Super God Gene 2427-2430
ตอนที่ 2427
หานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์มองตามสายตาของไนท์วินด์ไปและเห็นดาบใหญ่เล่มหนึ่ง
ด้ามจับของดาบยาวประมาน 2 ฟุต แต่พวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าตัวดาบนั้นยาวขนาดไหน เนื่องจากดาบเล่มนั้นฝังลึกอยู่ในพื้นของลานกว้าง ดาบนั้นโผล่ออกมาให้เห็นแค่ราวๆ 80 เซนติเมตรเท่านั้น
สีหน้าของหานเซิ่นดูมืดมัว ขณะที่เขามองไปที่อาวุธนั้น มันปลดปล่อยออร่าที่ดูชั่วร้ายออกมา
ดาบเล่มนั้นเป็นสนิม ด้ามจับของมันมีรูปร่างเหมือนกับกิ่งไผ่และมันไม่ได้มีที่ป้องกันมืออยู่ ด้ามจับนั้นเชื่อมกับใบมีดของดาบโดยตรง มันเป็นดาบ 2 คมและมันก็มีสัญลักษณ์ประหลาดสลักอยู่ที่ใจกลางของใบมีด พวกมันดูเหมือนกับงูหรือเถาวัลย์อะไรทำนองนั้น แต่เนื่องจากดาบยังฝังอยู่ในพื้น มันจึงบอกได้ว่ายากสัญลักษณ์นั่นคืออะไรกันแน่
ไนท์วินด์สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่อันตรายจากดาบเล่มนี้ ซึ่งทำให้เขาหยุดขุดมันขึ้นมา ทั้งหมดที่เขาทำก็คือจ้องมองไปที่มัน
หานเซิ่นสัมผัสได้ถึงออร่าที่ชั่วร้ายจากดาบ มันเหมือนกับว่ามีดวงวิญญาณนับพันกำลังดิ้นรนและกรีดร้องอยู่ภายในดาบเล่มนี้
แต่เมื่อเขาลองสังเกตดูดีๆ เขาก็ไม่เห็นอันตรายอะไรจากอาวุธนี้ นอกจากความใหญ่ของมันแล้ว มันก็ดูเป็นเหมือนอาวุธธรรมดาที่ขึ้นสนิม
ไนท์วินด์กำดาบแห่งความมืดเอาไว้แน่นและค่อยๆเดินเข้าไปหาดาบใหญ่อีกครั้ง เขาระมัดระวังราวกับว่ากำลังเดินเข้าไปหาบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
คุณหญิงมิร์เรอร์และหานเซิ่นถอยออกไปด้านหลัง พวกเขาเป็นระดับราชัน ดังนั้นถ้าไนท์วินด์ไม่สามารถรับมือกับภัยอันตรายนี้ได้ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
ไนท์วินด์จำเป็นต้องบังคับตัวเองเพื่อก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าว สถานที่แห่งนี้มันแปลกเกินไป และการที่ดาบมาปักอยู่ที่พื้นก็เป็นอะไรที่ดูลางไม่ดี มันมีโอกาสที่ดาบนั้นจะแฝงไว้ด้วยพลังที่ชั่วร้ายเหมือนอย่างรูปปั้นที่พวกเขาพบก่อนหน้า
แต่ต้องขอบคุณที่เมื่อไนท์วินด์เดินไปถึงดาบนั่นแล้ว มันไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับตัวตนของเขา
ไนท์วินด์ยังคงไม่แตะต้องดาบ เขาใช้โซ่สสารแห่งความมืดเพื่อขจัดก้อนหินรอบๆดาบออกไป เขาค่อยๆขุดเส้นทองอ้อมดาบเล่มนั้นไป ขณะที่ดาบเล่มนั้นยังคงปักอยู่กับที่
คุณหญิงมิร์เรอร์ขมวดคิ้วและพยายามสังเกตไปที่ดาบเล่มนั้น ดูเหมือนเธอกำลังคำนึงถึงทางเลือกอยู่
“ดูเหมือนว่าดาบนั้นจะไม่โจมตีพวกเรา มันอาจจะเป็นแค่อาวุธที่ถูกทิ้งเอาไว้” ไนท์วินด์มองไปที่ดาบด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
ถ้านี่เป็นอาวุธที่ถูกทิ้งเอาไว้จากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจริงๆ บางทีมันอาจจะเป็นโบราณวัตถุที่มีพลังเหนือกว่าอาวุธระดับเทพเจ้าก็เป็นได้
“ท่านหญิง พวกเราควรจะขุดมันขึ้นมาไหม?” ไนท์วินด์ถามขณะที่มองไปที่คุณหญิงมิร์เรอร์ ถึงแม้ตอนนี้คุณหญิงมิร์เรอร์จะเป็นแค่ระดับราชัน แต่ไนท์วินด์ก็ยังคงเคารพเธอ เขาไม่คิดที่จะเสียมารยาทกับเธอเพียงเพราะเธอมีระดับที่ต่ำกว่า
“ไม่ว่าพลังอะไรที่ดึงดูดให้พวกเรามาที่นี่ มันไม่ใช่ดาบเล่มนี้ พวกเราไม่ควรไปแตะต้องมัน ขุดทางไปข้างหน้าต่อไป” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
นิสัยโลภมากของหานเซิ่นมักจะผลักดันให้เขาเก็บสมบัติทุกชิ้นที่หาพบ แต่ในที่แห่งนี้แม้แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรเสี่ยงๆ เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณหญิงมิร์เรอร์พูด สำหรับตอนนี้พวกเขาไม่ควรไปแตะต้องมัน ที่แห่งนี้นั้นต้องคำสาป มันยากที่จะรู้ได้ว่าจะมีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นอีกถ้าพวกเขาไปแตะต้องมัน
แต่ไนท์วินด์ไม่เห็นด้วย เขาคิดอยู่ชั่วครู่และพูด ‘ถ้านี่เป็นอาวุธที่ถูกทิ้งเอาไว้จากการต่อสู้ระหว่างเทพสปิริตจริงๆ บางทีมันอาจจะช่วยพวกเราในการสำรวจเมืองแห่งนี้”
คำพูดของไนท์วินด์นั้นฟังดูมีเหตุผลอยู่ ถ้าพวกเขาขุดดาบนี้ขึ้นมาได้ บางทีพวกเขาอาจจะสามารถใช้มันเป็นอาวุธได้
ในสมัยก่อนดาบเล่มนี้คงจะต้องเป็นอะไรที่ทรงพลังมาก ถ้าพวกเขาสามารถควบคุมมันได้ บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในการแก้ปัญหาหลายๆอย่างที่ต้องเผชิญ
ยกตัวอย่างเช่นดาบเล่มนี้อาจจะสามารถใช้เพื่อทำลายรูปปั้นนั่นได้ ถ้าพวกเขาสามารถทำลายมันได้ล่ะก็ บางทีดวงตาของพวกเขาอาจจะกลับมาเป็นปกติ
ซึ่งถ้าพวกเขาสามารถใช้ดาบเล่มนี้ลบล้างอาการที่เป็นอยู่ได้ มันก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องสำรวจเมืองนี้ต่อ พวกเขาสามารถรอให้กำลังเสริมมาถึงได้อย่างปลอดภัย
คุณหญิงมิร์เรอร์ยังคงดูลังเล ทั้ง 2 ตัวเลือกมีทั้งข้อดีข้อเสีย ถ้าพวกเขาเสี่ยงเดิมพันกับดาบเล่มนี้และชนะเดิมพัน มันก็ถือเป็นอะไรที่ดี แต่ถ้าพวกเขาแพ้การเดิมพัน มันก็อาจจะทำให้สถานการณ์ของพวกเขาเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม
“พวกเราจะเดินหน้ากันต่อ” คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่อนุญาตให้ไนท์วินด์ไปแตะต้องดาบนั่น ถ้าพวกเขาทำการเดิมพันกับดาบเล่มนี้ พวกเขาก็อาจจะสูญเสียได้ แต่ถ้าพวกเขาไม่ทำการเดิมพัน พวกเขาก็จะยังไม่แพ้หรือชนะ
ถ้าหานเซิ่นเป็นคนที่ต้องเลือกเอง แม้แต่เขาก็ไม่คิดจะเสี่ยงดวงกับดาบเล่มนี้ เขาคิดว่ามันเป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไป
แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุด เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอะไรกับดาบ นั่นเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนิงเยวี่ยและดาบเขียวน้อย ดาบเขียวนั้นเล็กกว่ามากและมันก็เปลี่ยนหนิงเยวี่ยเป็นคนที่ไม่ใช่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ถ้าหานเซิ่นแตะต้องดาบใหญ่แล้วนั้น ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น บางทีเขาอาจจะกลายเป็นขันที และนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะคิด
ถึงแม้หนิงเยวี่ยจะดูเหมือนผู้หญิง แต่อย่างน้อยๆเขาก็ยังมีสัญลักษณ์ลูกผู้ชายอยู่
ไนท์วินด์ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น ดูเหมือนว่าเขายังคงยอมรับฟังคำพูดของคุณหญิงมิร์เรอร์ ถึงแม้เขาจะมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป แต่เขาก็ไม่คิดจะขัดใจคุณหญิงมิร์เรอร์
พวกเขาทั้ง 3 เดินอ้อมดาบไปขณะที่ไนท์วินด์คอยกำจัดเศษหินที่ขวางทาง พวกเขาเดินหน้าต่อไปและได้เห็นร่องรอยมากมายอยู่ตามพื้นของลานกว้าง
รอยดาบนั้นฝังลึกเข้าไปในพื้นที่แข็งแรงของตัวเมือง พื้นของเมืองดูก็อตนั้นแข็งมากๆ แต่มันถูกตัดราวกับเต้าหู้ ชิ้นส่วนของหินที่ถูกทำลายกระจัดกระจายไปทั่ว มันยากที่จะจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของคนที่สร้างรอยดาบพวกนั้น
‘รอยดาบนี้คงจะไม่ได้ถูกทิ้งเอาไว้โดยเจ้าของดาบใหญ่ที่ปักอยู่เล่มนั้นหรอกใช่ไหม?’ ขณะที่หานเซิ่นสังเกตรอยดาบที่ถูกทิ้งเอาไว้ เขาก็ไม่สามารถหยุดคิดเกี่ยวกับดาบที่ปักอยู่ที่พื้นเล่มนั้นได้
ผู้หญิงที่ถูกขุดขึ้นมาโดยเผ่าเฮลล์เป็นระดับเทพเจ้าเหมือนกับไนท์วินด์
แต่เมื่อพลังของไนท์วินด์ฟันใส่หินของตัวเมืองนั้น มันก็แทบจะไม่ทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้ ซึ่งเมื่อเทียบกับรอยแหว่งลึกนี้แล้ว พวกมันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว พวกมันอยู่คนละระดับกัน
คุณหญิงมิร์เรอร์และไนท์วินด์เองก็คิดเหมือนๆกัน แต่พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปแตะต้องดาบเล่มนั้น
ไนท์วินด์นำทางพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงของอะไรบางอย่างดังขึ้นมา ดาบโซ่สสารของไนท์วินด์ดูเหมือนจะฟันไปถูกอะไรบางอย่างเข้าและแตกสลายไป
“พวกเราเจออะไรอีกล่ะทีนี้?” หานเซิ่นถามขณะที่ขยับตัวเข้าไปมองชัดๆ ดาบโซ่สสารนั้นแตกสลายเมื่อปะทะกับกำแพงหิน ถึงแม้จะถูกฟันอย่างรุนแรง กำแพงก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
กำแพงนั้นปกคลุมด้วยภาพวาด แต่เนื่องจากพวกเขาเห็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของกำแพง พวกเขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นภาพวาดอะไร
ไนท์วินด์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อกำจัดเศษหินรอบๆกำแพงออกไป ไม่นานกำแพงหินทั้งอันก็เผยออกมาให้เห็น
กำแพงนั้นดูเหมือนกับฉากกั้นลายดอกไม้ แต่มันใหญ่กว่าฉากกั้นทั่วๆไป มันมีความยาวกว่าหนึ่งร้อยเมตรและสูง 3 เมตร
หานเซิ่นมองไปที่ภาพวาดบนฉากกั้นและสิ่งที่เห็นก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
ดวงตาของพวกเขามองไปที่ศูนย์กลางของฉากกั้น ในตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อมองจากด้านซ้ายสุดของกำแพง ภาพที่เขาเห็นก็เป็นบางสิ่งที่ดูประหลาดมากๆ
ตอนที่ 2428
บนฉากกั้นนั้นมีรูปภาพของสิ่งมีชีวิตอยู่ สิ่งมีชีวิตนั้นมีแขน ขาและหัวเหมือนกับมนุษย์ แต่น่าแปลกที่มันไม่มีใบหน้า
ในจุดที่ควรจะมีดวงตา จมูกและปากนั้นถูกปล่อยว่างเอาไว้ มันทำให้ภาพวาดบนฉากกั้นดูเหมือนกับภาพของคนไร้ใบหน้า
แต่สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นประหลาดใจไม่ใช่เรื่องนั้น เพราะยังไงซะเขาก็เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดมาต่างนาๆ ดังนั้นเพียงแค่ภาพวาดของคนไร้ใบหน้าไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนเขาได้
บนฉากกั้นที่มีความยาวหนึ่งร้อยเมตรนั้นมีภาพถูกวาดเอาไว้ทั้งหมด 6 ภาพด้วยกัน ภาพแรกแสดงถึงเมืองหอคอยที่พังพินาศ หนึ่งหน้าของหอคอยมีผู้คนหลายคนที่ไม่มีใบหน้ายืนอยู่ หนึ่งในคนไร้ใบหน้ากำลังใช้ดาบฟันใส่ประตูของหอคอย
ภาพแรกนั้นแสดงด้านหลังของเหล่าคนไร้ใบหน้า แต่เมื่อหานเซิ่นได้เห็นพวกเขา เขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
“คนไร้ใบหน้าในภาพวาดนี่คงจะไม่ใช่พวกเราหลอกใช่ไหม?” หานเซิ่นพูดขณะที่จ้องไปที่ภาพวาดภาพแรก
ถึงเขาจะเห็นแค่ด้านหลังของบุคคลไร้ใบหน้าที่กำลังฟันใส่หอคอย แต่ภาพๆนั้นก็ทำให้เขานึกถึงตอนที่ไนท์วินด์ใช้ดาบแห่งความืดฟันใส่ประตูหิน
มันมีบุคคลไร้ใบหน้า 2 คนยืนมองดูอยู่ด้านหลัง ขณะที่บุคคลไร้ใบหน้าคนที่ 4 กำลังนอนอยู่กับพื้น นั่นเห็นได้ชัดว่าบุคคลไร้ใบหน้าทั้ง 3 คือหานเซิ่น คุณหญิงมิร์เรอร์และคนงานระดับดยุกที่พวกเขาพามาด้วย
ไม่ว่าหานเซิ่นจะดูมันยังไง รูปภาพก็ดูเหมือนภาพของพวกเขาที่พยายามจะผ่านประตูหินเข้ามาข้างในเมืองหอคอย ผู้คนในภาพวาดนั้นไร้ใบหน้าและรูปร่างของพวกเขาก็ไม่ได้ชัดเจนอะไรนัก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หานเซิ่นยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อสันนิษฐานนั้นเป็นความจริง
หานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์หันมามองหน้ากัน หลังจากนั้นพวกเขาก็หันความสนใจไปที่รูปภาพที่ 2 ภาพวาดนั้นยังคงเป็นภาพด้านหลังของบุคคลไร้ใบหน้าทั้ง 4 คน พวกเขากำลังหันหลังและไม่ไกลไปจากทั้ง 4 คนนั้นมีดาบปักอยู่ที่พื้น
หานเซิ่นไม่คิดว่ารูปภาพนี้ต้องใช้การตีความอะไรมากนัก มันเห็นได้ชัดว่านั่นเป็นรูปภาพที่บรรยายถึงตอนที่พวกเขาค้นพบดาบขึ้นสนิมขนาดใหญ่ที่เสียบอยู่ที่พื้น
และรูปภาพรูปที่ 3 นั้นก็เป็นรูปภาพของพวกเขาที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าฉากกั้นอย่างไม่ต้องสงสัย บุคคลไร้ใบหน้า 3 คนกำลังตรวจดูภาพวาดบนฉากกั้น ขณะที่บุคคลไร้ใบหน้าคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้น มันดูเหมือนกับพวกเขาจริงๆ
“ใครกันที่กล้ามาเล่นลูกไม้อะไรแบบนี้? เผยตัวออกมาซะ!” ไนท์วินด์ตะโกนและฟันดาบไปที่ฉากกั้นซ้ำๆ
มันเห็นได้ชัดว่านอกซะจากคนที่วาดรูปภาพบนฉากกั้นจะเป็นคนที่สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ มันก็ไม่มีทางที่ภาพวาดเหล่านี้จะถูกวาดก่อนที่พวกเขาจะมาถึง
ความเป็นไปได้เดียวก็คือใครบางคนใส่พลังบางอย่างไว้ที่ฉากกั้น และเมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ มันก็ก่อเป็นรูปภาพที่พวกเขาเห็นอยู่ในตอนนี้
โซ่สสารของไนท์วินด์ฟันไปถูกฉากกั้นและแตกกระจายอีกครั้งโดยที่ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ ฉากกั้นนั้นแข็งแรงราวกับสมบัติระดับเทพเจ้า
“อย่ามัวเสียแรงเปล่าเลย พวกเราควรไปดูรูปภาพรูปต่อไป” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
การโจมตีของไนท์วินด์นั้นไร้ประโยชน์ เขาลดดาบลงและเดินตามคุณหญิงมิร์เรอร์ไปเพื่อดูภาพถัดไป
หานเซิ่นเข้าใจว่าคุณหญิงมิร์เรอร์จะบอกอะไร ภาพที่ 3 นั้นพรรณนาถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของพวกเขา แต่มันยังคงมีอีก 3 ภาพบนฉากกั้น ถ้าภาพพวกนี้ถูกวาดไว้ตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง อย่างนั้นแล้ว 3 ภาพที่เหลือก็อาจจะทำนายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ถ้ารูปภาพไม่สามารถทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ หรือถ้าการทำนายของพวกมันไม่ถูกต้อง มันก็จะพิสูจน์ว่ามีใครบางคนกำลังเล่นลูกไม้กับพวกเขา นั่นจะหมายความว่าฉากกั้นนี้ไม่ได้มีพลังในการทำนายอนาคตและพวกเขาก็ไม่มีจำเป็นต้องกลัว
หานเซิ่นมองไปที่รูปภาพรูปที่ 4 รูปภาพรูปที่ 4 ยังคงแสดงถึงบุคคลไร้ใบหน้า 4 คน ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับต้นไม้ต้นหนึ่ง และในครั้งนี้พวกเขาไม่ได้หันหลังทั้งหมด
คนไร้ใบหน้าคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น และอีก 2 คนหันหลังอยู่ แต่คนไร้ใบหน้าคนสุดท้ายนั้นแสดงหน้าที่ไร้ใบหน้าของเขา
หนึ่งในบุคคลไร้ใบหน้าที่หันหลังถือดาบอยู่ในมือ ดาบนั้นแทงทะลุบุคคลไร้ใบหน้าที่หันหน้ามาทางพวกเขา
“ภาพนี่ทำนายว่าพวกเราจะฆ่าฟันกันเองอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย
ไนท์วินด์มองไปที่รูปภาพรูปและขมวดคิ้ว คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เธอเพียงแค่เดินต่อไปเพื่อดูรูปภาพรูปที่ 5
รูปภาพรูปที่ 5 นั้นไม่ได้บรรยายถึงบุคคลไร้ใบหน้า 4 คนอีกต่อไป มันเป็นภาพของบุคคลเพียง 3 คนเท่านั้น หนึ่งในพวกเขากำลังนอนอยู่บนพื้น ขณะที่อีก 2 คนกำลังบีบคอกันและกัน
“นั่นมันเหลวไหลสิ้นดี!” ไนท์วินด์สบถ
นี่เป็นการทำนายว่าพวกเขาจะฆ่ากัน ไนท์วินด์คิดว่ามีใครบางคนกำลังเล่นลูกไม้กับพวกเขา
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเช่นเคย เธอเดินต่อไปเพื่อดูรูปภาพรูปที่ 6 ซึ่งเป็นภาพสุดท้าย
ภาพที่ 6 เป็นภาพที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าเดิม มันเป็นภาพของบุคคลไร้ใบหน้า 2 คน คนหนึ่งนั้นนอนอยู่บนพื้น ขณะที่อีกคนกำลังประสานมือของตัวเองราวกับว่ากำลังสวดภาวณา
ตรงหน้าคนที่กำลังสวดภาวณาอยู่นั้นมีรูปปั้นที่มีแขนและดวงตานับพันอยู่ มันดูเหมือนกับรูปปั้นที่พวกเขาได้เห็นก่อนที่จะมาถึงหอคอยแห่งนี้
“มันจะต้องมีบางสิ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ที่นี่ และมันก็วาดภาพพวกนี้เพื่อเล่นตลกกับพวกเรา” ไนท์วินด์พูดขณะที่มองรูปภาพด้วยสีหน้าดูถูก
หานเซิ่นรู้ว่าทำไมไนท์วินด์ถึงได้แสดงปฏิกิริยาที่รุนแรงออกมาแบบนั้น เขาไม่ได้พยายามจะบอกว่ารูปภาพนี้มันบ้าบอแค่ไหน แต่เขาแค่กำลังพยายามที่จะบอกถึงความภักดีของเขา
บุคคลไร้ใบหน้าทั้ง 4 ไม่มีใบหน้า และทั้ง 4 คนก็ไม่สามารถระบุได้ด้วยรูปร่างของร่างกายเช่นเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าใครเป็นใคร
แต่บุคคลไร้ใบหน้าที่ถือดาบนั้นเห็นได้ชัดว่าโจมตีใส่คนอื่น และคนงานระดับดยุกที่พวกเขาพามาด้วยก็เห็นได้ชัดว่าคือคนที่นอนอยู่บนพื้นในทุกรูปภาพบนฉากกั้น
มันมีบุคคลไร้ใบหน้าคนเดียวในรูปภาพที่ใช้ดาบ ไนท์วินด์เองก็ใช้ดาบเช่นกัน และเขาก็เชี่ยวชาญในวิชาดาบ บุคคลไร้ใบหน้าที่ถือดาบนั้นคงจะต้องเป็นเขาแน่ และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องการจะพิสูจน์ความภักดีของตัวเองให้คุณหญิงมิร์เรอร์ได้เห็น
ไนท์วินด์ไม่รู้ว่าหานเซิ่นเป็นองค์ชายสิบหกตัวปลอม การฆ่าองค์ชายสิบหกหรือคุณหญิงมิร์เรอร์ที่เป็นคนสนิทของราชาไป๋นั้นจะมีผลที่เลวร้ายตามมา
สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้านั้นแข็งแกร่งมากๆ แต่มันไม่สามารถเทียบกับกำลังของทั้งเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงได้
“มันไม่สำคัญว่าคนที่ทำแบบนั้นจะเป็นเทพหรือผี ถ้าเขาไม่เผยตัวเองมา มันก็แสดงวให้เห็นว่าเขาหวาดกลัวพวกเรา ไนท์วินด์ เจ้านำทางต่อไป”
คุณหญิงมิร์เรอร์พูด ใบหน้าที่งดงามของเธอยังคงดูสงบนิ่ง เธอดูเหมือนจะไม่สนใจภาพวาดเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
หานเซิ่นเองก็ไม่ได้กังวลอะไรกับมันเช่นกัน เป็นอย่างที่คุณหญิงมิร์เรอร์พูด ถ้าเกิดมีใครบางคนวาดรูปภาพเหล่านี้จริงๆ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าคนๆนั้นไม่กล้าออกมาโจมตีพวกเขาตรงๆ ศัตรูที่พวกเขามองไม่เห็นคงจะต้องหวาดกลัวบางสิ่งอยู่ และนั่นก็ทำให้พวกเขารู้สึกปล่อยภัยขึ้นมาหน่อย
ตอนที่ 2429
ไนท์วินด์ได้รับคำสั่งให้เก็บกวาดกองหินที่กรีดขวางเส้นทาง ทั้ง 3 คนหันไปมองคนงานระดับดยุกที่ดูเหมือนกับคนติดยาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มเดินทางกันต่อ
ทั่วร่างกายของคนงานระดับดยุกมีเลือดไหลออกมา ถึงเขาจะยังไม่ตาย แต่สภาพของเขาก็ดูไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของเขา พวกมันเปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งดวงและแม้แต่ตาขาวของเขาก็ถูกกลืนกินด้วยสีใหม่นี้
ไนท์วินด์หันความสนใจไปที่เปิดเส้นทางไปข้างหน้า หลังจากที่เขาเคลียร์เส้นทางไปได้ระยะหนึ่ง จู่ๆเขาก็หยุดมือ เขาหันมามองคุณหญิงมิร์เรอร์และพูด
“ท่านหญิง พวกเราควรจะเปลี่ยนเส้นทางดีไหม?”
“ทำไมกัน?” คุณหญิงมิร์เรอร์ถามไนท์วินด์
หานเซิ่นเองก็รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน เขาไม่รู้เลยว่าทำไมไนท์วินด์ถึงได้เสนออะไรแบบนั้นขึ้นมา
ไนท์วินด์ถอนหายใจและพูด “ภาพที่ 4 ทำนายว่าพวกเราจะไปถึงต้นไม้ต้นหนึ่ง แต่เมื่อเทียบความสูงระหว่างคนในภาพกับความสูงของต้นไม้แล้ว มันก็บ่งบอกว่าต้นไม้ต้องมีขนาดใหญ่มากๆ มันคงจะต้องมีความสูงหนึ่งร้อยเมตรเป็นอย่างน้อย การเคลื่อนย้ายต้นไม้แบบนั้นมาขวางเส้นทางคงจะเป็นเรื่องยาก”
ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจความคิดของไนท์วินด์แล้ว ภาพที่ 4 บนฉากกั้นดูเหมือนจะบ่งบอกว่าพวกเขาจะไปพบกับต้นไม้ต้นหนึ่ง และต้นไม้นั่นก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายๆ ถ้าพวกเขาเปลี่ยนเส้นทางล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงต้นไม้นั่น คำทำนายของภาพวาดก็จะไม่เป็นจริง ถ้าพวกเขาหลีกเลี่ยงต้นไม้ได้สำเร็จ นั่นก็จะแสดงให้เห็นว่ามีใครบางคนกำลังเล่นตลกกับพวกเขาจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เปลี่ยนเส้นทางกัน” คุณหญิงมิร์เรอร์พยักหน้า
หลังจากได้รับความยินยอมจากคุณหญิงมิร์เรอร์ ไนท์วินด์ก็เปลี่ยนเส้นทางและเริ่มทำการขุดต่อไป
ถ้าใครบางคนพยายามจะหลอกพวกเขา มันก็จะเป็นอะไรที่ง่ายสำหรับคนๆนั้นที่จะเข้าเดาเส้นทางของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาขุดไปทางที่พลังประหลาดดึงดูดพวกเขา เพราะอย่างไรก็ตามแหล่งพลังประหลาดนั้นก็คือจุดหมายปลายทางของพวกเขา มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะคาดเดาทิศทางที่พวกเขาจะไป
ไนท์วินด์เสนอให้เปลี่ยนเส้นทางก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ถ้าต้นไม้ถูกเคลื่อนย้ายมาเพื่อขวางทางพวกเขาจริงๆ มันก็ต้องทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้บ้าง และแผนการของอีกฝ่ายก็จะถูกเปิดโปง
ไนท์วินด์ทำการขุดเปิดทางอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปแค่สิบนาที พวกเขาก็ตามหลังไนท์วินด์เข้าไปในร่องลึกที่ยาวหลายร้อยเมตร
แต่จู่ๆไนท์วินด์ก็หยุดชะงักไป มือของเขายังคงค้างอยู่กลางอากาศ เขายืนนิ่งขณะที่จ้องไปข้างหน้าราวกับว่าเขากำลังเห็นผี
“เกิดอะไรขึ้น?” หานเซิ่นมองตามสายตาของไนท์วินด์ไป เขาเห็นว่าไนท์วินด์เพิ่งจะเคลียร์เส้นทางข้างหน้าได้แค่หน่อยเดียวเท่านั้น ตอนนี้มันมีบางสิ่งยื่นออกมาจากหินที่กองอยู่ข้างหน้า
เมื่อหานเซิ่นเห็นว่ามันคืออะไร ใบหน้าของเขาก็ซีดไปเช่นเดียวกัน มันมีกิ่งไม้กิ่งหนึ่งยื่นออกมาจากกองหิน และบนกิ่งไม้นั้นก็มีใบไม้สีเขียวอยู่หลายใบ มันดูเหมือนกับกิ่งไม้ของต้นหลิว
“เป็นไปได้ยังไง?” หานเซิ่นถามขึ้นมา กิ่งไม้และใบไม้ที่เขากำลังเห็นดูเหมือนกับต้นไม้ในรูปภาพไม่มีผิด
ไนท์วินด์ใช้โซ่สสารเพื่อกำจัดหินทั้งหมดที่อยู่ใกล้เคียงออกไปอย่างเงียบๆ กิ่งไม้นั้นปรากฏออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่กี่นาทีหลังจากนั้นต้นไม้ทั้งต้นก็เผยออกมาให้เห็น
มันเหมือนกับที่อยู่ในรูปภาพไม่มีผิด มันมีความสูงหนึ่งร้อยเมตรและดูเหมือนกับต้นหลิว กิ่งที่พัดไปมานั้นห้อยต่ำลงมาและพวกมันก็ปกคลุมไปด้วยใบไม้สีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วน
พวกเขาทั้ง 3 จ้องไปที่ต้นไม้อย่างหม่นหมอง พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางเพื่อไม่ให้คาดเดาได้ง่ายๆ แต่พวกเขาก็พบกับต้นไม้อยู่ดี มันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ
หานเซิ่นตรวจดูรากของต้นไม้นั้น มันฝังลึกอยู่ในแปลงดอกไม้ที่ทำขึ้นจากหินและปกคลุมด้วยดินที่อุดมสมบูรณ์
“มันดูไม่เหมือนกับว่ามีใครบางคนเคลื่อนย้ายมันมาไว้ที่นี่” คุณหญิงมิร์เรอร์พูดขณะที่มองไปที่แปลงดอกไม้
“บางทีมันอาจจะมีต้นไม้แบบนี้อยู่หลายต้น แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ไม่ช้าก็เร็วพวกเราต้องเจอพวกมันอย่างน้อยอีกหนึ่งต้น ลานกว้างนี้คงจะเต็มไปด้วยต้นไม้ ซึ่งไม่ว่าพวกเราจะขุดไปทางไหน พวกเราก็ต้องพบต้นไม้สักต้นหนึ่ง” หานเซิ่นพูดหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่
“ใช่แล้ว” ไนท์วินด์ตอบอย่างจริงจัง และเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวโซ่สสารเพื่อขุดไปที่อื่น เขาอยากรู้ว่าจะมีต้นไม้แบบเดียวกันนี้อยู่ตำแหน่งอื่นอีกหรือเปล่า
“หยุด! มันไม่มีต้นไม้แบบเดียวกันนี้อยู่ที่อื่นอีก” คุณหญิงมิร์เรอร์บอกให้ไนท์วินด์หยุดมือ
ไนท์วินด์ไม่คิดจะขัดคำสั่งของคุณหญิงมิร์เรอร์ แต่เขาหันกลับมามองเธอด้วยความสับสน เขารอฟังคำอธิบายจากเธอ
คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปที่ต้นไม้และพูด “ข้าคิดว่านี่คือต้นเรเควี่ยม”
“ต้นเรเควี่ยม!” เมื่อไนท์วินด์ได้ยินแบบนั้น เขาก็หน้าซีดไปเล็กน้อย เขามองไปที่ต้นไม้ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
หานเซิ่นมองไปที่คุณหญิงมิร์เรอร์และไนท์วินด์ด้วยความสับสน เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ‘ต้นเรเควี่ยม’มาก่อน
คุณหญิงมิร์เรอร์รู้ว่าหานเซิ่นกำลังรู้สึกสงสัย เธอจึงเริ่มอธิบาย
“ในตอนที่ข้าไปเยือนเผ่าแอนเชี่ยนท์ก็อต ข้าเคยได้เห็นต้นเรเควี่ยมครั้งหนึ่ง แอนเชี่ยนท์ก็อตบอกว่าต้นเรเควี่ยมนี่คือที่ที่คนของพวกเขาจะมาเพื่อนิพพาน ตำนานบอกไว้ว่าแอนเชี่ยนท์ก็อตจำเป็นต้องถูกฝังใต้พวกมันเพื่อที่วิญญาณของพวกเขาจะได้พักอย่างสงบชั่วนิรันดร์”
“ถ้าท่านเคยเห็นต้นไม้แบบนี้มาก่อนในเผ่าแอนเชี่ยนท์ก็อต และตอนนี้มันก็อยู่ที่นี่อีกต้นหนึ่ง มันก็ฟังดูไม่ใช่ต้นไม้ที่หายากอะไร แบบนั้นทำไมถึงบอกว่ามันไม่มีต้นไม้แบบนี้อยู่อีกล่ะ?” หานเซิ่นถาม
“ข้าไม่รู้ว่าในจักรวาลมีต้นเรเควี่ยมอยู่ทั้งหมดกี่ต้น แต่ต้นที่ข้าได้เห็นตอนนั้นสูงเพียงแค่ 2 ฟุตเท่านั้น” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“เจ้าของต้นเรเควี่ยมนั้นบอกว่าพวกมันจะโตเพียงแค่ราวๆ 3 ฟุตเท่านั้นก่อนที่พวกมันจะหยุดเติบโต ถ้าแอนเชี่ยมท์ตายและถูกฝังใต้ต้นเรเควี่ยม ต้นเรเควี่ยมก็จะเติบโตขึ้นหนึ่งฟุตไม่ขาดไม่เกิน เจ้าลองคำนวณดูว่าถ้าต้นเรเควี่ยมเติบโตถึงขนาดนี้ ร่างของแอนเชี่ยนท์ก็อตมากมายเท่าไหร่กันที่ถูกฝังอยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่ามันจะมีต้นเรเควี่ยมที่สูงถึงขนาดนี้อยู่ที่นี่เป็นจำนวนมากอย่างนั้นหรอ?”
“นี่คือต้นเรเควี่ยมจริงๆอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นจ้องไปที่ต้นไม้และเห็นมันในมุมมองไปที่ต่างไปจากเดิม
ถ้าที่คุณหญิงมิร์เรอร์พูดเป็นความจริงล่ะก็ ต้นเรเควี่ยมนี้ก็คงจะต้องดูดซับร่างของแอนเชี่ยนท์ก็อตหลายร้อยคนเข้าไป มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าต้นไม้นี้แข็งแกร่งถึงขนาดไหน แต่หานเซิ่นไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่ควรจะแพร่รัศมีออกมาจากต้นไม้ได้เลย สำหรับเขาแล้วมันดูไม่ต่างจากต้นไม้ธรรมดาๆ
“มันเป็นเรื่องง่ายที่จะตัดสินว่านี่เป็นต้นเรเควี่ยนจริงๆหรือไม่ ถ้ามันเป็นต้นเรเควี่ยนจริง มันก็จะมีรูที่กักเก็บพลังของแอนเชี่ยนท์ก็อตอยู่”
คุณหญิงมิร์เรอร์เดินไปรอบๆต้นไม้ และไม่นานเธอก็มาหยุดอยู่ที่จุดๆหนึ่ง
หานเซิ่นและไนท์วินด์เดินตามคุณหญิงมิร์เรอร์ และพวกเขาก็เห็นรูบนต้นไม้ที่มีขนาดพอๆกับกำปั้นของคน ภายในของต้นไม้นั้นดำสนิทและดวงตาของหานเซิ่นไม่ดีพอจะมองทะลุความมืดนั้น
“นี่คือรูของมัน นี่จะต้องเป็นต้นเรเควี่ยมไม่ผิดแน่! แต่ข้าไม่แน่ใจว่าต้นเรเควี่ยมนี้มีไข่อยู่ภายในหรือเปล่า” คุณหญิงมิร์เรอร์พูดขณะที่มองไปในรูของต้นไม้
ตอนที่ 2430
“ต้นเรเควี่ยมกำลังจะมีลูก? นี่ต้นเรเควี่ยมเป็นซีโน่เจเนอิคอย่างนั้นหรอ” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน
คุณหญิงมิร์เรอร์ส่ายหัว “ข้าไม่รู้ว่าต้นเรเควี่ยมเป็นซีโน่เจเนอิคหรือไม่ แต่มันไม่ได้กำลังจะมีลูก ไข่ของต้นเรเควี่ยมคือเป็นยางของต้นไม้ ยิ่งต้นเรเควี่ยมได้รับพลังงานมากเท่าไหร่ มันก็จะผลิตยางออกมามากเท่านั้น ยางทั้งหมดจะถูกนำมารวมกันอยู่ในรูของต้นเรเควี่ยมและกลายเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับไข่มด นั่นเป็นเหตุผลที่พวกมันถูกเรียกว่าไข่ต้นเรเควี่ยม”
“ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของชายที่เคยได้รับไข่ต้นเรเควี่ยมที่มีขนาดพอกับเล็บมือ เขาเป็นเพียงแค่ระดับราชันขั้นแรกเท่านั้น แต่เขาใช้พลังของไข่เรเควี่ยมเพื่อเลื่อนขึ้นไปถึงระดับเทพเจ้าได้ ตั้งแต่นั้นมาไข่ต้นเรเควี่ยมก็กลายเป็นสมบัติผู้คนแสวงหามากที่สุดในจักรวาล แต่ความสามารถในการทำให้ราชันเลื่อนสู่ระดับเทพเจ้าได้นั้นเป็นเพียงแค่ความสำคัญรอง สิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจพวกมันยิ่งกว่านั้นคือความจริงที่ว่าพวกมันช่วยให้บุคคลระดับเทพเจ้าวิวัฒนาการ” คุณหญิงมิร์เรอร์หยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ
“แต่เมื่อคำนึงถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่ ข้ากลัวว่าไข่เรเควี่ยมที่อยู่ในรูของต้นไม้จะถูกเอาไปเรียบร้อยแล้ว”
“บางทีมันอาจจะยังอยู่ที่นี่” ไนท์วินด์พูด หลังจากนั้นเขาก็ลอยตัวขึ้นสู่อากาศและบินไปที่รูของต้นไม้ เขามองตรงเข้าไปข้างในรูของต้นไม้
“รูของต้นไม้นี้แปลกประหลาดจริงๆ ข้ามองตรงไปข้างใน แต่ข้ามองไม่เห็นอะไรที่อยู่ข้างในเลย” ไนท์วินด์พูด
“ต้นเรเควี่ยมเป็นต้นไม้ที่แอนเชี่ยนท์ก็อตมานิพพาน พวกมันมีพลังที่ไม่ธรรมดา แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ในรูของต้นเรเควี่ยม โชคดีที่รูของต้นเรเควี่ยมนั้นไม่ได้อันตรายอะไร เจ้าแค่ต้องยื่นมือเข้าไปข้างใน” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
ไนท์วินด์ลังเล แต่เขาก็ทำตามที่ถูกบอก เขาห่อหุ้มมือของตัวเองด้วยพลัง หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือเข้าไปในรู
คุณหญิงมิร์เรอร์บอกว่ารูของต้นไม้ไม่ได้อันตราย แต่ใครจะรู้ว่ามันจะมีอะไรซ่อนตัวอยู่ข้างในรูนั้นหรือเปล่า เมืองแห่งนี้นั้นต้องสาบ ดังนั้นไนท์วินด์คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ถ้ามันจะมีแมลงพิษประหลาดซ่อนตัวอยู่ภายในรูของต้นไม้
เมื่อเห็นไนท์วินด์ยื่นมือเข้าไปในรู หานเซิ่นก็รู้สึกกังวลแทนเขา ถ้ามันมีบางสิ่งอยู่ภายในรูของต้นไม้และดึงไนท์วินด์เข้าไปข้างใน นั่นก็จะเป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆ
แต่หลังจากที่ไนท์วินด์ยื่นมือเข้าไปในรู รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาตะโกนขึ้นมา
“มันมีบางสิ่งอยู่ในนี้! มันเป็นทรงกลมและให้ความรู้สึกเหมือนกับก้อนหิน แต่ข้าไม่รู้ว่ามันใช่ไข่ต้นเรเควี่ยมหรือเปล่า”
“สัมผัสมันด้วยมือของเจ้า ถ้ามันเป็นไข่ต้นเรเควี่ยมจริง มือของเจ้าจะมีกลิ่นหอมของมัน” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
ไนท์วินด์สัมผัสมัน หลังจากนั้นเขาก็ดึงมือออกมาจากรู
เขาไม่จำเป็นต้องนำมันมาที่จมูกของเขา แม้แต่หานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์ที่อยู่ด้านล่างของต้นไม้ก็ได้กลิ่นหอมที่น่ารื่นรมย์ของมัน เพียงแค่กลิ่นของมันก็มากพอที่จะทำให้หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขากำลังตื่นขึ้นหลังจำการจำศีลในฤดูหนาวที่ยาวนาน เซลล์ทั่วร่างกายของเขารู้สึกผ่อนคลายและมีชีวิตชีวา
“ไม่เลว! นั่นเป็นกลิ่นหอมของไข่ต้นเรเควี่ยม ไม่อยากเชื่อเลยว่าไข่ต้นเรเควี่ยมจะยังอยู่ที่นี่ ดึงเอามันออกมา!” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
ไนท์วินด์รีบยื่นมือเข้าไปในรูอีกครั้งเพื่อดึงเอาไข่ต้นเรเควี่ยมออกมา แต่เมื่อเขาพยายามดึงมือกลับออกมา มือของเขาก็หยุดชะงักไปกลางคัน ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถดึงไข่ออกมาได้
“ไข่มีขนาดใหญ่เกินไป! ข้าดึงมันออกมาไม่ได้” ไนท์วินด์พูด เขาใช้ดาบแห่งความมืดฟันใส่รูของต้นไม้เพื่อจะทำให้รูกว้างขึ้น
แต่เมื่อดาบแห่งความมืดฟันถูกเปลือกของต้นไม้ มันก็ทำได้แค่ทิ้งรอยขาวบางๆเอาไว้เท่านั้น
“การพยายามจะตัดมันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์! ต้นเรเควี่ยมเป็นที่นิพพานของแอนเชี่ยนท์ก็อต แม้แต่ต้นเรเควี่ยมขนาดเล็กก็ยังไม่สะทกสะท้านต่อพลังของยอดฝีมือระดับเทพเจ้า และต้นไม้นี้มีขนาดใหญ่มหึมา” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“เขาบีบไข่ให้แตกเพื่อนำมันออกมาไม่ได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“ไข่นั้นแข็งแรงยิ่งว่าต้นเรเควี่ยมซะอีก อย่างนั้นแล้วเขาจะทำให้มันแตกได้ยังไง?”
คุณหญิงมิร์เรอร์กรอกตาของเธอ เธอหันไปพูดกับไนท์วินด์อีกครั้ง “ไข่ต้นเรเควี่ยมใบนี้ใหญ่แค่ไหนกัน?”
“ใหญ่มาก…” ไนท์วินด์พูด
“ไอ้ใหญ่มากมันใหญ่แค่ไหน? ใหญ่พอๆกับสมองอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามพร้อมกับหัวเราะ
ไข่ต้นเรเควี่ยมขนาดเท่าเล็บมือสามารถเปลี่ยนยอดฝีมือราชันคนหนึ่งให้กลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ ถ้ามันมีไข่ต้นเรเควี่ยมขนาดเท่าสมองอยู่จริงๆ มันก็คงจะเป็นจุดเริ่มต้นสงครามที่จะกลืนกินทั้งจักรวาล
“ถ้าสมองของเจ้ายาวหนึ่งเมตรล่ะก็นะ” ไนท์วินด์พูด หานเซิ่นสังเกตว่าดวงตาของชายคนนั้นเบิกกว้างมากๆ
“อะไรนะ? ใหญ่ขนาดนั้นเลย?” หานเซิ่นถาม ดวงตาของเขาเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า
“เจ้าแน่ใจหรือว่านั่นคือไข่ต้นเรเควี่ยม ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นน่ะ?” คุณหญิงมิร์เรอร์ถามด้วยความตกใจ แม้แต่เธอก็ไม่สามารถเชื่อในเรื่องนั้นได้
ไม่มีใครเคยได้ยินเกี่ยวกับไข่ต้นเรเควี่ยมที่ใหญ่ขนาดนั้นมาก่อน แม้แต่ไข่ต้นเรเควี่ยมที่เล็กก็ถือเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่นี่…
ความคิดที่ว่ามันมีไข่ต้นเรเควี่ยมยาวหนึ่งเมตรอยู่นั้นเป็นอะไรที่มากพอจะทำให้เลือดของคนเดือด พลังของสิ่งแบบนั้นเป็นอะไรที่อยู่เหนือจินตนาการ
“ข้าไม่รู้ ท่านหญิงควรจะมายืนยันมันด้วยตัวเอง” ไนท์วินด์ลงมาจากรูของต้นไม้ เขายังคงดูตกใจขณะที่พูดกับคุณหญิงมิร์เรอร์
มันน่าแปลกที่จะได้เห็นไนท์วินด์มีสีหน้าแบบนั้น แต่การได้พบไข่ต้นเรเควี่ยมแบบนั้นก็เป็นอะไรที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ยากจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้
เพียงแค่ไข่ต้นเรเควี่ยมขนาดเท่าเล็บมือก็สามารถช่วยให้ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก้าวหน้าอย่างมาก ถ้ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าได้รับไข่ใหญ่ขนาดนี้ไป พวกเขาก็น่าจะกลายเป็นเทพสปิริตได้อย่างง่ายดาย
คุณหญิงมิร์เรอร์บินขึ้นไปที่รูของต้นไม้ เธอยืนมือเข้าไปและเริ่มสัมผัสรอบรูของต้นไม้ ไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็อ้าปากค้างไป
“มันเป็นไข่ต้นเรเควี่ยมจริงๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะมีไข่ที่ใหญ่ขนาดนี้อยู่ด้วย”
ในที่สุดคุณหญิงมิร์เรอร์ก็พูดขึ้นมาหลังจากที่อ้าปากค้างอยู่นาน สีหน้าของเธอดูไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกยังไง
“มันเป็นไข่ต้นเรเควี่ยมจริงๆงั้นหรอ” หานเซิ่นและไนท์วินด์พูดพร้อมๆกัน
“ใช่ มันมีทรงกลมและมีขนาดราว 1-2 เมตร” คุณหญิงมิร์เรอร์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“น่าเสียดายที่รูของต้นไม้มีขนาดแค่กำปั้นเท่านั้น ถ้ามันเป็นไข่ต้นเรเควี่ยมขนาดเล็ก พวกเราก็จะนำมันออกมาได้ ตอนนี้พวกเรารู้ว่ามันมีไข่ต้นเรเควี่ยมอยู่ที่นี่ แต่ทว่าพวกเราไม่มีหนทางที่จะเอามันออกมา”
“เดี๋ยวก่อนนะ! บางทีอาจจะมีหนทางที่พวกเราจะเอามันออกมาได้” จู่ๆไนท์วินด์ก็พูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“เจ้ามีหนทางที่จะขยายรูของต้นไม้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นหันไปมองไนท์วินด์ คุณหญิงมิร์เรอร์เองก็มองไปที่เขาเช่นกัน
แทนที่จะตอบคำถาม ไนท์วินด์ใช้นิ้วมือชี้ไปที่จุดหนึ่งของต้นไม้ด้วยความตื่นเต้นและพูด “ดูนั่น”
หานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์มองตามนิ้วมือของไนท์วินด์ไปและเห็นรอยที่ลากยาวบนต้นไม้ มันเป็นรอยแหว่งที่ยาวถึง 3 ฟุตและลึก 3 นิ้วเป็นอย่างน้อย
“รอยดาบนั่น” ดวงตาของหานเซิ่นเป็นประกายขึ้นมา
รอยดาบนั่นดูเก่าแก่ และถึงแม้ต้นไม้จะฟื้นตัว มันก็ยังคงเหลือรอยแผลเอาไว้ ซึ่งเมื่อดูจากรอยแผลนั่นแล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะถูกสร้างขึ้นโดยดาบใหญ่ที่พวกเขาพบก่อนหน้านี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น