Super God Gene 2600-2606
ตอนที่ 2600
หานเซิ่นไม่เชื่อ และเขาก็ไม่คิดจะทำการทดสอบตามที่อวี้ซ่านซินเสนอ ถึงเขาอยากจะช่วยไผ่เดียวดาย แต่เขาก็ไม่คิดจะไปเข้าร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮแทนไผ่เดียวดาย
เมื่อเห็นหานเซิ่นจากไป อวี้ซ่านซินก็ยิ้มออกมา เขาไม่ได้โกรธอะไรที่หานเซิ่นปฏิเสธ
เมื่อกลับมาถึงเกาะหยกของตัวเอง หานเซิ่นก็ทำการดูดซับยีนระดับราชันต่อ เขาต้องการพัฒนาเรื่องราวของยีนให้ถึงขั้นที่ 9 ให้เร็วที่สุด
หานเซิ่นเรียกกู่ชิงเฉิงมาเพื่อปรึกษาเรื่องของไผ่เดียวดาย กู่ชิงเฉิงฟังเรื่องราวและพูด
“อวี้ซ่านซินพูดถูก มันไม่สำคัญว่าใครจะไป แต่ปราสาทนภาจำเป็นต้องส่งใครสักคนไปที่เผ่าเวรี่ไฮ”
“ปราสาทนภามีผู้คนอยู่มากมาย มันจำเป็นด้วยหรอที่ต้องให้ฉันไป?” หานเซิ่นพูด
กู่ชิงเฉิงส่ายหัว “มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น ผู้นำปราสาทนภาคงจะไม่ส่งลูกศิษย์คนโปรดไปขังเอาไว้โดยไม่มีเหตุผล ฉันไม่คิดว่าปราสาทนภาจะเลือกส่งใครไปก็ได้ พวกเขาจำเป็นต้องเลือกคนที่จะทำให้เผ่าเวรี่ไฮสนใจ ไม่อย่างนั้นการแลกเปลี่ยนก็จะไม่ได้ผล และนั่นเป็นเหตุผลที่อวี้ซ่านซินพยายามที่จะโน้มน้าวนาย”
“ฉันไม่ได้โง่ ฉันจะไม่ไป ถึงแม้พวกเขาจะมาเชิญฉันด้วยตัวเอง” หานเซิ่นพูดพร้อมกับเบะปาก
“ไม่ใช่แบบนั้น สำหรับคนทั่วไปการไปที่เผ่าเวรี่ไฮถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ พวกเขาต่างหากก็ต้องทำการขอร้อง นายกับไผ่เดียวดายเป็นคนพิเศษ ถ้าพวกนายไม่พิเศษ ฉันก็ไม่คิดว่าเผ่าเวรี่ไฮจะสนใจ” กู่ชิงเฉิงยิ้มขณะที่พูดออกมา
“มันไม่มีหนทางอื่นเลยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับปราสาทนภา ถ้าพวกเขาไม่อยากจะผิดข้อตกลงกับเผ่าเวรี่ไฮ พวกเขาก็ต้องส่งใครสักคนไปไม่ว่ายังไงก็ตาม”
พวกเขาทั้ง 2 พูดคุยกันต่ออีกสักพัก แต่พวกเขาไม่สามารถคิดหาไอเดียอะไรได้ พลังของพวกเขาไม่เพียงพอจะต่อกรกับเผ่าเวรี่ไฮ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะพยายามจะทำอะไร มันก็ไม่ได้ผล
“ถ้าไผ่เดียวดายยังไม่ถูกพาตัวไป นั่นก็หมายความว่ายังพอจะเจรจากันได้ พวกเราต้องหาหนทางที่จะเจรจากับพวกเขา” หานเซิ่นพยายามคิดหาหนทางที่จะช่วยไผ่เดียวดาย
..
“หานเซิ่น มันจะมีการประชุมร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮ เจ้าอยากจะเข้าร่วมไหม?” ยวิ๋นซู่อีมาหาหานเซิ่นที่เกาะและถามด้วยสีหน้าที่ดูโกรธ
“การประชุมอะไร?” หานเซิ่นถามอย่างสับสน เขาพักฟื้นอยู่ที่เกาะ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินเกี่ยวกับการประชุม
ยวิ๋นซู่อีอธิบาย “คนหนุ่มสาวของเผ่าเวรี่ไฮและเผ่านภาจะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนวิชาจีโนกัน พวกเขาพูดว่าจะเป็นการอภิปราย แต่ดูเหมือนจะเป็นการพูดของเผ่าเวรี่ไฮขณะที่พวกเราแค่นั่งฟังซะมากกว่า”
“พวกเขาจะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร?” หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้
“วิชาจีโนของเผ่าเวรี่ไฮนั้นกว้างขวางไร้ขอบเขต พวกเขารู้วิชาจีโนของเผ่าพันธุ์ต่างๆมากมาย ดังนั้นพวกเขาจะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ได้”
“พวกเขาเก่งขนาดนั้นเลย? ถ้าอย่างนั้นบางทีฉันควรจะไปฟังซะหน่อย”
หานเซิ่นไม่ได้ต้องการไปฟังเกี่ยวกับวิชาจีโนจริงๆ เขาแค่ต้องการยืนยันว่าเอ็กซ์ควิสิทคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เขาเจอในคอร์แอเรียหรือเปล่า
พวกเขากำหนดเวลาที่จะพบกัน คืนต่อมาหานเซิ่นก็พาเป่าเอ๋อและกู่ชิงเฉิงไปด้วย เขาไปพบกับยวิ๋นซู่อีและคนอื่นๆจากปราสาทนภาก่อนที่จะไปยังสถานที่จัดการประชุม
การประชุมถูกจัดบนเกาะพันทะเลสาบ เกาะนั่นเป็นอะไรที่แปลกประหลาด ศูนย์กลางของมันเป็นทะเลสาบและน้ำของทะเลสาบก็ไหลออกมายังระดับที่ต่ำกว่าของเกาะอยู่ตลอดเวลา ทั้งเกาะดูเหมือนกับชั้นลาดเอียงของทะเลสาบหลายชั้น
เผ่าเวรี่ไฮจัดการประชุมที่ศูนย์กลางของทะเลสาบ มันมีเวทีดอกบัวขนาดพอๆกับสนามฟุตบอลอยู่ มันลอยอยู่ที่ใจกลางทะเลสาบและมันก็มีศาลาจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่รอบๆดอกบัว
เมื่อหานเซิ่นไปถึง สถานที่ประชุมก็เต็มไปด้วยศิษย์ของปราสาทนภา ศิษย์ส่วนใหญ่จะนั่งฟังจากศาลาเท่านั้น มีเฉพาะศิษย์ชั้นสูงที่จะได้ขึ้นไปนั่งบนเวทีดอกบัวและพูดคุยกับเผ่าเวรี่ไฮได้โดยตรง
พวกเขาพูดว่าจะนั่งที่เดียวกับคนอื่นๆ แต่จริงๆแล้วเผ่าเวรี่ไฮเลือกจะนั่งที่ใจกลางของเวทีดอกบัว ส่วนศิษย์ของปราสาทนภาได้แค่นั่งอยู่ด้านข้างเท่านั้น และมันมักจะเป็นศิษย์ของปราสาทนภาที่ถามคำถาม ขณะที่เผ่าเวรี่ไฮเป็นคนตอบ พวกเขาเป็นเหมือนกับอาจารย์ที่กำลังตอบคำถามของลูกศิษย์
กระเรียนพันขนและพี่น้องยวิ๋นพาหานเซิ่นไปที่เวทีดอกบัว ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนรู้จักหานเซิ่น พวกเขาทักทายหานเซิ่นและให้หานเซิ่นนั่งในตำแหน่งที่ดีที่สุด
หานเซิ่นอยากจะหาที่สงบๆเพื่อนั่งลง แต่ผู้คนตื่นเต้นที่ได้เห็นเขา ศิษย์ของปราสาทนภาขอให้เขาไปนั่งข้างหน้า หานเซิ่นจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาจำใจต้องนั่งลงในสถานที่ที่เป็นจุดเด่น
มันไม่ใช่ว่าศิษย์ของปราสาทนภาบังคับเขาอย่างจงใจ ทุกคนรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ของหานเซิ่นกับเหมิงเลี่ยในระบบจักรวาลเคออส มันไม่มีใครในปราสาทนภาที่ไม่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขาเป็นระดับราชันที่สามารถเอาชนะเหมิงเลี่ยได้ ดังนั้นเขาจึงคู่ควรกับที่นั่งอันดับหนึ่งเหนือกว่าศิษย์ของปราสาทนภาที่เป็นระดับราชันหรือครึ่งเทพ
แถมหานเซิ่นยังค่อนข้างมีชื่อเสียงในปราสาทนภา เขาและไผ่เดียวดายถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์แห่งมีดและดาบ ถ้าไผ่เดียวดายไม่ได้อยู่ที่นี่ แบบนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติที่หานเซิ่นจะได้นั่งในตำแหน่งที่มีเกียรติที่สุด
ไม่นานหลังจากนั้นทั้ง 2 ข้างของเวทีดอกบัวก็เต็มไปด้วยศิษย์ของปราสาทนภา แต่ที่นั่งตรงศูนย์กลางยังว่างอยู่
“นี่เผ่าเวรี่ไฮนี่คิดว่าตัวเองสูงส่งมากนักหรือยังไง?” ศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งถามขึ้นมา มันเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไผ่เดียวดาย ทำให้ศิษย์ของปราสาทนภาไม่ชอบคนของเผ่าเวรี่ไฮ การประชุมในครั้งนี้ไม่ได้ดูเป็นมิตรเหมือนกับครั้งก่อนๆ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเผ่าเวรี่ไฮอยู่นั้น มันก็มีรถม้าหยกสีขาวบินเข้ามา อสูรหยกที่ลากรถม้ามาดูเหมือนกับเสือชนิดหนึ่ง พวกมันเกือบจะดูเหมือนกับมาสคอต เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษ
ในตอนที่หานเซิ่นมองเห็นพวกมัน เขาก็ประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าอสูรหยกเป็นสายพันธุ์ไหนกันแน่ แต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของพวกมัน เขาก็บอกได้ทันทีว่าพวกมันเป็นระดับเทพเจ้า พวกมันมีอยู่ด้วยกัน 6 ตัว หานเซิ่นรู้สึงสงสัยว่าเผ่าเวรี่ไฮแข็งแกร่งถึงขนาดไหนกันถ้านี่เป็นแค่พาหนะของพวกเขา
การสันนิษฐานของหานเซิ่นที่คิดว่ารถม้านี้เป็นของเอ็กซ์ควิสิทนั้นผิดไป มันเป็นเป็นรถม้าที่ถูกใช้โดยสมาชิกเผ่าเวรี่ไฮเมื่อไปเยี่ยมเยียนเผ่าพันธุ์อื่นๆ เวรี่ไฮหลายๆคนนั้นใช้มัน ดังนั้นมันไม่ได้เป็นของใครโดยเฉพาะ รถม้าถูกลากจนมาถึงเวทีดอกบัว และที่นั่นประตูของรถม้าหยกก็เปิดออกมา ชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมา
เป็นอย่างที่หานเซิ่นคิด ผู้หญิงคนนั้นคือเอ็กซ์ควิสิทพี่สามของหลี่เคอเอ๋อจริงๆ แต่ครั้งนี้หลี่เคอเอ๋อไม่ได้มาด้วย มันเป็นผู้ชายคนหนึ่ง
พวกเขาเดินไปตรงที่นั่งหลักและโค้งคำนับต่อหน้าทุกคน คนผู้ชายพูดขึ้นว่า
“ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าต้องรอ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกเราก็มาเริ่มกันเลย ถ้าใครมีคำถามก็เชิญถามมาได้เลย พวกเรายินดีจะตอบคำถามของทุกคนในที่นี่”
‘เขาดูอวดดีจริงๆ พวกเขาบอกว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยนวิชา แต่มันฟังดูเหมือนกับอาจารย์กำลังพูดกับลูกศิษย์ซะมากกว่า’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
หลังจากนั้นเอ็กซ์ควิสิทและเวรี่ไฮหนุ่มก็นั่งลง คนผู้ชายมองไปที่เหล่าศิษย์ของปราสาทนภา
เขาเห็นหานเซิ่นที่นั่งอยู่หน้าสุดและกู่ชิงเฉิงที่นั่งถัดไป
เมื่อชายคนนั้นมองไปที่กู่ชิงเฉิง ใบหน้าของเขาก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ เขาจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะดึงสายตาไปทางอื่น
ตอนที่ 2601
ใบหน้าของกู่ชิงเฉิงนั้นงดงามจนน่าใจหาย แม้แต่คนที่ใกล้ชิดกับเธออย่างหานเซิ่นก็ยังพบว่าตัวเองจ้องมองความงดงามของเธออยู่เป็นครั้งคราว เวรี่ไฮหนุ่มนั้นเพียงแค่มองเธอชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่จะหันไปทางอื่น เขาสามารถควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี
เอ็กซ์ควิสิทเองก็มองไปที่กู่ชิงเฉิงเช่นกัน แต่สายตาของเธอไปหยุดที่หานเซิ่นเป็นเวลานานกว่า เพราะยังไงซะเขาก็นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้มีเกียรติ การประชุมนี้ไม่มีระดับเทพเจ้ามาเข้าร่วม ทุกคนที่มาต่างก็เป็นคนหนุ่มสาว แต่ถ้าใครคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าสุด นั่นก็หมายความว่าคนๆนั้นจะต้องมีชื่อเสียงและเป็นบุคคลสำคัญของปราสาทนภา
แต่สภาพของหานเซิ่นตอนนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เขาดูผอมแห้งราวกับผู้ลี้ภัยที่ไม่ค่อยได้กินอาหาร ผิวหนังของเขาติดกับกระดูก
“ข้าต้องเรียกเจ้าว่ายังไง?” เอ็กซ์ควิสิทถามขณะที่มองไปที่หานเซิ่น เธอเคยเห็นหานเซิ่นในวิดีโอ แต่นั่นเป็นก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บ ในตอนนี้เขาดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ด้วยเหตุนั้นเธอจึงจดจำเขาไม่ได้
“ข้าชื่อหานเซิ่น” หานเซิ่นตอบไปตามตรง
เมื่อได้ยินชื่อของหานเซิ่น เวรี่ไฮหนุ่มคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหานเซิ่น เห็นได้ชัดว่าเขารู้เกี่ยวกับเรื่องราวของหานเซิ่น
“เจ้าก็คือคนที่เป็นเจ้าของแส้เหล็กเทพเสน่หาและโล่เมดูซ่าส์เกซอย่างนั้นหรอ? ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าดูพิเศษ” เอ็กซ์ควิสิทพูดอย่างไร้ความรู้สึก
ที่ว่า“พิเศษ”นั้นหมายถึงรูปลักษณ์ทางกายภาพของเขา เธอไม่ได้เอยชมเขาจริงๆ
ในสายตาของเธอ หานเซิ่นก็แค่โชคดีได้รับสมบัติขั้นทรูก็อต 2 ชิ้นมา เธอเชื่อว่าความแข็งแกร่งจริงๆของเขาไม่ได้พิเศษอะไร
หานเซิ่นไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขารู้ว่าเอ็กซ์ควิสิทไม่ได้ชมเชยเขาจริงๆ
“ถ้าไม่มีใครมีคำถาม ข้าก็ขอเริ่มก่อน พวกเรามาพูดเกี่ยวกับวิชาฟีโนมีนอนกัน” เวรี่ไฮหนุ่มพูด
หลังจากที่เขาพูดออกมาแบบนั้น สีหน้าของศิษย์ของปราสาทนภาก็ดูตึงเครียดขึ้นมา ฟีโนมีนอนเป็นวิชาลับของปราสาทนภา ถึงแม้มันจะไม่ได้พิเศษเหมือนอย่างตำราไร้อักษรก็ตาม
ในตอนที่ชายคนนั้นพูดว่าต้องการจะพูดเกี่ยวกับวิชาฟีโนมีนอน มันก็เหมือนเป็นการพูดอ้อมๆว่า “วิธีการฝึกวิชาจีโนของพวกเจ้ามันแย่ ให้ข้าแสดงให้ดูว่ามันต้องฝึกยังไง”
วิธีการพูดของเวรี่ไฮหนุ่มนั้นทำให้ศิษย์ของปราสารทนภาหลายคนไม่พอใจ แต่พวกเขานั่งอยู่ต่อหน้าสมาชิกของเผ่าเวรี่ไฮ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทำอะไร
ศิษย์ของปราสาทนภาจ้องมองไปที่ชายคนนั้นและรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
หานเซิ่นบอกได้ว่าชายคนนั้นจงใจเลือกวิชาจีโนตัวนี้ เขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองต่อหน้าคนหนุ่มสาวของปราสาทนภา นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพูดออกมาแบบนั้น
หานเซิ่นเองก็อยากจะฟังเขาเช่นกัน เวรี่ไฮหนุ่มคนนั้นมีชื่อว่าปี้ซี หานเซิ่นอยากรู้ว่าเขามีมุมมองในวิชาฟีโนมีนอนยังไง
“ฟีโนมีนอนหมายถึงปรากฏการณ์ของจักรวาล ฟีโนมีนอนเป็นเหตุผลของการมีอยู่ของชีวิต แต่ผู้คนนั้นโง่เขลา และพวกเขาไม่อาจจะมองทะลุผ่านสิ่งต่างๆโดยปราศจากปรากฏการณ์ ผู้คนจำเป็นต้องเห็นสัญญาณที่ชัดเจนเพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่ไม่รู้”
ศิษย์ของปราสาทนภาไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไร มันเป็นแค่การพูดที่ไม่ได้มีความหมายอะไร ถ้าพวกเขาต้องไปเป็นคนพูด พวกเขาก็คงจะพูดเหมือนๆกัน
ดูเหมือนชายคนนั้นจะรู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ
“ข้าเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นเช่นกัน ข้ากำจัดความโง่เขลานี้ไปไม่ได้ และข้าไม่อาจจะมองทะลุสิ่งต่างๆโดยปราศจากปรากฏการณ์ มันมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า ‘คนเราจะเข้าใจก็ต่อเมื่อคนๆนั้นเข้าไปสัมผัสปรากฏการณ์และประสบว่าข้างในนั้นเป็นอย่างไร’ นั่นเรียกว่าลัทธิเต๋า”
“ในตอนที่พวกเราฝึกฟีโนมีนอน อาจารย์ของพวกเราก็บอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรก มิสเตอร์ปี้ซีไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ มิสเตอร์ปี้ซีเข้าประเด็นได้เลย” ศิษย์คนหนึ่งของปราสาทนภาพูดขึ้นมา
ปี้ซีไม่ได้โกรธ เขาดูไม่ได้รู้สึกอะไร ตั้งแต่ครั้งแรกที่หานเซิ่นได้พบกับเอ็กซ์ควิสิท เขาคิดว่าเธอแค่แกล้งเสแสร้งทำเป็นไร้ความรู้สึก แต่ตอนนี้เมื่อเห็นปี้ซี หานเซิ่นก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าไร้ความรู้สึกนั้นเป็นใบหน้าแบบเดียวกัน นี่ไม่ใช่การเสแสร้ง
“ทุกคนรู้เกี่ยวกับลัทธิเต๋า แต่ในเรื่องของวิธีการที่จะเรียนรู้มัน ทุกคนต่างก็มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป มันไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง” ปี้ซีพูด
“ลัทธิเต๋าคือธรรมชาติ ทุกคนมีวิธีการเรียนรู้ของตัวเอง คำตอบไม่ใช่สิ่งจำเป็น” ศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“เหมือนอย่างที่ข้าพูดไปเมื่อครู่” ปี้ซีตอบ
“ฟีโนมีนอนนั้นหมายถึงปรากฏการณ์ของจักรวาล ถ้ามันมีปรากฏการณ์ มันก็มีกฎ ถ้ามันไม่มีกฎ มันก็จะไม่มีเหตุผล อย่างนั้นมันก็ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนรู้มัน
ศิษย์ของปราสาทนภาคนนั้นเงียบไป เขายังคงฟังต่อไปอย่างเงียบๆ
ปี้ซีวางบางสิ่งลงบนโต๊ะตรงหน้า ทุกคนมองไปและเห็นว่ามันเป็นกล่องสีเหลี่ยมจัตุรัสที่ดูเหมือนจะทำขึ้นมาจากคริสตัล มันมีความกว้างประมานสิบเซนติเมตร
ภายในกล่องนั้นพวกเขาเห็นด้วงเต่าตัวหนึ่งที่ดูคล้ายคลึงกับคริสตัล มันดูค่อนข้างน่ารัก
ปี้ซีเปิดกล่องคริสตัลและด้วงเต่าก็ปีนออกมาอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา
“ทุกสิ่งมีชีวิตมีเส้นทางที่ต้องเดินตาม แต่การเข้าใจถึงเหตุผลของแต่ละเส้นทางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นี่คือด้วงซีโน่เจเนอิคถูกที่เรียกว่าก็อตสปิริตทัช มันเป็นซีโน่เจเนอิคที่หายากมากๆ ด้วยการมองดูมัน พวกเราจะเข้าใจถึงกฎและเหตุผล”
หลังจากนั้นปี้ซีก็ยื่นนิ้วออกมา เขาเฉือนนิ้วตัวเองและปล่อยให้เลือดหยดลงไปบนด้วงเต่า
ด้วงเต่าอ้าปากของดื่มหยดเลือดเข้าไป หลังจากนั้นมันก็หยุดนิ่งและไม่ทำการเคลื่อนไหวอีก
ทุกคนตกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าปี้ซีกำลังทำอะไร
ขณะที่พวกเขามองดูอย่างเงียบๆ ด้วงเต่าที่ดื่มเลือดก็เริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างประหลาด
สีเปลือกของด้วงเต่าเปลี่ยนไป ขณะที่เป็นแบบนั้นใบหน้าของมันก็บิดเบี้ยว มันดึงร่างกายใหม่ไปข้างหน้าโดยทิ้งเปลือกที่สมบูรณ์แบบเอาไว้เบื้องหลัง
และกระบวนการไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น หลังจากนั้นร่างกายของด้วงเต่าก็เริ่มจะบิดเบี้ยวอีกครั้ง มันทิ้งเปลือกที่เล็กกว่าเอาไว้เบื้องหลังอีกเปลือกหนึ่ง
ด้วงเต่าขนาดเท่ากำปั้นเปลี่ยนเปลือกของมันไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มันลอกเปลือก ร่างกายของมันก็จะเล็กลงไป ซึ่งเปลือกที่ถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลังนั้นดูเหมือนงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบ ทุกเปลือกที่ถูกทิ้งจะเล็กกว่าเปลือกก่อนหน้า
ขณะที่ทุกคนมองดูด้วงเต่าเปลี่ยนเปลือกไป 9 ครั้ง ในที่สุดร่างกายของมันก็ลดลงจนเหลือขนาดเท่ากับเหรียญเล็กๆ หลังจากนั้นมันก็หยุดเคลื่อนไหวและนอนอยู่ตรงนั้นอย่างเหนื่อยล้า
ทุกคนมองไปที่ปี้ซีและรอคอยคำอธิบายของเขา พวกเขาเคยเห็นแมลงเปลี่ยนเปลือกของตัวเองมาก่อน แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่ปี้ซีกำลังจะบอกพวกเขา
“ก็อตสปิริตทัชที่กำเนิดมานั้นมีอ่อนไหวต่อเลือดอย่างมาก มันจะบอกถึงคุณภาพยีนของคนๆหนึ่งได้ ยิ่งยีนในเลือดแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มันก็จะมีผลกระทบต่อตัวด้วงมากเท่านั้น โดยปกติแล้วยีนของสิ่งมีชีวิตขั้นต่ำจะทำให้ด้วงเปลี่ยนเปลือกแค่ครั้งหรือ 2 ครั้ง ถ้าใครบางคนมียีนชั้นสูง ด้วงก็จะเปลี่ยนเปลือกของมัน 8-10 ครั้ง จากประสบการณ์ของข้า ถ้าใครคนหนึ่งทำให้ก็อตสปิริตทัชลอกเปลือกได้สิบครั้ง นั่นก็หมายความว่าคนๆนั้นมียีนที่แข็งแกร่งพอที่จะกลายเป็นระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อตในสักวันหนึ่ง” ปี้ซีพูด
ตอนที่ 2602
‘ทำไมกระบวนการนี้ถึงดูคุ้นๆ นี่มันเป็นแนวคิดเดียวกับกลาซเซสของคริสตัลไลเซอร์?’ หานเซิ่นมองก็อตสปิริตทัชที่อยู่บนโต๊ะขณะที่ครุ่นคิด
ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนกำลังจ้องไปที่ก็อตสปิริตทัช พวกเขาไม่เชื่อว่าก็อตสปิริตทัชจะเปิดเผยข้อมูลที่พิเศษแบบนั้นได้จริงๆ
ถ้าอนาคตของพวกเขาถูกตัดสินโดยแมลงตัวหนึ่ง แบบนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฝึกต่อไป?
“มันก็เป็นแค่แมลงตัวหนึ่ง มันจะตัดสินชะตากรรมของพวกเราได้ยังไง?”
กระเรียนพันขนถาม เขาพูดขึ้นมาในสิ่งที่ทุกคนกำลังคิด
ปี้ซียังคงดูไร้ความรู้สึกเหมือนทุกที เขามองไปที่กระเรียนพันขนและพูด
“ถึงแม้มันจะไม่ได้แม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่โอกาสผิดพลาดของมันก็ต่ำมากๆ ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อข้า พวกเจ้าก็ลองทดสอบดูได้”
“พวกเราจะลองมันได้ยังไง?” กระเรียนพันขนถามขณะที่มองไปที่ด้วงเต่าก็อตสปิริตทัซที่มีขนาดเท่ากับเหรียญ
ปี้ซีไม่ได้พูดอะไร เขายื่นมือออกไปเพื่อแตะก็อตสปิริตทัช ร่างกายของก็อตสปิริตทัชสั่นไหว หลังจากนั้นมันก็คลานกลับเข้าไปในเปลือกก่อนหน้านี้ มันพาตัวเองกลับไปเข้าไปในเปลือกเพื่อประกอบตัวเองทีละชั้นๆ พวกมันประกอบได้อย่างพอดี
ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นมันกับตาตัวเอง พวกเขาก็คงจะไม่คิดว่าเจ้าแมลงตัวนั้นมีเปลือกอยู่ 9 ชั้น
หลังจากนั้นปี้ซีก็พูดขึ้นมา “มอบหยดเลือดให้กับมัน มันจะดื่มเลือดของเจ้าและลอกเปลือกตามคุณภาพยีนของเจ้า”
กระเรียนพันขนไม่ลังเล เขายื่นนิ้วมือออกมาและบีบหยดเลือดหยดหนึ่งลงไป เขาปล่อยให้ก็อตสปิริตทัชดื่มหยดเลือดนั้นเข้าไป
แต่ในครั้งนี้ด้วงเต่าลอกเปลือกเพียงแค่ 7 ชั้นเท่านั้น หลังจากนั้นมันก็หยุดเคลื่อนไหวและตกอยู่ในสภาพที่ดูเหนื่อยล้าอีกครั้ง
“พรสวรรค์ระดับ 7 เปลือก ไม่เลยเลวทีเดียว ถ้าไม่โชคร้าย เจ้าก็จะกลายเป็นระดับเทพเจ้า และบางทีอาจจะไปถึงขั้นทรานมิวเทชั่นได้เลย” ปี้ซีพูดขณะที่มองไปที่ก็อตสปิริตทัช
“บางทีเจ้าแมลงอาจจะเหนื่อยล้าอยู่ก่อนแล้ว และนั่นเป็นเหตุผลที่มันหยุดหลังจากที่ลอกเปลือก 7 ชั้น” ยวิ๋นซู่อีพูดด้วยความเย้ยหยันเล็กน้อย
ศิษย์ของปราสาทนภาเห็นด้วย พวกเขาต่างก็คลางแคลงใจในความเที่ยงตรงของก็อตสปิริตทัช
ปี้ซีหันไปมองเอ็กซ์ควิสิท เอ็กซ์ควิสิทพยักหน้าและยื่นนิ้วไปแตะหัวของก็อตสปิริตทัช ก็อตสปิริตทัชสวมชั้นเปลือกของมันกลับไปเหมือนเดิม หลังจากนั้นเอ็กซ์ควิสิทก็ป้อนเลือดของตัวเองให้กับก็อตสปิริตทัช ขณะที่ทุกคนกำลังจับจ้อง เจ้าแมลงก็เริ่มจะลอกเปลือกของมันอีกครั้ง มันลอกเปลือกทั้งหมด 9 ชั้น
“ถ้าพวกเจ้ายังไม่เชื่อพวกเรา พวกเจ้าก็ลองดูด้วยตัวเอง ยีนของเผ่านภานั้นถือว่าดีเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงส่วนใหญ่ พรสวรรค์ระดับ 5 เปลือกจะถูกพบได้มากที่สุด และมันไม่ยากจนเกินไปที่จะได้ระดับ 7 หรือ 8 เปลือก ระดับ 9 เปลือกนั้นถือว่าหาได้ยากมากๆ ในตอนนี้พวกเราได้ยืนยันเรียบร้อยแล้วว่าไผ่เดียวดายและอวี้ซ่านซินมีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือก” ปี้ซีพูด
ศิษย์ของปราสาทนภายังคงไม่เชื่อ จู่ๆยวิ๋นซู่อีก็พูดขึ้นมา “มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าแมลงตัวนี้แม่นยำหรือไม่”
“ได้โปรดชี้แนะพวกเรา” ปี้ซีพูดขณะที่มองไปที่ยวิ๋นซู่อี
ศิษย์ของปราสาทนภาทั้งหมดก็มองไปที่ยวิ๋นซู่อีเช่นกัน ยวิ๋นซู่อีมองไปที่ปี้ซีและพูดอย่างมั่นใจ
“เจ้าบอกว่าไผ่เดียวดายมีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือกอย่างนั้นใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว” ปี้ซีตอบ
“ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องง่าย” ยวิ๋นซู่อีพูดพร้อมกับหัวเราะ เธอมองไปที่หานเซิ่นและพูดต่อ
“ถ้าไผ่เดียวดายมีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือก อาจารย์หานที่มีความสามารถทัดเทียมกับไผ่เดียวดายก็คงจะมีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือกเช่นเดียวกัน เจ้าไม่เห็นด้วยอย่างนั้นหรอ?”
“ใช่ๆ อาจารย์หานและไผ่เดียวดายมีพรสวรรค์ทัดเทียมกัน บางทีพวกเราควรจะให้อาจารย์หานลองทดสอบดู” ศิษย์ของปราสาทนภาเห็นด้วย
ชื่อเสียงของหานเซิ่นในปราสาทนภานั้นไม่ได้น้อยไปกว่าไผ่เดียวดาย และสิ่งที่เขาทำภายนอกปราสาทนภานั้นก็เหนือความคาดหมายของทุกๆคน เขาสามารถเอาชนะเหมิงเลี่ยของเอ็กซ์ตรีมคิงได้ ถ้าแมลงตัวนี้บอกว่าหานเซิ่นไม่มีพรสวรรค์ พวกเขาก็จะไม่เชื่อในความแม่นยำของมัน
“บางทีอาจจะไม่” ปี้ซีมองไปที่หานเซิ่นและพูด
“ยีนของคริสตัลไลเซอร์นั้นมีข้อบกพร่องอยู่ พวกเขาแค่ก้าวหน้าโดยใช้สติปัญญาเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ก้าวข้ามเผ่าพันธุ์อื่นในด้านไหนๆ คนส่วนใหญ่ในเผ่าคริสตัลไลเซอร์เป็นแบบนั้น แม้แต่คนที่กลายพันธุ์ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรมากนัก พวกเขาจะทำให้ก็อตสปิริตทัชลอกเปลือกได้แค่ 1 ถึง 2 เปลือกเท่านั้น การจะทำให้มันลอกได้เพิ่ม 3 เปลือกก็จะถือเป็นอะไรที่หาได้ยากมากๆแล้ว”
“การทำให้มันลอกเปลือกเพิ่ม 3 เปลือกถือเป็นอะไรที่เยี่ยม ถ้าคริสตัลไลเซอร์ปกติมีพรสวรรค์ระดับ 6 เปลือก แบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่อาจารย์หานจะมีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือก” ยวิ๋นซู่อีพูด
“เผ่านภาเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง คนปกติของเผ่านภาจะมีพรสวรรค์ระดับ 5 เปลือก แต่คริสตัลไลเซอร์นั้นไม่ใช่เผ่าพันธุ์ชั้นสูง คริสตัลไลเซอร์ปกติจะมีพรสวรรค์ระดับ 2-3 เปลือกเท่านั้น เผ่าพันธุ์ของพวกเราเคยพบคริสตัลไลเซอร์หลายคนและทำการทดสอบพวกเขาด้วยก็อตสปิริตทัช พรสวรรค์ระดับ 4 เปลือกนั้นถือว่าหาได้ยากมากๆ และข้าไม่เคยเห็นคริสตัลไลเซอร์คนไหนที่มีพรสวรรค์ระดับ 5 เปลือก” ปี้ซีพูด
“ถ้าอาจารย์หานทำการทดสอบและไม่ถูกแสดงว่ามีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือก นั่นก็พิสูจน์ว่าก็อตสปิริตทัชนั้นไม่แม่นยำ”
“ใช่แล้ว ด้วยความสามารถของอาจารย์หาน ถ้าเขาไม่ได้รับพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือก นั่นก็หมายความว่าการประเมินของแมลงตัวนี้ไม่ถูกต้อง”
“ใช่ ใช่ ถ้าอาจารย์หานไม่ได้มีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือก แบบนั้นการทดลองก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป”
ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขาบางคนไม่ได้สงสัยในความแม่นยำของก็อตสปิริตทัช แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไผ่เดียวดาย ปี้ซีทำให้พวกเขาโกรธ ศิษย์ของปราสาทนภาจึงไม่ชอบใจปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิท นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาตื่นเต้น
“ข้าบอกพวกเจ้าไม่ได้ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ พวกเราจะได้เห็นมันหลังจากทดสอบ” ปี้ซียังคงไร้ความรู้สึก มันเหมือนกับว่าใบหน้าของเขากำลังสวมหน้ากากที่ไม่เคยขยับเขยื้อน
หานเซิ่นไม่อยากจะเข้าร่วมการทดสอบ เพราะมันไม่ใช่ธุระอะไรของเขา แต่ศิษย์ของปราสาทนภาต่างก็ขอร้องเขา ดังนั้นเขาจึงยืนขึ้นและเดินไปข้างๆปี้ซี
ปี้ซีไม่ได้พูดอะไรมาก เขาแตะหัวของก็อตสปิริตทัชเพื่อให้มันเก็บเปลือกทั้งหมดกลับไป หลังจากนั้นเขาก็บอกหานเซิ่น “มันพร้อมแล้ว”
‘ยีนของมนุษย์นั้นไม่เสถียร แม้แต่กลาสเซสของคริสตัลไลเซอร์ก็ยังบอกอะไรไม่ได้ ก็อตสปิริตทัชนี้จะทำได้ไหมนะ?’
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็หยดเลือดให้กับก็อตสปิริตทัช
ก็อตสปิริตทัชดื่มเลือดของหานเซิ่นเข้าไปในท้องของมัน
ศิษย์ของปราสาทนภาจับจ้องไปที่ก็อตสปิริตทัชอย่างตั้งใจ ปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทก็มองไปที่ก็อตสปิริตทัชเช่นกัน พวกเขาอยากจะเห็นว่าหานเซิ่นมีพรสวรรค์ระดับกี่เปลือก
ภายใต้สายตาของทุกคน ร่างกายของก็อตสปิริตทัชก็เริ่มสั่นไหวขณะที่ประมวลผลเลือดที่มันดื่มเข้าไป
ตอนที่ 2603
หลังจากที่ร่างกายของก็อตสปิริตทัชสั่นไหว มันก็เริ่มเดินออกไปจากเปลือกแรกของมัน มันทิ้งเปลือกที่ว่างเปล่าเอาไว้เบื้องหลัง
“อาจารย์หานจะทำให้ก็อตสปิริตทัชทิ้งเปลือกเอาไว้ได้กี่เปลือกกัน”
“มันยากจะบอกได้ ถ้าก็อตสปิริตทัชแม่นยำจริงล่ะก็ บางทีพรสวรรค์ของอาจารย์หานอาจจะไม่สูงมากนัก มันเป็นความจริงที่ยีนของคริสตัลไลเซอร์นั้นมีข้อบกพร่องอยู่”
ทุกคนพูดคุยกันในขณะที่ก็อตสปิริตทัชลอกเปลือกชิ้นที่ 3 หลังจากนั้นมันก็ลอกเปลือกชั้นที่ 4 ต่อ
หานเซิ่นตื่นเต้นกับเรื่องนี้ กลาซเซสนั้นไม่สามารถวิเคราะห์พรสวรรค์ของมนุษย์ได้ แต่ก็อตสปิริตทัชดูเหมือนจะทำได้ เจ้าด้วงเต่าตัวนี้ทำการทดสอบได้ทุกระดับไม่ว่าคนๆนั้นจะอยู่ระดับไหนก็ตาม ขณะที่เกณฑ์การประเมินของกลาสเซสจะมีขีดจำกัดที่ 5 ดาวสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นระดับเทพเจ้า
แต่นั่นถือว่าดีมากแล้วเพราะกลาสเซสนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยเปรียบเทียบจากฐานข้อมูลเท่านั้น มันไม่ได้ทำการวิเคราะห์จากเลือดโดยตรงเหมือนอย่างที่ด้วงเต่าตัวนี้ทำ
‘แว่นตานั้นเป็นเพียงแค่เครื่องมือสำหรับเด็ก เผ่าคริสตัลไลเซอร์นั้นคงจะต้องมีเครื่องมือที่ดีกว่านั้นอยู่ที่ไหนสักแห่ง’ ขณะที่หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็อตสปิริตทัชก็ลอกเปลือกชั้นที่ 5 ของมัน
“มันยังคงลอกเปลือกอยู่… ดูเหมือนว่าพรสวรรค์ของอาจารย์หานจะสุดยอดจริงๆนั่นแหละ” กระเรียนพันขนกล่าวชื่นชม ขณะที่มองดูก็อตสปิริตทัชกำลังลอกเปลือกชั้นที่ 7 ของมัน
ทั้งปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทต่างก็ประหลาดใจ ศักยภาพยีนของคริสตัลไลเซอร์นั้นไม่ได้สูงอะไร มันถือว่าดีมากแล้วถ้าพวกเขามีพรสวรรค์ระดับ 4 เปลือก แต่ตอนนี้ก็อตสปิริตทัชลอกเปลือกไป 7 เปลือกแล้ว เขาต้องมีประสบการณ์กับกลายพันธ์หลายครั้งถึงได้มีศักยภาพของยีนที่สูงขนาดนี้
หลังจากที่ก็อตสปิริตทัชลอกเปลือกชั้นที่ 7 มันก็ยังคงลอกเปลือกต่อไป
“เขามีพรสวรค์ระดับ 7 เปลือก?” เอ็กซ์ควิสิทและปี้ซีแปลกใจ เรื่องแบบนี้ควรจะเป็นไปไม่ได้ คริสตัลไลเซอร์ไม่ควรจะวิวัฒนาการได้มากถึงขนาดนั้น
ถึงแม้ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนหนึ่งจะใส่ยีนระดับเทพเจ้าเข้าไปในร่างของคริสตัลไลเซอร์ มันก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าคริสตัลไลเซอร์ที่อ่อนแอจะมีพรสวรรค์ระดับ 8 เปลือก
แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่จบลงเพียงแค่นั้น หลังจากที่ก็อตสปิริตทัชลอกเปลือกที่ 8 ของมัน มันก็ยังคงสั่นไหว ดูเหมือนกับว่ามันกำลังรู้สึกคันและนั่นเป็นเหตุผลที่มันจะลอกเปลือกออก
เมื่อก็อตสปิริตทัชลอกเปลือกอีกชั้น ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดี
“ดูเหมือนว่าแมลงตัวนี้จะแม่นยำจริงๆนั่นแหละ! มันดีกว่าการให้ใครคนหนึ่งมาทำการตัดสินอย่างมั่วๆ”
“ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์หานถูกบอกว่าทัดเทียมกับไผ่เดียวดาย พรสวรรค์ของเขาสุดยอดจริงๆ”
“อาจารย์หานเป็นอัจฉริยะ ถ้าเขาพยายามอย่างหนัก เขาก็จะเหนือกว่าเผ่าเวรี่ไฮได้”
“พรสวรรค์ระดับ 9 เปลือกที่แท้ก็ไม่ได้หายากอะไร อาจารย์หานไปถึงระดับนั้นได้อย่างง่ายดาย เมื่อครู่นี้เขาพูดว่ายังไงนะ? เขาบอกว่าคริสตัลไลเซอร์มีพรสวรรค์ไม่ถึงระดับ 9 เปลือกอย่างนั้นหรอ?”
ศิษย์ของปราสาทนภาไม่ค่อยชอบใจปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิท เนื่องจากการปฏิบัติของเผ่าเวรี่ไฮต่อไผ่เดียวดาย พวกเขาจะไม่ปล่อยโอกาสแบบนี้ไป ศิษย์ของปราสาทนภาที่เป็นระดับราชันและครึ่งเทพไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ศิษย์คนอื่นนั้นเย้ยหยันเวรี่ไฮทั้ง 2 อย่างต่อเนื่อง
แต่ปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทไม่ได้ให้ความสนใจอะไร พวกเขาแค่จ้องมองไปที่หานเซิ่นและขมวดคิ้ว
“พรสวรรค์ของคริสตัลไลเซอร์ไม่มีทางถึงระดับ 9 เปลือกไปได้ นอกซะจากว่าหานเซิ่นคนนี้จะไม่ใช่คริสตัลไลเซอร์ หรือไม่ยีนของเขาก็วิวัฒนาการเนื่องจากสถานการณ์พิเศษบางอย่าง นั่นเป็นหนทางเดียวที่เขาจะมีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือก แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร พวกเราก็ควรจะจับตาดูหานเซิ่นคนนี้เอาไว้” ปี้ซีพูดอย่างจริงจัง
เอ็กซ์ควิสิทพยักหน้า “พรสวรรค์ระดับ 9 เปลือกนั้นหาได้ยาก ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นผลลัพธ์นี้จากคริสตัลไลเซอร์คนหนึ่ง ถ้าเขาวิวัฒนาการ เขาก็ต้องได้รับการเสริมพลังที่พวกเราไม่อาจจะหยั่งถึง นั่นเป็นเหตุผลที่ยีนของเขามีศักยภาพมากถึงขนาดนี้”
เอ็กซ์ควิสิทไม่ได้สงสัยเรื่องที่ว่าหานเซิ่นเป็นคริสตัลไลเซอร์หรือเปล่า เพราะคริสตัลไลเซอร์นั้นดูออกได้ง่าย และในตอนที่ข่งเฟยจุดดวงไฟในตะเกียงของจีโนฮอล์ หลายคนได้เห็นหานเซิ่นติดตามข่งเฟยไป และทุกคนก็รู้ในทันทีว่าเขาเป็นคริสตัลไลเซอร์”
เมื่อก่อนนั้นหานเซิ่นมีระดับที่ต่ำมากๆ ด้วยเหตุนั้นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าจึงมองทะลุผ่านยีนของเขาได้อย่างง่ายดาย มันไม่มีทางที่หานเซิ่นจะปกปิดอัตลักษณ์ของยีนได้
ด้วยเหตุนั้นปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทจึงเชื่อว่าหานเซิ่นต้องบังเอิญไปเจอกับความลับบางอย่างที่ช่วยให้พรสวรรค์ของเขากลายเป็นอะไรที่เกือบจะดีเท่ากับของเผ่าเวรี่ไฮ
แต่พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับความจริงที่หานเซิ่นมีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือก
พรสวรรค์ระดับ 9 เปลือกถึงจะหายาก แต่มันก็ยังคงมีอยู่ เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงและเผ่านภาบางคนก็สามารถแสดงผลลัพธ์พรสวรรค์ระดับ 9 เปลือกออกมาได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง พวกเขามีร่างกายแห่งราชันที่ช่วยให้พรสวรรค์ของพวกเขาไปถึงระดับ 9 เปลือก ดังนั้นการมีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือกจึงไม่ได้ทำให้ปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทสนใจมากนัก ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับสติปัญญาของบุคคล
ตัวไหมที่ปี้ซีเลือกคืออวี้ซ่านซิน ส่วนเอ็กซ์ควิสิทก็ต้องการไผ่เดียวดาย พวกเขาพอใจกับตัวไหมของตัวเอง ดังนั้นถึงแม้หานเซิ่นจะมีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือก แต่พวกเขาก็ยังเชื่อว่าตัวไหมที่เลือกนั้นดีกว่า
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนั้นทำให้ทั้งปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทต่างก็ตกใจ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ฝึกเวรี่ฟอร์เก็ตเลิฟ แต่อารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาก็ยังคงเย็นชากว่าคนปกติทั่วไป แต่ตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป ขณะที่พวกเขามองไปที่ก็อตสปิริตทัช
ก็อตสปิริตทัชที่ลอกเปลือกชั้นที่ 9 ไปนั้นกำลังเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อลอกเปลือกอีกชั้น
“นั่นเป็นไปได้ยังไง?” ปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทตกตะลึง แม้แต่ในหมู่เวรี่ไฮก็มีน้อยคนนักที่จะมีพรสวรรค์ระดับสิบเปลือก
ศิษย์ของปราสาทนภารู้สึกปลาบปลี้ม ยวิ๋นซู่อียิ้มและพูดออกมา
“หานเซิ่นแตกต่างไปจากคนอื่นจริงๆ! เขามีพรสวรรค์ระดับสิบเปลือก”
“ไม่แปลกใจเลยที่หานเซิ่นประสบความสำเร็จมากมาย เขามีพรสวรรค์จริงๆ” ยวิ๋นซู่ซางพูดด้วยรอยยิ้ม
แต่ศิษย์ของปราสาทนภาคนอื่นไม่ได้มีมารยาทเหมือนอย่างพี่น้องยวิ๋น พวกเขาทุกคนหัวเราะออกมา
“ข้าก็คิดว่าพรสวรรค์ระดับเก้าเปลือกมันวิเศษมาก แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่แบบนั้น อาจารย์หานแค่ทำการทดสอบโดยไม่ต้องเตรียมตัวอะไร และผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือพรสวรรค์ระดับสิบเปลือก”
“ไหนเขาบอกว่ายีนของคริสตัลไลเซอร์มีบกพร่องและพรสวรรค์ก็แย่ พรสวรรค์ระดับสิบเปลือกมันแย่สำหรับพวกเขาอย่างนั้นหรอ?”
“พวกเจ้าไม่เข้าใจ ใครก็ตามที่เกิดก่อนจะตัวใหญ่กว่า และนั่นหมายความว่า 9 นั้นใหญ่กว่าสิบ”
“เจ้าพูดถูก ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขามั่นใจนัก”
ขณะที่ศิษย์ของปราสาทนภายังคงเย้นหยันต่อไป ก็อตสปิริตทัชก็คลานไปข้างหน้าและทิ้งเปลือกที่เล็กเหมือนกับเหรียญเอาไว้เบื้องหลัง
“พรสวรรค์ระดับสิบเปลือก… เขามีพรสวรรค์ระดับสิบเปลือกจริงๆ…”
เอ็กซ์ควิสิทและปี้ซีมองไปที่หานเซิ่นอย่างตกตะลึง มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะหาตัวไหมที่มีพรสวรรค์ระดับเก้าเปลือก แต่ตัวไหมระดับสิบเปลือกนั้นเป็นอะไรที่หาได้ยากมากๆ
ถ้ามันไม่ได้มีอุบัติเหตุอะไร และเขาได้รับทรัพยากรอย่างเพียงพอ คนที่มีพรสวรรค์ระดับสิบเปลือกก็มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อต
แต่บางสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นกำลังเกิดขึ้น หลังจากที่ก็อตสปิริตทัชลอกเปลือกชิ้นที่สิบ มันก็ยังคงเคลื่อนไหวต่อ
ตอนที่ 2604
เอ็กซ์ควิสิทและปี้ซีตกตะลึง พรสวรรค์ระดับสิบเปลือกเป็นระดับสูงที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตในจักรวาลจีโน ถึงแม้ตำนานจะกล่าวว่าพรสวรรค์ระดับ 11 เปลือกนั้นมีอยู่จริง แต่นั่นก็เป็นบางสิ่งสำหรับสิ่งมีชีวิตที่เป็นตำนานเท่านั้น
ทุกคนรู้ว่าอัลฟ่าของเวรี่ไฮ ราชาของแอนเชี่ยนท์ก็อตและผู้นำของเซเคร็ดคือบุคคลในตำนาน พวกเขาตีฝ่าจีโนฮอลล์และกลายเป็นตำนานที่ถูกรู้จักจนถึงทุกวันนี้ มันยังมีคนอื่นอีกมายมายที่กลายเป็นตำนานที่สืบทอดผ่านประวัติศาสตร์ของจักรวาลจีโน
แต่ตำนานก็เป็นแค่ตำนาน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเคยถูกทดสอบโดยก็อตสปิริตทัชหรือไม่ แม้แต่เอ็กซ์ควิสิทและปี้ซีที่กำเนิดในเผ่าเวรี่ไฮก็ยังไม่เคยได้เห็นพรสวรรค์ระดับ 11 เปลือกมาก่อน
แต่ตอนนี้ก็อสปิริตทัชยังคงเคลื่อนไหว ดูเหมือนกับว่ามันกำลังจะลอกเปลือกชั้นที่ 11
“คริสตัลไลเซอร์คนนี้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับอัลฟ่าของเวรี่ไฮ ราชาของแอนเชี่ยนท์ก็อตและผู้นำของเซเคร็ดอย่างนั้นหรอ?” เอ็กซ์ควิสิทตกตะลึง แม้คนที่ไร้ซึ่งความรู้สึกอย่างเธอก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง เธอจ้องไปที่หานเซิ่นและก็อตสปิริตทัชที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ศิษย์ของปราสาทนภาเงียบไปเช่นกัน พวกเขาคิดว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เมื่อครู่นี้พวกเขากำลังเย้นหยันเอ็กซ์ควิสิทและปี้ซีอยู่เลย แต่ตอนนี้พวกเขาเองก็คิดว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นอะไรที่เวอร์เกินไปหน่อย
ทุกคนต่างก็ยอมรับว่าเผ่าเวรี่ไฮคือเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลจีโน พรสวรรค์ของพวกเขานั้นเหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่น ทั้งปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทต่างก็มีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือก แต่ตอนนี้หานเซิ่นได้รับ 10 เปลือกแล้ว และกระบวนการก็ยังไม่จบลง
“พรสวรรค์ของอาจารย์หานจะไม่มากเกินไปหน่อยหรอ” ศิษย์ของปราสาทนภาตกตะลึง
ศิษย์ของปราสาทนภารู้มาโดยตลอดว่าหานเซิ่นเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูง แต่มันน่าตกใจเกินไปที่พรสวรรค์ของเขาอาจจะเหนือกว่าเผ่าเวรี่ไฮ พวกเขาเกือบจะไม่เชื่อมัน
เพราะยังไงซะคริสตัลไลเซอร์ก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยี ส่วนยีนของพวกเขาเป็นที่รู้กันว่าเป็นอะไรที่แย่ นี่คือจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของพวกเขา แต่ตอนนี้มันกลับเหนือกว่าเผ่าเวรี่ไฮ ภายใต้สายตาของทุกคนในที่ประชุม ด้วงเต่าที่มีขนาดพอๆกับเล็บมือยังคงสั่วไหว ร่างกายของมันบูดบี้และบิดเบี้ยวด้วยปากที่เปิดออก หลังจากนั้นแมลงที่ตัวเล็กกว่าก็คลานออกมา
แมลงที่ออกมามีขนาดเท่าเม็ดข้าว มันมีรูปร่างเป็นวงรีและดูไม่เหมือนกับก็อตสปิริตทัชอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้เมื่อไหร่ก็ตามที่มันสลัดเปลือกทั้งสิบชั้นก่อนหน้าออกไป มันจะยังคงดูเหมือนกับด้วงเต่า แต่สิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเม็ดข้าวนี้ดูเหมือนกับตัวไหม มันดูน่ารักและค่อนข้างอ้วน
ทุกคนมองไปที่แมลงด้วยความตกใจ แม้แต่ปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทก็ดูตกตะลึง พวกเขาเป็นเจ้าของก็อตสปิริตทัช แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเคยเห็นก็อตสปิริตทัชเป็นแบบนี้
“นี่เขามีพรสวรรค์ระดับ 11 เปลือกจริงๆอย่างนั้นหรอ?” เอ็กซ์ควิสิทมองไปที่หานเซิ่นและก็อตสปิริตทัชด้วยสายตาแปลกๆ
หานเซิ่นมองก็อตสปิริตทัชที่อยู่บนโต๊ะ เขาคิดกับตัวเอง
‘แปลกจริงๆ ในตอนที่กลาสเซสวิเคราะห์ยีนของเรา มันบอกว่ายีนของเราไม่เสถียร แต่เจ้าแมลงตัวนี้ลอกเปลือกของมันชั้นแล้วชั้นเล่าได้ยังไงกัน? ถ้าเอ็กซ์ควิสิทและปี้ซีพูดถูกต้องเกี่ยวกับความแม่นยำของมัน นั่นก็หมายความว่าพรสวรรค์ของเราสุดยอดมากๆ’
แต่หานเซิ่นไม่ได้รู้สึกว่าพรสวรรค์ของตัวเองดีเด่นอะไร อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่เขารู้สึกในตอนที่ฝึกเรื่องราวของยีน เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาฝึกมัน เขาก็จะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ เนื่องจากการจะเพิ่มระดับมันนั้นขึ้นอยู่กับทรัพยากรล้วนๆ
ขณะที่หานเซิ่นกำลังครุ่นคิด ก็อตสปิริตทัชก็เริ่มเคลื่อนไหว มันสั่นรัวขณะที่เคลื่อนที่ไปทางหานเซิ่น
ปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทแปลกใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็อตสปิริตทัชนั้นเป็นแค่ซีโน่เจเนอิคของปี้ซี ถึงแม้มันจะเป็นระดับครึ่งเทพ แต่มันก็ไม่สามารถต่อสู้ได้ เนื่องจากความจริงที่มันอ่อนไหวต่อยีนในเลือดของสิ่งมีชีวิต ทำให้มันเป็นซีโน่เจเนอิคที่หาได้ยากมากๆ
โดยปกติแล้วเวรี่ไฮที่พบก็อตสปิริตทัชจะพยายามจับตัวมันมาครอบครองด้วยวิชาลับ ก็อตสปิริตทัชนั้นจะภักดีจนกระทั่งเจ้านายของมันเสียชีวิต หลังจากนั้นมันถึงจะพยายามหาเจ้านายคนใหม่
ด้วยเหตุนั้นถ้าปี้ซีไม่ได้ออกคำสั่ง ก็อตสปิริตทัชก็จะไม่เคลื่อนไหว แต่ตอนนี้ปี้ซียังไม่ได้ออกคำสั่งอะไร แต่เจ้าตัวน้อยก็เริ่มเคลื่อนตัวไปทางหานเซิ่น นี่ทำให้ปี้ซีรู้สึกตกใจ
ปี้ซีพยายามจะเรียกก็อตสปิริตทัชกลับไป แต่มันเพิกเฉยต่อคำสั่งของเขา มันยังคงคลานไปหาหานเซิ่นและนั่นทำให้ปี้ซีตกใจยิ่งกว่าเดิม
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ปี้ซีดูตกตะลึง เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขามองหานเซิ่นและก็อตสปิริตทัชด้วยสีหน้ามึนงง
ก็อตสปิริตทัชเป็นซีโน่เจเนอิคระดับครึ่งเทพ แต่พลังของมันไม่ได้เหมือนซีโน่เจเนอิคทั่วๆไป มันไม่ได้แข็งแกร่งอะไร ร่างกายของมันมีความแข็งแรงระดับครึ่งเทพ แต่มันไม่มีพลังโจมตี
หานเซิ่นเห็นมันคลานมาถึงขอบโต๊ะ หลังจากนั้นมันก็ร่วงลงไป หานเซิ่นเอื้อมมือออกไปรับเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเอาไว้
ในจังหวะที่หานเซิ่นสัมผัสก็อตสปิริตทัช เขาก็รู้สึกได้ถึงความต้องการของมัน
มันไม่ใช่ภาษา แต่เป็นความรู้สึกปรารถนาที่เอ่อล้น หานเซิ่นเข้าใจว่ามันกำลังขอร้องเขา
“ข้าขอร้องเจ้า…ช่วยข้าวิวัฒนาการ…” นั่นคือสิ่งที่มันต้องการจะบอกหานเซิ่น จิตใจของเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเต็มไปด้วยการร้องขอจากใจจริง
“ข้าจะช่วยเจ้าวิวัฒนาการได้ยังไง? เจ้าต้องการเลือดของข้าเพิ่มอีกอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย เขาไม่รู้ว่าจะช่วยก็อตสปิริตทัชได้ยังไง
“ข้าขอร้องเจ้า…ช่วยข้าวิวัฒนาการ…” ก็อตสปิริตทัชส่งข้อความนี้ให้กับเขาซ้ำๆ
‘ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยนี้จะไม่ฉลาด’ หานเซิ่นคิด
แต่หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่ามันอาจจะไม่ได้ต้องการเลือด มันยังคงมีเลือดเหลืออยู่ที่ปลายนิ้วของเขา แต่ก็อตสปิริตทัชไม่ได้สนใจ มันยังคงส่งข้อความขอร้องเขาซ้ำๆ
‘ถ้ามันไม่ได้ต้องการเลือด อย่างนั้นหนทางเดียวที่เราจะช่วยมันได้ก็คือวิชาโลหิตชีพจร แต่ร่างกายของเรายังไม่ฟื้นตัว เราไม่มีพลังงานมากนัก ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลไหม’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
หานเซิ่นลองใช้วิชาโลหิตชีพจร เขาทำให้ฟันเฟืองจักรวาลของตัวเองเชื่อมต่อกับฟันเฟืองของก็อตสปิริตทัช หลังจากนั้นเขาก็หมุนพวกมัน
ในตอนที่หานเซิ่นใช้วิชาโลหิตชีพจรกับคนอื่น มันเป็นอะไรที่ยากลำบาก ในตอนที่เขาใช้มันกับเลอตู้ บาร์ กู่ชิงเฉิงและจันทราสวรรค์ หานเซิ่นต้องใช้กำลังทั้งหมดเพื่อผลักดันฟันเฟืองของพวกเขา
แต่ครั้งนี้หานเซิ่นใช้พลังเพียงแค่นิดเดียวเพื่อหมุนฟันเฟืองจักรวาลของก็อตสปิริตทัช และมันก็หมุนอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 2605
ทุกคนในที่ประชุมมองเห็นก็อตสปิริตทัชในมือหานเซิ่น หลังจากนั้นเมื่อแสงสีแดงส่องสว่างขึ้นมาในฝ่ามือของหานเซิ่น พวกเขาก็รู้สึกตัวว่ามันจะกำลังเกิดอะไรขึ้น
“นี่มัน! นี่มัน! นี่มันจะต้องเป็นสิ่งนั้น… เจ้าคงจะรู้ว่าข้ากำลังพูดถึงอะไร”
“เจ้าล้อเล่นใช่ไหม! นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้อาจารย์หานได้สมญานามบิดาของเทพ?”
“ข้าเดิมพันว่าใช่ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าได้เห็นตอนที่เขาอวยพรให้กับบาร์? นี่คือแสงสีแดงแบบเดียวกับตอนนั้น”
“ถ้าแบบนั้นทั้งหมดนี่มันเรื่องอะไรกัน? ด้วงเต่าควรจะทดสอบพรสวรรค์ของอาจารย์หานไม่ใช่หรอ? แต่ทำไมมันถึงกลายเป็นอาจารย์หานที่ช่วยก็อตสปิริตทัชวิวัฒนาการแทน?”
“ก็อตสปิริตทัชคงจะรับรู้ถึงพรสวรรค์ของอาจารย์หาน เจ้าไม่เห็นหรือยังไงว่าอาจารย์หานมีพรสวรรค์ระดับ 11 เปลือกน่ะ บางทีที่ก็อตสปิริตทัชคลานไปหาอาจารย์หานก็เพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา”
“อย่างน้อยข้าต้องขอยอมรับว่างานนี้เริ่มจะกลายเป็นอะไรที่น่าสนใจขึ้นมา”
เอ็กซ์ควิสิทและปี้ซีอยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อน พวกเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่หานเซิ่นอวยพรให้กับเลอตู้และบาร์ แต่พวกเขาคิดว่ามันต้องเป็นกลลวงบางอย่าง มันไม่มีทางที่เลอตู้และบาร์จะกลายเป็นระดับเทพเจ้าเพราะพลังของหานเซิ่น
แต่ก็อตสปิริตทัชนี้เป็นของปี้ซี เขารู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้เป็นอย่างดี เขารู้ว่าก็อตสปิริตทัชจะไม่มีวันกลายเป็นระดับเทพเจ้า ดังนั้นเขาจึงรู้สึกขัดแย้งและสับสนเมื่อเห็นสิ่งที่หานเซิ่นกำลังจะทำ
ทุกคนมองไปที่ก็อตสปิริตทัชในมือหานเซิ่น มันปกคลุมด้วยแสงสีแดงและร่างกายคริสตัลของมันก็เริ่มจะเรืองแสงออกมา
คงมีแต่พระเจ้าที่รู้ว่าก็อตสปิริตทัชมีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนแล้ว เผ่าเวรี่ไฮเอาตัวมันมาก็เพื่อจะทดสอบพรสวรรค์ของผู้คน ก็อตสปิริตทัชได้ดูดซับยีนของสิ่งมีชีวิตมากมาย มันได้รับเลือดของสิ่งมีชีวิตที่มีพรสวรรค์ระดับ 9 เปลือกไปมากมายตลอดช่วงเวลาหลายปี
ถึงแม้ก็อตสปิริตทัชจะไม่สามารถดูดซับยีนในเลือดเข้าไปได้อย่างถูกต้อง แต่มันก็ยังคงได้รับผลประโยชน์มากมาย ด้วยทรัพยากรที่มันได้รับ มันก็ควรจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าไปนานแล้ว
แต่พรสวรรค์ของมันมีขีดจำกัด มันไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้ มันถูกหยุดอยู่ที่ระดับครึ่งเทพ แต่ในตอนนี้มันกำลังทำลายกำแพงนั้นราวกับมันเป็นเพียงแค่แผ่นกระดาษ และทั้งหมดก็เป็นเพราะวิชาโลหิตชีพจรของหานเซิ่น ตอนนี้ก็อตสปิริตทัชกำลังจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า ยีนของมันไม่ได้จำกัดการวิวัฒนาการของมันอีกต่อไป
หานเซิ่นแค่ใช้วิชาโลหิตชีพจรด้วยพลังอันน้อยนิดเพื่อผลักดันฟันเฟืองของก็อตสปิริตทัช
ทุกคนมองหานเซิ่นที่กำลังถือก็อตสปิริตทัช แสงสว่างค่อยๆออกมาจากร่างกายของก็อตสปิริตทัชมากขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นแค่แมลงตัวน้อย แต่แสงที่ส่องสว่างออกมาจากร่างกายของมันส่องสว่างไปจนถึงอวกาศ มันสว่างไสวไปทั้งระบบจักรวาล และยอดฝีมือระดับเทพเจ้าทั่วระบบจักรวาลก็หันมองมาในทิศทางของมัน
ท่ามกลางแสงสว่าง รอยร้าวเริ่มจะก่อตัวขึ้นบนร่างกายของแมลงตัวน้อย อุ้งเท้าคริสตัลเริ่มโผล่ออกมา หลังจากนั้นร่างกายก็โผล่ตามมา เนื่องจากแสงที่สว่างไสว ผู้แทบจึงแทบจะมองไม่เห็นผีเสื้อคริสตัลที่เริ่มโผล่ออกมา มันกระพือปีกและบินรอบๆตัวหานเซิ่นอย่างมีความสุข
เมื่อผีเสื้อคริสตัลกระพือปีกของมัน แสงสว่างก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้น โซ่สสารเริ่มจะปรากฏออกมาให้เห็น โซ่สสารนั้นก่อตัวเป็นปีกของผีเสื้อขนาดยักษ์ มันส่องสว่างไปทั่วทั้งปราสาทนภา
ทุกคนตกตะลึง ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าการที่หานเซิ่นสามารถทำให้คนอื่นกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้นั้นเป็นอะไรที่สุดยอด แต่การได้เห็นผ่านหน้าจอไม่ได้สร้างความประทับใจที่ฝังลึกกับพวกเขามากนัก
ตอนนี้พวกเขาได้เห็นก็อตสปิริตทัชกลายเป็นระดับเทพเจ้าต่อหน้าต่อตาตัวเอง มือของหานเซิ่นเป็นเหมือนกับมือของเทพ พวกมันมีพลังที่ไร้ขีดจำกัดและพวกมันก็เต็มไปด้วยเวทย์มนต์
ขณะที่พวกเขาเห็นผีเสื้อคริสตัลระดับเทพเจ้าบินลงในมือของหานเซิ่นอย่างสง่างาม มันก็เหมือนกับว่าเขาเป็นพระผู้สร้าง
“มันกลายเป็นระดับเทพเจ้าจริงๆ?” ปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทตกใจมากกว่าคนอื่น ก่อนหน้านี้พวกเขายังคลางแคลงใจกับพลังในการอวยพรของหานเซิ่น แต่ตอนนี้เขาทำให้ก็อตสปิริตทัชกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ผู้อาวุโสของเผ่าเวรี่ไฮก็ไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้
ก็อตสปิริตทัชเพิ่งจะกลายเป็นผีเสื้อคริสตัล และตอนนี้มันก็บินอย่างมีความสุขรอบๆมือของหานเซิ่น มันบินวนรอบหานเซิ่นอยู่ 3 รอบ หลังจากนั้นจู่ๆมันก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน
ทุกคนอึ้งไป พวกเขาหันไปมองที่ปี้ซี พวกเขาคิดว่าปี้ซีเอามันกลับคืนไป
แต่ปี้ซีเองก็อึ้งไปเช่นกัน ในตอนนี้ความเยือกเย็นและสงบนิ่งของเขาหายไปจนหมด มันเหมือนกับว่าเขาเองก็สงสัยว่าก็อตสปิริตทัชหายไปไหน
สีหน้าของปี้ซีเปลี่ยนไป เขารู้สึกว่าบางสิ่งในกระเป๋าเพิ่งจะแตกกระจาย เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา เขารีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าและอาคมที่มีสัญลักษณ์ของก็อตสปิริตทัชอยู่ตอนนี้ได้ถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว
เผ่าเวรี่ไฮจะใช้วิชาลับเพื่อจับตัวของก็อตสปิริตทัชมา อาคมนั้นคือกุญแจในการควบคุมมัน มันเป็นเหมือนกับสายจูง
ตราบใดที่อาคมยังคงอยู่ เขาก็สามารถควบคุมก็อตสปิริตทัชได้
ในตอนที่ก็อตสปิริตทัชกลายเป็นระดับเทพเจ้า ปี้ซีไม่ได้เห็นถึงปัญญาที่จะเกิดขึ้นในทันที ตอนนี้เมื่ออาคมถูกทำลาย เขาก็รู้สึกตัวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่เคยมีก็อตสปิริตทัชที่กลายเป็นระดับเทพเจ้ามาก่อน วิชาลับของเวรี่ไฮจะใช้ได้ผลเฉพาะกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นระดับครึ่งเทพหรือต่ำกว่า ด้วยเหตุนั้นก็อตสปิริตทัชจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ง่ายจะควบคุม แต่ตอนนี้เมื่อมันกลายเป็นระดับเทพเจ้า มันก็สามารถทำลายวิชาลับและหนีไปได้
ก็อตสปิริตทัชไม่ใช่ซีโน่เจเนอิคระดับสูง แต่มันเป็นซีโน่เจเนอิคที่หายากมากๆ สมาชิกของเวรี่ไฮส่วนใหญ่จะได้รับพวกมันมาจากพ่อแม่ ถ้าปี้ซีเกิดสูญเสียมันไป เขาก็จะไม่สามารถหามันมาใหม่ได้
“มิสเตอร์ปี้ซี นี่คิดจะเก็บก็อตสปิริตทัชกลับไปอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นมองไปที่ปี้ซี แต่คำถามนั่นไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไร เพียงแค่ดูใบหน้าของปี้ซี หานเซิ่นก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เอาก็อตสปิริตทัชกลับไป หานเซิ่นรู้ว่าจริงๆแล้วก็อตสปิริตทัชได้หนีไป
แต่เขาไม่สามารถยอมรับอย่างเปิดเผยได้ว่ามันหนีไป เพราะปี้ซีอาจจะพยายามให้เขารับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ปี้ซีขมวดคิ้ว เขาไม่ได้โทษหานเซิ่นที่ปล่อยให้ก็อตสปิริตทัชหนีไป เขาแค่พูดขึ้นมา
“ก็อตสปิริตทัชที่เปลี่ยนเป็นผีเสื้อนั้นกลายเป็นระดับเทพเจ้า มันทำลายอาคมของข้าและหนีไป”
เมื่อศิษย์ของปราสาทนภาได้ยินว่าก็อตสปิริตทัชกลายเป็นระดับเทพเจ้าจากปากของปี้ซีโดยตรง ตอนนี้พวกเขาก็เชื่อมัน
“ดูเหมือนว่าอาจารย์หานจะอวยพรให้กับคนอื่นได้จริงๆ”
“นั่นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว! ไม่อย่างนั้นอาจารย์หานจะได้รับสมญานามบิดาของเทพมาได้ยังไง?”
“นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว… อาจารย์หานเป็นระดับราชันที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นกลายเป็นระดับเทพเจ้า! นั่นมันเหนือกว่าที่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนอื่นจะทำได้!”
ศิษย์ของปราสาทนภาพูดคุยกันอย่างมีความสุข พวกเขารู้สึกมีความหวัง ถ้าหานเซิ่นยังอยู่ในปราสาทนภา บางทีหานเซิ่นอาจจะยินดีอวยพรให้กับพวกเขาในสักวันหนึ่ง
ส่วนยอดฝีมือของปราสาทนภาหลายคนที่เห็นเรื่องนี้มีความรู้สึกที่ซับซ้อน ในทางหนึ่งผลลัพธ์ที่ออกมานั้นทำให้พวกเขารู้สึกดีใจ แต่ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขารู้สึกกังวล
เผ่าพันธุ์อื่นนั้นจะไม่มีทางอยู่เฉยหลังจากที่เห็นความสามารถนี้ของหานเซิ่น ปราสาทนภาอาจจะไม่เป็นสถานที่ที่สงบสุขอีกต่อไป
ก่อนอื่นมันมีเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับปราสาทนภาอีกต่อไป แต่ถึงจะพูดแบบนั้นปราสาทนภาก็ไม่หวาดกลัวพวกเขา
แต่ตอนนี้เผ่าเวรี่ไฮได้เห็นพลังของหานเซิ่นกับตาตัวเอง ดังนั้นมันยากที่จะบอกได้ว่าพวกเขาจะทำอะไรบางสิ่งกับหานเซิ่นหรือไม่
ตอนที่ 2606 สลับ
การประชุมจบลงอย่างรวดเร็ว เรื่องราวของหานเซิ่นแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งปราสาทนภา ศิษย์ของปราสาทนภาปลาบปลื้มกับผลลัพธ์
ในตอนที่ปี้ซีและเอ็กซ์ควิสิทอยู่กันตามลำพัง พวกเขาก็พูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ปี้ซีขมวดคิ้วและถามขึ้นมา “เจ้าอยากจะได้หานเซิ่นไปเป็นตัวไหมของเจ้า?”
เอ็กซ์ควิสิทพยักหน้าและพูด “ถ้าไผ่เดียวดายไม่ยินดีจะเข้าร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบังคับเขา ข้าควรจะใช้โอกาสนี้พาตัวหานเซิ่นไป”
ปี้ซีขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม “นี่เจ้าคิดเรื่องนี้ดีแล้วใช่ไหม? หานเซิ่นดูมีพรสวรรค์มากๆ แต่ข้าไม่คิดว่าทุกอย่างจะเรียบง่ายเหมือนอย่างที่ตาเห็น บางทีเขาอาจจะฝึกวิชาจีโนบางอย่างที่ทำให้เขาปลุกศักยภาพภายในยีนของก็อตสปิริตทัช และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ก็อตสปิริตทัชกลายเป็นผีเสื้อและสร้างสถานการณ์ว่าเขามีพรสวรรค์ระดับ 11 เปลือก บางทีนั่นจะไม่ใช่พรสวรรค์ที่แท้จริงของเขา เจ้าควรจะรู้ว่ายีนของคริสตัลไลเซอร์ไม่ได้มีพรสวรรค์สูงขนาดนั้น”
เอ็กซ์ควิสิทถอนหายใจและพูด “มันเป็นไปไม่ได้ พรสวรรค์ระดับ 11 เปลือกเป็นสิ่งที่มีอยู่เฉพาะในตำนาน หานเซิ่นนั้นไม่เลว แต่ข้ารู้ว่าเขาคงจะไม่ได้เป็นระดับตำนาน แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ต้องมีเหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้น ข้าได้เห็นด้วยตัวเองว่าวิชาจีโนที่เขาใช้นั้นทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นวิวัฒนาการ แค่เรื่องนั้นก็ถือว่าเป็นอะไรที่พิเศษมากแล้ว ดังนั้นถึงพรสวรรค์ของเขาจะธรรมดา แต่ข้าก็จะให้เขามาเป็นตัวไหมของข้าเพื่อที่ข้าจะได้ศึกษาวิชาจีโนของเขา แถมมันยังมีโอกาสที่เขาจะมีพรสวรรค์ที่สูงด้วย”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ปี้ซีก็ไม่ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้นั้น เขาพูดขึ้นว่า
“เจ้าพูดถูก พลังนั้นเป็นสิ่งที่ลึกลับ แม้แต่เผ่าพันธุ์ของพวกเราก็ไม่มีวิชาจีโนที่จะทำแบบเขาได้”
“ในเมื่อเจ้าเห็นด้วย เจ้าก็ช่วยนำเรื่องนี้ไปพูดในการเจรจากับปราสาทนภาในวันพรุ่งนี้ได้ไหม?” เอ็กซ์ควิสิท
ปี้ซีพยักหน้าและพูด “ได้ แต่ก่อนหน้านั้นข้าจำเป็นต้องไปทดสอบหานเซิ่น ข้าอยากจะเห็นพลังที่แท้จริงของเขา”
เอ็กซ์ควิสิทไม่ได้คัดค้านในเรื่องนี้ มันมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับหานเซิ่น แต่เธอยังไม่เคยได้เห็นความสามารถของเขาตรงๆ
“อาการบาดเจ็บของหานเซิ่นยังไม่หายดี ดังนั้นพวกเราคงจะไปต่อสู้กับเขาไม่ได้ พวกเราควรจะทดสอบเขาด้วยวิธีไหน?” เอ็กซ์ควิสิทถาม
“ข้ามีวิธีอยู่หนึ่ง” ปี้ซีพูดโดยที่ไม่ทำการอธิบาย
หานเซิ่นกลับไปที่เกาะหยกน้อยเพื่อรักษาตัว โชคดีที่ผู้นำของปราสาทนภาสั่งห้ามไม่ให้ใครเข้ามาในเกาะ ไม่อย่างนั้นหลังจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เขาก็คงจะถูกรบกวนจนไม่มีเวลาได้หยุดพัก
หานเซิ่นใช้มือให้กำเนิดผีเสื้อ เรื่องนั่นช่วยเสริมชื่อเสียงของเขาอีกระดับหนึ่ง ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้คนของปราสาทนภาโดยสายเลือด แต่ชื่อเสียงของเขาก็เทียบได้กับอวี้ซ่านซินและไผ่เดียวดายที่ถือเป็นที่สุดของคนในรุ่นนี้
เมื่อเรื่องราวของหานเซิ่นไปถึงแนร์โรว์มูน ชาวรีเบทมากมายก็ตกตะลึงกับข่าวนี้
รีเบทบางคนนั้นไม่ชอบใจที่อี๋ซาตัดสินใจเคลื่อนย้ายแนร์โรว์มูน แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มจะเปลี่ยนใจ พวกเขาไม่ได้รู้สึกเกลียดที่ต้องถูกย้ายมาที่นี่อีกแล้ว
“หานเซิ่นเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของราชินีแห่งมีด ราชินีแห่งมีดละเมิดเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงเพื่อช่วยเขาและเคลื่อนย้ายแนร์โรว์มูนมาเข้าร่วมกับปราสาทนภา ดังนั้นหานเซิ่นเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา ในอนาคตหานเซิ่นจะทำงานเพื่อรีเบท เขาจะอวยพรให้กับพวกเรา บางทีพวกเราก็อาจจะมีโอกาสได้วิวัฒนาการเช่นกัน” รีเบทหลายคนคิดในทำนองนี้
หลังจากที่เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้น ความกดดันที่เผ่ารีเบทได้รับจากการตัดสินใจของอี๋ซาก็หายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ราชาหลายคนคัดค้านการตัดสินใจของอี๋ซา แต่ตอนนี้พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องที่จะให้หานเซิ่นมาช่วยอวยพรให้กับพวกเขา
อี๋ซาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงซุบซิบเหล่านั้น เธอได้เห็นการอวยพรของหานเซิ่น และเธอก็รู้ว่ามันบางสิ่งที่มหัศจรรย์ แต่เธอไม่คิดว่าพลังนั้นจะเปลี่ยนให้ทุกคนเป็นระดับเทพเจ้า
ในมุมมองของอี๋ซา ผู้คนที่ได้รับการอวยพรจากหานเซิ่นนั้นเข้าใกล้การกลายเป็นระดับเทพเจ้าอยู่แล้ว ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีโอกาสจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า มันก็จะไม่สร้างความแตกต่างอะไร ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับการอวยพรจากหานเซิ่นสักกี่ครั้ง
อี๋ซารู้ว่าหานเซิ่นจะไม่ปฏิเสธถ้าเธอขอเขาตรงๆ แต่เธอไม่คิดที่จะขอเขาในตอนนี้
มันไม่ใช่ว่าเธอภาคภูมิเกินกว่าที่จะไปขอความช่วยเหลือจากลูกศิษย์ของตัวเอง แต่มันเป็นเพราะว่าในเผ่ารีเบทยังไม่มีใครที่เหมาะสมจะได้รับการอวยพร
เผ่ารีเบทถือเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ชั้นสูง แต่ระดับของพวกเขายังค่อนข้างต่ำ พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากคางคกหยกและเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงเพื่อกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง ตอนนี้เมื่ออี๋ซากลายเป็นระดับเทพเจ้า เธอก็ถือเป็นผู้สนับสนุนที่ใหญ่ที่สุดของเผ่ารีเบท
เธอเป็นระดับเทพเจ้าเพียงคนเดียวในเผ่ารีเบท เผ่ารีเบทมีคนที่เข้าใกล้ระดับเทพเจ้าอย่างราชากงล้อจันทราอยู่ แต่เขาแก่แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าไหมหลังจากที่ได้รับการอวยพร และถึงเขาจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้สำเร็จ เขาก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานพอที่จะทำอะไรให้กับเผ่ารีเบท
อี๋ซาไม่อาจจะหยุดคิดเกี่ยวกับความจริงที่เผ่ารีเบทไม่มีบุคคลที่พิเศษอย่างเลอตู้หรือบาร์อยู่ มันทำให้เธอรู้สึกปวดหัว ขณะที่อี๋ซากำลังทำงานอยู่ เป่าเอ๋อก็วิ่งเข้ามาในห้องโถงและกระโดดเข้าหาเธอ
“พี่สาวราชินี!”
“เป่าเอ๋อ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?” อี๋ซาลูบหัวของเป่าเอ๋อด้วยรอยยิ้ม
เป่าเอ๋อเคยอาศัยอยู่ในปราสาทร่วมกับอี๋ซา อี๋ซาชอบเป่าเอ๋อมากและมักจะตามใจเธอ
“พ่อพาหนูมาที่นี่” เป่าเอ๋อพูดด้วยรอยยิ้ม
อี๋ซามองไปข้างหน้าและเห็นหานเซิ่นเดินเข้ามาพร้อมกับยามที่เฝ้าประตู เธอบอกกับยามเฝ้าประตู “ปล่อยให้เขาเข้ามา!”
“ท่านราชินี” หานเซิ่นโค้งคำนับ
อี๋ซามองไปที่หานเซิ่นและสังเกตเห็นร่างกายที่ผอมแห้งของเขา
“ทำไมเจ้าไม่พักผ่อน? เจ้าไม่ควรจะออกมาข้างนอกในสภาพแบบนี้”
หานเซิ่นรู้ว่าอี๋ซากำลังพูดถึงเรื่องที่เขาเพิ่งจะอวยพรให้กับก็อตสปิริตทัช เขายิ้มและพูด
“ข้าแค่จะไปฟังเผ่าเวรี่ไฮอธิบายเกี่ยวกับวิชาจีโน ข้าถูกผลักดันให้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำบางสิ่งที่ขัดใจของข้า”
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็พูดต่อ “ร่างกายของข้ายังคงไม่พื้นตัว มันคงต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีเต็มๆ แต่ท่านราชินีจะเลือกรีเบทสัก 2 คนมาให้กับข้าก็ได้ และข้าจะหาเวลาอวยพรให้กับพวกเขา ถึงแม้พรสวรรค์ของพวกเขาจะไม่สูงพอจนกลายเป็นระดับเทพเจ้า แต่มันก็ยังจะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม”
อี๋ซาพึงพอใจมากกับเรื่องนั้น หานเซิ่นพูดเรื่องนี้ขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องถูกขอ เธอเชื่อว่าการตัดสินใจของตัวเองถูกต้อง
‘น่าเสียดายที่ไม่มีใครในที่นี่หาตำแหน่งของผู้คนได้ ตอนนี้มันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะตามหาตัวดอลลาร์’ อี๋ซาคิดกับตัวเอง เธอยังคงไม่ปล่อยว่างความบาดหมางของเธอกับดอลลาร์ไป
แต่อี๋ซาไม่ได้ตามหาดอลลาร์เพราะความบาดหมางเพียงอย่างเดียว เธออยากจะเอาฝักมีดของอัลฟ่าเผ่ารีเบทกลับคืนมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น