล็กนั้นเป็นอะไรที่ยากจะเอาออกไป


 


“น้องหานมานี่หน่อย” ขณะที่หานเซิ่นเดินอยู่บนถนน จู่ๆประตูไม้ก็เปิดออก ผู้หญิงอายุสามสิบปีปรากฏตัวออกมาในชุดดอกไม้ เธอโบกมือเรียกเขา


 


หานเซิ่นจดจำเธอได้ เธอเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลหลิว สามีของเธอตายมาเป็นเวลานานแล้วและเธอก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ ทุกคนเรียกเธอว่าหญิงหม้ายหลิว


 


“พี่สาวต้องการอะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นเดินเข้าไปหาเธอ เขาเคยได้ยินมาว่าบ้านของหญิงหม้ายหลิวมีสมบัติชิ้นหนึ่งอยู่


 


ศิษย์ของปราสาทนภามากมายต้องการจะเอาสมบัติของตระกูลหลิวไปเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีใครที่ทำสำเร็จ


 


หานเซิ่นรู้ว่าหญิงหม้ายหลิวเป็นสมาชิกของตระกูลเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ บางทีตอนนี้เขาอาจจะซื้อสมบัตินั่นไปได้


 


ทันทีที่หานเซิ่นก้าวเข้าไป หญิงหม้ายหลิวก็ปิดประตูอย่างแรง เธอกระโดดเข้าใส่หานเซิ่นเหมือนกับหมาป่าที่หิวกระหาย เธอกอดเขาอย่างลุ่มหลง แขนของเธอพันรอบตัวของเขาราวกับปลาหมึก

 

 

 


ตอนที่ 2624

 

“นี่เธอกำลังทำอะไร?” หญิงหม้ายหลิวเอนตัวเข้ามาเพื่อจะจูบเขา ดังนั้นหานเซิ่นจึงใช้มือเพื่อหยุดริมฝีปากของเธอเอาไว้


 


“เจ้าไม่ต้องการสมบัติของตระกูลหลิวอย่างนั้นหรอ? ถ้าเจ้ารักข้าอย่างที่ข้าต้องการ ข้าก็จะมอบทุกอย่างให้กับเจ้า” หญิงหม้ายหลิวจ้องมองเขาราวกับหมาป่าที่หิวกระหาย


 


ไม่สิเธอเป็นเหมือนกับจิ้งจอกตัวเมียที่เต็มไปด้วยราคะ


 


หานเซิ่นใช้มือจับที่เอวของเธอและยกเธอขึ้น เขาเดินไปทางสวนหลังบ้านและโยนเธอลงบนโต๊ะหิน


 


แขนและขาของเธอกางออกบนโต๊ะ ขณะที่หญิงหม้ายหลิวหลับตาของเธอลง ใบหน้าของเธอแดงและเธอก็หายใจอย่างรวดเร็วขณะที่พูดขึ้นมา

“ไม่ต้องอ่อนโยนกับข้าเพียงเพราะข้าเป็นผู้หญิงที่บอบบาง”


 


แต่หลังจากที่รอคอยให้อะไรเกิดขึ้น มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง หานเซิ่นก็ได้หายตัวไปแล้ว


 


หลังจากที่หานเซิ่นออกจากบ้านของหญิงหม้ายหลิว เขาก็เดินต่อไปบนถนนของเมืองราชาดำ แต่เขารู้สึกว่าบางสิ่งผิดปกติ ผู้หญิงทุกคนในเมืองราชาดำมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ดวงตาของพวกเธอดูเหมือนกับหมาป่าที่หิวกระหาย


 


แม้แต่ดวงตาของหญิงสาวที่ขี้อายก็ลุกเป็นไฟเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเธอมองมาที่หานเซิ่น


 


“นี่มันไม่ปกติ นี่คือพลังของแส้เหล็กเทพเสน่หาอย่างนั้นหรอ?”

หานเซิ่นตัดสินใจออกไปจากเมืองราชาดำ หลังจากที่ออกไป เขาก็เห็นยวิ๋นซู่ซางกำลังขี่นกกระเรียนของเธอ


 


เมื่อยวิ๋นซู่ซางสังเกตเห็นหานเซิ่น สีหน้าของเธอก็บิดเบี้ยวอย่างแปลกๆ มันดูเหมือนกับว่าเธอต้องการจะหลบหน้าเขา แต่ในขณะเดียวกันเธอก็อยากจะอยู่ต่อและมองดูเขา


 


“ซู่ซาง ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้ไหม?” หานเซิ่นเดินเข้าไปหาเธอ


 


“ถามอะไร?” ยวิ๋นซู่ซางมองไปรอบๆขณะที่พูด


 


“นี่พลังของแส้เหล็กเทพเสน่หาส่งผลต่อร่างกายของข้าอย่างนั้นหรอ? นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าข้าเปลี่ยนไปมากแค่ไหน?” หานเซิ่นพูดอย่างจริงจัง


 


ยวิ๋นซู่ซางหน้าแดง หลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก เธอกัดริมฝีปากของตัวเองขณะที่พูดขึ้นว่า “เจ้าควรจะไปถามคนอื่น”


 


หลังจากนั้นยวิ๋นซู่ซางก็จากไปอย่างรีบร้อน หานเซิ่นพยายามตะโกนเรียก แต่เธอเมินเฉยต่อการเรียกของเขา


 


หานเซิ่นรู้ว่านี่เป็นอะไรที่แย่มากๆ หลังจากที่เขากลับไปที่เกาะหยกน้อย เขาก็ให้บับเบิลลอกเลียนแบบร่างกายของเขาและคอยอยู่ที่นั่น ในขณะที่เขาตัดสินใจเทเลพอร์ตกลับเข้าไปในสหพันธ์


 


“เหยียนหรัน มันมีบางสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับฉันไหม?” หานเซิ่นถาม เขากำลังนอนบนเตียงโดยมีจีเหยียนหรันขดตัวในแขนของเขาเหมือนกับแมว


 


จีเหยียนหรันพูดด้วยสีหน้าที่พึ่งพอใจ “ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไร นายดูดีมากๆ นายดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อน”


 


“เธอหมายความว่ายังไงที่ว่ามีเสน่ห์?” หานเซิ่นรีบถามอย่างเป็นกังวล


 


จีเหยียนหรันมองเขาใกล้ๆ เธอจับคางของเขาขณะที่จ้องไปใบหน้าของหานเซิ่น หลังจากนั้นเธอก็พูดขึ้นมา “มันทำให้ฉันอยากหลับนอนกับนายมากขึ้น”


 


“โอ้ไม่นะ…มันเป็นแบบนี้เองอย่างนั้นหรอ…”

ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าทำไมยวิ๋นซู่ซางถึงหลีกเลี่ยงเขา และทำไมเอ็กซ์ควิสิทถึงไม่มาหาเขาอีก มันไม่ใช่เพราะพวกเธอคิดว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ แต่มันเป็นเพราะพวกเธอไม่สามารถทนต่อการความคิดที่จะทำบางสิ่งที่เป็นสิ่งต้องห้ามไม่ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้คนหลีกเลี่ยงเขา


 


“นี่มันเป็นอาวุธเผ่าพันธุ์แบบไหนกัน?” หานเซิ่นอยากจะร้องไห้ มันถือเป็นเรื่องดีที่เป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ แต่หานเซิ่นไม่อยากเป็นเครื่องมือทำให้ผู้หญิงเพลิดเพลิน


 


“ที่รักในเมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ทำไมพวกเราไม่…” จีเหยียนหรันพูดด้วยดวงตาที่ลุ่มหลง เธอกำลังวาดวงกลมบนอกของหานเซิ่น


 


‘เราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เราจำเป็นต้องหาแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด’ หานเซิ่นกลับมาที่เกาะ


 


หานเซิ่นไม่สามารถหาวิธีแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ ดังนั้นเขาจึงไปที่ปราสาทนภาเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้นำปราสาทนภา


 


ผู้นำปราสาทนภาดูเหมือนจะรู้เกี่ยวกับปัญหาของหานเซิ่น หลังจากที่หานเซิ่นอธิบายจบ ผู้นำปราสาทนภาก็ยิ้มให้กับเขาและพูด

“นี่ถือเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรอ? มันเป็นพลังที่ดีสำหรับการผลิตลูกหลาน ยีนของเจ้านั้นสุดยอด ดังนั้นเจ้าควรจะมีลูกเยอะๆ”


 


หานเซิ่นดูขมขื่น “ข้าไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือในเรื่องนั้น แถมถ้าผู้ชายเกิดเริ่มจะ…” เสียงของหานเซิ่นขาดหายไป


 


ผู้นำปราสาทนภาหัวเราะออกมาเสียงดัง “ไม่ต้องกังวลไป พลังของแส้เหล็กเทพเสน่หามีผลต่อเพศตรงข้ามเท่านั้น ถ้าเจ้าเป็นผู้หญิง การมีแส้เหล็กเทพเสน่หาก็จะทำให้เจ้ามีเสน่ห์ต่อผู้ชาย”


 


“ท่านผู้นำ นี่มันไม่มีหนทางกำจัดผลข้างเคียงนี้เลยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นไม่มีอารมณ์จะมาฟังมุขตลก


 


ผู้นำปราสาทนภายังคงยิ้มขณะที่พูดออกมา “ถ้าเจ้าเป็นยอดฝีมือที่ควบคุมพลังของแส้เหล็กเทพเสน่หาได้ เรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ปัญหาก็คือพลังของเจ้าไม่เพียงพอจะควบคุมแส้เหล็กเทพเสน่หา เจ้าจึงต่อต้านผลข้างเคียงของมันไม่ได้”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ผู้นำปราสาทนภาก็พูดต่อ “ส่วนหนทางแก้ไขปัญหานี้น่ะหรอ? มันก็มีอยู่วิธีหนึ่ง เจ้าจำเป็นต้องหายอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตมาปิดผนึกพลังของแส้เหล็กเทพเสน่หา แต่ถ้าทำแบบนั้น เจ้าก็จะใช้พลังของแส้เหล็กเทพเสน่หาไม่ได้อีก”


 


“ท่านคิดว่าข้าจะหายอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นรีบถาม เขาไม่ได้จำเป็นต้องใช้พลังของแส้เหล็กเทพเสน่หา


 


“มันเป็นเรื่องยาก ข้าพอจะช่วยเจ้าได้ แต่การจะจ้างยอดฝีมือที่น่ากลัวขนาดนั้นเป็นอะไรที่แพงมากๆ” ผู้นำปราสาทนภาดูลำบากใจ


 


“ข้ายินดีจะจ่ายไม่ว่ามันจะแพงเท่าไหร่ ตราบใดที่มันแก้ไขปัญหานี้ได้” หานเซิ่นกัดฟัน เขาไม่ต้องการจะกลายเป็นของเล่นของผู้หญิง


 


“เอาแบบนี้เป็นยังไง? ในทุกๆเดือนเจ้าต้องทำการสอนเป็นเวลา 3 วัน และข้าจะช่วยหายอดฝีมือระดับเทพเจ้ามาช่วยเจ้า” ผู้นำปราสาทนภาทำให้มันฟังดูเหมือนเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนเมื่อดูจากวิธีการพูดของเขา


 


“ไม่มีปัญหา” หานเซิ่นตอบตกลงในทันที ในตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาต่อรอง เขาไม่รู้จักยอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตสักคน เขาจำเป็นต้องพึ่งพาผู้นำปราสาทนภา


 


“เจ้าควรจะคำนึงในเรื่องนี้ ถ้าแส้เหล็กเทพเสน่หาถูกปิดผนึก นอกซะจากเจ้าจะแข็งแก่งพอที่จะทำลายผนึก เจ้าก็จะไม่มีวันใช้พลังของมันได้อีก” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มัน” หานเซิ่นพูด


 


“มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น ถ้าเจ้ามีแส้เหล็กเทพเสน่หาอยู่ พวกผู้หญิงก็มีแนวโน้มจะเชื่อฟังเจ้า ไม่ว่าเจ้าอยากจะได้เงินหรือชีวิตของพวกนาง พวกนางก็จะมอบให้กับเจ้าโดยไม่ลังเล เจ้าจะได้รับอะไรมากมายจากมัน”


 


“ท่านผู้นำ ได้โปรดหายอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตมาช่วยข้าปิดผนึกมัน” หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา


 


หานเซิ่นอยากจะได้สมบัติเหล่านั้น แต่เขาไม่คิดจะขายร่างกายตัวเองเพื่อพวกมัน


 


“ส่งแส้เหล็กเทพเสน่หามาให้กับข้า” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


“เจ้าสิ่งนี้จะกลับมาหาผมด้วยจิตใจของมันเอง” หานเซิ่นพูดด้วยสีหน้าที่หดหู่

“ท่านควรรอจนกระทั่งหายอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตได้ซะก่อน และข้าจะมอบมันให้กับท่าน”


 


“ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้ายังมัวรออะไรอยู่?” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


“ท่านเป็นขั้นทรูก็อต?” หานเซิ่นมองผู้นำปราสาทนภาด้วยความแปลกใจ เขาจำได้ว่าเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนตอนการประลองในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน ผู้นำปราสาทนภายังเป็นแค่ระดับราชัน แต่ตอนเขากลายเป็นระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตแล้ว


 


“เจ้าก็รู้ว่าคนที่เป็นอัจฉริยะจะปิดบังพรสวรรค์ของพวกเขาเอาไว้ เผ่านภาอย่างข้าก็เชี่ยวชาญในการทำแบบนั้น” ผู้นำปราสาทนภายิ้ม

 

 

 


ตอนที่ 2625

 

ผู้นำปราสาทนภาบอกว่าต้องใช้เวลาหลายวันก่อนที่การปิดผนึกแส้เหล็กเทพเสน่จะเสร็จสิ้น ดังนั้นหานเซิ่นจึงฝากอาวุธไว้กับผู้นำปราสาทนภา เขาไม่กลัวว่ามันจะขโมย และถึงจะขโมยไป หานเซิ่นก็ไม่รังเกียจ ตราบใดที่พลังของอาวุธไม่ส่งผลกระทบต่อเขา เขาก็ไม่รังเกียจที่แส้เหล็กจะถูกขโมยไป


 


‘ถ้าผนึกได้ เราจะขอให้ผู้นำปราสาทนภาช่วยผนึกดาบเขียวน้อยของหนิงเยวี่ยดีไหมนะ’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


แต่สถานการณ์ของหนิงเยวี่ยนั้นแตกต่างไปจากหานเซิ่น หลังจากที่พลังของแส้เหล็กเทพเสน่หาถูกผนึก มันก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อพลังของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นมีร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด เขาสามารถลบล้างผลในทางลบออกไปจากตัวได้ เขาสามารถกำจัดหูและหางจิ้งจอกได้ แต่ร่างกายขั้นสุดยอดของหนิงเยวี่ยนั้นทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ เขาจะกลายเป็นผู้หญิงที่บอบบางและอ่อนแอไปตลอดการ


 


ดาบเขียวน้อยนั้นส่งผลกระทบต่อระดับพลัง หนิงเยวี่ยกลายเป็นคนขี้เกียจไปและถ้าไม่มีพลังของดาบเขียวน้อยนั่นอยู่ เธอก็อาจจะไม่วันเพิ่มระดับขึ้นอีก


 


เมื่อกลับไปที่เกาะหยกน้อย หานเซิ่นก็รออยู่เป็นเวลาหลายวัน แต่แส้เหล็กเทพเสน่หาก็ยังคงไม่กลับมา ซึ่งทำให้หานเซิ่นรู้สึกค่อนข้างโล่งใจ


 


ในระหว่างที่รอให้แส้เหล็กเทพเสน่หาถูกผนึก หานเซิ่นไม่ได้ออกไปไหน เขาแค่รออยู่บนเกาะหยกน้อยไปเรื่อยๆ


 


ในวันที่สี่ ยามอารักขาปราสาทก็มาเรียกให้หานเซิ่นไปเข้าพบผู้นำปราสาทนภาที่สวน หานเซิ่นได้รับแส้เหล็กเทพเสน่หากลับคืนมา


 


แต่เมื่อหานเซิ่นได้เห็นอาวุธ เขาก็เห็นว่ามันมีชั้นสนิมปกคลุมอยู่ มันคงจะไม่มีใครเชื่อว่าแท่งโลหะขึ้นสนิมนี้เป็นอาวุธเผ่าพันธุ์ชิ้นหนึ่ง


 


“การปิดผนึกเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถ้าไม่มีใครไปฝืนเปิดผนึก แส้เหล็กนี้ก็ควรจะไม่มีผลข้างเคียงต่อเจ้าอีก แต่เจ้าก็จะใช้พลังของมันไม่ได้อีกต่อไป” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


“ขอบคุณ ท่านผู้นำ!” หานเซิ่นกล่าวด้วยความดีใจ


 


“ข้าขอย้ำว่าเจ้าต้องใช้เวลา 3 วันของทุกเดือนเพื่อทำการสอน” ผู้นำปราสาทนภายิ้ม


 


หานเซิ่นออกจากสวนโดยไม่ได้พูดถึงดาบเขียวน้อยของหนิงเยวี่ย ถ้าผู้คนได้รู้ว่าหนิงเยวี่ยมีอาวุธเผ่าพันธุ์อยู่ สายตาที่โลภมากก็จะมองมาที่เธอ หนิงเยวี่ยไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านคนที่คิดจะมาเอาดาบเขียวน้อยไป ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงคิดว่าควรจะลืมความคิดนั่นไป


 


เมื่อกลับมาที่เกาะหยกน้อย หานเซิ่นก็ใช้ศาสตร์ตงเสวียนเพื่อหมุนฟันเฟืองจักรวาลและเข้าไปในคอร์แอเรียฮอลล์ ที่นั่นเขาใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดเพื่อกำจัดหูและหางจิ้งจอกทิ้งไป


 


“อ้า นั่นรู้สึกดีขึ้นเยอะ” หานเซิ่นสัมผัสหัวและไม่ได้รู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่ควรอยู่บนนั่น เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ


 


เขาเข้ามาในคอร์แอเรียด้วยตัวตนของดอลลาร์ นี้เป็นครั้งแรกในปีนี้ที่เขาใช้ตัวตนของดอลลาร์เข้ามาในคอร์แอเรีย


 


หานเซิ่นมองไปรอบๆ แต่เขาไม่เห็นจระเข้น้อยหรือเตาหลอมทองแดง


 


“มันผ่านมาหนึ่งปีเต็มๆ พวกมันจะยังอยู่แถวๆนี้ไหมนะ”

ในช่วงที่หานเซิ่นได้รับผลกระทบจากแส้เหล็กเทพเสน่หา เขาไม่ต้องการเข้ามาในคอร์แอเรียด้วยฐานะดอลลาร์ เขากลัวว่าคนอื่นจะดูออกว่าเขาคือหานเซิ่น


 


หานเซิ่นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเริ่มบินออกไป แต่หลังจากที่เขาบินไปได้ไม่นาน เขาก็เห็นหลี่เคอเอ๋อและเอ็กซ์ควิสิทที่ติดตามเธอมา


 


“ดอลลาร์ เจ้าอยู่ที่นี่!” หลี่เคอเอ๋อดูประหลาดใจ เธอรีบเข้ามาข้างๆหานเซิ่น


 


เธอรอคอยมาหนึ่งปีเต็มๆเพื่อจะได้พบกับดอลลาร์อีกครั้ง มันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดสำหรับเธอ ถ้าเธอรู้ว่าต้องรอนานถึงขนาดนี้ เธอก็คงจะไม่มัวเสียเวลารอ


 


“นี่คงจะเป็นการพบกันแห่งโชคชะตาอีกหน มันยากจะเชื่อได้ว่าพวกเราจะบังเอิญมาพบกันอีกครั้งแบบนี้” หานเซิ่นพูด


 


“โชคชะตา? ข้ารอคอยเจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหนึ่งปี!” หลี่เคอเอ๋อกรอกตา


 


“อะไรนะ?” หานเซิ่นถามด้วยความประหลาดใจ


 


หลี่เคอเอ๋อลังเล แต่เธอก็ตัดสินใจได้แล้ว เธอไม่คิดจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปอีก ถ้าดอลลาร์จากไปอีกครั้ง เธอก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน


 


“ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง ข้าเป็นคนของเผ่าเวรี่ไฮ พวกเรากำลังรับสมัครคน ข้าหวังว่าเจ้าจะไปที่เผ่าเวรี่ไฮกับข้า พวกเราจะมอบวิชาจีโนและทรัพยากรเพื่อทำให้เจ้ากลายเป็นระดับเทพเจ้า เจ้าแค่ต้องทำงานให้กับข้าเป็นเวลาสี่ปีเท่านั้น” หลี่เคอเอ๋อพูดอย่างจริงจัง เธอต้องการทำให้แน่ใจว่าโอกาสนี้จะไม่หลุดมือไป


 


หานเซิ่นอึ้ง เขาไม่ได้รู้สึกตัวมาก่อนเลยว่าหลี่เคอเอ๋อเองก็ต้องการพาเขาไปที่เผ่าเวรี่ไฮเช่นเดียวกัน


 


“ต้องขอโทษด้วย แต่ข้ากลัวว่าจะต้องทำให้เจ้าผิดหวัง ข้าเกลียดการถูกจำกัด ข้ายอมตายดีกว่าที่ต้องถูกผูกมัดกับใครคนไหน” หานเซิ่นไม่มีความสนใจจะไปที่เผ่าเวรี่ไฮ และเขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจเพื่อหลี่เคอเอ๋ออย่างแน่นอน


 


หลี่เคอเอ๋อแปลกใจ เธอไม่อยากเชื่อว่าหานเซิ่นจะปฏิเสธข้อเสนอของเธออย่างไม่คิดแบบนั้น


 


“ได้โปรดคิดเกี่ยวกับมันอีกที! นี่ไม่ใช่ข้อตกลงที่เลวร้ายสำหรับเจ้าเลยสักนิด เผ่าพันธุ์ของข้าจะมอบทรัพยากรที่จะช่วยให้เจ้าได้กลายเป็นระดับเทพเจ้า” หลี่เคอเอ๋อขอร้อง หลังจากที่รอคอยมาอย่างยาวนาน เธอก็ไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ


 


เอ็กซ์ควิสิทมองดอลลาร์อย่างประหลาดใจ เธอคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่หานเซิ่นปฏิเสธเธอ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าหลี่เคอเอ๋อจะประสบกับเหตุการณ์แบบเดียวกัน


 


“ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้าอยากจะเป็นเพื่อนกับเจ้าต่อไปมากกว่า” หานเซิ่นพูดลดความเลวร้ายของการปฏิเสธในทันทีทันใด


 


หลี่เคอเอ๋อเข้าใจแนวคิดของหานเซิ่น เธอจึงเงียบไปและไม่ได้พูดอะไรอีก เธอรู้สึกผิดหวัง ใครก็ตามที่รอคอยตลอดทั้งปีเพื่อผลลัทธ์แบบนั้นก็จะรู้สึกเสียใจเหมือนกันหมด


 


“นี่พวกเจ้าทั้งคู่เห็นจระเข้น้อยกับเตาหลอมทองแดงบ้างไหม?” หานเซิ่นถามเพื่อเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา


 


“พวกมันควรจะอยู่ในระบบจักรวาลนั่น” หลี่เคอเอ๋อชี้ออกไปทางหนึ่ง หลังจากนั้นเธอก็จากไปพร้อมกับเอ็กซ์ควิสิท เธอดูผิดหวังอย่างมาก


 


“พี่สาม นี่พวกเราหายเงียบไปเป็นเวลานานเกินอย่างนั้นหรอ? นี่เผ่าพันธุ์อื่นๆลืมไปแล้วหรอว่าเผ่าเวรี่ไฮนั้นทรงพลังขนาดไหน?” หลี่เคอเอ๋อมองเอ็กซ์ควิสด้วยความเศร้า


 


เอ็กซ์ควิสิทส่ายหัว “บุคคลที่พิเศษมักจะไม่ยินดีมอบชะตากรรมของตัวเองให้กับคนอื่น ถ้าเจ้าอยากได้ดอลลาร์มาเป็นตัวไหม เจ้าก็จำจำเป็นต้องมีความอดทน”


 


หลังจากนั้นเอ็กซ์ควิสิทก็เริ่มจะคิดเกี่ยวกับหานเซิ่น


 


ในช่วงนี้เอ็กซ์ควิสิทกำลังลำบากใจอย่างมาก เธออยากจะเข้าใกล้หานเซิ่นและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา


 


แต่เธอเองก็ไม่สามารถทนต่อพลังของแส้เหล็กเทพเสน่หาได้ เธอกังวลว่าจะไปทำบางสิ่งที่ไม่เหมาะสม ด้วยเหตุนั้นเธอจึงไม่ได้แวะไปหาหานเซิ่นเลย


 


“พี่สาวดูเปลี่ยนไป นี่หานเซิ่นพิเศษถึงขนาดที่เปลี่ยนพี่สามได้เลยอย่างนั้นหรอ?” หลี่เคอเอ๋อมองเอ็กซ์ควิสิทด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เธอไม่เคยจินตนาการเลยว่าเอ็กซ์ควิสิทจะพูดออกมาแบบนั้น มันทำให้หลี่เคอเอ๋อรู้สึกสนใจขึ้นมาว่าหานเซิ่นเป็นใครกัน


 


“ทุกคนมีข้อบกพร่องบางอย่างอยู่ไม่ว่าคนๆนั้นจะเก่งกาจมากสักแค่ไหน” เอ็กซ์ควิสิทพึมพำ


 


หลี่เคอเอ๋อมองเอ็กซ์ควิสิท เธอคิดว่าในช่วงนี้เอ็กซ์ควิสิทนั้นทำตัวแปลกๆ


 


“นี่หานเซิ่นเป็นผู้ชายแบบไหนกัน? เขาทำให้พี่สามลืมเวรี่ไฮฟอร์เก็ตเลิฟได้ยังไงกัน?” หลี่เคอเอ๋อรู้สึกสับสน


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าหลี่เคอเอ๋อและเอ็กซ์ควิสิทกำลังพูดอะไร เขาบินต่อไปเรื่อยๆและเขาก็ต้องตกใจ เมื่อได้เห็นเตาหลอมทองแดง


 


เตาหลอมทองแดงนั้นตัวใหญ่โตราวกับปราสาท มันมีดาบเป็นล้านเล่มอยู่ภายในเตาของมัน ไม่มีใครรู้ว่ามันได้รับทรัพยากรมากมายแค่ไหนจากการติดตามจระเข้น้อย

 

 

 


ตอนที่ 2626

 

“ข้าจะพาพวกมันออกไปจากคอร์แอเรียได้ยังไงกัน?”


หานเซิ่นสงสัยขณะที่บินเข้าไปหาจระเข้น้อยและเตาหลอมทองแดง พวกมันดูเหมือนกับว่าสามารถทำลายล้างได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าซีโน่เจเนอิคตัวอื่นเห็นพวกมัน ซีโน่เจเนอิคเหล่านั้นก็คงจะรีบวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด นี่ทำให้หานเซิ่นดีใจ


 


เตาหลอมทองแดงนั้นใกล้จะกลายเป็นระดับเทพเจ้าแล้ว ส่วนจระเข้น้อยก็ทรงพลังอยู่แล้ว ถ้าเขาพาพวกมันออกไปจากคอร์แอเรียได้ พลังของพวกมันก็จะเป็นประโยชน์มากๆ


 


ตลอดหนี่งปีที่ผ่านมา หานเซิ่นอ่านข้อมูลมากมายเกี่ยวกับคอร์แอเรีย ซึ่งพวกมันส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่ปราสาทนภาได้ทำการเก็บรวบรวมเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ยังไม่รู้วิธีที่จะพาคอร์ซีโน่เจเนอิคออกไปจากคอร์แอเรีย


 


นอกซะจากเขาจะฆ่าพวกมันและเอายีนคอร์ซีโน่เจเนอิคไป มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพาพวกมันออกไป


 


จระเข้น้อยไม่พอใจที่หานเซิ่นหายตัวไปเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนั้นเมื่อมันเห็นเขา มันก็เริ่มจะส่งเสียงคำรามใส่เขาราวกับว่ามันกำลังต่อว่าเขา


 


หานเซิ่นจึงนำสิ่งของประนีประนอมที่เตรียมเอาไว้ออกมา ซึ่งมันคือแว่นกันแดนที่สร้างขึ้นสำหรับจระเข้ตัวหนึ่ง


 


จระเข้น้อยมองไปที่แว่นกันแดดด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันลืมเกี่ยวกับการต่อว่าหานเซิ่นไปจนหมด


 


หานเซิ่นสวมแว่นกันแดนให้กับจระเข้น้อย โชคดีที่มันโตขึ้นมาหน่อย แว่นกันแดนจึงไม่ใหญ่จนเกินไป หานเซิ่นสามารถสวมมันบนใบหน้าของจระเข้น้อยได้อย่างง่ายดาย


 


“เท่มากๆ” หานเซิ่นมองจระเข้น้อยที่สวมแว่นกันแดดและยกนิ้วให้กับมัน


 


ตอนนี้จระเข้น้อยดูเหมือนกับหัวหน้าแก๊ง มันดูน่าเกรงขามอย่างมาก นอกจากนั้นแว่นกันแดนยังช่วยซ่อนดวงตาของมัน


 


จระเข้น้อยดูเหมือนจะชื่นชอบแว่นกันแดน มันดูอวดดีอย่างมากขณะที่สวมใส่แว่น


 


หานเซิ่นต้องการใช้พลังของจระเข้น้อยเพื่อฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า แต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มหาพวกมันจากที่ไหน เตาหลอมทองแดงนำทางพวกเขาอยู่ครึ่งวัน แต่พวกเขาก็เจอแค่คอร์ซีโน่เจเนอิคระดับราชัน พวกเขาไม่สามารถหาซีโน่เจเนเอิคระดับเทพเจ้าได้


 


ถ้าไม่มีซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าให้ล่า หานเซิ่นก็ไม่มีอารมณ์จะเดินทางต่อ เขาหาโอกาสในตอนที่จระเข้น้อยไม่ได้มองเพื่อแอบออกไปจากคอร์แอเรีย แต่ขณะที่หานเซิ่นกำลังก้าวผ่านประตูสู่คอร์แอเรียฮลล์ จระเข้น้อยก็กระโดดขึ้นบนหลังของเขา


 


หานเซิ่นตอบสนองช้าเกินไป เขาได้ก้าวเข้าไปภายในคอร์แอเรียฮอลล์เรียบร้อยแล้ว


 


หานเซิ่นคิดว่าพลังของคอร์แอเรียฮอลล์จะป้องกันจระเข้น้อยจากการเข้ามา แต่ทว่าเมื่อเขามองหลังของตัวเอง เขาก็เห็นว่าจระเข้น้อยยังคงอยู่บนไหล่ของเขา พวกเขาเข้ามาภายในคอร์แอเรียฮอลล์ร่วมกัน


 


จระเข้น้อยคำรามใส่หานเซิ่นด้วยความโกรธ ดูเหมือนมันกำลังบอกว่าหานเซิ่นผิดสัญญา แต่หานเซิ่นไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการคำรามของจระเข้น้อย เขายกมันออกจากไหล่และพูดกับตัวเอง

“ไม่มีทาง คอร์ซีโน่เจเนอิคไม่ควรจะเข้ามาในคอร์แอเรียฮอลล์ได้ สถานการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ตอนนี้จระเข้น้อยกระโดดเข้ามาได้อย่างง่ายดาย มันเป็นเพราะการปรับแต่งของคริสตัลไลเซอร์อย่างนั้นหรอ?”


 


หานเซิ่นไม่แน่ใจว่าทำไมจระเข้น้อยถึงเข้ามาในคอร์แอเรียฮอลล์ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งคำถาม นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ


 


หานเซิ่นกลั้นหายใจขณะที่มองไปที่จระเข้น้อยโดยหวังว่ามันจะกลับไปที่จักรวาลจีโนพร้อมกับเขา ซึ่งมันได้ผล และนั่นก็ทำให้หานเซิ่นดีใจอย่างมาก


 


จระเข้น้อยมาอยู่ในห้องของหานเซิ่น มันมอบไปรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันดูเหมือนจะสนใจทุกสิ่งที่ได้เห็น


 


“เจ้าตัวน้อยนี่เป็นซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าศักยภาพเก้าดาว มันจะกลายเป็นขั้นทรูก็อตในสักวันหนึ่ง” หานเซิ่นตื่นเต้นอย่างมาก แต่เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับมันดูดีๆ เขาก็เริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา


 


หานเซิ่นใช้ตัวตนของดอลลาร์ในตอนที่พบจระเข้น้อย ซึ่งถ้าเขาพาจระเข้น้อยมาที่ปราสาทนภา และถ้าเอ็กซ์ควิสิทมาเห็นมันเข้า เธอก็จะรู้ว่าเขาคือดอลลาร์


 


“ไม่ได้ เราจะปล่อยให้จระเข้น้อยอยู่ที่นี่ไม่ได้” หานเซิ่นเมินเฉยต่อการต่อต้านของจระเข้น้อยและพามันกลับเข้าไปในคอร์แอเรีย


 


จระเข้น้อยคำรามใส่เขา เห็นได้ชัดว่ามันไม่พอใจที่หานเซิ่นส่งมันกลับมา


 


หานเซิ่นพยายามเกลี้ยกล่อมมัน เขาให้สัญญาว่าจะพามันออกมาในสักวันหนึ่ง และเมื่อถึงวันนั้น มันก็จะได้รับของขวัญมากมาย นั่นเป็นหนทางเดียวที่หานเซิ่นจะทำให้มันใจเย็นลง


 


หานเซิ่นลองพาเตาหลอมทองแดงเข้าในคอร์แอเรียฮอล์เช่นกัน แต่มันเด้งออกไปในทันที ดูเหมือนว่ามีเพียงแค่จระเข้น้อยเท่านั้นที่ตามเขาออกไปได้


 


‘ดูเหมือนว่าที่จระเข้น้อยออกไปได้จะเป็นเพราะการปรับแต่งของคริสตัลไลเซอร์’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง เขาไม่พาจระเข้น้อยไปซ่อนเอาไว้ที่ไหนได้ ถ้าเขาพามันมายังจักรวาลจีโน


 


หานเซิ่นไม่สามารถเก็บมันเอาไว้ในปราสาทนภาได้ เขาพยายามคิดหาสถานที่ที่จะให้มันอยู่ไปสักพัก แต่เขาก็คิดอะไรไม่ออก การปล่อยให้จระเข้ระดับเทพเจ้าท่องอวกาศนั้นเป็นอะไรที่เสียของ และหานเซิ่นก็เป็นห่วงความปลอดภัยของมัน


 


จักรวาลจีโนไม่เหมือนกับคอร์แอเรีย ถึงแม้จระเข้น้อยจะเหมือนเป็นผู้ปกครองภายในคอร์แอเรีย แต่ในจักรวาลจีโนที่กว้างใหญ่ มันมีซีโน่เจเนอิคอีกมากที่สามารถฆ่ามันได้


 


ตอนนี้หานเซิ่นยังไม่มีตัวเลือกดีๆ ดังนั้นเขาจึงกลับไปที่ปราสาทนภาตามลำพัง


 


หานเซิ่นมีแผนจะไปที่ดาวอุปราคาและติดต่อหาหวังอวี่ฮังและเซี่ยชิงเพื่อถามว่าพวกเขาพอจะมีสถานที่ให้จระเข้น้อยอยู่อาศัยบ้างไหม แต่ก่อนที่เขาจะออกไปจากเกาะหยกน้อย ไผ่เดียวดายก็เข้ามาหาเขาที่เกาะ


 


“หานเซิ่น ตอนนี้บาดแผลของเจ้าคงจะหายดีแล้วใช่ไหม?” ไผ่เดียวดายถามหานเซิ่น


 


“ข้าพื้นตัวราวๆแปดสิบถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว” หานเซิ่นตอบ


 


“นั่นพอดีเลย ข้ากำลังจะไปที่เมืองราชาขาวเพื่อล่าซีโน่เจเนอิค พวกเราไปด้วยกันเถอะ” ไผ่เดียวดายพูด


 


“เมืองราชาขาว? ข้าไม่มีบัตรผ่านที่นั่น”

เมืองทั้งห้านั้นจำเป็นต้องมีบัตรผ่านเฉพาะอยู่ หานเซิ่นมีแค่บัตรผ่านเข้าไปในเมืองราชาดำ ดังนั้นเขาไม่สามารถเข้าไปในอีกสี่เมืองได้


 


ไผ่เดียวดายโยนบัตรผ่านให้กับหานเซิ่นพร้อมกับพูด “ตอนนี้เจ้าก็มีมันแล้ว”


 


“ก็ได้ แต่อย่างน้อยๆเจ้าก็ควรบอกข้าก่อนว่าเมืองราชาขาวเป็นยังไง” หานเซิ่นพูดขณะที่รับบัตรผ่านเอาไว้


 


“พวกเราค่อยคุยกันระหว่างเดินทาง” ไผ่เดียวดายพูดขณะที่เริ่มเดินไปทางสถานหยกขาว


 


หานเซิ่นตามไป และไผ่เดียวดายก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับเมืองราชาขาว


 


มันแตกต่างไปจากเมืองราชาดำ เมืองราชาขาวนั้นมีซีโน่เจเนอิคที่เป็นระดับราชันหรือสูงกว่า แม้แต่ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าก็ป้วนเปี้ยนอยู่ภายในนั้น แต่ซีโน่เจเนอิคของเมืองราชาขาวนั้นไม่ปกติ พวกมันแตกต่างไปจากซีโน่เจเนอิคที่พบเห็นได้ที่อื่น หลังจากที่ไผ่เดียวดายอธิบายเกี่ยวกับเมืองราชาขาว ดวงตาของหานเซิ่นก็เป็นประกายขึ้นมา


 


“เจ้ากำลังจะบอกว่าเมืองราชาขาวเป็นเหมือนกับสนามประลองขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องฆ่าซีโน่เจเนอิคในสนามประลองเพื่อจะได้รับไข่ของพวกมัน?” หานเซิ่นถามด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ


 


“ก็ทำนองนั้น ถ้าพลังของเจ้าเพียงพอ เจ้าจะฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าและเอาไข่ของพวกมันไปก็ได้” ไผ่เดียวดายยืนยันด้วยการพยักหน้า


 


“มันมีสถานที่ดีๆแบบนั้นอยู่ด้วยหรอเนี่ย? เจ้าควรจะบอกข้าให้เร็วกว่านี้?” หานเซิ่นดีใจ

 

 

 


ตอนที่ 2627

 

คนปกตินั้นจะมองไม่เห็นสิบสองหอคอยและห้าเมืองของสถานหยกขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองทั้งห้าเมือง มีเฉพาะคนที่มองเห็นพวกมันเท่านั้นถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน


 


หานเซิ่นตามไผ่เดียวดายเข้าไปในเมืองราชาขาว ซึ่งมันแตกต่างไปจากเมืองราชาดำ เมืองราชาขาวเป็นสิ่งก่อสร้างวงกลมขนาดใหญ่ที่คล้ายคลึงกับโคลอสเซียมของกรุงโรม


 


หลังจากที่ทั้งสองคนเข้าไปข้างใน หานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่ามันเป็นแค่สนามประลองจริงๆ ที่นั่งมากมายล้อมลานประลองที่อยู่ตรงกลางเป็นวงกลม ขณะนี้มันไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากพวกเขาที่อยู่ภายในสนามประลอง มันไม่มีแม้แต่ซีโน่เจเนอิค


 


“คิดว่าจะมีซีโน่เจเนอิคอยู่ที่นี่ ทำไมมันถึงไม่มีอะไรเลย?”

หานเซิ่นถามขณะที่มองไปรอบๆสนามประลอง เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของอะไรทั้งนั้น


 


“ซีโน่เจเนอิคที่เคยอยู่ที่นี่เพิ่งจะถูกฆ่าไปเมื่อไม่นานมานี้ และซีโน่เจเนอิคตัวใหม่ก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา รออีกหน่อย พวกมันจะมาที่นี่ในอีกไม่ช้า” ไผ่เดียวดายพูด เขาเดินไปนั่งบนขั้นบันได


 


หานเซิ่นตามไผ่เดียวดายไปและนั่งลงข้างๆ พวกเขารอคอยให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น


 


ไม่นานหลังจากนั้นหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงลากโซ่ เขามองไปที่ลานประลองและเห็นว่าประตูของลานประลองเริ่มจะยกขึ้น


 


เมื่อประตูลานประลองเปิดออก เส้นทางเข้าออกของเมืองราชาขาวก็ถูกปิด


 


“พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


“เมืองราชาขาวจัดการประลองแบบเดธแมทช์ การประลองจะจบลงก็ต่อเมื่อฝ่ายหนึ่งถูกฆ่า ถ้าเจ้าต้องการจะออกไปจากที่นี่ เจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฆ่าซีโน่เจเนอิคที่เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า” ไผ่เดียวดายพูด


 


“แต่พวกเราไม่รู้ว่าซีโน่เจเนอิคแบบไหนที่จะออกมา ถ้าเกิดมันเป็นระดับเทพเจ้าล่ะ?” หานเซิ่นถาม


 


“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าพาเจ้ามาด้วย” ไผ่เดียวดายพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา


 


“นี่เจ้าหลอกข้า” หานเซิ่นมองไปที่ประตูสนามประลองโดยหวังว่าอะไรก็ตามที่ออกมาจะไม่ใช่ระดับเทพเจ้า


 


ประตูเปิดขึ้นและเผยทางเข้าสู่อุโมงค์อันมืดมิด หานเซิ่นยังมองไม่เห็นอะไร แต่เขาได้ยินเสียงของฝีเท้า


 


ไม่นานหลังจากนั้นบางสิ่งก็ปรากฏตัวออกมาให้เห็น มันเป็นสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะสีเงิน มือของมันถือดาบสีเงิน ดวงตาสีแดงของมันเรืองแสงออกมาจากช่องว่างของหมวก


 


“ดูเหมือนว่าดวงของพวกเราจะไม่เลวเลย” ไผ่เดียวดายหัวเราะ


 


“เจ้าเรียกนี่ว่าไม่เลวอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นเห็นโซ่สสารสีเงินส่องประกายรอบๆสิ่งมีชีวิตในชุดเกราะ มันเป็นซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า


 


“จอมทำลายล้างสีเงินระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ จากการอ่านของก็อตสปิริตทัช ซีโน่เจเนอิคตัวนี้มีพรสวรรค์ระดับแปดเปลือก ถ้าพวกเราเก็บไข่ซีโน่เจเนอิคของมันได้ บางทีพวกเราก็อาจจะเลี้ยงมันจนถึงขั้นลาร์วา” ไผ่เดียวดายพูด


 


หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา “นี่พวกกำลังเดิมพันชีวิตของตัวเองนะ? ถ้าซีโน่เจเนอิคนั่นเป็นขั้นทรานมิวเมชั่นหรือขั้นลาร์วาเรียบร้อยแล้วล่ะ? แบบนั้นพวกเราก็จะต้องตาย”


 


“ปราสาทนภาได้ปกครองสถานหยกขาวมาเป็นเวลานานมากๆแล้ว”

ไผ่เดียวดายพูดอย่างใจเย็น “พวกเราได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเมืองราชาขาวอย่างละเอียด สกายแชนซ์ได้ทำการคำนวนว่าซีโน่เจเนอิคประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของที่นี่เป็นระดับราชัน สิบเปอร์เซ็นต์เป็นระดับครึ่งเทพ และอีกสิบเปอร์เซ็นต์เป็นระดับเทพเจ้า มันมีโอกาสต่ำมากๆที่จะได้เจอกับระดับเทพเจ้าขั้นสูง นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าพวกเราโชคดี มันมีโอกาสต่ำมากๆที่จะได้เผชิญหน้ากับศัตรูแบบนี้ นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการ” ขณะที่ไผ่เดียวดายพูด จอมทำลายล้างสีเงินก็มาอยู่ที่กลางสนามประลองแล้ว จากนั้นมันก็มองมาทางพวกเขา


 


ก่อนที่หานเซิ่นจะตอบสนองอะไร จอมทำลายล้างสีเงินก็ยกดาบสั้นในมือขึ้นและแทงออกไปในทิศทางของหานเซิ่น หลังจากนั้นโซ่สสารสีเงินก็พุ่งออกไปจากดาบราวกับเข็ม


 


‘มันมีคนสองคนอยู่ที่นี่ แต่ทำไมมันถึงเลือกโจมตีเราก่อน? นี่เราโชคร้ายถึงขนาดนั้นเลย?’ หานเซิ่นคิด


 


ปัง!


ดาบแสงสีเงินพุ่งถูกหานเซิ่น และร่างกายของเขาก็ระเบิด แต่ในขณะเดียวกันหานเซิ่นอีกคนก็ปรากฏขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของสนามประลอง เขากำลังถือธนูงูหกคอร์อยู่ในมือ เขาดึงสายธนูและยิงลูกธนูออกไปทางจอมทำลายล้างสีเงิน


 


หลังจากนั้นไผ่เดียวดายก็เข้าไปรวมกับหานเซิ่นในสนามประลอง ดาบหยกของเขาเรืองแสงออกมาขณะที่เขาฟันใส่จอมทำลายล้างสีเงิน


 


จอมทำลายล้างสีเงินแกว่งดาบสองครั้ง และในชั่วพริบตาลูกธนูของหานเซิ่นและดาบแสงของไผ่เดียวดายก็ถูกทำลายไป พวกมันไม่แม้แต่จะได้เข้าใกล้จอมทำลายล้างสีเงิน


 


โซ่สสารของจอมทำลายล้างสีเงินดูเหมือนจะไม่มีการโจมตีในวงกว้าง ดังนั้นหานเซิ่นและไผ่เดียวจึงเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆขณะที่ทำการต่อสู้ พวกเขาวิ่งไปรอบๆเมืองราชาขาวเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของจอมทำลายล้างสีทอง


 


“นี่มันอะไรกัน? ตอนนี้ดาบของมันเร็วขึ้นกว่าเดิม”

หานเซิ่นพูด เขาไม่สามารถหลบการโจมตีครั้งต่อไปได้พ้น ดาบแสงสีเงินเฉี่ยวใบหน้าของหานเซิ่นไปและเกิดเป็นรอยเลือดบนแก้มของเขา


 


“โซ่สสารของมันดูเหมือนจะพึ่งพาความเร็ว”

ไผ่เดียวดายพูดขณะที่ปลดปล่อยดาบแสงอีกครั้ง แต่จอมทำลายล้างสีเงินก็แกว่งดาบและทำลายดาบแสงนั่นเช่นกัน


 


“ฮ่า!” หานเซิ่นใช้มืออีกข้างหนึ่งชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมา เขาปลดปล่อยมีดแสงที่ก่อตัวเป็นตาข่ายบนท้องฟ้า เขาเตรียมที่จะดึงพวกมันลงมาใส่จอมทำลายล้างสีเงิน


 


แต่จอมทำลายล้างสีเงินยังคงแกว่งดาบสั้นอย่างรวดเร็วเพื่อทำลายตาข่ายมีดเส้นไหม นั่นทำให้หานเซิ่นประหลาดใจอย่างมาก


 


“รวดเร็วอะไรอย่างนี้!” ถึงแม้จะมีสายตาที่ยอดเยี่ยม แต่หานเซิ่นก็มองไม่ทันว่าจอมทำลายล้างสีเงินทำลายตาข่ายมีดเส้นไหมอย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้ยังไง


 


ไผ่เดียวดายตะโกนและดวงตาที่สามบนหน้าผากของเขาก็เปิดออก รูม่านตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงเหมือนกับกลีบของดอกซากูระ


 


หานเซิ่นจำได้ว่าดวงตานภาของไผ่เดียวดายควรจะเป็นสีแดงล้วนและเต็มไปด้วยจิตสังหารที่น่ากลัว แต่ดวงตาที่สามนั้นเป็นอดีตไปแล้ว ไผ่เดียวดายนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม


 


หลังจากนั้นไม่นานหานเซิ่นก็เข้าใจ ดวงตาที่สามของไผ่เดียวดายนั้นเปลี่ยนแปลงเพราะเขากลายเป็นหนึ่งกับผีเสื้อเนตรม่วง


 


ปีกผีเสื้อกางออกอย่างสง่าผ่าเผยจากด้านหลังของไผ่เดียวดาย ดวงตานภาของเขาปลดปล่อยสำแสงสีม่วงแดงที่ดูเหมือนกับโซ่สสารออกมา


 


หานเซิ่นคุ้นเคยกับลำแสงนั้น มันควรจะเป็นแสงแห่งเทพของผีเสื้อเนตรม่วงที่จำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรู แต่เมื่อหานเซิ่นลองสัมผัสกับลำแสงนั้นด้วยประสาทสัมผัส เขาก็รู้สึกได้ว่ามันเป็นอะไรที่รุนแรงและอันตรายยิ่งกว่า มันแตกต่างไปจากเนตรมารที่หานเซิ่นเคยเห็นมาก่อน


 


ลำแสงสีม่วงแดงพุ่งไปหาจอมทำลายล้างสีเงิน จอมทำลายล้างสีเงินแกว่งดาบพยายามจะทำลายแสงแห่งเทพของไผ่เดียวดาย แต่แสงแห่งเทพไม่มีรูปธรรม ดาบแสงสีเงินนั้นพุ่งไปถูกแสงแห่งเทพอย่างแม่นยำเหมือนจับวาง แต่ลำแสงของไผ่เดียวดายยังคงพุ่งต่อไปข้างหน้าอย่างไร้การหยุดยั้ง


 


ในจังหวะที่แสงแห่งเทพสัมผัสร่างกายของมัน จอมทำลายล้างสีเงินก็เหมือนจะถูกแช่แข็ง มันยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวและดาบของมันก็ค้างอยู่กลางวงสวิง


 


หานเซิ่นดึงสายธนูงูหกคอร์และยิงออกไปในทิศทางของจอมทำลายล้างสีเงิน แต่จอมทำลายล้างสีเงินเคลื่อนไหวได้อีกครั้งก่อนที่ลูกธนูของหานเซิ่นจะไปถึงตัวมันซะอีก มันฟันลูกธนูจนขาดครึ่ง


 


“แสงแห่งเทพจำกัดการเคลื่อนไหวได้ไม่นานพอ พวกเราจำเป็นต้องร่วมมือและกำหนดเวลาให้พอดีกัน” ไผ่เดียวดายพูด

 

 

 


ตอนที่ 2628

 

“ไผ่เดียวดาย ถ้าเจ้ารู้ว่ามันเป็นซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่มีพรสวรรค์ระดับแปดเปลือก ทำไมเจ้าไม่รู้อะไรอย่างอื่นเกี่ยวกับมัน?”

เจ้าซีโน่เจเนอิคเพิ่งจะฟันถูกหลังของหานเซิ่น กระดูกสันหลังของหานเซิ่นเผยออกมาให้เห็นผ่านบาดแผล มันเป็นอะไรสมควรต่อการบ่น


 


“เจ้าไม่เห็นแปดตัวอักษรบนประตูหรือยังไง? นั่นหมายความว่ามันมีพรสวรรค์ระดับแปดเปลือก” ไผ่เดียวดายพูดขณะที่วิ่งไปรอบๆ


 


“ตัวอักษรพวกนั้นบรรยายถึงซีโน่เจเนอิคที่ออกมาอย่างนั้นหรอ? แต่ถ้าอย่างนั้นมันก็ต้องมีคนคอยเพราะพันธุ์และเลี้ยงซีโน่เจเนอิคอยู่ในนั้นน่ะสิ?” หานเซิ่นพูดขณะที่หันไปมองตัวอักษรที่สลักอยู่ที่ประตู ตัวอักษรเป็นภาษาโบราณของจักรวาลจีโน


 


“ข้าไม่รู้ แม้แต่บรรพบุรุษเผ่านภาก็ไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสถานหยกขาว มันไม่มีใครรู้ว่าซีโน่เจเนอิคพวกนี้มาจากไหน”

ไผ่เดียวดายพูดขณะที่ยังคงต่อสู้กับเจ้าซีโน่เจเนอิค


 


พวกเขาทั้งสองคนต่อสู้ร่วมกันเป็นอย่างดี แต่จอมทำลายล้างสีเงินนั้นรวดเร็วเกินไป หานเซิ่นพยายามจะคาดเดาการเคลื่อนไหวของศัตรู แต่การโจมตีของมันรวดเร็วเกินกว่าจะหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นความสามารถในการคาดเดาของหานเซิ่นจึงไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก


 


ดาบแสงสีเงินมากมายสว่างไสวบนท้องฟ้าของเมืองราชาขาว ในเวลาที่หานเซิ่นเห็นดาบแสงเหล่านั้นและพยายามจะหลบหลีก มันก็สายเกินไปแล้ว ซึ่งสภาพของไผ่เดียวดายเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าหานเซิ่น เขาเองก็เริ่มมีบาดแผลมากขึ้นเรื่อยๆ


 


สิ่งที่น่าหดหู่มากที่สุดเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดนี้ก็คือความจริงที่แสงแห่งเทพของไผ่เดียวดายนอกจากครั้งแรกแล้ว มันก็ไม่ถูกตัวของจอมทำลายล้างสีเงินอีก เจ้าซีโน่เจเนอิคนั้นรวดเร็วยิ่งกว่าแสง และเมื่อไหร่ก็ตามที่ไผ่เดียวดายปล่อยแสงแห่งเทพออกมา จอมทำลายล้างสีเงินก็จะหนีหายไปแล้ว


 


ไม่มีพลังไหนถูกตัวของจอมทำลายล้างสีเงิน แม้แต่พลังที่เข้าไปใกล้ได้ก็จะถูกทำลายด้วยดาบแสงของศัตรู


 


หานเซิ่นเริ่มจะคิดถึงหวังอวี่ฮังขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ดาบแสงของจอมทำลายล้างสีเงินพุ่งผ่านมือของเขา หานเซิ่นคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดและพึมพำกับตัวเอง

“ลุงหวังเก่งเรื่องการเป็นเป้าถูกโจมตี! ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนในตอนนี้ แต่มันคงจะเป็นอะไรที่เยี่ยมมากๆถ้าเขาอยู่ที่นี่”


 


เมื่อเห็นว่าดาบแสงนั่นกำลังเข้ามา หานเซิ่นก็ไม่สามารถทนมันได้อีกต่อไป เขาเรียกเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูงออกมา โซ่สสารสีรุ้งก่อตัวขึ้นรอบชุดขนนก


 


ธนูงูหกคอร์ของหานเซิ่นยิงลูกธนูที่อาบด้วยแสงสีรุ้งออกไป เขาเล็งมันไปที่ดาบแสงที่พุ่งเข้ามา


 


ปัง!


ธนูแสงสีรุ้งถูกทำลายด้วยดาบแสงสีเงิน การปะทะกันทำลายดาบแสงสีเงินไปครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งของดาบแสงก็ยังคงพุ่งต่อมาทางหานเซิ่น


 


ด้วยพลังเสริมจากเสื้อคลุมวิญญาณอสูรราชานกยูง หานเซิ่นบินหลบไปด้านข้างราวกับนกประหลาด ในที่สุดเขาก็สามารถหลบดาบแสงของจอมทำลายล้างสีเงินได้สำเร็จ


 


ตอนนี้เมื่อหานเซิ่นใช้เสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูง เขาก็เคลื่อนไหวด้วยความเร็วระดับเทพเจ้า แต่มันยังคงช้ากว่าความเร็วในการโจมตีของจอมทำลายล้างสีเงิน เขาจำเป็นต้องใช้ความสามารถในการคาดเดาเพื่อหลบหลีกดาบแสงให้พ้น


 


“อย่างนั้นแหละ! ถ้าเจ้าทำแบบนั้นต่อไปสักพัก ข้าจะหาโอกาสได้ในที่สุด!” ไผ่เดียวดายยังคงพยายามปล่อยแสงแห่งเทพจากดวงตานภาใส่จอมทำลายล้างสีเงิน


 


“เจ้าต้องการใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้อย่างนั้นหรอ? ทำไมเจ้าไม่มาลองดูบ้าง?” หานเซิ่นบ่น แต่เขายังคงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชักนำจอมทำลายล้างสีเงินไปรอบๆ


 


จอมทำลายล้างสีเงินแข็งแกร่งกว่าซีโน่เจเนอิคตัวไหนในคอร์แอเรีย หานเซิ่นใช้เสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูงและธนูงูหกคอร์เพื่อต่อสู้กับจอมทำลายล้างสีเงิน แต่เขาก็ยังไม่สามารถต่อสู้กับจอมทำลายล้างสีเงินแบบตรงๆได้ เจ้าซีโน่เจเนอิคนั้นรวดเร็วเกินกว่าที่หานเซิ่นจะทำอะไรได้ ถึงแม้เขาจะพยายามยิงธนูจากระยะใกล้ แต่จอมทำลายล้างสีเงินก็ฟันลูกธนูที่เข้ามาได้อย่างง่ายดาย


 


แม้แต่ลูกธนูที่เดินทางผ่านช่องว่างของอวกาศรวมกับลูกธนูหมุนก็ยังไม่ถูกตัวของมัน หานเซิ่นและไผ่เดียวดายร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับจอมทำลายล้างสีเงิน แต่เจ้าซีโน่เจเนอิคนั้นก็ยังคงได้เปรียบพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่ตอนนี้สถานการณ์ของหานเซิ่นดีขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่เขาเรียกเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูงออกมา เขาก็สามารถป้องกันดาบแสงของศัตรูได้ แต่ทว่าบาดแผลของไผ่เดียวดายยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


 


หานเซิ่นพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลอกล่อจอมทำลายล้างสีเงินไปรอบสนามประลอง นอกเหนือสิ่งอื่นใดเขาต้องการจะหยุดมันจากการสร้างความเสียหายกับไผ่เดียวดายไปมากกว่านี้


 


ถึงแม้หานเซิ่นและไผ่เดียวดายจะทำงานร่วมกันเพื่อโค่นล้มจอมทำลายล้างสีเงิน แต่การร่วมมือของพวกเขาก็ไม่ได้ไร้ที่ติ พลังและกระบวนการคิดของพวกเขานั้นแตกต่างกัน พวกเขาไม่ได้ทำการต่อสู้แบบเดียวกัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงพลาดโอกาสหลายครั้ง


 


ขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป การประสานงานระหว่างหานเซิ่นและไผ่เดียวดายก็เหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้บุคลิกภาพและพลังของพวกเขาจะแตกต่างกัน แต่พวกเขาทั้งคู่ก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์มากในด้านการต่อสู้ พวกเราทำความคุ้นเคยกับจุดเด่นของอีกฝ่ายและปรับมันเข้ากับสไตล์ของตัวเอง


 


ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวต่อไปของอีกฝ่ายและร่วมมือกันได้เป็นอย่างดีมากยิ่งขึ้น


 


ในที่สุดหานเซิ่นก็หยุดการเคลื่อนไหวของจอมทำลายล้างสีเงินได้ชั่วครู่ ทำให้ไผ่เดียวดายสามารถใช้แสงแห่งเทพของดวงตานภาใส่เจ้าซีโน่เจเนอิค


 


ขณะที่จอมทำลายล้างสีเงินถูกหยุดการเคลื่อนไหว หานเซิ่นก็ดึงสายธนูงูหกคอร์ไปด้านหลังมากที่สุด ลูกธนูแสงสีรุ้งพุ่งออกปักหนึ่งในช่องดวงตาของจอมทำลายล้างสีเงิน


 


หลังจากนั้นลูกธนูของหานเซิ่นก็ระเบิดจากภายในดวงตาของจอมทำลายล้างสีเงิน แรงระเบิดนั้นก็ฉีกส่วนหนึ่งของหมวก


 


จอมทำลายล้างสีเงินทำเหมือนกับว่าไม่รู้สึกเจ็บปวด มันยังคงกวัดแกว่งดาบของมันใส่หานเซิ่น


 


หลังจากที่หานเซิ่นและไผ่เดียวดายร่วมมือกันได้อย่างเข้าขามากขึ้น พวกเขาก็เริ่มโจมตีโดนตัวจอมทำลายล้างสีเงินบ่อยขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่ต่อสู้ยาวนานกว่าเจ็ดชั่วโมง หานเซิ่นก็ยิงธนูออกไปยี่สิบสามลูก และแต่ละลูกนักก็เจาะทะลวงเข้าไปในดวงตาของจอมทำลายล้างสีเงิน


 


หานเซิ่นมองดูจอมทำลายล้างสีเงินล้มลงไปกับพื้น หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นมา


 


“ซีโน่เจเนอิคจอมทำลายล้างสีเงินระดับเทพเจ้าถูกฆ่า คุณได้รับยีนซีโน่เจเนอิค”


 


“นั่นเป็นอะไรที่น่าเสียดาย” หานเซิ่นผิดหวังที่ไม่ได้รับวิญญาณอสูร ในตอนที่หานเซิ่นกำลังจะไปค้นร่างของจอมทำลายล้างสีเงิน มันก็มีลำแสงส่องลงมา หลังจากนั้นร่างกายของจอมทำลายล้างสีเงินก็หายไป


 


เมื่อลำแสงนั้นจางหายไปแล้ว ไข่สีเงินก็ปรากฏในตำแหน่งที่จอมทำลายล้างสีเงินเคยอยู่ บนผิวของไข่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ประหลาดมากมาย

 

 

 


ตอนที่ 2629

 

หลังจากที่พวกเขาทั้งสองกลับมาจากการต่อสู้ภายในเมืองราชาขาว หัวใจของหานเซิ่นก็ยังคงไม่สงบสุข ทั้งเมืองราชาดำและเมืองราชาขาวทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจราวกับว่ากำลังถูกจับตามองโดยบางสิ่งบางอย่าง


 


แต่ทางปราสาทนภาไม่มีพลังพอจะควบคุมสถานหยกขาว ถ้าใครบางคนมีอำนาจที่จะควบคุมสถานที่แห่งนั้นได้ นั่นก็จะเป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆ


 


หานเซิ่นและไผ่เดียวดายร่วมมือกันเพื่อฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าในเมืองราชาขาว ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วปราสาทนภาราวกับไฟป่า วันถัดมาเมื่อหานเซิ่นตัดสินใจไปที่เมืองราชาดำ เขาก็พบว่าเอ็กซ์ควิสิทมายืนอยู่บนเกาะหยกน้อยของเขา


 


“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” หานเซิ่นรู้ว่านี่เป็นข่าวร้าย เขาลืมเกี่ยวกับข้อตกลงกับเอ็กซ์ควิสิทไปซะสนิทเลย เขาจึงไม่ได้คิดในตอนที่ตอบรับคำเชิญของไผ่เดียวดาย


 


ตอนนี้เมื่อทุกคนรู้ว่าเขาร่วมมือกับไผ่เดียวดายฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า เอ็กซ์ควิสิทก็คงจะคิดว่าเขาหายดีแล้ว


 


มันเป็นอย่างที่หานเซิ่นคิด เอ็กซ์ควิสิทมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าและพูด

“การฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าไม่ใช่งานของคนบาดเจ็บ ดูเหมือนว่าเจ้าจะหายดีแล้วสินะ”


 


ถึงแม้หานเซิ่นต้องการจะปฏิเสธและพูดว่าตัวเองยังคงไม่หายดี แต่เขาก็รู้ว่าเอ็กซ์ควิสิทคงจะไม่เชื่อเขาอีกต่อไป


 


หานเซิ่นเงียบไป หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าและพูด “ข้าเกือบจะหายดีแล้ว ถ้าเจ้ารีบร้อนมากขนาดนี้ นัดวันเวลามา”


 


“การกำหนดวันเวลานั้นเป็นการขอให้ล่าช้ายิ่งขึ้นไปอีก ทำไมไม่ตอนนี้เลย?” เอ็กซ์ควิสิทไม่อยากจะรอคอยอีกต่อไป เธอกังวลว่าถ้าเรื่องนี้ยังคงยืดเยื้อต่อไป เธอก็จะไม่มีวันได้ตัวเขา


 


“เอาสิ ที่ไหน?” หานเซิ่นถาม เขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเวลานี้ก็ต้องมาถึง


 


“สนามประลองการต่อสู้” เห็นได้ชัดว่าเอ็กซ์ควิสิทต้องการให้ทุกคนในปราสาทนภาได้เห็น เมื่อทุกคนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ หานเซิ่นก็ไม่สามารถถ่วงเวลาไปมากกว่านี้ได้อีก


 


“เอางั้นก็ได้” หานเซิ่นตอบตกลง หลังจากนั้นเขาก็ไปที่สนามประลองพร้อมกับเอ็กซ์ควิสิท


 


ไม่นานหลังจากที่หานเซิ่นและเอ็กซ์ควิสิทไปถึง ข่าวเรื่องการประลองก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนในปราสาทนภาได้ยินสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และไม่นานทุกเกาะรอบสนามประลองก็เต็มไปด้วยผู้ชม


 


ทุกคนรู้ว่าทำไมเอ็กซ์ควิสิทถึงอยู่ที่ปราสาทนภาต่อ เมื่อมันมีรายงานว่าหานเซิ่นไปที่สนามประลองพร้อมกับเอ็กซ์ควิสิท มันก็ชัดเจนว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น


 


“เจ้าคิดว่าอาจารย์หานจะเอาชนะเอ็กซ์ควิสิทได้ไหม?”

“แน่นอนอยู่แล้ว อาจารย์หานมีพรสวรรค์ระดับสิบเอ็ดเปลือก เอ็กซ์ควิสิทมีพรสวรรค์แค่ระดับเก้าเปลือกเท่านั้น”

“มันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น ก็อตสปิริตทัชวิวัฒนาการภายใต้อิทธิพลของหานเซิ่น ดังนั้นมันอาจจะเป็นความผิดพลาด”

“พวกเราไม่ได้รู้เกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินพรสวรรค์ของก็อตสปิริตทัชมากนัก แต่ทว่าทุกคนรู้ถึงความสุดยอดของเผ่าเวรี่ไฮ ถึงแม้อาจารย์หานจะไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาพึ่งพาสมบัติซีโน่เจเนอิคมากเกินไป ในตอนนี้เขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สมบัติซีโน่เจเนอิค นั่นถือเป็นข่าวร้ายสำหรับอาจารย์หาน”

“เหลวไหล! อาจารย์หานไม่จำเป็นต้องพึ่งสมบัติ เขาเอาชนะทุกคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน”


 


เมื่อหานเหยียนและพี่น้องยวิ๋นได้ยินข่าว พวกเธอก็รีบมาที่สนามประลอง ยวิ๋นซู่อีกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ถ้าหานเซิ่นแพ้ นั่นหมายความว่าเขาต้องไปที่เผ่าเวรี่ไฮอย่างนั้นหรอ?”


 


หานเหยียนส่ายหัวด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ต้องกังวล พี่ชายจะไม่แพ้”


 


“แต่ถ้าเขาแพ้ขึ้นมาล่ะ? คนเผ่าเวรี่ไฮไม่ใช่จะเอาชนะได้ง่ายๆ…” ยวิ๋นซู่อียังคงกังวล


 


หานเหยียนมองยวิ๋นซู่อีและเธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


หานเหยียนสามารถบอกได้ว่ายวิ๋นซู่อีชอบพี่ชายของเธอ ในช่วงที่เธอฝึกฝนกับยวิ๋นฉางคง เธอได้รู้ว่ายวิ๋นซู่อีเป็นผู้หญิงที่ดี

“น่าเสียดายที่พี่ชายมีเหยียนหรันแล้ว และพวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดี” หานเหยียนส่ายหัว เธอรู้สึกเสียใจกับยวิ๋นซู่อี


 


ภายในปราสาท ผู้หญิงคนหนึ่งหันไปพูดกับผู้นำปราสาทนภา

“ถ้าหานเซิ่นพ่ายแพ้ เจ้าคิดจะปล่อยให้เขาไปที่เผ่าเวรี่ไฮอย่างนั้นหรอ?”


 


“ถ้าเขาพ่ายแพ้ แน่นอนว่าเขาต้องไป” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะรู้ถึงความสำคัญของหานเซิ่นต่อความเจริญรุ่งเรืองของปราสาทนภา” ผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“นั่นเป็นเหตุผลที่เผ่าเวรี่ไฮต้องการตัวเขามากขนาดนั้น เจ้าคิดว่าคนใหญ่คนโตของเผ่าเวรี่ไฮจะอนุญาตให้เอ็กซ์ควิสิทยอมปล่อยไผ่เดียวดายไปง่ายๆหรือยังไง?” ผู้นำปราสาทนภายิ้ม


 


“ถ้าเผ่าเวรี่ไฮรู้ว่าหานเซิ่นอวยพรให้กับผู้คนได้ นั่นจะไม่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมหรอกหรอ? แผนการของพวกเราจะเป็นอะไรที่ยากยิ่งกว่าเดิม” ผู้หญิงคนนั้นพูด


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้นำปราสาทนภาก็ขมวดคิ้ว หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พูดขึ้นมา “เขาเข้าไปในระบบบิ๊กไซเลนซ์เป็นเวลานานแล้ว พวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา พวกเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะกลับมา แต่ถ้าไม่มีเขา ข้าไม่คิดว่าแผนการนี้จะดำเนินต่อไปได้”


 


“ข้าได้ส่งกลุ่มคนเข้าไปในระบบบิ๊กไซเลนซ์ แต่สถานที่อย่างระบบบิ๊กไซเลนซ์นั้นแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหาคนๆหนึ่ง และในหนึ่งร้อยคนที่ไปนั้นจะมีแค่หนึ่งคนที่กลับออกมาได้” ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจ


 


“รออีกหน่อย ถ้าเขาไม่กลับมาจริงๆ อย่างนั้นพวกเราก็ต้องหันไปพึ่งพาอวี้ซ่านซิน” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก


 


ผู้นำปราสาทนภาจับจ้องไปที่สนามประลอง เขาไม่ได้พูดอะไร แต่เขาคิดกับตัวเอง ‘บางทีเขาอาจจะพอมีโอกาส ถึงเขาจะมีโอกาสไม่มาก แต่มันก็ยังดีกว่าการลงทุกอย่างไปกับสิ่งเดียว’


 


ภายในสนามประลอง เอ็กซ์ควิสิทพูดอย่างไร้ความรู้สึก “ตามข้อตกลงของพวกเรา เจ้าต้องใช้แค่ร่างกายและวิชาจีโนในการต่อสู้เท่านั้น ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะจากไปและไม่ปล่อยให้เผ่าเวรี่ไฮมายุ่งอะไรกับเจ้าอีก”


 


“ถ้าข้าแพ้ ข้าจะตามเจ้าไปที่เผ่าเวรี่ไฮ ข้าจะฟังคำสั่งของเจ้า” หานเซิ่นพูด


 


“ดี” เอ็กซ์ควิสิทพยักหน้า หลังจากนั้นดวงตาที่สามของเธอก็ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆและเผยให้เห็นดวงตาไท่เก๊กของเธอ


 


“นางเพิ่งจะขึ้นไปบนเวที แต่นางก็ใช้เนตรเวรี่ไฮซะแล้ว ดูเหมือนว่าเอ็กซ์ควิสิทจะเอาจริง”

“มันเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นเผ่าเวรี่ไฮต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขายังเป็นแค่ระดับราชัน และมันยากยิ่งกว่าที่จะได้เห็นพวกเขาใช้เนตรเวรี่ไฮ”

“นั่นพิสูจน์ว่าเอ็กซ์ควิสิทต้องการตัวหานเซิ่นไปเข้าร่วมเผ่าเวรี่ไฮ”

“ถ้าเป็นข้า ข้าจะยอมติดตามนางและทำตามทุกอย่างที่นางบอก การพัฒนาของข้าจะรวดเร็วขึ้นมากด้วยการช่วยเหลือจากเผ่าเวรี่ไฮ และข้าก็ยังถูกอ้อมล้อมด้วยผู้หญิงที่งดงาม แบบนั้นทำไมเขาถึงไม่อยากไป? ข้าสงสัยเหลือเกินว่าไผ่เดียวดายและหานเซิ่นคิดอะไรอยู่”

“นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าเป็นแค่ศิษย์ปลายแถว หานเซิ่นและไผ่เดียวดายนั้นเป็นอัจฉริยะ”


 


หานเซิ่นมองคู่ต่อสู้อย่างตั้งใจ พวกเขาทั้งคู่เป็นระดับราชันขั้นที่เก้าเหมือนกัน หานเซิ่นไม่ได้เกรงกลัวสิ่งมีชีวิตไหนในระดับเดียวกัน แต่เอ็กซ์ควิสิทมาจากเผ่าเวรี่ไฮ เธอมีวิชาจีโนลับนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาต้องระวังตัวให้มาก


 


ในจังหวะที่เธอเปิดเนตรเวรี่ไฮ เอ็กซ์ควิสิทกลายเป็นเหมือนกับเครื่องจักรอีกครั้ง


 


เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไร ทันใดนั้นมิติรอบๆก็เริ่มจะบิดเบี้ยวด้วยพลังงานประหลาดบางอย่าง


 


“นี่คือพลังที่แท้จริงของเจ้า?” หานเซิ่นหลี่ตาลงเล็กน้อย เขาเห็นมิติรอบตัวอีกฝ่ายยังคงบิดเบี้ยวไปมา ในตอนนี้ถึงแม้เอ็กซ์ควิสิทจะอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็แทบจะมองไม่เห็นเธอ

 

 

 


ตอนที่ 2630

 

ขณะที่เอ็กซ์ควิสิทยืนอยู่ในสนามประลอง เธอก็ดูเหมือนกับเครื่องจักรมากกว่าสิ่งมีชีวิต สีหน้าของเธอสงบนิ่งอย่างที่สุดราวกับว่าเธอมองทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่นักปราชญ์และนักพยากรณ์ก็ไม่สามารถสงบนิ่งเหมือนกับเธอได้


 


“ไม่ว่าจะได้เห็นมันสักกี่ครั้ง ข้าก็ยังประหลาดใจกับพลังและความโหดร้ายของเนตรเวรี่ไฮ พวกมันรวมนภาเข้ากับร่างกายของพวกเขา พวกเขาควรจะเป็นผู้คนของนภาที่แท้จริง แต่การรวมกับนภาทำให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกฎจักรวาล แบบนั้นเอ็กซ์ควิสิทตัวจริงจะยังคงมีอยู่อีกอย่างนั้นหรอ?” ผู้นำปราสาทนภามองไปที่เอ็กซ์ควิสิทและถอนหายใจ


 


“อัลฟ่าของพวกเรากังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่เขายืนกรานจะร่วมสายพันธ์กับเผ่าพันธุ์อื่นเพื่อให้กำเนิดสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา มันนำการเปลี่ยนแปลงที่พิเศษมาสู่เนตรเวรี่ไฮ ดวงตาที่สามของพวกเราอาจจะอ่อนแอลงไปในตอนนี้ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นเปิดประตูสำหรับโอกาสอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่า มันมีความเป็นไปได้ที่มากกว่าเนตรเวรี่ไฮ”

ผู้หญิงคนนั้นหยุดไปชั่วครู่และพูดต่อ “แต่ไม่ว่ายังไงพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไร พวกเราก็แยกตัวจากมันไม่ได้ จากมุมมองนั้นเส้นทางของเวรี่ไฮคือเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับสายใยที่ประกอบเป็นจักรวาลมากที่สุด”


 


“ถูกหรือผิด มันไม่สำคัญ พวกเราควรจะเลือกเส้นทางที่คิดว่าถูกต้อง ผลลัพธ์เป็นบางสิ่งที่มีแค่เวลาเท่านั้นที่จะบอกพวกเราได้” ผู้นำของปราสาทนภาพูด


 


หานเซิ่นชื่นชมพลังของเอ็กซ์ควิสิท เขาเคยเห็นเธอใช้ความสามารถนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่การได้เห็นมันอีกครั้งก็ยังคงเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์อยู่ดี


 


ผู้คนนั้นไม่สมบูรณ์แบบ ทุกคนมีข้อบกพร่องของตัวเอง แต่ทว่าในตอนที่เอ็กซ์ควิสิทเปิดเนตรเวรี่ไฮ เธอก็ดูไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่มีข้อบกพร่องอีกต่อไป มันดูเหมือนกับว่าเธอไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป เธอเป็นเหมือนกับงานศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า


 


“ใช้พลังทั้งหมดของเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีโอกาสชนะ” เอ็กซ์ควิสิทพูดกับหานเซิ่น คำพูดของเธออาจจะฟังดูอวดดี แต่มันไม่มีความโอ้อวดในโทนเสียงของเธอ มันเหมือนกับว่าเธอกำลังพูดข้อเท็จจริง


 


หานเซิ่นยิ้ม เขายกมือขึ้นเหมือนกับเป็นมีดและฟันออกไปในทิศทางของเอ็กซ์ควิสิท


 


ครั้งก่อนที่พวกเขาต่อสู้กัน พวกเขาใช้น้ำในสระที่อยู่ใกล้เคียง มันเป็นเหมือนกับการฝึกซ้อมเท่านั้น และเอ็กซ์ควิสิทก็ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของเธอ


 


แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป เธอไม่คิดจะออมมือ เอ็กซ์ควิสิทจะต่อสู้โดยใช้พลังทั้งหมดของเธอ


 


มีดลมปราณสีม่วงบินออกจากฝ่ามือของหานเซิ่นราวกับเขี้ยวของงูพิษที่กระโดดเข้าไปเพื่อกัดศัตรู มันเป็นการฟันที่รวดเร็ว โหดร้ายและแม่นยำ การฟันนั้นเกือบจะเร็วเกินกว่าที่จะมองตามได้ทัน


 


เมื่ออี๋ซาเห็นการฟันของหานเซิ่น เธอก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า วิชามีดเขี้ยวดาบของหานเซิ่นแตกต่างไปจากของเธอ แต่มันก็ฝึกจนถึงขั้นสูงสุดเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้หานเซิ่นถือเป็นหนึ่งในยอดฝีมือวิชามีดเขี้ยวดาบที่ยอดเยี่ยมที่สุด


 


ในปราสาทนภามียอดฝีมือหลายคนที่ใช้มีด และเมื่อพวกเขาได้เห็นการโจมตีของหานเซิ่น พวกเขาก็ต้องประหลาดใจ แม้แต่คนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิชามีดก็สามารถบอกได้ว่าการโจมตีนี้มันสุดยอดขนาดไหน มันไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาของยอดฝีมือระดับเทพเจ้าเลย


 


“ถึงแม้ข้าไม่อยากจะยอมรับมัน แต่พรสวรรค์เป็นสิ่งที่กำหนดว่าคนๆหนึ่งจะไปได้ไกลขนาดไหน ข้ากลัวว่าในปราสาทนภาคงจะมีแค่ไผ่เดียวดายและอวี้ซ่านซินที่เทียบกับเขาได้” ศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งพูดพร้อมกับถอนหายใจ


 


วินาทีต่อมาศิษย์ของปราสาทนภาก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่กำลังได้เห็น


 


การโจมตีที่น่าตกใจของหานเซิ่นนั้นพลาดเป้า


 


ขณะที่การโจมตีพุ่งเข้ามา เอ็กซ์ควิสิทก็ยืนอยู่กับที่และไม่ได้ขยับไปไหน การโจมตีของหานเซิ่นนั้นผ่านเธอไปโดยที่ชุดสีขาวของเอ็กซ์ควิสิทไม่แม้แต่จะปลิวไสวในสายลม เธอมองไปที่หานเซิ่นและพูดอย่างสงบนิ่ง

“โจมตีต่อไป ใช้พลังทั้งหมดของเจ้า”


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รวบรวมพลังและเริ่มใช้ท่วงท่าทั้งหมดของวิชามีดเขี้ยวดาบ


 


ความจริงแล้วหานเซิ่นไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การฝึกวิชามีดเพียงอย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อฝึกพวกมัน วิชามีดของเขากลายเป็นอะไรที่ทรงพลังมาก ซึ่งคนในระดับเดียวกันนั้นมีน้อยคนนักที่จะฝึกจนถึงขั้นนี้


 


แต่ตลอดหลายนาทีต่อมา เขาได้ใช้ทุกท่าของวิชามีดเขี้ยวดาบ และตลอดเวลานั้นเอ็กซ์ควิสิทก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เธอไม่ได้ขยับไปไหน เธอไม่แม้แต่จะต้องกระดิกนิ้ว มีดลมปราณของหานเซิ่นนั้นบินผ่านเธอไป


 


ศิษย์ของปราสาทนภารู้ว่าเผ่าเวรี่ไฮนั้นแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็ยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น พวกเขาไม่สามารถจินตนาการได้ว่าเอ็กซ์ควิสิทใช้พลังแบบไหนเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของหานเซิ่น ด้วยเหตุผลบางอย่างเอ็กซ์ควิสิททำให้การโจมตีของหานเซิ่นพลาดเป้าทุกครั้งโดยที่ไม่ต้องกระดิกนิ้ว เธอไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว


 


ไม่มีใครคิดว่าที่หานเซิ่นโจมตีไม่ถูกตัวเอ็กซ์ควิสิทนั้นเป็นเพราะหานเซิ่นทำพลาด แต่ถึงเขาจะทำพลาดจริงๆ มันก็ไม่มีทางที่การโจมตีทั้งหมดของเขาจะไม่โดนร่างกายของเธอเลย


 


“ศิษย์พี่ไผ่เดียวดาย เอ็กซ์ควิสิทกำลังใช้พลังอะไรอยู่? นางหลีกเลี่ยงการโจมตีทั้งๆที่ยืนอยู่เฉยๆได้ยังไง?” ยวิ๋นซู่อีถามไผ่เดียวดายที่อยู่ข้างๆ


 


ไผ่เดียวดายรออยู่สักพักก่อนที่จะพูดขึ้นมา “นางอาจจะไม่ได้ขยับตัว แต่ในทางหนึ่งนางยังคงหลบหลีก”


 


“นั่นหมายความว่ายังไง?” ยวิ๋นซู่ซางอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา


 


ไผ่เดียวดายคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “พวกเรารู้ว่าการเคลื่อนไหวนั้นมีความสัมพันธ์กัน ในตอนที่เรานั่งบนยานอวกาศและมองออกไปนอกหน้าต่าง มันอาจจะดูเหมือนกับสิ่งที่อยู่ภายนอกกำลังเคลื่อนที่ไปด้านหลังแทนที่จะเป็นยานอวกาศเคลื่อนที่ไปด้านหน้า”


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น ยวิ๋นซู่ซางก็พูดอย่างสั่นไหว “ศิษย์พี่หมายความว่าเอ็กซ์ควิสิทไม่ใช่คนที่เคลื่อนไหว แต่จริงๆแล้วเป็นทั้งโลก?”


 


“ทำนองนั้น เนื่องจากนางยังเป็นแค่ระดับราชันขั้นที่เก้า ความสามารถของนางจึงไม่ได้ทรงพลังถึงขนาดนั้น แต่อย่างน้อยสนามประลองก็เคลื่อนไหวเพราะนาง” ไผ่เดียวดายพยักหน้า


 


“ทั้งโลกถูกเปลี่ยนแปลงโดยนาง นั่นหมายความว่าหานเซิ่นจะพ่ายแพ้น่ะสิ” ยวิ๋นซู่อีกังวล


 


“บางทีอาจจะไม่ ข้าแค่อธิบายสิ่งที่นางกำลังทำ เอ็กซ์ควิสิทยังคงเป็นแค่นักสู้ระดับราชัน นางไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า มันมีขีดจำกัดของอิทธิพลที่มีต่อโลก หานเซิ่นแค่ต้องก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไป” ไผ่เดียวดายพูด


 


“พวกเขาทั้งคู่เป็นระดับราชันขั้นที่เก้าเหมือนกัน? แบบนั้นพลังของหานเซิ่นจะก้าวข้ามเอ็กซ์ควิสิทไปได้อย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีมองไผ่เดียวดายและคาดหวังคำตอบจากเขา


 


“ได้” ไผ่เดียวดายตอบอย่างมั่นใจ


 


หลังจากที่ไผ่เดียวดายพูดแบบนั้น หานเซิ่นก็ยกมือขึ้นและฟันออกไปเหมือนกับการโจมตีครั้งแรกสุด


 


“ใช้การโจมตีแบบเดิมซ้ำอีกครั้ง? มันไม่มีประโยชน์ที่จะใช้การโจมตีแบบเดิมเป็นครั้งที่สอง” เอ็กซ์ควิสิทยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่ขณะที่เธอพูดแบบนั้น เธอก็ชะงักไปและก้มมองตัวเอง


 


เสียงผ้าฉีกขาดดังขึ้นมา แขนเสื้อข้างซ้ายของเอ็กซ์ควิสิทถูกฉีกขาดและพลังเขี้ยวสีม่วงก็แพร่กระจายบนชุดขาวของเธอ


 


“เจ้าบอกว่าการใช้การโจมตีแบบเดิมจะไม่ได้ผลอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นยิ้มให้กับเอ็กซ์ควิสิทขณะที่พูด

 

 

 


ตอนที่ 2631

 

ในจังหวะนั้นศิษย์ของปราสาทนภารู้สึกราวกับว่าหินก้อนใหญ่ถูกยกออกจากไหล่ พวกเขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ


 


หานเซิ่นคือที่สุดของที่สุดในปราสาทนภา มันผ่านไปสักพักแล้ว แต่หานเซิ่นก็ยังทำอะไรไม่ได้ ขณะที่เอ็กซ์ควิสิทยืนนิ่งราวกับขุนเขา การโจมตีพลาดเป้าครั้งแล้วครั้งเล่าสร้างความกดดันให้กับศิษย์ของปราสาทนภา และทำให้พวกเขาหายใจไม่สะดวก พวกเขาคิดว่าเอ็กซ์ควิสิทเป็นเหมือนเทพที่ไม่สามารถแตะต้องได้


 


แต่หลังจากนั้นมีดของหานเซิ่นก็ตัดแขนเสื้อของเอ็กซ์ควิสิทได้สำเร็จ การได้เห็นโอกาสแม้จะเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ช่วยผ่อนความวิตกกังวลของผู้ชม


 


“โจมตีต่อไป” เอ็กซ์ควิสิทพูด เธอสะบัดแขนเสื้อและพลังเขี้ยวก็ดับไปราวกับมีใครบางคนใช้ถังน้ำราดใส่กองไฟ หานเซิ่นยกมือขึ้นอีกครั้งและฟันออกไปทางเอ็กซ์ควิสิท ครั้งนี้เขาใช้พลังและความเร็วที่มากยิ่งกว่าเดิม


 


ในที่สุดเอ็กซ์ควิสิทก็เคลื่อนไหว เธอก้าวเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอที่จะหลบหลีกการโจมตีของหานเซิ่น ถึงอย่างนั้นมันก็ดูไม่เหมือนว่าเธอคิดจะตอบโต้


 


หานเซิ่นผลักดันตัวเองเพื่อปลดปล่อยพลังมากยิ่งกว่าเดิม เขาใช้วิชามีดเขี้ยวดาบอีกครั้งหนึ่ง เท้าของเอ็กซ์ควิสิทเคลื่อนไหวอย่างสง่างามขณะที่เธอสไลด์ไปด้านข้างเบาๆเพื่อหลบทุกการโจมตีของหานเซิ่น มีดลมปราณของหานเซิ่นไม่สามารถสัมผัสชุดของเอ็กซ์ควิสิทได้อีกเป็นครั้งที่สอง


 


“ถึงแม้หานเซิ่นจะก้าวข้ามพลังของเอ็กซ์ควิสิทที่ส่งผลต่อสนามประลองได้ แต่เขาก็ยังตามความเร็วของนางไม่ทัน สถานการณ์ของหานเซิ่นในตอนนี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เขาจำเป็นต้องก้าวข้ามทั้งวิชาที่นางใช้และความเร็วของนาง” กระเรียนพันขนพูดเมื่อเขาเข้าใจสถานการณ์ของหานเซิ่น


 


“พลังของเผ่าเวรี่ไฮน่ากลัวเกินไปแล้ว มันเหมือนกับพวกเขากำลังขี้โกง ทั้งจักรวาลนั้นกำลังช่วยเหลือนาง” ยวิ๋นซู่อีพูดอย่างหดหู่


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเผ่าเวรี่ไฮก็คงจะไม่กลายเป็นเผ่าพันธุ์อันดับหนึ่งของจักรวาลจีโน แม้แต่แอนเชี่ยนท์ก็อตที่เป็นระดับเทพเจ้าตั้งแต่กำเนิดก็อิจฉาพลังของพวกเขา” ไผ่เดียวดายพูด


 


ผู้นำปราสาทนภาสังเกตหานเซิ่นด้วยความสนใจอย่างยิ่ง เขายิ้มและพูด

“เผ่าเวรี่ไฮเป็นที่รู้จักในเรื่องความแข็งแกร่ง ในแง่หนึ่งการต่อสู้กับเผ่าเวรี่ไฮนั้นเสมือนการต่อสู้กับจักรวาล ถึงแม้ระดับพลังของเอ็กซ์ควิสิทจะยังต่ำ แต่คนในระดับเดียวกันกับนางก็จะยังคงเสียเปรียบอย่างมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนาง นอกซะจากว่าคนๆนั้นจะมีระดับสูงกว่าเวรี่ไฮถึงสองขั้น มันก็เป็นเรื่องยากที่จะต่อสู้กับพวกเขา หานเซิ่นจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไงนั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจ”


 


“เจ้าคิดว่าหานเซิ่นมีโอกาสชนะการต่อสู้นี้จริงๆอย่างนั้นหรอ?”

ผู้หญิงคนนั้นถามด้วยความสงสัย


 


“ข้าคิดว่าเจ้าเองก็ถูกใจเขาเช่นกัน” ผู้นำของปราสาทนภาพูด


 


“ข้าถูกใจเขาก็เพราะพลังในการอวยพรและอาวุธระดับเทพเจ้าที่เขามี พรสวรรค์ของเขาไม่ได้เลวร้ายอะไร มันคงจะดีกว่าคนอื่นในระดับเดียวกัน แต่ลำพังแค่วิชาการต่อสู้ของเขายังคงไม่เพียงพอจะรับมือกับคนเผ่าเวรี่ไฮ ข้าไม่ได้จะบอกว่าหานเซิ่นอ่อนแอ แต่เผ่าเวรี่ไฮนั้นแข็งแกร่งเกินไป” ผู้หญิงคนนั้นพูด


 


“ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นมีโอกาสชนะอยู่ดี” ผู้นำปราสาทนภาพูดขณะที่มองไปที่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นฟันออกไปโดยใช้วิชามีดเขี้ยวดาบอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็หยุดการโจมตี


 


“เจ้ายังมีวิชาจีโนอะไรอีก? ใช้พวกมันซะ” เอ็กซ์ควิสิทสั่ง เธอยังอยากจะเห็นพลังของหานเซิ่นมากกว่านี้ ดังนั้นเธอจึงไม่ตอบโต้


 


ขณะที่ศิษย์ของปราสาทนภามองไปที่เอ็กซ์ควิสิท มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังมองไปยังวัลคีรี่ที่ไม่สามารถเอาชนะได้ เธอกลายเป็นอะไรที่ไม่สามารถแตะต้องได้


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้เกรงกลัว เขาเคยเห็นเอ็กซ์ควิสิทรับใช้จระเข้ระดับเทพเจ้าราวกับเป็นสาวใช้คนหนึ่ง ดังนั้นเขาไม่คิดว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถเอาชนะได้


 


แถมพลังของเอ็กซ์ควิสิทก็ไม่ได้ดูไร้เทียมทานสำหรับหานเซิ่นซะทีเดียว


 


ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนจับจ้องไปที่หานเซิ่น ถ้าพวกเขาตกอยู่ในเหตุการณ์เดียวกันกับหานเซิ่น พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะรู้สึกสิ้นหวังขนาดไหน พวกเขาคงจะทำให้ชุดของเอ็กซ์ควิสิทยับไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


หานเซิ่นสลัดมือและพูดกับเอ็กซ์ควิสิท “ข้าอุ่นเครื่องเสร็จแล้ว ตอนนี้พวกเรามาเริ่มกันเลย”


 


“อุ่นเครื่อง? นั่นเป็นแค่การยืดเส้นยืดใส่ของเขาหรอกหรอ?”

“อาจารย์หาน… การพูดเกทับแบบนี้ ดูจะเป็นอะไรที่มากเกินไป”

“ฮ่าๆ! อาจารย์หานยังคงเป็นอาจารย์หาน การเกทับของเขานี่ไม่แพ้ใครจริงๆ”


 


หานเซิ่นได้ใช้พลังที่มีเฉพาะที่สุดของที่สุดระดับราชันขั้นที่เก้าเท่านั้น มันไม่มีทางที่เขาจะเก็บพลังส่วนใหญ่เอาไว้และยังคงไม่ได้ใช้พวกมันออกมา


 


แต่ถึงอย่างนั้นศิษย์ของปราสาทนภาก็เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อพวกเขามองไปที่เอ็กซ์ควิสิท เธอก็ไม่ได้ดูเหมือนสิ่งที่ไม่สามารถแตะต้องได้เหมือนก่อนหน้านี้


 


ในตอนที่เอ็กซ์ควิสิทเปิดเนตรเวรี่ไฮของเธอ อารมณ์ความรู้สึกของเธอก็ดูเหมือนจะหายไป เธอดูสงบนิ่งอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ตอนนี้เธอขมวดคิ้ว


 


“การตีหน้าตายของเจ้านี่มันดีเกินไปแล้ว…” ผู้นำปราสาทนภาอยากจะหัวเราะออกมา


 


“เขาเป็นเหมือนกับเจ้าในตอนที่เจ้ายังหนุ่ม” ผู้หญิงคนนั้นพูด


 


“แต่ในตอนที่ข้ายังหนุ่ม ข้าแข็งแกร่งจริงๆ ข้าไม่ได้แสแสร้งอย่างที่เขาทำ” ผู้นำปราสาทนภาโต้แย้งสิ่งที่เธอพูด


 


ผู้หญิงคนนั้นกรอกตาของเธอ แต่เธอไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น


 


ผู้นำปราสาทนภาเป็นคนฉลาด เขาจึงหยุดพูดไป เพราะยังไงซะผู้หญิงคนนี้ก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอดีตของเขา


 


“ในเมื่อเจ้าอุ่นเครื่องเสร็จแล้ว พวกเราก็มาเริ่มกันเลย”

เอ็กซ์ควิสิทพูดอย่างสงบนิ่ง เธอเพียงแค่แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาในช่วงสั้นๆ และสิ่งที่หานเซิ่นพูดก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเธอมากนัก


 


ฟอร์เก็ตเลิฟของเวรี่ไฮนั้นไม่ใช่เรื่องตลก ระดับพลังของเอ็กซ์ควิสิทยังต่ำ แต่เวรี่ไฮระดับเทพเจ้านั้นสามารถมองสามีหรือลูกของตัวเองถูกฆ่าตรงหน้าโดยที่ไม่รู้สึกอะไร


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องมองให้ดี” หานเซิ่นค่อยๆยกมือขวาขึ้น เขากำนิ้วมือเข้าด้วยกันเป็นกำปั้น


 


ทุกคนเห็นว่าหานเซิ่นเตรียมตัวจะปลดปล่อยหมัดออกมา แต่ทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นมา “เจ้าเคยได้ยินคำกล่าวหนึ่งไหม?”


 


“คำกล่าวอะไร?” เอ็กซ์ควิสิทถาม


 


“ที่ว่าข้ายิ่งใหญ่ที่สุดในระดับตัวเอง” หานเซิ่นพูดแต่ละคำอย่างช้าๆ


 


“ไม่เคย” เอ็กซ์ควิสิทรู้ว่าหานเซิ่นหมายความว่าอะไร แต่สีหน้าของเขายังคงไม่สั่นคลอน การกระทำนั้นเป็นอะไรที่ดังกว่าคำพูด


 


ในตอนที่ศิษย์ของปราสาทนภาได้ยินสิ่งที่เขาพูด พวกเขาเองก็คิดว่านี่มันมากเกินไป เมื่อดูจากสถานการณ์ของหานเซิ่นแล้ว มันเป็นอะไรที่มากเกินไปจริงๆ


 


“ถ้าอย่างนั้นในตอนนี้เจ้าก็ควรเรียนรู้มัน” หานเซิ่นแกว่งหมัดของเขาออกไป


 


ร่างกายของเขาฉีกผ่านอวกาศและหายไปจากสายตาของทุกคน เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็ชกใส่ใบหน้าของเอ็กซ์ควิสิท จมูกของเอ็กซ์ควิสิทถูกบี้และมีเลือดพุ่งออกมา ขณะที่ร่างกายของเธอถูกส่งกระเด็นออกไป เธอไปชนเข้ากับบาเรียของสนามประลองอย่างความรุนแรงจนแม้แต่โล่ป้องกันก็ยังแตกกระจาย


 


หลังจากนั้นทุกคนในปราสาทนภาก็เงียบสนิทไป

 

 

 


ตอนที่ 2632

 

“ข้ายิ่งใหญ่ที่สุดในระดับของตัวเอง” ทันใดนั้นความรู้สึกของทุกคนเกี่ยวกับคำพูดของหานเซิ่นก็เปลี่ยนไปจากเดิม


 


ร่างกายของเอ็กซ์ควิสิทร่วงลงไปกับพื้นเสียงดัง ในตอนที่เธอลุกกลับขึ้นมา เธอก็ลุกขึ้นราวกับซอมบี้ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเลือด แต่เธอก็กลับสู่สภาพปกติในทันที เธอดูงดงามเหมือนก่อนที่จะถูกหมัดของหานเซิ่น


 


“นั่นเป็นวิชาจีโนแบบไหนกัน?” เอ็กซ์ควิสิทถามหานเซิ่น


 


หานเซิ่นเพิ่มความเร็วจนกระทั่งเขารวดเร็วกว่าการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล เขารวดเร็วเกินกว่าที่เธอจะตอบสนองได้ทัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ระดับราชันขั้นที่เก้าคนหนึ่งจะทำได้ มีแค่ระดับครึ่งเทพไม่กี่คนเท่านั้นจะรวดเร็วถึงขั้นนั้น เอ็กซ์ควิสิทพอจะรู้จักคนที่ทำเรื่องแบบนั้นได้ แต่หานเซิ่นไม่ได้อยู่ในรายชื่อเหล่านั้น


 


อวี้ซ่านซินของปราสาทนภาเป็นหนึ่งในนั้น เขาสามารถเคลื่อนไหวด้วยความเร็วแบบนั้นได้ แต่เขาต้องใช้ดวงตานภาและวิถีเอ็กซ์ตรีมอีวิล หานเซิ่นเป็นแค่คริสตัลไลเซอร์คนหนึ่ง ดังนั้นเขาไม่สามารถใช้ดวงตานภาได้


 


“นั่นไม่ใช่วิชาจีโน มันเป็นแค่หมัดธรรมดาๆ” หานเซิ่นยิ้ม


 


“อาจารย์หานนี่เกทับเก่งจริงๆ ตอนนี้ข้าเริ่มจะเชื่อที่เขาพูดแล้ว”

“ฮ่าๆ! หมัดธรรมดาๆ อาจารย์หานพูดได้ดีมาก”

“เผ่าเวรี่ไฮจริงๆแล้วก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร นางรับหนึ่งหมัดของอาจารย์หานไม่ได้ด้วยซ้ำ”


 


ศิษย์ของปราสาทนภาตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขาไม่ชอบหน้าเอ็กซ์ควิสิท


 


ยวิ๋นซู่อีอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “นี่หานเซิ่นเป็นอะไร? นี่เขาทำตัวอ่อนน้อมถ่อนตนไม่ได้หรือยังไง?”


 


“เขาทำในสิ่งที่ควรทำ ข้าไม่เคยชอบใจเผ่าเวรี่ไฮตั้งแต่แรกแล้ว” ยวิ๋นซู่ซางพูด


 


ไผ่เดียวดายไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเพียงแค่ยิ้มออกมา ผู้ชมคิดว่าหานเซิ่นแค่พยายามจะยั่วให้เอ็กซ์ควิสิทโกรธ แต่เขารู้ว่าหานเซิ่นพูดความจริง นั่นเป็นเพียงแค่หมัดธรรมดาจริงๆ


 


ไผ่เดียวดายเคยต่อสู้กับหานเซิ่นมาก่อน หานเซิ่นรวดเร็วมากขนาดนั้นจริงๆ ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาก็สูงจนเหนือกว่าระดับครึ่งเทพส่วนใหญ่


 


ไผ่เดียวดายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผีเสื้อเนตรม่วง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าเขาเทียบกับหานเซิ่น เขาก็ยังคงด้อยกว่าอยู่ดี


 


วิชาจีโนทั้งสี่ตัวของหานเซิ่นถึงขั้นเก้าทั้งหมดแล้ว ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาจึงถูกเสริมพลังถึงสี่ครั้ง ระดับราชันขั้นที่เก้าทั่วไปไม่สามารถเทียบกับเขาได้


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้ใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด แต่ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาก็ยังเหนือกว่าคนอื่นในระดับเดียวกันอย่างมาก ในบรรดาระดับราชันด้วยกันหานเซิ่นอยู่ในจุดสูงสุดจริงๆ ที่หานเซิ่นพูดว่าเขายิ่งใหญ่ที่สุดในระดับตัวเองนั้นไม่ใช่การพูดโอ้อวดแต่อย่างใด เพราะยังไงซะมันก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นที่จะได้รับการเสริมความแข็งแกร่งจากวิชาจีโนสี่ตัวเหมือนอย่างหานเซิ่น แถมวิชาจีโนที่เขาฝึกก็ยังเป็นที่สุดของที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ ถึงเขาจะยังอ่อนแอกว่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า แต่ระดับราชันและครึ่งเทพนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป


 


“นั่นเป็นเพียงแค่หมัดธรรมดาๆ? ถ้าอย่างนั้นก็แสดงให้ข้าดูว่าเจ้าจะชกหมัดธรรมดานั่นได้สักกี่ครั้ง” ถึงแม้เอ็กซ์ควิสิทจะยังคงใช้เนตรเวรี่ไฮ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเล็กน้อย


 


เอ็กซ์ควิสิทยกแขนขวาขึ้นและฟันมือออกไปในทิศทางของหานเซิ่น ทุกคนรู้สึกตัวในทันทีว่าเธอกำลังใช้วิชามีดเขี้ยวดาบท่าเดียวกับหานเซิ่น


 


ศิษย์ของปราสาทนภารู้สึกตกใจ วิชามีดเขี้ยวดาบนั้นไม่ใช่วิชามีดที่ดีที่สุด แต่มันเป็นวิชาจีโนลับของเผ่ารีเบท การจะฝึกมันจำเป็นต้องใช้ร่างกายของรีเบท


 


มันถือเป็นอะไรที่พิเศษมากแล้วที่หานเซิ่นสามารถใช้มันได้ แต่เขาเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของอี๋ซา ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากที่เขาจะใช้มันได้ แต่ทว่าเอ็กซ์ควิสิทเองก็สามารถใช้มีดเขี้ยวดาบได้เช่นเดียวกัน ในตอนที่เธอใช้มัน มีดลมปราณสีม่วงของเธอฉีกอวกาศรอบๆ เธอใช้มันได้ทรงพลังมากยิ่งกว่าหานเซิ่นซะอีก


 


ถึงเอ็กซ์ควิสิทจะอยู่ในปราสาทนภามาตลอดหนึ่งปี แต่เธอไม่ได้ใช้เวลานั้นอย่างเสียเปล่า วิชามีดเขี้ยวดาบนั้นไม่ใช่ความลับต่อเผ่าเวรี่ไฮ และเธอก็ใช้เวลาในการฝึกฝนมันจนถึงขั้นสูงสุด


 


ในตอนที่เอ็กซ์ควิสิทใช้เนตรเวรี่ไฮ ทั้งจักรวาลจะช่วยเหลือเธอ จิตแห่งมีดของเธอไม่ได้ดีเหมือนอย่างของหานเซิ่น แต่พลังในการฟันของเธอนั้นเหนือกว่าของหานเซิ่นก่อนหน้านี้


 


หานเซิ่นเห็นพลังฉีกอวกาศตรงเข้ามา แต่สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาใช้วิชาเรื่องราวของยีนจนถึงขีดจำกัดและชกหมัดออกไปใส่มีดลมปราณสีม่วง


 


ขณะที่ทุกคนยังคงอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ หมัดของหานเซิ่นก็ทำลายมีดลมปราณที่พุ่งเข้ามาและมันไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น มันพุ่งต่อไปหามือของเอ็กซ์ควิสิท


 


เสียงหักกระดูกดังให้ได้ยินทั่วทั้งสนามประลอง มือของเอ็กซ์ควิสิทถูกบดขยี้ด้วยหมัดของหานเซิ่น แต่หมัดของเขาก็ยังคงไม่หยุดและพุ่งต่อไปที่อกของเอ็กซ์ควิสิท


 


ใบหน้าของเอ็กซ์ควิสิทซีดไป แต่เธอตอบสนองได้ทันเวลา เธอใช้ก็อตส์วอนเดอร์เพื่อหนีไปจากหมัดของหานเซิ่น


 


แต่ในตอนที่เธอปรากฏตัวอีกครั้ง หมัดของหานเซิ่นก็ยังคงตรงเข้ามาหาเธอ


 


ทุกคนอ้าปากค้าง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง


 


แม้แต่ผู้นำปราสาทนภาก็ยังตกตะลึง หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พูด

“ไม่เลวเลย เขาแข็งแกร่งเหมือนกับข้าตอนหนุ่มๆ”


 


“เขาแข็งแกร่งกว่าเจ้าในตอนที่เจ้ายังหนุ่มมาก” ผู้หญิงคนนั้นพูด


 


“ในตอนที่ข้ายังหนุ่ม ข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเสือและโหดร้ายยิ่งกว่าหมาป่า” ผู้นำปราสาทนภาพยายามอธิบาย


 


แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ผู้หญิงคนนั้นก็พูดตัดเขา “ในตอนที่เจ้ายังหนุ่ม เจ้ารังแกคนเผ่าเวรี่ไฮได้อย่างนั้นหรอ?”


 


“เอิ่ม…ข้าเอาชนะพวกเขาได้…” ผู้นำของปราสาทนภาพูด


“มันมีความแตกต่างระหว่างเอาชนะกับรังแก” ผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับกรอกตา


 


หานเซิ่นรังแกเอ็กซ์ควิสิทเหมือนกับที่แมวทำกับหนู


 


ต่อหน้าความเร็วและพละกำลังที่เด็ดขาด เอ็กซ์ควิสิทที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนกับเทพ ตอนนี้เหมือนกับกระสอบทราย กระดูกของเธอหักไปตามๆกันและเธอก็ไม่สามารถคงรูปลักษณ์ที่สง่าผ่าเผยเอาไว้ได้อีก


 


เอ็กซ์ควิสิทใช้วิชาจีโนต่างๆเพื่อจะตอบโต้ แต่ความพยายามของเธอนั้นไร้ประโยชน์ ความเร็วและพละกำลังของหานเซิ่นสยบเธออย่างสมบูรณ์ เธอไม่สามารถหลบหลีกหรือโต้กลับได้ นอกจากการถูกชกซ้ำๆ มันก็ไม่มีอะไรที่เธอจะทำได้


 


หานเซิ่นในตอนนี้เป็นเหมือนกับไทแรนโนซอรัสที่เกรี้ยวโกรธ เขาเมินเฉยต่อการโจมตีของเอ็กซ์ควิสิทและปล่อยให้พลังของเธอเข้าพุ่งเข้ามาถูกตัวของเขา ในขณะที่ทุกหมัดของหานเซิ่นชกถูกเอ็กซ์ควิสิทและทำลายกระดูกของเธอทีละส่วน ภายใต้การโหมกระหน่ำ เอ็กซ์ควิสิทกระอักเลือดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้


 


ถ้าเธอต่อสู้กับคนอื่น เธอสามารถใช้ก็อตส์วอนเดอร์เพื่อปกป้องร่างกายได้ สถานการณ์นั้นจะไม่เลวร้ายขนาดนี้


 


แต่อีกตัวตนของของหานเซิ่นได้เรียนรู้ก็อตส์วอนเดอร์เรียบร้อยแล้ว ทุกครั้งที่เธอหายตัวไป เขาแค่จำเป็นต้องคำนวณและคาดเดาตำแหน่งที่เอ็กซ์ควิสิทจะปรากฏตัวอีกครั้ง


 


สนามประลองนั้นมีขนาดค่อนข้างเล็ก ดังนั้นมันไม่มีพื้นให้เธอเทเลพอร์ตไปได้มากนัก หานเซิ่นสามารถระบุตำแหน่งที่เธอจะปรากฏตัวต่อไปได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร


 


ปัง!


ร่างกายของเอ็กซ์ควิสิทกระเด็นไปชนกับบาเรียของสนามประลองอีกครั้ง โล่ป้องกันแตกกระจายภายใต้การกระแทก เมื่อเธอร่วงลงไปกับพื้น เอ็กซ์ควิสิทก็นอนอยู่ตรงนั้นและไม่ได้พยายามลุกกลับอีกครั้ง เธอมองหานเซิ่นด้วยความตกตะลึง


 


เธอไม่อยากจะเชื่อ เนตรเวรี่ไฮของเธอยังคงทำงานอยู่ แต่เธอถูกสยบโดยคนในระดับเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าเธอจะพยายามยังไง เธอก็ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้

 

 

 


ตอนที่ 2633

 

เอ็กซ์ควิสิทนอนอยู่บนพื้น เธอจ้องไปที่หานเซิ่นและไม่ได้ลุกกลับขึ้นมา เธอคิดเกี่ยวกับสิ่งที่หานเซิ่นพูดด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน


 


“อาจารย์หานแข็งแกร่งเกินไปแล้ว”

“แม้แต่เอ็กซ์ควิสิทก็เป็นแค่เศษสวะต่อหน้าอาจารย์หาน นี่นางเป็นเผ่าเวรี่ไฮแบบไหนกัน?”

“น่ากลัวจริงๆ พี่น้องตระกูลหานเป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งคู่”


 


เลือดของศิษย์ปราสาทนภาเดือดปุดๆด้วยความตื่นเต้น เผ่าเวรี่ไฮมักจะทำเหมือนกับว่าเผ่านภาด้อยกว่าพวกเขาอยู่เสมอๆ ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นเอ็กซ์ควิสิทพ่ายแพ้ต่อหานเซิ่นอย่างราบคาบ พวกเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดี พวกเขาปรารถนาว่าตัวเองจะต่อสู้กับเผ่าเวรี่ไฮได้เหมือนกับที่หานเซิ่นทำ


 


“ตอนนี้การต่อสู้นี้จบลงแล้วสินะ?” หานเซิ่นพูดกับเอ็กซ์ควิสิทที่นั่งอยู่บนพื้นนอกสนามประลอง


 


เอ็กซ์ควิสิทดูเหมือนจะสะดุ้งตื่นจากอาการตกใจ ขณะที่เธอจ้องไปที่หานเซิ่น ความแน่วแน่ก็กลับมาสู่ดวงตาของเธอ


 


“ไม่ มันยังไม่จบ จักรวาลยังคงอยู่ข้างข้า ข้าจะไม่แพ้”

เอ็กซ์ควิสิทค่อยๆลุกกลับขึ้นมา เส้นผมของเธอลอยขึ้นและปลิวไสวในอากาศ ดวงตาไท่เก๊กของเธอหมุนอย่างน่ากลัวและเรืองแสงขึ้นมา ลมปราณสีดำและขาวเริ่มพลุ่งพล่านออกมาจากร่างกายของเธอ พวกมันเริ่มจะหมุนรวมกันและก่อตัวเป็นโครงสร้างของโซ่สสาร


 


“นางบังคับให้ทั้งเก้าขั้นรวมเป็นหนึ่ง ตอนนี้นางกลายเป็นระดับครึ่งเทพแล้ว!” ผู้ชมทุกคนเริ่มจะรู้สึกตัวในเรื่องนั้น


 


ขณะที่ทุกคนยังคงตกตะลึง ลมปราณสีดำและขาวของเอ็กซ์ควิสิทก็ระเบิดออกมา ชุดเกราะจีโนสีดำปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของเธอ ใบหน้าของเธอเองก็ถูกปกคลุมด้วยเช่นกัน มีเพียงแค่เนตรเวรี่ไฮเท่านั้นที่มองเห็นได้ ขณะเดียวกันเนตรเวรี่ไฮก็เปลี่ยนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ มันเหมือนกับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์น้อยๆ


 


ในตอนนี้เอ็กซ์ควิสิทเป็นเหมือนกับราชินีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว และเธอก็ใช้ดวงตาที่สามของเธอมองมาที่หานเซิ่นอย่างเย็นชา


 


เอ็กซ์ควิสิทยกมือขึ้นในทิศทางของหานเซิ่นและทำท่าดึง ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ปลดปล่อยพลังอะไร แต่อวกาศรอบๆนั้นบิดเบือน มันเหมือนกับว่าอวกาศระหว่างพวกเขาทั้งสองถูกลดลงไป และร่างกายของหานเซิ่นก็ถูกดึงไปอยู่ตรงหน้ามือของเอ็กซ์ควิสิท เอ็กซ์ควิสิทจับคอของเขาเอาไว้


 


“ในจักรวาลของข้าไม่มีใครเอาชนะข้าได้!” เอ็กซ์ควิสิทใช้เปลวเพลิงสีขาวในดวงตาที่สามมองที่หานเซิ่นขณะที่พูด


 


หลังจากนั้นร่างกายของเอ็กซ์ควิสิทก็เริ่มจะปลดปล่อยลมปราณสีขาวและดำที่น่าสะพรึงกลัวออกมา มันเหมือนกับว่าพลังทั้งหมดในจักรวาลมารวมกันอยู่ในมือของเธอ ถ้าเธอบีบเพียงแค่นิดเดียว เธอก็คงจะบดขยี้คอของหานเซิ่นได้อย่างง่ายดาย


 


“ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ยอมแพ้” เอ็กซ์ควิสิทพูดกับหานเซิ่น เสียงของเธอเป็นโทนเดียวราวกับเครื่องจักร มันเหมือนกับว่าเธอยินดีจะเปลี่ยนร่างกายของหานเซิ่นให้เป็นผุยผงถ้าเขาไม่คิดจะยอมแพ้


 


“ข้าชอบตอนที่เจ้ายิ้มมากกว่า แบบนี้มันไม่เหมาะกับเจ้า” หานเซิ่นพูด


 


“ข้าบอกให้เจ้ายอมแพ้!” เอ็กซ์ควิสิทขึ้นเสียง ลมปราณสีดำและขาวพลุ่งพล่านจากมือของเธอราวกับปีศาจที่หิวกระกาย มันเหมือนกับว่าพวกมันกำลังจะเขมือบร่างกายของหานเซิ่นเข้าไป


 


“ไม่มีใครบังคับให้ข้าทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้” หานเซิ่นตอบ


 


เอ็กซ์ควิสิทมองหานเซิ่นและไม่พูดอะไร ใบหน้าของเธอยังคงไร้ซึ่งความรู้สึก ลมปราณสีดำและขาวในอากาศเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนกับว่าพวกมันพร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ


 


ศิษย์ของปราสาทนภามองหานเซิ่นด้วยความกังวล ยวิ๋นซู่อีจิกชุดของตัวเองอย่างเป็นกังวล เล็บของเธอนั้นเกือบจะฉีกเสื้อผ้าจนขาด


 


“พวกเราควร…” ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่ผู้นำปราสาทนภา


 


ผู้นำปราสาทนภาส่ายหัว “รอต่ออีกหน่อย”


 


ขณะที่หานเซิ่นมองดูเอ็กซ์ควิสิท เขาไม่ได้โกรธเธอ เขารู้สึกสงสารเธอ


 


เธอยอมทิ้งอารมณ์ความรู้ขเพื่อจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล แต่ถ้าให้พูดตรงๆ มันเหมือนกับว่าเธอเป็นเบี้ยของจักรวาลมากกว่า เธอได้ทิ้งตัวตนของตัวเองเพื่อจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูง


 


หานเซิ่นเคยเห็นคนที่คล้ายคลึงกันมาก่อนภายในปราสาทนภา แต่นั่นแตกต่างไปจากที่เขาเห็นในตอนนี้ ในตอนที่เผ่านภากลายเป็นหนึ่งกับท้องฟ้า พวกเขาจะโฟกัสที่อารมณ์ความรู้สึกของตัวเองมากกว่า มันไม่เหมือนกับคนเผ่าเวรี่ไฮที่สนใจแค่การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล


 


“ถ้าเผ่านภารวมกับจักรวาลหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ พวกเขาจะยังคงถูกนับว่าเป็นบุคคลคนหนึ่งอีกอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นส่ายหัว มันมีหลายสิ่งที่เขาไม่แน่ใจ แต่เขารู้ว่าตัวเองไม่ต้องการอนาคตแบบนั้น เขาไม่สามารถเลือกเส้นทางนี้


 


เอ็กซ์ควิสิทยืนอยู่ตรงหน้าเขาและพลังของเธอก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นเอื่อมมือไปแกะมือของเอ็กซ์ควิสิทที่กำลังใช้บีบคอของเขา


 


แสงสีขาวในดวงตาของเอ็กซ์ควิสิทรั่วไหลออกมา ลมปราณสีดำและขาวของเธอปะทุราวกับภูเขาไฟ มือทั้งสองข้างของเธอบินออกไปในทิศทางของหานเซิ่นราวกับกระสุน


 


ลมปราณสีดำและขาวของเธอกำลังให้กำเนิดโซ่สสารบนกำปั้น กำปั้นนั้นทรงพลังขนาดที่สีหน้าของทุกคนในปราสาทนภาเปลี่ยนไป ยวิ๋นซู่อีรู้สึกกังวลจนรู้สึกราวกับว่าหัวใจจะกระโดดออกมาจากอกได้ทุกเมื่อ


 


พวกเขาทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมากๆ และพลังที่เอ็กซ์ควิสิทใช้ก็เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว ถ้าหานเซิ่นถูกชกเข้า ร่างกายของเขาก็คงจะถูกทำลาย


 


แต่วินาทีต่อมา ผู้ชมสังเกตเห็นว่ามือของหานเซิ่นเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน เขาเอื้อมมือไปจับกำปั้นของเอ็กซ์ควิสิทที่เข้ามา และหลังจากนั้นมือทั้งสองข้างของเธอก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของหานเซิ่น


 


ลมปราณสีดำและขาวเริ่มจะฉีกมือของหานเซิ่น มันฉีกลึกเข้าไปในชุดเกราะมนตราของหานเซิ่น เลือดเริ่มไหลออกมาจากรอยฉีกนั้น


 


พายุของลมปราณสีดำและขาวนั้นโหมกระหน่ำทั่งสนามประลอง และหานเซิ่นอยู่ในจุดศูนย์กลางของมัน ชุดเกราะของเขาถูกฉีกขาดและรอยแผลเริ่มจะปรากฏขึ้นทั่วร่างกายของเขา


 


“ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรอ? ต่อหน้าคนที่อยู่ระดับเดียวกัน ข้าเป็นราชา มันมีสิ่งเดียวที่จะล้มราชาได้คือรอยยิ้มของสาวงาม การใช้กำลังกับคนอย่างข้ามันไม่ได้ผล” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็โยนร่างของเอ็กซ์ควิสิทที่ห่อหุ้มด้วยลมปราณสีดำและขาวออกไป


 


หานเซิ่นเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งและแกว่งหมัดเข้าใส่เธอราวกับเฮอร์ริเคน


 


ภายใต้หมัดของหานเซิ่น ลมปราณสีดำและขาวค่อยๆเบาบางลงไป หมัดของหานเซิ่นกระหน่ำชกใส่ชุดเกราะสีดำของเอ็กซ์ควิสิท


 


ปัง! ปัง!


การปะทะกันของหมัดและชุดเกราะสร้างเสียงแหลมของโลหะขึ้นมา พวกมันดังต่อกันอย่างรวดเร็วโดยที่ทิ้งช่วงระหว่างแต่ละเสียง

 

 

 


ตอนที่ 2634

 

“นี่…นี่เป็นไปได้ยังไง…” เอ็กซ์ควิสิทไม่อยากจะเชื่อ


 


เธอรู้สึกราวกับว่าการเชื่อมต่อกับจักรวาลนั้นกำลังถูกฉีกขาด พลังที่ผูกเธอกับจักรวาลนั้นกำลังถูกเอาออกไป ความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลของเธอกลายเป็นอะไรที่เบลอและยากจะเข้าใจ ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้และอารมณ์ความรู้สึกที่เลวร้ายต่างๆค่อยๆแทรกซึมเข้ามาสู่ตัวเธอ มันทำให้เธอรู้สึกกลัว กระสับกระส่าย สิ้นหวังและเจ็บปวด


 


“เป็น…ไปได้ยังไง…ข้าเป็นระดับครึ่งเทพเรียบร้อยแล้ว…ทำไมข้าถึงยังพ่ายแพ้…ทำไมกัน…?” ความเจ็บปวดทางกายภาพที่เธอได้รับเป็นสิ่งเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดทางจิตใจ


 


อารมณ์ต่างๆที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อนทั้งหมดมาผสมกันอยู่ในตัวของเธอ พวกมันทำลายความสามารถในการคิดของเธอ ขณะที่เธอมองดูเงาของหมัดที่กำลังกระหน่ำเข้ามา เธอไม่เคยรู้สึกไร้กำลังแบบนี้มาก่อน เธอรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอและไร้ประโยชน์ มันเหมือนกับว่าจักรวาลและทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในนั้นทอดทิ้งเธอ มันทำให้เธอหวาดกลัวยิ่งกว่าความเสียหายทางกายภาพที่เธอได้รับ


 


“ถึงแม้ทั้งจักรวาลจะอยู่ข้างเธอ แล้วมันจะยังไง ถ้าเธอยิ้มไม่ได้ มันก็ไร้ความหมาย การเป็นหนึ่งกับจักรวาลจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีความสุข มีเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์” เสียงของหานเซิ่นดังเข้ามาในหูของเธอ หลังจากนั้นหมัดสุดท้ายของเขาก็ชกเข้ามาใส่ท้องของเธอ มันเป็นหมัดที่รุนแรงและทั้งร่างกายของเธอก็กระเด็นขึ้นด้วยแรงกระแทกของมัน


 


ปัง!


เอ็กซ์ควิสิทอยู่บนอากาศ ชุดเกราะจีโนสีดำที่เธอสวมใส่แตกกระจายราวกับแก้วบางๆและกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่ระยิบระยับ ลมปราณสีดำและขาวของเธอกลายเป็นควันที่ค่อยๆจางหายไป เธอกระอักเลือดออกมาจากและแสงของเนตรเวรี่ไฮก็ดับไป ดวงตาปกติของเธอปิดลงไป แต่เมื่อพวกมันเปิดขึ้นอีกครั้ง พวกมันเป็นสีดำ


 


ดวงตาเหล่านั้นไม่ได้ดูไร้ความรู้สึกและเย็นชาเหมือนกับก่อนหน้านี้ พวกมันดูไร้กำลัง พวกมันดูสิ้นหวัง พวกมันดูสับสน มันมีอารมณ์ความรู้สึกต่างๆมากมายหมุนวนอยู่ภายใน


 


เศษของชุดเกราะตกลงมายังพื้นของสนามประลอง และร่างกายของเอ็กซ์ควิสิทก็ร่วงลงมาในแขนของหานเซิ่น


 


“หวังว่าครั้งต่อไปที่ข้าพบกับเจ้า ข้าจะได้เห็นรอยยิ้มของเจ้า”


 


ใบหน้าของหานเซิ่นอยู่เหนือเอ็กซ์ควิสิท แต่ในตอนที่เธอได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอก็หมดสติไป


 


ทั้งปราสาทนภาตกอยู่ในความเงียบ เวรี่ไฮระดับครึ่งเทพควรจะไร้เทียมทานกับคนที่ยังไม่เป็นระดับเทพเจ้าเต็มตัว หานเซิ่นใช้หมัดของเขาทำลายชุดเกราะจีโนของเธอจนแหลกละเอียด มันเป็นอะไรที่ยากจะทำความเข้าใจได้


 


ในตอนที่ศิษย์ของปราสาทนภาตื่นจากภวังค์ หานเซิ่นก็ได้อุ้มเอ็กซ์ควิสิทออกไปจากลานประลองเรียบร้อยแล้ว


 


“ต่อหน้าคนอื่นที่อยู่ระดับเดียวกัน ข้าเป็นราชา… ไม่อยากเชื่อเลยว่าอาจารย์หานจะทำมันได้จริงๆ”

“เจ้าหมายความว่ายังไงที่ว่าเขาทำมันได้จริงๆ? เขาทำมันไปเรียบร้อยแล้ว ครึ่งเทพของเผ่าเวรี่ไฮที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลเพิ่งจะพ่ายแพ้ให้กับหานเซิ่นที่เป็นแค่ระดับราชันขั้นที่เก้า”

“นั่นเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก ด้วยความแข็งแรงทางร่างกายขนาดนั้น เขาน่ากลัวยิ่งกว่าเผ่าดราก้อนที่แข็งแกร่งที่สุด มันคงจะไม่มีใครที่มีร่างกายแข็งแรงไปกว่าหานเซิ่นอีกแล้ว”

“อย่าลืมไปว่านี่คืออาจารย์หานที่เป็นบิดาของเทพ เขาอวยพรให้กับคนอื่นและทำให้คนพวกนั้นกลายเป็นระดับเทพเจ้า เขาคงจะต้องอวยพรให้กับตัวเองเช่นเดียวกัน”



 


ทั่วทั้งปราสาทนภากำลังพูดกันถึงเรื่องนี้ ประโยคที่ถูกพูดซ้ำกันมากที่สุดคือ “ต่อหน้าคนอื่นที่อยู่ระดับเดียวกัน ข้าเป็นราชา” แม้จะผ่านไปนานหลังจากการประลอง ศิษย์ของปราสาทนภาก็ยังคงพูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


 


ผู้นำปราสาทนภาได้ออกคำสั่งกับศิษย์ทุกคนไม่ให้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไปสู่ภายนอก แต่ปราสาทนภาไม่มีกำแพงเหล็ก ถึงแม้พวกเขาจะพยายามปกปิดเรื่องนี้ แต่เรื่องของหานเซิ่นก็รั่วไหลออกไปอยู่ดี


 


แต่คนส่วนใหญ่ที่ได้ยินเกี่ยวกับการต่อสู้นี้ไม่ได้สนใจอะไรมาก ไม่มีใครเชื่อว่าคริสตัลไลเซอร์ระดับราชันคนหนึ่งจะต่อสู้กับเวรี่ไฮระดับครึ่งเทพได้ ผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้ยินเกี่ยวกับข่าวนี้คิดว่ามันเป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้นมา


 


มีเพียงแค่ศิษย์ของปราสาทนภาที่ได้เห็นการต่อสู้เท่านั้นที่เข้าใจถึงความน่ากลัวของหานเซิ่น


 


บุดด้าระดับเทพเจ้าคนหนึ่งได้ยินเกี่ยวกับข่าวนี้ และคำพูดของเขาก็กลายเป็นที่โด่งดังทั่วจักรวาล “เจ้าเองก็เก่งที่สุดเช่นกันอย่างนั้นหรอหานเซิ่น?”


 


บุดด้าระดับเทพเจ้าคนนั้นพูดอย่างนี้เพื่อเย้ยหยันหานเซิ่น เขาคิดว่าผู้คนนั้นแต่งเรื่องที่เวอร์เกินกว่าจะเชื่อได้ขึ้นมา


 


หลังจากนั้นเป็นเวลายาวนาน “เจ้าเองก็เก่งที่สุดเช่นกันอย่างนั้นหรอหานเซิ่น?” ก็กลายเป็นสำนวนที่ใช้กับคนที่ชอบโอ้อวดจนน่าหัวเราะ มันกลายเป็นสำนวนที่แพร่หลายและถูกใช้กันไปทั่ว ผู้คนเยาะเย้ยหานเซิ่นอย่างน่าไม่อายและหลายคนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำพูดนั้นมาจากบุดด้า



 


“เป็นร่างกายที่แข็งแกร่งอะไรแบบนี้ เขาทำแบบนั้นได้ยังไงกัน? ทำไมคริสตัลไลเซอร์คนหนึ่งถึงมีพละกำลังมากขนาดนั้นได้?” ผู้หญิงข้างๆผู้นำปราสาทนภาพูดด้วยความแปลกใจ เธอไม่เคยคาดคิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้จะออกมาเป็นแบบนี้


 


“มันจะต้องเกี่ยวข้องกับวิชาจีโนที่เขาฝึก อี๋ซาเคยขอให้ข้าช่วยดูวิชาจีโนของเขา นางต้องการให้ข้าปรับแต่งมัน นั่นเป็นวิชาจีโนที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึก ในตอนที่ข้าได้เห็นมัน ข้าไม่คิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตไหนฝึกมันได้ แม้แต่นักสู้ระดับเทพเจ้าก็ไม่มีร่างกายที่แข็งแกร่งพอ ในตอนแรกข้าคิดว่าคนที่คิดวิชาจีโนนั่นขึ้นมาแค่ต้องการเล่นตลก แต่ตอนนี้ข้าเชื่อว่าหานเซิ่นฝึกมันได้สำเร็จจริงๆ และนั่นอาจจะหมายความว่าเขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ผู้นำปราสาทนภาก็ส่ายหัว “มันน่าเสียดายที่หานเซิ่นไม่รู้ว่าเรียนรู้มันมาจากไหน ไม่อย่างนั้นถ้าเขาแบ่งปันความลับของวิชาจีโนนี้ การจะสร้างเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งขึ้นมาก็จะไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป”


 


“มันไม่มีหนทางที่จะปรับแต่งวิชาจีโนนั่นเลยอย่างนั้นหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นถาม


 


“ข้าเคยศึกษามันก่อนหน้านี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปรับแต่ง แถมวิชาจีโนนั่นก็เป็นของหานเซิ่น ถ้าไม่ได้รับการอนุญาตจากเขา พวกเราก็แจกจ่ายมันไม่ได้ นั่นเป็นสัญญาที่ข้าให้ไว้กับอี๋ซา” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


“นั่นเป็นอะไรที่น่าเสียดาย” ผู้หญิงคนนั้นพูด เสียงของเธอเต็มไปด้วยความเสียใจ


 


หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นจากไปแล้ว ผู้นำปราสาทนภาก็เอากระดาษและปากกาขึ้นมา เขาเขียนคำว่า “หานเซิ่น” และหลังจากที่มองดูมันอยู่สักพัก เขาก็วาดวงกลมสองวงถัดไปจากชื่อและเขียนเครื่องหมายคำถามระหว่างพวกมัน


 


เขามองพวกมันต่ออีกสักพัก และผู้นำปราสาทนภาก็พูดกับตัวเองขึ้นว่า

“บางทีเขาอาจจะเป็นบุคคลที่เหมาะสมจริงๆ”


 


ไม่ว่าโลกภายนอกจะพูดอะไร หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้นชื่อเสียงของหานเซิ่นในปราสาทนภาก็เพิ่มสูงขึ้นไปอีก ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้มีสายเลือดของเผ่านภา แต่ทุกคนก็ปฏิบัติกับเขาราวกับว่าเขาเป็นหนึ่งในเผ่านภา


 


ทุกครั้งที่หานเซิ่นทำการสอนวิชาจีโน การบรรยายของเขาจะเต็มไปด้วยผู้คน ศิษย์ของปราสาทนภาจะพากันมาฟังการสอนของเขา แม้แต่คนที่เป็นระดับราชันและครึ่งเทพก็ยังมาฟังการบรรยายของหานเซิ่น


 


ชุดเกราะจีโนของเอ็กซ์ควิสิทถูกทำลาย และมันต้องใช้เวลานานกว่าที่เธอจะฟื้นตัว หานเซิ่นคิดว่าตัวเองอาจจะเจอกับปัญหาเข้า แต่กระเรียนพันขนมาบอกเขาว่าเอ็กซ์ควิสิทนั้นไม่ได้มีแผนจะเอาเรื่องกับเขา เธอก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเผ่าเวรี่ไฮเช่นกัน


 


“การเป็นหนึ่งกับจักรวาลจะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีความสุข มีเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์… หวังว่าครั้งต่อไปที่ข้าพบกับเจ้า ข้าจะได้เห็นรอยยิ้มของเจ้า”


 


เอ็กซ์ควิสิทนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เธอมองออกไปยังก้อนเมฆอย่างใจลอย เธอเอาแต่คิดเกี่ยวกับสิ่งที่หานเซิ่นพูดกับเธอ

 

 

 


ตอนที่ 2635

 

หลังจากที่พักรักษาตัวอยู่หนึ่งปี ตอนนี้หานเซิ่นก็เกือบจะมีสุขภาพดีเหมือนกับตอนก่อนจะใช้โล่เมดูซ่าส์เกซแล้ว แต่แทนที่จะทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้น การฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บกลับนำปัญหาใหม่มาให้กับเขา


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่ร่างกายของหานเซิ่นยังไม่หายดี ไม่มีใครมาขออะไรเขา แต่ตอนนี้เมื่อเขาหายดีแล้ว ผู้คนมากมายก็พยายามจะใช้อำนาจหรือความสัมพันธ์ของพวกเขากับหานเซิ่นเพื่อจะขอให้หานเซิ่นช่วยอวยพรให้กับลูกหลานของตัวเอง


 


บางคนนั้นง่ายที่หานเซิ่นจะปฏิเสธ ขณะที่บางคนนั้นเป็นเรื่องยาก อย่างเช่นยวิ๋นฉางคงและผู้อาวุโสหกที่เป็นคนคอยดูแลเผ่ารีเบท มันยังมีคนอื่นอีกที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับหานเซิ่น แต่พวกเขาเป็นระดับเทพเจ้าและเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของปราสาทนภา


 


ถ้าหานเซิ่นปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด เขาก็จะขัดใจทุกคนในปราสาทนภา แต่ถ้าหานเซิ่นรับคำขอของพวกเขา หานเซิ่นก็จะถูกขออย่างไม่หยุดจนไม่มีเวลาได้หยุดพัก


 


“หานเซิ่น เจ้าเป็นยังไงบ้าง?” ในตอนที่หานเซิ่นกลับจากหอคอยที่เจ็ดของสถานหยกขาว ปัญหาอีกอย่างก็มาหาเขา


 


หานเซิ่นเงยหัวขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ ซึ่งมันเป็นเสียงของอวี้จิง เขากำลังขี่สัตว์ขี่ซีโน่เจเนอิคระดับราชันตัวหนึ่งมา ดูเหมือนกับว่าชายคนนี้จะมีความเป็นอยู่ที่ดี


 


“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าคงจะไม่ได้มาขอให้ข้าช่วยอวยพรให้หรอกใช่ไหม?”

อวี้จิงมักจะมีจุดประสงค์บางอย่างในตอนที่มาหาหานเซิ่น ลึกๆแล้วอวี้จิงเป็นนักธุรกิจที่ชั่วร้าย การได้พบกับเขาไม่เคยเป็นแค่เรื่องบังเอิญ


 


เมื่ออวี้จิงได้ยินหานเซิ่นพูดแบบนั้น เขาก็หัวเราะออกมา

“เจ้าคงจรำคาญกับการถูกผู้คนรบกวนในช่วงนี้สินะ แต่เจ้าไม่ต้องทนกับมันอีกต่อไป ความจริงแล้วข้ามีข้อเสนอที่จะนำความสงบสุขกลับมาสู่ชีวิตเจ้า”


 


“โอ้? ข้อเสนอนั่นคืออะไร?” หานเซิ่นมองอวี้จิงด้วยความสับสน เขาไม่เชื่อว่าอวี้จิงจะมาหาเขาเพียงเพราะจะช่วยแก้ไขปัญหา ชายคนนี้ไม่ใช่คนจิตใจดีแบบนั้น


 


อวี้จิงดูจริงจังในตอนที่พูด “ผู้คนมาหาเจ้าเป็นการส่วนตัวก็เพราะมันไม่มีช่องทางอย่างเป็นทางการที่จะขอการอวยพรจากเจ้า ถ้าเจ้าสร้างช่องทางอย่างเป็นทางการขึ้นมา อย่างเช่นการเปิดการประมูลเพื่อให้ผู้คนเสนอราคาสำหรับการอวยพร นั่นก็จะหยุดพวกเขาจากการมาหาเจ้าเป็นการส่วนตัว เจ้าจะหาเงินได้จำนวนมากและยังขจัดความเครียดไปจากชีวิตในเวลาเดียวกัน”


 


เมื่อหานเซิ่นได้ยินคำแนะนำนี้ เขาก็รู้ว่าอวี้จิงมีแผนการบางอย่างอยู่ แทนที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับหานเซิ่น มันจะเป็นอะไรที่น่ารำคาญยิ่งกว่าเดิม


 


การเปิดการประมูลนั้นจะทำให้เขาหาเงินได้เป็นจำนวนมาก แต่มันจะไม่หยุดบุคคลที่มีอำนาจของปราสาทนภาจากการติดต่อหานเซิ่นเป็นการส่วนตัว และถ้าหานเซิ่นปฏิเสธจะอวยพรให้กับคนที่ไม่ได้ทำการประมูล ผู้คนก็จะคิดว่าหานเซิ่นเป็นคนโลภมาก ถ้าเขาเพียงแค่ขายการอวยพรโดยไม่ช่วยเหลือทางปราสาทนภาโดยตรง ผู้คนก็อาจจะเกียจชังเขาขึ้นมา นั่นบอกหานเซิ่นว่าไอเดียการทำการประมูลนั้นคงจะไม่ได้ผล แต่ถ้าเขาเปลี่ยนวิธีการเล็กน้อย เขาจะให้ผู้นำปราสาทนภาเป็นช่องทางอย่างเป็นทางการที่จะตัดสินว่าความสามารถในการอวยพรของเขาจะถูกใช้ยังไง ผู้นำปราสาทนภาจะเป็นคนที่ระบุว่าใครจะได้รับการอวยพร ซึ่งจะช่วยลดภาระของหานเซิ่น


 


และถ้าบุคคลที่มีอำนาจของปราสาทนภาต้องการจะได้รับการอวยพรจากหานเซิ่น พวกเขาก็จะไปรบกวนผู้นำปราสาทนภาแทนที่จะเป็นหานเซิ่น


 


แน่นอนว่าหานเซิ่นไม่สามารถใช้พลังกับทุกคนได้ เขาจึงต้องโกหกว่าการทำการอวยพรจะส่งผลกระทบต่ออายุขัยและพละกำลังของเขา เขาสามารถบอกได้ว่าจำเป็นต้องใช้เวลาสองถึงสามปีกว่าผลข้างเคียงในทางลบของการอวยพรจะหายไป แบบนั้นเขาก็แค่ต้องทำการอวยพรนานๆครั้ง


 


หานเซิ่นยังกล่าวอ้างได้ว่าผู้นำปราสาทนภาเป็นคนที่ควบคุมว่าการอวยพรจะถูกแจกจ่ายยังไง แบบนั้นถ้ามีใครบางคนมาหาหานเซิ่นเป็นการส่วนตัว เขาก็สามารถบอกได้ว่าผู้นำปราสาทนภาสั่งห้ามเขาจากการอวยพรให้กับคนอื่นนอกเหนือจากช่องทางอย่างเป็นทางการ


 


ถ้าหานเซิ่นเสนอโอกาสที่มีค่าแบบนั้นให้กับผู้นำปราสาทนภา มันก็ไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธ


 


เมื่อคิดได้แบบนั้นหานเซิ่นก็คิดแผนการอย่างหนึ่งขึ้นมา และความหดหู่ในช่วงนี้ของเขาก็หายไป


 


“ข้าจะไม่เปิดการประมูล การอวยพรนั้นจะสร้างความเสียหายต่อร่างกายของข้า ข้าไม่คิดจะอวยพรให้กับคนอื่นนอกซะจากว่ามันจะจำเป็นนจริงๆ การได้รับทรัพยากรเพิ่มเติมนั้นไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ” หานเซิ่นพูดกับอวี้จิง


 


“นั่นเป็นอะไรที่น่าเสียดาย” อวี้จิงพึมพำอย่างผิดหวัง


 


“นี่เจ้ามาหาข้าเพียงเพราะจะบอกข้าในเรื่องนี้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


“ที่จริงแล้วข้ามาที่นี่เพราะใครบางคนขอให้ข้ามาทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า” อวี้จิงพูด


 


“มันคงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการอวยพรหรอกใช่ไหม?” หานเซิ่นถาม


 


อวี้จิงหัวเราะและพูด “แน่นอนว่าไม่ ญาติระดับครึ่งเทพของข้าอยากให้เจ้าช่วยฆ่าซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่งให้กับเขา แต่ทว่ามันไม่มีโอกาสที่เขาจะมาพูดกับเจ้าต่อหน้าได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงส่งข้ามาแทน”


 


“ฆ่าซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่ง? ทำไมเขาถึงมาขอข้า? มันมียอดฝีมือมากมายอยู่ที่นี่ ถ้าเขาแค่ต้องการใครสักคน ทำไมเขาถึงเลือกข้า?”

หานเซิ่นไม่สามารถเชื่อได้ว่าครึ่งเทพคนหนึ่งจะต้องการความช่วยเหลือจากเขาเพื่อฆ่าซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่ง


 


“กรณีของญาติข้ามันเป็นอะไรที่พิเศษ เขาขอความช่วยเหลือจากคนที่เป็นระดับเทพเจ้าไม่ได้ และเขาต้องการจะล่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าตัวหนึ่ง เขาได้ยินว่าเจ้าและไผ่เดียวดายโค้นล้มซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าตัวหนึ่งได้สำเร็จ และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องการให้เจ้าช่วยเขา เจ้าเจรจาต่อรองได้ ญาติของข้านั้นร่ำรวยมากๆ” อวี้จิงอธิบาย


 


ครึ่งเทพที่อวี้จิงพูดถึงคนนี้มีชื่อว่าอวี้คุน เขาเป็นหนึ่งในครึ่งเทพที่มีประสบการณ์มากที่สุดในปราสาทนภา เขามาจากรุ่นเดียวกับผู้นำปราสาทนภาและเป็นคนที่มีพรสวรรค์พอสมควร


 


เขามีโอกาสที่จะกลายเป็นระดับเทพเจ้าเมื่อนานมาแล้ว แต่มีบางสิ่งเกิดขึ้นในครอบครัวของเขา ซึ่งหยุดเขาจากการทำแบบนั้น จนถึงตอนนี้เขาจึงยังไม่เป็นระดับเทพเจ้า


 


“อะไรที่สำคัญถึงขนาดที่เขาต้องเลื่อนการเพิ่มระดับเป็นเวลานานอย่างนั้น?” หานเซิ่นถาม


 


หานเซิ่นไม่ได้แค่ถามเรื่องนี้เพราะความอยากรู้อยากเห็น เขากังวลว่าเรื่องนี้อาจจะลากเขาเข้าไปในความขัดแย้งภายในของปราสาทนภา หานเซิ่นระวังตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องแบบนั้น


 


อวี้จิงเข้าใจหานเซิ่น เขายิ้มและอธิบาย “เจ้าไม่ต้องกังวล มันไม่ได้มีใครในปราสาทนภาที่มีความบาดหมางกับลุงอวี้คุน ที่เขาไม่ได้กลายเป็นระดับเทพเจ้าก็เพราะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับลูกชายของเขา ลูกชายของเขานั้นไปเกี่ยวข้องกับคนผิดและเผยข้อมูลลับบางอย่างเข้าจนทำลายแผนการของปราสาทนภา ถึงแม้เรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับลุงอวี้คุน แต่เขาก็เข้าคุกสามสิบปีแทนลูกชาย เขาเพิ่งจะถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อไม่กี่ปีนี้”


 


“หนึ่งในระดับเทพเจ้าของพวกเราจะช่วยเหลือลุกอวี้คุน ถ้าเขาทำการขอตามกฎของปราสาทนถา เขามีสิทธิ์ที่จะขอความช่วยเหลือ แต่ลุงอวี้คุนนั้นอับอายมากเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกชายทำ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากจะขอความช่วยเหลือจากระดับเทพเจ้าคนไหน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาอยากจะร่วมงานกับเจ้า เจ้าไม่ต้องกังวลว่าเขาจะจ่ายไม่ได้ เขานั้นสูงอายุและมีเงินเป็นจำนวนมาก”


 


“ข้าขอเวลาคิดก่อน” หานเซิ่นตอบ สถานการณ์ของอวี้คุนเป็นอะไรที่ซับซ้อน ดังนั้นหานเซิ่นต้องการคำนึงเกี่ยวกับผลที่อาจจะตามมาหลังทำงานร่วมกับชายคนนั้นซะก่อน


 


“โอเค ให้คำตอบกับข้าโดยเร็วที่สุด ลุงอวี้คุนกำลังรออยู่ และข้าต้องการเอาคำตอบไปให้เขา” อวี้จิงพูด


 


หลังจากที่บอกลาอวี้จิง หานเซิ่นก็เดินทางออกจากเกาะหยกน้อยและมุ่งหน้าไปที่เกาะหลักที่ผู้นำปราสาทนภาอยู่อาศัย

 

 

 


ตอนที่ 2636

 

“เจ้าไม่อยากจะขัดใจกับคนอื่น ดังนั้นเจ้าจึงต้องการให้ข้าเป็นคนตัดสินใจแทน เจ้าฉลาดไม่เบาเลย?” ผู้นำปราสาทนภาพูดกับหานเซิ่นด้วยรอยยิ้ม


 


หานเซิ่นไม่ได้อธิบายจุดประสงค์ที่แท้จริง แต่ผู้นำปราสาทนภาก็รู้ในทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร


 


“ท่านผู้นำเป็นคนฉลาด ข้าต้องการจะทำเพื่อปราสาทนภา แต่น่าเศร้าที่ข้าอวยพรให้กับทุกคนไม่ได้”

หานเซิ่นแสร้งทำเป็นจริงใจ มันดูเหมือนกับว่าเขาไม่ต้องการอะไรอื่นนอกจากรับใช้ผู้นำของปราสาทนภา


 


“ก็ได้ ข้าจะเล่นบทตัวร้ายให้กับเจ้า แต่เพื่อเป็นการตอบแทน เจ้าต้องทำบางสิ่งให้กับข้า” ผู้นำปราสาทนภาพูดกับหานเซิ่นด้วยรอยยิ้ม


 


“จิ้งจอกเฒ่า” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเอง เขาคิดว่าถ้ายอมอวยพรให้กับคนของปราสาทนภา เขาจะได้รับรางวัลบางอย่างเป็นการตอบแทน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านอกจากเขาจะไม่ได้อะไรแล้ว เขายังต้องทำงานอย่างหนึ่งให้กับผู้นำปราสาทนภาอีก


 


“ท่านผู้นำจะสั่งข้าทำอะไรก็ได้ ถึงแม้มันจะหมายความว่าข้าจะต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็จะทำอย่างเต็มความสามารถ ข้าจะไม่ขออะไรเป็นการตอบแทน” หานเซิ่นโค้งคำนับ


 


ถ้าหานเซิ่นพูดแค่ประโยคแรกและไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น ผู้นำปราสาทนภาก็คงจะเชื่อเขา แต่ทว่ามันเห็นได้ชัดจากสิ่งที่หานเซิ่นพูดว่าเขาต้องการได้รับรางวัลบางอย่างเป็นการตอบแทน


 


“ถ้าเจ้ายินดีทำงานนี้ ข้าก็จะจัดการกับคนที่ต้องการการอวยพรจากเจ้า เจ้าตัดสินใจได้ว่าเมื่อไหร่ที่ต้องการอวยพร หรือถ้าเจ้าไม่อยากจะอวยพรให้กับใครทั้งนั้น นอกจากนั้นถ้าเจ้าทำงานนี้ได้เป็นอย่างดี ข้าก็จะมอบรางวัลให้กับเจ้าด้วย” ผู้นำของปราสาทนภาพูด


 


“ท่านต้องการให้ข้าทำอะไร?” หานเซิ่นเริ่มจะกังวลขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินผู้นำปราสาทนภาพูด


 


ถ้าผู้นำปราสาทนภากำหนดเงื่อนไขแบบนี้ งานก็คงจะต้องเป็นอะไรที่ยุ่งยาก


 


“ไปที่เผ่าเวรี่ไฮ” ผู้นำปราสาทนภาพูดอย่างง่ายดาย


 


“ทำไมถึงต้องการให้ข้าไปที่นั่น?” หานเซิ่นแปลกใจ เขามองผู้นำปราสาทนภาด้วยความสับสน เขาจำได้ว่าผู้นำปราสาทนภาเคยบอกว่าไม่ต้องการให้เขาไปที่เผ่าเวรี่ไฮ


 


ผู้นำปราสาทยิ้มและพูด “พวกเราจำเป็นต้องมีสปายสักคนในหมู่พวกเขา ข้าคิดว่าเจ้าเหมาะสมที่สุดที่จะรับงานนี้”


 


หานเซิ่นเกือบจะคิดว่าตัวเองหูฝาดไป การไปที่เผ่าเวรี่ไฮในฐานะสปาย? หานเซิ่นไม่คิดว่าจะมีงานไหนที่มีความเสี่ยงมากไปกว่านี้


 


เผ่าเวรี่ไฮนั้นสามารมองทะลุเข้าไปในจิตใจของคน ถ้าหานเซิ่นพยายามจะขโมยความลับของพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกตัวถึงเรื่องนั้นในเสี้ยววินาที การแฝงตัวเข้าไปในเผ่าเวรี่ไฮนั้นไม่ได้ต่างอะไรไปจากการฆ่าตัวตาย


 


ถ้าใครคนอื่นนอกจากผู้นำปราสาทนภาเป็นคนเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา หานเซิ่นก็คงจะสันนิษฐานว่าพวกเขาเป็นคนที่โง่เง่า ไอเดียนี้ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่โง่เขลาหรือไม่ก็เป็นวิธีการฆ่าเขาแบบอ้อมๆ


 


ผู้นำปราสาทนภารู้ว่าหานเซิ่นกำลังคิดอะไร ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นมา

“ไม่ต้องกังวล ถ้าข้าปล่อยให้เจ้าไป ข้าก็มีหนทางที่จะปกป้องจิตใจของเจ้า”


 


“ทำไมท่านถึงต้องการให้ข้าไปที่เผ่าเวรี่ไฮในฐานะสปาย?”

หานเซิ่นถาม เขาอยากจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ เพราะการไปที่เผ่าเวรี่ไฮโดยมีจุดประสงค์แอบแฝงนั้นถือเป็นอะไรที่อันตรายมากๆ


 


“มันสำคัญกับข้ามาก ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าหาคนๆหนึ่งภายในเผ่าเวรี่ไฮ ถ้าเจ้าได้ยินข่าวเกี่ยวกับคนๆนี้ เจ้าแค่ต้องส่งข่าวกลับมาหาข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่อันตรายมากไปกว่านั้น” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


“ข้าไม่ค่อยเก่งเรื่องการตามหาคน และข้าก็ไม่ใช่คนที่ชอบเข้าสังคม ข้ากลัวว่าจะทำงานนี้ไม่สำเร็จ” หานเซิ่นไม่ต้องการจะไป ดังนั้นนี่เป็นวิธีการปฏิเสธของเขา


 


ผู้นำปราสาทนภามองหานเซิ่นและพูด “เมื่อเจ้าเสร็จงานนี้ ข้ามีแผนจะมอบทะเลดารากรให้กับเจ้าและครอบครัว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สนใจ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ มันไม่เป็นไร”


 


“ท่านผู้นำ ทะเลดารากรที่ท่านพูดถึงใช่ซีโน่เจเนเอิคสเปชที่อยู่นอกระบบชายนิ่งสตาร์ไหม?” ดวงตาของหานเซิ่นเบิกกว้างขณะที่เขาถามผู้นำปราสาทนภา


 


ทะเลดารากรเป็นซีโน่เจเนอิคสเปชที่ถูกค้นพบมาสักพักหนึ่งแล้ว มันเป็นเหมือนกับสวนหลังบ้านของปราสาทนภา ดังนั้นหนทางที่จะเข้าไปในนั้นก็คือต้องผ่านปราสาทนภาเท่านั้น


 


ทะเลดารากรนั้นเชื่อมต่อกับระบบชายนิ่งสตาร์และระบบล้างที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา มันเป็นสถานที่พิเศษที่อุดมไปด้วยทรัพยากร ผู้อาวุโสภายในปราสาทนภาหลายคนอยากจะได้มันมาครอบครองและพวกมันก็เริ่มจะต่อสู้กัน แต่เนื่องจากการต่อสู้ระหว่างผู้อาวุโสเริ่มจะรุนแรงเกินไป ผู้นำปราสาทนภาจึงตัดสินใจปิดผนึกทะเลดารากรเอาไว้


 


ตอนนี้ผู้นำปราสาทนภาบอกว่าเขาจะเปิดทะเลดารากรให้กับหานเซิ่นเป็นการส่วนตัว เขาสามารถพาครอบครัวไปตั้งหลักปักฐานที่นั่นได้ เขาไม่ได้แค่ได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยเท่านั้น ผู้นำปราสาทนภายังจะปล่อยให้หานเซิ่นเป็นคนปกครองทะเลดารากร มันจะกลายเป็นดินแดนของหานเซิ่นถ้าเขาต้องการ มันเป็นไปได้ถ้าเขาจะสร้างอาณาจักรของมนุษย์ที่นั่น ฝ่ายอื่นจะไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับหานเซิ่นภายในนั้นได้


 


นอกซะจากหานเซิ่นจะเปิดชายแดนทะเลดารากรให้เดินทางเข้าออกได้ มันก็ไม่มีใครเข้ามาข้างในได้ แถมทะเลดารากรยังอยู่ภายใต้การปกป้องของปราสาทนภา มันจะไม่ถูกโจมตีนอกซะจากปราสาทนภาจะล่มสลายไปซะก่อน


 


“ความจำดีหนิ ใช่แล้วมันคือทะเลดารากรที่อยู่ติดกับระบบชายนิ่งสตาร์” ผู้นำปราสาทนภาตอบ


 


หานเซิ่นหลี่ตาอย่างครุ่นคิด ผู้นำปราสาทนภาเสนอรางวัลที่มีค่ามากๆให้กับเขา แต่นั่นก็บ่งบอกว่างานนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่ผู้นำปราสาทนภาบอก การจะส่งข้อมูลกลับมาไม่ใช่เรื่องยากอะไร และถ้าผู้นำปราสาทนภามีวิธีที่จะป้องกันจิตใจของหานเซิ่นจากเผ่าเวรี่ไฮจริงๆ ระดับความอันตรายก็ไม่คู่ควรกับรางวัลมากขนาดนี้ แบบนั้นทำไมผู้นำปราสาทนภาถึงยินดีจะมอบบางสิ่งที่มีค่าสำหรับการงานง่ายๆแบบนี้ด้วย?


 


“ข้าขอถามได้ไหมว่าคนแบบไหนที่ท่านกำลังตามหา?” หานเซิ่นถามอย่างลังเล ทะเลดารากรเป็นสถานที่ที่ดี แต่เขาไม่สามารถเป็นเจ้าของมันถ้าเกิดเขาตายด้วยมือของเผ่าเวรี่ไฮซะก่อน


 


“ข้ากำลังตามหาผู้หญิงเผ่าเวรี่ไฮคนหนึ่ง ข้าไม่รู้ชื่อของนาง และข้ากลัวว่ารูปลักษณ์ของนางอาจจะเปลี่ยนไปจากที่ข้าจำได้” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


“ไม่รู้ชื่อ? ไม่รู้หน้าตา? แล้วแบบนั้นข้าจะหาคนๆนั้นได้ยังไง?” หานเซิ่นแปลกใจที่ได้ยินแบบนั้น


 


“ไม่ต้องกังวล มันมีหนทางที่จะตามหานาง ไม่อย่างนั้นข้าจะขอให้เจ้าช่วยไปตามหานางทำไม?”

ผู้นำปราสาทนภาหยุดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดอย่างจริงจัง “บนอกของนางมีปานสีแดงที่ดูเหมือนกับหัวใจอยู่ ถ้าเจ้าได้เห็นมัน เจ้าก็จะรู้ได้ในทันที”


 


“อกของนางมีปานรูปหัวใจสีแดง ถ้าข้าได้เห็นมัน ข้าก็จะรู้ได้ในทันที เดี๋ยวก่อนนะ… ท่านพูดว่าอกอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นก้มมองอกของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามผู้นำปราสาทนภา

“นี่ท่านบอกให้ข้าตามหาผู้หญิงเผ่าเวรี่ไฮคนหนึ่งใช่ไหม?”


 


“ใช่” ผู้นำปราสาทนภาพูดพร้อมกับหยักหน้า


 


“นี่ท่านคิดว่าข้าจะมีโอกาสได้เช็คดูอกของผู้หญิงทุกคนอย่างนั้นหรอ?”

หานเซิ่นรู้สึกว่าผู้นำปราสาทนภาอาจจะกำลังเล่นตลก ถ้าเขาไปที่เผ่าเวรี่ไฮเพื่อเช็คอกของผู้หญิงที่นั่น มันก็เหมือนกับการรนหาที่ตาย


 


“ถ้ามันเป็นงานที่ง่าย ทำไมข้าถึงต้องมอบทะเลดารากรให้กับเจ้า?”

ผู้นำปราสาทนภามองไปที่หานเซิ่นและพูดต่อ “เจ้าไม่จำเป็นต้องตามหาผู้หญิงคนนั้นด้วยตัวเอง เจ้าอาจจะถามคนอื่นอย่างเช่นเอ็กซ์ควิสิท นางเป็นผู้หญิง ดังนั้นนางอาจจะเคยเห็นมันมาก่อน และถ้าเจ้าทำให้นางบอกกับเจ้าได้ เจ้าก็จะไม่มีปัญหาอะไร หลังจากที่เจ้ากลับมาแล้ว เจ้าพาครอบครัวไปที่ทะเลดารากรได้เลย ข้าจะมอบการสนับสนุนทุกอย่างที่เจ้าขอ ข้าจะส่งคนไปให้ถ้าเจ้าต้องการ แถมเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีเป็นเวลาสามร้อยปีอีกด้วย”

 

 

 


ตอนที่ 2637

 

หานเซิ่นสองจิตสองใจ เขาอยากจะได้ทะเลดารากร มันเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการใช้เป็นที่ตั้งหลักปักฐานสำหรับมนุษยชาติ ด้วยทรัพยากรที่เพียงพอ เขาสามารถสร้างกองกำลังที่ไม่แพ้ใครในจักรวาลนี้ แบบนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกระจายกันออกไปทั่วทั้งจักรวาลอีก เขาสามารถรวบรวมผู้คนมาอยู่ที่นี่


 


แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะทำอะไรแบบนั้นได้ เขาจำเป็นต้องมีดินแดนเป็นของตัวเอง ตอนนี้สถานที่ปลอดภัยในจักรวาลถูกปกครองโดยเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่ทรงอำนาจเรียบร้อยแล้ว แม้แต่เผ่าพันธุ์เล็กๆก็จะเกี่ยวพันกับปราสาทนภาหรือเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่โตเผ่าอื่นๆ แบบนั้นการจะเข้ายึดครองระบบจักรวาลที่กำลังพัฒนาก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน ส่วนระบบจักรวาลที่ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนครองครองอย่างระบบจักรวาลเคออสก็เป็นอะไรที่อันตรายเกินไป


 


ผู้นำปราสาทนภาเสนอซีโน่เจเนอิคสเปชที่อุดมไปด้วยทรัพยากรให้กับเขา สำหรับหานเซิ่นนั่นเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนามนุษย์ชาติภายในจักรวาลจีโน


 


“เจ้าลองกลับไปคิดดู เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบให้คำตอบข้า แค่มาบอกข้าเมื่อเจ้าตัดสินใจได้แล้ว” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


หานเซิ่นพยักหน้า เขาจำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ขณะที่หานเซิ่นหันกลับ เขาก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“ท่านผู้นำ ลุงอวี้คุนได้มาขอให้ข้าช่วยเขาฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าตัวหนึ่ง ท่านคิดว่าข้าควรจะช่วยเขาไหม?”


 


“อวี้คุน?” ผู้นำปราสาทนภาเงียบไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูด

“ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา ถ้าเจ้าทำได้ เจ้าก็ควรจะไปช่วยเขา อวี้คุนนั้นมีชีวิตที่ยากลำบาก”


 


ตอนนี้เมื่อได้รับการเห็นชอบจากผู้นำปราสาทนภา หานเซิ่นก็วางใจที่จะไปพบกับอวี้คุน แต่เขายังอยากจะดูก่อนว่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าแบบไหนที่ชายคนนั้นต้องการจะฆ่า หลังจากนั้นเขาค่อยตัดสินใจว่าช่วยได้หรือเปล่า


 


ถ้าเขาตัดสินใจจะช่วย เขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่ แต่มันยังมีปัจจัยหลายอย่างที่จำเป็นต้องคำนึงก่อนที่จะรับงานนี้


 


หลังจากที่หานเซิ่นกลับไปแล้ว เขาก็ติดต่อไปหาอวี้จิง ซึ่งอวี้จิงก็ยินดีจะรีบจัดการให้เขาได้พบกับอวี้คุนในทันที


 


‘เราควรจะไปหรือไม่ไปดี?’ หานเซิ่นครุ่นคิด การไปที่เผ่าเวรี่ไฮนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยากสำหรับหานเซิ่น แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นตัดสินใจแทนได้เช่นกัน


 


หานเซิ่นเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้ง และสุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจว่าควรจะไปที่เผ่าเวรี่ไฮ เขาต้องการทะเลดารากรมาเป็นของตัวเอง ซึ่งถ้าเขาเกิดพลาดโอกาสนี้ไป มันก็ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีที่เขาจะมีโอกาสได้รับซีโน่เจเนอิคสเปชที่อุดมด้วยทรัพยากรแบบนี้ ถ้าเขาพยายามต่อสู้เพื่อยิ่งชิงซีโน่เจเนอิคสเปชหนึ่งมาเป็นของตัวเอง มันก็จะไม่เป็นอะไรที่ปลอดภัยเหมือนอย่างทะเลดารากร และบางซีโน่เจเนอิคสเปชก็ถูกพัฒนาไปมากเกินไป พวกมันอาจจะทำให้หานเซิ่นไม่สามารถจัดหาทรัพยากรได้มากอย่างที่ต้องการ


 


‘ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องไปที่เผ่าเวรี่ไฮ โชคดีที่ฉันพบวิธีการที่จะป้องกันการอ่านจิตใจของพวกเขา ถ้าวิธีของผู้นำปราสาทนภาไม่ได้ผล เราก็มีวิธีการของตัวเอง และถ้าวิธีการนั้นก็ไม่ได้ผลอีก เราก็ต้องเป็นอย่างหนิงเยวี่ยที่พึ่งพาแค่เจตจำนงของตัวเอง’ หานเซิ่นกัดฟัน ถึงมันจะเป็นอะไรที่ยากลำบาก แต่ถ้าหนิงเยวี่ยสามารถทำได้ เขาก็เชื่อว่าตัวเองจะทำได้เช่นเดียวกัน


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้ให้คำตอบกับผู้นำปราสาทนภาในทันที เขาต้องจัดการเรื่องของอวี้คุนก่อนเป็นอันดับแรก แบบนั้นเขาก็จะมีเวลาได้คิดต่ออีกหน่อย มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องรีบร้อนตัดสินใจเรื่องใหญ่แบบนี้


 


อวี้จิงรีบกำหนดเวลาที่หานเซิ่นและอวี้คุนจะได้พบกัน เมื่อหานเซิ่นได้เห็นอวี้คุน เขาก็รู้สึกตกใจ มันยากจะเชื่อได้ว่าอวี้คุนนั้นเป็นรุ่นเดียวกันกับผู้นำปราสาทนภา


 


นั่นเป็นเพราะว่าอวี้คุนดูแก่กว่าผู้นำปราสาทนภามาก หานเซิ่นไม่รู้ว่าผู้นำปราสาทนภาอายุมากเท่าไหร่แล้ว แต่เขาดูเหมือนคนวัยสี่สิบ ส่วนอวี้คุนดูเหมือนกันคนชราเมื่อเทียบกันแล้ว เส้นผมของเขาเป็นสีเทาและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยย่น ที่สำคัญที่สุดคือสีหน้าของเขาดูแก่และเหนื่อยล้า เขาดูไร้ชีวิตชีวาจนแทบจะไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิต เขาเป็นคนที่ใจเย็น


 


อวี้คุนบอกหานเซิ่นเกี่ยวกับซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่เขาต้องการฆ่า แต่เขาดูไม่มั่นใจนักว่าหานเซิ่นจะช่วยได้


 


หลังจากที่ได้ยินที่ชายคนนั้นบอก หานเซิ่นก็เงียบไป หลังจากนั้นเขาก็พูดกับอวี้คุนไปตรงๆ

“มิสเตอร์อวี้คุน การแลกเปลี่ยนจำเป็นต้องยุติธรรมและเท่าเทียม ข้าจะช่วยท่านต่อสู้กับซีโน่เจเนอิคตัวนี้ ซึ่งถ้าข้าทำไม่สำเร็จ ข้าก็จะไม่เอารางวัลอะไร แต่ถ้าพวกเราสังหารซีโน่เจเนอิคได้สำเร็จ ท่านจะให้อะไรข้าเป็นการตอบแทน?”


 


อวี้คุนดูเหมือนจะคิดเกี่ยวกับคำถามนั่นมาแล้ว หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่หานเซิ่นพูด เขาก็นำเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า เขาวางมันลงบนโต๊ะและพูดอย่างใจเย็น

“พยายามอย่างเต็มที่ ไม่ว่าเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่ สิ่งนี้จะตกเป็นของเจ้า”


 


หานเซิ่นมองสิ่งที่อวี้คุนวางลงบนโต๊ะ มันเป็นรูปปั้นไม้ขนาดเล็กที่สลักเป็นรูปสัตว์ มันดูคล้ายคลึงกับแรด มันมีขนาดพอๆกับมือคน และไม้ที่ใช้สร้างดูเหมือนจะเหลืองด้วยอายุที่มาก มันดูเป็นอะไรที่เก่าแก่


 


หานเซิ่นไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร มันดูเหมือนกับของประดับ มันไม่ได้ปลดปล่อยพลังอะไรออกมา ดังนั้นมันดูไม่เหมือนกับสมบัติซีโน่เจเนอิคที่ทรงพลังเช่นกัน


 


อวี้จิงยืนอยู่ด้านข้าง และเมื่อเขาเห็นแรดไม้นั่น เขาก็องตะโกนขึ้นมา

“นั่นมันแรดไม้สปิริตนี่น่า? ลุกคุน นี่ลุงคิดจะยอมปล่อยมันไปจริงๆอย่างนั้นหรอ?”


 


อวี้จิงหันไปมองหานเซิ่นและพูด “เมื่อนานมาแล้วเผ่าพันธุ์ของพวกเราพบพืชระดับเทพเจ้าขั้นบัตเตอร์ฟลายภายในระดับจักรวาลเคออส ผู้คนของพวกเราร่วมมือกัน แต่พวกเขาก็เอามาได้แค่ส่วนของไม้ที่มีความยาวหนึ่งฟุตเท่านั้น หลังจากนั้นระดับเทพเจ้าคนหนึ่งก็ได้สลักไม้นั่นเป็นไม้สปิริต รูปปั้นสามรูปถูกสร้างขึ้นมาในรูปของช้าง แรดและม้า แรดไม้สปิริตนี้คือหนึ่งในพวกมัน”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ อวี้จิงก็พูดต่อ “ถึงแม้แรดไม้สปิริตจะไม่ได้ถูกทำเป็นสมบัติซีโน่เจเนอิค แต่การพกมันติดตัวนั้นจะช่วยเหลือร่างกายของคนๆนั้น มันจะเติมเต็มร่างกายด้วยกำลังวังชาและทำให้คนๆนั้นมีชีวิตชีวามากขึ้น แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับแรดไม้สปิริต สิ่งที่สำคัญที่สุดคือระดับเทพเจ้าที่แกะสลักพวกมันขึ้นมาได้ทิ้งวิชาจีโนสามตัวเอาไว้ภายในไม้สปิริตทั้งสาม ถ้าใครได้รูปปั้นไปครอบครอง พวกเขาก็จะได้รับวิชาจีโนที่อยู่ภายใน”


 


“วิชาจีโนของช้างไม้สปิริตและม้าไม้สปิริตถูกเรียนรู้โดยคนอื่นไปเรียบร้อยแล้ว พวกมันมีชื่อว่าวิชาหมัดรูปปั้นสปิริตยักษ์และวิชาแม่น้ำนภากลืนวัน พวกมันเป็นวิชาลับที่มีชื่อเสียงของปราสาทนภา”


 


หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินชื่อของวิชาจีโนทั้งสอง เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน แม้แต่ศิษย์ของปราสาทนภาที่ต้องการจะฝึกพวกมันก็ยังต้องลำบากลำบนอย่างมากกว่าจะได้รับอนุญาตให้เรียนรู้พวกมัน แถมศิษย์ที่ต่ำกว่าระดับราชันก็ไม่สามารถฝึกพวกมันได้


 


แต่เพียงแค่วิชาจีโนนั้นไม่ได้หมายความว่ามันจะดึงดูดความสนใจของหานเซิ่น


 


แต่สิ่งที่อวี้จิงพูดต่อไปนั้นเปลี่ยนใจของหานเซิ่น


 


“ในตอนที่บุคคลสองคนแรกที่ได้เรียนรู้วิชาจีโนของช้างไม้สปิริตและม้าไม้สปริตร พวกมันช่วยเร่งการฝึกฝนของพวกเขา คนหนึ่งพัฒนาจากระดับราชันไปสู่ระดับครึ่งเทพ ขณะที่อีกคนพัฒนาจากระดับครึ่งเทพไปสู่ระดับเทพเจ้า”

 

 

 


ตอนที่ 2638

 

หานเซิ่นยอมรับแรดไม้สปิริตเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการสังหารซีโน่เจเนอิคระดับเทพ


 


อวี้คุนพกแรดไม้สปิริตติดตัวตลอดร้อยปีที่ผ่านมา แต่เขาไม่เคยมีโอกาสได้เข้าใจสิ่งที่อยู่ข้างใน และหลังจากสูญเสียความหวังที่จะได้เรียนรู้ความลับของมัน ในที่สุดเขาก็ยินดีจะใช้มันเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับการสังหารซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า


 


ถ้าอวี้คุนได้รับยีนซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้ามา เขาก็สามารถใช้มันเพื่อทำให้ตัวเองกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ ส่วนการจะเก็บแรดไม้สปิริตเอาไว้เป็นเครื่องประดับนั้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์


 


ในตอนแรกอวี้คุนอยากจะมอบมันให้กับทายาทของเขา แต่ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาตายไปในอุบัติเหตุ


 


‘เป็นผู้ชายที่น่าสงสารอะไรขนาดนี้’ หานเซิ่นคิดขณะที่มองดูแรดไม้สปิริตที่อวี้คุนมอบให้ มันเป็นของเขาไม่ว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่


 


ลักษณะนิสัยของหานเซิ่นค่อนข้างแปลก ถ้าคนอื่นพยายามจะหลอกลวงเขา เขาก็จะไม่ปล่อยให้คนพวกนั้นรอดตัวไปได้ไม่ว่ายังไง แต่สำหรับคนอย่างอวี้คุนที่ยินดีจ่ายล่วงหน้า เขาก็จะช่วยอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม


 


แรดไม้สปิริตเป็นอะไรที่งดงามมากๆ มันแวววาวเหมือนกับหยก และถึงมันจะทำขึ้นมาจากไม้ มันก็หนักยิ่งกว่าทองคำ


 


สิ่งที่น่าแปลกที่สุดก็คือหานเซิ่นสัมผัสไม่ได้ถึงพลังของแรดสปิริตไม้ มันดูเหมือนกับไม้แกะสลักปกติ มันไม่ได้ดูเป็นเหมือนสิ่งที่ทำขึ้นมาจากไม้ระดับเทพเจ้าขั้นบัตเตอร์ฟลาย


 


หานเซิ่นไม่คิดว่าอวี้คุนจะมอบของปลอมให้กับเขา นั่นเป็นเพราะเขาได้ลองทดสอบมันเรียบร้อยแล้ว เขาลองพยายามจะทำลายรูปปั้นน้อยๆนี้ แต่มันไม่บุบสลายหรือแตกร้าวเลย นั่นเป็นเครื่องยืนยันว่ามันเป็นระดับเทพเจ้า แต่ถึงผิวของมันจะทนทานและงดงามมากๆ แต่มันก็ไม่ได้ปลดปล่อยพลังอะไรออกมา


 


“นั่นหมายความว่าแรดไม้สปิริตนี้ไม่มีพลังอย่างนั้นหรอ? ถ้าเราเปิดมันออกและเรียนรู้ความลับของมัน เราจะได้รับพลังนั้นมาเป็นของตัวเองไหมนะ?” หานเซิ่นสงสัยขณะที่จ้องไปที่แรดไม้สปิริต


 


งานแกะสลักของแรดไม้สปิริตนั้นดูเหมือนกับมีชีวิตจริงๆ แต่มันไม่มีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์อะไรถูกเขียนเอาไว้ มันไม่มีร่องรอยของจิตวิญญาณถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังเช่นกัน หานเซิ่นพยายามใช้อาณาเขตตงเสวียนและวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อตรวจสอบมัน แต่เขาก็ไม่พบอะไร


 


ไม่ว่าหานเซิ่นจะมองดูมันยังไง มันก็ดูเหมือนกับรูปปั้นแกะสลักธรรมดาๆ นอกจากวัสดุที่ถูกใช้แล้ว เขาก็ไม่สังเกตเห็นอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับมัน


 


ขณะที่หานเซิ่นกำลังตรวจสอบแรดไม้สปิริตอยู่นั้น เป่าเอ๋อนั้นปีนขึ้นมาอยู่บนไหล่ของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เธอจ้องไปที่แรดไม้สปิริตในมือของเขา


 


“พ่อกำลังถืออะไรอยู่?” เป่าเอ๋อถาม


 


“รูปปั้นไม้นี่มีความลับอยู่ภายใน แต่พ่อไม่รู้ว่ามันคืออะไร” หานเซิ่นพูด


 


“ให้หนูดูมันหน่อย” เป่าเอ๋อแย่งแรดไม้สปิริตไปจากมือของหานเซิ่น หลังจากนั้นเธอก็เริ่มเขย่าแรดไม้สปิริต


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นก็สังเกตเห็นแสงสีเหลืองที่เหมือนกับแสงจันทร์ส่องออกมาจากดวงตาของรูปปั้น แสงนั่นฉายไปบนกำแพงและเผยให้เห็นข้อความบางอย่าง


 


“เป่าเอ๋อ หนูทำแบบนั้นได้ยังไง?” หานเซิ่นถามด้วยความดีใจและประหลาดใจ เขามองดูเธออยู่ตลอด แต่เขาไม่รู้ว่าเธอทำให้แรดไม้สปิริตปล่อยแสงออกมาจากตาของมันได้ยังไง


 


เป่าเอ๋อแค่สัมผัสแรดไม้สปิริตไม่กี่วินาที และหานเซิ่นก็มองดูตำแหน่งที่เธอจับมันอย่างใกล้ชิด เขาเคยจับมันแบบเดียวกันกับเธอ แต่เขาไม่สามารถทำให้รูปปั้นฉายแสงออกมาได้


 


“มันง่ายมากๆ แค่ลูบหัวของมัน” เป่าเอ๋อพูดขณะที่ลูบหัวของแรดไม้สปิริต หลังจากนั้นแสงในดวงตาของมันก็หายไป


 


“ให้พ่อลองดูหน่อย” หานเซิ่นยื่นมือออกไปและลูบหัวของแรดไม้สปิริต แต่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


เป่าเอ๋อยื่นมือออกไปและกดลงบนหัวของรูปปั้น ทำให้มันฉายแสงออกมาจากดวงตาอีกครั้ง การที่หานเซิ่นไม่สามารถทำให้แรดไม้สปิริตฉายแสงออกมาได้นั้นทำให้เขารู้สึกหดหู่


 


แต่เขาไม่มีเวลามามัวคิดหาคำตอบว่าทำไมเป่าเอ๋อถึงทำได้สำเร็จ ขณะที่เขาล้มเหลว เขาหันความสนใจไปที่การจดจำข้อความที่แรดไม้สปิริตแสดงออกมา มันเป็นวิชาที่เรียกว่าฮาร์ทคอนเน็คชั่น


 


หานเซิ่นจดจำวิชาจีโนนั้นเข้าไปในความทรงจำ แต่เขายังไม่พบว่าพลังที่ซ่อนอยู่ภายในไม้สปิริตอย่างที่อวี้จิงถูกพูด


 


“นี่หมายความว่าเราจะได้รับพลังจากแรดไม้สปิริตถ้าเราเรียนรู้วิชาจีโนนี้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นคาดเดา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มอ่านวิชาจีโนฮาร์ทคอนเน็คชั่นอย่างละเอียด


 


เนื่องจากชื่อของมันฟังดูค่อนข้างโรแมนติก หานเซิ่นจึงคาดเดาว่ามันน่าจะเป็นวิชาจีโนทางจิตใจ บางทีมันอาจจะมีคุณสมบัติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล


 


แต่ไม่นานหานเซิ่นก็ค้นพบว่าตัวเองคิดผิดอย่างมหันต์ วิชาจีโนนั้นไม่เกี่ยวกับจิตใจเลยแม้แต่นิดเดียว จริงๆแล้วมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างร้ายแรง มันเป็นวิชาจีโนที่จะรวบรวมพลังเพื่อปลดปล่อยออกมาในคราวเดียว


 


มันเหมือนกับการกระแทกของแรด พลังนั้นจะถูกรวบรวมเหมือนกับการพุ่งเข้าชาร์จของแรดที่รวบรวมพลังไปที่นอของมัน


 


แต่ผลที่ตามมาเป็นอะไรที่อันตราย หลังจากการโจมตีถูกปลดปล่อยออกมา ร่างกายของผู้ใช้ก็จะอ่อนแรงจนไม่สามารถใช้พวกมันได้อีก


 


‘นี่เป็นวิชาจีโนที่อันตรายมากๆ’ หานเซิ่นคิด


 


ถึงแม้วิชานี้จะไม่ได้มีพลังทำลายล้างเหมือนอย่างเบรกซิกซ์สกาย แต่มันก็เป็นเหมือนกับเข็มที่จะแทงทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะเป็นวิชาจีโนที่ทรงพลังมากถ้าใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม


 


เบรกซิกซ์สกายนั้นต้องใช้ระยะไกล นอกซะจากผู้ใช้จะต้องการระเบิดตัวเองไปด้วย แต่ฮาร์ทคอนเน็คชั่นนั้นไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องระยะการโจมตี

“วิชาจีโนนี้เป็นเหมือนไพ่ตาย ถ้าเรากำลังเผชิญกับความเป็นความตาย เราควรใช้วิชาจีโนนี้เป็นการโจมตีสุดท้ายเพื่อปกป้องชีวิตของตัวเอง”

หลังจากที่หานเซิ่นอ่านมันจบ เขาก็ลองฝึกมัน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรในการเรียนรู้พื้นฐานของวิชา แต่การจะฝึกจนเชี่ยวชาญนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย


 


หานเซิ่นมอบขนมให้กับเป่าเอ๋อ แต่เธอดูไม่ดีใจเหมือนทุกครั้ง เธอไม่ได้ให้ความสนใจกับขนมมากนัก เธอหันมามองที่หานเซิ่นและพูด

“พ่อ หนูอยากจะไปที่เผ่าเวรี่ไฮกับพ่อ”


 


“การไปที่นั่นเป็นอะไรที่อันตรายเกินไป หนูควรจะเล่นกับอาอยู่ที่นี่”

หานเซิ่นไม่สามารถพาเป่าเอ๋อไปที่เผ่าเวรี่ไฮได้ เพราะถ้าเรื่องที่เขาเป็นสปายถูกเปิดเผยขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะหนี ซึ่งเขาไม่อยากให้เป่าเอ๋อเข้ามาพัวพันกับเรื่องนั้น


 


“ถ้าพ่อไม่พาหนูไป หนูจะไปหาแม่” เป่าเอ๋อพูดพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ


 


“ใช่แล้ว หนูอยู่กับแม่ นั่นถือเป็นเรื่องที่ดี แบบนั้นหนูจะไปได้ที่โรงเรียนอนุบาล หนูชอบครูอนุบาลคนนั่นไม่ใช่หรอ? เธอชื่ออะไรนะ? โอ้ใช่แล้ว เธอชื่อหลวี่จึเหม่ย” หานเซิ่นพยักหน้า


 


เป่าเอ๋อยิ้มและพูด “หนูจะไม่ไปโรงเรียน แต่หนูจะไปฟ้องแม่”


 


“ฟ้องเรื่องอะไร?” หานเซิ่นมองเป่าเอ๋อด้วยความสนใจ เขาไม่คิดว่าตัวเองมีความลับอะไรที่ต้องปิดบัง


 


เป่าเอ๋อยกมือขึ้นและเริ่มใช้นิ้วเพื่อนับ “พี่ซู่อี พี่อี๋ซาและยังพี่เอ็กซ์ควิสิทคนนั้น…”


 


เป่าเอ๋อรู้สึกตัวอย่างรวดเร็วว่าเธอมีนิ้วมือไม่มากพอจะนับได้หมด เธอกำลังจะพูดต่อ แต่หานเซิ่นหยุดเธอเอาไว้

“มันไม่มีอะไรระหว่างพ่อกับผู้หญิงพวกนั้น หนูขู่พ่อด้วยเรื่องนั้นไม่ได้”


 


“การเป็นหนึ่งกับจักรวาลจะไปมีประโยชน์อะไร มีแค่รอยยิ้มเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์… หวังว่าครั้งต่อไปที่ข้าได้พบกับเจ้า ข้าจะได้เห็นรอยยิ้มของเจ้า…” เป่าเอ๋อลอกเลียนโทนเสียงของหานเซิ่น เธอดูไร้เดียงสาขณะที่พูดต่อไปว่า

“พ่อรู้ไหมว่าหนูเป็นคนความทรงจำดีมากๆ หนูควรจะเอาเรื่องทั้งหมดนี่ไปเล่าให้แม่ฟัง เธอคงจะซาบซึ้งและมีความสุขมากๆ”


 


หลังจากนั้นเป่าเอ๋อก็นำเอาสมุดเล่มน้อยๆของเธอออกมา หานเซิ่นเห็นว่ามันเต็มไปด้วยการเขียนอย่างไม่เรียบร้อยของเด็ก มันเป็นรายมือของเป่าเอ๋อและพวกมันทั้งหมดก็คือสิ่งที่หานเซิ่นพูด


 


หานเซิ่นเหงื่อตก คำพูดเหล่านั้นไม่ได้ดูไม่เหมาะสมอะไร แต่ถ้าพวกมันถูกอ่านโดยขาดบริบทละก็ มันก็อาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาได้


 


“เป่าเอ๋อ พ่อกับลูกควรจะสื่อสารกันดีๆ มันไม่ควรจะมีความขัดแย้งระหว่างพวกเราถูกไหม?” หานเซิ่นมองเป่าเอ๋อและสมุดน้อยๆของเธอ


 


เป่าเอ๋อเก็บสมุดไปและหัวเราะ “ใช่แล้ว! แบบนั้นหมายความว่าหนูตามพ่อไปที่เผ่าเวรี่ไฮได้แล้วใช่ไหม?”

 

 

 


ตอนที่ 2639

 

“มิสเตอร์จั่วอวี้ อวี้คุนได้ไปขอให้หานเซิ่นช่วยจัดการราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ พวกเขากำลังจะไปที่เดม่อนอะบิสส์”

ภายในห้องโถง ศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งกำลังพูดกับชายเผ่านภาในชุดเกราะสีดำ


 


“อวี้คุนฝึกวิชาดีปอะบิสส์เดม่อนสเปลล์ ถ้าเขาได้ยีนระดับเทพเจ้าของราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์มา เขาก็จะกลายเป็นระดับเทพเจ้า แต่ความจริงที่เขาไปขอให้หานเซิ่นช่วยนั้นเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ” จั่วอวี้พูดอย่างไร้ความรู้สึก


 


“ข้าได้ยินว่าเขามอบแรดไม้สปิริตให้กับหานเซิ่นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน นั่นเป็นเหตุผลที่หานเซิ่นตกลงจะช่วยเขา” ศิษย์ของปราสาทนภาคนนั้นพูด


 


“แบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผล” จั่วอวี้พยักหน้า


 


“มิสเตอร์จั่วอวี้ อวี้คุนยังคงเป็นผู้ต้องสงสัย พวกเราควรจะไปเตือนหานเซิ่นไหม?”


 


จั่วอวี้ส่ายหัว “ไม่ หานเซิ่นเป็นเหมือนบุตรชายของผู้นำปราสาทนภา ถ้าเขายินดีจะช่วยอวี้คุน นั่นก็หมายความว่าผู้นำปราสาทนภาต้องเห็นชอบด้วย พวกเราควรจะรอดูไปอีกสักพัก”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ จั่วอวี้ก็พูด “ไปหาซือหยา บอกนางให้เตรียมตัว นางต้องไปที่เดม่อนอะบิสส์พร้อมกับข้า”


 


“จะไปที่เดม่อนอะบิสส์ด้วยตัวเอง?” ศิษย์ของปราสาทนภาคนนั้นถามด้วยความแปลกใจ


 


“นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับหานเซิ่นและอวี้คุนมากขึ้น” จั่วอวี้พูด


 


ขณะที่หานเซิ่นและอวี้คุนเดินทางไปที่เดม่อนอะบิสส์ อวี้คุนก็ดูผ่อนคลายมากๆ นอกจากหานเซิ่นแล้ว เขาไม่ได้จ้างคนอื่น


 


หานเซิ่นรับค่าตอบแทนล่วงหน้ามาแล้ว ดังนั้นเขาไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากช่วยชายคนนี้


 


หลังจากที่ได้ทำการตกลงกับอวี้คุน หานเซิ่นก็ได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์จากผู้นำปราสาทนภา ข้อมูลภายในไฟล์นั้นเหมือนกับที่อวี้คุนมอบให้กับเขา หานเซิ่นมีโอกาสเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะฆ่าซีโน่เจเนอิคตัวนี้ได้สำเร็จ


 


แน่นอนว่ามันมีโอกาสที่ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์จะแข็งแกร่งกว่าในรายงาน ดังนั้นหานเซิ่นจึงจำเป็นต้องคำนวณทุกสิ่งอย่างระมัดระวัง


 


เดม่อนอะบิสส์เป็นหลุมขนาดยักษ์ในอวกาศที่มีดวงดาวขนาดมหึมาอยู่ภายในมัน อวกาศบริเวณนั้นดูเหมือนจะถล่มภายใต้น้ำหนักของดวงดาวขนาดมหึมานั้น แต่หลังจากนั้นดวงดาวก็เข้าสู่สภาวะสมดุลที่ประหลาดแทนที่จะระเบิดเหมือนกับดวงดาวอื่น


 


หลุมอวกาศนั้นมีซีโน่เจเนอิคอยู่เป็นจำนวนมาก ศิษย์ของปราสาทนภาชอบมาล่าที่นี่ แต่ศิษย์ธรรมดาจะไม่เข้าไปในเดม่อนอะบิสส์ลึกมากนัก พวกเขาสามารถล่าซีโน่เจเนอิคระดับต่ำที่อยูขอบนอก ซึ่งเป็นอะไรที่ปลอดภัยมากกว่าการมุ่งหน้าลึกเข้าในหลุมอวกาศ


 


เมื่อศิษย์ของปราสาทนภาที่อยู่ใกล้เคียงเห็นหานเซิ่นและอวี้คุนเดินทางเข้ามา พวกเขาก็พากันโค้งคำนับ หลักๆแล้วพวกเขามาเพื่อแสดงความเคารพหานเซิ่น พวกเขาแค่โค้งคำรับให้กับอวี้คุนเพราะมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ


 


หานเซิ่นสังเกตใบหน้าของพวกเขาและคาดเดาว่าพวกเขาคงจะรู้เกี่ยวกับอวี้คุน


 


แต่อวี้คุนไม่ได้สนใจอะไร เขาเดินทางตรงลึกเข้าไปในเดม่อนอะบิสส์ร่วมกันหานเซิ่นต่อไป เขาหลีกเลี่ยงกลุ่มซีโน่เจเนอิคเพื่อไม่ให้เสียเวลา


 


หานเซิ่นตามอวี้คุนลึกเข้าไปในเดม่อนอะบิสส์เป็นเวลา 2 วันเต็มๆ ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงที่หมาย ซึ่งที่นั่นพวกเขาได้เห็นราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์


 


ในไฟล์ที่หานเซิ่นได้รับมันมีวิดีโอของราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ติดมาด้วย แต่การมองสิ่งมีชีวิตในวิดีโอนั้นแตกต่างในชีวิตจริงมาก ภาพของเจ้าซีโน่เจเนอิคนั้นเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ


 


ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์มีร่างกายของแมงป่องและหัวของมังกร ปีกมังกรกางออกจากด้านหลังของเจ้าซีโน่เจเนอิคและปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีน้ำเงิน หัวของมันมีดวงตามังกรแปดคู่ ดังนั้นมันมีดวงตาทั้งหมดสิบหกดวง ตอนนี้มันกำลังนอนอยู่บนกำแพงในเดม่อนอะบิสส์ มันเหมือนกับปีศาจที่กำลังหลับไหล


 


หานเซิ่นเรียกเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูงและธนูงูหกครอ์ออกมา หลังจากนั้นเขาก็หันมาหาอวี้คุน


 


“พวกเราเริ่มทำตามแผนการที่วางเอาไว้ได้เลย”


 


อวี้คุนพยักหน้า เขานำเอาอาวุธออกมา อาวุธของเขาเป็นใบมีดวงแหวนสีดำที่กว้างเกือบสามสิบเซนติเมตร มันดูคมกริบ มันเป็นอาวุธที่ประหลาดและหายาก


 


หานเซิ่นดึงสายธนู แต่ก่อนที่เขาจะปล่อยมันออกไป ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ก็ตื่นขึ้นมา ดวงตาทั้งสิบหกดวงของมันจ้องมาที่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นไม่ลังเลและยิงลูกธนูที่อาบด้วยแสงสีรุ้งออกไปใส่ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ ลูกธนูบินผ่านอวกาศตรงเข้าไปที่หนึ่งในดวงตาของเจ้าซีโน่เจเนอิค


 


แต่ในจังหวะที่ลูกธนูกำลังจะถูกเป้าหมาย ดวงตาของราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ก็กลายเป็นอะไรที่เหมือนกับหลุมดำและดูดลูกธนูหายเข้าไปข้างใน ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ไม่ได้รับความเสียดายใดๆ


 


หลังจากนั้นเจ้าซีโน่เจเนอิคก็กรีดร้องอย่างประหลาด และร่างกายของมันก็ส่องสว่างด้วยแสงสีน้ำเงิน ขณะที่มันบินขึ้น ปีกของมันก็ตัดกับฉากหลังอย่างน่าประหลาด โซ่สสารถูกปล่อยออกมาจากร่างกายมันขณะที่มันบินตรงเข้าไปหาหานเซิ่น


 


หานเซิ่นดึงสายธนูและยิงออกไปอีกหลายครั้ง ลูกธนูสีรุ้งหลายต่อหลายดอกพุ่งเข้าไปหาราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ แต่เจ้าซีโน่เจเนอิคนั้นไม่สนใจ หานเซิ่นเล็งไปที่ส่วนต่างๆของร่างกาย แต่ไม่ว่าบริเวณไหนที่ลูกธนูของพุ่งไปถูก มันก็มีหลุมดำปรากฏขึ้นมาและลูกธนูก็ดูดหายเข้าไป


 


ตูม!


ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์อ้าปากของมัน ทันใดนั้นคลื่นพลังสีน้ำเงินก็ถูกพ่นออกมาราวกับภูเขาไฟที่ปะทุ


 


ร่างกายของหานเซิ่นแว็บหายไปเพื่อหลีกเลี่ยงคลื่นโซ่สสารสีน้ำเงินที่เข้ามา แต่เขาไม่ได้ถอยออกไป เขายังคงยิงลูกธนูและเข้าไปใกล้ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ขึ้นเรื่อยๆ


 


หานเซิ่นเหมือนกับกำลังโต้คลื่นสึนามิที่จะนำมาซึ่งจุดจบของโลก ท้องฟ้านั้นปกคลุมไปด้วยสีน้ำเงิน แต่มันไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรกับเขา ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ขั้นพริมิทีฟนั้นไม่สามารถทำร้ายเขาได้


 


จากระยะไกล ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังมองดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้น


 


“เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่เลวเลย!” ผู้หญิงเอยชมหานเซิ่น


 


“การเคลื่อนไหวของเขาไม่ใช่สิ่งที่น่าประทับใจที่สุด”

จั่วอวี้ส่ายหัวและพูดต่อ “สิ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษของเขาคือความสามารถในการตัดสินใจและวิเคราะห์สถานการณ์ ร่างกายของเขาตอบสนองด้วยความแม่นยำที่สมบูรณ์แบบ”


 


“ความแม่นยำ?” ซือหยาขมวดคิ้ว


 


“เจ้าคงจะเห็นว่าเขาถอยออกไปด้านซ้าย แต่ก่อนที่เขาจะถอยไปนั้น ร่างกายของเขาเอนไปด้านขวา และในขณะที่เอนไปด้านขวากว่าเจ็ดสิบองศา เขายิงลูกธนูออกไปสามลูก เขาทำทั้งหมดนี้ในเวลาเดียวกัน เขาหลอกให้ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์พ่นพลังไปทางด้านขวา ซึ่งนั่นทำให้ร่างกายของมันถูกบังคับให้ไปด้านขวาไปด้วย มันทำให้เขามีพื้นที่ทางด้านซ้าย ดังนั้นเขาจึงมีเวลาเคลื่อนไหวไปยังจุดที่ได้เปรียบสำหรับการโจมตีครั้งต่อไป รายละเอียดแบบนี้อยู่ในทุกการเคลื่อนไหวของเขา ถ้าเขาไม่ได้แค่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำขั้นรุนแรง แบบนั้นเขาก็เป็นคนที่เกิดมาเพื่อเป็นนักสู้” จั่วอวี้พูด


 


ซือหยามองจั่วอวี้ด้วยความตกใจ วิชาการต่อสู้ของหานเซิ่นไม่ได้ดูพิเศษอะไร แต่เมื่อเธอให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวของเขาอย่างละเอียด มันก็เป็นอย่างที่จั่วอวี้พูดจริงๆ เขาเคลื่อนไหวด้วยความแม่นยำ และทุกการเคลื่อนไหวยังถูกคำนวณเป็นอย่างดี ซือหยาทีอคติกับหานเซิ่น ในตอนที่เธอเห็นเขาต่อสู้กับเอ็กซ์ควิสิท การโจมตีที่โหดร้ายไร้ปรานีนั้นฝังลึกเข้าไปในจิตใจของซือหยา และทำให้เธอคิดไปว่าเขาเป็นผู้ชายหัวรุนแรง ด้วยเหตุนั้นเธอจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของเขา แต่ตอนนี้เมื่อเธอมองดูมันดีๆ เธอก็ต้องตกใจ วิธีการต่อสู้ของเขาในตอนนี้นั้นแตกต่างไปจากวิธีการต่อสู้ที่เขาใช้กับเอ็กซ์ควิสิทโดยสิ้นเชิง มันยากที่จะเชื่อได้ว่านี่เป็นสไตล์การต่อสู้ของคนๆเดียวกัน

 

 

 


ตอนที่ 2640

 

หานเซิ่นใช้พลังเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ แต่ลูกธนูของเขาดูเหมือนจะสร้างความเสียหายกับเจ้าซีโน่เจเนอิคไม่ได้เลย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกธนูเข้าไปใกล้อีกฝ่าย หลุมดำก็จะดูดลูกธนูเข้าไป แต่ทั้งหมดนี่อยู่ในการคาดเดาของหานเซิ่น พลังและความสามารถของราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์นั้นอยู่ในข้อมูลที่เขาได้รับมา ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้คาดหวังให้ลูกธนูทำความเสียหายกับราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ตั้งแต่แรกแล้ว เขาเพียงแค่ซื้อเวลาเพื่อเข้าไปใกล้มัน


 


ในที่สุดหานเซิ่นก็เข้าไปใกล้ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ได้มากพอ เขาหมุนคันธนูงูหกคอและใช้มันเป็นเหมือนกับมีด สายลมที่คมเหมือนกับใบมีดตัดเข้าไปในเกล็ดของราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์และทิ้งรอยแผลลึกเอาไว้


 


‘เป็นอย่างที่ไฟล์ข้อมูลบอก ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์กลืนกินพลังงานได้ แต่มันดูดกลืนความเสียหายทางกายภาพไม่ได้’ หานเซิ่นคิด


 


ราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์โกรธขึ้นมาหลังจากที่ได้รับความเสียหาย แต่หานเซิ่นยังคงใช้ธนูโจมตีต่อไปเรื่อยๆขณะที่บินไปรอบๆราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ราวกับแมลงวัน มันไม่สำคัญว่าราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์จะคำรามเสียงดังสักแค่ไหน มันก็ยังโจมตีไม่ถูกตัวหานเซิ่น หลังจากนั้นมันก็หันไปใช้การโจมตีในวงกว้างแทน แต่เสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูงก็สามารถป้องกันความเสียหายทั้งหมดได้ เจ้าซีโน่เจเนอิคไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้


 


อวี้คุนยืนอยู่ห่างๆและไม่ได้ทำอะไรมาก เขาแค่โจมตีเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์นิดหน่อยเท่านั้น


 


หานเซิ่นยังคงต่อสู้ในระยะประชิดต่อไป ซึ่งราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ก็ได้รับความเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ


 


“เป็นผู้ชายที่น่ากลัวอะไรขนาดนี้ การเคลื่อนไหวและวิชามีดของเขาคล้ายคลึงกับวิชาใต้นภา แต่จะมีใครในเผ่าเราที่ฝึกวิชาใต้นภาได้ถึงขั้นนี้?” ซือหยาถามด้วยความแปลกใจ


 


จั่วอวี้บันทึกภาพการต่อสู้ระหว่างหานเซิ่นและราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์

“วิชาใต้นภานั้นไม่สมบูรณ์มาเป็นเวลานาน มันจึงมีศิษย์ไม่มากนักที่ฝึกวิชาใต้นภา และมันยังไม่มีใครคนไหนที่ฝึกจนถึงขั้นหานเซิ่น แต่ที่สุดแล้วมันจะมีคนที่ฝึกมันมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นสื่อการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบ”


 


ซือหยาส่ายหัว “นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่จะมองดูและเรียนรู้ได้ การใช้วิชาแบบนี้เป็นอะไรที่วิเคราะห์ได้ยากมาก บอกตามตรงมันคงจะมีแต่คนที่ฝึกวิชาจนเชี่ยวชาญแล้วเท่านั้นถึงจะได้ประโยชน์จากการมองดูการต่อสู้นี้ ศิษย์ส่วนใหญ่จะไม่ได้อะไร ไม่ว่าพวกเขาจะดูวิดีโอนี้สักกี่ครั้ง บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หานเซิ่นมีพรสวรรค์ระดับสิบเอ็ดเปลือก”


 


จั่วอวี้ส่ายหัวและพูด “ถึงอย่างนั้นการมีวิดีโอนี้ก็ยังดีกว่าไม่มี! ข้าหวังว่าเผ่านภาจะพัฒนายอดฝีมือเหมือนอย่างหานเซิ่นได้สักคน”


 


“ข้าไม่คิดว่าพวกเราต้องสงสัยในความสามารถของหานเซิ่นอีกต่อไป ระดับราชันขั้นที่เก้าคนหนึ่งกำลังจะฆ่าราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ ถึงแม้เขาจะมีสมบัติที่ทรงพลังอยู่ แต่เขาก็ยังคงน่ากลัวถึงแม้จะไม่ได้พึ่งพาพวกมัน ถ้าเขาเป็นสปาย เขาจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อปราสาทนภา ในตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ที่มาที่ไปของเขา” ซือหยาพูด


 


“ถ้าเขาไม่ใช่สปาย แบบนั้นพวกเราก็โชคดีมากๆ นี่เป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานเรา พวกเราจะต้องยืนยันตัวตนและอดีตของเขา” จั่วอวี้พูด


 


“นั่นเป็นความจริง แต่อารยธรรมของคริสตัลไลเซอร์นั้นสาบสูญไปเป็นเวลานานแล้ว พวกเราได้พยายามสืบอดีตของหานเซิ่นมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่หลังจากที่สืบไปถึงเผ่าเคท พวกเราก็ไม่มีเบาะแสจะสืบต่อ ดาวเคทถูกทำลายไปในสงครามเมื่อหลายปีก่อน ชาวเคทมากมายสูญเสียบ้านของพวกเขาไป มันไม่มีอะไรหลงเหลือให้พวกเราสืบหามากนัก” ซือหยาพูด


 


“แต่พวกเรายังคงต้องทำต่อไป เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของพวกเรา และท่านผู้นำก็จริงจังกับหานเซิ่น พวกเราจำเป็นหาให้ได้ว่าเขามาจากไหน ด้วยชื่อเสียงของเขา อิทธิพลของเขาภายในปราสาทนภามีแต่จะเพิ่มขึ้น” จั่วอวี้พูดขณะที่มองดูราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ต่อสู้กับหานเซิ่น


 


ที่สุดแล้วราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ก็ถูกตัดหัวด้วยสายธนูงูหกคอร์ เลือดของมันไหลออกมาราวกับสายฝน


 


“ซีโน่เจเนอิคราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ระดับเทพเจ้าถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”

เสียงประกาศดังขึ้นในหัวของหานเซิ่น เมื่อเขาไม่ได้เสียงประกาศพูดถึงวิญญาณอสูร เขาก็ดูผิดหวัง อวี้คุนเริ่มลากร่างกายของราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ออกไปจากเดม่อนอะบิสส์ เขาไม่สามารถปิดบังมันจากศิษย์ของปราสาทนภาที่อยู่รอบๆ ดังนั้นทุกคนจึงรู้ว่าหานเซิ่นและอวี้คุนช่วยกันฆ่าราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ได้สำเร็จ


 


ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องนั้น ศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งไปเจอวิดีโอการต่อสู้ระหว่างหานเซิ่นกับราชาเดม่อนอะบิสส์บีสต์ และวิดีโอนั่นก็ถูกแพร่กระจายไปทั่วปราสาทนภาอย่างรวดเร็ว


 


“วิชาที่อาจารย์หานใช้คือวิชาใต้นภาของเผ่านภาใช่ไหม?”

“วิชาใต้นภาทรงพลังถึงขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย?”

“แน่นอนว่ามันทรงพลัง ข้าได้ยินมาว่าจริงๆแล้วอาจารย์หานเซิ่นเป็นคนที่ช่วยในการปรับแต่งมัน”

“ถ้าอย่างนั้นดูเหมือนว่าข้าควรจะเริ่มฝึกวิชาใต้นภา”

“ใช่พวกเราควรจะฝึกมัน ในตอนที่อาจารย์หานทำการบรรยาย พวกเราควรจะขอให้เขาบรรยายเกี่ยวกับวิชาใต้นภา”


 


ศิษย์ของปราสาทนภามากมายเริ่มพูดกันถึงวิชาใต้นภาที่หานเซิ่นใช้ แต่หลังจากที่หานเซิ่นได้เห็นวิดีโอของตัวเอง เขาก็ได้แต่ขมวดคิ้ว


 


“ดูเหมือนว่าทางปราสาทนภาจะส่งคนมาจับตาดูเรา”

หานเซิ่นพูดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจไปหาผู้นำปราสาทนภาเพื่อบอกว่าเขายินดีจะเข้าร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮ แบบนั้นในตอนที่เขากลับมา เขาจะได้รับทะเลดารากรมาเป็นของตัวเอง


 


เมื่อผู้นำปราสาทนภาได้ยินการตัดสินใจของหานเซิ่น เขาไม่ได้ดูดีใจ เขาพูดอย่างเคร่งขรึม

“ถ้าเจ้าต้องการจะไป เจ้าจำเป็นต้องทำบางสิ่งที่น่ารำคาญซะก่อน”


 


“สิ่งที่น่ารำคาญอะไร?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาคิดว่าการทำการตัดสินใจคือส่วนที่ยากที่สุด ตอนนี้มันยังจะมีเรื่องอะไรอีก


 


ผู้นำปราสาทนภาหลี่ตาและพูด “เอ็กซ์ควิสิทต้องการพาเจ้าไป แต่เจ้าทำให้นางพ่ายแพ้อย่างหมดรูปและล้มเลิกความหวังทั้งหมด ดังนั้นถ้าเจ้าต้องการจะไป เจ้าจำเป็นต้องทำให้เอ็กซ์ควิสิทเลือกเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เจ้าจำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้ด้วยตัวเอง”


 


หานเซิ่นอ้าปากค้าง หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พูด

“นี่มันอะไรกัน? ถ้าข้ารู้แบบนี้ ข้าก็คงจะไม่ทำให้นางพ่ายแพ้ไม่เป็นท่าแบบนั้น”


 


“ไม่ต้องหดหู่ไป การเอาชนะนางอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายซะทีเดียว อย่างน้อยตอนนี้นางก็มองเจ้าต่างไปจากเดิม และนั่นหมายความว่านางจะนับถือเจ้ามากขึ้น แบบนี้เจ้าก็จะมีอิสระมากกว่าเดิม” ผู้นำปราสาทนภาพูดและหัวเราะออกมา


 


“ท่านช่วยส่งใครสักคนไปขอโทษแทนข้าไม่ได้หรอ?” หานเซิ่นถาม เขาเลือกจะเอาชนะเธออย่างเด็ดขาดและทำให้เธอต้องเผชิญกับความจริงที่เจ็บปวด เนื่องจากเขาไม่อยากไปที่เผ่าเวรี่ไฮ แต่ตอนนี้เมื่อเขาเกิดเปลี่ยนใจ เขาก็มารู้สึกตัวทีหลังว่าเขาเล่นงานเธอหนักเกินไป


 


“เจ้าเป็นคนเอาชนะนาง ดังนั้นเจ้าควรจะไปเปลี่ยนใจนางด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นถึงแม้เจ้าจะไปถึงเผ่าเวรี่ไฮ มันก็จะมีปัญหารอเจ้าอยู่ แบบนั้นทำไมเจ้าไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนที่จะไป?”

ผู้นำปราสาทนภาตบไหล่ของเขาและพูดต่อ “อย่าพลาดล่ะ ข้าฝากความหวังเอาไว้กับเจ้า”


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไงดี แต่เขาอยากได้ทะเลดารากร ด้วยเหตุนั้นเขาจำเป็นต้องทำตามที่ผู้นำปราสาทนภาบอก

 

 

 


ตอนที่ 2641

 

‘เราควรจะพูดยังไงดี? นี่เราควรเดินเข้าไปบอกเธอตรงๆอย่างนั้นหรอ? มันจะเป็นอะไรที่น่าอับอายมากหลังจากที่เราทำเรื่องทั้งหมดลงไป’

หานเซิ่นคิดขณะที่เดินทางไปหาเอ็กซ์ควิสิท เขาพยายามคิดหาหนทางที่จะพูดเรื่องนี้กับเอ็กซ์ควิสิท แต่เมื่อเขาไปถึงหน้าประตู เขาก็เห็นเอ็กซ์ควิสิท เธอยังคงดูค่อนข้างซีดเซียว เธอเปิดปากขึ้นเพื่อจะพูด แต่ไม่มีเสียงออกมา


 


“ข้าพูดไปตรงๆไม่ได้ ข้าไม่” หานเซิ่นคิดขณะที่ยิ้มแห้งๆออกมา


 


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่? นี่เจ้ากำลังตามหาข้าอย่างนั้นหรอ?”

เอ็กซ์ควิสิทถามหานเซิ่น ใบหน้าของเธอไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกโดยสมบูรณ์ มันเหมือนกับว่าความล้มเหลวในการต่อสู้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเธอ เธอดูเหนื่อยๆ แต่นอกจากนั้นแล้วเธอก็ดูเหมือนเดิมทุกอย่าง


 


“ข้า…ข้ามาที่นี่เพื่อดูว่าเจ้าหายดีแล้วหรือยัง” หลังจากที่หานเซิ่นพูดออกไปแบบนั้น เขาก็อยากจะตบหน้าตัวเอง มันฟังดูเหมือนกับว่าเขากำลังตอกย้ำความพ่ายแพ้ของเธอ


 


“ข้าเกือบหายดีแล้ว” เอ็กซ์ควิสิมพูดอย่างไร้ความรู้สึก


 


“นั่นเยี่ยมไปเลย…นั่นเยี่ยมไปเลย…” ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่พูดเก่ง แต่ปกติแล้วเขาก็ไม่ได้อ้ำอึ้งขนาดนี้ ครั้งนี้เขาตะกุกตะกักราวกับไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะพูดอะไร


 


เอ็กซ์ควิสิทจ้องมองมาที่หานเซิ่นและปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างพวกเขา หานเซิ่นอ้าปากหลายครั้ง แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ แต่ที่สุดแล้วเขาก็พูดขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น…ข้าจะไม่รบกวนการรักษาตัวของเจ้า”


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็หันกลับและเตรียมจะจากไป เขารู้สึกประหม่าเกินกว่าจะบอกเธอได้ว่าเขาต้องการอะไร


 


แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนหัวเราะ


 


จู่ๆเอ็กซ์ควิสิทก็หัวเราะขึ้นมา มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกตกใจ เขาไม่รู้ว่าเธอหัวเราะเรื่องอะไร แต่มันทำให้เธอดูเป็นคนที่อัธยาศัยดีกว่าก่อนหน้านี้


 


เอ็กซ์ควิสิทสบสายตากับหานเซิ่น และนางหน้าแดงชั่วครู่ แต่หลังจากนั้นใบหน้าของเธอก็กลับไปดูสงบนิ่งอีกครั้ง

“ผู้นำปราสาทนภาได้บอกข้าว่าตอนนี้เจ้าเกิดเปลี่ยนใจและยินดีจะตามข้าไปที่เผ่าเวรี่ไฮ นั่นเป็นความจริงอย่างนั้นหรอ?”


 


‘จิ้งจอกเฒ่านั่นขายเราอีกแล้ว!’ หานเซิ่นสบถในหัวของเขา ทันใดนั้นเขาก็ดูอึดอัดยิ่งไปกว่าเดิม เขาไม่ได้คิดว่าเอ็กซ์ควิสิทจะรู้เหตุผลที่เขามาเยี่ยมเธอ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะรอเขาอยู่ และนี่เขามาอ้ำๆอึ้งๆต่อหน้าเธอก่อนที่จะหันหลังกลับ ไม่แปลกใจเลยที่เอ็กซ์ควิสิทจะหัวเราะออกมา หานเซิ่นรู้ว่าสักวันหนึ่งเมื่อเขาย้อนมองเรื่องนี้ เขาก็คงจะหัวเราะออกมาเช่นกัน


 


เมื่อหานเซิ่นรู้สึกตัวว่าการมัวอับอายต่อไปนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกและพยักหน้า

“ใช่ ข้าอยากจะไปที่เผ่าเวรี่ไฮร่วมกับเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจที่จะรับตัวข้าไปหลังจากเรื่องทั้งหมดนี่เกิดขึ้น”


 


“ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนใจ?” เอ็กซ์ควิสิทถาม ใบหน้าของเธอยังคงดูสงบนิ่ง


 


“มันมีเหตุผลหลายอย่าง ข้าคงอธิบายพวกมันไม่ได้ทั้งหมด แต่สิ่งที่สำคัญคือข้าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากร” คำอธิบายของหานเซิ่นนั้นกำกวมมากๆ


 


“ข้าจะกลับไปที่เผ่าเวรี่ไฮในอีกสองวัน เจ้าควรไปเตรียมตัว” เอ็กซ์ควิสิทพูด


 


หานเซิ่นแปลกใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าเอ็กซ์ควิสิทจะพูดด้วยง่ายขนาดนี้


 


หานเซิ่นอ้าปากขึ้น แต่เขาไม่แน่ใจควรจะพูดอะไรกับเธออีก ตั้งแต่ที่การสนทนานี้เริ่มต้นขึ้น เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากพูดในสิ่งที่ผิด ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงตัดสินใจบอกลาเอ็กซ์ควิสิท


 


เมื่อหานเซิ่นกลับไปแล้ว ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเอ็กซ์ควิสิทก็หายไป จู่ๆสีหน้าของเธอก็ดูซับซ้อน


 


หานเซิ่นมีเวลาเพียงแค่สองวันในการเตรียมตัว โชคดีที่มันไม่มีอะไรที่เขาต้องจัดการมากนัก เขาบอกคนใกล้ชิดว่าเขากำลังจะออกเดินทางในเร็วๆนี้


 


ในตอนที่หานเซิ่นบอกกับไผ่เดียวดาย ไผ่เดียวดายก็ถามขึ้นมา

“เจ้าตัดสินใจจะไปที่นั่นอย่างนั้นหรอ?”


 


“ถ้าข้าไม่ไป ข้าจะไม่ได้ทะเลดารากรมาครอบครอง ข้าจะต้องไปที่นั่น” หานเซิ่นพูด


 


“ข้าหวังว่าเจ้าจะมีรอดชีวิตกลับมา” ไผ่เดียวดายพูดออกมาหลังจากที่เงียบไปสักพักหนึ่ง


 


“อย่าพูดเหมือนกับว่าข้ากำลังจะไปตาย ข้าจะกลับมาในสี่ปี” หานเซิ่นพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา


 


“ถ้าเจ้าไปในฐานะตัวไหมธรรมดา สี่ปีก็ถือเป็นเวลาสั้นๆ แต่เจ้ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง การเดินทางไปที่เผ่าเวรี่ไฮของเจ้าจึงเป็นการเดินทางที่อันตราย”

ไผ่เดียวดายไม่ได้รู้ถึงจุดประสงค์ที่หานเซิ่นไปที่นั่น แต่สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง


 


การตามหาคนๆหนึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิด แต่การโกหกเกี่ยวกับเจตนาของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่เผ่าเวรี่ไฮจะมองข้าม ถ้าเผ่าเวรี่ไฮรู้เรื่องนี้เข้า มันก็มีโอกาสสูงที่หานเซิ่นจะได้รับบทลงโทษ


 


แต่หานเซิ่นมั่นใจกับวิธีการของตัวเอง ถ้าเขาไม่แน่ใจว่าจะไม่เป็นอะไร เขาก็คงจะไม่เสี่ยงไปที่เผ่าเวรี่ไฮ


 


หลังจากที่หานเซิ่นจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็กลับเข้าไปในเมืองราชาดำเป็นครั้งสุดท้าย เขาบอกลาผู้คนที่อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นเขาก็ไปหาผู้นำปราสาทนภา


 


ผู้นำปราสาทนภาบอกวิธีการปกป้องจิตใจจากเผ่าเวรี่ไฮ ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้ฝากความหวังเอาไว้กับมันมาก แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจที่จะฟังเทคนิคของผู้นำของปราสาทนภา


 


สองวันผ่านไปในชั่วพริบตา หานเซิ่นพาเป่าเอ๋อขึ้นยานอวกาศร่วมกับเอ็กซ์ควิสิทเพื่อเดินทางออกจากปราสาทนภา เอ็กซ์ควิสิทเป็นคนกำหนดเส้นทางของพวกเขา


 


ถึงแม้จะมีสิ่งมีชีวิตมากมายถูกเลือกโดยเผ่าเวรี่ไฮ แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีผู้คนไม่มากนักที่รู้ว่าจริงๆแล้วเผ่าเวรี่ไฮนั้นตั้งอยู่ที่ไหน


 


จากคำพูดของผู้นำปราสาทนภา ซีโน่เจเนอิคสเปชของเผ่าเวรี่ไฮนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้ มันไม่ได้ตั้งอยู่ที่ใดที่หนึ่ง


 


“มันก็เป็นแค่ซีโน่เจเนอิคสเปชที่เคลื่อนที่ได้” หานเซิ่นไม่คิดว่านั่นเป็นอะไรที่พิเศษมากนัก เพราะเขาเคยเห็นปราสาทนภาใช้แส้ไล่ดวงดาวเพื่อเคลื่อนย้ายแนร์โรว์มูนมาแล้ว


 


เขาเดิมพันว่าถ้าปราสาทนภาทำได้ เผ่าเวรี่ไฮก็คงจะทำได้เช่นเดียวกัน การเคลื่อนย้ายซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นควรจะไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปสำหรับพวกเขา


 


หลังจากที่ยานอวกาศออกจากปราสาทนภา เอ็กซ์ควิสิทก็เปิดใช้ระบบการบินอัตโนมัติเพื่อให้ยานอวกาศบินไปเอง หลังจากนั้นเธอก็นำเอายานขนาดเท่าใบไม้เล็กๆออกมา มันลอยตัวอยู่ในอากาศและเริ่มจะขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเรือพายทั่วๆไป


 


“พวกเราจะใช้ยานนี้ไปที่เผ่าเวรี่ไฮอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นและเป่าเอ๋อมองไปยานอวกาศลำที่สองด้วยความสงสัย


 


“มีเพียงแค่ยานนี้ที่จะพาพวกเรากลับไป” เอ็กซ์ควิสิทพูด เธอขึ้นไปบนยานลำที่สองและนั่งลงที่ด้านหน้าสุด


 


หานเซิ่นพาเป่าเอ๋อตามขึ้นไปบนยานลำเล็กนั้น หลังจากที่พวกเขานั่งลง เอ็กซ์ควิสิทก็แตะผิวของยาน ทันใดนั้นยานที่มีรูปร่างเหมือนกับเรือพายก็เริ่มบินออกไป ในชั่วครู่ยานลำนั้นก็ผ่าอวกาศและรอดเข้าไปในสับสเปช ในตอนที่หานเซิ่นได้เห็นซีโน่เจเนอิคสเปชของเผ่าเวรี่ไฮ เขาก็อึ้งไป


 


ซีโน่เจเนอิคสเปชของเผ่าเวรี่ไฮดูเหมือนจะตั้งอยู่ในสับสเปช ก่อนการเดินทางครั้งนี้ หานเซิ่นไม่เคยจินตนาการว่ามันเป็นไปได้ที่จะคงผืนดินภายในสับสเปช หานเซิ่นตกตะลึงกับทัศนียภาพ


 


“นี่โลกปฏิสสารมีอยู่จริงๆหรือเนี่ย?” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเองขณะที่มองผ่านหน้าต่างของยานออกไป


 


“จริงๆแล้วที่แห่งนี้อยู่ระหว่างโลกความเป็นจริงและโลกปฏิสสาร นี่ไม่ใช่โลกปฏิสสารจริงๆ เจ้าอาจจะเรียกมันว่าสับสเปช แต่พวกเราเรียกมันว่าเอาท์เตอร์สกาย” เอ็กซ์ควิสิทอธิบาย


 


“ดินแดนแห่งนี้อยู่ที่นี่มาโดยตลอดหรือว่ามันถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปยังดินแดนที่เหมือนกับสรวงสวรรค์ตรงหน้า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)