Super God Gene 2593-2599

 ตอนที่ 2593

 

หานเซิ่นยิงแส้เหล็กทองแดงสีม่วงออกไปราวกับลูกธนูอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาใส่พลังเข้าไปมากยิ่งกว่าเดิม ในจังหวะที่แส้เหล็กถูกปล่อยจากสายธนู มันก็เทเลพอร์ตและหายลับไป


 


“การเทเลพอร์ตใช้ไม่ได้ผลกับข้า นอกซะจากเจ้าจะเทเลพอร์ตโดยไม่สร้างการกระเพื่อมในอวกาศ” เหมิงเลี่ยพูด หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปในอากาศ


 


แส้เหล็กทองแดงสีม่วงปรากฏขึ้นในบริเวณที่เหมิงเลี่ยยื่นมือออกไป


 


ครั้งนี้เหมิงเลี่ยไม่ได้ใช้มีดหัวสิงโตเพื่อทำลายมัน เขาใช้มือจับแส้เหล็กทองแดงสีม่วงแทน เขาต้องการจะนำมันมาดูใกล้ๆเพื่อดูว่ามันเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าแบบไหนกันแน่


 


แต่เมื่อมือของเหมิงเลี่ยกำลังจะจับแส้เหล็กทองแดงสีม่วง แส้เหล็กก็เปลี่ยนเส้นทางและหายไปจากสายตาของเขาอีกหนหนึ่ง


 


ในตอนที่เหมิงเลี่ยเห็นแส้เหล็กทองแดงสีม่วงอีกครั้ง อาวุธก็ปักเข้าไปในอกของเขาแล้ว


 


“การยิงนั่นไม่เลวเลย” เหมิงเลี่ยพูดอย่างไม่ได้กังวลอะไร เมื่อดูจากการยิงแส้เหล็กทองแดงสีม่วงของหานเซิ่นในตอนที่ปะทะกับมีดแสงสีทองแล้ว เหมิงเลี่ยก็มั่นใจว่ามันไม่สามารถสร้างความเสียหายต่อร่างกายแห่งราชันโกลโซลเยอร์ของเขาได้ แต่หลังจากที่พูดจบ สีหน้าของเหมิงเลี่ยก็เปลี่ยนไป เขาก้มลงไปมองและเห็นแส้เหล็กเจาะทะลุหัวใจของเขา เลือดสีทองเริ่มไหลออกมาจากร่างกายของเขา


 


“นั่นเป็นไปได้ยังไง?” เหมิงเลี่ยไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ร่างกายแห่งราชันโกลโซลเยอร์ของเขาควรจะไม่ได้รับความเสียหายจากอาวุธระดับเทพเจ้าธรรมดาๆ นอกจากนั้นหานเซิ่นก็เป็นแค่ระดับราชันเท่านั้น ถึงแม้หานเซิ่นจะใช้อาวุธระดับเทพเจ้า เขาก็ไม่ควรจะเจาะทะลวงร่างกายแห่งราชันโกลโซลเยอร์ของเหมิงเลี่ยได้


 


เหมิงเลี่ยรู้สึกเจ็บปวดบริเวณอก ซึ่งนั่นทำให้เขารู้ว่าบาดแผลที่ได้รับนั้นเป็นของจริงไม่ใช่ภาพลวงตา


 


“นอกซะจากว่า…” ความเป็นไปได้หนึ่งผุดขึ้นในจิตใจของเหมิงเลี่ย เขาเอื้อมมือไปจับด้ามของแส้เหล็กทองแดงสีม่วง

“นอกซะจากว่านี่จะเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าขั้นบัตเตอร์ฟลาย… และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เขาเจาะทะลวงร่างกายแห่งราชันโกลโซลเยอร์ของเราได้”


 


ดวงตาของเหมิงเลี่ยลุกโชนอย่างสว่างไสว เขาดึงแส้เหล็กทองแดงสีม่วงออกมาจากอกของตัวเอง


 


เมื่อแส้เหล็กทองแดงสีม่วงถูกดึงออกมา บาดแผลบริเวณอกของเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีร่องรอยของบาดแผลหลงเหลืออยู่เลย


 


ในตอนที่หานเซิ่นเห็นแส้เหล็กทองแดงสีม่วงปักเข้าไปในหัวใจของเหมิงเลี่ย เขาก็รู้สึกดีใจ แต่เขามองโลกในแง่ดีเกินไป และการมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปก็ทำให้เขาขมวดคิ้ว เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าจริงๆแล้วยอดฝีมือระดับเทพเจ้านั้นแข็งแกร่งถึงขนาดไหนกันแน่


 


“ขอบคุณที่มอบอาวุธระดับเทพเจ้าที่ทรงพลังแบบนี้ให้กับข้า ถ้าเจ้าใจกว้างถึงขนาดนี้ ทำไมเจ้าไม่มอบโล่เมดูซ่าส์มาให้กับข้าด้วยเลยล่ะ?”

เหมิงเลี่ยถือแส้เหล็กทองแดงสีม่วงอยู่ในมือ หลังจากนั้นแสงสีทองก็เข้าห่อหุ้มแส้เหล็กทองแดงสีม่วงและย้อมสีของมันให้กลายเป็นสีทอง


 


ร่างกายแห่งราชันโกลทองแดงสีม่วงสามารถเปลี่ยนสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าให้กลายเป็นอาวุธทองคำ พลังนั้นใช้ได้ผลกับอาวุธระดับเทพเจ้าเช่นเดียวกัน มันไม่สามารถเปลี่ยนธาตุของอาวุธระดับเทพเจ้าได้ แต่เหมิงเลี่ยสามารถใช้มันเพื่อยึดครองอาวุธระดับเทพเจ้าชนิดต่างๆได้


 


ขณะที่แส้เหล็กทองแดงกำลังเปลี่ยนเป็นสีทอง จู่ๆใบหน้าของเหมิงเลี่ยก็เปลี่ยนไป เขาเห็นว่าแส้เหล็กทองแดงสีม่วงไม่ได้เปลี่ยนสีทองอีกต่อไป มันกำลังกลับไปเป็นสีม่วงแทน สัญลักษณ์ลึกลับที่สลักอยู่บนแส้เหล็กนั้นเรืองแสงขึ้นมาและมันก็ระเบิดใส่มือของเหมิงเลี่ย


 


“นั่นเป็นไปได้ยังไง? นี่มัน…นี่มันอาวุธขั้นทรูก็อต?” เหมิงเลี่ยมองไปที่มือของเขา ส่วนเนื้อหนังที่สัมผัสกับแส้เหล็กทองแดงสีม่วงไม่ได้เป็นทองคำที่แวววาวอีกต่อไป มันเป็นแค่ผิวหนังธรรมดา


 


อาวุธระดับเทพเจ้าที่ไม่มีใครควบคุมสามารถทำลายพลังของร่างกายแห่งราชันโกลโซลเยอร์ได้ นั่นเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ


 


เหมิงเลี่ยเงยหน้าขึ้นมาและจ้องไปที่แส้เหล็กทองแดงสีม่วงที่ตอนนี้กลับไปอยู่ในมือของหานเซิ่น เขายิ้มออกมาและพูด

“อาวุธขั้นทรูก็อต… มันเป็นอาวุธขั้นทรูก็อต… หานเซิ่น เจ้าเป็นคนที่โชคดีมากๆ เจ้ามีอาวุธขั้นทรูก็อตอยู่ถึง 2 อันด้วยกัน ยอดฝีมือมากมายนั้นต้องแสวงหาอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ได้มาสักอัน แต่เจ้าที่เป็นแค่ระดับราชันกลับมีพวกมันอยู่ถึง 2 อัน”


 


“ถ้าเจ้ารู้ว่าข้าเป็นคนโชคดี ทำไมเจ้าถึงยังยืนกรานที่จะหาเรื่องข้าอยู่เรื่อยๆ? สิ่งที่เจ้าทำไม่ใช่ว่ามันขัดกับเจตจำนงของพระเจ้าหรอกหรอ?” หานเซิ่นพูด


 


เหมิงเลี่ยหัวเราะ แสงสีทองสว่างไสวในมือของเขา เขาแพร่กระจายพลังสีทองกลับไปที่มือและพูด

“เส้นทางสู่การวิวัฒนาการนั้นทำให้พวกเราทั้งหมดต้องต่อสู้กันเพื่อไปสู่ท้องฟ้า การวิวัฒนาการของทุกคนถูกสร้างขึ้นบนกระดูกของคู่ต่อสู้ สิ่งที่เจ้ากินและสิ่งที่เจ้าใช้มาจากสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยกว่า ถ้าเจ้าไม่พยายามต่อสู้เพื่อขึ้นไป เจ้าก็จะเป็นแค่เศษอาหารบนถนนที่จะถูกสิ่งมีชีวิตอื่นกลืนกิน ในเมื่อกฎของจักรวาลเป็นแบบนั้น ทำไมข้าถึงต้องกลัวสิ่งที่จะฉุดรั้งข้าเอาไว้ด้วย?”


 


“เจ้าเป็นคนโชคดี ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะใช้ความโชคดีของเจ้าให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ด้วยอาวุธขั้นทรูก็อต 2 อัน เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงจะทรงอำนาจยิ่งขึ้นไปอีก นั่นคือโชคของข้าและโชคของเอ็กซ์ตรีมคิง”

เหมิงเลี่ยปลดปล่อยแสงแห่งเทพสีทองออกมาในวงกว้าง ทั้งระบบจักรวาลเปลี่ยนเป็นสีทอง ทั้งโลกสั่นสะเทือนไปพร้อมกับเขา มันเหมือนกับว่าโลกใบนี้กำลังตอบสนองต่อสิ่งที่เขาเพิ่งจะพูด


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะเป็นศัตรูกับเหมิงเลี่ย แต่เขาก็ยอมรับว่าชายคนนี้พูดถูก ในจักรวาลแห่งนี้ไม่ว่าจะใบหญ้า ขอนไม้ ก้อนหินหรือหยดน้ำ พวกมันต่างมีชีวิต ไม่ว่าจะเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงหรือมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าพวกเขาต้องการจะมีชีวิตรอด พวกเขาก็ต้องทำด้วยการยืนบนเลือดและกระดูกของผู้อื่น ถ้าความสำเร็จขึ้นอยู่กับโชคเพียงอย่างเดียว อย่างนั้นแล้วการต่อสู้เพื่อไปให้สูงขึ้นก็จะไม่มีความหมายอะไร


 


“เจ้าพูดถูก” หานเซิ่นใส่แส้เหล็กทองแดงสีม่วงบนธนูงูหกคอร์อีกครั้ง เขาผลักดันวิชากายหยก วิชาชีพจรและเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูงจนถึงขีดจำกัด


 


ทั้งร่างกายดูเหมือนจะสั่นไหวด้วยกำลัง เลือดพลุ่งพล่านผ่านเส้นเลือดของเขาและหัวใจของเขาก็เหมือนกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ร่างกายของเขาเริ่มจะปูดบวม และเขาก็ดูตื่นเต้นมากๆ


 


เสือคลุมขนนกเรืองแสงสีรุ้งและแพร่ไปปกคลุมแส้เหล็กทองแดงสีม่วง สัญลักษณ์ที่สลักอยู่บนแส้เหล็กก็ดูเหมือนจะสว่างขึ้นมา เหมือนกับว่าพวกมันเปลี่ยนกลายเป็นสัญลักษณ์ลึกลับแห่งแสงที่ห้อมล้อมแส้เหล็กทองแดงสีม่วง


 


แม้แต่หูบนหัวของหานเซิ่นและหางของเขาก็เรืองแสงสีม่วง


 


เมื่อเห็นหานเซิ่นและแส้เหล็กทองแดงสีม่วง ความตื่นเต้นของเหมิงเลี่ยก็เพิ่มขึ้นสูงจนทะลุเพดาน

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว… ในที่สุดข้าก็เข้าใจ! อาวุธนั่นเป็นของเผ่าจิ้งจอก มันคือแส้เหล็กคิวปิด! ไม่แปลกใจเลยที่มันสร้างความเสียหายกับร่างกายแห่งราชันโกลโซลเยอร์ของข้าได้”


 


“แส้เหล็กคิวปิด?” หานเซิ่นคิดว่าชื่อนั่นแปลกๆ


 


“แส้เหล็กคิวบิดถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแส้เหล็กเทพเสน่หา ข้าคิดว่ามันถูกทำลายไปในตอนที่ผู้อาวุโสของเผ่าจิ้งจอกเข้าไปในจีโนฮอลล์ ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะยังอยู่ และตอนนี้มันก็มาอยู่ในการครอบครองของเจ้า พระเจ้ากำลังช่วยเอ็กซ์ตรีมคิง ด้วยแส้เหล็กเทพเสน่หา ชื่อเสียงของเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก”

เหมิงเลี่ยหัวเราะและพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่มองไปที่แส้เหล็กทองแดงสีม่วง


ตอนที่ 2594 โล่เมดูซ่าส์เกซ


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้บางสิ่งเกี่ยวกับแส้เหล็กเทพเสน่หา แต่เจ้ารู้หรือว่าพลังของมันคืออะไร?”

หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัวๆ เหมิงเลี่ยอาจจะบอกเขาได้ว่าแส้เหล็กทองแดงสีม่วงนั้นมีพลังแบบไหนกันแน่


 


เหมิงเลี่ยมองหานเซิ่นราวกับรู้ว่าหานเซิ่นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพูดออกมา

“เจ้าคงจะต้องผิดหวังแล้ว แส้เหล็กเทพเสน่หาเป็นอาวุธเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นอาวุธเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุด มันแข็งแกร่งก็เพราะมันมีพลังในการเสริมความมีเสน่ห์ให้กับผู้ใช้ อัลฟ่าของเผ่าจิ้งจอกใช้มันเพื่อทำให้ทุกคนหลงเสน่ห์ ถ้าใช้มันอย่างถูกวิธี มันก็จะทำให้เผ่านับพันยอมเชื่อฟัง และที่ข้าบอกว่ามันเป็นอาวุธเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุด นั่นก็เป็นเพราะมันไม่มีพลังทำลายล้าง”


 


“เจ้าจะบอกว่าเพราะมันไม่มีพลังทำลายล้าง มันจึงเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นไม่เชื่อ


 


เขายิงมันออกไปใส่เหมิงเลี่ย คลื่นกระแทกเกิดขึ้นในอวกาศและแส้เหล็กก็หายลับไป


 


ในตอนที่หานเซิ่นใช้แส้เหล็กจัดการกับเจ้ามอนสเตอร์ที่อยู่ในท้องของแมงมุมหลุมดำ มันเผยพลังที่แท้จริงออกมา หานเซิ่นจึงไม่เชื่อว่ามันจะขาดพลังทำลายล้าง


 


เมื่อการโจมตีของหานเซิ่นออกมา เหมิงเลี่ยก็ฟันใส่ไปที่แส้เหล็ก การโจมตีของเขาส่งแส้เหล็กทองแดงสีม่วงพุ่งกลับไป


 


สีหน้าของหานเซิ่นเปลี่ยนไป เขายื่นมือออกไปเพื่อจะจับแส้เหล็กเอาไว้ แต่พลังของอาวุธยังคงอยู่ หานเซิ่นพยายามจะจับมันเอาไว้ แต่แส้เหล็กก็ยังพุ่งมาถูกอกของเขา หานเซิ่นถูกส่งกระเด็นออกไปราวกับอุกกาบาตร เขาถูกตรึงกับภูเขาลูกหนึ่ง หานเซิ่นก้มหัวลงและมองแส้เหล็กที่ปักอยู่ที่อก ก่อนหน้านี้แส้เหล็กเพิ่งจะปักอกของเหมิงเลี่ยไป เขาไม่ได้คิดว่ากรรมจะตามสนองเร็วถึงขนาดนี้


 


หานเซิ่นจับด้ามของแส้เหล็กเอาไว้แน่นและพยายามจะดึงมันออกมา แต่ก่อนที่เขาจะออกแรง ร่างกายสีทองของเหมิงเลี่ยก็มาปรากฏต่อหน้าเขา เหมิงเลี่ยโจมตีด้วยมีดหัวสิงโตทอง มีดแสงสีทองดูเหมือนกับว่ากำลังจะตัดดวงดาวจนขาดครึ่ง


 


นกแดงน้อยร้องคำราม มันพ่นไฟออกมาเป็นทะเลเพลิงที่โหมกระหน่ำลงมาใส่เหมิงเลี่ย มันพยายามจะหยุดเหมิงเลี่ยจากการโจมตีหานเซิ่น


 


แต่นกแดงน้อยเป็นแค่เทพเจ้าขั้นพริมิทีฟเท่านั้น และมีดในมือขวาของเหมิงเลี่ยก็เป็นระดับเดียวกัน เขารวบรวมพลังให้กลายเป็นโล่ที่ปกคลุมท้องฟ้าเพื่อดับเปลวไฟของนกแดงน้อย


 


เมื่อเห็นแบบนั้น คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ถอนหายใจออกมา

“ที่สุดแล้วหานเซิ่นก็ยังต้องตาย มันจะดีกว่าถ้าเขาแค่ฆ่าไป๋อี้ เขาอาจจะถูกไว้ชีวิต แต่ตอนนี้เขามีโล่เมดูซ่าส์เกซขั้นทรูก็อตและอาวุธเผ่าพันธุ์ของเผ่าจิ้งจอก เขาจะต้องตาย”


 


ตูม!


 


มีดแสงสีทองที่น่ากลัวถูกปล่อยออกไปและดาวทั้งดวงก็ระเบิด แรงระเบิดที่เกิดจากมีดแสงสีทองนั้นสว่างไสวและคลื่นกระแทกก็ซัดไปทั้งระบบจักรวาล


 


“หานเซิ่น” อี๋ซากำลังต่อสู้กับคุณหญิงมิร์เรอร์ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถไปช่วยได้ เมื่อเธอเห็นแรงระเบิดนั่น เธอก็หน้าซีดไป


“กัปตัน! มันจบสิ้นแล้ว” จากในระยะที่ไกลออกไป ภายในวาฬขาวโจรสลัดทุกคนตกตะลึง


 


แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนหนึ่งก็จะถูกฆ่าตาย ถ้าพวกเขาถูกพลังมหาศาลอแบบนั้นเข้า แถมหานเซิ่นยังไม่ใช่ระดับเทพเจ้า เขาแค่มีสมบัติระดับเทพเจ้าเท่านั้น


 


เหล่าโจรสลัดกำลังคิดว่าควรจะคุกเข่ายอมแพ้ดีไหม ถ้าพวกเขาทำแบบนั้น มันก็โอกาสที่พวกเขาจะรอด ส่วนทางด้านอัศวินเอ็กซ์ตรีมคิงที่ถูกจับตัวเป็นเฉลยรู้สึกดีใจ


 


“หานเซิ่นตายไปแล้ว และพวกเจ้าจะเป็นรายต่อไป!” หนึ่งในอัศวินของเอ็กซ์ตรีมคิงพูดข่มขู่เหล่าโจรสลัด


 


อัศวินเอ็กซ์ตรีมคิงที่พูดออกมาถูกตบลงไปนอนกับพื้น หลังจากนั้นเป่าเอ๋อก็เช็ดมือราวกับว่าเธอเพิ่งจะสัมผัสกับสิ่งสกปรก


 


อัศวินเอ็กซ์ตรีมคิงคนนั้นกลิ้งไปกับพื้นขณะที่กุมใบหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ ฟันของเขาหักและขากรรไกรของเขาก็ถูกทำลาย


 


อัศวินเอ็กซ์ตรีมคิงคนอื่นไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก พวกเขาเกือบจะลืมไปเลยว่าปีศาจตัวน้อยยังคงอยู่บนยาน


 


เป่าเอ๋อมองไปที่เหล่าอัศวินของเอ็กซ์ตรีมคิง พวกเขาทุกคนก็รีบก้มหัวลง


 


“พ่อยังไม่ตาย” เป่าเอ๋อพูดด้วยความดูถูก หลังจากนั้นเธอก็หันกลับไปมอง


 


เหล่าอัศวินเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ได้พูดอะไรเพื่อโต้แย้ง แต่พวกเขาคิดกับตัวเองว่า ‘หานเซิ่นมีแค่อาวุธระดับเทพเจ้าไม่กี่อย่าง เขาจะไปต่อกรกับเหมิงเลี่ยได้ยังไง? เขาจะต้องตาย และรายต่อไปก็จะเป็นเจ้า นางปีศาจน้อย’


 


หลังจากผ่านไปสัก เมื่อสว่างไสวเริ่มจะมัวลงไปแล้ว จู่ๆฟางชิงอวี่ก็ตะโกนขึ้นมา “หานเซิ่นยังไม่ตาย!”


 


เหล่าโจรสลัดและอัศวินของเอ็กซ์ตรีมคิงรีบหันไปมอง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง พวกเขาเห็นหานเซิ่นลอยตัวอยู่ในอวกาศขณะที่กำลังถือโล่ที่ปกป้องทั้งร่างกาย เนื่องจากความจริงที่ดวงดาวถูกระเบิดไป เสือคลุมขนนกของเขาก็ดำลงไปเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บหนักอะไร


 


บาดแผลที่เลวร้ายที่สุดที่เขาได้รับยังคงเป็นบาดแผลที่เกิดจากแส้เหล็กที่ปักอยู่บนอกของเขา


 


“ลืมไปเลยว่าเจ้ามีโล่เมดูซ่าส์เกซอยู่ แต่โล่เมดูว่าส์เกซนั้นไม่ใช่อาวุธเผ่าพันธุ์ มันจะไม่ทำตามคำสั่งของเจ้า และเจ้าจะใช้มันอย่างแส้เหล็กเทพเสน่หาไม่ได้ มันคงจะเป็นอะไรที่น่ารำคาญถ้าเจ้าทำได้” ดวงตาของเหมิงเลี่ยลุกเป็นไฟขณะที่เขามองลงไปที่โล่เมดูซ่าเกซ


 


หานเซิ่นไอและกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย เขามองไปที่เหมิงเลี่ยและพูด “เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าใช้มันไม่ได้?”


 


“โล่เมดูซ่าส์เกซเป็นอาวุธขั้นทรูก็อตของอัลฟ่าเผ่ากาน่า” เหมิงเลี่ยพูดอย่างเย้ยหยัน

“เมื่อก่อนมันเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าที่ติดหนึ่งในสิบของจักรวาลจีโน พลังของมันเทียบได้กับสถานล้างบาปแห่งสรวงสวรรค์ที่เป็นอาวุธเผ่าพันธุ์ของเผ่ากาน่า แต่มันมีความแตกต่างที่ใหญ่หลวงระหว่างอาวุธขั้นทรูก็อตกับอาวุธเผ่าพันธุ์ ในนัยหนึ่งอาวุธเผ่าพันธุ์ถือเป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบหนึ่ง พวกมันคิดและทำการตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ถ้าพวกมันยอมรับผู้ใช้ ผู้ใช้ก็จะเปิดใช้พลังของพวกมันได้ ถึงแม้ผู้ใช้จะมีระดับต่ำก็ตาม แต่อาวุธขั้นทรูก็อตนั้นแตกต่างออกไป ถ้าไม่มีพลังขั้นทรูก็อต เจ้าก็จะใช้พลังของอาวุธขั้นทรูก็อตไม่ได้ ถ้ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นต่ำมีธาตุเดียวกับอาวุธขั้นทรูก็อต พวกเขาก็อาจจะใช้พลังของมันได้เล็กน้อย แต่เจ้าไม่ใช่ระดับเทพเจ้า และพลังของเจ้าก็เข้ากันไม่ได้กับโล่เมดูซ่าส์เกซ ดังนั้นเจ้าไม่มีทางเปิดใช้พลังของมันได้ เจ้าได้ใช้มันเป็นเหมือนกับโล่ธรรมดาๆเท่านั้น”


 


“น่าเสียดาย ถึงแม้โล่เมดูซ่าส์เกซจะเป็นโล่ แต่พลังของมันก็ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การป้องกัน”

เหมิงเลี่ยพูดทั้งหมดนี้ หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมพลังไว้ในมีดอีกครั้ง ตอนนี้มีดหัวสิงโตทองมีแสงสีทองที่แปลกประหลาด มันเหมือนกับว่าจักรวาลกำลังจะถูกตัดขาดโดยแสงสีทองนี้


 


เมื่อเห็นว่าเหมิงเลี่ยกำลังจะปลดปล่อยมีดแสงมา ใบหน้าของหานเซิ่นก็ยังคงเยือกเย็น เขาจับโล่เมดูซ่าส์เกซเอาไว้แน่น ขณะที่มองดูมีดแสงที่มีพลังมหาศาลนั้น พลังในร่างกายของเขาก็หลั่งไหลเข้าไปในโล่เมดูซ่าส์เกซอย่างบ้าคลั่ง


 


น่าแปลกที่จู่ๆก็มีแสงปรากฏในดวงตาที่ปิดอยู่ของผู้หญิงที่สลักอยู่บนโล่


ตอนที่ 2595 ดวงตาที่ว่างเปล่า


 


“เป็นไปไม่ได้” เมื่อเหมิงเลี่ยเห็นดวงตาของผู้หญิงบนโล่เริ่มจะเรืองแสงออกมา ใบหน้าของเขาก็ซีดไป


 


ในตอนที่เผ่ากาน่าจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์เมื่อนานมาแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อื่นเพื่อแย่งชิงตะเกียง ในยุคสมัยนั้นมันยังมีตะเกียงจีโนหลายอันที่เหลือว่างอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเผ่ากาน่าไม่แข็งแกร่ง ภายหลังอัลฟ่าของกาน่าได้ใช้สถานล้างบาปแห่งสรวงสวรรค์และโล่เมดูซ่าส์เกซเพื่อสยบเผ่าพันธุ์ต่างๆ มันมีน้อยเผ่าพันธุ์นักที่จะต่อกรกับพวกเขาได้


 


แม้แต่คนอย่างแอนเชี่ยนท์วอเทอร์ก็อตก็ยังไม่สามารถเข้าไปในประตูของจีโนฮลล์ได้ แต่อัลฟ่าของกาน่าต่อสู้อยู่ภายในนั้นเป็นเวลาหลายวันก่อนที่เธอจะพ่ายแพ้ นั่นพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเธอ


 


สำหรับเผ่าพันธุ์อื่นๆ อาวุธระดับเทพเจ้าที่ทรงพลังที่สุดจะเป็นอาวุธเผ่าพันธุ์ แต่สำหรับเผ่ากาน่าแล้ว อาวุธเผ่าพันธุ์ของพวกเขาก็คือสถานล้างบาปแห่งสรวงสวรรค์ แต่อาวุธระดับเทพเจ้าที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขานั้นคือโล่เมดูซ่าส์เกซ เพราะโล่เมดูซ่าส์เกซ อัลฟ่าของพวกเขาถึงสามารถสยบเผ่าพันธุ์อื่นได้


 


เหมิงเลี่ยเคยได้ยินเกี่ยวกับความทรงพลังของโล่เมดูซ่าส์เกซ แต่เขาไม่เคยเห็นมันกับตาตัวเอง ถ้าเขาเลือกได้ เขาก็ขอเลือกที่จะไม่มองดูพลังที่น่าสะพรึงกลัวของโล่เมดูซ่าส์เกซ เขาไม่อยากจะตกเป็นเป้าหมายของมัน


 


“ตายซะ!” เหมิงเลี่ยกัดฟันและคำรามออกมา เขาปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา มีดแสงที่น่ากลัวพุ่งออกไปด้วยพลังมหาศาล เขาต้องการจะฆ่าหานเซิ่นก่อนที่อีกฝ่ายจะเปิดใช้งานโล่เมดูซ่าส์เกซได้ เหมิงเลี่ยจะไม่ยอมปล่อยให้อาวุธนั้นถูกเปิดใช้งาน


 


มีดแสงสีทองเป็นเหมือนกับคอสมิกออโรร่าที่ผ่าท้องฟ้าและทำลายผืนดิน มันไม่ใช่บางสิ่งที่โล่อันหนึ่งจะป้องกันได้ พลังที่น่ากลัวนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง หานเซิ่นจะถูกฆ่าตาย ถึงแม้เขาจะหลบอยู่หลังโล่ก็ตาม


 


หานเซิ่นไม่มีทางเลือกอื่น เขากัดฟันและใส่พลังทั้งหมดเข้าไปในโล่เมดูซ่าส์เกซ เขาเดิมพันทุกอย่างกับมัน


 


ผู้คนในวาฬขาวตกตะลึง พลังที่เหมิงเลี่ยปลดปล่อยออกมานั้นเป็นอะไรที่น่ากลัว พลังงานมหาศาลที่เขาใช้นั้นมากพอที่จะทำลายล้างทั้งเผ่าพันธุ์ มันเป็นเหมือนกับการลงโทษจากเทพ


 


“เหมิงเลี่ยแข็งแกร่งเกินไป ชื่อเสียงของเขาไม่ใช่ของปลอม เขาเหนือกว่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าของเผ่าพันธุ์อื่นมาก”


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ลุงสี่ของพวกเราเป็นคนที่พิเศษมากๆ”


 


เหล่าอัศวินเอ็กซ์ตรีมคิงรู้สึกดีใจ พวกเขาหวังว่าการโจมตีของเหมิงเลี่ยจะฆ่าหานเซิ่นและช่วยพวกเขาไปจากพวกหานเซิ่น


 


ส่วนเหล่าโจรสลัดและฟางชิงอวี่ต่างก็หวาดกลัว ถึงแม้จะมีพวกเขาอยู่กันเป็นล้านคน การโจมตีนั่นก็มีพลังพอที่จะทำลายพวกเขาทั้งหมดให้กลายเป็นผุยผง


 


เหล่าโจรสลัดเดินทางไปรอบๆกาแล็กซี่เป็นเวลาหลายปี และพวกเขาก็ไม่เคยเห็นพลังแบบนี้มาก่อน พวกเขาสั่นรัวขณะที่คิดในใจ

‘มันจบสิ้นแล้ว… มันจบสิ้นแล้ว… ดูเหมือนว่าเขากำลังจะต้องตายที่นี่… กัปตันเป็นคนใจดี เขาไม่เคยทำไม่ดีต่อพวกเรา ถ้าพวกเราต้องตกอยู่ใต้กำมือของเอ็กซ์ตรีมคิง มันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะไว้ชีวิตพวกเราไหม’


 


ใบหน้าของกู่ชิงเฉิงและจันทราสวรรค์ดูแย่ มีดแสงที่น่ากลัวนั่นทรงพลังเกินกว่าที่พวกเธอจะหยั่งถึง


 


หนิงเยวี่ยกอดเป่าเอ๋อขณะที่ร้องไห้ออกมา “นี่เขาจะฆ่าพวกเราด้วยไหม? ฉันยังไม่อยากตาย!”


 


นกแดงน้อยยังคงพ่นเพลิงฟินิกซ์ออกมา ไฟของมันกลายเป็นทะเลเพลิงที่พยายามจะสยบมีดแสงสีทอง แต่ทะเลเพลิงของมันไม่สามารถหยุดมีดแสงเอาไว้ได้ พวกมันระเบิดราวกับดอกไม้ไฟเมื่อสัมผัสกับมีดแสง และมีดแสงก็ไม่มีวี่แววที่จะชะลอความเร็วลงเลย


 


สีหน้าของอี๋ซาแข็งกร้าว มีดเขี้ยวในมือซ้ายของเธอแกว่งผ่านอากาศไปทางหานเซิ่น รอยแยกของอวกาศปรากฏขึ้นถัดไปจากตัวเขา


 


ถ้าหานเซิ่นผ่านรอยแยกนั้นเข้าไป เขาก็จะสามารถหลบการโจมตีของเหมิงเลี่ยได้


 


แต่หานเซิ่นไม่เห็นรอยแยกอวกาศที่เกิดขึ้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ พวกมันแดงเกินไป มันดูเป็นอะไรที่น่ากลัว เขาจ้องมองไปที่เหมิงเลี่ย


 


ที่หานเซิ่นยังคงไม่ขยับนั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะหนีไป เขาเพียงแค่ทำไม่ได้ พลังทั้งหมดในร่างกายของเขาถูกดูดไปโดยโล่เมดูซ่าส์เกซ


 


ในจังหวะที่โล่เมดูซ่าส์เกซสว่างไสวขึ้นมา หานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่าพลังของเขาเป็นม้าป่าที่หนีจากบังเหียน พวกมันพลุ่งพล่านเข้าไปในโล่เมดูซ่าส์เกซ


 


ร่างกายของเขาดูเหมือนจะถูกดูดจนแห้ง พลังของทั้ง 4 วิชาจีโนถูกดูดออกไปในหนึ่งวินาที


 


หานเซิ่นดูผอมแห้งลงไปอย่างเห็นได้ชัด เขาดูเหมือนกับโครงกระดูก เขากลายเป็นเหมือนกับเปลือกไม้ที่แห้งเหือด กล้ามเนื้อของเขายุบลงไปและผิวหนังของเขาก็แน่นจนติดกับกระดูก เขากลายเป็นมนุษย์ที่ถูกดูดจนแห้ง


 


แม้แต่แสงสีรุ้งของเสือคลุมวิญญาณราชานกยูงก็ถูกดูดจนเกือบจะดับลงไป ดวงตาของผู้หญิงบนโล่เมดูซ่าส์เกซค่อยๆลืมขึ้นมา มันเหมือนกับว่าเธอกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น


 


ขณะที่ดวงตาเปิดออก แสงสีม่วงประหลาดก็ส่องออกมา พวกมันส่องออกไปยังมีดแสงสีทองที่สามารถทำลายทั้งกาแล็กซี่นั้น


 


ผู้ที่ได้เห็นพบว่ามันยากที่จะบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป แสงประหลาดจากดวงตาของเมดูซ่านั้นส่องไปที่มีดแสงสีทองอันน่ากลัว และมีดแสงก็แข็งทื่อไปทันที


 


มันไม่ใช่แค่มีดแสงสีทองเท่านั้น อะไรก็ตามที่ถูกแสงประหลาดนั่นส่องจะแข็งทื่อไป แม้แต่เหมิงเลี่ยที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนกับเทพก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน ทั้งเขาและมีดหัวสิงโตทองต่างก็นิ่งสนิทไปขณะที่ยังอยู่ในท่าฟันราวกับภาพยนตร์ที่ถูกหยุด


 


แสงสีม่วงนั้นยังคงส่องออกไป มันไม่ใช่แค่เหมิงเลี่ยที่ตกอยู่ภายใต้แสงประหลาดนั่น แสงสีม่วงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและดาวเคราะห์มากมายก็ถูกลูกหลงไปด้วย พวกมันแข็งทื่อและหยุดนิ่งไป แสงสีม่วงนั้นยังคงแพร่ขยายต่อไปไม่หยุด ถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไป บางทีระบบจักรวาลก็คงจะถูกแช่แข็งไป


 


หานเซิ่นกระอักเลือดออกมา เขาแยกตัวเองออกมาจากโล่เมดูซ่าส์เกซ ในจังหวะที่หานเซิ่นปล่อยโล่เมดูซ่าส์เกซไป ดวงตาของผู้หญิงบนโล่ก็ปิดลง และแสงสีม่วงประหลาดก็หายไป


 


แต่อวกาศบริเวณนั้นยังคงแข็งทื่อในสีม่วงเข้ม เหมิงเลี่ย มีดหัวสิงโตทองและมีดแสงที่น่ากลัวลอยค้างอยู่ในอวกาศราวกับเป็นรูปปั้น


 


ดวงดาวใกล้เคียงที่ครั้งหนึ่งเคยหมุนอยู่ ตอนนี้พวกมันเป็นสีม่วงและหยุดนิ่งไป ภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอะไรที่เหมือนฝันไป มันเป็นบางสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นจริงได้


 


ทั้งระบบจักรวาลดูเงียบสงัด ทุกคนที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างก็อ้าปากค้าง ภาพต่อหน้าพวกเขาเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวเกินไป พวกเขาไม่รู้ว่าจะตอบสนองยังไงดี


 


คุณหญิงมิร์เรอร์สะบัดมือและเรียกกระจกบานหนึ่งออกมา หลังจากนั้นเธอก็ก้าวเข้าไปข้างในนั้นและหายตัวไป


ตอนที่ 2596 แส้ไล่ดวงดาว


 


“ไปกันเถอะ” หานเซิ่นกลับเข้าไปในวาฬขาวและบอกให้เป่าเอ๋อรีบขับวาฬขาวจากไป


 


หานเซิ่นรู้สึกแย่มากๆ พลังงานของเขาถูกดูดไปจนหมด แม้แต่พลังของเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูงก็ถูกดูดไปจนไม่เหลือ ถ้าเขาไม่ได้ใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดเพื่อแยกตัวเองมาจากโล่เมดูซ่าส์เกซล่ะก็ เขาและเสือคลุมวิญญาณราชานกยูงก็คงจะกลายเป็นผุยผง


 


‘มันน่ากลัวเกินไป’ หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น สิ่งที่เขาต้องจ่ายไปเพื่อใช้โล่เมดูซ่าส์เกซนั้นมากเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้


 


นอกจากนั้นดวงตาของผู้หญิงบนโล่เมดูซ่าส์เกซก็ลืมขึ้นมาเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น หานเซิ่นไม่อาจจะจิตนาการได้ว่ามันต้องใช้พลังมากขนาดไหนเพื่อเปิดดวงตาทั้ง 2 ข้างของเธออย่างเต็มที่?


 


จนกว่าจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า หานเซิ่นไม่คิดจะใช้มันอีก เพราะมันอาจจะฆ่าเขาได้


 


โชคดีที่หลังจากนั้นมันก็ไม่มีใครมาตามล่าตัวเขาอีก นอกจากซีโน่เจเนอิคที่เจอระหว่างทางแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนมายุ่งกับพวกเขา


 


มันไม่ใช่ว่าทางเอ็กซ์ตรีมคิงหรือเผ่าพันธุ์อื่นๆไม่รู้ว่าหานเซิ่นอยู่ที่ไหน พวกเขาแค่ไม่กล้ามา


 


เหมิงเลี่ยยังคงลอยอยู่ในอวกาศราวกับรูปปั้นน้ำแข็งสีม่วง ผู้คนที่ต้องการจะตามล่าตัวหานเซิ่นสังเกตเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น และพวกเขาก็ตัดสินใจว่าการตามล่าหานเซิ่นต่อไปนั้นเป็นอะไรที่ไม่คุ้มค่า เอ็กซ์ตรีมคิงจำเป็นต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงเพื่อลบล้างผลของโล่เมดูซ่าส์เกซที่มีต่อเหมิงเลี่ย


 


หานเซิ่นสามารถใช้โล่เมดูซ่าส์เกซได้ ทุกเผ่าพันธุ์คิดว่านี่เป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ มันเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อต แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าธรรมดาก็แตะต้องมันไม่ได้ หานเซิ่นเป็นเพียงแค่ระดับราชันเท่านั้น แต่เขากลับเปิดใช้งานพลังอันน่าสะพรึงกลัวของโล่ได้ นั่นทำให้ทุกเผ่าพันธุ์หวาดกลัวเขา


 


จนกว่าจะรู้ถึงขีดจำกัดการใช้โล่เมดูซ่าส์เกซของหานเซิ่น มันก็ไม่มีใครที่กล้าจะมายุ่งกับเขา


 


เพราะถ้าหานเซิ่นเปิดใช้พลังทั้งหมดของโล่เมดูซ่าส์เกซได้ มันก็ไม่มีใครที่จะเอาชนะเขาได้ นอกจากยอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อต


 


ตอนนี้เมื่อไม่มีใครมาขวางการเดินทาง พวกหานเซิ่นก็เดินทางผ่านส่วนที่เหลือของระบบจักรวาลเคออสได้อย่างราบรื่น พวกเขาไปถึงปราสาทนภาโดยไม่ประสบกับอันตรายใดๆ


 


แต่สถานการณ์ของหานเซิ่นไม่ดีเท่าไหร่นัก โล่เมดูซ่าส์เกซนั้นดูดร่างกายของเขาจนแห้งเหือด หลังจากที่พักเป็นเวลาหนึ่งเดือน หานเซิ่นก็ยังไม่ฟื้นตัว


 


ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาลดลงไปอย่างมาก เขาขาอ่อนทุกครั้งที่เดิน มันคงจะใช้เวลาอีก 2-3 ปีกว่าที่เขาจะฟื้นตัวเต็มที่


 


โชคดีที่คนนอกไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา และตอนนี้พวกเขาก็มาถึงปราสาทเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ปราสาทนภาส่งผู้อาวุโสหลายคนออกมาต้อนรับหานเซิ่นและอี๋ซา พวกเขาไม่ได้แสดงความเคารพขนาดนั้นเพราะอี๋ซาและเผ่ารีเบท แต่พวกเขามาเพราะหานเซิ่นเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆ


 


หานเซิ่นสามารถอวยพรให้คนๆหนึ่งกลายเป็นระดับเทพเจ้า และเขายังเป็นเจ้าของแส้เหล็กเทพเสน่หากับโล่เมดูซ่าส์เกซอีก ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นมีค่าต่อพวกเขามากกว่ารีเบททั้งเผ่าพันธุ์ มันทำให้ปราสาทนภาปฏิบัติกับเขาอย่างจริงจัง


 


ถ้าพวกเขาได้รู้ว่าหานเซิ่นยังมีกระจกไนน์สปินเดสทินี่และอาวุธเผ่าพันธุ์ของกาน่าอย่างสถานล้างบาปแห่งสรวงสวรรค์อยู่อีก ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะคิดยังไง


 


หานเซิ่นพักอยู่ในปราสาทนภา และปราสาทนภาก็ได้ส่งยอดฝีมือระดับเทพเจ้าหลายคนที่เชี่ยวชาญในการรักษามาช่วยหานเซิ่น แต่การรักษาของพวกเขาไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก


 


หานเซิ่นไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ เขาใช้พลังงานในยีนของตัวเองไปจนหมด ซึ่งการฟื้นตัวคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย


 


หลังจากพักฟื้นอยู่หลายวัน อี๋ซาก็เข้ามาเยี่ยมและบอกกับเขาว่าหานเมิ่งเอ๋ออยู่ที่นั่นด้วย มันทำให้หานเซิ่นดีใจอย่างมาก


 


หานเซิ่นคิดว่าแนร์โรว์มูนอาจจะได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เขาทำลงไป มันถือเป็นเรื่องดีที่หานเมิ่งเอ๋อและคนอื่นๆได้รับอนุญาตให้เข้ามาในปราสาทนภา


 


แต่หานเซิ่นยังคงไม่เห็นหานเมิ่งเอ๋อและคนอื่น อี๋ซายิ้มให้กับเขาและไม่ได้อธิบายอะไร เธอพาหานเซิ่นออกไปข้างนอกพร้อมกับเธอ


 


พวกเขาเดินทางออกจากซีโน่เจเนอิคสเปชของปราสาทนภาและตรงไปยังระดับจักรวาลหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งถูกครอบครองโดยปราสาทนภา ปราสาทนภาเป็นเจ้าของระบบจักรวาลหลายระบบ และนี่ก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในดินแดนอันกว้างขวางของพวกเขา


 


ขณะที่หานเซิ่นบินไปกับอี๋ซา เขาก็สังเกตเห็นว่าบริเวณรอบๆไม่ได้เป็นอย่างที่เขาจำได้ ในบริเวณนี้มันเคยมีดวงดาวอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้มันว่างเปล่า มันไม่มีแม้แต่ดาวเคราะห์น้อยสักดวง


 


“มีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่นี่อย่างนั้นหรอ? นี่คนของเอ็กซ์ตรีมคิงบุกมาที่นี่ใช่ไหม?” หานเซิ่นถามอี๋ซาด้วยความสับสน


 


อี๋ซาหัวเราะ แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอมองออกไปยังอวกาศข้างหน้า


 


หานเซิ่นมองตามสายตาเธอไป และที่นั่นเขาก็เห็นดวงดาวมากมาย แต่มันไม่ได้มีอะไรพิเศษ


 


แต่ไม่นานหลังจากนั้นหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงที่เหมือนกับเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา


 


หานเซิ่นมองไปในทิศทางของเสียง หลังจากนั้นเขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เขากำลังมองไปที่แนร์โรว์มูน


 


ทุกดวงดาวของแนร์โรว์มูนกำลังเคลื่อนที่เข้ามายังบริเวณที่เขาและอี๋ซากำลังลอยตัวอยู่ ภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจ


 


ยอดฝีมือที่น่ากลัวของปราสาทนภาอยู่ด้านหลังดวงดาวเหล่านั้น เขามีแส้อยู่ในมือ และทุกครั้งที่เขาแกว่งแส้ เสียงที่เหมือนฟ้าร้องก็จะดังขึ้นมา


 


กลุ่มดวงดาวเป็นเหมือนกับแกะตัวอ้วนจำนวนมาก พวกมันค่อยๆถูกดันมาข้างหน้า แนร์โรว์มูนที่ใหญ่โตกำลังถูกแส้ไล่ฟาด


 


“นี่…นี่มันเกิดขึ้นได้จริงๆอย่างนั้นหรอ…” หานเซิ่นไม่รู้ว่าควรจะคิดยังไงกับสิ่งที่ได้เห็น เขาไม่เคยคาดฝันว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้


 


อี๋ซายิ้มและพูด “ถ้าข้าไม่ได้เตรียมตัว ข้าคงจะไปช่วยเจ้าโดยที่ทำให้เผ่ารีเบทตกอยู่ในความเสี่ยง นี่คืออาวุธระดับเทพเจ้าของปราสาทนภา มันมีชื่อว่าแส้ไล่ดวงดาว ข้าขอให้ผู้นำปราสาทนภาช่วยข้าเคลื่อนย้ายแนร์โรว์มูนมาที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราเป็นพันธมิตรกับปราสาทนภา”


 


หานเซิ่นมองดูแนร์โรว์มูนถูกเคลื่อนย้ายมายังบริเวณที่ว่างเปล่าของอวกาศ เขาสันนิษฐานว่าดวงดาวที่เคยอยู่ในระดับจักรวาลนี้ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่อื่นเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับแนร์โรว์มูน


 


หลังจากที่แนร์โรว์มูนถูกย้ายมาถึง อี๋ซาก็พาหานเซิ่นเข้าไปขอบคุณผู้อาวุโสของปราสาทนภาคนนั้น ผู้อาวุโสคนนั้นยิ้มและพูด

“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ ไม่มีความจำเป็นต้องขอบคุณ”


 


หลังจากที่ผู้อาวุโสจากไป หานเซิ่นก็รีบบินเข้าไปในแนร์โรว์มูนและตรงไปที่ดาวอุปราคา ที่นั่นหานเซิ่นพบหานเมิ่งเอ๋อ เขารู้สึกดีใจอย่างมาก


 


ทางรีเบทได้พูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงที่มาเข้าร่วมกับปราสาทนภาเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ส่วนของหานเซิ่นยังคงเป็นบางสิ่งที่ต้องเจรจากันอีก


 


เนื่องจากหานเซิ่นมีค่ามากกว่าทั้งเผ่ารีเบท อี๋ซาจึงเจรจาเพียงแค่ข้อตกลงสำหรับเผ่ารีเบทเท่านั้น เธอไม่ได้รวมหานเซิ่นเข้าไปในข้อตกลงนั้นด้วย


 


ปราสาทนภาได้ยื่นข้อเสนอให้หลายอย่าง แต่หานเซิ่นตัดสินใจจะเข้าร่วมกับปราสาทนภาในฐานะสมาชิกของรีเบท เขาไม่ได้เข้าร่วมกับปราสาทนภาในนามของตัวเอง


 


ด้วยการทำแบบนั้นทำให้เขาสูญเสียผลประโยชน์หลายอย่างที่ควรจะได้รับ แต่อี๋ซาได้เสี่ยงตัวเองและเผ่าพันธุ์รีเบทเพื่อช่วยชีวิตเขา เธอต้องเคลื่อนย้ายทั้งแนร์โรว์มูนมาที่นี่ และเธอก็ได้สร้างศัตรูกับเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงในการทำแบบนั้น นั่นถือเป็นบุญคุณที่ใหญ่หลวง หานเซิ่นจึงไม่สามารถทอดทิ้งเผ่ารีเบทและไปเข้าร่วมกับปราสาทนภาตามลำพังได้


ตอนที่ 2597 เรื่องใหญ่


 


ตอนนี้หานเซิ่นยังคงเป็นส่วนหนึ่งของรีเบท แต่เขาก็เป็นบุคคลอันทรงเกียรติของปราสาทนภา เขาถูกปฏิบัติเหมือนกับเป็นหนึ่งในคนของปราสาทนภา


 


หานเซิ่นยังได้รับเกาะๆหนึ่งภายในปราสาทนภาเป็นของตัวเอง มันเป็นเกาะหยกน้อยๆที่เขาเคยอาศัยอยู่


 


จิ้งจอกสีเงินและอสูรกาแล็กซี่ลงชื่อเพื่ออาศัยอยู่ในเกาะหยกน้อยเช่นเดียวกัน หานเซิ่นอยากจะใช้พลังของวิชาโลหิตชีพจรเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับพวกมัน แต่ร่างกายของเขายังคงไม่ฟื้นตัว ดังนั้นเขายังไม่สามารถทำแบบนั้นได้


 


จิ้งจอกสีเงินพยายามจะรักษาหานเซิ่นด้วยสายฟ้า แต่ผลของมันเล็กน้อยซะจนแทบจะไม่ช่วยอะไร


 


หานเซิ่นมอบธันเดอร์ก็อตสไปค์ให้กับจิ้งจอกสีเงิน พลังของธันเดอร์ก็อตสไปค์มีประโยชน์ต่อจิ้งจอกสีเงิน ดังนั้นมันจะเป็นสิ่งที่ดีต่อการวิวัฒนาการของมัน


 


หานเซิ่นใช้กลาสเซสเพื่อตรวจสอบศักยภาพยีนของพวกมัน พวกมันทั้งคู่ได้ 5 ดาว ส่วนศักยภาพที่แท้จริงของพวกมัน เขาจะได้รู้เมื่อพวกมันกลายเป็นระดับเทพเจ้าแล้ว


 


วันหนึ่ง หานเซิ่นนอนอาบแดนอยู่บนเกาะ เป่าเอ๋อนั่งอยู่ข้างๆขณะที่ยังคงกัดแทะโสมสีม่วง ซึ่งมันไม่ได้มีขนาดเล็กลงเลย ถึงแม้เธอจะกัดกินมันอยู่ทุกวัน นางฟ้าและซีโร่กำลังเตรียมอาหารกลางวัน ส่วนหานเมิ่งเอ๋อกำลังถือธนูงูหกคอร์อยู่ในมือและกำลังฝึกใช้มัน


 


จิ้งจอกสีเงินและอสูรกาแล็กซี่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ มันมีอสูรตัวน้อยที่ดูเหมือนกับลูกบอลหิมะสีขาววิ่งไปมารอบๆ ก้อนหิมะนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตจากก็อตแซงชัวรี่ มันพิเศษมากเพราะมันสามารถป้องกันตัวเองอยู่ภายในลูกบอลสีขาวที่ไม่สามารถถูกทำลายได้


 


หานเซิ่นพาเจ้าตัวน้อยมาที่จักรวาลจีโนในตอนที่เขาอยู่บนดาวอุปราคา ก้อนหิมะนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเซี่ยชิง และมันก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ตามเซี่ยชิงไปไหนมาไหนในจักรวาล


 


ในตอนที่แนร์โรว์มูนถูกนำมาที่ปราสานภา ก้อนหิมะไม่ได้อยู่ที่นั่น มันถูกส่งตัวมาที่หลังโดยเซี่ยชิง


 


หานเซิ่นสงสัยว่าทำไมเซี่ยชิงถึงได้ส่งก้อนหิมะมาแทนที่จะโทรมาหาเขา เมื่อหานเซิ่นเห็นสิ่งของที่ก้อนหิมะนำมาส่ง เขาก็ต้องตกใจที่ได้รู้ว่ารักของประธานผู้เอาแต่ใจของเซี่ยชิงได้ถูกทำเป็นภาพยนตร์ที่กำลังจะฉายในเร็วๆนี้


 


การให้ก้อนหิมะนำตั๋วเข้าชมภาพยนตร์มาส่งนั้นเป็นการโอ้อวดตัวเองแบบอ้อมๆของเซี่ยชิง


 


หานเซิ่นค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตและพบว่ารักของประธานผู้เอาแต่ใจของเซี่ยชิงเป็นที่นิยมมากๆ เขาได้รับสมญานามว่าอาจารย์เซี่ย


 


หานเซิ่นพยายามจะหาว่ารักของประธานผู้เอาแต่ใจขายออกไปกี่เล่มและพบยอดขายของมันมีเลขศูนย์อยู่เป็นจำนวนมาก


 


“ว้าว! นี่เซี่ยชิงได้รับเงินมากเท่าไหร่กันเนี่ย?” หานเซิ่นอึ้งไป ไม่ว่าเขาจะต่อสู้มากแค่ไหนหรือได้รับอาวุธระดับเทพเจ้ามากี่อัน เขาก็ไม่สามารถหาเงินได้มากเหมือนอย่างเซี่ยชิง


 


“นี่เราควรจะวาดบางสิ่งบ้างดีไหมนะ?” หานเซิ่นรู้สึกสนใจ แต่เขารู้ตัวว่าตัวเองขาดความสามารถในการวาด ดังนั้นเขาจึงละทิ้งความคิดนั้นไป


 


ภายในปราสาทนภาเองก็จะฉายภาพยนตร์ของเซี่ยชิงเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงพาหานเมิ่งเอ๋อไปดูมัน เขาคิดที่จะซื้อที่นั่งทั้งโรงหนังเพื่อที่พวกเขาจะได้ดูหนังอย่างสงบ


 


เมื่อพวกเขาไปถึงโรงหนัง หานเซิ่นก็พบกับยวิ๋นซู่อี ยวิ๋นซู่ซางและกระเรียนพันขน ในตอนนี้พวกเขาเป็นระดับราชันแล้ว พวกเขาพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับหานเซิ่น


 


ความจริงแล้วความคืบหน้าของหานเซิ่นไม่ได้รวดเร็วอะไรมาก เพราะเขาจำเป็นต้องพัฒนาวิชาจีโนถึง 4 ตัวไปพร้อมๆกัน ถ้าเขาฝึกวิชาจีเพียงแค่ตัวเดียวที่ไม่ใช่เรื่องราวของยีนล่ะก็ เขาก็คงจะไปถึงระดับเทพเจ้าแล้วตอนนี้


 


“หานเซิ่น เจ้าเป็นยังไงบ้าง?” ยวิ๋นซู่อีถามขณะที่มองมาที่หานเซิ่น


 


ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องการจะไปเยี่ยมหานเซิ่นที่เกาะหยกน้อย แต่ปราสาทนภาสั่งห้ามไม่ให้ใครไปที่นั่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ด้วยเหตุนั้นนี่เป็นครั้งแรงที่พวกเขาได้กับหานเซิ่นหลังจากที่แยกจากกันไป


 


หานเซิ่นดูไม่ดีเท่าไหร่นัก ร่างกายของเขายังคงดูผอมแห้งจนหนังติดกระดูก กระเรียนพันขนนั้นเกือบจะจำหานเซิ่นไม่ได้


 


“ข้าเกือบจะไม่เป็นไรแล้ว ข้าว่าจะไปเยี่ยมพวกเจ้า แต่ผู้อาวุโสหยุนไม่ยอมให้ข้าออกจากเกาะจนถึงตอนนี้” หานเซิ่นอธิบาย


 


“พวกเราก็ถูกบอกแบบเดียวกัน ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงจะไปเยี่ยมเจ้าที่เกาะแล้ว”


 


“หนังกำลังจะฉายแล้ว พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ!” ยวิ๋นซู่ซางพูดด้วยรอยยิ้ม


 


หานเซิ่นซื้อทั้งโรงหนังด้วยเหตุนั้นมันจึงมีที่ว่างเหลือเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหานเซิ่นจึงเชิญพวกเขามาดูด้วยกัน


 


เนื่องจากหานเซิ่นรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาจึงไม่ได้จดจ่อกับภาพยนตร์มากนัก เขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่ายวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางดูจะชอบมันมาก พวกเธอทั้งหัวเราะและร้องไห้ออกมา


 


ในตอนจบหลังจากที่พระเอกช่วยนางเอกออกมาได้ เมื่อพวกเขาทั้งคู่จูบกัน ยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางก็ดูอินกับหนังมากๆ ดวงตาของพวกเธอก็เกือบจะเปลี่ยนเป็นรูปหัวใจน้อยๆ


 


‘ไม่สำคัญว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน พวกเธอเองก็มีหัวใจที่เหมือนๆกัน’ หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา


 


หลังจากที่หนังจบลง หานเซิ่นก็เชิญพวกเขามาทานอาหารเย็นด้วยกัน พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานขณะที่พวกเขาเดินทางกลับ


 


“ทำไมข้าถึงไม่ได้ยินเกี่ยวกับไผ่เดียวดายเลย?” หานเซิ่นถามกระเรียนพันขน เขาเคยถามคนอื่นเกี่ยวกับไผ่เดียวดาย แต่ทุกคนพยายามจะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เคยได้คำตอบที่แท้จริง


 


กระเรียนพันขนดูลังเล แต่ยวิ๋นซู่อีพูดด้วยความโกรธ “มันเป็นเพราะนางเอ็กซ์ควิสิทนั่น!”


 


“เอ็กซ์ควิสิท?” หานเซิ่นแปลกใจ เขารู้จักชื่อนี้ แต่เขาไม่คิดว่าเอ็กซ์ควิสิทจะเกี่ยวข้องอะไรกับไผ่เดียวดาย


 


“ซู่อี หยุดพูด” กระเรียนพันขนขมวดคิ้ว


 


“นี่เป็นบางสิ่งที่ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้รู้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่กระเรียนพันขน


 


กระเรียนพันขนส่ายหัวและพูด “ไม่ใช่แบบนั้น แต่เรื่องนี้มันช่วยไม่ได้ ถึงแม้เจ้าจะรู้ไป เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้”


 


“ถ้ามันไม่ได้ถูกห้าม แบบนั้นทำไมเจ้าไม่บอกข้าล่ะ?” หานเซิ่นพูด


 


กระเรียนพันขนยังคงลังเล แต่สุดท้ายแล้วยวิ๋นซู่อีก็บอกเรื่องราวทั้งหมดให้หานเซิ่นฟังอยู่ดี


 


ปราสาทนภาและเผ่าเวรี่ไฮมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ผู้คนมักจะเชื่อว่าปราสาทนภาเป็นเหมือนกับปากเสียงของเผ่าเวรี่ไฮ ถึงแม้ปราสาทนภาจะไม่ใช่หนึ่งใน 3 เผ่าพันธุ์สูงสุด แต่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงก็ไม่กล้าจะมายุ่งอะไรกับปราสาทนภาอยู่ดี


 


ความจริงแล้วปราสาทนภาพึ่งพาอำนาจของเผ่าเวรี่ไฮ ดังนั้นเมื่อเอ็กซ์ควิสิทและเวรี่ไฮคนอื่นเดินทางมาที่ปราสาทนภาและขอให้ไผ่เดียวดายกับอวี้ซ่านซินเข้าร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮ มันจึงเป็นคำขอที่ปราสาทนภาปฏิเสธไม่ได้


 


อวี้ซ่านซินตอบตกลง ขณะที่ไผ่เดียวดายปฏิเสธคำขอของเอ็กซ์ควิสิท


 


ซึ่งนั่นสร้างความตึงเครียดระหว่างปราสาทนภากับเวรี่ไฮ แต่เผ่าเวรี่ไฮไม่ได้ยกเลิกคำขอ และไผ่เดียวดายนก็ไม่ยอมทำตามความต้องการของพวกเขา ด้วยเหตุนั้นผู้นำปราสาทนภาจึงจับตัวไผ่เดียวดายไปขังเอาไว้


 


“ไผ่เดียวดายปฏิเสธเผ่าเวรี่ไม่ได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


กระเรียนพันขนส่ายหัวและยิ้มแห้งๆออกมา

“ความสัมพันธ์ระหว่างปราสาทนภาและเวรี่ไฮนั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากๆ ดูเหมือนว่ามันจะมีข้อตกลงบางอย่างที่ถูกตั้งเอาไว้ และตอนนี้ผู้นำของพวกเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เขาไม่อาจจะปฏิเสธคำขอของเผ่าเวรี่ไฮได้”


 


“ถ้าไผ่เดียวดายถูกขัง นั่นหมายความว่าพวกเขาจะถอนคำขออย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


กระเรียนพันขนหัวเราะและพูด “ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดีสิ เผ่าเวรี่ไฮยังคงไม่พูดอะไร พวกเขายังไม่บอกว่าไผ่เดียวดายต้องไปหรือไม่ ถ้าพวกเขาไม่ยกเลิกคำขอ พวกเราก็ต้องตอบสนองบางอย่าง พวกเราจะเพิกเฉยไม่ได้”


ตอนที่ 2598 ไผ่เดียวดายยืนกราน


 


หานเซิ่นไม่มีรู้วิธีที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายต่อสู้กันและไผ่เดียวดายตกอยู่ในอันตราย เขาก็ยินดีจะเข้าร่วมการต่อสู้ แต่ในตอนนี้ไผ่เดียวดายถูกจับไปขังโดยฝ่ายอำนาจของปราสาทนภา นอกจากนั้นพวกเขาไม่ได้กำลังทำสงความกับเผ่าเวรี่ไฮ ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้


 


“นี่เป็นสถานการณ์ที่ยากจะจัดการ เวรี่ไฮไม่ได้ต้องการให้ไผ่เดียวดายเข้าร่วมกับพวกเขาอย่างถาวร มันเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น แถมพวกเขายังจะมอบทรัพยากรจำนวนมากให้กับไผ่เดียวดาย ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาก็คงจะรีบคว้าผลประโยชน์เอาไว้ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมไผ่เดียวดายถึงได้ยืนกรานที่จะปฏิเสธมัน” กระเรียนพันขนพูดพร้อมกับถอนหายใจ


 


หานเซิ่นพอจะเข้าใจว่าไผ่เดียวดายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขายังไม่ได้พูดกับไผ่เดียวดายตรงๆ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าการคาดเดาถูกต้องหรือเปล่า


 


วันต่อมา หานเซิ่นไปถามผู้อาวุโสสิบ(ยวิ๋นฉางคง)เกี่ยวกับเรื่องที่จะขอพบไผ่เดียวดาย


 


ยวิ๋นฉางคงเป็นพ่อของยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซาง และเขาก็เป็นอาจารย์ของกระเรียนพันขน เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับหานเซิ่น และเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธคำขอของหานเซิ่น


 


“บางทีเจ้าจะโน้มน้าวไผ่เดียวดายได้ การเข้าร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮนั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย” ยวิ๋นฉางคงพูดกับหานเซิ่น


 


หานเซิ่นตอบตกลง หลังจากนั้นยวิ๋นฉางคงก็สั่งให้คนพาหานเซิ่นไปที่ห้องขัง


 


หานเซิ่นคิดว่าปราสาทนภาเพียงแค่สร้างฉาก แต่เมื่อเขาได้เห็นห้องขัง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ในตอนแรก


 


ล็อคสยบปีศาจ 12 อันเจาะผ่านร่างกายของไผ่เดียวดาย พวกมันตรึงเขาเอาไว้กับหินสยบปีศาจ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด และแม้แต่คอของเขาก็ถูกตรึงเอาไว้ หานเซิ่นรู้สึกตกใจ


 


“เจ้ามาอยู่ที่นี่” แขนขาของไผ่เดียวดายถูกล็อคอย่างเจ็บปวดกับหินสยบปีศาจ แต่ในขณะอยู่ในสภาพแย่ขนาดนั้น เขาก็ยังคงยิ้มออกมา


 


แต่มันจะเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะดูดีภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ล็อคสยบปีศาจทั้ง 12 มีพลัง 12 อย่างที่แตกต่างกัน มันมีทั้งน้ำ ไฟ สายฟ้า ลมและพลังอื่นๆอีก 8 อย่างที่จะโจมตีใส่ร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพแบบนี้ได้เป็นเวลานาน การถูกทรมานแบบนี้ทั้งวันทั้งคืนเป็นชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย


 


“นี่พวกเขาต้องปฏิบัติกับเจ้าแย่ถึงขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพูดและดูโกรธเล็กน้อยขณะที่มองไปที่ไผ่เดียวดาย


 


ไผ่เดียวดายเป็นลูกศิษย์ของผู้นำปราสาทนภา เขามีสายเลือดของคนในปราสาทนภา แต่แล้วเขากลับถูกปฏิบัติแบบนี้ มันไม่มีแม้แต่ความเห็นใจ


 


“อย่าไปโกรธพวกเขา เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะการกระทำของข้าเอง” ไผ่เดียวดายหัวเราะอย่างขมขื่น


 


หานเซิ่นนำเอาขวดไวน์ออกมา เขามอบให้ไผ่เดียวดายดื่มมันสักอึก 2อึกและถามขึ้นว่า

“ทำไมเจ้าถึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮ?”


 


ไผ่เดียวดายเลียไวน์บนริมฝีปากและพูด

“การเข้าร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮเป็นอะไรที่ดีมาก ถ้าข้าไม่ไป มันอาจจะใช้เวลาเป็น 10-20 ปีเพื่อกลายเป็นระดับเทพเจ้า แต่ถ้าข้าไปที่เผ่าเวรี่ไฮ ข้าจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าในเวลาเพียงแค่ 3 ปี”


 


“ถ้าเจ้าเข้าใจ ทำไมเจ้าถึงไม่ไป?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่ไผ่เดียวดาย เขารู้ว่าไผ่เดียวดายต้องมีเหตุผลของตัวเองอยู่


 


ไผ่เดียวดายมองหานเซิ่นและไม่ตอบคำถามของเขาตรงๆ แต่เขากลับถามขึ้นมา “เจ้าชอบวิ่งขณะที่เปลือยเปล่าไหม?”


 


“ข้า… ข้าคิดว่าไม่ชอบ” หานเซิ่นไม่รู้ว่าไผ่เดียวดายหมายความว่ายังไง ดังนั้นคำตอบของเขาจึงไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำ


 


ไผ่เดียวดายยิ้มและพูด “ข้าเองก็ไม่ชอบเช่นกัน ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าจะได้ผลประโยชน์มากมายแค่ไหนหรือต้องถูกลงโทษอะไร ข้าก็จะไม่ไปเข้าร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮ”


 


“เจ้าหมายความว่ายังไง? เจ้าจะบอกว่าเผ่าเวรี่ไฮชอบวิ่งขณะที่เปลือยเปล่าอย่างนั้นหรอ? เจ้าต้องถอดเสื้อผ้าทั้งหมดขณะที่อยู่ที่นั่น?”

หานเซิ่นจินตนาการภาพของเอ็กซ์ควิสิทและหลี่เคอเอ๋อเปลือยเปล่า หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา


 


แน่นอนว่าหานเซิ่นแค่พูดออกไปเล่นๆ เขารู้ว่าเผ่าเวรี่ไฮไม่ได้โรคจิตแบบนั้น


 


“เวรี่ไฮเซ้นส์ของเผ่าเวรี่ไฮนั้นสัมผัสได้ทุกสิ่งในโลกใบนี้ ถ้าเจ้าถูกเลือกโดยพวกเขา เจ้าก็จะกลายเป็นสื่อกลางสำหรับพวกเขาเพื่อสัมผัสโลก พวกเขาจะสัมผัสได้ทุกสิ่งที่เจ้าทำ ถ้าเจ้ากินอาหาร พวกเขาก็จะสัมผัสได้รสชาติขม หวาน เปี้ยวหรือเผ็ดของอาหาร ในตอนที่เจ้าอาบน้ำ พวกเขาก็จะรู้ว่ามันอุ่นหรือเย็น ไม่ว่าจะอารมณ์ งานอดิเรกหรือแม้แต่ความรู้สึกของเจ้าในตอนที่เจ้านอนร่วมกับผู้หญิง เผ่าเวรี่ไฮก็จะได้ประสบกับพวกมันทุกอย่าง ถ้าเจ้ามาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับข้า เจ้าจะไปไหมล่ะ?” ไผ่เดียวดายถามขณะที่มองไปที่หานเซิ่น


 


“เอิ่ม…นี่เผ่าเวรี่ไฮโรคจิตขนาดนั้นเลย?” ดวงตาของหานเซิ่นเบิกกว้าง


 


“นี่เป็นแค่มุมมองของข้า แต่ยังไงก็ตามเจ้าไม่มีทางปิดกั้นพลังของพวกเขาได้ เมื่อเจ้าตกอยู่ในความสามารถของพวกเขาแล้ว มันก็ไม่มีหนทางจะปิดกั้นพวกมัน พวกเขาจะจับตามมองเจ้าอยู่ตลอดเวลา และข้าก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะตัดขาดการเชื่อมต่อนั้น” ไผ่เดียวดายพูด


 


“เจ้าแน่ใจหรือว่ามันเป็นแบบนั้น?” หานเซิ่นถามอย่างจริงจัง


 


ไผ่เดียวดายยิ้มและพูด “ถ้าจะมีสักเผ่าพันธุ์ในจักรวาลที่เข้าใจเผ่าเวรี่ไอ มันก็คือพวกเราเผ่านภา ถึงแม้มันจะไม่มีหลักฐานอยู่จริง แต่คนของเผ่านภาหลายต่อหลายรุ่นเคยทำงานให้กับเผ่าเวรี่ไฮ ข้อสันนิษฐานนี้มีโอกาสถูกมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์”


 


“ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริง ข้าก็คงจะไม่ไปเช่นกัน” หานเซิ่นพูดพร้อมกับพยัก


 


หานเซิ่นยกขวดไวน์ขึ้นให้ไผ่เดียวดายดื่มอีก และเขาก็ขึ้นมา

“แต่ถ้าเจ้ายังยืนกรานปฏิเสธ เผ่าเวรี่ไฮจะปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นหรอ?”


 


“ข้าไม่รู้” ไผ่เดียวดายส่ายหัว


 


หานเซิ่นไม่รู้จะถามอะไรอีก เขาพูดคุยกับไผ่เดียวดายต่ออีกสักพักและหลังจากที่เขาดื่มไวน์จนหมด เขาก็ออกมาจากห้องขัง


 


ระหว่างที่หานเซิ่นเดินจากไป เขาก็คิดกับตัวเอง

‘ทำไมเผ่าเวรี่ไฮถึงต้องการตัวไผ่เดียวดายมากขนาดนั้น? มันต้องมีหนทางที่เราช่วยเขา’


 


หานเซิ่นเดินออกมาและเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนนกกระเรียนสีขาว ชายคนนั้นยิ้มให้กับหานเซิ่น


 


“มิสเตอร์อวี้” หานเซิ่นประหลาดใจที่ได้เห็นอวี้ซ่านซิน


 


ครั้งหนึ่งอวี้ซ่านซินเคยไปในดินแดนของเผ่าดราก้อนเพื่อช่วยชีวิตหานเซิ่น ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงมีมารยาทกับเขา


 


อวี้ซ่านซินยิ้มและพูด “พวกเราไปเดินเล่นกันหน่อยไหม ถ้าเจ้าไม่รังเกียจล่ะก็นะ”


 


“ท่านมาหาไผ่เดียวดายอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามอวี้ซ่านซินขณะที่ตามหลังเขาไป


 


“ไม่ ข้ามาหาเจ้า” อวี้ซ่านซินตอบ นั่นทำให้หานเซิ่นประหลาดใจ


 


ก่อนที่หานเซิ่นจะพูดอะไร อวี้ซ่านซินก็พูดต่อ “ปราสาทนภาได้ทำข้อตกลงกับเผ่าเวรี่ไฮ ดังนั้นไม่ว่าใครที่เผ่าเวรี่ไฮเลือกจะต้องไปเข้าร่วมกับพวกเขา ถ้าไผ่เดียวดายไม่ยอมไป อย่างนั้นพวกเราก็ต้องหาคนอื่นที่คู่ควรมาแทน”


 


“คนๆนั้นคงจะไม่ได้เป็นข้าหรอกใช่ไหม?” หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา


 


“นอกจากไผ่เดียวดายแล้ว คนเดียวในรุ่นนี้ที่จะสร้างประทับใจต่อเผ่าเวรี่ไฮได้ก็คือเจ้า” อวี้ซ่านซินพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ข้าจะไม่ไปเช่นกัน” หานเซิ่นพูดพร้อมกับส่ายหัวอย่างรุนแรง เขาไม่ชอบวิ่งไปรอบๆขณะที่เปลือยเปล่าไม่ได้น้อยไปกว่าไผ่เดียวดาย


 


อวี้ซ่านซินคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าหานเซิ่นจะมีปฏิกิริยาแบบนี้

“ข้าแน่ใจว่าไผ่เดียวดายคงจะบอกเจ้าแล้วว่าเผ่าเวรี่ไฮเป็นยังไง ข้ารอจนกระทั่งถึงตอนนี้และมาพบกับเจ้าก็เพื่อที่ข้าไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย”


 


“มิสเตอร์อวี้ ท่านไม่จำเป็นต้องพยายามจะโน้มน้าวข้า ความคิดของข้าในเรื่องนี้เหมือนกับไผ่เดียวดาย ข้าเลือกที่จะถูกขังดีกว่าที่จะไปเข้าร่วมกับเผ่าเวรี่ไฮ” หานเซิ่นพูด



 

 

 


ตอนที่ 2599

 

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหานเซิ่น สีหน้าของอวี้ซ่านซินไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว เขาถามอย่างใจเย็น

“เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวอัลฟ่าของเผ่านภาที่ถูกรู้จักกันในนามผู้สยบปีศาจไหม?


 


“ไม่เคย” หานเซิ่นไม่ได้มีอารมณ์ที่จะฟังเรื่องราว แต่ถ้าคนอย่างอวี้ซ่านซินอยากจะพูด เขาก็ยินดีที่จะรับฟัง


 


“ในสมัยโบราณก่อนที่ทุกดวงดางจะติดต่อและเดินทางถึงกันได้ เผ่านภานั้นอยู่อาศัยบนดวงดาวที่มีปีศาจตัวหนึ่งอาศัยอยู่เช่นกัน ปีศาจนั่นจะกินคนๆหนึ่งทุกๆวัน แต่ปีศาจนั่นไม่มีร่างกายของตัวเอง ถ้ามันต้องการจะกินใครสักคน มันก็จะสิงร่างของหนึ่งในชาวนภาเพื่อกินอีกร่างหนึ่ง”


 


“เนื่องจากพวกเขาไม่มีวิธีการป้องกันการเข้าสิงของปีศาจ เผ่านภาจึงมีเหตุการณ์พ่อกินลูก ภรรยากินสามีหรือแม้แต่เด็กๆกินปู่ของพวกเขา เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งอัลฟ่าของพวกเราเสนอตัวเองให้กับปีศาจ และอนุญาตให้ปีศาจเข้าสิงร่างกายของเขา”


 


“หลังจากนั้นอัลฟ่าของเผ่านภาก็กักขังปีศาจเอาไว้ได้สำเร็จอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นอยากรู้


 


“ไม่ใช่ อัลฟ่าของพวกเราไม่ได้เหนือไปกว่าชาวนภาทั่วๆไป เจ้าปีศาจเข้าควบคุมร่างกายของเขาได้สำเร็จเช่นกัน เจ้าปีศาจใช้ร่างของเขากินชาวนภาไปมากมาย” อวี้ซ่านซินพูดออกมาตรงๆ นั่นไม่ใช่คำตอบที่หานเซิ่นคาดว่าจะได้ยิน


 


อวี้ซ่านซินมองไปที่หานเซิ่นและพูดต่อ “ถึงแม้อัลฟ่าของพวกเราจะถูกควบคุมโดยเจ้าปีศาจ แต่เขาทำบางสิ่งที่ชาวนภาที่ถูกสิงคนอื่นทำไม่สำเร็จ ชาวนภาคนอื่นเมื่อถูกสิงโดยปีศาจ พวกเขาจะยังคงมีจิตใจเป็นของตัวเอง แต่พวกเขาไม่กล้าเกลียดชังเจ้าปีศาจ พวกเขาหวาดกลัวมัน ถึงแม้พวกเขาจะเสแสร้งว่าไม่กลัว แต่พวกเขาก็หลอกเจ้าปีศาจไม่ได้ นั่นก็เพราะว่าเมื่อเจ้าปีศาจเข้าสิงชาวนภาคนหนึ่ง มันจะมองทะลุเข้าไปในความคิดของพวกเขา ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะพูดหรือทำอะไร เจ้าปีศาจก็จะมองทะลุเข้าไปในความคิดของพวกเขา เจ้าปีศาจจะควบคุมและบังคับให้พวกเขาฆ่าตัวตาย แต่อัลฟ่าของพวกเราเป็นข้อยกเว้นในเรื่องนี้”


 


“เขาทำอะไร?” หานเซิ่นอยากรู้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม


 


“เขาไม่ได้ทำอะไร เขาเอ็นดูกับเจ้าปีศาจนั่น” อวี้ซ่านซินพูด


 


“ท่านบอกว่าเจ้าปีศาจมองทะลุผ่านความคิดของคนที่ถูกสิง แบบนั้นอัลฟ่าจะหลอกเจ้าปีศาจได้ยังไง?” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน เขาคิดว่าอัลฟ่าของเผ่านภาต้องเกลียดชังเจ้าปีศาจ


 


อวี้ซ่านซินหัวเราะและพูด “นั่นเป็นเหตุผลที่อัลฟ่าของพวกเราต่างออกไป เขาเผชิญหน้ากับศัตรูที่เขาเกลียดชังมากที่สุด แต่แล้วเขากลับละทิ้งความโกรธของตัวเองและปฏิบัติกับเจ้าปีศาจด้วยความรัก มันเหมือนกับว่าเขาถือว่าเจ้าปีศาจเป็นลูกชายของตัวเอง ดังนั้นไม่ว่าเจ้าปีศาจจะทำผิดอะไร เขาก็จะยกโทษให้กับมัน นั่นเป็นความรักที่มาจากหัวใจ ในจักรวาลนี้นอกจากอัลฟ่าของพวกเราแล้ว ข้าก็ไม่เคยเห็นใครที่จะทำแบบเดียวกันนั้น”


 


“ท่านกำลังจะบอกว่าความรักของอัลฟ่าส่งไปถึงเจ้าปีศาจอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพูด


 


“ใช่ ความรักของอัลฟ่าส่งผลกระทบต่อเจ้าปีศาจ เจ้าปีศาจนั่นควรจะเข้าสิงคนๆหนึ่งเพียงแค่วันเดียวก่อนที่จะกำจัดทิ้ง แต่เมื่อมันเข้าไปสิงในร่างกายของอัลฟ่า มันก็อยู่ภายในร่างของเขาไปตลอด มันไม่เคยจากเขาไปจนกระทั่งอัลฟ่าพบจุดอ่อนของเจ้าปีศาจและฆ่ามันได้สำเร็จ เขาจบฝันร้ายที่ยาวนานของชาวนภาได้สำเร็จ” อวี้ซ่านซินพูด


 


หานเซิ่นทึ่งกับเรื่องนี้ อัลฟ่าของเผ่านภาใช้ความรักเพื่อจะได้รับความเชื่อใจจากปีศาจที่สามารถอ่านจิตใจคนได้ หานเซิ่นไม่รู้ว่าคนแบบไหนกันที่จะทำแบบนั้นได้ ถ้าเขาต้องไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกับอัลฟ่าของเผ่านภา หานเซิ่นก็ไม่คิดว่าจะทำได้สำเร็จ


 


“มิสเตอร์อวี้ อัลฟ่าของพวกท่านเป็นคนใจพระอย่างแท้จริง ข้าเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าท่านต้องการให้ข้าไปแสดงความรักต่อปีศาจ? ข้าคงจะทำแบบนั้นไม่ได้ ข้าจะโกรธและข้าก็คงจะถูกฆ่าตาย”

หานเซิ่นเข้าใจว่าอวี้ซ่านซินต้องการจะบอกอะไรถึงเล่าเรื่องนี้ แต่เขารู้ว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ การเข้าใจมันไม่ได้ช่วยอะไร


 


“ไม่เป็นไรถ้าเจ้าทำไม่ได้ ข้าจะช่วยเจ้า” อวี้ซ่านซินพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“จริงอย่างนั้นหรอ? ท่านจะช่วยข้าในเรื่องนี้?” หานเซิ่นถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


อวี้ซ่านซินหัวเราะและพูด “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมชื่อของข้าคืออวี้ซ่านซิน?”


 


‘ฉันจะไปรู้เรื่องแบบนั้นได้ยังไง?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง แต่สิ่งที่เขาพูดออกไปคือ

“ข้าได้ยินมาว่าอารมณ์โกรธของท่านดีขึ้นเมื่อท่านได้รับชื่อนี้มา มันทำให้ท่านคิดในทางบวกมากขึ้น?”


 


อวี้ซ่านซินยิ้มและพูด “ขอบคุณเจ้าที่คิดกับข้าแบบนั้น แต่ข้าไม่ได้มีความคิดในทางบวกแบบนั้น เหตุผลที่ข้าถูกเรียกว่าอวี้ซ่านซินก็เพื่อจะบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าไม่ควรจะยอมแพ้กับตัวเอง มันไม่สำคัญถ้าข้าจะกลายเป็นคนที่ชั่วร้ายหรือก่อคดีที่ไม่มีใครยอมรับได้ มันไม่สำคัญว่าข้าจะถูกเกลียดชังมากแค่ไหน อย่างน้อยที่สุดข้าก็จะไม่เกลียดชังตัวเอง ข้าจำเป็นต้องมีจิตใจที่ดีเพื่อรักตัวเอง”


 


หานเซิ่นอึ้งไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนหนึ่งอธิบายเหตุผลที่พวกเขามีจิตใจที่ดีให้คนอื่นฟัง


 


“วิชาจีโนที่ข้าฝึกมีรากฐานจากพลังที่ชั่วร้าย ถ้าข้าคิดในสิ่งที่ชั่วร้าย พวกมันก็จะทรงพลังมากขึ้น ในตอนที่ข้ายังหนุ่ม เหตุผลที่ข้ามาที่ปราสาทนภาและฆ่าผู้อาวุโสก็เป็นเพราะเรื่องนี้ แต่ยิ่งวิชาจีโนนี้แข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็ครอบงำจิตใจของข้ามากขึ้นเท่านั้น ข้าไม่ได้ฝึกวิชาเพื่อฆ่าฟัน แต่ข้าฝึกมันเพื่อทำให้จิตใจตัวเองแข็งแกร่งและไม่ถูกครอบงำโดยความชั่วร้าย มีเพียงแค่ข้าที่ควบคุมตัวเองในโลกใบนี้ได้ ไม่มีใครคนอื่นที่จะใช้ข้าได้ ไม่แม้แต่พระเจ้า” อวี้ซ่านซินพูดออกมาเบาๆ แต่หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงน้ำหนักในคำพูดของเขา


 


แต่หานเซิ่นไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าเวรี่ไฮยังไง


 


อวี้ซ่านซินมองไปที่หานเซิ่นและยิ้ม “วิถีเอ็กซ์ตรีมอีวิลที่ข้าฝึกไม่ได้มีพลังในการสัมผัสเหมือนอย่างของเผ่าเวรี่ไฮ แต่มันมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง ข้าจะใช้ความชั่วร้ายของข้าเข้าสิงเจ้า และเมื่อเผ่าเวรี่ไฮใช้สัมผัสของพวกเขารุกรานเข้าไปในจิตใจของเจ้า พวกเขาก็จะได้สัมผัสกับความชั่วร้ายของจิตใจข้า ทั้งหมดที่พวกเขาจะได้สัมผัสคือจิตใจของข้า นั่นหมายความว่าพวกเขาจะสัมผัสอะไรเกี่ยวกับเจ้าไม่ได้ แบบนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสัมผัสของพวกเขา เจ้าจะมีความสุขกับผลประโยชน์ของเวรี่ไฮโดยไม่ต้องกังวลกับการถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา แบบนั้นเจ้ายังจะปฏิเสธผลประโยชน์มากมายอีกอย่างนั้นหรอ?”


 


“ท่านทำแบบนั้นได้จริงอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นไม่ได้คลางแคลงใจในสิ่งที่อวี้ซ่านซินพูด ถึงแม้มันจะฟังดูไม่น่าเชื่อสักแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ถามออกไป


 


“ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า พวกเรามาลองทดสอบกัน ไปพบกับเอ็กซ์ควิสิทของเผ่าเวรี่ไฮ หลังจากนั้นเจ้าจะได้รู้ว่าที่ข้าบอกเป็นความจริงหรือไม่” อวี้ซ่านซินพูดด้วยรอยยิ้ม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)