Super God Gene 2551-2557
ตอนที่ 2551
ขนนกสีขาวอมเทาปรากฏออกมาห่อหุ้มร่างกายของหานเซิ่น ภาพของนกยูงสายรุ้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาและปลดปล่อยแสงสีรุ้งที่น่ากลัวออกมา แสงสีรุ้งนั้นละลายควันสีม่วงของมารนภาล็อคอย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงแค่หนึ่งวินาทีพลังที่จับตัวหานเซิ่นเอาไว้ก็หายไป
จี๋หยางเซิงและเดม่อนคนอื่นๆตกใจเมื่อได้เห็นแบบนั้น มารนภาล็อคของพวกเขาสามารถจับได้แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ
พวกเขามองเสื้อขนนกของหานเซิ่นอย่างตกตะลึง พวกเขาไม่แน่ใจว่าสมบัติที่หานเซิ่นกำลังใช้คือสมบัติซีโน่เจเนอิคแบบไหนกันแน่ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เห็นได้ชัดว่ามันทรงพลังพอที่จะทำลายมารนภาล็อคของพวกเขา
การสันนิษฐานของพวกเขาถูกแค่ครึ่งเดียว หานเซิ่นสามารถทำลายพลังของมารนภาล็อคได้เป็นเพราะพลังของเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูงก็จริง แต่ลำพังแค่วิญญาณอสูรไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาเป็นอิสระได้ ถึงแม้ราชานกยูงเทียนเซียจะมาอยู่ที่นี่ด้วยตัวเอง มันก็ไม่สามารถทำลายมารนภาล็อคได้
แต่เมื่อพลังของเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูง ความแข็งแกร่งของหานเซิ่นและพลังศาสตร์ตงเสวียนรวมกัน ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือพลังที่มากพอจะทำลายมารนกาล็อค
ที่หานเซิ่นไม่ใช่เสื้อคลุมวิญญาณราชนนกยูงในตอนแรกเป็นเพราะเขาคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับคนในชุดเกราะ เขาอยากรู้ว่าใครหรืออะไรที่อยู่เบื้องหลังคนในชุดเกราะ และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาปล่อยให้ตัวเองถูกจับ
ตอนนี้เขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์ที่จะแสแสร้งอีกต่อไป
ดวงตาของจี๋หยางเซิงเบิกกว้าง เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขาใส่พลังของตัวเองเข้าไปในเขาสีม่วงที่อยู่ในมือมากขึ้น
ดวงตาของคนในชุดเกราะเรืองแสงสีม่วงขึ้นมาอีกหน เขาพยายามจะจับหัวของหานเซิ่นอีกครั้ง
หานเซิ่นสะบัดมือและแสงสีรุ้งสาดส่องไปถูกคนในชุดเกราะ ร่างกายของคนในชุดเกราะสูญเสียการควบคุมและคว่ำลงไป แสงสีรุ้งครอบงำร่างกายทั้งร่างของเขา พลังของมันเริ่มจะย่อยสลายชุดเกราะสีดำอย่างรวดเร็วและเผยให้เห็นคนที่อยู่ข้างใน
คนที่อยู่ข้างในเป็นชายที่บึกบนอย่างมาก เขาสูงยิ่งกว่าหานเซิ่น แต่เขาไม่ได้สูงอะไรมากนัก เมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์ยักษ์ในจักรวาลจีโน รอยสักปกคลุมทั่วทั้งร่างกายของเขา
หานเซิ่นเห็นว่ารอยสักเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับชูร่า แต่หานเซิ่นไม่ได้เห็นชูร่าที่มีรอยสักแบบนี้มากนัก พวกมันแตกต่างไปจากรอยสักทั่วไปของเผ่าเดม่อน
หานเซิ่นมองไปที่หัวของคนๆนั้นและประหลาดใจที่เห็นว่าเขาไม่มีเขาของชูร่าอยู่ หัวของเขาปกคลุมด้วยผมสั้นสีม่วงเท่านั้น
แต่ในผมสั้นนั้น หานเซิ่นเห็นร่องรอยรูปไข่ มันดูเหมือนว่าครั้งหนึ่งคนๆนี้เคยมีเขาอยู่ แต่มันถูกหักออกไป
‘เขาเป็นหนึ่งในชูร่าจริงๆ’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
ชายคนนี้ไร้ซึ่งความรู้สึกและกล้ามเนื้อของเขาบูดบวมจนดูเหมือนกับว่าพวกมันกำลังจะระเบิด ลมปราณสีม่วงลอยออกมาและพยายามเข้ามาโจมตีหานเซิ่นอีกครั้ง หานเซิ่นตรวจจับพลังมารนภาได้ในทันที
“นี่ศาสตร์มารนภาและวิชาจำลองนภาเหมือนกันอย่างนั้นหรอ? แต่ถ้ามันไม่มีความแตกต่างอะไร นั่นก็หมายความว่าชูร่าบริสุทธิ์ไม่ควรจะเรียนรู้มันได้ไม่ใช่หรอ? ถ้าเขาเป็นชูร่าราชาจากก็อตแซงชัวรี่ เขาฝึกศาสตร์มารนภาได้ยังไง?” หานเซิ่นสงสัย
หมัดของคนๆนั้นเข้ามาหาหานเซิ่น แต่หานเซิ่นยกมือขึ้นมาหยุดมันเอาไว้ มือของหานเซิ่นห่อหุ้มด้วยแสงแห่งเทพสีรุ้งที่ก่อตัวโดยโซ่สสาร แสงแห่งเทพสีรุ้งนั้นรัดร่างกายอีกฝ่ายเอาไว้อย่างรวดเร็ว
คนๆนั้นพยายามดิ้นรน พลังมารนภาไม่ได้เป็นอะไรที่ทรงพลัง แต่มันแค่ไม่พลาดเป้าหมายเท่านั้น มันไม่ได้เป็นความสามารถที่ไร้เทียมทาน และเมื่อพูดถึงเรื่องพลัง คนๆนี้ยังไม่ถึงระดับเทพเจ้าซะทีเดียว พลังของเขาด้อยกว่าพลังของเสื้อคลุมวิญญาณ
ถ้าชูร่าคนนี้ต่อสู้กับคนอื่นนอกจากหานเซิ่น เขาก็สามารถใช้พลังเหตุและผลเพื่อหนีไปได้ แต่หานเซิ่นกำลังใช้อาณาเขตตงเสวียนร่วมกับพลังของเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูง อาณาเขตตงเสวียนจะบังคับให้ฟันเฟืองจักรวาลทั้งหมดในรัศมีหยุดหมุน แม้แต่พลังเหตุและผลก็ไม่สามารถหนีจากการควบคุมของหานเซิ่นได้ นอกซะจากว่าชูร่าคนนี้จะแข็งแกร่งกว่าหานเซิ่น ไม่อย่างนั้นพลังของเขาก็ไม่สามารถใช้การอะไรได้เมื่ออาณาเขตตงเสวียนของเขายังคงทำงานอยู่
จี๋หยางเซิงและเดม่อนคนอื่นตกตะลึง พลังของเดม่อนดอลล์นั้นเกือบจะถึงระดับเทพเจ้า และเดม่อนดอลล์ก็ไม่ใช่คนเผ่าเดม่อนธรรมดาๆ พวกเขามีพรสวรรค์ที่น่ากลัวมากๆ หลังจากที่พวกเขากลายเป็นเดม่อนดอลล์ พวกเขาจะมีปฏิกิริยาประหลาดต่อพลังมารนภา หลังจากนั้นเดม่อนดอลล์จะได้รับพลังเหตุและผลมา ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถประยุกต์ใช้พวกมันได้อย่างหลากหลาย แม้แต่เดม่อนเลือดบริสุทธิ์ก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้
แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถจับตัวเดม่อนดอลล์ได้ แต่ตอนนี้เดม่อนดอลล์ถูกจับตัวโดยหานเซิ่น สถานการณ์ทั้งหมดนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวเกินไป
โดยไม่ลังเล จี๋หยางเซิงหันหลังกลับเพื่อจะหนีไปให้เร็วที่สุด เดม่อนคนอื่นก็คิดจะทำแบบเดียวกัน แต่พวกเขาเพิ่งจะสังเกตว่าพลังของตัวเองหายไป พวกเขาไม่สามารถฉีกมิติของอวกาศ พวกเขาไม่สามารถใช้พลังอะไรได้นอกจากร่างกายของพวกเขาด้วยซ้ำ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” จี๋หยางเซิงและเดม่อนคนอื่นมองหน้ากันด้วยดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความกลัว
“ให้ข้าจัดการพวกเขา” จันทราสวรรค์พูดขึ้นมา เธอกวัดแกว่งร่มกระดาษและปลดปล่อยแสงแห่งดาบออกมา มันบินตรงไปที่จี๋หยางเซิง
เนื่องจากความจริงที่พวกเขาไม่สามารถใช้พลังของตัวเองได้ จี๋หยางเซิงและคนอื่นจึงโยกตัวหลบอย่างเงอะงะ แต่ปฏิกิริยาของพวกเขาช้าเกินไป การโจมตีที่โหดร้ายเริ่มพุ่งทะลุผ่านร่างกายของพวกเขา เลือดของเหล่าเดม่อนกระจัดกระจายไปทั่วขณะที่พวกเขากรีดร้องออกมา
วินาทีต่อมา เดม่อนระดับราชันหลายคนก็สิ้นชีพไปเรียบร้อยแล้วภายใต้ดาบแสงของจันทราสวรรค์ จี๋หยางเซิงและเดม่อนระดับครึ่งเทพ 2 คนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส
ตอนนี้พวกเขาเชื่อสิ่งที่หานเซิ่นพูดแล้ว ผู้หญิงคนนั้นงดงามมากก็จริง แต่เธอยังเป็นคนที่จะสังหารหมู่ศัตรูของเธอโดยไม่แม้แต่จะแสดงความลังเล
พวกเขายังคงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลพลังอาณาเขตของหานเซิ่น พวกเขาไม่สามารถใช้พลังของตัวเองได้ ถึงแม้พวกเขาจะพยายามหมุนฟันเฟืองของตัวเอง แต่พลังของพวกเขาก็ยังคงอยู่ในตัว พวกเขาไม่สามารถใช้งานพวกมันได้
พลังอาณาเขตของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เหนือไปกว่าระดับราชัน แต่ดาบแสงของเธอสามารถเจาะทะลุร่างกายของครึ่งเทพ พลังนั้นเหนือกว่าที่ระดับราชันทั่วไปจะทำได้
จี๋หยางเซิงทั้งตกใจทั้งโกรธ เขารู้สึกเกลียดความจริงที่ตัวเองไม่ทำตามคำแนะนำของเดม่อนระดับราชันคนนั้น
“หานเซิ่น ข้าเป็นบุตรชายของผู้นำเผ่าเดม่อน ถ้าเจ้าฆ่าข้า เผ่าเดม่อนก็จะทำทุกอย่างเพื่อล้างแค้น แต่ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป เจ้าจะได้รับสมบัติระดับเทพเจ้าและยีนซีโน่เจเนอิคที่เจ้าต้องการ” จี๋หยางเซิงตะโกน
หานเซิ่นมองจี๋หยางเซิงและพูด “เผ่าเดม่อนอย่างนั้นหรอ? พวกเจ้าถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำเมื่อเทียบกับเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของจี๋หยางเซิงก็ซีดไป เขาจำได้ว่าหานเซิ่นฆ่าองค์ชายคนหนึ่งของเอ็กซ์ตรีมคิง ถ้าเขาไม่กลัวแม้แต่ต่อความพิโรธของเอ็กซ์ตรีมคิง ทำไมเขาถึงต้องกลัวเผ่าเดม่อน?
หานเซิ่นยื่นมือออกมาและแสงสีรุ้งก็พุ่งออกไปจากฝ่ามือของเขา จี๋หยางเซิงไม่มีเวลาจะหลบหลีกมัน เขาสีม่วงถูกหานเซิ่นชิงไป
หานเซิ่นเมินเฉยต่อจี๋หยางเซิงและเดม่อนคนอื่นที่กำลังถูกดาบแสงของจันทราสวรรค์ฆ่า เขาหันความสนใจมาที่เขาสีม่วงอันลึกลับและยกมันขึ้นมาทาบกับเขาที่หักบนหัวของชูร่า
‘มันเป็นเขาของเขาจริงๆ’ หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมันและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตอนที่ 2552
“ไว้ชีวิตพวกเขา ฉันมีเรื่องที่จำเป็นต้องถามพวกเขา” หานเซิ่นพูดกับจันทราสวรรค์ที่กำลังจะปลิดชีวิตจี๋หยางเซิง
จันทราสวรรค์ลดร่มกระดาษลงและมองจี๋หยางเซิงกับคนอื่นด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ทั้ง 3 คนที่ถูกไว้ชีวิตนั้นบาดเจ็บหนัก ถึงแม้จะมองเผินๆ มันก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่
แถมพวกเขายังตกอยู่ภายใต้อาณาเขตตงเสวียน ดังนั้นพวกเขาไม่มีหวังที่จะหนีไปได้
“จี๋หยางเซิง เดม่อนดอลล์นี่มันคืออะไร?” หานเซิ่นมองจี๋หยางเซิงที่มีเลือดไหลออกมาทั่วตัว
“ในตอนนี้เมื่อข้าตกอยู่ในกำมือของเจ้า เจ้าก็ฆ่าข้าได้เลยถ้าเจ้าต้องการ แต่ข้าจะไม่มอบข้อมูลอะไรให้กับเจ้า” จี๋หยางเซิงพูด
หานเซิ่นยิ้ม ดูเหมือนว่าจี๋หยางเซิงไม่คิดจะยอมบอกข้อมูลอะไร ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะใช้พวกมันในการต่อรองแทนที่จะพยายามทำตัวกล้าหาญแบบนี้
หานเซิ่นสะบัดมือและเดม่อนระดับครึ่งเทพทั้ง 2 คนก็หายตัวไปในแสงสีรุ้ง พวกเขาสลายจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
“จี๋หยางเซิง บอกข้ามาว่าเจ้าได้เดม่อนดอลล์มาจากไหนและข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” หานเซิ่นพูดอย่างช้าๆ
จี๋หยางเซิงมีสีหน้าที่ซับซ้อน ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดด้วยความมั่นใจเหมือนกับก่อนหน้านี้ หลังจากที่คิดอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้นมา
“ถ้าข้าบอกเจ้า เจ้าจะยอมไว้ชีวิตข้าจริงๆอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นหัวเราะและพูด “จี๋หยางเซิง ถึงแม้เจ้าจะหลงตัวเอง แต่เจ้าไม่ต่างจากมดตัวหนึ่งในสายตาของข้า ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย มันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรในชีวิตของข้า ดังนั้นข้าไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
จี๋หยางเซิงกัดฟันและมองมาที่หานเซิ่น มันเหมือนกับว่าเขากำลังทำการตัดสินใจครั้งใหญ่
“โอเค ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเดม่อนดอลล์ แต่เจ้าต้องให้สัญญาว่าเจ้าจะปล่อยข้าไป”
ใบหน้าของหานเซิ่นดูเย็นชา เขาไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้นและรวบรวมแสงสีรุ้งในมือ
“โอเค ข้าจะบอกเจ้า! ข้าจะบอกเจ้า!” จี๋หยางเซิงตื่นตระหนก
ในตอนแรกจี๋หยางเซิงคิดว่าหานเซิ่นทำผิดพลาดในการฆ่าเดม่อนที่เหลือคนอื่นอีก 2 คนไป จี๋หยางเซิงคิดว่าถ้าเขาเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ หานเซิ่นก็จะไม่ฆ่าเขาด้วยความปราณนาที่อยากจะรู้ความลับของเดม่อนดอลล์ ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจะถูกบังคับให้ทำการต่อรอง
แต่ตอนนี้เขารู้สึกตัวว่าหานเซิ่นมีพลังที่สามารถฆ่าครึ่งเทพ 2 คนอย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่าเขาเองก็จะถูกฆ่าตายได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน ความลับที่เขามีอยู่นั้นดูไม่ได้มีค่าอะไรกับหานเซิ่นมากนัก
“อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าพูดโกหก ไม่อย่างนั้นถึงแม้ข้าไม่อยากจะฆ่าเจ้า แต่ข้าก็ต้องฆ่าเจ้าเพื่อเป็นการลงโทษ” หานเซิ่นพูดกับจี๋หยางเซิง
หานเซิ่นรู้ว่าจริงๆแล้วจี๋หยางเซิงเป็นคนรักตัวกลัวตายที่แสร้งทำเป็นกล้าหาญ เขาเป็นคนที่จะพยายามรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเมื่อลูกน้องยังอยู่รอบๆ ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงช่วยเขาอีกแรงและฆ่าเดม่อนคนอื่นก่อนที่จะเริ่มการสอบถาม
ตอนนี้เมื่อจี๋หยางเซิงเป็นคนเดียวที่เหลือรอด เขาดูเหมือนจะยินดีต่อรองเพื่อมีชีวิตรอดมากขึ้น ถึงแม้ความพยายามในการต่อรองของเขาจะอ่อนลงไป เนื่องจากความแน่วแน่ของเขาถูกพังทลาย
มันใช้เวลาเพียงไม่นานก่อนที่หานเซิ่นจะได้รับฟังเรื่องราวของเดม่อนดอลล์จากจี๋หยางเซิง
จี๋หยางเซิงเองก็ไม่ได้รู้เกี่ยวกับเดม่อนดอลล์มากนัก ทั้งหมดที่เขารู้ก็คือพวกมันถูกสร้างขึ้นโดยอัลฟ่าของเผ่าเดม่อน พวกมันมีพละกำลังที่สูงและเชี่ยวชาญในพลังมารนภา พวกมันน่ากลัวยิ่งกว่าเผ่าเดม่อนจริงๆ
แต่ไม่มีใครที่รู้ว่าเดม่อนอัลฟ่านั้นสร้างเดม่อนดอลล์พวกนี้จากอะไรกันแน่
ผู้คนเชื่อว่าเดม่อนดอลล์ถูกสร้างขึ้นจากยอดฝีมือเผ่าเดม่อน แต่มันมียอดฝีมือเผ่าเดม่อนไม่มากนักที่จะมีพรสวรรค์ระดับนั้น แถมมันไม่มีบันทึกเกี่ยวกับการหายตัวไปของยอดฝีมือเผ่าเดม่อน ดังนั้นนั่นจึงไม่มีทางเป็นเรื่องจริงไปได้
แม้แต่สังคมของเผ่าเดม่อนก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเดม่อนดอลล์มากนัก มีเพียงแค่บุคคลสำคัญเท่านั้นที่จะรู้เกี่ยวกับพวกมัน และมีเดม่อนไม่มากที่จะได้รับเดม่อนดอลล์จากอัลฟ่ามาใช้งาน
ถึงแม้หานเซิ่นจะถามและข่มขู่ซ้ำๆ จี๋หยางเซิงก็ไม่เผยออกมาว่าเดม่อนดอลล์ถูกสร้างขึ้นยังไง มันคงจะเป็นบางสิ่งที่มีแค่เดม่อนอัลฟ่าเท่านั้นที่รู้
“มันมีเดม่อนดอลล์อยู่เท่าไหร่กัน?” หานเซิ่นรู้ว่าจี๋หยางเซิงไม่ได้พูดโกหก ดังนั้นเขาจึงถามคำถามต่อไป
“ข้าไม่แน่ใจในเรื่องนั้น ข้ารู้ว่ามันมีอย่างน้อยสิบตัว เดม่อนอัลฟ่าได้มอบเดม่อนดอลล์ออกไปหลายตัว แต่มันยังมีอีกหลายตัวเหลือเก็บเอาไว้ ข้ารู้ว่ามันมีเดม่อนดอลล์ระดับเทพเจ้า 3 ตัว ส่วนที่เหลือเป็นระดับครึ่งเทพ”
จี๋หยางเซิงเปิดเผยความลับของเผ่าพันธุ์ออกมาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเพื่อความอยู่รอด
“มันมีเดม่อนดอลล์ระดับเทพเจ้า 3 ตัว?” หานเซิ่นแปลกใจ เผ่าเดม่อนไม่ได้ถือเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่โตอะไรในยุคสมัยนี้ ถึงอย่างนั้นไม่เพียงแค่พวกเขาจะมีระดับเทพเจ้าอยู่ แต่พวกเขามีเดม่อนดอลล์ระดับเทพเจ้าถึง 3 ตัว นั่นถือเป็นความจริงที่น่าตกใจ
“ดูเหมือนว่าเผ่าเดม่อนจะแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้” กู่ชิงเฉิงพูดหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่
หานเซิ่นเองก็คิดเหมือนกัน “มันมีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเดม่อนอัลผ่า ฉันเดิมพันว่าเดม่อนดอลล์นั้นคือราชาชูร่าที่เข้ามาในจักรวาลจีโนผ่านสุสานของชูร่า นั่นเหมายความว่ามันมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างเดม่อนและชูร่า แต่ทำไมเดม่อลอัลฟ่าถึงได้เปลี่ยนพวกเขาเป็นเดม่อนดอลล์?”
หานเซิ่นไม่เข้าใจ เขาถามจี๋หยางเซิงเกี่ยวกับวิธีที่จะควบคุมเดม่อนดอลล์ ซึ่งชายคนนั้นก็ทำการอธิบายอย่างละเอียด
“แต่ถึงเจ้าจะรู้วิธีที่จะควบคุมมัน เจ้าก็จำเป็นต้องมีพลังมารนภาเพื่อจะทำแบบนั้นได้”
จี๋หยางเซิงพูดหลังจากที่อธิบายจบ แต่หานเซิ่นได้ใส่พลังเข้าไปในเขาสีม่วงเรียบร้อยแล้ว และเดม่อนดอลล์ก็เริ่มจะเคลื่อนไหว
จี๋หยางเซิงอ้าปากค้าง และเขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
“เดม่อนดอลล์นี้ดูเหมือนเป็นอะไรที่ใช้งานได้ง่าย” หานเซิ่นยกเขาสีม่วงซึ่งกำลังปลดปล่อยควันสีม่วงออกมาขึ้น
ตามใดที่หานเซิ่นมีเขาสีม่วง เขาก็สามารถใช้จิตใจควบคุมเดม่อนดอลล์ได้ มันสามารถทำตามคำสั่งที่หลากหลาย และมันยังทำการเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวของมันเอง ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่ต้องควบคุมอยู่ตลอดเวลา
“หานเซิ่น ข้าบอกทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้ไปแล้ว และข้าก็ไม่ได้โกหกแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้ข้าไปได้แล้วใช่ไหม?” จี๋หยางเซิงถามหานเซิ่นด้วยความจริงใจ เขาดูหวาดกลัว
“ใครบอกว่าเจ้าไปได้?” หานเซิ่นยิ้ม
“เจ้าบอกว่าจะไว้ชีวิตข้า! นี่เจ้าคิดจะผิดสัญญาที่ให้เอาไว้อย่างนั้นหรอ?” จี๋หยางเซิงตกใจ ใบหน้าของเขาดูซีดเผือก
“ข้าบอกว่าข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่ข้าไม่ได้บอกว่าจะปล่อยเจ้าไป”
หานเซิ่นโบกมือและพูด “เจ้าต้องรับหน้าที่ลากรถม้าให้กับข้าในอนาคต”
“ลากรถม้า?” จี๋หยางเซิงสับสน เขาไม่รู้ว่านั่นหมายความว่าอะไร
…
ในคอร์แอเรีย ราชันหลายคนกำลังล่าซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่งอยู่ ในตอนที่พวกเขาฆ่ามันได้สำเร็จ พวกเขาก็เห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนที่มาทางพวกเขา
พวกเขาจ้องมองด้วยความสับสนอยู่นานก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจว่าพวกเขากำลังเห็นอะไร
พวกเขาเห็นเดม่อนคนหนึ่งกำลังมาทางพวกเขา มันมีเชือกรอบไหล่ของเดม่อนคนนั้น และเขากำลังลากบางสิ่งที่ดูเหมือนกับรถม้า
“เฮ้ นั่นมันเดม่อนจี๋หยางเซิงไม่ใช่หรอ? นี่เขากำลังทำอะไร?”
เหล่าราชันมองดูภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
จี๋หยางเซิงกำลังลากรถม้าทองแดง มันไม่ได้มีหลังคา แต่มันมีร่มคันหนึ่งกางอยู่เหนือหัวคนที่นั่งอยู่ ภายในรถม้าคือชายหนึ่งคนและผู้หญิง 2 คน ผู้หญิงที่งดงามกำลังนั่งประกบทั้ง 2 ข้างของชายคนนั้นราวกับสนมของราชา
ตอนที่ 2553 ฮีโร่พิทักษ์หญิงงาม
หานเซิ่นไม่ได้คิดจะหยามเกียรติของจี๋หยางเซิง และเขาก็ไม่ได้ต้องการจะนั่งบนรถม้า เขาแค่อยากลองดูว่าจะสามารถดึงดูดความสนใจของเผ่าเดม่อนได้ไหม
ถ้าพวกเขาต้องการช่วยจี๋หยางเซิงหรือกำจัดหานเซิ่น มันก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะทำแบบนั้นในคอร์แอเรีย มันจึงมีความเป็นไปได้สูงที่เผ่าเดม่อนจะส่งเดม่อนดอลล์มา
จุดประสงค์ที่แท้จริงของหานเซิ่นคือการล่อเดม่อนดอลล์ออกมา หลังจากนั้นเขาก็จะชิงมันมาเป็นของตัวเอง มันเป็นเรื่องดีสำหรับเขาที่จะมีเดม่อนดอลล์ระดับเทพเจ้าเก็บเอาไว้
การมีอยู่ของเดม่อนดอลล์ถือเป็นสิ่งที่ประหลาดมากๆ เดม่อนดอลล์ที่หานเซิ่นได้รับมานั้นมีพลังชีวิตและคิดได้ด้วยตัวเองเล็กน้อย แต่มันดูไม่เหมือนว่ามีชีวิตจริงๆ
มันจะมีชีวิตจิตใจขึ้นมาก็ต่อเมื่อมันได้รับคำสั่งผ่านเขาสีม่วง ถ้ามันไม่ถูกควบคุม มันก็จะยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกปิดการทำงาน
แถมคนๆหนึ่งไม่ควรเดินทางเข้ามาในคอร์แอเรียพร้อมกับสิ่งมีชีวิตอื่น แต่ถึงอย่างนั้นเดม่อนดอลล์กลับถูกนำเข้ามาในคอร์แอเรียได้ นั่นหมายความว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิต
แต่หานเซิ่นไม่รู้ว่าเดม่อนดอลล์ระดับเทพเจ้าจะผ่านเข้ามาในคอร์แอเรียได้หรือเปล่า ถ้าทำได้ เผ่าเดม่อนก็ควรจะแข็งแกร่งกว่าเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงเมื่ออยู่ภายในคอร์แอเรีย
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดาของหานเซิ่น มันอาจจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่จะนำเดม่อนดอลล์ระดับเทพเจ้าเข้ามาในคอร์แอเรีย แต่ถึงจะนำพวกมันเข้ามาได้ เผ่าเดม่อนก็อาจจะใช้พวกมันอย่างลับๆเท่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ความลับแพร่งพรายออกไปสู่เผ่าอื่น
“มาดูนี่เร็วเข้า สิ่งแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน และนี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เดม่อนจี๋หยางเซิงเป็นคนลากรถม้าแบบนี้”
“เดม่อนอัลฟ่านั้นรักและเอ็นดูจี๋หยางเซิง เขาเป็นคนที่อวดดี แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนลากรถม้า ใครกันที่เขาลากรถม้าให้? มันคงจะไม่ใช่คนของเอ็กซ์ตรีมคิงหรอกใช่ไหม?”
“คนของเอ็กซ์ตรีมคิงจะทำแบบนั้นได้ยังไง? เรื่องแบบนั้นอยู่เหนือความสามารถของพวกเขา”
“เจ้าต้องล้อเล่นแน่ๆ ในจักรวาลนี้จะมีใครแข็งแกร่งกว่าคนของเอ็กซ์ตรีมคิงได้อีก”
“เจ้าลืมบิดาของเทพไป”
“โอ้เจ้าหมายถึงหานเซิ่นใช่ไหม? เขายังไม่ตายอีกหรอ?”
“ตาย? เขายังใช้ชีวิตอย่างปกติดี แถมเขายังบังคับจี๋หยางเซิงให้มาลากรถม้าให้กับเขา ขณะที่มีผู้หญิงที่งดงาม 2 คนนั่งประกบข้าง เจ้าไม่ได้เห็นพวกนางทั้ง 2 คนอย่างนั้นหรอ? พวกนางงดงามมากๆ ข้าไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงคนไหนในจักรวาลที่งดงามไปกว่าพวกนางทั้ง 2”
“จริงอย่างนั้นหรอ? พวกนางงดงามขนาดนั้นเลย?”
“ข้าไม่ได้โกหก ข้าเคยเห็นองค์หญิงของเอ็กซ์ตรีมคงมาครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับพวกนางทั้ง 2 คนแล้ว… องค์หญิงของเอ็กซ์ตรีมคิงดูธรรมดาไปเลย พวกนางนั้นงดงามกว่ามาก องค์หญิงเอ็กซ์ตรีมคิงแทบไม่คู่ควรที่จะเป็นสาวใช้ของพวกนางด้วยซ้ำ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าต้องไปดูสักหน่อยแล้ว”
จี๋หยางเซิงลดหัวลงขณะที่ลากรถม้าไปข้างหน้า เขารู้สึกโกรธมากๆ แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เขาได้แต่คิดกับตัวเองว่า ‘ไอ้เวรหานเซิ่น อย่าให้ข้ามีโอกาสฆ่าเจ้านะ’
ใครบางคนถ่ายวิดีโอสิ่งที่เกิดขึ้นและเผยแพร่มันออกไป ทั้งจักรวาลจึงได้รับรู้ว่าจี๋หยางเซิงกลายเป็นคนลากรถม้าของหานเซิ่น เมื่อผู้นำของเผ่าเดม่อนได้เห็น เขาก็คงจะกระอักเลือดออกมาด้วยความอับอาย
แถมยอดฝีมือที่ครั้งหนึ่งอยู่ข้างกายจี๋หยางเซิงถูกฆ่าตายไปจนหมด กำลังเสริมของพวกเขาอยู่ไกลออกไป และมันจะใช้เวลานานกว่าที่พวกเขาจะเดินทางมาช่วยได้
หานเซิ่นมีแผนที่จะล่อเผ่าเดม่อนออกมา แต่ไม่มีเผ่าเดม่อนคนไหนปรากฏตัวมา กู่ชิงเฉิงและจันทราสวรรค์รู้สึกหงุดหงิดมากเกี่ยวกับความจริงที่ว่าพวกเธอดึงดูดสายตาของผู้ชายจำนวนมาก
โชคดีที่พวกเธอแค่แสดงตัวเองในตอนแรกเท่านั้น หลังจากผ่านไปสักพักพวกเธอก็ซ่อนใบหน้าของตัวเองด้วยการสวมใส่ชุดเกราะ
แต่ถึงอย่างนั้นราชันมากมายก็ยังคงมาเพื่อดูพวกเขา
แน่นอนว่าราชันบางคนมาเพื่อดูผู้หญิงเท่านั้น แต่ราชันส่วนใหญ่ที่มานั้นมาเพื่อดูหานเซิ่น พวกเขาอยากจะได้รับพรจากหานเซิ่นหรือไม่ก็จับตัวหานเซิ่นไป
แต่การได้เห็นเดม่อนจี๋หยางเซิงที่เป็นถึงครึ่งเทพกำลังลากรถม้าให้กับหานเซิ่น มันก็ไม่มีใครกล้าจะทำอะไร พวกเขาก็คิดว่าควรจะรอให้ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมาถึง
หานเซิ่นเดินทางอยู่ครึ่งวันก่อนที่จะมีใครบางคนกล้าพอที่จะมาขวางทางเขาเอาไว้
“ดูนั่น มีใครบางคนมาที่นี่ เริ่มถ่ายมันเร็วเข้า มาดูกันว่าใครกันที่มาหาหานเซิ่น นั่นมันออทัมน์วินด์ของเผ่าไอจิไม่ใช่หรอ?”
“เผ่าไอจินั้นขึ้นชื่อในเรื่องความเจ้าชู้ ออทัมน์วินด์นั้นคงจะต้องมาเพราะผู้หญิง 2 คนนั้น”
“เผ่าไอจิถือเป็นเผ่าที่ถูกเคารพนับถือในบรรดาเผ่าพันธุ์ชั้นสูงทั้งหมด พวกเขามียอดฝีมืออยู่มากมาย และพวกเขาก็เชี่ยวชาญในการใช้ธนูเป็นพิเศษ มันมีนักธนูที่เก่งกาจมากมายในเผ่าพวกเขา แต่เผ่าไอจิไม่ถือว่าแข็งแกร่งอะไร เนื่องจากยอดฝีมือส่วนใหญ่ของพวกเขามักจะถูกจ้างโดยเผ่าพันธุ์อื่นๆ มันมีน้อยเผ่าพันธุ์นักที่จะไม่มีนักธนูของเผ่าไอจิอยู่ ส่วนออทัมน์วินด์นั้นเป็นนักธนูที่เก่งกาจที่สุดในรอบหลายศตวรรษ เขาเป็นครึ่งเทพ และสักวันหนึ่งเขาต้องกลายเป็นระดับเทพเจ้าแน่นอน เขาอาจจะโค่นล้มหานเซิ่นได้”
“ข้ากลัวว่าเป้าหมายของเขาจะไม่ใช่หานเซิ่น แต่เป็นผู้หญิงทั้ง 2 คน”
“ข้าไม่คิดว่าออทัมน์วินด์จะมีความสามารถพอ สมญานามบิดาของเทพทั้งปรวงนั้นไม่ใช่แค่มุขตลก แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าของเอ็กซ์ตรีมคิงก็ยังจับตัวเขาไม่ได้ ดังนั้นข้าไม่คิดว่าออทัมน์วินด์จะทำอะไรได้มาก”
“บางทีอาจจะไม่เป็นแบบนั้น ระบบเทียนเซียและระบบจักรวาลเคออสนั้นซับซ้อนเกินไป เห็นได้ชัดว่าเหล่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าเจอกับปัญหาในตอนที่ตามล่าตัวหานเซิ่น และเขาก็ซ่อนตัวเป็นอย่างดี แต่ในคอร์แอเรียนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะซ่อนตัว”
ในขณะที่ทุกคนพูดคุยกัน รถม้าทองแดงของหานเซิ่นก็เคลื่อนมาอยู่ตรงหน้าของออทัมน์วินด์
หานเซิ่นมองไปที่ออทัมน์วินด์ เขาดูเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง เขาเตี้ยและผอมกว่าหานเซิ่น แต่ใบหน้าของเขานั้นละเอียดอ่อน หูของเขายาวและแหลมเป็นพิเศษ เขามีปีกเงินที่โปร่งใสอยู่ด้านหลัง เขาดูเหมือนกับเอลฟ์ในเทพนิยาย
“ทำไมเจ้าถึงมาขวางทางข้า?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่ออทัมน์วินด์
ออทัมน์วินด์มองไปที่กู่ชิงเฉิงและจันทราสวรรค์ก่อนจะพูดขึ้นมา
“ข้าได้ยินว่ามีผู้หญิงที่งดงาม 2 คนอยู่ที่นี่ ผู้คนกล่าวว่าโฉมหน้าของพวกนางนั้นตกตะลึงทั้งจักรวาล ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อดู ข้าคิดว่าเรื่องราวพวกนั้นต้องพูดเกินเลยไป แต่ก่อนที่ข้าจะได้เห็นพวกนาง เพียงแค่ออร่าของพวกนางก็เพียงพอที่จะทำให้ข้าลุ่มหลง ความรู้สึกนี้เป็นอะไรที่คุ้มค่าสำหรับการเดินทางมา ข้าสงสัยว่าพวกนางทั้ง 2 ยินดีที่จะเผยโฉมให้กับข้าไหม ข้ายินดีจะตายเพื่อได้เห็นพวกนาง”
“เจ้าควรกลับบ้านไปในขณะที่เจ้ายังมีโอกาส” หานเซิ่นพูด
“ข้าจริงจังกับเรื่องนี้ ถ้าพวกเจ้าทั้ง 2 คนอนุญาตให้ข้าได้เห็นหน้าพวกเจ้า ข้าก็ยินดีจะเป็นทาสของพวกเจ้าไปชั่วชีวิต ไม่สิถึงข้าจะถูกฆ่าตายในทันที ข้าก็จะไม่เสียใจกับมัน” ออทัมน์วินด์ไม่สนใจหานเซิ่นและขอร้องกู่ชิงเฉิงกับจันทราสวรรค์
ถึงแม้เขาจะพูดออกมาแบบนั้น แต่มันก็ดูไม่เหมือนว่าเขามาที่นี่เพื่อหาเรื่อง
หานเซิ่นกำลังจะบอกให้จี๋หยางเซิงลากรถม้าผ่านออทัมน์วินด์ไป แต่จู่ๆจันทราสวรรค์ก็พูดขึ้นมา
“เจ้าจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเรา แต่เจ้าต้องเอาชนะเขาให้ได้ซะก่อน”
คำพูดของจันทราสวรรค์ทำให้เหล่าราชันมากมายที่อยู่ที่นั่นตกใจ พวกเขาคิดว่าพวกเธอทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนของหานเซิ่น แต่สิ่งที่เธอพูดออกมานั้นบ่งบอกอะไรที่แตกต่างออกไป
พวกเขาเริ่มเชื่อว่าพวกเธอถูกจับเป็นตัวประกันโดยปีศาจที่ชั่วร้าย มันทำให้พวกเขาเดือดขึ้นมา พวกเขาต้องการจะช่วยพวกเธอทั้ง 2 คน
ตอนที่ 2554 วินด์สตริง
เนื่องจากราชันในคอร์แอเรียได้อัดวิดีโอและถ่ายทอดออกไป ยอดฝีมือทั่วจักรวาลจึงได้ดูสิ่งที่เกิดขึ้นภายในนั้น หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่จันทราสวรรค์พูด สายตาที่เกรี้ยวโกรธก็จับจ้องไปที่หานเซิ่น คนหนุ่มนับไม่ถ้วนต้องการจะเอาชนะหานเซิ่นเพื่อช่วยสาวงามทั้ง 2 คน
แน่นอนว่าคนหนุ่มที่คิดแบบนั้นส่วนใหญ่ไม่มีระดับที่สูงพอที่จะเข้าไปในคอร์แอเรีย ส่วนเหล่าราชันที่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นจากภายในคอร์แอเรียนั้นไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใดๆ
“เป็นความจริงอย่างนั้นหรอ?” ออทัมน์วินด์ถามด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของเขาดูเป็นประกาย
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า อย่างนั้นเจ้าจะถามข้าทำไม?” จันทราสวรรค์ยิ้ม
“ข้าเชื่อเจ้า” ออทัมน์วินด์พยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็หันมามองที่หานเซิ่น
“เจ้าจะประลองกับข้าได้ไหม? ไม่ต้องกังวล ข้าแค่จะเอาชนะเจ้าตามคำขอของนาง ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
‘หมอนี่มั่นใจในตัวเองจริงๆ’ หานเซิ่นคิดและอั้นหัวเราะเอาไว้ เขามองไปที่ออทัมน์วินด์และพูด
“ข้าจะประลองกับเจ้าก็ได้ ถ้าเจ้าชนะ เจ้าจะได้เห็นหน้าพวกนาง แต่ถ้าข้าชนะ ข้าจะได้อะไร?”
“ที่เจ้าพูดมันก็ถูก” ออทัมน์วินด์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาพูดต่อ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องการอะไร?”
หานเซิ่นประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าออทัมน์วินด์จะพูดออกมาแบบนั้น เขามองไปที่ออทัมน์วินด์และคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ตลกดี
หานเซิ่นเงียบไปชั่วครู่และพูด “ถ้าเจ้าแพ้ ทำไมเจ้าไม่มาลากรถม้าเหมือนกับเขาล่ะ?”
“เอาแบบนั้นก็ได้” ออทัมน์วินด์ไม่แม้แต่จะคิดก่อนที่เขาจะตอบตกลง เขาคงจะไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
หานเซิ่นยืนขึ้นและเดินลงมาจากรถม้า เขามายืนอยู่ห่างออกไปจากออทัมน์วินด์สิบเมตร
ออทัมน์วินด์มองหานเซิ่นและพูด “ใช้การโจมตีแบบไหนก็ได้ที่เจ้าต้องการ ถ้าเจ้าทำร้ายข้าได้ เจ้าก็เป็นฝ่ายชนะ”
‘หมอนี่พูดเรื่องบ้ามากกว่าที่เราทำเสียอีก’ หานเซิ่นคิดขณะที่มองไปที่ออทัมน์วินด์ เขามีคันธนูอยู่บนหลังและมันทำให้หานเซิ่นพูดขึ้นว่า
“ข้าขอยืนคันธนูของเจ้าหน่อย ข้าจะยิงธนูใส่เจ้า ถ้าเจ้าหลบลูกธนูของข้าไม่ได้ เจ้าก็เป็นจะฝ่ายพ่ายแพ้”
“ว้าว เขาน่าไม่อายซะจริง! เขาต้องรู้ว่าธนูของออทัมน์วินด์นั้นคือวินด์สตริงที่เป็นสมบัติระดับเทพเจ้าของเผ่าไอจิ เขาต้องการจะหลอกเอาสมบัติไปจากออทัมน์วินด์”
“ใครจะกล้าทำเรื่องแบบนั้น? นี่เขาคิดว่าออทัมน์วินด์โง่หรือยังไงกัน?”
“น้อยคนนักที่จะยินดีมอบสมบัติระดับเทพเจ้าให้กับคนอื่น ถึงแม้พวกเขาจะทำ พวกเขาก็จะไม่ส่งมันให้กับศัตรูคนหนึ่ง”
…
ขณะที่ทุกคนกำลังบ่น ออทัมน์วินด์ก็หยิบคันธนูกับซองลูกธนูออกจากด้านหลังและโยนพวกมันให้กับหานเซิ่น เหล่าราชันรอบๆนั้นอึ้งไป
“นี่เขายอมให้หานเซิ่นยืนมันจริงๆหรอเนี่ย”
“นี่หานเซิ่นจะใช้ธนูของออทัมน์วินด์จริงๆอย่างนั้นหรอ”
“เชิญลงมือ ยิงใส่ข้าจนกว่าเจ้าจะพอใจ” ออทัมน์วินด์ดูขาดความกระตือรือร้น เขาพูดกับหานเซิ่นอย่างสบายจิตสบายใจ
หานเซิ่นรับคันธนูและซองลูกธนูมา เขาสังเกตว่าในซองลูกธนูมีลูกธนูอยู่สิบลูก เขาพูดกับออทัมน์วินด์
“มันมีลูกธนูอยู่สิบลูก ข้าจะยิงใส่เจ้าสิบครั้ง ถ้าข้าพลาดทั้งหมด ก็ถือว่าข้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้”
ออทัมน์วินด์พยักหน้าและพูด “เอาตามนั้น ถ้าเจ้ายิงถูกร่างกายของข้าแม้แต่ลูกเดียว ก็ถือว่าข้าเป็นฝ่ายแพ้”
หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันความสนใจไปที่คันธนูของออทัมน์วินด์
คันธนูนั้นดูธรรมดามากๆ และดูเหมือนว่ามันจะถูกทำขึ้นมาจากเถาวัลย์แก่ๆ มันดูเหมือนกับธนูยาวที่ล้าสมัย สายของมันกึ่งโปร่งใสและบางราวกับเส้นผม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นสายที่แน่นมากๆ หานเซิ่นไม่รู้ว่ามันทำมาจากวัสดุแบบไหนกันแน่
ในจังหวะที่หานเซิ่นจับคันธนู สีหน้าของออทัมน์วินด์ก็ดูจริงจังขึ้นมา นั่นเพราะว่าเขาสามารถบอกได้ว่าหานเซิ่นเชี่ยวชาญในการใช้ธนู เขาเชื่อว่าหานเซิ่นต้องเป็นนักธนูที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ทว่าออทัมน์วินด์ไม่ได้มอบคันธนูของเขาให้กับหานเซิ่นเพราะเขานั้นโง่เขลา
ความจริงแล้วออทัมน์วินด์เป็นคนที่ฉลาด มันมีผู้คนไม่มากนักที่จะใช้วินด์สตริงได้ มันถือเป็นหนึ่งในสมบัติลับของเผ่าไอจิ และมีเพียงแค่คนที่มีสายเลือดของไอจิเท่านั้นที่จะใช้มันได้
วินด์สตริงเป็นอาวุธที่มีจิตวิญญาณ และออทัมน์วินด์ก็ได้รับการยินยอมจากมันเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ใครบางคนจะเอามันไปจากเขา คนๆนั้นก็จะไม่สามารถใช้มันได้ ความพยายามของหานเซิ่นที่จะใช้ธนูนั้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ วินด์สตริงจะไม่ช่วยเหลือเขา และเขาก็อาจจะถูกมันทำร้ายอีกด้วย
ที่ออทัมน์วินด์มีมารยาทนั้นเป็นเพราะเขาต้องการให้กู่ชิงเฉิงและจันทราสวรรค์ประทับใจในบุคลิกภาพของเขา ถ้าหานเซิ่นใช้วินด์สตริงยิงใส่เขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องหลบด้วยซ้ำ หานเซิ่นจะพลาดและถูกทำร้ายโดยวินด์สตริงด้วยตัวเขาเอง
ในตอนที่เขาเห็นถึงความคล่องตัวของหานเซิ่นในตอนที่จับคันธนู ออทัมน์วินด์ก็รู้สึกตัวว่าหานเซิ่นต้องเชี่ยวชาญในการยิงธนู แต่ยอดฝีมือแบบนั้นก็ควรจะรู้อะไรเกี่ยวกับวินด์สตริงบ้าง นั่นทำให้เขาสงสัยว่าทำไมหานเซิ่นถึงได้เลือกขอยืนมันไป
หานเซิ่นลูบคันธนู หลังจากนั้นเขาก็จับสายธนูด้วย 2 นิ้วและพยายามจะดึงมัน ขณะที่ทุกสายตามองมาที่คันธนู สายธนูกึ่งโปร่งแสงนั้นไม่ขยับเขยื้อน
Pfff!
เหล่าราชันและขุนนางที่ดูอยู่เกือบจะพ่นอะไรก็ตามที่อยู่ในปากออกมา
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หานเซิ่นก็ยังไม่สามารถขยับสายธนูได้ มันไม่มีความจำเป็นต้องประลอง เพราะหานเซิ่นยังไม่สามารถยิงธนูลูกหนึ่งออกไปได้ด้วยซ้ำ
“หานเซิ่นไร้เดียงสาเกินไป นี่เขาคิดจริงๆหรือว่าออทัมน์วินด์จะให้เขายืมธนูด้วยความหวังดี? นี่มันคือวินด์สตริงของเผ่าไอจิ คนที่ไม่มีสายเลือดของไอจินั้นไม่มีทางใช้มันได้”
“ใช่แล้ว นี่ข้าลืมไปได้ยังไง? นั่นมันวินด์สตริง ในตอนที่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนสุดท้ายของเผ่าไอจิเสียชีวิตไป พวกเขาก็ไม่มียอดฝีมือระดับเทพตั้งแต่เวลานั้นมา เผ่าโบน่าโจมตีเผ่าไอจิและขโมยวินด์สตริงมาจากพวกเขา หลังจากนั้นกษัตริย์ของเผ่าโบน่าก็พยายามจะโชว์วินด์สตริงที่งานเลี้ยงฉลอง เขามอบธนูให้กับขุนพลที่เชี่ยวชาญการใช้ธนูเพื่อนำไปแสดงการยิงธนูให้คนอื่นได้ดู แต่ขุนพลคนนั้นถึงแม้จะพยายามใช้ทุกวิถีทาง เขาก็ดึงสายของวินด์สตริงไม่ได้”
“เมื่อกษัตริย์ของโบน่าเห็นแบบนั้น เขาก็ได้สั่งให้ขุนพลอีกคนไปช่วยอีกแรง คนหนึ่งจับคันธนูเอาไว้ขณะที่อีกคนดึงสายธนู พวกเขาดึงสายของวินด์สตริงได้สำเร็จ แต่หลังจากที่พวกเขาดึงสายธนู คันธนูก็มีชีวิตขึ้นมา วินด์สตริงเริ่มจะเคลื่อนไหวด้วยตัวมันเอง และสายธนูก็ตัดหัวของขุนพลทั้ง 2 คนนั้น ตั้งแต่นั้นมาทุกคนที่พยายามใช้มันก็จะถูกทำร้ายโดยคันธนู มันจึงถูกกล่าวว่าเป็นสิ่งของที่นำมาซึ่งเคราะห์ร้าย สุดท้ายแล้ววินด์สตริงก็กลับคืนไปสู่เจ้าของที่ถูกต้องของมัน ยอดฝีมือเผ่าไอจิที่ได้รับวินด์สตริงไปนั้นได้ใช้มันฆ่ายอดฝีมือมากมายและกลายเป็นระดับเทพเจ้าในที่สุด เขาทำให้เผ่าไอจิกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยเหตุนั้นชื่อของวินด์สตริงจึงมีชื่อเสียงไปทั่วจักรวาล แต่นอกจากเผ่าไอจิแล้ว มันก็ไม่มีใครคนไหนที่กล้าใช้วินด์สตริง”
“ไม่แปลกใจเลยที่ออทัมน์วินด์รีบมอบคันธนูให้กับหานเซิ่นแบบนั้น มันคือวินด์สตริงจริงๆ”
ตอนที่ 2555 ดึงสายธนู
หานเซิ่นถือวินด์สตริงอยู่ในมือและนิ้วมือของเขาก็จับที่สายธนู มันสั่นด้วยการสัมผัส เหมือนกับว่าเขากำลังลูบมังกรหรือเสือตัวหนึ่ง
ดาบมีจิตแห่งดาบ และธนูก็เองมีจิตวิญญาณเช่นกัน ยิ่งระดับของมันสูงมากเท่าไหร่ มันก็เป็นอะไรที่ยากขึ้นเท่านั้นที่จะใช้งานมัน หานเซิ่นใช้ศาสตร์ตงเสวียนในการเปิดใช้งานสมบัติต่างๆ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงใช้สมบัติเกือบทั้งหมดได้ แต่นั่นเป็นเพราะสมบัติส่วนใหญ่ไม่มีเจ้าของ ส่วนวินด์สตริงนั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว ดังนั้นถึงหานเซิ่นจะใช้พลังของศาสตร์ตงเสวียน คันธนูก็ยังคงต่อต้านเขา เขาไม่สามารถดึงสายของมันได้
หานเซิ่นเกี่ยวนิ้วไปที่สายธนู และเขาก็ค่อยๆใช้พลังของกายหยกอย่างช้าๆ นิ้วมือที่สัมผัสกับสายธนูเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งและพลังที่เขาใช้ก็ยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ถึงอย่างนั้นสายธนูก็ยังไม่ขยับเขยื้อน ไม่ว่าหานเซิ่นจะดึงสายธนูแรงสักแค่ไหน มันก็ปฏิเสธที่จะถูกดึง
ออทัมน์วินด์ปลาบปลื้มเมื่อเห็นแบบนั้น เขาพูดขึ้นมา
“วินด์สตริงของข้ามีจิตวิญญาณของมันเอง ไม่ใช่ใครจะใช้มันก็ได้ ทำไมเจ้าไม่ลองใช้คันธนูอื่นดูล่ะ? ข้าไม่รังเกียจ”
“ข้าชอบธนูที่ดื้อรั้นหน่อยๆ” หานเซิ่นพูดอย่างมีลับลมคมใน
ออทัมน์วินด์พูด “ข้าไม่รังเกียจที่จะต้องรอ แต่เจ้าจะปล่อยให้พวกนางทั้ง 2 รอนานเกินไปไม่ได้”
“ไม่มีความจำเป็นต้องรอ พวกเราเริ่มกันตอนนี้ได้เลย นี่เป็นธนูลูกแรก” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็หยิบลูกธนูดอกหนึ่งออกมาจากซองธนู
หานเซิ่นรู้สึกอุ่นใจเมื่อจับลูกธนู มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ในตอนที่เขาอยู่ในก็อตแซงชัวรี่ เขามักจะใช้ธนูอยู่บ่อยๆ และเขามักจะเป็นที่สุดในเรื่องการใช้พวกมัน ในตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียนทหารเหยี่ยวดำ เขาได้อันดับที่หนึ่งในการแข่งขันการยิงธนู หานเซิ่นชอบการใช้ธนูเป็นอย่างมาก
แต่เขายังคงไม่พบธนูที่ทรงพลังในจักรวาลจีโน และในเรื่องการต่อสู้ระยะไกล เขาก็สามารถใช้มนตราได้ เขาจึงแทบจะไม่ได้ใช้ธนูอีกเลย
ถึงแม้เขาจะพบวิญญาณอสูรประเภทธนูที่ดี เขาก็เลือกที่จะมอบมันให้กับหานเมิ่งเอ๋อลูกสาวของเขา
หานเซิ่นคิดว่าอีกนานกว่าที่เขาจะได้ใช้ธนูอีกครั้ง เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้ใช้ธนูในสถานการณ์แบบนี้
“เป็นความรู้สึกที่ดีที่ได้จับธนูอีกครั้ง” หานเซิ่นถอนหายใจ เขากดลูกธนูลงกับสายของวินด์สตริง
“เขาคิดจะทำอะไร? เขาดึงสายของวินด์สตริงไม่ได้ แบบนั้นแล้วการนำลูกธนูออกมาจะมีประโยชน์อะไร? นี่เขาคิดว่าลูกธนูจะถูกยิงออกไปด้วยตัวของมันเองหรือยังไง?” ทุกคนคิดว่าหานเซิ่นกำลังทำสิ่งที่ประหลาด
ทุกคนสามารถบอกได้ว่าหานเซิ่นมีพลังไม่เพียงพอ เขาพยายามดึงสายของวินด์สตริงอยู่หลายครั้ง และมันก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถดึงสายธนูได้
ออทัมน์วินด์พูดขึ้นมา “จริงๆแล้วข้าไม่รังเกียจอะไรถ้าเจ้าจะใช้ธนูคันอื่น”
หานเซิ่นไม่ได้สนใจที่ออทัมน์วินด์พูด เขายกคันธนูขึ้นและใช้วิชากายหยก หลังจากนั้นเขาก็ดึงสายธนูของวินด์สตริงมาด้านหลัง
พลังที่น่ากลัวพลุ่งพล่านผ่านนิ้วมือของหานเซิ่น เขาดึงสายธนูอย่างแรง แต่มันก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน หานเซิ่นออกแรงมากจนสายธนูเจาะเข้าไปในนิ้วของเขาจนถึงกระดูก มันผ่านการป้องกันของกายหยกอย่างสมบูรณ์
“อย่าได้ฝืน แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ยังยากที่จะดึงสายธนูของวินด์สตริงได้” ออทัมน์วินด์เตือน
หานเซิ่นไม่ได้สนใจคำเตือนของออทัมน์วินด์และยังคงดึงสายธนูต่อไป
“องค์ชายรีบหนีเร็วเข้า!” ในขณะที่สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หานเซิ่น เดม่อนคนหนึ่งขมวดคิ้วเมื่อเห็นจี๋หยางเซิงยังคงถูกผูกติดกับรถม้า
จี๋หยางเซิงแกล้งทำเป็นไม่เห็นเขา ขณะที่เดม่อนระดับราชันคนนั้นส่งเสียงเรียกเขาอย่างเร่งรีบ แต่เขาไม่ได้เข้าไปช่วยจี๋หยางเซิง เขาเป็นเพียงเดม่อนคนเดียวที่อยู่ที่นั่น ส่วนยอดฝีมือของเผ่าเดม่อนยังคงเดินทางมาไม่ถึง
“นี่องค์ชายเป็นอะไรของเขา? นี่เขาโง่หรือยังไงกัน? ทำไมเขาถึงไม่รีบหนี?” เดม่อนระดับราชันคนนั้นสงสัย
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้หานเซิ่นกำลังจดจ่ออยู่กับคันธนู ดังนั้นเดม่อนระดับราชันคนนั้นจึงไม่เข้าใจว่าทำไมจี๋หยางเซิงถึงไม่รีบหนีไปในตอนที่เขามีโอกาส
เดม่อนคนนั้นพยายามส่งสัญญาณให้กับจี๋หยางเซิง แต่การโบกมือซ้ำๆของเดม่อนชายคนนั้นทำให้จี๋หยางเซิงรู้สึกโกรธมากๆ เขาหันหน้าหนีและคิดกับตัวเอง
“นี่เจ้าโง่หรือยังไง? แน่นอนว่าข้าจะหนีไปถ้ามีโอกาส ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเตือน หานเซิ่นยังคงอยู่ที่นี่และผู้หญิงทั้ง 2 คนก็ไม่อาจจะถูกยั่วยุได้ ข้าจะไม่เสี่ยงหนีไปในตอนนี้”
เดม่อนระดับราชันคนนั้นเห็นว่าจี๋หยางเซิงปฏิเสธที่จะมองมาทางเขา ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเคลื่อนที่ไปตามฝูงชนจนกระทั่งเขาเข้ามาอยู่ในสายตาของจี๋หยางเซิงอีกครั้ง เมื่อเขาแน่ใจว่าจี๋หยางเซิงมองเห็นเขา เขาก็เริ่มส่งสัญญาณอีกครั้ง
จี๋หยางเซิงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เขาอยากจะไปตบเดม่อนระดับราชันไร้สมองคนนั้น ตอนนี้เขาไม่สามารถหนีไปได้ ถ้าเขาพยายามจะหนีไป ผู้หญิง 2 คนที่มากับหานเซิ่นก็ต้องมาหยุดเขาเอาไว้ มันจะเป็นอะไรที่ดูแย่ ถ้าเขาถูกจับตัวอีกครั้ง และครั้งนี้มันจะเกิดขึ้นต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก
จี๋หยางเซิงเมินเฉยต่อเดม่อนที่โง่เขลาคนนั้นและหลับตาลง
ทุกคนเห็นว่าหานเซิ่นกำลังใช้แรงทั้งหมดจนกระทั่งสายธนูจมลงไปในเนื้อหนัง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดึงสายธนูไม่ได้ และนั่นทำให้เหล่าผู้ชมรู้สึกดีใจ
“เขาคิดจริงๆหรือว่าเขาเป็นบิดาของเทพทั้งปวงน่ะ? ถึงแม้เขาจะเป็นจริงๆ นั่นก็คือธนู เขาเป็นบิดาของเทพ ไม่ใช่บิดาของธนู ทำไมเขาถึงยืนกรานที่จะดึงธนูนี้ให้ได้?”
“เขาจะอวดดีเกินไปหน่อยแล้ว เขาผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มาและตอนนี้เขาเชื่อว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง”
“ฮ่าๆ! ในที่สุดข้าก็ได้เห็นหานเซิ่นทำให้ตัวเองต้องอับอายขายหน้า”
“วินด์สตริงนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะใช้งานมันได้ ถ้าทุกคนใช้งานมันได้ มันก็คงจะไม่ตกเป็นของเผ่าไอจิ”
…
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน เสื้อคลุมขนนกสีเทาก็ปรากฏขึ้นรอบตัวหานเซิ่น พร้อมกับปลดปล่อยแสงสีรุ้งออกมา
ฝูงชนที่มาดูนั้นเห็นแสงสีรุ้งที่ส่องสว่างออกมาจากหานเซิ่น แต่พวกเขาไม่สามารถบอกถึงรายละเอียดของเสื้อคลุมหรือสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่บนหลังของหานเซิ่นได้ นกยูงกางหางของมันเรียบร้อยแล้วและแสงสีรุ้งก็เจิดจรัสรอบตัวหานเซิ่น
เมื่อหานเซิ่นได้รับพลังเสริมจากเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูง กายหยกบริเวณนิ้วมือของเขาก็เรืองด้วยแสงสีรุ้ง พลังไหลผ่านมือของเขาในระดับที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
ขณะที่พลังอันน่ากลัวพลุ่งพล่านในตัวหานเซิ่น ในที่สุดสายของวินด์สตริงก็เริ่มขยับ สายของธนูถูกดึงไปด้านหลังทีละนิดๆ สายธนูสั่นไหวอย่างรุนแรง และทำให้เกิดเสียงที่ดังราวกับฟ้าร้อง ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงนั้นคิดว่าหูของพวกเขากำลังจะระเบิด
ฝูงชนจ้องมองอย่างตกตะลึงขณะที่หานเซิ่นดึงสายของวินด์สตริงไปด้านหลัง พวกเขาตกใจเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมาได้
สายธนูของวินด์สตริงนั้นถูกดึงกำลังเหมือนอย่างที่ขุนพลของเผ่าโบน่าเคยทำ ด้วยการร่วมมือกันของครึ่งเทพ 2 คน แรงของพวกเขาก็ถึงระดับเทพเจ้าและเพียงพอที่จะดึงสายธนูของวินด์สตริง
แต่สิ่งต่างๆไม่ได้จบลงด้วยดีสำหรับคนที่ฝืนใช้วินด์สตริง มันเคยมียอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนหนึ่งสามารถดึงสายธนูของวินด์สตริงได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นเขาก็ประสบกับเคราะห์ร้าย
ตอนนี้ทุกคนเห็นว่าหานเซิ่นดึงสายของวินด์สตริงได้สำเร็จ ถึงพวกเขาจะรู้สึกแปลกใจ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ดีใจที่เห็นแบบนั้น
พวกเขาประหลาดใจที่หานเซิ่นสามารถดึงสายธนูของวินด์สตริงได้ และพวกเขาก็ตื่นเต้นที่จะได้รู้ว่าเคราะห์ร้ายแบบไหนที่หานเซิ่นต้องเจอ
ตอนที่ 2556 ลูกธนูหนึ่งดอก
ขณะที่หานเซิ่นดึงสายของวินด์สตริงไปด้านหลัง เสียงคำรามที่ออกมาจากธนูก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ราชันที่อยู่ใกล้เคียงรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาจะเด้งออกมาจากอก พวกเขารู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังจะระเบิด
ถึงแม้ทุกคนจะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พวกเขายังคงรู้ตัวว่าต้องรีบถอยออกไปและมองดูจากระยะที่ไกลมากกว่าเดิม
ออทัมน์วินด์เริ่มจะเหงื่อตก หานเซิ่นดึงสายธนูกลับไปด้านหลังมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขายิงมันออกมาในตอนนี้ ออทัมน์วินด์ก็ไม่มั่นใจว่าจะหลบลูกธนูได้
ถ้าวินด์สตริงถูกใช้เต็มกำลังสามารถทำร้ายได้แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้า ส่วนออทัมน์วินด์นั้นเป็นเพียงแค่ครึ่งเทพเท่านั้น ถึงแม้มันจะเป็นธนูของเขา เขาก็ไม่คิดว่าจะหลบหลีกลูกธนูที่ถูกยิงออกมาได้
เมื่อสายธนูของวินด์สตริงถูกดึงไปครึ่งหนึ่ง หานเซิ่นก็รู้สึกว่ามันติดอะไรบางอย่าง เขาไม่สามารถดึงสายธนูไปด้านหลังเพิ่มได้อีก ขณะเดียวกันโซ่สสารที่เหมือนกับทอร์นาโดก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากธนู มันกลายเป็นทอร์นาโดที่ดึงดูดหานเซิ่นเข้าไปข้างใน
“โอ้ไม่นะ! วินด์สตริงกำลังจะกลืนกินเขา”
“โชคร้ายสำหรับหานเซิ่น ทำไมเขาถึงได้เลือกยืมวินด์สตริงที่ต้องสาป?”
“วินด์สตริงจะตัดหัวของหานเซิ่นด้วยใช่ไหม?”
“มันยากที่จะบอกได้ ผู้คนหลายคนถูกตัดหัวโดยวินด์สตริงมาก่อน”
เหงื่อไหลลงมาบนหน้าผากของออทัมน์วินด์ ถ้าหานเซิ่นยิงลูกธนูออกมาในตอนนี้ เขาก็ไม่คิดว่าจะหลบมันได้
ขณะที่ราชันทั้งหมดกำลังพูดคุยกัน จู่ๆทอร์นาโอที่ห้อมล้อมวินด์สตริงและหานเซิ่นก็หายไป หานเซิ่นยังคงยืนถือคันธนูและดึงสายธนูไปไกลยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้ถูกทำร้ายโดยวินด์สตริง
วินด์สตริงส่งเสียงร้องในมือของเขา ดูเหมือนกับว่าคันธนูไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว แต่มันไม่มีทางเลือกนอกจากยอมจำนนต่อเจ้านายใหม่ และด้วยเหตุนั้นมันจึงส่งเสียงร้องออกมา
“เมื่อข้าต้องการจะยิงธนู เจ้าก็ต้องเปิดรับ ไม่ว่ายังไงก็ตาม”
หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็ออกแรงที่นิ้วมากขึ้นกว่าเดิม สายธนูที่ยังไม่ถูกดึงอย่างเต็มที่ก็ถูกดึงจนสุดอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มันดูเหมือนกับพระจันทร์เต็มดวง
วินด์สตริงสั่นไหวและปลดปล่อยเสียงคำรามที่เกรี้ยวโกรธออกมา แต่มันไม่สามารถทำอะไรได้ มันไม่สามารถหยุดหานเซิ่นจากการยิงลูกธนูได้
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง หานเซิ่นใช้กำลังบังคับวินด์สตริง แม้แต่พลังของมันก็ไม่สามารถหยุดหานเซิ่นได้ การมองดูวินด์สตริงในตอนนี้เหมือนกับการมองดูผู้หญิงที่กำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งฝืนใจ
หานเซิ่นเล็งธนูไปทางออทัมน์วินด์ และสีหน้าของออทัมน์วินด์ก็ซีดไป เหงื่อไหลออกมาจนเสื้อผ้าของเขาเริ่มจะเปียกโชก
เมื่อเห็นหานเซิ่นกำลังจะปล่อยมือจากลูกธนู ในที่สุดออทัมน์วินด์ก็ตะโกนขึ้นมา
“หยุด! อย่ายิง! ข้ารู้แล้วว่าเจ้าทำได้”
หานเซิ่นเมินเฉยต่อคำขอร้องของออทัมน์วินด์ มันเป็นเรื่องยากที่จะดึงสายธนูคันนี้ และหลังจากที่พยายามอย่างหนัก เขาก็รู้ว่าต้องยิงมันออกไป
เมื่อหานเซิ่นปล่อยมือ สายธนูก็ฉีกมิติของอวกาศจนขาด ลูกธนูบินออกไปและหายไปจากสายตาของทุกคน
ออทัมน์วินด์กลายเป็นพายุไต้ฝุ่น เขาเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆเหมือนกับสายลมเพื่อไม่ให้ใครจับตัวเขาได้
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างลูกธนูขนนกยังคงมาปรากฏตรงหน้าของเขา มันกำลังจะทะลุผ่านหน้าผากของเขาไป ออทัมน์วินด์ดูเหมือนจะไม่รอดแล้ว
แต่ในจังหวะที่ลูกธนูกำลังจะเจาะทะลวงหน้าผากของออทัมน์วินด์ จู่ๆลูกธนูก็ทอดทิ้งเป้าหมายของมัน มันเคลื่อนที่ไปหาดวงดาวที่อยู่ใกล้เคียงแทน
ปัง!
ลูกธนูเจาะทะลวงเข้าไปในดวงดาว และวินาทีต่อมาดาวดวงนั้นก็ระเบิด คลื่นกระแทกออกไปสู่ดาวอื่นที่อยู่ใกล้เคียง และเหล่าราชันก็ถูกซัดจนเสียสมดุลโดยคลื่นกระแทกนั้น
โชคดีที่พวกเขาอยู่ไกลไปจากดาวดวงนั้น ไม่อย่างนั้นแรงระเบิดก็คงจะทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ
ใบหน้าของออทัมน์วินด์ซีดเผือก ถ้าเขาโดนลูกธนูนั่นล่ะก็ ร่างกายของเขาก็คงจะถูกทำลายจนไม่มีอะไรเหลือ เขาไม่สามารถต้านทานพลังของมันได้
แม้แต่ตอนที่เขาใช้วินด์สตริง เขาก็ไม่สามารถเรียกพลังมากมายขนาดนั้นออกมาได้ เพราะยังไงซะเขาก็ไม่ใช่ระดับเทพเจ้า เขายังไม่สามารถใช้งานวินด์สตริงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“ขอบคุณที่ไว้ชีวิต” ออทัมน์วินด์โค้งคำนับให้กับหานเซิ่น
“ข้ายังจำเป็นต้องยิงธนูอีกลูกไหม?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่ออทัมน์วินด์
“ไม่มีความจำเป็น ข้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะลากรถม้าให้กับเจ้า มันถือเป็นเกียรติที่จะได้ทำแบบนั้น” ออทัมน์วินด์พูด
หานเซิ่นส่งวินด์สตริงคืนให้กับออทัมน์วินด์ เจ้าของคันธนูคือออทัมน์วินด์ ถึงแม้หานเซิ่นจะใช้มันได้ แต่เขาจำเป็นต้องพึ่งพลังของเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูง กายหยกและศาสตร์ตงเสวียนเพื่อทำแบบนั้น การยิงธนูลูกหนึ่งเป็นอะไรที่ใช้พลังมากเกินไป ดังนั้นไม่ว่าคันธนูนั่นจะดีสักแค่ไหน มันก็ไม่คุ้มค่าที่หานเซิ่นจะใช้มัน
แถมหานเซิ่นพูดว่าแค่ต้องการจะยืมมัน เขาคิดจะคืนมันให้กับออทัมน์วินด์ตั้งแต่แรกแล้ว
ออทัมน์วินด์รับคันธนูไปและนำมันกลับไปไว้บนหลังของเขา เขาเดินมาอยู่ตรงหน้ารถม้าทองแดงและยืนถัดไปจากจี๋หยางเซิง เขาดึงเชือกมาผูกรอบไหล่ของตัวเองและพูด
“มิสเตอร์จี๋ ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว ยังไงก็ฝากตัวด้วย”
“ฝากตัวอะไร ตัวของเจ้าก็ดูแลเองสิ” จี๋หยางเซิงรู้สึกโมโห เมื่อคิดว่าต้องมาทำงานลากรถม้า เขาสงสัยว่าทำไมออทัมน์วินด์ถึงได้แสดงความกระตือรือร้นกับงานชั้นต่ำแบบนี้
เมื่อผู้คนเห็นจี๋หยางเซิงและออทัมน์วินด์ลากรถม้าทองแดงไป ในที่สุดพวกเขาก็ตื่นจากความตกใจ
“บิดาของเทพนั้นคู่ควรกับสมญานามของเขาจริงๆ เขาบังคับให้วินด์สตริงยอมสยบได้ยังไงกัน? นี่เขาเป็นแค่ระดับราชันจริงๆอย่างนั้นหรอ? เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาไม่ใช่ระดับเทพเจ้าปลอมตัวมา?”
“ไร้สาระ! ระดับเทพเจ้านั้นเข้ามาในคอร์แอเรียไม่ได้”
“นั่นมันก็ใช่ แต่ในตอนที่เขาใช้ธนู ข้าคิดว่าเขาสร้างโซ่สสารขึ้นมา”
“เสื้อคลุมขนนกนั้นต้องเป็นสมบัติระดับเทพเจ้าที่ทรงพลัง และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามีพลังมากพอที่จะดึงสายธนูของวินด์สตริงได้”
“ไม่แปลกใจเลยที่เอ็กซ์ตรีมคิงจับตัวเขาไม่ได้ เขาแข็งแกร่งเกินไป”
มันมีองค์ชายและองค์หญิงของเอ็กซ์ตรีมคิงอยู่ที่นี่ด้วย แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปโจมตีหานเซิ่น ความสามารถที่เขาเพิ่งแสดงออกมานั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวจนทุกคนตกตะลึง
ภายในคอร์แอเรียแม้แต่เอ็กซ์ตรีมคิงก็ไม่ต้องการจะเผชิญหน้ากับหานเซิ่น นอกซะจากว่าพวกเขาจะพาคนที่เป็นระดับเทพเจ้ามาได้ ไม่อย่างนั้นพลังของหานเซิ่นก็เป็นอะไรที่เกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือ
เผ่าพันธุ์ต่างๆทำการวิเคราะห์วิดีโอการยิงธนูของหานเซิ่น คำอธิบายที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดก็คือเสื้อคลุมขนนกที่เป็นสมบัติปริศนาช่วยเหลือเขา ด้วยเหตุผลบางอย่างมันมอบพลังที่ทัดเทียมกับระดับเทพเจ้าให้กับหานเซิ่น
“เจ้านั่นทำไมถึงได้โชคดีนัก? ก่อนหน้านี้มันก็ได้รับโล่เมดูซ่าส์เกซไป และตอนนี้มันยังมีเสื้อคลุมขนนกปริศนานั่นอีก นี่มันมีสมบัติอยู่กี่อย่างกันแน่?” ลุงหกของเอ็กซ์ตรีมคิงเห็นภาพวิดีโอและสบถออกมา
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะจับตัวเขาภายในคอร์แอเรียไม่ได้ พวกเราต้องหาตัวเขาในระบบจักรวาลเคออส” เหมิงเลี่ยพูด
“สปริงเรนกำลังตามหาตัวเขา ข้าหวังว่าพวกเขาจะตามหาตัวหานเซิ่นเจอในเร็วๆนี้” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ลุกหกก็ไม่ได้คาดหวังกับความสำเร็จของสปริงเรนมากนัก
ตอนนี้ทุกเผ่าพันธุ์รับรู้ว่าไม่ควรจะไปยั่วยุหานเซิ่นภายในคอร์แอเรีย
ตอนที่ 2557 เจ้าเป็นผู้กอบกู้
การเดินทางของหานเซิ่นเป็นไปอย่างราบรื่น ถึงแม้จะมีผู้คนมากมายติดตามเขามา แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องเขา
ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ แม้แต่เผ่าเดม่อนก็ไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็น หานเซิ่นอยากจะได้เดม่อนดอลล์เพิ่ม แต่เขาไม่มีโอกาสที่จะทำแบบนั้น
วันต่อมาหานเซิ่นตัดสินใจปล่อยออทัมน์วินด์ไป เขาไม่จำเป็นต้องมีคนลากรถม้าถึง 2 คน และถ้าเผ่าเดม่อนไม่ปรากฏตัวออกมา มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำเรื่องแบบนี้
“ออทัมน์วินด์ เจ้าได้ทำตามสัญญาที่ให้เอาไว้แล้ว ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”
จริงๆแล้วออทัมน์วินด์เป็นคนอัธยาศัยดี ดังนั้นหานเซิ่นไม่อยากจะทำให้เขาลำบากไปมากกว่านี้
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ออทัมน์วินด์ก็ส่ายหัวและพูดอย่างแน่วแน่
“ไม่ได้ ในเมื่อข้าพ่ายแพ้ ข้าก็ต้องทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับเจ้า”
“เจ้าลากรถม้ามาวันหนึ่ง นั่นเพียงพอแล้ว” หานเซิ่นตอบด้วยความแปลกใจ
“วันเดียวยังไม่พอ” ออทัมน์วินด์พูด
“ข้าจะช่วยเจ้าและพวกนางทั้ง 2 หนึ่งปีเป็นอย่างน้อย ไม่สิสิบปี! ข้ายินดีที่จะช่วยพวกเจ้าทั้ง 3 คน”
จี๋หยางเซิงรู้สึกโกรธ เขาคิดกับตัวเอง ‘เจ้านี่มันโง่จริงๆ ทำไมเจ้าถึงต้องการมาเป็นคนลากรถม้าด้วย?’
หานเซิ่นมองไปที่ออทัมน์วินด์และพูดอย่างไร้ความรู้สึก
“พวกเราไม่จำเป็นต้องใช้รถม้านี่อีก เจ้าไปได้แล้ว บางทีสักวันหนึ่งพวกเราจะได้พบกันอีกครั้ง”
ออทัมน์วินด์ยังคงไม่ยินยอมที่จะจากไป เขาพูดขึ้นมา
“ถึงแม้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้รถม้านี่แล้ว มันก็ต้องมีเรื่องอื่นที่ข้าทำให้พวกเจ้าได้ ข้าล่าซีโน่เจเนอิคและทำอาหารเก่ง ให้ข้าทำงานให้กับพวกเจ้า”
“รีบไสหัวไปขณะที่พวกเรายังปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอด เลิกพูดจาไร้สาระ” จันทราสวรรค์พูดด้วยความรำคาญ
ออทัมน์วินด์ถอนหายใจและพูด “ถ้าเจ้ายืนกรานที่จะให้ข้าไป ข้าก็จะไป ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้พบพวกเจ้าทั้ง 2 อีกครั้ง”
หลังจากนั้นออทัมนด์วินด์ก็วางเชือกลงและจากไป เขาหันกลับมามองเป็นระยะๆราวกับว่าเขาไม่ต้องการจากไป
“ออทัมน์วินด์คนนี้จะทำทุกอย่างเพื่อสาวงาม เป็นผู้ชายเจ้าสำราญอะไรอย่างนี้” หานเซิ่นหัวเราะ เขารู้ว่าที่ออทัมน์วินด์อยากจะอยู่ต่อนั่นเป็นเพราะจันทราสวรรค์กับกู่ชิงเฉิง
หลังจากที่ออทัมน์วินด์จากไปแล้ว จี๋หยางเซิงก็เห็นหานเซิ่นมองมาที่เขา เขาคิดกับตัวเอง “ปล่อยข้าไป… ปล่อยข้าไป… ปล่อยข้าไป…”
“นี่เจ้ายังมัวรออะไรอยู่? รีบลากรถม้าของพวกเราไปเร็วเข้า” หานเซิ่นพูด
“เจ้า!” จี๋หยางเซิงโกรธ เขาอยากจะตบหน้าหานเซิ่นเป็นพันครั้ง แต่ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือลากรถม้าต่อไป
…
ในมุมๆที่ไกลออกไปของโลกอันมืดมิด แสงสลัวๆส่องท่ามกลางซากปรักหักพังของปราสาทเก่าๆ
“เฒ่าแมว เจ้าแน่ใจหรือว่าตอนนี้ผู้นำเซเคร็ดน้อยจะเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่น่ะ?” อาเหมยถามขณะที่มองไปที่แมวเก้าชีวิต
“เฒ่าแมว เจ้าควรจะคิดเรื่องนี้ให้ดี ถ้ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับผู้นำเซเคร็ดน้อย ข้าจะฆ่าเจ้า” อีแร้งแก่พูดกับแมวเก้าชีวิตด้วยสายตาที่น่ากลัว
แมวเก้าชีวิตหัวเราะ “อย่าได้กังวล ข้าไม่ได้ตัดสินใจผิดในเรื่องนี้ ผู้นำเซเคร็ดน้อยกำลังจะกลายเป็นระดับราชัน นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่เขาจะได้รับยีนในก็อตแซงชัวรี่ ถ้าเขาเลื่อนเป็นระดับราชัน ฟันเฟืองของเขาก็จะสมบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้นมันจะสายเกินไปที่เขาจะได้รับยีนที่จำเป็น เขาต้องเก็บรวบรวมยีนในก็อตแซงชัวรี่ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นระดับราชัน หลังจากนั้นเขาก็จะใช้ฟันเฟืองของตัวเองเพื่อกลายเป็นระดับราชัน”
“แต่ผู้นำเซเคร็ดน้อยเป็นเพียงแค่ระดับดยุก เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาจะปลอดภัยในก็อตแซงชัวรี่?” อาเหมยถาม
“คนอื่นอาจจะเป็นอันตราย แต่ผู้นำเซเคร็ดน้อยจะไม่มีปัญหาอะไร”
แมวเก้าชีวิตหยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าจะติดตามผู้นำเซเคร็ดน้อยไปด้วย ข้าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายอะไรกับเขา”
ผู้คนที่น่ากลัวเหล่านั้นบอกลาเสี่ยวฮวา ไม่นานหลังจากนั้นแมวและเด็กชายก็ถือตะเกียงเดินออกไป พวกเขาตรงเข้าไปสู่ความมืดมิด
“เฒ่าแมว ข้าอยากจะพบแม่ของข้า” เสี่ยวฮวาพูดกับแมวเก้าชีวิต เขาถือตะเกียงขณะที่เดินไปข้างหน้า
“ได้แน่นอน ตอนนี้เจ้าไปที่ไหนก็ได้ แต่เจ้าต้องรู้เอาไว้ก่อนว่าแม่ของเจ้ารักเจ้ามากๆ เมื่อเจ้ากลับไป นางก็คงจะอยากให้เจ้าอยู่กับนางและไม่อนุญาตให้เจ้าออกไปไหน แต่นั่นจะทำให้โลกนี้ถึงจุดจบและเมื่อเป็นแบบนั้นทั้งแม่ ครอบครัว และเพื่อนของเจ้าก็จะต้องตายกันหมด ถ้าเจ้าไม่แข็งแกร่งขึ้นและช่วยทุกสิ่งมีชีวิต อย่างนั้นแม่และพ่อของเจ้าก็จะต้องตาย แม้แต่น้องสาวที่น่ารักของเจ้าก็จะไม่รอด เจ้าได้เห็นวิดีโอของนางใช่ไหม? นี่เจ้าอยากให้พวกเขาถูกฆ่าตายอย่างนั้นหรอ?” แมวเก้าชีวิตพูด
“ข้าเป็นคนเดียวที่จะปกป้องโลกใบนี้ได้อย่างนั้นหรอ? มันไม่มีหนทางอื่นเลยหรือยังไง?” เสี่ยวฮวาถามขณะที่มองไปที่แมวเก้าชีวิต
“ใช่ เจ้าเป็นผู้กอบกู้โลกใบนี้ เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่จะปกป้องทุกคนได้” แมวเก้าชีวิตตอบอย่างจริงจัง
“ก็ได้ พวกเราจะไปก็อตแซงชัวรี่ ข้าจะไม่ปล่อยให้พ่อแม่หรือน้องสาวของข้าต้องตาย ข้าจะปกป้องโลกใบนี่” ใบหน้าของเสี่ยวฮวาดูแน่วแน่กับเรื่องนี้
“ใช่แล้ว มันต้องแบบนั้น ปกป้องโลกใบนี้และเจ้าจะได้อยู่กับครอบครัวของเจ้า” แมวเก้าชีวิตพยักหน้า
ภายในก็อตแซงชัวรี่เขตที่หนึ่ง ถังหมิงเอ๋อถือมีดอยู่ในมือและวิ่งออกจากเมืองไปอย่างตื่นเต้น เธอเพิ่งจะอายุ 16 และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ แต่สิ่งที่แปลกก็คือเมืองที่เธออยู่นั้นว่างเปล่า เธอเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นั่น
แต่เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับถังหมิงเอ๋อ เธอเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี และเธอก็มั่นใจในความสามารถของตัวเอง เธอไม่ได้สนใจที่ไม่มีใครคนอื่นอยู่ที่นี่ เธอแค่อยากจะรีบไปฆ่ามอนสเตอร์
หลังจากที่วิ่งออกไปได้สักพัก เธอก็เห็นเงาของสิ่งมีชีวิต 2 เงาอยู่ในทุ่งหญ้า ถังหมิงเอ๋อดีใจกับเรื่องนี้ เธอรีบวิ่งเข้าไปหาพวกมันขณะที่ถือมีดโลหะzอยู่ในมือ
แต่เมื่อถังหมิงเอ๋อเข้าไปใกล้ เธอก็ต้องตกใจ เงาของสิ่งมีชีวิตนั้นคือเงาของเด็กชายอายุ 12 ปีและแมวตัวหนึ่ง
เด็กชายคนนั้นมีริมผีปากสีแดงและฟันสีขาว เขาดูงดงามและเขาก็ดูเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง
แต่มนุษย์จะไม่สามารถเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ได้ ถ้าพวกเขายังอายุไม่ถึง 16 ปี ถ้าพวกเขาเข้ามาก่อนหน้านั้น ร่างกายของพวกเขาก็จะได้รับความเสียหาย ดังนั้นเด็กชายคนนี้ไม่มีทางเป็นมนุษย์ไปได้
“เจ้าเป็นมนุษย์ใช่ไหม?” ถังหมิงเอ๋อถามขณะที่เข้ามาใกล้เด็กชายคนนั้น
“ข้าเป็นมนุษย์ พี่สาวเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกันใช่ไหม?” เสี่ยวฮวามองไปที่ถังหมิงเอ๋อด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาไม่ได้เห็นมนุษย์คนอื่นมาเป็นเวลานานหลายปี
ถังหมิงเอ๋อรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินว่าเขาเป็นมนุษย์ แต่เธอไม่คิดว่านั่นเป็นความจริง เธอใช้มีดชี้ไปที่เสี่ยวฮวาและพูด
“อย่าโกหก มนุษย์จะเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาอายุ 16 เจ้ายังเด็กเกินไป เจ้าเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ก่อนหน้านั้นได้ยังไง?”
เสี่ยวฮวากำลังจะตอบ แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ใต้ดิน ดิ้นพุ่งขึ้นมาราวกับน้ำพุและตะขาบยาวสิบเมตรก็โผล่ออกมาจากพื้น มันตรงเข้าไปโจมตีถังหมิงเอ๋อและเสี่ยวฮวา
“วิ่ง!” ใบหน้าของถังหมิงเอ๋อซีดไป เธอจับมือของเสี่ยวฮวาและวิ่งไปทางเมืองที่เธอออกมา
ก่อนที่เธอจะเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ เธอได้อ่านเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นั่น เธอรู้ในทันทีว่านี่เป็นตะขาบปีศาจเลือดศักดิ์สิทธิ์ เธอเพิ่งจะเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ ดังนั้นเธอไม่สามารถเอาชนะมันได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น