Super God Gene 2614-2620
ตอนที่ 2614
หานเหยียนมองน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ที่ห้อยอยู่ด้านหลัง เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับลมปราณศักดิ์สิทธิ์นับพันเหมือนอย่างเป่าเอ๋อ แต่มันน่าประหลาดใจที่ไม่มีน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์แม้แต่ลูกเดียวที่มอบลมปราณศักดิ์สิทธิ์ให้กับเธอ มันทำให้เธอรู้สึกแย่
‘เราบอกพี่ว่าจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง แต่เรากลับไม่ได้รับลมปราณจากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์เลยสักลูก เราจะทำให้พี่ชายต้องอับอาย ผู้คนของปราสาทนภาจะหัวเราะเยาะเขา’
หานเหยียนมองไปที่น้ำเต้าขณะที่พยายามตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรดี เพื่อทำให้น้ำเต้าสักลูกปลดปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมา
หานเหยียนไม่ได้รู้สึกแบบนี้เพราะเธอไม่เข้าใจหานเซิ่น มันเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เธอโตขึ้นมานั้นแตกต่างไปจากเขา หานเซิ่นเติบโตอย่างยากลำบากและสับสนวุ่นวาย ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยอันตราย เขาไม่มีเวลามาสนใจว่าคนอื่นๆจะมองเขายังไง เขาสนใจความปลอดภัยของตัวเองและผลประโยชน์ที่ได้รับมากกว่าความคิดเห็นของคนอื่น
แต่หานเหยียนนั้นต่างออกไป หานเหยียนไม่ได้ทุกข์ยากเหมือนกับหานเซิ่น แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของตระกูลหาน หานเหยียนก็ถูกเลี้ยงดูอย่างดีโดยหลัวหลาน หลัวหลานคาดหวังให้ลูกชายดูแลตัวเอง แต่เธอนั้นตามใจลูกสาว ด้วยเหตุนั้นบุคลิกภาพของหานเซิ่นและหานเหยียนจึงแตกต่างกัน
ในตอนที่หานเซิ่นกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง ช่วงเวลาสมัยเด็กของหานเหยียนก็ดียิ่งขึ้นไปอีก ในตอนที่เธอไปโรงเรียน เธอก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนหลวง ผลการเรียนของเธอเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่อง ซึ่งทำให้เธอเป็นที่สุดของโรงเรียน เธอเป็นเด็กฉลาดที่สุดในชั้นของเธอ
แน่นอนว่าหานเหยียนได้รับมันเพราะพรสวรรค์ของเธอเอง การสนับสนุนของครอบครัวมีส่วนช่วยแค่เล็กน้อยเท่านั้น
หานเซิ่นและหลัวหลานคอยชี้นำหานเหยียนอยู่ตลอด และถึงแม้เธอจะรู้สึกขอบคุณในความช่วยเหลือของพวกเขา แต่มันก็สร้างแรงกดดันให้กับเธอ หานเหยียนรู้สึกว่าถ้าเธอไม่ดีพอ มันก็จะทำให้พี่ชายและแม่ต้องผิดหวัง ด้วยเหตุนั้นหานเหยียนจึงพยายามอย่างเต็มที่ เธออยากจะเป็นเหมือนอย่างพี่ชายของเธอ
ยิ่งหานเซิ่นประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ หานเหยียนก็รู้สึกกดดันมากขึ้นเท่านั้น มันทำให้เธอต้องพยายามมากยิ่งขึ้นไปอีก
ตอนนี้ก้าวแรกสู่ปราสาทนภาของเธอเริ่มต้นโดยไม่ได้รับลมปราณของน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์เลยสักลูก เธอรู้สึกว่าในจังหวะนี้ถ้าเธอไม่ลองทำอะไรสักอย่าง มันก็จะทรยศต่อความคาดหวังของหานเซิ่นและหลัวหลาน
แต่ความจริงแล้วหานเซิ่นไม่เคยรู้สึกแบบนั้น ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว เหนือสิ่งอื่นใดเขาต้องการให้หานเหยียนมีความสุข ความล้มเหลวไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังในตัวเธอ
หานเซิ่นรู้สึกแบบเดียวกันกับสมาชิกทุกคนในครอบครัว หานเซิ่นแค่ต้องการให้พวกเขาปลอดภัยและมีความสุข นั่นเป็นความปรารถนาของเขา
หานเหยียนดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เธอหันหน้าไปมองน้ำเต้าลูกหนึ่งและเคลื่อนที่เข้าไปหามัน
คนของปราสาทนภามองหานเหยียนอย่างแปลกๆ ในตอนแรกพวกเขาไม่รู้ว่าเธอมีแผนจะทำอะไร แต่ไม่นานพวกเขาก็เข้าใจ
พวกเขาเห็นหานเหยียนเดินเข้าไปหาน้ำเต้าลูกหนึ่งที่สูง 20 เซนติเมตร เธอจับมันด้วยมือทั้ง 2 ข้างและพยายามจะเด็ดมันออกมา
ผู้นำปราสาทนภาพ่นชาที่กำลังดื่มออกมา ท่ามกลางการไอ เขาพูดขึ้นมา
“นี่มันครอบครัวแบบไหนกัน? เป่าเอ๋อดูดพลังของเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ไปจนเกือบหมด และตอนนี้หานเหยียนคนนี้ก็ยังพยายามจะขโมยน้ำเต้าอีกอย่างนั้นหรอ!”
ปราสาทนภาไม่ได้มีกฎที่ห้ามสัมผัสน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ แต่ใครก็ตามที่มีสมองจะรู้ว่าเถาวัลย์น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นพืชซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า มันไม่สามารถใช้กำลังกับน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ได้ นอกซะจากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์จะยินยอม แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถเด็ดมันออกมาได้ ซึ่งหานเหยียนเป็นแค่ระดับดยุกคนหนึ่ง
ไอเดียของหานเหยียนเป็นอะไรที่ง่ายๆ ถ้ามันไม่มีกฎที่ห้ามเธอจากการสัมผัสน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ แบบนั้นเธอก็อยากจะลองดูว่ามันจะได้ผลไหม เธอไม่อยากจะทำให้หานเซิ่นผิดหวัง ดังนั้นเธอจะลองดูถึงแม้โอกาสสำเร็จจะต่ำมากๆก็ตาม
ศิษย์ของปราสาทนภาจ้องไปที่หานเหยียน ขณะที่เธอกำลังจดจ่ออยู่ที่น้ำเต้าในมือ ดูเหมือนว่าเธอต้องการจะเด็ดน้ำเต้าออกมาจากเถาวัลย์
“นาง…เป็นสมาชิกในครอบครัวของอาจารย์หานจริงๆ นางกล้ามากๆ”
“นี่เป็นอะไรที่สร้างสรรค์มากๆ ข้าชอบวิธีการคิดของนาง แต่นางควรจะยอมแพ้ นางเป็นแค่ระดับดยุก ถ้าเกิดน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์โกรธขึ้นมา นางจะทนต่อโทสะของมันไม่ได้”
“ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว! นางต้องการจะเอาน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ไปกับนางด้วย”
“นางกล้าเหมือนกับพี่ชายของนาง แต่พวกเขาทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังกันทั้งคู่”
“น่าเสียดาย นางมีรูปลักษณ์ที่งดงาม ด้วยความงดงามและความสัมพันธ์กับหานเซิ่น นางจะกลายเป็นเทพธิดาของปราสาทนภา ตอนนี้เมื่อทุกคนรู้ว่าสมองของนางนั่นแย่ นางก็คงจะเป็นเทพธิดาไม่ได้ นางจะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงบ้าคนหนึ่งแทน”
แม้แต่เอ็กซ์ควิสิทก็จ้องหานเหยียนอย่างแปลกๆ เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเช่นเดียวกัน
ผู้อาวุโสหกดูมีความสุขเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาหัวเราะออกมาเสียงดังๆ เขามองไปที่ยวิ๋นฉางคงและพูด
“ผู้อาวุโสยวิ๋นยินดีด้วย เจ้ามีลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมอีกคน มันเป็นเรื่องน่ายินดีที่เจ้าได้ลูกศิษย์คนนี้ นางจะไม่ปล่อยอะไรไปง่ายๆ”
ยวิ๋นฉางคงยิ้มแห้งๆขณะที่มองหานเหยียนที่เคลื่อนที่เข้าไปจับน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์
ดรีมบีสต์กำลังนอนอยู่ข้างทะเลสาบ มันเห็นเรื่องทั้งหมดนี้และดวงตาของมันก็ยิ้มเหมือนกับพระจันทร์
ยวิ๋นซู่อีและคนอื่นทั้งหมดที่ใกล้ชิดกับหานเซิ่นยืนแข็งทื่อไปราวกับรูปปั้น ตลอดประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของประสาทนภา มันมีคนไม่มากนักที่กล้าจะทำแบบหานเหยียน
หานเหยียนไม่สนใจเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิด เธอจับน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์และพยายามจะเด็ดมันออกมา
แต่น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นพืชซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า มันเป็นสมบัติล้ำค่าของปราสาทนภาที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าธรรมดาก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้ พละกำลังของหานเหยียนเป็นเหมือนกับมดเมื่อเทียบกันแล้ว ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าเธอจะพยายามมากสักแค่ไหน น้ำเต้าก็ไม่ขยับเขยื้อน หานเหยียนสังเกตว่าไม่สามารถเด็ดมันออกมาได้ แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอตัดสินใจจะใช้ร่างกายขั้นสุดยอดของเธอ ถึงจะไม่สำเร็จก็ไม่เป็นอะไร แต่อย่างน้อยๆเธอก็พยายามแล้ว มันไม่มีอะไรที่ต้องมาเสียใจทีหลัง
กระเรียนพันขนพูด “หานเซิ่น มันเกือบจะได้เวลาแล้ว เจ้าควรพาน้องสาวของเจ้าไปที่ปราสาทนภา”
กระเรียนพันขนหวังจะให้หานเซิ่นไปโน้มน้าวให้หานเหยียนหยุดเด็ดน้ำเต้าออกจากเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่รู้ว่าจะไปบอกเธอด้วยตัวเองได้ยังไง
หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าหานเหยียนจะทำอะไรแบบนี้ เขารู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกับคนอื่น แต่เขาก็ยังแกล้งทำเป็นสงบนิ่ง
“ไม่เป็นไร มันถือเป็นเรื่องดีที่คนหนุ่มสาวจะคิดทำอะไรแบบนี้ ปล่อยให้นางทำต่อไป”
หานเซิ่นจะเข้าไปห้ามหานเหยียน ถ้ามันมีกฎที่ห้ามเธอจากการสัมผัสน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าไม่มี เขาก็จะไม่หยุดเธอ
ขณะที่พวกเขาคุยพูดกัน ร่างกายของหานเหยียนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เส้นผมสีดำยาวของเธอกลายเป็นคริสตัลสีดำ มันยาวลงไปจนถึงเท้าของเธอ ดวงตาของเธอเป็นเหมือนกับหินอัญมณีสีดำ ร่างกายทั้งร่างของเธอปกคลุมด้วยออร่าที่ดูลึกลับ
ตอนที่ 2615
เมื่อเห็นแบบนี้ ยอดฝีมือของปราสาทนภาหลายคนก็ขมวดคิ้ว ถึงแม้ทางปราสาทนภาจะไม่ได้มีข้อห้ามในการใช้พลังบนถนนนภา แต่การไปยั่วยุเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดี ถ้าหานเหยียนไปทำให้เถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์โกรธ มันก็คงจะจบไม่สวย
ผู้นำปราสาทนภารู้สึกปวดหัวขึ้นมา “ทำไมคนตระกูลหานถึงได้เป็นแบบนี้กันหมด? นี่พวกเขาไม่มีคนคอยปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีให้หรือยังไง? ผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็นตัวปัญหาสำหรับผู้อาวุโสยวิ๋นแน่”
สีหน้าของยวิ๋นฉางคงดูไม่สู้ดีนัก ก่อนถึงวันนี้เขาไม่เคยคิดจะรับคนแบบนี้มาเป็นลูกศิษย์ เขาไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะกับภาพที่เห็นดี
ผู้อาวุโสหกหัวเราะจนท้องแข็ง เขาพูดขึ้นมา “หานเหยียนคนนี้… น่าสนใจจริงๆ… ผู้อาวุโสยวิ๋นนี่โชคดีจริงๆ”
หลังจากนั้นผู้อาวุโสหกก็หยุดหัวเราะไปอย่างกะทันหัน เขายังคงยิ้มค้างอยู่ แต่ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
ยวิ๋นฉางคงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่ค้างไปของผู้อาวุโสหก เขาก็หันกลับไปมองที่น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์
เมื่อสายตาของเขาเห็นน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ ยวิ๋นฉางคงก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจจะหยุดเต้น ดวงตาของเขาปูดออกมาเล็กน้อยขณะที่จ้องมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
มันไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสทั้ง 2 คนเท่านั้นที่ตกตะลึง ทั้งปราสาทนภาได้ตกอยู่ในความเงียบสงัด
ผู้นำปราสาทนภากำลังยกมันขึ้นมาจิบก่อนที่ร่างกายทั้งร่างแข็งทื่อไป ใบหน้าของเขาดูเหมือนกับว่ากำลังเห็นผี
หานเหยียนยังคงจับน้ำเต้าด้วยมือ 2 ข้าง แต่ตอนนี้ก้านที่เคยเชื่อมน้ำเต้ากับเถาวัลย์ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว หานเหยียนเด็ดน้ำเต้าออกมาจากเถาวัลย์ได้สำเร็จ
คนของปราสาทนภาตกตะลึง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้เห็น พวกเขาไม่เคยคาดฝันว่าน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์จะถูกเด็ดออกมาแบบนี้
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของปราสาทนภา มันมีคนที่เคยพยายามจะเด็ดน้ำเต้าออกมาจากเถาวัลย์ ถึงพวกเขาจะมีจำนวนไม่มาก แต่พวกเขาแต่ละคนก็ไม่ใช่แค่ศิษย์ธรรมดาๆของปราสาทนภา พวกเขาเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า
พวกเขาต้องการเถาวัลย์และน้ำเต้าเพื่อไปสร้างสมบัติระดับเทพเจ้า แต่มันเป็นไปได้ที่จะเด็ดน้ำเต้าออกมาโดยใช้กำลัง ถึงแม้ผู้นำปราสาทนภาต้องการน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จำเป็นต้องทำพิธีกรรมพิเศษและมอบสมบัติที่จะมอบพลังงานให้กับเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์พึงพอใจ มันก็อาจจะมอบน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ให้เขาสักลูกหนึ่ง
ในตอนนี้ปราสาทนภามีสมบัติ 17 ชิ้นที่ถูกทำขึ้นมาจากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ พวกมันทั้งหมดต่างเป็นอาวุธระดับเทพเจ้า สมบัติที่สร้างจากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังที่สุดนั้นเป็นถึงอาวุธระดับเทพเจ้าขั้นบัตเตอร์ฟลาย
แน่นอนว่ามันมีน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์บางลูกที่นำไปทำเป็นอาวุธไม่สำเร็จ ซึ่งพวกมันไม่ได้รวมอยู่ในสมบัติ 17 ชิ้นนี้
เพราะแบบนั้นทุกคนจึงรู้ว่าเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์เป็นพืชซีโน่เจเนอิคที่น่ากลัวขนาดไหน ถึงแม้ปราสาทนภาจะมียอดฝีมือระดับเทพเจ้าอยู่หลายคน แต่ไม่มีใครที่กล้าปฏิบัติไม่ดีกับมัน ในประวัติศาสตร์ของปราสาทนภาการใช้กำลังเด็ดน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ออกจากเถาวัลย์นั้นเคยถูกทำสำเร็จเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น
แต่ทว่าหานเหยียนเป็นเพียงแค่ระดับดยุก และเธอก็ไม่ได้สังเวยอะไรให้กับเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ มันยากที่จะเชื่อได้ว่าเธอจะเด็ดน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ ทุกคนมองไปที่หานเหยียนราวกับว่าเธอเป็นคนบ้า
หานเหยียนดีใจ เธอคิดกับตัวเอง ‘ดูเหมือนว่ามันเป็นไปได้จริงที่จะเด็ดเอาน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์จากเถาวัลย์นี่ ถ้าน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์มีลมปราณศักดิ์สิทธิ์อยู่ เราก็ควรจะนำมันกลับไปวิจัย ตอนนี้ถึงเราจะเปิดมันออกไม่ได้ แต่หลังจากที่เราแข็งแกร่งขึ้น เราจะหาทางเปิดน้ำเต้านี้เพื่อเอาลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายใน’
‘จริงด้วย ได้ยินมาว่าแต่ละคนจะข้ามถนนนภาได้เพียงแค่หนเดียวเท่านั้น เราควรจะเก็บมันไปให้พี่ชายและเป่าเอ๋อด้วย’
หานเหยียนคิดกับตัวเอง เธอเก็บน้ำเต้าใส่กระเป๋าและหันไปมองน้ำเต้าอีกลูกที่อยู่ข้างๆ
หานเหยียนกังวลว่าถ้าเธอพยายามเด็ดน้ำเต้าที่ขนาดใหญ่เกินไป เธอก็อาจจะเด็ดมันไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นเธอจึงเลือกลูกที่มีขนาดเล็กแทน
“นี่นางกำลังจะทำอะไร?” ผู้นำปราสาทนภาจ้องไปที่หานเหยียนด้วยสายตาที่เป็นกังวล เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา เขาเกือบจะกระโดดออกจากที่นั่ง ในตอนที่เขาเห็นหานเหยียนเอื้อมมือออกไปหาน้ำเต้าอีกลูก
ขณะที่หานเหยียนเอื้อมมือไปเด็ดน้ำเต้าออกมาจากเถาวัลย์ เธอก็พูดกับตัวเอง
“หนึ่งลูกสำหรับพี่ชาย หนึ่งลูกสำหรับเป่าเอ๋อ หนึ่งลูกสำหรับเมิ่งเอ๋อ และอีกหนึ่งลูกสำหรับหลิงเอ๋อของพวกเรา โอ้ อีกหนึ่งลูกสำหรับเสี่ยวฮวาด้วย”
น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ที่แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้ายังทำอะไรไม่ได้กำลังถูกเด็ดออกไปทีละลูกๆ หานเหยียนเก็บพวกมันไปจากเถาวัลย์ราวกับว่าเธอกำลังเก็บองุ่น เมื่อเธอเด็ดไปได้ 3-4 ลูก ดวงตาของผู้นำปราสาทนภาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว
คนอื่นๆในปราสาทนภาต่างก็ตกตะลึง พวกเขาพูดอะไรไม่ออก พวกเขาได้แต่อ้าปากค้าง ขณะที่หานเหยียนกำลังเด็ดน้ำเต้าออกจากเถาวัลย์
“นี่…นี่…นี่มันเป็นไปได้ยังไง? ทำไมเถาวัลย์ถึงไม่ตอบสนองต่อนาง? นี่มันอนุญาตให้ระดับดยุกคนหนึ่งเก็บน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง…”
ผู้อาวุโสหกขยี้ตา เขาคิดว่าดวงตาของเขากำลังเล่นตลกอะไรบางอย่าง และเขาคงจะเห็นภาพหลอนไป
ยวิ๋นฉางคงหันกลับมาหาผู้อาวุโสหก หัวใจอของเขากำลังร้องตะโกนด้วยความปลาบปลื้ม เขาพยายามจะอดกลั้นมันเอาไว้ แต่เขายังคงยิ้มที่มุมปาก
“ผู้อาวุโสหก ลูกศิษย์ของข้านี้ช่างไม่เอาไหน นางไม่ได้รับลมปราณศักดิ์สิทธิ์ของน้ำเต้าแม้แต่ลูกเดียว ด้วยเหตุนั้นนางจึงต้องไปเด็ดมันมาด้วยตัวเอง นั่นเป็นอะไรที่บ้าจริงๆ…ฮ่าๆๆ!”
น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถใช้เป็นฐานสำหรับอาวุธระดับเทพเจ้าได้ แต่กระบวนการสร้างพวกมันเป็นอาวุธมักจะล้มเหลว และการใช้วัตถุที่หายากเสริมก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ก็มีค่าเทียบได้กับยีนซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าขั้นพริมิทีฟ เมื่อเห็นหานเหยียนเด็ดพวกมัน 4 ลูกและเก็บเข้าไปในกระเป๋า ผู้นำปราสาทนภาก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นและพูดด้วยเสียงดัง
“หานเหยียน… รีบเข้ามาประตูปราสาทนภา หยุดเถลไถล!”
เสียงนั้นดังก้องทั่วทั้งปราสาทนภา แต่มีแค่หานเหยียนเท่านั้นที่ได้ยิน
หานเหยียนเป็นคนฉลาด เมื่อเธอได้ยินแบบนั้น เธอก็รู้ว่าไม่ได้รับอนุญาตให้เก็บน้ำเต้าเพิ่มอีก เธอรู้สึกว่ามันน่าเสียดาย
แต่หานเหยียนไม่ได้อยู่บนเถาวัลย์นานกว่านั้น เธอเดินออกไปจากถนนนภาและมุ่งหน้าไปยังประตูปราสาทนภา
“นี่สายตาของข้าเล่นตลกหรือเปล่า? ข้าคิดว่าหานเหยียนนั้นเอาน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ไป 4 ลูก” ศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งถามด้วยความสับสน ดูเหมือนกับว่าเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล
“ข้าคิดว่าข้าเองก็เห็นเรื่องนั้นเหมือนกัน”
“สมแล้วที่เป็นน้องสาวของอาจารย์หาน ข้าอยากรู้จังว่าอาจารย์หานอยากจะได้น้องเขยไหม”
“ผู้หญิงตระกูลหานนี่น่ากลัวยิ่งกว่าตัวอาจารย์หานเสียอีก ลูกสาวของเขาได้รับการยอมรับจากน้ำเต้าทั้งหมด ขณะที่น้องสาวของเขาเด็ดพวกมันออกมาจากเถาวัลย์”
“นั่นมันแปลกจริงๆ ทำไมน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ปฏิบัติกับตระกูลหานดีแบบนั้น? เถาวัลย์ปล่อยให้หานเหยียนเก็บเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ไปโดยไม่ตอบสนองเลยแม้แต่นิดเดียว”
“นั่นเป็นเพราะตระกูลหานนั้นแข็งแกร่งกันทุกคน”
“นี่เจ้าโง่หรือยังไง? ถ้าเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ยินยอม เจ้าคิดว่าดยุกคนไหนจะเด็ดพวกมันได้อย่างนั้นหรอ?”
ตอนที่ 2616
‘ทำไมเราถึงไม่คิดเกี่ยวกับการเก็บน้ำเต้าออกมาจากถนนนภาบ้างนะ?’ หานเซิ่นคิดด้วยความเสียใจ
ขณะที่หานเซิ่นกำลังเสียใจกับความผิดพลาด หานเหยียนก็เดินไปถึงบันไดหินที่นำไปสู่ปราสาทนภา คำว่า “ปราสาทนภา” กำลังเรืองแสงสว่างไสว และความรู้สึกของมันก็เป็นอะไรที่ข่มขวัญ และทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกกดขี่
แม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันก็รู้สึกได้ถึงความกดดันต่อตัวอักษรเหล่านั้น ถ้าพวกเขาก้าวขึ้นบันไดนี้ไป ราชันส่วนใหญ่นั้นจะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองไปที่ตัวอักษรเหล่านั้น
คนของปราสาทนภาตั้งตารอดูว่าหานเหยียนจะเป็นยังไงในตอนที่เธอเดินขึ้นไปบันไดหินนั่น ผลงานของหานเหยียนบนถนนนภาเป็นอะไรที่ประทับใจ
“ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกต่อไปว่านางเป็นน้องสาวทางสายเลือดของหานเซิ่น นางแข็งแกร่งจริงๆ”
“นี่เจ้าลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่อาจารย์หานเดินขึ้นบันไดไปแล้วหรอ? เขาถูกแบกขึ้นไป ข้าไม่รู้ว่าน้องสาวของเขาจะประสบเหตุการณ์แบบเดียวกันหรือเปล่า”
“อาจารย์หานถูกแบกขึ้นไปก็เพราะเขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพวกมัน มันไม่ใช่เพราะว่าเขาอ่อนแอ”
“เจ้าคิดว่าน้องสาวของเขาจะเข้าใจคำ 2 คำของปราสาทนภาเช่นเดียวกันอย่างนั้นหรอ?”
“นางเก็บน้ำเต้ามาราวกับว่าเด็ดลูกแอปเปิล นางเด็ดพวกมันมาถึง 4 ลูก การเข้าใจความหมายของคำทั้ง 2 คงจะไม่ได้ยากไปกว่าการเด็ดน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์”
“ข้าก็คิดแบบนั้น ดูเหมือนว่าคริสตัลไลเซอร์จะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความสำคัญอีกครั้งหนึ่งด้วยตระกูลหาน”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน หานเหยียนก็ก้าวขึ้นไปบนบันไดหิน หานเซิ่น ยวิ๋นซู่อีและกระเรียนพันขนยืนรออยู่ด้านนอกบันไดหิน ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับหานเหยียน พวกเขาก็จะเข้าไปเพื่อช่วยเธอ
หานเซิ่นไม่ได้กังวลว่าหานเหยียนจะถูกบดขยี้ภายใต้ความกดดันของคำทั้ง 2 ของปราสาทนภา เขากังวลว่าเธอจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำทั้ง 2 และปล่อยให้พวกมันเข้าไปในร่างกายเหมือนกับเขา ถ้าเธอเดินต่อไปไม่ไหว เขาก็จะแบกเธอขึ้นไปจนถึงด้านบน มันไม่เหมาะสมที่จะให้คนอื่นเป็นคนทำ
ส่วนในเรื่องของพรสวรรค์ของหานเหยียน หานเซิ่นมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม หานเซิ่นเชื่อว่าครอบครัวของเขามีหลายคนที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าตัวเขา เขาเหนือกว่าคนอื่นด้วยความพยายามและความมุ่งมั่น มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพรสวรรค์
แน่นอนว่าดวงก็มีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน
เมื่อหานเหยียนก้าวขึ้นไปบนบันไดหิน เธอก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันของคำทั้ง 2 ในทันที เธอช้าลงไปภายใต้น้ำหนักที่กระทันหันและหัวของเธอก็ถูกกดลง
‘เราไม่ได้เป็นตัวแทนของตัวเองเท่านั้น เราเป็นตัวแทนของพี่ชาย เราจะก้มหัวขณะที่เดินขึ้นไปสู่ปราสาทนภาไม่ได้’
ด้วยความคิดนั้น หานเหยียนเงยหน้าขึ้นและต่อสู้กับคำ 2 คำของปราสาทนภา
แต่ทั้ง 2 คำนั้นมีพลังระดับเทพเจ้า เธอไม่สามารถต้านพวกมันได้ ยิ่งเธอพยายามจะต่อสู้ แรงกดดันที่เธอได้รับก็จะเพิ่มมากขึ้น กระดูกคอของเธอเกือบจะหัก
ร่างกายขั้นสุดยอดของเธอถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง หานเซิ่นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับร่างกายขั้นสุดยอดราชาปลดปล่อยนภาของหานเหยียนมากนัก เขารู้แค่ว่ามันเป็นร่างกายขั้นสุดยอดธาตุเหตุและผล ส่วนเรื่องความทรงพลังของโหมดราชาปลดปล่อยนภานั้น หานเซิ่นยังไม่สามารถบอกได้ นอกซะจากว่าเขาจะได้ลองต่อสู้กับเธอ
หานเซิ่นเห็นว่าที่หานเหยียนเด็ดน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์มาได้นั้นก็เป็นเพราะร่างกายขั้นสุดยอดของเธอ แต่เขาไม่แน่ใจว่าเธอทำได้อย่างไร
ในตอนนี้เมื่อหานเหยียนใช้ร่างกายขั้นสุดยอดอีกครั้ง หานเซิ่นก็ให้ความสนใจกับมันอย่างเต็มที่และพยายามเข้าใจว่ามันมหัศจรรย์อย่างไร
ผู้นำของปราสาทนภาเห็นหานเหยียนพยายามต่อสู้กับคำทั้ง 2 คำของปราสาทนภา เขาก็ยิ้มออกมาและพูดกับผู้หญิงข้างๆ “นางยังคงเป็นแค่เด็ก”
“ทุกคนเคยเป็นเด็กกันทั้งนั้น” ผู้หญิงคนนั้นพูด
“การทำอะไรที่บ้าบิ่นในวัยเด็กไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ในบ้างครั้งเด็กก็จำเป็นต้องมีแรงผลักดันแบบนั้น”
ผู้นำปราสาทนภาหัวเราะและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาบอกได้ว่าถึงสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ใครก็สามารถบอกได้ว่าเธอชื่นชมสิ่งที่หานเหยียนกำลังทำ ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน หานเหยียนที่ถูกข่มโดยคำทั้ง 2 ของปราสาทนภาก็เงยหน้าขึ้นมาและมองตรงไปข้างหน้า เธอเริ่มเดินออกไปสู่ประตูของปราสาทนภา
ยอดฝีมือของปราสาทนภาต่างดูสับสนและสงสัยว่าทำไมตอนนี้คำทั้ง 2 ของปราสาทนภาถึงไม่มีผลต่อหานเหยียน
“ไม่มีทาง! คำทั้ง 2 ของปราสาทนภาจะส่งผลต่อผู้คนที่ก้าวขึ้นมาบนบันไดหินเป็นครั้งแรก และผลของมันจะหายไปเมื่อก้าวขึ้นมาเป็นครั้งที่ 2 นี่เป็นครั้งแรกของหานเหยียน แต่ทำไมนางถึงไม่ได้รับผลกระทบอะไร?” ผู้อาวุโสหกดูสับสน บางสิ่งดูผิดปกติ
“ไม่สิ มันส่งผลกระทบกับนางในตอนแรก แต่หลังจากนั้นมันก็ไม่ส่งผลกับนางอีก นี่หานเหยียนคนนี้มีวิชาจีโนที่มหัศจรรย์แบบไหนกัน?”
“ผู้อาวุโสหก เลิกถามคำถามสักที มันคงจะเป็นเรื่องแปลกถ้าน้องสาวของหานเซิ่นเป็นคนปกติธรรมดาๆ” ยวิ๋นฉางคงพูดด้วยรอยยิ้ม
ยวิ๋นฉางคงตกลงรับหานเหยียนมาก็เพราะหานเซิ่นและยวิ๋นซู่อี เขาไม่ได้คาดคิดว่าหานเหยียนจะยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้ เขารู้สึกราวกับว่าเพิ่งจะถูกหวย
หานเหยียนเดินขึ้นบันไดหินไปอย่างเงียบๆ ขณะที่เธอทำแบบนั้น ศิษย์ของปราสาทนภาคนอื่นก็คิดว่ามีบางสิ่งผิดปกติ พวกเขาเริ่มจะรู้สึกตัวว่าคำทั้ง 2 ของปราสาทนภาสูญเสียประสิทธิภาพของมันไป มันยังคงทำงานและตอนนี้มันก็ทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันคำทั้ง 2 ก็เรืองแสงออกมา ถ้าศิษย์ของปราสาทนภามองดูดีๆ พวกเขาก็จะเห็นว่านั่นไม่ใช่แสงจริงๆ แสงสว่างที่พวกเขาเห็นคือคลื่นของจิตใจที่แข็งแกร่งเกินไป มันก่อตัวเป็นแสงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจนมองเห็นได้
ยิ่งหานเหยียนเดินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ความสว่างของพลังจิตใจของคำทั้ง 2 ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน มันกลายเป็นจิตใจที่ทรงพลัง หานเหยียนเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง แต่เธอกระตุ้นพลังจากคำทั้งสองได้มากถึงขนาดนี้ นั่นเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ
ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือความจริงที่ว่าจิตใจที่ทรงพลังขนาดนั้นยังคงไม่มีผลอะไรต่อหานเหยียน
จิตใจนั้นเป็นเหมือนกับแสงของดวงจันทร์ หานเหยียนเดินขึ้นบันไดหินในชุดขาวทั้งตัวราวกับแฟรี่ที่กำลังอาบในแสงจันทร์ เส้นผมสีดำของเธอลอยในแสงจันทร์ระยิบระยับ คนหนุ่มของปราสาทนภามากมายไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้
“นางเป็นแฟรี่ที่แท้จริง” สายตาของคนหนุ่มของปราสาทนภาเป็นประกายราวกับหมาป่าที่หิวกระหาย
ขณะเดียวกันหานเหยียนก็ยังคงเดินขึ้นไปภายใต้แรงกดดันของคำทั้ง 2 ของปราสาทนภา เมื่อเธอเดินพ้นบันไดขั้นสุดท้ายไป จากประสบการณ์ในอดีตของปราสาทนภา พลังจิตใจของคำทั้ง 2 คำก็จะเริ่มลดลงไป
แต่ครั้งนี้จิตใจของคำทั้ง 2 ของปราสาทนภาไม่ลดลง มันระเบิดราวกับภูเขาไฟ
ตอนที่ 2617
ขณะที่ทุกคนมองดูด้วยความสับสน จิตใจของคำทั้ง 2 ของปราสาทนภาก็ระเบิดและบางสิ่งก็บินขึ้นสู่อากาศ
“นั่นคืออะไร?” หานเซิ่นตกใจ เขามองไปที่ยวิ๋นซู่อี เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอะไรแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน
“ข้า…ข้าไม่รู้…” ยวิ๋นซู่อีก็ตกตะลึงเหมือนกัน เธอไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน
คนอื่นๆในปราสาทนภาก็ตกใจเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่ามันจะมีอะไรบางอย่างบินออกมาจากจารึกนั้น พวกเขาต่างก็จ้องมองไปที่มัน
สิ่งที่บินออกมาจากคำทั้ง 2 นั้นคือช้างตัวหนึ่ง มันขาวเหมือนกับหยก แต่มันมีความยาวเพียงแค่หนึ่งฟุตเท่านั้น งวงของช้างดูเหมือนจะทำมาจากคริสตัล
ทุกคนมองที่ที่ช้างน้อยด้วยความสับสน พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมมันถึงปรากฏตัวออกมา
ระบบป้องกันของปราสาทนภานั้นแข็งแกร่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้ว่ามันมีซีโน่เจเนอิคซ่อนตัวอยู่ในคำจารึกนั่น
ช้างน้อยบินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมันมาอยู่ตรงหน้าของหานเหยียน หลังจากนั้นมันก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่ากับแมมมอธ
น่าแปลกที่หลังจากที่ช้างขาวปรากฏตัวออกมา พลังที่แฝงอยู่ในคำทั้ง 2 ของปราสาทนภาก็หายไป
ช้างขาวยื่นงวงออกไปพันรอบร่างกายของหานเหยียน
กล้างเนื้อของหานเซิ่นตึงเครียด เขาคิดว่าช้างขาวจะทำร้ายหานเหยียน เขาจึงกระโดดออกไปข้างหน้า แต่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัวว่าช้างขาวแค่ยกเธอขึ้นไปนั่งบนหลังของมัน
เมื่อหานเหยียนขึ้นไปนั่งบนหลังของมันแล้ว เจ้าช้างขาวก็หันกลังและเดินลึกเข้าไปในปราสาทนภา
เมื่อเห็นว่าเจ้าช้างขาวไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายอะไร หานเซิ่นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่เขายังคงตามหลังมันไปอย่างใกล้ชิดเพื่อความแน่ใจ ผู้อาวุโสหลายคนก็รีบตามเข้าไปในปราสาทนภาเพื่อจับตาดูช้างประหลาดตัวนี้เช่นเดียวกัน
มันน่าแปลกที่ไม่มีใครรู้ว่าในคำจารึกของปราสาทนภามีช้างขาวตัวนี้ซ่อนอยู่ สถานการณ์นั้นเป็นอะไรที่แปลกจนยากที่จะเชื่อได้
แม้แต่ผู้นำของปราสาทนภาก็ลงมาดูใกล้ๆ เขาพยายามคิดหาคำอธิบายที่มาของช้างขาวตัวนี้ แต่เขาไม่สามารถคิดหาคำอธิบายอะไรออกมาได้
เพียงแค่สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของช้างขาว เขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในคำจารึกโดยที่ไม่มีใครรู้ ความจริงเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าอับอายสำหรับระดับเทพเจ้าอื่นๆภายในปราสาทนภา
แต่พวกเขารู้ในทันทีว่าช้างขาวต้องมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานร่วมกับปราสาทนภา ดังนั้นไม่มีใครพยายามจะโจมตีมัน พวกเขาแค่ตามช้างขาวไปโดยอยากรู้ว่ามันจะทำอะไรต่อไป
“ผู้นำ ท่านรู้ไหมว่าช้างขาวนี้คืออะไร?” หานเซิ่นยังคงกังวลเกี่ยวกับหานเหยียน ดังนั้นเขาถึงถามผู้นำปราสาทนภาเมื่ออีกฝ่ายมาถึง
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้นางถูกทำร้าย” ผู้นำปราสาทนภาพูดขณะที่เดินตามช้างขาวไป
เมื่อหานเซิ่นได้ยินแบบนั้น เขาก็ผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย แต่เขายังคงไม่รู้สึกวางใจ เขารู้สึกเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม นั่นก็เพราะมันฟังดูเหมือนว่าผู้นำปราสาทนภาเองก็ไม่เข้าใจว่าช้างขาวนี่มาจากไหนกันแน่
ถึงแม้สถานการณ์ที่ว่ามันมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในปราสาทนภาโดยที่ไม่มีใครรู้ถึงการมีอยู่ของมันจะเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นจริงๆ
หานเซิ่นกัดฟันและตามช้างขาวไป แต่ช้างขาวไม่ได้แสดงจิตมุ่งร้ายอะไรออกมา มันยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หานเหยียนมองลงมาและสังเกตสิ่งที่เธอกำลังขี่อยู่อย่างสงสัย ถึงแม้เธอจะประหลาดใจที่ถูกจับตัวขึ้นมาบนหลังของมัน แต่เธอก็ไม่ได้ถูกทำร้าย
“น้องเหยียน น้องเป็นอะไรไหม?” หานเซิ่นถามขณะที่ตามช้างขาวมา
“น้องไม่เป็นอะไร นี่เป็นพิธีต้อนรับบางอย่างของปราสาทนภาอย่างนั้นหรอ?” หานเหยียนถามด้วยความสงสัย
“น้องลงมาจากหลังของมันได้ไหม?” หานเซิ่นถาม
“ได้ พี่ต้องการให้น้องลงไปอย่างนั้นหรอ?” หานเหยียนถาม
“ใช่ ลงมาตอนนี้เลย” หานเซิ่นพูด
หานเหยียนบินออกจากด้านหลังของช้างขาว แต่ทันทีที่เธอบินขึ้น เจ้าช้างขาวก็ใช้งวงจับตัวเธอกลับไปนั่งลงบนหลังของมันอีกครั้ง
แต่ทว่าเจ้าช้างขาวไม่ได้ทำร้ายเธอ มันวางเธอลงอย่างนุ่มนวลและเริ่มเดินหน้าต่อไป
“ในตอนนี้ปล่อยให้นางนั่งบนนั้นไปก่อน ข้าให้สัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้นางเป็นอันตรายใดๆ” ผู้นำปราสาทนภาพูด
ช้างขาวตัวหนึ่งบินออกมาจากคำจารึกของปราสาทนภา นั่นถือเป็นอะไรที่น่าตกใจไม่น้อย ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนคิดว่านี่เป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ และพวกเขาก็อยากรู้ว่าช้างขาวนั้นคืออะไรกันแน่
แต่ศิษย์ของปราสาทนภาก็ต้องหยุดเดิน มีเพียงแค่ผู้นำปราสาทนภาและผู้อาวุโสที่ได้รับอนุญาตให้ตามมันเข้าไปต่อ
ช้างขาวแบกหานเหยียนผ่านห้องโถงของปราสาทนภา หลังจากนั้นพวกเขาก็มาถึงสวนของปราสาทนภา
นี่เป็นสถานที่ที่ผู้ปกครองของปราสาทนภาอยู่อาศัยตลอดประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และตอนนี้มันก็เป็นที่ของผู้นำปราสาทนภา คนปกตินั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในนี้
หานเซิ่นและคนอื่นๆตามช้างขาวเข้าไปข้างใน มันเหมือนกับสวนธรรมชาติที่มีทั้งภูเขาและกลิ่นของหญ้า มันเหมือนกับป่าเล็กๆของแฟรี่ มันพืชซีโน่เจเนอิคที่หายากกระจัดกระจายไปทั่ว เพียงแค่ภาพของพวกมันก็ทำให้หานเซิ่นยากจะหยิบมีดออกมาและเริ่มตัดพวกมัน
ช้างขาวแบกหานเหยียนเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงผนังภูเขาที่มีสระน้ำอยู่ใกล้ๆ ผนังนั้นมีคำ 2 คำสลักเอาไว้ “เอาท์เตอร์สกาย”
คำ 2 คำนั้นถูกสลักเอาไว้ขรุขระไม่เรียบร้อย ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอักษรวิจิตรมากนัก เขาก็รู้ว่าคำเหล่านี้ถูกเขียนโดยคนหนุ่มสาว
แต่คนหนุ่มสาวจะมาสร้างรอยแกะสลักในที่แห่งนี่ได้ยังไง? ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ปกครองปราสาทนภา คนอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาข้างใน ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถทิ้งร่องรอยอะไรของตัวเองเอาไว้ได้
ช้างขาวเดินไปตรงหน้าผนังของภูเขา หลังจากนั้นมันก็จุ่มงวงลงไปในสระน้ำ ดูเหมือนเจ้าช้างกำลังควานหาอะไรบางอย่าง
ทุกคนมองไปที่ช้างขาวอย่างไม่รู้ว่ามันกำลังทำอะไร หลังจากที่ผ่านไปสักพักเจ้าช้างขาวก็ยกงวงขึ้นมาจากน้ำพร้อมกับถืออะไรบางสิ่งเอาไว้ วัตถุนั้นเป็นกล่องที่ทำขึ้นมาจากหยกและมีความยาวหนึ่งฟุต ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจว่ากล่องๆนี้มีความสำคัญอย่างไร
ผู้นำปราสาทนภามองไปที่กล่องหยกและขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาจะพอรู้ว่ากล่องนี้คืออะไร แต่เขายังไม่แน่ใจนัก
ช้างขาวยกงวงขึ้นและส่งกล่องหยกไปให้กับหานเหยียน หลังจากนั้นมันก็นอนลงข้างๆสระน้ำพร้อมกับปิดตาลง ดูเหมือนว่ามันจะหลับไป
“หานเหยียน เข้ามานี่” ผู้นำปราสาทนภาพูดกับหานเหยียนที่เพิ่งจะได้รับกล่องหยกมา
หานเหยียนเห็นหานเซิ่นพยักหน้า ดังนั้นเธอจึงลงจากช้างขาว ครั้งนี้เจ้าช้างขาวไม่ได้ตอบสนองอะไร มันปล่อยให้หานเหยียนลงไปพร้อมกับกล่องในมือ
“หานเหยียน เจ้าลองเปิดกล่องดู” ผู้นำปราสาทนภาบอกหานเหยียน
“ผู้นำ มันจะมีอันตรายอยู่ภายในกล่องหยกนั่นไหม?” หานเซิ่นถามอย่างเป็นกังวล
“ไม่” ผู้นำปราสาทนภาส่ายหัวด้วยสีหน้าแปลกๆ
“นี่คือ…” สีหน้าของยวิ๋นฉางคงเปลี่ยนไป ดูเหมือนเขาจะรู้สึกตัวถึงอะไรบางอย่าง และเขาก็มองไปที่กล่องหยกด้วยความประหลาดใจ
ตอนที่ 2618
ผู้นำปราสาทนภาพยักหน้าให้กับผู้อาวุโสสิบ “ถ้าข้าเข้าใจถูกต้อง มันก็เป็นอย่างที่เจ้ากำลังคิด ข้าไม่อยากเลยเชื่อเลยว่ามันจะอยู่ภายใต้ปราสาทนภามาโดยตลอด”
“นี่…มันเป็นไปได้ยังไง?” ยวิ๋นฉางคงเสียงสั่น ขณะที่จ้องไปที่กล่องหยกของหานเหยียน
กล่องหยกเปล่งประกายภายในแสง มันไม่ได้มีเครื่องประดับหรือการแกะสลักอยู่บนกล่อง มันเป็นกล่องธรรมดาที่ไม่มีเครื่องหมายหรือลวดลายอะไร ยอดฝีมือของปราสาทนภาจึงไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร
“ผู้อาวุโสยวิ๋น เจ้าช่วยอธิบายได้ไหมว่าภายในกล่องหยกนั่นคืออะไร?” ผู้อาวุโสหกอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
ยวิ๋นฉางคงหันไปมองผู้นำปราสาทนภา หลังจากที่อีกฝ่ายพยักหน้า ยวิ๋นฉางคงก็พูดขึ้นมา “พวกเจ้าคงจะรู้เกี่ยวกับผู้นำที่สิบเอ็ดอย่างนั้นสินะ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ผู้นำสิบเอ็ดเป็นอัจฉริยะของปราสาทนภา ทุกคนรู้จักเขา เขาเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของปราสาทนภาที่เข้าไปในจีโนฮอลล์” ผู้อาวุโสหกกรอกตา แต่หลังจากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
“กล่องหยกนี้เกี่ยวข้องกับผู้นำสิบเอ็ดอย่างนั้นหรอ?”
ยวิ๋นฉางคงพยักหน้าและพูด “พวกเจ้าคงจะรู้เกี่ยวกับประกาศิตของผู้นำสิบเอ็ด ก่อนที่เขาจะเข้าไปในจีโนฮอลล์อย่างนั้นสินะ”
“ดาบจะถูกมอบให้กับคนที่โชคดีที่สุด!” ผู้อาวุโสหลายคนพูดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ทุกคนเบิกตากว้างและจ้องมองไปที่กล่องหยกในมือหานเหยียน
ยวิ๋นฉางคงพยักหน้า “วิชาดาบของผู้นำที่สิบเอ็ดนั้นดุร้าย เขาเป็นเหมือนกับเทพ เขาเป็นปรมาจารย์ดาบจากตระกูลนักดาบ พรสวรรค์ในวิชาดาบของเขาเหนือกว่าคนอื่น วิชาดาบของผู้นำสิบเอ็ดนั้นเป็นอะไรที่โดดเด่นตั้งแต่ยังหนุ่ม เขาเริ่มฝึกดาบตั้งแต่อายุสามขวบ และจิตแห่งดาบของเขาก็ไปถึงระดับเทพเจ้าก่อนอายุยี่สิบปี เขากลายเป็นผู้นำปราสาทนภาตั้งแต่ก่อนที่เขากลายเป็นระดับเทพเจ้า ในตอนที่เผ่าพันธุ์ของพวกเราตกอยู่ในวิกฤต เขาทำลายคนทรยศและต่อสู้กับศัตรู เมื่อก่อนนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสระดับเทพเจ้าก็ยังต้องฟังคำของเขา พวกเรามีเสถียรภาพเป็นพันล้านปีก็เพราะเขา การพูดว่าช่วงเวลาของเขาเป็นยุคทองของปราสาทนภาก็ยังไม่เพียงพอ เขาคือคนที่ทิ้งรอยสลักเอาไว้ที่ข้างสระนภาที่อ่านได้ว่า ‘เอาท์เตอร์สกาย’ ”
“คนที่พิเศษทำสิ่งที่พิเศษ วิชาดาบของผู้นำสิบเอ็ดไม่ได้ถูกถ่ายทอดให้กับใครในปราสาทนภา เขาไม่ได้รับลูกศิษย์แม้แต่คนเดียว ก่อนที่เขาจะเข้าไปในจีโนฮอลล์ เขาพูดว่า‘ชะตากรรมจะค้นจักรวาลและดาบจะถูกมอบให้กับคนที่โชคดีที่สุด’ แต่ไม่มีใครรู้ว่าคนที่โชคดีที่สุดเป็นใคร จนกระทั่งถึงวันนี้มันก็ยังไม่มีใครพบวี่แววของวิชาดาบของผู้นำที่สิบเอ็ดเลย แต่ผู้คนรู้เสมอมาว่าเขาได้ทิ้งดาบเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง ผู้คนมากมายค้นหาดาบไปทั่วจักรวาล แต่ทุกคนก็ต้องกลับมามือเปล่า” ยวิ๋นฉางคงพูดขณะที่มองกล่องหยกในมือหานเหยียน
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่ากล่องหยกนี้มีวิชาดาบของผู้นำสิบเอ็ดอยู่?” ผู้อาวุโสหกถามด้วยความสับสน
ยวิ๋นฉางคงยิ้มแห้งๆออกมา “กล่องหยกนี้ทำขึ้นมาจากหยกเอาท์เตอร์เวิลด์ มันมีอยู่แค่ภายในปราสาทนภา มันเป็นอะไรที่หายาก ถึงแม้คนอื่นจะมีมันอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็เอามันมาทิ้งเอาไว้ภายในสระนภานี่ไม่ได้ นอกจากผู้นำของพวกเราแล้ว มันยังจะมีใครอีกที่ทำเรื่องนี้ได้?”
“ตลอดประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของปราสาทนภา พวกเรามีผู้นำอยู่มากมาย เจ้ารู้ได้ยังไงว่ากล่องนี้เป็นของผู้นำที่สิบเอ็ด?” ผู้อาวุโสหกถาม
ยวิ๋นฉางคงชี้ไปที่ช้างขาวที่หลับอยู่ข้างสระน้ำ “เจ้าจำสัตว์ขี่ของผู้นำที่สิบเอ็ดไม่ได้หรือยังไง?”
“ข้าได้ยินมาว่ามันคือช้างฮิตติ้งสกาย… แต่ข้าคิดว่าช้างฮิตติ้งสกายนั้นได้หายตัวไปในตอนที่ผู้นำสิบเอ็ดเข้าไปในจีโนฮอลล์”
เมื่อเขารู้สึกตัวในสิ่งที่พูด ดวงตาของผู้อาวุโสหกก็เบิกกว้างขณะที่เขาจ้องมองไปที่กล่องในมือหานเหยียน เขาตะโกน “นี่คือวิชาดาบของผู้นำสิบเอ็ดจริงๆอย่างนั้นหรอ?”
“พวกเราควรจะเปิดมันดูเพื่อหาความจริง” ผู้นำปราสาทนภาพูด
“ให้ข้าดูมัน” ผู้อาวุโสหกพูดอย่างตื่นเต้น เขาเดินเข้าไปใกล้หานเหยียนและพยายามจะจับกล่องหยก
แต่ก่อนที่มือของเขาจะแตะกล่องหยกได้ เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่รุนแรงจากด้านหลัง มันดึงเขากลับไปด้านหลัง
ปัง!
ผู้อาวุโสหกถูกดึงผ่านอากาศไปชนกับหินที่สลักคำว่าเอาท์เตอร์สกาย ใบหน้าของเขาเกือบจะถูกบดขยี้กับผิวที่แข็งของผนัง
ช้างขาวที่อยู่นอนอยู่ข้างๆสระขยับงวงเพียงแค่นิดเดียว มันยังคงนอนอยู่และไม่ได้ลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ
เมื่อยวิ๋นฉางคงเห็นแบบนั้น เขาก็หัวเราะและพูดขึ้นมา
“ผู้อาวุโสหก เจ้าไม่ควรรีบร้อนแบบนั้น คิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของผู้นำสิบเอ็ดให้ดี เขาจะไม่ปล่อยให้ใครเปิดกล่องของเขาได้ตามใจชอบ”
ผู้อาวุโสหกค่อยๆลุกกลับขึ้นมา เขาจ้องมองไปที่ช้างขาว แต่เขาไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป
ถ้าช้างขาวนี้เป็นสัตว์ขี่ของผู้นำสิบเอ็ด มันก็ต้องแข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าทั่วๆไป
“หานเหยียน เจ้าลองเปิดกล่องดู” ผู้นำปราสาทนภาพูดกับหานเหยียน
หานเหยียนหันมามองหานเซิ่น และหานเซิ่นก็พยักหน้าให้กับเธอ หานเหยียนรู้สึกว่าเธอค่อนข้างโชคดี นี่ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากๆ บางทีผู้นำสิบเอ็ดอาจจะทิ้งสมบัติที่มีค่ามากๆเอาไว้ ถ้านั่นบางความจริง เธอก็อาจจะไม่ต้องลำบากลำบนมากเพื่อเพิ่มระดับขึ้น
กล่องหยกไม่ได้ล็อค ดังนั้นหานเหยียนจึงแค่ต้องเปิดฝาขึ้น หลังจากนั้นมันก็มีเงาบินออกมา มันเป็นรูปร่างของสุภาพบุรุษ
อายุของเขายากจะคาดเดา แต่รูปลักษณ์ของเขาดูค่อนข้างหนุ่ม แต่เขาให้ความรู้สึกเหมือนแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่เอาไว้
“ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่เคยคาดคิดว่าข้าจะทิ้งสิ่งนี้เอาไว้ใต้ก้นบึ้งของสระนภา แต่ไม่ต้องกังวล ยังไงซะพวกเจ้าก็เป็นลูกหลานของข้า ข้าไม่ได้คาดหวังว่าพวกเจ้าจะคาดเดาจิตใจของข้าได้ ในตอนนี้ใครก็ตามที่ปกครองปราสาทนภาอยู่จำเป็นต้องฟังคำของข้า คนที่โชคดีที่สุดหรือก็คือคนที่ช้างขาวเลือกเป็นคนที่ได้รับวิชาดาบของข้า มีเพียงแค่คนๆนั้นที่จะได้รับของที่อยู่ภายในกล่องใบนี้ ใครก็ตามที่ขัดต่อความประสงค์ของข้าจะประสบกับเคราะห์กรรม มันเป็นอะไรที่น่าตลก… ข้าเดิมพันว่าผู้คนมากมายคงจะมองหาสิ่งนี้ไปทั่วจักรวาล ข้าสงสัยจังว่าชาวนภาคนไหนกันที่เป็นผู้ที่โชคดี” หลังจากนั้นเงาก็หายไปและไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปไหน
ผู้นำปราสาทนภาและผู้อาวุโสคนอื่นมองหน้ากัน ตำนานบอกว่าผู้นำที่สิบเอ็ดเป็นคนที่ฉลาดและกล้าหาญ พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าผู้นำที่สิบเอ็ดจะมีนิสัยเหมือนกับเด็ก เขาดูจะชื่นชอบการเล่นพิเรนทร์
“ผู้นำที่สิบเอ็ดนี่พึ่งพาไม่ได้เลย ช้างขาวเลือกคนที่ไม่ใช่ชาวนภา นางเป็นแค่ศิษย์คนนอกคนหนึ่ง” ผู้นำปราสาทนภารู้สึกหดหู่จนไม่รู้จะพูดยังไงดี
จากคำพูดของผู้นำสิบเอ็ด วิชาดาบจะถูกมอบให้กับหานเหยียน วิชาที่ลับที่สุดของปราสาทนภากำลังจะตกเป็นของเธอ ถ้าพวกเขาไม่มอบมันให้กับเธอ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาทรยศต่อความประสงค์ของผู้นำสิบเอ็ด
และที่สำคัญที่สุดคือความจริงที่ว่าสัตว์ขี่ของผู้นำสิบเอ็ดยังคงอยู่ที่นี่ ช้างขาวจะเข้ามาแทรกแซง ถ้าพวกเขาพยายามจะเอามันไปจากหานเหยียน
ทั้งผู้นำปราสาทนภาและเหล่าผู้อาวุโสดูสับสน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ตอนที่ 2619
ภายในห้องประชุมของปราสาทนภา เหล่าผู้อาวุโสและเจ้าหน้าที่ระดับสูงกำลังพูดคุยกัน
“นี่พวกเรากำลังพูดถึงวิชาดาบของผู้นำสิบเอ็ดอยู่นะ มันเป็นหนึ่งในวิชาลับของปราสาทนภา หลังจากที่ถูกฝังเอาไว้ตลอดหลายปี ในที่สุดมันก็เปิดเผยออกมา มันควรจะเก็บเอาไว้ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ของปราสาทนภา พวกเราไม่ควรปล่อยให้คนนอกได้มันไปครอบครอง เพราะยังไงซะคนที่ได้มันไปก็เป็นแค่คนนอก”
“แต่นั่นไม่ถูกต้อง นี่เป็นประสงค์ของผู้นำสิบเอ็ด พวกเราจะขัดความปรารถนาสุดท้ายของเขาได้ยังไง?”
“นั่นเป็นเพราะเขายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจว่าช้างขาวอาจจะไปเลือกคนนอกคนหนึ่งเข้า”
ขุนนางของปราสาทนภาแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งแนะนำให้นำวิชาดาบไปเก็บเอาไว้ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ของปราสาทนภา
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าควรจะเคารพประสงค์สุดท้ายของผู้นำสิบเอ็ดและปล่อยให้หานเหยียนฝึกวิชาดาบที่เธอได้รับ ฝ่ายสุดท้ายต้องการนำวิชาดาบของผู้นำสิบเอ็ดไปทำการวิจัยในสวนวิถีนภา พวกเขาต้องการปรับแต่งมันเพื่อที่ศิษย์ทุกคนในปราสาทนภาจะได้ฝึกมัน
“ท่านผู้นำ ได้โปรดพูดอะไรสักหน่อย” ผู้อาวุโสหกสนับสนุนฝ่ายที่จะนำวิชาดาบไปเก็บเอาไว้ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ผู้อาวุโสหกพูดแบบนั้น ทุกคนก็รู้สึกตัวว่าผู้นำปราสาทนภายังคงไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ผู้นำปราสาทนภาพูดขึ้นมา “มันไม่มีความจำเป็นต้องพูดกันในเรื่องนี้”
“ท่านผู้นำหมายความว่ายังไง?” เจ้าหน้าที่ที่ชื่อสกายแชนซ์ถามด้วยความสับสน
ผู้นำปราสาทนภามองไปที่สกายแชนซ์ หลังจากนั้นเขาก็หันสายตากลับมาที่ทุกคน “มันไม่สำคัญว่าพวกเราจะตัดสินใจทำอะไร ถ้าพวกเราเอาวิชาดาบมาไม่ได้ถูกไหม?”
“ทำไมพวกเราถึงจะเอามันมาไม่ได้? พวกเราแค่ขอให้หานเหยียนมอบมันให้กับพวกเรา นางจะกล้าปฏิเสธอย่างนั้นหรอ? มันเป็นสมบัติของปราสาทนภา ดังนั้นถ้าพวกเราต้องการนำมันกลับคืนมา มันถือเป็นสิทธิ์ของพวกเรา” เจ้าหน้าที่สกายแซนท์พูด
“เจ้าคิดจริงๆหรือว่านั่นเป็นการกระทำที่ยอมรับได้? ที่เจ้าพูดมามันก็ถูกอยู่ แต่มันฟังดูเหมือนกับว่าเจ้าไม่ได้คำนึงถึงความประสงค์ของผู้นำสิบเอ็ดเลยสักนิดเดียว” ยวิ๋นฉางคงพูดขึ้นมา
“ข้าไม่ได้คิดจะขัดความประสงค์ของผู้นำสิบเอ็ด แต่ผู้นำสิบเอ็ดอาจจะไม่ได้คาดคิดว่าสุดท้าแล้ววิชาจะถูกมอบให้กับคนๆหนึ่งที่ไม่ใช่เผ่านภา พวกเราแค่ทำตามความรับผิดชอบเพื่อผู้คนของพวกเรา ข้าแน่ใจว่าวิญญาณของผู้นำสิบเอ็ดในสรวงสวรรค์จะต้องเห็นด้วยกับการตัดสินใจของพวกเรา” เจ้าหน้าที่สกายแชนซ์พูดอย่างมั่นใจ
ผู้นำปราสาทนภาหลี่ตาและพูด “เจ้าหน้าที่สกายแชนซ์พูดถูกต้อง แต่เห็นได้ชัดว่าผู้นำสิบเอ็ดรู้ว่าพวกเราต้องการจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เขาจึงส่งช้างฮิตติ้งสกายมาเพื่อปกป้องวิชาของเขาจากคนรุ่นหลังอย่างพวกเรา เจ้ามีแผนการที่จะจัดการเรื่องนี้แบบไหนกัน?”
“ถ้า…ถ้าหานเหยียนยินดีจะมอบมันให้กับพวกเรา ช้างฮิตติ้งสกายก็ไม่ควร…” เจ้าหน้าที่สกายแชนซ์พูดก่อนจะเงียบไป วิชาไม่ได้ถูกบันทึกเป็นตัวอักษร แต่มันอยู่ในรูปของดาบหยก ช้างขาวไม่ได้ออกห่างจากดาบหยกแม้แต่นิดเดียว ช้างขาวไม่ได้สนใจว่าหานเหยียนใช้ดาบนั่นหรือไม่ แต่ถ้าใครคนอื่นเข้าไปใกล้มัน เจ้าช้างขาวก็จะโจมตีคนๆนั้น ผู้อาวุโสหกถือเป็นตัวอย่างถึงสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าใครพยายามจะทำแบบนั้น
“ช้างฮิตติ้งสกายเป็นแค่ซีโน่เจเนอิคสติปัญญาต่ำ ข้าไม่คิดว่ามันจะรู้อะไรมาก พวกเราจะกักขังมันและชิงดาบหยกมา แบบนั้นมันจะหยุดพวกเราได้ยังไง?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“ผู้อาวุโสเจ็ด ที่นี่คือปราสาทนภา ไม่ใช่ถ้ำโจร” ยวิ๋นฉางคงพูด
“ยวิ๋นฉางคง อย่าให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องส่วนตัว หานเหยียนอาจจะเป็นลูกศิษย์ของเจ้า แต่วิชาดาบนั่นถือเป็นมรดกของปราสาทนภา มันไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของเจ้า…” ผู้อาวุโสเจ็ดพูด
ยวิ๋นฉางคงโกรธเมื่อได้ยินแบบนั้น “นั่นหมายความว่ายังไง?”
“เจ้ารู้ว่าข้าหมายถึงอะไร” ผู้อาวุโสเจ็ดพูด
“ฉางคง ที่ผู้อาวุโสเจ็ดพูดสมเหตุสมผล นั่นคือวิธีที่พวกเราควรจะจัดการกับเรื่องนี้” ผู้นำปราสาทนภาพูดเพื่อหยุดทั้งคู่จากการโต้เถียงกัน
“ท่านผู้นำ…” ยวิ๋นฉางคงพูด สีหน้าของเขาดูแย่
“ท่านผู้นำเป็นคนฉลาด” ผู้อาวุโสเจ็ดยิ้มกว้าง
ผู้นำปราสาทนภาเมินเฉยต่อสายตาของยวิ๋นฉางคง เขายิ้มให้กับผู้อาวุโสเจ็ดและพูดขึ้นว่า
“ในเมื่อผู้อาวุโสเจ็ดเป็นคนเสนอไอเดียนี้ขึ้นมา ก็เชิญผู้อาวุโสเจ็ดดำเนินแผนการเพื่อกักขังช้างฮิตติ้งสกาย หลังจากนั้นนำดาบหยกมาให้กับข้า”
“ท่านผู้นำ ลำพังข้าคนเดียวจะทำได้ยังไง? ข้าจำเป็นต้องให้ท่านส่งระดับเทพเจ้ามาช่วยอีกแรง ข้าจำเป็นต้องมีพวกเขาเพื่อจับตัวมัน”
ใบหน้าของผู้อาวุโสเจ็ดเปลี่ยนไป เขาสามารถบอกได้ว่าคำพูดของผู้นำปราสาทนภาฟังดูไม่ถูกเท่าไหร่
“ข้ากลัวว่าจะช่วยเจ้าในเรื่องนั้นไม่ได้” ผู้นำปราสาทนภาพูดอย่างใจเย็น
“ข้าหวังจะให้หานเซิ่นอวยพรให้กับคนของเรา ดังนั้นข้าคงจะช่วยเหลือเจ้าในเรื่องนั้นไม่ได้ เจ้าควรจะคิดหาทางออกเอง นี่เป็นความคิดของเจ้า เจ้าคิดว่าทำได้ไม่ใช่หรอ? เจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงามถ้าเจ้าทำได้”
“เรื่องนี้…” ใบหน้าของผู้อาวุโสเจ็ดเปลี่ยนเป็นสีเขียว ยวิ๋นฉางคงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผู้นำปราสาทนภาปกป้องหานเหยียน หลังจากนั้นผู้อาวุโสและเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ต้องการชิงดาบหยกมาก็ต้องเงียบไป
ผู้นำปราสาทนภาต้องการจะปกป้องหานเหยียน และด้วยชื่อเสียงของหานเซิ่น มันจึงไม่มีใครกล้ามาชิงดาบหยกไป
โดยการทำแบบนั้นพวกเขาก็จะขัดต่อความต้องการของผู้นำปราสาทนภาและหยาบคายต่อหานเซิ่นในเวลาเดียวกัน หานเซิ่นคงจะไม่มีวันมอบพรให้กับพวกเขาอีกถ้าเป็นแบบนั้น แถมหานเซิ่นยังมีอาวุธระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตถึง 2 ชิ้น และเขาก็เป็นที่สนใจของเผ่าเวรี่ไฮ เขาจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าพวกเขาเกิดไปขโมยของจากหานเหยียนในตอนนี้ พวกเขาก็จะเป็นศัตรูกับหานเซิ่น
“ข้าจะสนับสนุนใครก็ตามที่นำวิชาดาบกลับมาได้ ถ้าพวกเจ้าเอามันมาได้จริงๆ ข้าจะมอบรางวัลให้กับพวกเจ้าอย่างงาม” ผู้นำปราสาทนภาพูดขณะที่มองไปที่ทุกคน
หานเซิ่นไม่คิดว่าเรื่องนี้จะจบลงง่ายๆ เขาเชื่อว่าผู้คนปราสาทนภาคงจะไม่ปล่อยให้วิชาดาบที่สำคัญตกไปอยู่ในมือของหานเหยียน
แต่สิ่งที่เขาคาดไม่เกิดขึ้น ทางปราสาทนภาไม่ได้คิดหาข้ออ้างจะมาเอาวิชาดาบของผู้นำสิบเอ็ดไปเป็นของพวกเขา แต่ยวิ๋นฉางคงก็ตัดสินใจจะไม่รับหานเหยียนเป็นศิษย์ของเขา เขาขอให้อาจารย์ของเขาช่วยเป็นอาจารย์ของเธอแทน ผลลัทธ์ทำให้หานเหยียนเป็นศิษย์น้องของเขา นั่นถือเป็นการบอกว่าเธออยู่ในระดับเดียวกับเขา
หลังจากพิธีการจบลง ฐานะของหานเหยียนในปราสาทนภาก็กลายเป็นอะไรที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้เธอจะยังอายุน้อย แม้แต่ไผ่เดียวดายก็ยังต้องแสดงความเคารพเมื่อเห็นเธอ
หานเหยียนเด็ดน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ ได้รับวิชาดาบในตำนานและยังกลายเป็นศิษย์น้องของยวิ๋นฉางคง เธอกลายเป็นตำนานของปราสาทนภาในทันที ชื่อเสียงของเธอนั้นเหนือกว่าไผ่เดียวดายซะอีก ทุกคนรับรู้ว่าหานเซิ่นมีน้องสาวที่สุดยอด
หลายคนพูดกันว่าหานเซิ่นอวยพรให้กับหานเหยียนและนั่นเป็นเหตุผลที่เธอแข็งแกร่งตั้งแต่ยังเด็ก นั่นทำให้พวกเขาต้องการการอวยพรของหานเซิ่นมากยิ่งขึ้นไปอีก
ตอนที่ 2620
บนเกาะหยกน้อย หานเซิ่น หานเหยียนและเป่าเอ๋อกำลังนั่งอยู่รอบโต๊ะที่มีน้ำเต้าสี่ลูกวางอยู่ ซึ่งพวกมันคือน้ำเต้าที่หานเหยียนเก็บมาจากเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์
ทั้ง 3 คนตรวจเช็คน้ำเต้าอยู่ชั่วครู่ แต่พวกเขาก็ยังคงไม่รู้วิธีที่จะเอาลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมา
“เป่าเอ๋อ หนูทำให้เจ้าพวกนี้ปลดปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมาไม่ได้หรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่เป่าเอ๋อ
เป่าเอ๋อส่ายหัว “หนูจะทำได้ถ้าหนูอยู่บนเถาวัลย์นั่น แต่ตอนนี้หนูทำไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นการได้รับพวกมันมาก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ” หานเซิ่นรู้สึกหดหู่
“เมื่อน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์แยกจากเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในพวกมันจะแข็งตัว พวกมันจะไม่ปลดปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีก”
ยวิ๋นฉางคงยิ้มขณะที่เดินเข้ามาหาพวกเขา ยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางก็เดินตามมาจากด้านหลังของเขา
“คารวะศิษย์พี่” หานเหยียนพูด เธอลุกขึ้นและโค้งคำนับยวิ๋นฉางคง
“คารวะอาจารย์อา” ยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางโค้งคำนับให้กับหานเหยียน
‘ทำไมมันถึงได้ยุ่งยากนัก?’ หานเซิ่นคิด เขาโค้งคำนับให้กับยวิ๋นฉางคงเช่นกัน แต่หานเซิ่นเรียกเขาว่าผู้อาวุโสยวิ๋น
พี่น้องยวิ๋นกล่าวทักทายเขา พวกเขาใกล้ชิดกันมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่ต้องแสดงความเคารพอย่างเป็นทางการ
หลังจากที่หานเซิ่นเชิญพวกเขาทั้ง 3 มานั่งด้วยกัน เขาก็ให้ซีโร่นำชามาเสิร์ฟ ยวิ๋นฉางคงยกชาขึ้นจิบก่อนที่จะพูดขึ้นมา
“หลังจากที่น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ถูกเด็ดออกมาแล้ว พวกมันก็จะไม่ปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่เจ้านำพวกมันไปหลอมเป็นสมบัติระดับเทพเจ้าได้ พวกเราควรจะทำการทดสอบและเรียนรู้ว่าธาตุของพวกมันแต่ละลูกคือธาตุอะไร หลังจากนั้นพวกเราก็จะให้แผนกของสกายแชนซ์ช่วยทำสมบัติให้กับพวกเจ้า แต่การจะทำสมบัติระดับเทพเจ้าขึ้นมาจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบอย่างอื่นอีก และพวกมันก็อาจจะเป็นอะไรที่มีราคาสูง แถมโอกาสสำเร็จก็ไม่ถูกรับประกันเช่นกัน ข้าเดิมพันว่ามันมีโอกาสห้าสิบห้าสิบ”
“วัตถุดิบแบบไหนกันที่จำเป็นต้องมี?” หานเหยียนถาม
“พวกเราจะไม่รู้จนกระทั่งพวกเราทำการทดสอบพวกมัน หลังจากที่พวกเราตัดสินใจได้แล้วว่าสมบัติแบบไหนที่พวกเจ้าต้องการ พวกเราถึงจะระบุรายการของวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ได้”
ยวิ๋นฉางคงยิ้มและพูดต่อ “แต่ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเป็นคนจ่ายค่าวัตถุดิบเพื่อตอบแทนที่ศิษย์น้องยินดีเข้าร่วมกับพวกเรา ได้โปรดอย่าปฏิเสธความหวังดีของข้า”
เมื่อเห็นถึงความแน่วแน่ของยวิ๋นฉางคง หานเหยียนก็ไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเขา
หลังจากที่พูดคุยกันต่ออีกสักพัก ยวิ๋นฉางคงก็หันความสนใจมาที่หานเซิ่น
“หานเซิ่น เจ้าเคยไปเมืองที่ห้าของสถานหยกขาวแล้วหรือยัง?
“ยังไม่เคย” หานเซิ่นส่ายหัว “ข้าอยากจะไป แต่ยามรักษาการณ์บอกว่าข้าจำเป็นต้องมีบัตรผ่านพิเศษ”
ยวิ๋นฉางคงนำแผ่นกระดาษที่มีสัญลักษณ์สีดำเขียนเอาไว้ออกมา
“ทั้งห้าเมืองของสถานหยกขาวนั้นแตกต่างไปจากทั้งสิบสองหอคอย มันเป็นสถานที่ที่อันตรายมากๆ และแต่ละเมืองก็จะแตกต่างกันออกไป แต่จนกว่าเจ้าจะหายดี เจ้าไม่ควรไปที่อีกสี่เมือง นี่คือบัตรผ่านสู่เมืองราชาดำ ถ้าเจ้ามีสิ่งนี้อยู่ เจ้าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปที่เมืองราชาดำได้ บางทีมันอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้ แต่จำไว้ให้ดีว่า เจ้าจะสูญเสียบัตรผ่านนี้ไปไม่ได้ถ้าเจ้าเข้าไปที่นั่น และเจ้าอย่าได้ฆ่าอะไรภายในนั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตกลงไปในน้ำร้อน”
“มีอะไรอยู่ในเมืองราชาดำ?” หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้
“ข้าบอกเจ้าไม่ได้ เจ้าจะได้รู้เมื่อเจ้าไปที่นั่น” ยวิ๋นฉางคงพูด
“บัตรผ่านนี้ให้คนเข้าได้แค่คนเดียวอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
ยวิ๋นฉางคงพยักหน้าและพูด “ในอนาคตบัตรผ่านของศิษย์น้องจะถูกมอบให้โดยผู้นำปราสาทนภา ตอนนี้ระดับของนางยังคงต่ำเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่นางจะเข้าไปในนั้น นางต้องไปถึงระดับราชันซะก่อน หลังจากนั้นนางก็จะได้รับบัตรผ่านเช่นกัน”
ถึงแม้ตอนนี้หานเหยียนจะเป็นศิษย์น้องของยวิ๋นฉางคง แต่เธอก็ยังคงเป็นเหมือนกับศิษย์คนหนึ่งของเขา ยวิ๋นฉางคงอธิบายสิ่งต่างๆให้หานเหยียนฟังเหมือนกับที่อาจารย์ทั่วไปทำ
ด้วยการที่ยวิ๋นฉางคงเป็นเพียงแค่ศิษย์พี่ของหานเหยียน บรรยากาศจึงไม่ปกติ นั่นทำให้พี่น้องยวิ๋นดูเงียบๆไม่ค่อยพูดอะไร
ยวิ๋นฉางคงเข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงไม่ค่อยพูดอะไร ดังนั้นเมื่อเขาอธิบายทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็จากไปและปล่อยให้คนอื่นคุยกันต่อ
เมื่อมีแค่คนหนุ่มสาวที่เหลืออยู่ บรรยากาศก็ดูเป็นกันเองมากขึ้น หานเซิ่นถามพี่น้องยวิ๋นเกี่ยวกับเมืองราชาดำเพิ่มเติม
“ท่านพ่อบอกว่าพลังของพวกเรายังอ่อนแอเกินไป ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมากนัก ข้าแค่เคยได้ยินมาว่าเมืองราชาดำนั้นปลอดภัยที่สุดในบรรดาทั้งห้าเมือง ตราบใดที่เจ้ามีบัตรผ่านติดตัว เจ้าก็จะไม่เป็นอันตรายอะไร” ยวิ๋นซู่อีหยุดคิดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเธอก็พูดต่อ
“ตำนานบอกว่าเมืองราชาดำมีสมบัติที่หายากอยู่มากมาย หลายคนที่เข้าไปในนั้นจะกลับออกมาพร้อมกับสมบัติล้ำค่า แต่พวกเขาไม่เคยอธิบายว่าได้พวกมันมายังไง”
พี่น้องยวิ๋นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองราชาดำมากนัก ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น
วันต่อมา หานเซิ่นขี่นกกระเรียนไร้ขาไปที่สถานหยกขาว เขาต้องการที่จะไปเมืองราชาดำเพื่อดูว่ามันพิเศษยังไง
แน่นอนว่าเมื่อหานเซิ่นไปถึงที่นั่น เขาก็ถูกหยุดโดยศิษย์ของปราสาทนภาที่รักษาการณ์อยู่
“ต้องขออภัยอาจารย์หานด้วย แต่ถ้าไม่มีบัตรผ่านจากท่านผู้นำ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองราชาดำ” ยามรักษาการณ์เคยฟังบทเรียนจากหานเซิ่นนั้น ดังนั้นเขาจึงมีมารยาทมากๆ
หานเซิ่นนำบัตรผ่านออกมาและส่งให้ยามรักษาการณ์ดู
ศิษย์ของปราสาทนภาคนตรวจเช็คมันและปล่อยให้หานเซิ่นผ่านเข้าไปข้างใน แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะเข้าไป ยามรักษาการณ์ก็เตือนเขาอีกครั้งว่าต้องพกมันติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา
หานเซิ่นกล่าวขอบคุณยามรักษาการณ์และเข้าไปในเมืองราชาดำ
จากภายนอกเมืองดูเหมือนโบราณสถานที่สร้างขึ้นจากหยกดำ มันดูเก่าแก่และลึกลับ
หลังจากที่เข้าไปภายในเมืองราชาดำ หานเซิ่นก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น
เขาคิดว่าเมืองราชาดำจะเป็นสถานที่ที่ลึกลับและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตราย แต่ขณะที่หานเซิ่นเดินไปบนถนนหลักของเมือง เขาก็พบว่าเมืองมีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก มันมีพ่อค้าและชาวนาอยู่ทั้งสองข้างถนน แม้แต่ร้านอาหารที่ให้ผู้คนเข้าไปทานอาหารกันก็ยังมี
ถ้าหานเซิ่นไม่ได้ตรวจเช็คอย่างดีก่อนที่จะเข้ามา เขาก็คงจะสันนิษฐานไปว่ามาผิดที่ ที่นี่ไม่ควรถูกเรียกว่าเมืองราชาดำ มันเป็นเหมือนกับเมืองเล็กๆของดาวที่กำลังพัฒนามากกว่า
“พีนัท! วอลนัท! สาลี่! อินทผลัม!” พ่อค้าคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง
หานเซิ่นเห็นชาวนาจูงวัวตัวหนึ่งอยู่ มันมีไก่ส่งเสียงร้องในกรงและสุนัขส่งเสียงใส่กันบนถนน หานเซิ่นรู้สึกแปลกๆขณะที่เดินไปบนถนนเส้นนั้น ในตอนที่เขายังเด็ก แม้แต่เมืองที่เขาอาศัยอยู่ก็ไม่ได้ล้าหลังขนาดนี้ นี่เป็นเมืองที่เขาอาจจะเห็นในภาพยนตร์ย้อนยุค
หานเซิ่นมองผู้คนรอบๆและสังเกตเห็นว่าพวกเขาดูเหมือนกับมนุษย์มากๆ
“นี่เป็นไปได้ยังไง? ทำไมมนุษย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความแปลกใจ
พวกเขาดูเหมือนกับมนุษย์ พวกเขาแตกต่างไปจากเผ่าเวรี่ไฮ เผ่านภาหรือเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง พวกเขาไม่ได้มีรูปลักษณ์พิเศษที่เผ่าพันธุ์อื่นๆมี พวกเขาดูเหมือนกับมนุษย์ไม่มีผิด
‘นี่เรากำลังเห็นภาพหลอนอย่างนั้นหรอ? พวกเขาไม่มีทางเป็นมนุษย์ไปได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
แต่หลังจากนั้นไม่นานหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นภาพลวงตา สิ่งมีชีวิตรอบๆตัวเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นมนุษย์ที่มีชีวิต
หานเซิ่นต้องการจะใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อตรวจเช็ค แต่เขาพบว่าพลังทั้งหมดของเขาหายไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น