Super God Gene 2411-2422
ตอนที่ 2411
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเตาหลอมขนาดใหญ่ทำให้หานเซิ่นตั้งตัวไม่ทัน เขารีบใส่พลังเข้าไปในออร่าศาสตร์ตงเสวียนให้มากที่สุด แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดดาบและอาณาเขตเพลิงได้อย่างสมบูรณ์ เตาหลอมยักษ์นี้เป็นซีโน่เจเนอิคระดับครึ่งเทพอย่างแท้จริง มันเกือบจะแข็งแกร่งกว่าดราก้อนวันซะอีก
แต่ต้องขอบคุณที่มันไม่ได้มีโซ่สสาร ดังนั้นมันไม่มีทางเป็นระดับเทพเจ้าที่แท้จริงไปได้
อาณาเขตตงเสวียนไม่สามารถผนึกพลังของมันได้อย่างสมบูรณ์ แต่มันก็ยังคงส่งผลกระทบต่อฟันเฟืองจักรวาลและทำให้ฟันเฟืองจักรวาลหมุนช้าลงไป
แถมด้วยอาณาเขตภูเขา หานเซิ่นเลยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวสายธารของดาบที่หลั่งไหลเข้ามา ถึงแม้พวกมันจะดูน่ากลัวมากๆก็ตาม
เคร๊ง!
หานเซิ่นกวัดแกว่งดาบที่อยู่ในมือและฟันสายฝนดาบที่เข้ามาใกล้กระเด็นออกไป แต่ที่สุดแล้วสายฝนดาบก็เป็นอะไรที่มากเกินกว่าจะป้องกันได้หมด และดาบแต่ละเล่มก็กวัดแกว่งด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว
ดาบนับพันเล่มฟันถูกหานเซิ่นและตัดชุดเกราะตงเสวียนจนขาด แต่โชคดีที่อาณาเขตภูเขาดูดซับพลังเข้าไปก่อนแล้วเป็นจำนวนมาก ทำให้มันสามารถป้องกันการโจมตีของสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพเอาไว้ได้ สายฝนดาบทิ้งรอยลึกเอาไว้ที่ชุดเกราะตงเสวียน แต่พวกมันไม่สามารถฟันทะลุผ่านชุดเกราะมาได้
ใบมีดแล้วใบมีดเล่าฟันเข้ามาที่ชุดเกราะและทิ้งรอยดาบเอาไว้ ดาบแต่ละเล่มฟันเข้ามาใกล้เนื้อของหานเซิ่นอย่างน่ากลัวจนเขาเกือบจะร้องตะโกนออกมา
น้ำตกของดาบหลั่งไหลลงมาสู่ร่างกายของหานเซิ่นอย่างไม่หยุดยั้ง เตาหลอมครึ่งเทพตัวนี้เป็นภัยร้ายแรงไม่ต่างอะไรไปจากซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า
แมลงประหลาดระดับเทพเจ้าที่หานเซิ่นเจอก่อนหน้านี้นั้นแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันไม่มีการโจมตีระยะไกล ดังนั้นเขายังพอมีโอกาสที่จะหนีไปได้
แต่ภายใต้สายฝนดาบที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า มันไม่มีที่ไหนให้เขาหนีไปได้ ไม่สำคัญว่าพลังป้องกันของคนๆหนึ่งจะแข็งแกร่งขนาดไหน การถูกโจมตีใส่ซ้ำๆโดยสายฝนดาบก็จะนำไปสู่การถูกเสียบเป็นรูพรุน มันเป็นหลักการเดียวกันกับที่หานเซิ่นใช้โจมตีใส่เตาหลอมโลหะตัวน้อย
แต่สายธารของการโจมตีที่เข้ามาไม่ได้ประกอบไปด้วยน้ำ มันประกอบไปด้วยดาบที่มีพลังระดับครึ่งเทพ
ถ้าเป็นคนอื่นที่มีพลังอาณาเขตชนิดอื่นที่แตกต่างออกไป พวกเขาก็คงจะตายตั้งแต่สายธารดาบระลอกแรกที่โหมกระหน่ำเข้ามาแล้ว แม้แต่กระดูกของพวกเขาก็คงจะไม่มีเหลือ
โชคดีที่หานเซิ่นมีอาณาเขตภูเขาคอยป้องกัน ตราบใดที่การโจมตีครั้งแรกๆไม่สามารถทำลายอาณาเขตภูเขาได้ การใช้ชุดเกราะตงเสวียนเป็นสื่อกลางก็จะทำให้เขาอยู่ยงคงกระพัน
เตาหลอมทองแดงตัวเล็กบินเข้าไปหาเตาหลอมทองแดงตัวใหญ่ ปากของเตาหลอมพ่นไฟออกมาขณะที่มันทำเสียงที่ดูน่าสงสาร ดูเหมือนว่ามันกำลังฟ้องเตาหลอมทองแดงตัวใหญ่อยู่
หลังจากที่เตาหลอมทองแดงตัวใหญ่ได้ยินสิ่งที่ถูกบอก มันก็โกรธอย่างมาก มันปลดปล่อยไฟสีเขียวออกมา อาณาเขตเพลิงแพร่ขยายออกไปและเข้าปกคลุมดาบที่ออกมาจากเตาหลอม
ดาบเหล่านั้นได้รับพลังเสริมจากอาณาเขตเพลิง และพลังของพวกมันก็เพิ่มสูงขึ้น
ดราก้อนวันกำลังบินผ่านอวกาศ หลังจากที่เดียร็อบเบอร์จากไปแล้ว เขาก็ย้อนกลับมาและมุ่งหน้าไปทางที่หานเซิ่นบินออกไป เขาบินมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เห็นหานเซิ่น
หานเซิ่นเดินทางอย่างรวดเร็วเพื่อล่าซีโน่เจเนอิคให้มากที่สุด ส่วนดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์คุยกันต่อสักพักก่อนที่จะแยกทางกันไป มันจึงไม่แปลกอะไรที่ดราก้อนวันจะไล่ตามหานเซิ่นไม่ทัน
“ข้างหน้านี้เป็นเขตของคอร์เตาหลอม คอร์เตาหลอมที่แข็งแกร่งใกล้ที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าแล้ว ถึงมันจะยังไม่มีโซ่สสารของตัวเอง แต่มันก็แข็งแกร่งกว่าสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพส่วนใหญ่ แถมมันยังมีดาบที่น่ากลัวจำนวนมากอยู่ในเตาหลอมอีก ยอดฝีมือระดับราชันและครึ่งเทพมากมายเคยมาเผชิญหน้ากับมัน แต่ไม่มีใครคนไหนที่ฆ่ามันได้ ทำไมดอลลาร์ถึงได้มุ่งหน้าไปที่นั่น นี่เขาคิดจะต่อสู้กับคอร์เตาหลอมตามลำพังอย่างนั้นหรอ?” ดราก้อนวันมองไปข้างหน้าและขมวดคิ้ว
เขายังคงบินต่อไปข้างหน้า แต่จู่ๆเขาก็มองข้ามไหล่ของตัวเองไปและเห็นเงาคนๆหนึ่งกำลังบินเข้ามา
ดราก้อนวันประหลาดใจเมื่อเห็นคนคนนั้นชัดๆ “เดียร็อบเบอร์?”
“บังเอิญจังเลย พวกเราพบกันอีกแล้ว!” เดียร็อบเบอร์ยิ้มและบินมาหยุดตรงหน้าดราก้อนวัน
ดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์มองหน้ากัน พวกเขาทั้งคู่เป็นคนฉลาด ดังนั้นพวกเขารู้ดีกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“เดียร็อบเบอร์ ถ้าเจ้าเลิกซะตอนนี้ พวกเราจะยอมปล่อยภูเขาเอ็กซ์ควิซิทไป มันจะตกเป็นของเจ้าและเดสทรอยเยอร์คนอื่น” ดราก้อนวันพูด
เดียร็อบเบอร์หัวเราะ “ดราก้อนวัน พวกเราไม่ได้ต้องการภูเขาเอ็กซ์ควิซิท เผ่าดราก้อนจะเก็บมันเอาไว้ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ดอลลาร์นั้นต้องเป็นของเผ่าเดสทรอยเยอร์” เดียร็อบเบอร์พูด
“ถึงแม้เจ้าจะต้องการเขา แต่เขาอาจจะไม่อยากร่วมมือกับเจ้า” ดราก้อนวันตอบ
เดียร็อบเบอร์เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาสังเกตเห็นเปลวไฟสีเขียวสว่างไสวขึ้นมาจากระยะไกล
“นี่ดอลลาร์กำลังเผชิญหน้ากับคอร์เตาหลอมอย่างนั้นหรอ?” สีหน้าของเดียร็อบเบอร์เปลี่ยนไป
ดราก้อนวันขมวดคิ้ว “ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”
สีหน้าของเดียร็อบเบอร์เปลี่ยนไป แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หัวเราะและหันมามองดราก้อนวัน
“นี่เขากล้าไปที่นั่นจริงๆอย่างนั้นหรอ? นี่เขาต้องการจะฆ่าคอร์เตาหลอมหรือเนี่ย? ไม่เลวเลย ตอนนี้พวกเราจะได้รู้ว่าเขาแข็งแกร่งถึงขนาดไหน เจ้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันถูกไหม?”
ดราก้อนวันยิ้มแห้งๆออกมา เขาและเดียร็อบเบอร์คิดเหมือนๆกัน พวกเขาทั้งคู่ต้องการจะใช้พลังของดอลลาร์เพื่อต่อสู้กับซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าภายในคอร์แอเรีย
ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าภายในคอร์แอเรียถือเป็นรางวัลที่ใหญ่มากๆ แต่เนื่องจากมันไม่มีเทพเจ้าคนไหนเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ การจะได้รางวัลนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยาก
ยอดฝีมือจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ต่างก็พยายามจะโค้นล้มคอร์ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า แต่พวกเขาต่างก็ล้มเหลว แม้แต่เผ่าชั้นสูงสุดอย่างเอ็กซ์ตรีมคิงก็ยังต้องรวบรวมคนระดับครึ่งเทพเป็นจำนวนมากเพื่อทำการล่าพวกมัน
เผ่าดราก้อนและเดสทรอยเยอร์ก็เคยล่าพวกมันได้สำเร็จในอดีต แม้จะเพียงแค่เล็กน้อย แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องรวบรวมยอดฝีมือระดับครึ่งเทพเป็นจำนวนมาก และถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังต้องสูญเสียคนไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ผลประโยชน์ที่ได้รับจากการล่าคอร์ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้านั้นไม่คุ้มค่าต่อความสูญเสีย
ด้วยเหตุนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาจึงไม่มีโอกาสมากนักที่จะได้ล่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า
แถมความแข็งแกร่งของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้ายังแตกต่างกันเกินไป และตัวที่อ่อนแอก็ถูกล่าไปจนหมดแล้ว ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่ยังเหลืออยู่นั้นจึงมีแต่ตัวที่แข็งแกร่งและยิ่งเวลาผ่านไปพวกมันก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ การจะฆ่าพวกมันในตอนนี้จึงเป็นอะไรที่ยากยิ่งกว่าเมื่อก่อน
อย่างเช่นแมลงประหลาดที่พวกเขาเจอบนดาวดาร์คโซน มันเป็นซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่แข็งแกร่ง ถึงแม้พวกเขาจะรวบรวมยอดฝีมือระดับครึ่งเทพมาเป็นจำนวนมาก มันก็มีโอกาสต่ำที่พวกเขาจะโค้นล้มสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวแบบนั้นได้
ตอนที่ 2412
คนอย่างหานเซิ่นที่รอดชีวิตจากซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าได้นั้นเป็นบุคคลที่มีประโยชน์อย่างมากในการจะโค้นล้มซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า ทั้งเดียร็อบเบอร์และดราก้อนวันต่างก็รู้ถึงคุณค่าของการได้ดอลลาร์มาเป็นพวกพ้อง
แม้แต่เอ็กซ์ตรีมคิงเองก็ยินดีจะจ่ายเพื่อจ้างคนอย่างหานเซิ่น
ทีมระดับราชันของเอ็กซ์ตรีมคิงสามารถโค้นล้มสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าได้ในบางครั้ง แต่นั่นเป็นเฉพาะตอนที่พวกเขาพบกับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าที่อ่อนแอเท่านั้น การต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าที่แข็งแกร่งเป็นอะไรที่เกินกำลังแม้จะเป็นเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงเองก็ตาม
เดียร็อบเบอร์และดราก้อนวันหันมามองหน้ากัน หลังจากนั้นพวกเขาก็บินไปทางอาณาเขตเพลิงเกือบจะพร้อมกัน
“นี่มันดูท่าจะไม่ดีแล้ว คอร์เตาหลอมเพิ่งจะเปิดใช้อาณาเขตเพลิงซ้อนกันถึง 3 ครั้ง ในตอนนี้ดาบที่ออกมาจากเตาหลอมนั้นทรงพลังพอที่จะฆ่ายอดฝีมือระดับครึ่งเทพได้”
เมื่อเดียร็อบเบอร์เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ที่คอร์เตาหลอมยังอยู่รอดมาได้ ขณะที่ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่อ่อนแอในคอร์แอเรียถูกฆ่าตาย นั่นเป็นเพราะพลังและอาณาเขตเพลิงที่น่ากลัวของมัน
มันไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครพยายามที่จะโค้นล้มมันมาก่อน กลุ่มครึ่งเทพเคยร่วมมือกันเพื่อโจมตีมันมาก่อน แต่พวกเขาก็ต้องล้มเหลว เพราะสายธารดาบของมัน และยอดฝีมือระดับครึ่งเทพหลายคนก็ถูกฆ่าตายก่อนที่พวกเขาจะหนีออกมาได้
ดาบนับไม่ถ้วนและอาณาเขตที่ทับซ้อนกันได้หลายชั้นเป็นเหมือนฝันร้ายสำหรับคนที่ต้องการจะโค้นล้มซีโน่เจเนอิคตัวนี้ มันไม่ใช่บางสิ่งที่จะเอาชนะได้ด้วยจำนวนคนที่มากขึ้น
ดราก้อนวันพยักหน้า “อาณาเขตเพลิงทับซ้อนกันถึง 3 ครั้งแล้ว แม้แต่ดราก้อนเธอร์ทีนรุ่นก่อนของพวกเราก็ป้องกันอะไรแบบนี้ไม่ได้ และเขาเป็นถึงครึ่งเทพ”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน พวกเขาก็ระวังไม่ให้ตัวเองเข้าไปในอาณาเขตเพลิง พวกเขาไม่กล้าจะเข้าไปข้างใน มันมีอาณาเขตเพลิงที่ทับซ้อนกันถึง 3 ครั้งและสายธารดาบก็อยู่ตรงหน้าพวกเขา ถ้าพวกเขาเข้าไปข้างใน พวกเขาก็อาจจะไม่รอดกลับออกมา แถมคอร์เตาหลอมก็กำลังจะปลดปล่อยอาณาเขตชั้นที่ 4
แต่เมื่อพวกเขามองลึกเข้าในฝูงดาบ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
หานเซิ่นที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีฟ้ากำลังปล่อยให้สายธารดาบหลั่งไหลมาฟันใส่ร่างกายของเขาจากทุกมุม มันเป็นอะไรที่น่ากลัวจนครึ่งเทพทั้ง 2 รู้สึกมึนงง
สายธารดาบที่น่ากลัวชนเข้ากับร่างกายของหานเซิ่น แต่พวกมันไม่สามารถทำลายชุดเกราะของเขาได้ หานเซิ่นลอยตัวอยู่ในอากาศขณะที่ดาบคริสตัลสีเขียวนับไม่ถ้วนพุ่งมาจู่โจมเขา แต่พวกมันทั้งหมดเด้งออกไปราวกับไม้ถูกๆ
ต่อหน้าชุดเกราะของหานเซิ่น ดาบที่สามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพได้นั้นไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าเม็ดฝนที่ตกลงมา
ตูม!
ขณะที่พวกเขามองดู ปากเตาหลอมก็พ่นไฟสีเขียวออกมาราวกับภูเขาไฟปะทุ อาณาเขตเพลิงใหม่แพร่ขยายออกไป ดาบที่ออกมาจากเตาหลอมดูดซับไฟของอาณาเขตเพลิงเข้าไป ตอนนี้ดาบจำนวนมากดูเหมือนกับอัญมณี ดาบแต่ละเล่มนั้นดูเหมือนกับอาวุธในตำนาน
“อาณาเขตเพลิงชั้นที่ 4!” สีหน้าของเดียร็อบเบอร์ดูมืดมัว
สีหน้าของดราก้อนวันเองก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้เมื่ออาณาเขตเพลิงทับซ้อนกันถึง 4 ครั้ง ดาบแต่ละเล่มของเตาหลอมก็มีพลังที่เทียบได้กับยอดฝีมือครึ่งเทพระดับสูง พวกมันแต่ละเล่มมีพลังเทียบได้กับพลังของดราก้อนวัน
มันมีดาบอยู่เป็นจำนวนมาก และพวกมันก็หมุนวนผ่านอากาศราวกับพายุคริสตัลที่บ้าคลั่ง
ถ้าคอร์เตาหลอมนี้สามารถออกไปสู่จักรวาลจีโนได้ มันก็สามารถทำลายล้างหลายเผ่าพันธุ์ชั้นสูงได้อย่างสบาย พายุดาบนั้นเป็นเหมือนกับกองทัพซีโน่เจเนอิคระดับครึ่งเทพ
แน่นอนว่าคอร์เตาหลอมนั้นมีจุดอ่อนอยู่เช่นกัน ทุกครั้งที่มันดูดซับพลังจากจักรวาลและปลดปล่อยอาณาเขตเพลิงออกมา มันต้องรับภาระของการใช้อาณาเขตอีกชั้น ซึ่งจะส่งผลต่อพละกำลังของมัน ดังนั้นมันไม่สามารถใช้อาณาเขตทับซ้อนกันได้ตลอดไป
อาณาเขตเพลิง 4 ชั้นคือเกือบจะที่สุดของคอร์เตาหลอมแล้ว ถ้ามันยังพยายามจะปลดปล่อยอาณาเขตเพลิงออกมาซ้อนอีกเรื่อยๆ ตัวของเตาหลอมเองก็อาจจะรับไม่ไหว
ถ้าเตาหลอมนั้นโชคร้ายไปเผชิญหน้ากับซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่ทรงพลัง ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าก็จะไม่ปล่อยให้มันมีโอกาสได้ใช้อาณาเขตทับซ้อนกันหลายๆครั้ง ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าแค่ต้องฝ่าพายุดาบและทำลายเตาหลอมในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
แต่ในตอนนี้เตาหลอมสะสมอาณาเขตเพลิงได้ถึง 4 ชั้นแล้ว พลังของดาบแต่ละเล่มนั้นเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง และมันไม่ใช่ว่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าธรรมดาจะรับมือได้
กองทัพดาบพุ่งเข้ามาหาหานเซิ่นจากทุกมุมโดยไม่มีช่องว่างให้เขาหลบหลีกได้ เดียร็อบเบอร์และดราก้อนวันกำหมัดแน่น พวกเขารู้สึกกดดันกับสถานการณ์ที่ได้เห็นราวกับว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้นซะเอง
“ดอลลาร์จะรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้ไหมนะ?” ดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์จ้องมองหานเซิ่นที่ลอยตัวอยู่ตามลำพังในอาณาเขตสีฟ้าของเขา
ตูม!
ดาบพุ่งมาใส่หานเซิ่นจากทุกทิศทาง พวกมันฝังหานเซิ่นเอาไว้ภายใต้ภูเขาดาบหยกเขียว สายธารดาบที่ไหลเชี่ยวยังคงโหมกระหน่ำเข้ามา
ดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์เหงื่อตก ถ้าพวกเขาต้องรับการโจมตีแบบเดียวกันนี้ล่ะก็ ร่างกายของพวกเขาก็คงจะถูกฉีกเป็นชิ้นในชั่วพริบตา
การโจมตีแบบนั้นมีจุดประสงค์เพียงแค่อย่างเดียว ซึ่งนั่นก็คือการฆ่าเป้าหมายให้ตาย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกัน นอกซะจากคนป้องกันจะมีพลังเหนือกว่าคนโจมตี
น้ำน้อยอาจจะเป็นอะไรที่อ่อนแอมากๆ แต่เมื่อรวมน้ำในที่ที่เดียวกันได้มากพอ มันก็จะกลายเป็นสึนามิ แม้แต่สิ่งก่อสร้างที่สูงเสียดฟ้าก็สามารถถูกโค้นลงได้ด้วยพลังแห่งธรรมชาติ
ดาบของคอร์เตาหลอมมีพลังแบบเดียวกัน เสียงปะทะกันดังซะจนดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์แทบจะไม่ได้ยินกันและกัน ดวงตาของพวกเขาจับจ้องไปยังแสงสีฟ้าที่อยู่ท่ามกลางสายธารดาบ
แสงสีฟ้ายังคงไม่ดับไป ซึ่งนั่นหมายความว่าดอลลาร์ยังไม่ตาย การรอดชีวิตอยู่ได้ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นเป็นอะไรที่เหมือนกับปาฏิหาริย์
ตูม!
สายธารดาบที่หลั่งไหลเข้ามาเริ่มจะชะลอความเร็วลงไป และในที่สุดดราก้อนวันกับเดียร็อบเบอร์ก็เห็นหานเซิ่นอีกครั้งผ่านช่องว่างระหว่างดาบ หานเซิ่นยังคงยืนอย่างสงบอยู่ที่เดิม เขาดูไร้ซึ่งความกลัวราวกับเทพ เขาปล่อยให้ดาบของเตาหลอมพุ่งเข้ามาชนกับชุดเกราะของเขาโดยไม่ป้องกันเลยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มีดาบเล่มไหนที่เจาะผ่านการป้องกันของเขาได้
ดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์ทั้งตกใจและดีใจ “อาณาเขตและชุดเกราะแบบไหนกันที่ทำให้ดอลลาร์ยังยืนอยู่ได้ภายใต้การโจมตีแบบนั้น?”
พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อในพลังป้องกันของหานเซิ่น แต่มันก็มอบความหวังให้กับพวกเขา ด้วยพลังป้องกันแบบนั้น การจะถ่วงเวลาซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้านั้นอาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
ตอนที่ 2413
อาณาเขตภูเขาดูจะเป็นอะไรที่ไร้เทียมทาน แต่หานเซิ่นกำลังจะถึงขีดจำกัดแล้วในตอนนี้
อาณาเขตภูเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่มันมีขีดจำกัดพลังที่ชุดเกราะตงเสวียนจะรับได้ ตอนนี้พลังถูกถ่ายโอนเข้าไปในชุดเกราะมากจนชุดเกราะเริ่มจะส่งเสียงแตกร้าวออกมา
ชุดเกราะตงเสวียนยังเป็นแค่ระดับราชันขั้นแรกเท่านั้น ถึงแม้มันจะดีกว่าชุดเกราะอื่นๆในระดับเดียวกัน แต่ระดับของมันยังต่ำเกินไป ความจริงที่ว่ามันทนมาได้นานถึงขนาดนี้ก็เป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากแล้ว
‘ถ้าชุดเกราะตงเสวียนถึงระดับราชันขั้นที่ 9 และรีเซ็ตได้เมื่อไหร่ การรวมกันระหว่างอาณาเขตภูเขาและชุดเกราะตงเสวียนก็จะทำให้เราเผชิญหน้ากับซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าแบบซึ่งๆหน้าได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
ตูม!
ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิด คอร์เตาหลอมก็เปิดออกเพื่อดูดซับพลังงานจักรวาลเข้าไปอีกครั้ง ไฟในเตาหลอมนั้นลุกโชติช่วงขึ้น
ตัวเตาหลอมเองก็ดูเหมือนจะกำลังเปลี่ยนแปลงภายใต้ความร้อนสูง ทองแดงกลายเป็นอะไรที่กึ่งโปร่งใส มันทั้งดูประหลาดและงดงามอย่างมาก
เมื่อดาบดูดซับพลังอาณาเขตชั้นที่ 5 เข้าไป พวกมันก็เริ่มเคลื่อนไหวราวกับว่าพวกมันมีจิตวิญญาณของตัวเอง และมันก็มีเงาที่อันตรายอยู่ด้านหลังของพวกมัน
“อาณาเขตเพลิงชั้นที่ 5 นี่มันใกล้เคียงกับพลังของโซ่สสาร คอร์เตาหลอมนี่ขี้โกงเกินไปแล้ว”
ดราก้อนและเดียร็อบเบอร์ตกตะลึง ร่างกายของพวกเขาสั่นด้วยความเกรงกลัว ถึงแม้จะมองจากระยะใกล แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลของดาบแต่ละเล่ม
“บางทีหลังจากการต่อสู้นี้ คอร์เตาหลอมอาจจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า” ดราก้อนวันพึมพำ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เจ้าเตาหลอม
“ดอลลาร์จะทนรับมันได้ไหมนะ?” เดียร็อบเบอร์มองสายธารดาบที่ชี้ไปที่หานเซิ่น ชุดของเขาเริ่มจะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หานเซิ่นเห็นว่าดาบของเตาหลอมทั้งหมดกำลังเล็งมาที่เขา แต่เขาไม่หวาดกลัว เขาเอยชมพวกมันเบาๆ
“เป็นซีโน่เจเนอิคที่ทรงพลังอะไรขนาดนี้ มันน่าเสียดายจริงๆ”
ขณะที่หานเซิ่นพูดกับตัวเอง เขาก็ยื่นมือของเขาออกไปข้างหน้า เหรียญๆหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วกลางของเขา
หานเซิ่นไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน พลังที่อาณาเขตภูเขาถ่ายโอนไปสู่ชุดเกราะตงเสวียนนั้นหนักอึ้งเกินไป แถมชุดเกราะตงเสวียนก็ถึงขีดจำกัดของมันแล้ว ถ้ามันดูดซับพลังไปมากกว่านี้ มันก็ต้องระเบิดอย่างแน่นอน
ดังนั้นหานเซิ่นจะต้องต่อสู้อย่างซึ่งๆหน้า เขาไม่มีทางเลือกอื่น
“เขาคิดจะต่อสู้กับมันตรงๆ?” เมื่อเห็นท่าทางของหานเซิ่น ดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์ก็รู้สึกแปลกใจ
ระดับราชั้นขั้นแรกกำลังจะต่อสู้กับเตาหลอมที่เกือบจะถึงระดับเทพเจ้า โอกาสตายนั้นสูงมากๆ
พวกเขาเห็นสถานการณ์ของหานเซิ่นและได้ยินเสียงแตกร้าวของชุดเกราะ มันเริ่มจะมีรอยร้าวปรากฏขึ้นมาให้เห็น ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันทนรับการโจมตีที่น่ากลัวแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว พวกเขาคิดว่าที่หานเซิ่นตัดสินใจต่อสู้ในตอนนี้ก็เพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่น
หานเซิ่นไม่เห็นด้วยในเรื่องนั้น กองทัพดาบของเตาหลอมนั้นน่ากลัวมากก็จริง แต่ในตอนนี้พลังอันสุดยอดของพวกมันได้สะสมอยู่ภายในชุดเกราะของเขาเช่นกัน และพวกมันก็เป็นสิ่งที่หานเซิ่นสามารถใช้งานได้
“เอาล่ะ! แสดงให้โลกนี้ได้เห็นถึงพลังของคอลเลคติ้งแท็กซ์!”
หานเซิ่นคำรามขณะที่ถือเหรียญเอาไว้แน่นระหว่างนิ้วมือของตัวเอง
เหรียญส่งเสียงดังขึ้นมาและตัวเลขบนเหรียญก็ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว
1 2 10 50
ตัวเลขบนเหรียญเบลอไป ขณะที่พวกมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันกองทัพดาบก็มารวมตัวกันและเตรียมตัวที่จะจู่โจมหานเซิ่น
เหรียญของหานเซิ่นมีความสามารถอยู่ 2 อย่าง เซฟวิ่งมันนี่กับคอลเลคติ้งแท็กซ์ เซฟวิ่งมันนี่นั้นจะสะสมพลังเพื่อใช้โจมตี ส่วนคอลเลคติ้งแท็กซ์นั้นมาจากจีโนคอร์ของหานเซิ่น มันเป็นความสามารถที่จะพึ่งพาพลังจากภายนอก
ภายในรัศมีของเหรียญ ทุกสิ่งมีชีวิตต้องเสียสละพลังของพวกมันมาเป็นเชื้อเพลิงให้กับเหรียญ ยิ่งพลังของสิ่งมีชีวิตรอบข้างแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ คอลเลคติ้งแท็กซ์ก็จะสะสมพลังได้มากเท่านั้น
ดาบทุกเล่มของเตาหลอมนั้นทรงพลังอย่างมาก พวกมันเทียบได้กับครึ่งเทพที่ใกล้จะกลายเป็นระดับเทพเจ้าแล้ว แถมพวกมันยังมีกันอยู่เป็นจำนวนมากอีกด้วย
ดาบทุกเล่มสูญเสียพลังบางส่วนของพวกมันไป และหานเซิ่นก็สะสมพลังของพวกมันเอาไว้ที่เหรียญ พลังมากมายมหาศาลมารวมกันอยู่ที่เหรียญในมือของหานเซิ่น พลังของเหรียญนั้นเพิ่มสูงขึ้นจนหานเซิ่นเกือบจะควบคุมมันไม่อยู่
เมื่อดาบนับไม่ถ้วนของเตาหลอมได้รับพลังเสริมของพวกมันแล้ว พวกมันก็เริ่มเคลื่อนไหว สายธารดาบดูเหมือนกับคลื่นสึนามิที่ซัดเข้ามาหาหานเซิ่น พลังของมันปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างราวกับว่าพวกมันกำลังจะฉีกอวกาศขาดเป็นเสี่ยงๆ
ดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์เริ่มถอยห่างออกไป กองทัพดาบนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป หลังจากการโจมตีครั้งนี้ เตาหลอมตัวนั้นก็คงจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้สำเร็จ
ติ๊ง!
ในที่สุดหานเซิ่นก็ดีดเหรียญออกไปหาเจ้าเตาหลอม พลังของเหรียญนั้นเพิ่มสูงขึ้นจนหานเซิ่นควบคุมไม่ได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดีดมันออกไป ซึ่งถ้าเขาไม่ทำแบบนั้น มันก็จะระเบิดในมือของเขา ขณะที่เหรียญถูกดีดออกไปตัวเลขบนเหรียญก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเทียบกับแสงของดาบแล้วแสงของเหรียญนั้นเล็กกระจิ๊ดริด แต่เมื่อดาบของเตาหลอมสัมผัสกับเหรียญ พวกมันก็ถูกทำลายในทันที พวกมันดูอ่อนแอยิ่งกว่าฟองสบู่ และแสงสีทองของเหรียญก็พุ่งต่อไปที่เตาหลอมทองแดง
ดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์ยังคงถอยห่างออกไป พวกเขาเห็นหานเซิ่นดีดเหรียญออกไป แต่เนื่องจากแสงสว่างของดาบ พวกเขาจึงไม่สามารถจับตามองแสงสีทองอันน้อยนิดของเหรียญได้
สายธารดาบที่น่ากลัวพุ่งเข้ามาหาร่างกายของหานเซิ่น ขณะที่เหรียญพุ่งไปปะทะกับเตาหลอมทองแดงและมีเสียงกรุบของโลหะดังขึ้นมา
เสียงนั้นไม่ได้ดังอะไร แต่มันกลับได้ยินอย่างชัดเจนท่ามกลางเสียงที่ดังกระหึ่มของกองทัพดาบ ดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์หันกลับมามองและพวกเขาก็เหลือบไปเห็นเตาหลอมขนาดยักษ์
พวกเขาเห็นเหรียญไปถูกกับเตาหลอม และวินาทีต่อมาเหรียญก็ทะลุเข้าไปข้างในเตาหลอม
ตอนที่ 2414
เตาหลอมกลายเป็นอะไรที่กึ่งโปร่งแสงภายใต้ความร้อนของเปลวไฟ เหรียญพุ่งไปถูกด้านข้างของเตาหลอมอย่างรุนแรง และทำให้ผิวของมันเริ่มจะบุบเข้าไปข้างใน รูเล็กรูหนึ่งเกิดขึ้นบนผิวเตาหลอมและเหรียญก็หายเข้าไปในรูนั้น
มันเหมือนกับว่าเวลาหยุดนิ่งไป เดียร็อบเบอร์และดราก้อนวันไม่เห็นเหรียญทะลุออกมาอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงสันนิษฐานไปว่าเหรียญยังคงติดอยู่ที่ตัวเตาหลอม พวกเขาไม่ได้คิดว่าเหรียญจะมีพลังมากพอที่จะเจาะทะลุผิวของเตาหลอมได้
แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ตัวแข็งทื่อไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ทั้งร่างของเตาหลอมนั้นยุบเข้าไปข้างใน เตาหลอมทองแดงที่มีขนาดใหญ่ยักษ์กลายเป็นก้อนโลหะเล็กลง
และกระบวนการบี้ให้เล็กลงก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุด มันเหมือนกับกระป๋องโซดาที่ถูกบดขยี้ด้วยเท้าของใครบางคน พลังภายในเตาหลอมยังคงทำให้โครงสร้างของมันยุบเล็กลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเตาหลอมก็เล็กจนเป็นเหมือนกับจุดแสงในอวกาศ หลังจากนั้นมันก็ระเบิดเหมือนกับซูเปอร์โนวา
คลื่นกระแทกของแรงระเบิดถูกส่งออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา และดราก้อนวันกับเดียร็อบเบอร์ก็ถูกส่งกระเด็นออกไปด้วยพลังระเบิดที่น่ากลัวนั้น
เมื่อดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์ทรงตัวได้แล้ว พวกเขาก็มองไปรอบๆและเห็นว่าเจ้าเตาหลอมทองแดงถูกทำลายจนไม่เหลือซาก ดาบทุกเล่มเริ่มจะแตกร้าว เนื่องจากสิ่งที่เป็นแหล่งพลังของพวกมันถูกทำลายไป พวกมันเริ่มระเบิดตามๆกันเป็นลูกโซ่ มันเหมือนกับการมองดูงานดอกไม้ไฟอวกาศครั้งใหญ่
หานเซิ่นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
ดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์หันมามองหน้ากัน นี่ไม่ใช่แค่การแสดงพลังป้องกันที่สูงเพียงเท่านั้น ดอลลาร์เพิ่งจะทำลายสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าจนไม่เหลือซาก นั่นเป็นการโจมตีที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ
แม้แต่ยอดฝีมือระดับครึ่งเทพชั้นสูงก็ไม่สามารถทนต่อกองทัพดาบอย่างที่ดอลลาร์ทำได้
“น่ากลัวจริงๆ!” ดราก้อนวันและเดียร็อบเบอร์คิดเหมือนๆกัน
“ซีโน่เจเนอิคคอร์เตาหลอมระดับราชันกลายพันธุ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูร”
หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ มันไม่มีเสียงประกาศดังขึ้นมาว่ายีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจถึงส่วนที่น่ากลัวที่สุดของพลังเหรียญ มันทำลายแม้กระทั่งยีนซีโน่เจเนอิคที่อยู่ภายในเตาหลอมตัวนั้น
การโจมตีนั้นเป็นพลังของเตาหลอมเอง พลังของกองทัพดาบนั้นเป็นอะไรที่ทรงพลังเกินกว่าที่ตัวเตาหลอมเองจะทนรับได้ พลังจากดาบทุกเล่มมารวมกันอยู่ที่เหรียญ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หานเซิ่นสามารถเอาชนะเตาหลอมตัวนั้นได้
ในจังหวะที่หานเซิ่นกำลังจะดูข้อมูลวิญญาณอสูรที่เพิ่งจะได้มา เขาก็สังเกตเห็นว่าบางสิ่งกำลังหนีไป เมื่อเขาสังเกตดูดีๆ เขาก็เห็นว่าเจ้าเตาหลอมทองแดงตัวน้อยกำลังบินหนีไป
หานเซิ่นหยุดใช้อาณาเขตภูเขาและรีบบินตามมันไป
โชคดีที่เตาหลอมไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่รวดเร็วอะไร ดังนั้นหานเซิ่นจึงไล่ตามมันทันในเวลาอันสั้น เขานำปืนคอร์แมลงปีศาจออกมาเพื่อจะฆ่ามัน
เมื่อเห็นแบบนั้นเจ้าเตาหลอมก็หยุดหนี มันหันกลับมาและเริ่มปลดปล่อยเปลวไฟออกมา
หานเซิ่นคิดว่ามันเตรียมตัวจะต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงเล็งปืนคอร์แมลงปีศาจไปที่มัน แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าเจ้าเตาหลอมไม่ได้ปลดปล่อยไฟมาที่เขา แต่ไฟนั้นบิดเบี้ยวในอากาศและก่อตัวเป็นคำพูดแทน
“ท่านราชาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย” หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ เขาลดปืนลง
เมื่อเจ้าเตาหลอมสังเกตเห็นว่าหานเซิ่นไม่โจมตี มันก็รีบพ่นไฟออกมาอีกครั้ง “ข้าน้อยยินดีที่จะเป็นทาสของท่าน”
‘ว้าว! เจ้านี่ฉลาดไม่เบาเลย’ หานเซิ่นคิดด้วยความแปลกใจ ซีโน่เจเนอิคที่เขาเห็นภายในคอร์แอเรียจนถึงตอนนี้ไม่ค่อยมีสติปัญญาเท่าไรนัก แม้แต่แมลงประหลาดที่เป็นระดับเทพเจ้าก็ไม่ค่อยฉลาดเหมือนกับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั่วๆไป
แต่สติปัญญาของเตาหลอมตัวนี้เทียบได้กับสิ่งมีชีวิตชั้นสูง
“เจ้าจะทำอะไรให้ข้าได้?” หานเซิ่นถามเจ้าเตาหลอม
หานเซิ่นไม่คิดว่าจะพาคอร์ซีโน่เจเนอิคกลับไปในจักรวาลจีโนได้ ถึงแม้เขาจะยอบรับการสวามิภักดิ์ของมัน แต่มันก็ต้องอยู่ภายในคอร์แอเรียอยู่ดี
เจ้าเตาหลอมเข้าใจที่หานเซิ่นพูด มันก็รีบพ่นไฟสีเขียวออกมาเพิ่ม
“ข้าน้อยจะนำทางให้กับท่านราชา ข้าน้อยคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี”
หานเซิ่นหัวเราะออกมา เขาคิดว่าเจ้าเตาหลอมตัวเล็กนี้ฉลาดมากๆ
“เจ้าไม่โกรธที่ข้าฆ่าพวกพ้องของเจ้าอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่เจ้าเตาหลอมขนาดเล็ก เตาหลอมขนาดใหญ่ที่เขาเพิ่งจะฆ่าไปนั้นดูเหมือนจะเป็นพ่อแม่ของเตาหลอมตัวนี้
เจ้าเตาหลอมตัวเล็กพ่นไฟออกมาเพิ่ม “พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรกัน”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อ รีบนำทางไปเร็วเข้า ถ้าเจ้าพยายามจะเล่นตุกติกอะไรล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
หานเซิ่นคิดว่าเจ้าเตาหลอมตัวเล็กนี้ตลกดี เขารู้สึกชอบมัน ในตอนนี้เขาคิดจะเก็บมันเอาไว้และดูสิว่ามันจะบอกทางกับเขาดีหรือเปล่า
ถ้ามันรับใช้เขาเป็นอย่างดีจริงๆ การมีพวกพ้องที่รู้จักเกี่ยวกับคอร์แอเรียเป็นอย่างดีถือเป็นอะไรที่มีประโยชน์ มันจะช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงการเข้าไปในเขตแดนของซีโน่เจเนอิคที่แข็งแกร่งได้
“ท่านราชาอย่าได้กังวล ข้าน้อยจะนำทางอย่างดี ข้าน้อยจะใช้ชีวิตเพื่อท่านราชา และข้าน้อยจะตายเพื่อท่านราชา” เจ้าเตาหลอมพ่นไฟออกมา
“นำข้าไปล่าซีโน่เจเนอิค เอาซีโน่เจเนอิคที่ข้าจะฆ่าได้อย่างไม่เป็นอันตราย” หานเซิ่นออกคำสั่ง
“เชิญท่านราชาทางนี้” เตาหลอมตัวเล็กเริ่มนำทางไป
หลังจากที่หานเซิ่นจากไปแล้ว เดียร็อบเบอร์และดราก้อนวันก็เผยตัวออกมา ที่พวกเขาไม่ได้ออกมาเพื่อทักทายหานเซิ่นก็เพราะหานเซิ่นน่ากลัวเกินไป พวกเขาจำเป็นต้องคิดหาหนทางที่จะโน้มน้าวให้หานเซิ่นมาร่วมมือกับพวกเขาซะก่อน
หานเซิ่นทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าพวกเขาไม่คิดข้อเสนอดีๆ ดอลลาร์ก็ไม่มีทางสนใจข้อเสนอของพวกเขาแน่ แถมพวกเขาทั้งคู่ยังต้องแข่งขันกันเองอีก
ซึ่งก่อนที่พวกเขาจะเสนอรางวัลจำนวนมากให้กับหานเซิ่นได้นั้น พวกเขาก็จำเป็นต้องกลับไปปรึกษากับเผ่าพันธุ์ของตัวเองซะก่อน
“ดราก้อนวัน ข้ามีข้อเสนอบางอย่าง เจ้าสนใจจะฟังมันหน่อยไหม” เดียร็อบเบอร์มองไปที่ดราก้อนวัน
“เจ้าต้องการจะร่วมมือกันอย่างนั้นสินะ?” ดราก้อนวันถามขณะที่มองกลับไปที่เดียร็อบเบอร์
“เจ้าเองก็คิดเหมือนกันอย่างนั้นหรอ?” เดียร็อบเบอร์ประหลาดใจ
ดราก้อนวันยิ้ม “ดูเหมือนว่าพวกเราจะเห็นตรงกัน พวกเราควรจะหาที่ดีๆเพื่อคุยรายละเอียดกัน”
“ข้าเองก็คิดเหมือนกันเลย” เดียร็อบเบอร์ยิ้ม
เจ้าเตาหลอมตัวเล็กนำทางหานเซิ่นไปข้างหน้า เขายังคงสงสัยในความภักดีของมัน แต่เจ้าเตาหลอมตัวเล็กนั้นไม่ได้เล่นตุกติกอะไร มันพาเขาไปในสถานที่ที่เป็นที่อยู่ของกลุ่มซีโน่เจเนอิคระดับราชันขนาดเล็ก พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่หานเซิ่นสามารถฆ่าได้อย่างง่ายดาย ด้วยการมีเจ้าเตาหลอมคอยนำทาง ทำให้หานเซิ่นเก็บสะสมคอร์ยีน 20 ยีนได้ในเวลาไม่กี่วัน
ตอนที่ 2415
คุณหญิงมิร์เรอร์นั่งอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ของเธอ เธอมองดูข้อมูลบนหน้าจอขณะที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ที่อยู่บนหน้าจอเป็นข้อมูลของหานเซิ่น มันเป็นข้อมูลตั้งแต่ตอนที่ข่งเฟยประกาศสงครามกับเผ่าเฟเธอร์และจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์ มันบอกข้อมูลทุกอย่างที่หานเซิ่นทำตั้งแต่ตอนนั้นจนมาถึงตอนที่เขาปลอมตัวเป็นไป๋อี้ ข้อมูลทั้งหมดถูกบันทึกอยู่ในเอกสารนี้
“เป็นผู้ชายที่น่ากลัวอะไรอย่างนี้ บันทึกพวกนี้ทำให้ชีวิตของเขาดูเหมือนกับว่าเขากำลังเล่นเกมส์โดยการใช้สูตรโกง เขาทำเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากมาย และมันยากที่จะจินตนาการได้ว่าคริสตัลไลเซอร์ที่เหลือรอดคนหนึ่งจะเริ่มต้นจากไม่มีเลยจนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้ยังไง”
ข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมมานั้นละเอียดมากๆ คุณหญิงมิร์เรอร์ต้องยอมรับว่าถ้าเธอตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับหานเซิ่น เธอไม่คิดว่าตัวเธอเองจะประสบความสำเร็จได้ถึงครึ่งของเขา
“น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่ไป๋อี้ตัวจริง ไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถของเขา เขาจะกลายเป็นตำนานในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิง” คุณหญิงมิร์เรอร์ถอนหายใจ เธอปิดคอมพิวเตอร์และลูบขมับของตัวเอง
เธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก คนที่มีแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายคือคนที่ปลอมตัวเป็นองค์ชายคนหนึ่ง เธอไม่สามารถบอกมันกับราชาไป๋ได้ และเธอก็ไม่สามารถโกหกเขาได้เช่นกัน ราชาไป๋ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ
“เรดิโอเวฟน่าจะกำลังสืบสวนหานเซิ่นอยู่ ถ้าพวกเขาสืบรู้ความลับของหานเซิ่นเข้าล่ะก็ สถานการณ์ก็อาจจะเลวร้ายสำหรับเรา และถ้าเราต้องมอบตัวหานเซิ่นให้กับราชาไป๋ แหวนมิร์เรอร์สปิริตอายก็คงจะรับความเสียหายอีกครั้งไม่ไหว” คุณหญิงมิร์เรอร์เริ่มจะรู้สึกปวดหัว
คุณหญิงมิร์เรอร์หลับตา แต่เธอไม่สามารถคิดหาทางออกได้
ลูกน้องคนหนึ่งของเธอมาเคาะประตู “คุณหญิงมิร์เรอร์ ตำแหน่งของโบราณสถานก็อตแบทเทิลที่ 7568 ถูกยืนยันเรียบร้อยแล้ว”
“เอาข้อมูลมาให้ข้า” คุณหญิงมิร์เรอร์กลับมานั่งตัวตรงและดูเหมือนกับคุณหญิงที่สง่างามอีกครั้ง
ลูกน้องคนนั้นเปิดประตูเข้ามาและวางเอกสารลงตรงหน้าเธอ คุณหญิงมิร์เรอร์ตรวจดูพวกมันอยู่สักพัก ก่อนจะพูดขึ้นมา “เผ่าพันธุ์อื่นอีกเผ่าถูกค้นพบที่โบราณสถานที่ 7568 เนี่ยนะ?”
“ใช่แล้ว คุณหญิง คนของพวกเราพบร่องรอยการขุดและการก่อสร้างที่เพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อไม่นานมานี้” ลูกน้องคนนั้นอธิบาย
“โอเค เจ้าไปได้แล้ว” คุณหญิงมิร์เรอร์วางเอกสารลงบนโต๊ะและหลับตาครุ่นคิด
หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็ลืมตาขึ้นมาและมองไปที่เอกสารบนโต๊ะอีกครั้ง หลังจากนั้นเธอก็ยิ้มและพูด “โบราณสถานที่ 7568 ถ้านั่นคือโบราณสถานที่เราตามหาจริงๆ บางทีเราอาจจะโน้มน้าวราชาไป๋ และพาหานเซิ่นไปที่นั่นได้ นี่ถือเป็นโอกาสดี”
…
เป็นครั้งแรกที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับหานเซิ่น เขาให้เตาหลอมนำทางให้กับเขา และเขาก็เก็บสะสมคอร์ยีนซีโน่เจเนอิคได้เป็นจำนวนมาก ในตอนนี้เขาถืออยู่ 4 ยีน เขากินเข้าไป 2 ยีนและโยนอีก 2 ยีนที่เหลือให้กับเจ้าเตาหลอม
มันไม่ใช่เพราะว่าหานเซิ่นกินทิ้งกินขว้าง เขาแค่ไม่สามารถย่อยพวกมันได้อีกแล้ว ถึงแม้จะใช้วิชาคอนซูมช่วย เขาก็สามารถกินได้แค่ 2 คอร์ยีนต่อหนึ่งวันเท่านั้น ถ้าเขาต้องการจะเก็บยีนระดับราชันให้ครบหนึ่งร้อย มันก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน
เนื่องจากเตาหลอมตัวน้อยนั้นรับใช้เขาเป็นอย่างดี หานเซิ่นจึงมอบคอร์ยีนซีโน่เจเนอิคให้กับมัน เจ้าเตาหลอมนั้นมักจะดีใจที่ได้รับคอร์ยีน
ดาบของเจ้าเตาหลอมนั้นจำเป็นต้องใช้คอร์ยีนซีโน่เจเนอิคในการสร้าง
‘ไม่แปลกใจเลยที่เตาหลอมตัวใหญ่นั้นแข็งแกร่งนัก ดาบทั้งหมดที่มันสร้างขึ้นมานั้นมาจากยีนของซีโน่เจเนอิคระดับราชัน ไม่อยากจะคิดเลยว่าคอร์ซีโน่เจเนอิคระดับราชันกี่ตัวกันที่มันฆ่าตายไป น่าเสียดายที่ยีนซีโน่เจเนอิคพวกนั้นถูกละลายภายในเตาหลอม และถ้าเตาหลอมถูกทำลาย ดาบที่ถูกสร้างขึ้นมาก็จะถูกทำลายไปด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็คงจะมียีนซีโน่เจเนอิคมากพอที่จะใช้ไปชั่วชีวิต’ หานเซิ่นคิดอย่างเสียใจ
เตาหลอมตัวน้อยนั้นเชื่อฟังหานเซิ่นเป็นอย่างดี และเมื่อหานเซิ่นออกไปจากคอร์แอเรีย มันก็จะไม่ไปไหนไกล มันจะรอจนกว่าหานเซิ่นจะกลับเข้ามา
หลายวันหลังจากนั้นเจ้าเตาหลอมน้อยก็หลอมดาบขึ้นมาหลายเล่ม
หานเซิ่นคิดว่าช่วงเวลาที่ผ่อนคลายนี้จะดำเนินต่อไปอีกสักพัก แต่เมื่อคุณหญิงมิร์เรอร์ปรากฏตัวขึ้น เธอก็ทำลายช่วงเวลาที่ผ่อนคลายของเขาในทันที
“เก็บข้าวของให้เรียบร้อย เจ้ามีภารกิจที่ต้องไปทำ” คุณหญิงมิร์เรอร์พูดก่อนที่จะจิบน้ำชา
“ภารกิจอะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยความกังวล คุณหญิงมิร์เรอร์สั่งให้เขาเก็บข้าวของ นั่นหมายความว่าเขาต้องเดินทางออกจากอาณาจักรกษัตริย์
“นี่คือคำสั่งโดยตรงของราชาไป๋ เจ้ามีปัญหาอย่างนั้นหรอ?” คุณหญิงมิร์เรอร์ถามพร้อมกับวางเอกสารลงบนโต๊ะ
“ข้าจะพาคนของข้าไปได้ไหม?” หานเซิ่นถาม
“เจ้าจะพาคนอื่นไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการจะพาพวกเขาไปในสถานที่ที่อันตรายน่ะ?” คุณหญิงมิร์เรอร์ดูเหมือนกับว่าเธอกำลังยิ้มอยู่ แต่มันไม่ใช่
หานเซิ่นรู้ว่าคุณหญิงมิร์เรอร์กำลังเตือนเขาว่าอย่าได้พยายามคิดจะหนีไป เขาจะไม่มีโอกาสทำอะไรแบบนั้นได้
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะพาเป่าเอ๋อไปด้วย” หานเซิ่นพูดและแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเธอจะบอกอะไร
“แน่นอน แต่ข้าเตือนเจ้าแล้ว ที่ที่พวกเราจะไปนั้นเต็มไปด้วยอันตราย ถ้ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เจ้าจะมาโทษว่าข้าไม่เตือนไม่ได้” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ข้าจะรับผิดชอบกับการตัดสินใจนี้เอง” หานเซิ่นพูด
“ดี ไปเตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจะออกเดินทางกันคืนนี้” หลังจากพูดจบคุณหญิงมิร์เรอร์ก็จากไป
หานเซิ่นเรียกเป่าเอ๋อมาหา เขาทิ้งกิเลนโลหิตเอาไว้ที่เมืองใต้น้ำเพื่อคอยจับตามองหลันไห่ซินเผื่อในกรณีที่เธอจะสร้างปัญหาอะไร
หานเซิ่นไม่ยังคิดจะหนีไป เอ็กซ์ตรีมคิงนั้นทรงอำนาจเกินไป นอกซะจากเขาจะมีแผนที่ดีพอ เขาจะไม่หนีไป เขาไม่สามารถกลับไปที่ดาวอุปราคาได้เช่นกัน เขาไม่อยากจะลากอี๋ซาเข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหานี้
ที่หานเซิ่นอยากจะพาเป่าเอ๋อไปด้วยนั่นก็เพราะเขารู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะทิ้งเธอเอาไว้ตามลำพัง แถมเขาก็เคยชินกับการมีเป่าเอ๋อติดไปไหนมาไหนด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเดินทางตามลำพัง เขาก็มักจะรู้สึกว่าขาดบางสิ่งไป
หานเซิ่นบอกให้กิเลนโลหิตคอยจับตาดูหลันไห่ซินเอาไว้ ลิลลี่ขอให้หานเซิ่นพาเธอไปด้วย แต่เขาปฏิเสธ
คุณหญิงมิร์เรอร์บอกว่าที่ที่พวกเขาจะไปนั้นเป็นสถานที่ที่อันตราย หานเซิ่นไม่คิดว่าเธอพูดแบบนั้นเพียงเพราะต้องการจะขู่ให้เขากลัว ลิลลี่เป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง เธอไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ และการพาเธองไปด้วยนั้นก็เหมือนกับการพาเธอไปตาย
หานเซิ่นพาเป่าเอ๋อไปที่จุดนัดพบ สมาชิกหลายคนของสปริงเรนนั้นจะร่วมเดินทางไปด้วย มันมียอดฝีมือระดับราชันและครึ่งเทพหลายคนมารวมตัวกันอยู่ที่จุดนัดพบก่อนแล้ว หานเซิ่นยังเห็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าถึง 2 คนอยู่ในกลุ่มพวกเขาด้วย
“พวกเขาจะกำลังไปที่ไหนกันแน่?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัย คนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่นั้นมีกำลังต่อสู้มากพอที่จะทำลายล้างเผ่าพันธุ์ชั้นสูงได้อย่างสบายๆ
เมื่อยานอวกาศเริ่มออกเดินทาง คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ไม่ได้เรียกตัวเขาไปพบ หานเซิ่นมีเวลาว่างบนยานอวกาศ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไปกับการฝึกฝนและกินยีนระดับราชันที่เก็บสะสมมา
หานเซิ่นเริ่มพยายามจะหมุนฟันเฟืองจักรวาลของวิชากายหยก เขาอยากจะพัฒนากายหยกไปสู่ระดับราชัน ซึ่งการทำแบบนั้นเป็นอะไรที่ง่ายกว่าการเลื่อนศาสตร์ตงเสวียนไปสู่ระดับราชันมาก มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ยานอวกาศทำการเทเลพอร์ตอยู่หลายครั้ง เมื่อยานอวกาศของพวกเขาเดินทางถึงจุดหมายปลายทาง หานเซิ่นก็รู้สึกแปลกใจ เนื่องจากเขารู้จักที่แห่งนั้น
“ที่นี่คือซีโน่เจเนอิคสเปชที่หนิงเยวี่ยพูดถึงอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย
ตอนที่ 2416
ภูมิประเทศของซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นเต็มไปด้วยหิน ยานอวกาศลงจอดท่ามกลางทุ่งหินที่กว้างใหญ่ และพวกเขาก็ตั้งค่ายกันที่นั่น
คุณหญิงมิร์เรอร์สั่งให้สมาชิกของสปริงเรนขุดพื้นเพื่อนำหินขึ้นมา
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ได้สั่งให้หานเซิ่นทำอะไร นอกจากบอกให้เขาอยู่ภายในค่าย ถึงแม้เขาจะไม่อยากจะลงมือขุดอะไร แต่ความสามารถในการสำรวจรอบๆก็ถูกจำกัดไปด้วย
หานเซิ่นถามคุณหญิงมิร์เรอร์ว่ากำลังจะไปสถานที่แบบไหนและภารกิจของพวกเขาคืออะไรกันแน่ แต่เธอไม่ได้คำตอบเขา เธอแค่บอกว่าเขาจะปลอดภัยตราบใดที่เขาไม่ออกไปไหนไกล และเขาจะถูกเรียกตัวก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องทำงาน
‘นี่คือซีโน่เจเนอิคสเปชที่หนิงเยวี่ยพูดถึง ดาบเขียวน้อยของหนิงเยวี่ยนั้นออกมาจากหนึ่งในก้อนหินที่ถูกขุดพบที่นี่ มันดูเหมือนว่างานของคุณหญิงมิร์เรอร์นั้นจะเหมือนกับของเผ่าเฮลล์ พวกเขาต้องการจะขุดหาอะไรบางสิ่งจากหินพวกนี้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง เขาอยากจะไปร่วมขุดกับคนอื่นด้วยเพื่อตรวจสอบก้อนหินพวกนั้น
แต่คุณหญิงมิร์เรอร์บอกอย่างชัดเจนว่าไม่ควรออกไปจากค่าย ดังนั้นการไปร่วมขุดกับคนอื่นจึงเป็นไปไม่ได้
หานเซิ่นจึงใช้เวลาว่างไปกับการฝึกวิชาและกินยีนซีโน่เจเนอิคระดับราชัน
ในวันที่ 2 มีบางสิ่งเกิดขึ้นในทุ่งหิน สมาชิกหลายคนของสปริงเรนถูกแบกกลับมาที่ค่าย เมื่อหานเซิ่นได้ยินเสียงเอะอะและเดินไปดู เขาก็พบว่าบุคคลผู้โชคร้ายนั้นกำลังจะกลายเป็นหิน และในไม่เวลาไม่นานทั้งร่างกายของพวกเขาก็กลายเป็นหินโดยสมบูรณ์ พวกเขากลายเป็นเหมือนกับรูปปั้นไป
คุณหญิงมิร์เรอร์และยอดฝีมือระดับเทพเจ้าทั้ง 2 คนพยายามจะหยุดกระบวนการถูกแช่แข็งเป็นหินเอาไว้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้
หลังจากเหตุการณ์นั้น การทำขุดทุ่งหินก็ถูกหยุดไป แต่ถึงพวกเขาจะเลิกทำการขุด คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ยังไม่คิดจะไปจากที่นี่
หลายวันต่อมามียานอวกาศหลายลำเดินทางมาถึง สิ่งมีชีวิตต่างๆมากมายถูกพามาที่ค่าย พวกเขามาจากเผ่าพันธุ์ที่หลากหลาย และพวกเขาทั้งหมดก็เป็นระดับมาร์ควิสหรือไม่ก็ดยุก พวกเขาคงจะถูกพาตัวมาที่นี่เพื่อใช้เป็นคนงานในทุ่งหิน
“หนิงเยวี่ย” ขณะที่หานเซิ่นมองดูคนงานที่เรียงแถวกันเพื่อลงทะเบียน เขาก็เห็นหญิงงามในชุดเกราะสีชมพู เขาจดจำได้ว่าเธอคือหนิงเยวี่ย
หานเซิ่นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาไม่ได้ตกใจที่ตอนนี้หนิงเยวี่ยเป็นผู้หญิง หานเซิ่นรู้เรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว
และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่หนิงเยวี่ยจะมาที่นี่เช่นกัน หนิงเยวี่ยกำลังมองหาโอกาสที่จะกลับมาเพื่อหาความจริงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา เอ็กซ์ตรีมคิงนั้นรับสมัครคนงานมา ดังนั้นมันเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลที่หนิงเยวี่ยจะเข้าร่วมกับพวกเขา
หานเซิ่นแค่ประหลาดใจกับสิ่งที่หนิงเยวี่ยกำลังสวมใส่ เขากำลังสวมชุดสีชมพูอ่อน และเขายังมีแหวน ต่างหูและสร้อยคอสีชมพูอีกด้วย เขาดูงดงามอย่างแท้จริง ถ้าหานเซิ่นไม่เคยเห็นหนิงเยวี่ยในร่างผู้หญิงมาก่อน หานเซิ่นก็ไม่มีทางรู้อย่างแน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นคือหนิงเยวี่ย
‘โอ้ไม่นะ! นี่หนิงเยวี่ยเป็นบ้าไปแล้วอย่างนั้นหรอ? ถึงแม้ร่างกายของเขาจะกลายเป็นผู้หญิงจริงๆ มันก็ไม่เห็นมีความจำเป็นที่เขาจะต้องแต่งตัวเหมือนผู้หญิง’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ยิ่งเขามองหนิงเยวี่ยนานเท่าไหร่ เขาก็รู้สึกมั่นใจว่ามันมีบางสิ่งผิดปกติกับหนิงเยวี่ย
“เราจะพูดคุยกับหนิงเยวี่ยตามลำพังได้ยังไงกันนะ?” หานเซิ่นอยากจะถามหนิงเยวี่ยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้พูดกับคนงาน และถึงเขาจะทำแบบนั้นได้ ทุกคนก็จะมองเห็น มันไม่มีที่ไหนให้พวกเขาพูดคุยกันอย่างส่วนตัว
หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่ข้ามคืน และวันต่อมาเขาก็เข้าไปหาคุณหญิงมิร์เรอร์ที่ห้องทำงาน
“คุณหญิงมิร์เรอร์! คุณหญิงมิร์เรอร์! ท่านพาข้าที่นี่ แต่แล้วท่านกลับไม่ปล่อยให้ข้าได้ทำอะไร ท่านไม่ให้ข้าออกไปไหน และท่านไม่แม้แต่จะให้ข้าได้เล่นอินเตอร์เน็ต นี่มันคืออะไรกัน?” หานเซิ่นเรียกร้อง
“ท่านหญิง พวกเราหยุดองค์ชายเอาไว้ไม่ได้!” ยามเฝ้าประตูพยายามอธิบายการเข้ามาอย่างกะทันหันของหานเซิ่น
“พวกเจ้าออกไปได้” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด ดวงตาของเธอไม่แม้แต่จะมองมาที่พวกเขา แต่เธอจับจ้องไปที่เอกสารที่กำลังอ่านอยู่
หลังจากที่ยามเฝ้าประตูออกไปแล้ว หานเซิ่นก็พูดขึ้นมา
“ถึงแม้ท่านไม่ต้องการให้ข้าออกไปไหน อย่างน้อยก็อนุญาตให้ข้าได้ทำอะไรบ้าง ถ้าข้าต้องติดแหง็กอยู่ในค่ายตลอดทั้งวันโดยที่ไม่มีอะไรทำ ข้าก็อาจจะกลายเป็นบ้าเอา แถมเป่าเอ๋อก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง นางแหง็กอยู่ในค่ายทั้งวันไม่ได้เช่นกัน”
“เจ้าเป็นคนพาเธอมาที่นี่เอง เธอเป็นความรับผิดชอบของเจ้า”
คุณหญิงมิร์เรอร์ปิดเอกสารในมือและเงยหน้าขึ้นมามองหานเซิ่น “เจ้าจะได้รับงานเมื่อเวลามาถึง แต่สำหรับตอนนี้งานของเจ้าคือการรออยู่เฉยๆในค่าย”
“ก็ได้ ข้าจะทำแบบนั้น แต่อย่างน้อยท่านก็ช่วยหาคนทำอาหารที่ดีกว่านี้หน่อยจะได้ไหม? และอีกอย่างนั้นข้าก็อยากได้คนมาคอยดูแลเป่าเอ๋อ นั่นคงไม่ได้ขอมากไปหรอกใช่ไหม?” หานเซิ่นพูด
“เจ้ามาที่นี่เพื่อทำงาน เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพักร้อน”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ คุณหญิงมิร์เรอร์ก็พูดต่อ “ข้าจะหาคนใช้ให้เจ้าคนหนึ่ง ตอนนี้กลับไปได้แล้ว”
“นั่นค่อยดีขึ้นหน่อย แต่ท่านช่วยหาคนที่สวยๆนะ มันจะเป็นอะไรที่รำคาญสายตาถ้าคนใช้นั้นน่าเกลียด” หานเซิ่นพูด
“เจ้ากำลังมองหาคนใช้หรือว่าเจ้ากำลังมองหาหญิงสาว?” คุณหญิงมิร์เรอร์ถามเสียงแข็ง
“ข้าคือองค์ชายสิบหก มันเป็นเรื่องแปลกอะไรที่ข้าจะต้องการมีหญิงสาวคอยรับใช้?” หานเซิ่นยิ้ม
“องค์ชายสิบหก?” คุณหญิงมิร์เรอร์มองหานเซิ่นด้วยหางตา
หานเซิ่นไอกลบเกลื่อน “ข้าไม่ได้จะทำอะไร ข้าแค่ต้องการใครสักคนมาคอยดูแลลูกสาวของข้าเท่านั้น ท่านไม่ยอมปล่อยให้ข้าออกไปไหน และข้ายังต้องทำตัวเองให้ดูเหมือนกับองค์ชาย”
“เจ้ายังอยากจะบอกอะไรอีกไหม?” คุณหญิงมิร์เรอร์ถามขณะที่ยังคงมองหานเซิ่นด้วยหางตา
“ไม่มีแล้ว” หานเซิ่นตอบ
“ถ้าเจ้าไม่ต้องการอะไรอีก แบบนั้นก็กลับไปได้แล้ว ข้ายังมีงานต้องทำ” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้ แต่ท่านได้โปรดช่วยเลือกสาวใช้ให้กับข้าสักคน”
หานเซิ่นพูด คุณหญิงมิร์เรอร์จ้องมองเขาจนกระทั่งเขาออกไปจากห้องทำงานของเธอ
‘คุณหญิงมิร์เรอร์จะเลือกสาวใช้จากคนงานที่รับสมัครมาไหมนะ? ถ้าเธอเลือกจากพวกคนงาน มันก็มีโอกาสสูงที่หนิงเยวี่ยจะถูกเลือก’ หานเซิ่นคิดขณะที่เขาเดินออกไป
ถ้าคนที่คุณหญิงมิร์เรอร์เลือกไม่ใช่หนิงเยวี่ย แบบนั้นหานเซิ่นก็ต้องหาทางอื่นติดต่อกับหนิงเยวี่ย
วันต่อมา หลังจากที่หานเซิ่นเปิดประตูเพื่อพาเป่าเอ๋อไปกินข้าวเช้า เขาก็เห็นผู้หญิงเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“องค์ชาย คุณหญิงมิร์เรอร์ขอให้หม่อมฉันมาคอยรับใช้องค์ชาย”
ผู้หญิงคนนั้นโค้งคำนับหานเซิ่น แต่ใบหน้าของเธอไร้ความรู้สึกใดๆ
“ไม่เลว! เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” หานเซิ่นยิ้มให้กับอีกฝ่าย
หานเซิ่นคำนึงถึงความเป็นไปได้นี้เอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาไม่ได้ผิดหวังอะไร ถ้าคุณหญิงมิร์เรอร์เลือกใครมาแบบสุ่มๆ หานเซิ่นก็คิดว่ามันเป็นอะไรที่น่าสงสัย
“ฟอลลิ่งลีฟ” หญิงสาวตอบ
“ฟอลลิ่งลีฟอย่างนั้นหรอ? ไม่เลว ไม่เลย คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ตามข้ามา พวกเราจะไปหาอะไรกินกัน”
หานเซิ่นหลี่ตาลงเล็กน้อยและยกเป่าเอ๋อขึ้นมานั่งบนไหล่ของเขา หลังจากนั้นพวกเขาทั้ง 3 คนก็มุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร
หานเซิ่นหันไปหาสาวใช้คนใหม่ของเป่าเอ๋อและพูด “ฟอลลิ่งลีฟ หน้าที่ของเจ้าคือคอยดูแลเป่าเอ๋อ เจ้าห้ามทำให้นางร้องไห้เป็นอันขาด เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”
“หม่อมฉันทราบแล้ว” ฟอลลิ่งลีฟตอบ เสียงของเธอนั้นไร้ความรู้สึก
ตอนที่ 2417
หานเซิ่นรู้สึกตัวในทันทีว่าฟอลลิ่งลีฟไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เธอซ่อนพลังชีวิตได้เป็นอย่างดี แต่หานเซิ่นมีศาสตร์ตงเสวียนอยู่ มันไม่มีทางที่ฟอลลิ่งลีฟจะปิดบังพลังระดับราชันจากเขาได้
ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่สามารถบอกได้ว่าเธอถึงขั้นไหนแล้ว แต่เธอต้องไม่ใช่ระดับราชันขั้นแรกอย่างแน่นอน
‘คุณหญิงมิร์เรอร์นี่ใจกว้างจริงๆ ฟอลลิ่งลีฟคนนี้จะต้องเป็นสมาชิกระดับสูงในสปริงเรนอย่างแน่นอน’ หานเซิ่นคิดขณะที่พยายามจะหาหนทางที่จะทำให้เธอจากไป
ถ้าหานเซิ่นทำให้เธอจากไปด้วยตัวเขาเอง นั่นก็จะดึงดูดความสนใจมาที่เขา ดังนั้นหานเซิ่นไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เขาจำเป็นต้องปฏิบัติกับเธอเป็นอย่างดี แต่ทว่าเขาจะทำให้เธออยู่กับพวกเขาอย่างไม่สุขสบายด้วยการใช้เป่าเอ๋อ
‘ในเรื่องการทำให้คนอื่นเป็นทุกข์คือสิ่งที่เป่าเอ๋อถนัดที่สุด’ หานเซิ่นคิดขณะที่มองไปที่เป่าเอ๋อ
“พี่ฟอลลิ่งลีฟ พี่ช่วยเล่นเกมส์กับหนูจะได้ไหม?” เป่าเอ๋อถือตุ๊กตาขณะที่มองไปที่ฟอลลิ่งลีฟ
“แน่นอนว่าพี่จะเล่นกับเจ้า” ฟอลลิ่งลีฟตอบ รอยยิ้มอ่อนปรากฏบนใบหน้าที่เย็นชาของเธอ
ฟอลลิ่งลีฟนั่นค่อนข้างมีชื่อเสียงในสปริงเรน ความสงบนิ่งและจิตใจที่เข้มแข็งไม่ถูกควบคุมโดยอารมณ์นั้น ทำให้เธอเป็นนักฆ่าที่ยอดเยี่ยม เมื่อเธอได้รับภารกิจ มันไม่มีอะไรที่จะสั่นคลอนเธอจากหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอคือภารกิจที่เธอได้รับมอบหมายให้ไปฆ่ายอดฝีมือระดับครึ่งเทพที่เป็นลูกชายของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าบนดวงดาวของพวกเขา
แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่อ่อนหวาน แม้แต่อารมณ์ของฟอลลิ่งลีฟก็ดีขึ้นมาหน่อย
เธอดูมีความสุขกว่าตอนที่เธอพูดคุยกับหานเซิ่น
ฟอลลิ่งลีฟนั้นไม่ได้รู้ว่าหานเซิ่นเป็นองค์ชายตัวปลอม แต่ถึงเธอจะเชื่อว่าหานเซิ่นเป็นคนของราชวงศ์จริงๆ เธอก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรในตัวเขา เธอเกลียดความคิดที่จะต้องเดทกับองค์ชาย
ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของคุณหญิงมิร์เรอร์ เธอไม่มีทางจะยอมทำอะไรแบบนี้ และเธอก็ไม่มีทางที่จะยอมตกลงมารับใช้หานเซิ่นอย่างแน่นอน
หานเซิ่นมองดูเป่าเอ่อเล่นกับฟอลลิ่งลีฟและโล่งใจขึ้นมาหน่อย เขากลับไปที่ห้องเพื่อฝึกวิชาต่อ
หลังจากที่พยายามหมุนฟันเฟืองจักรวาลของวิชากายหยกหลายครั้ง ในที่สุดหานเซิ่นก็เริ่มเข้าใจการทำงานของมัน ฟันเฟืองจักรวาลของวิชากายหยกนั้นแตกต่างไปจากศาสตร์ตงเสวียน หานเซิ่นเห็นฟันเฟืองจักรวาของศาสตร์ตงเสวียนและฟันเฟืองอื่นที่อยู่รอบๆมันได้อย่างชัดเจน
แต่ฟันเฟืองของกายหยกนั้นดูเบลอๆ พวกมันไม่ได้ชัดเจนเหมือนอย่างของศาสตร์ตงเสวียน ดังนั้นหานเซิ่นจึงต้องพยายามหลายวิธีเพื่อจะหวังหมุนฟันเฟืองจักรวาลของมัน เขาลืมไปแล้วว่าลองไปทั้งหมดกี่วิธี แต่ถึงอย่างนั้นฟันเฟืองจักรวาลของกายหยกก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
เขาแค่จำเป็นต้องมีพลังพอที่จะหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเอง ไม่ว่าใครก็สามารถหมุนฟันเฟืองจักรวาลได้และจำนวนของฟันเฟืองที่พวกเขาต้องหมุนก็ขึ้นอยู่กับอาณาเขตของคนนั้นๆ
แต่ยอดฝีมือระดับราชันทั่วๆไปจะมองไม่เห็นฟันเฟืองจักรวาลเหมือนอย่างหานเซิ่น พวกเขาแค่สัมผัสได้ถึงสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ พวกเขาไม่ได้รู้ตัวว่าจริงๆแล้วพวกเขากำลังหมุนฟันเฟืองจักรวาล
ในตอนแรกหานเซิ่นจะคิดว่าจำนวนของฟันเฟืองที่คนๆหนึ่งหมุนได้นั้นมีความสัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่นั่นไม่ได้เป็นจริงเสมอไป
ความยากง่ายของการเลื่อนสู่ระดับราชันนั้นขึ้นอยู่ฟันเฟืองจักรวาลของคนๆนั้น ถ้าพวกเขามีฟันเฟืองจักรวาลที่เชื่อมต่อกับฟันเฟืองอื่นไม่มาก พวกเขาก็จะหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเองได้อย่างง่ายดาย ซึ่งพลังของพวกเขาจะเทียบได้กับคนที่มีฟันเฟืองจักรวาลเชื่อมต่อกับฟันเฟืองอื่นเป็นจำนวนมากได้โดยการหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเองด้วยความเร็วที่สูงกว่า
ด้วยเหตุนั้นราชันหลายคนที่มีฟันเฟืองจักรวาลไม่ใหญ่มากก็สามารถปลดปล่อยพลังอาณาเขตที่เหนือกว่าราชันที่มีฟันเฟืองที่ใหญ่กว่าได้
กายหยกเป็นวิชาจีโนที่มีพลังที่เรียบง่าย ฟันเฟืองจักรวาลของมันจึงไม่จำเป็นต้องหมุนฟันเฟืองอื่นอะไรมาก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพลังอาณาเขตของมันจะอ่อนแอ
เมื่อหานเซิ่นพร้อมจะเลื่อนสู่ระดับราชัน เขาก็เริ่มปลดปล่อยอาณาเขตตงเสวียนออกมา ด้วยความช่วยเหลือจากอาณาเขตตงเสวียน การหมุนฟันเฟืองอื่นก็เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเดิมมาก และมันยังทำให้หานเซิ่นเห็นฟันเฟืองจักรวาลของกายหยกอีกด้วย
ฟันเฟืองจักรวาลของกายหยกไม่ได้เล็กกว่าฟันเฟืองจักรวาลของศาสตร์ตงเสวียนมากนัก เพราะยังไงซะพวกมันก็เป็นฟันเฟืองจักรวาลที่มีรากฐานจากร่างกายของหานเซิ่น ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาก
แต่ฟันเฟืองของศาสตร์ตงเสวียนมีสีดำ ขณะที่ฟันเฟืองของกายหยกนั้นโปร่งใสเหมือนกับหยก มันเชื่อมต่อกับฟันเฟืองจักรวาลอื่นทั้งหมด 7 ฟันเฟืองด้วยกัน นั่นถือเป็นตัวเลขธรรมดาทั่วไปสำหรับราชันคนหนึ่ง เมื่อเทียบกันแล้วศาสตร์ตงเสวียนนั้นเชื่อมต่อกับฟันเฟืองจำนวนมาก
แต่การเชื่อมต่อกับฟันเฟืองจำนวนน้อยไม่ได้หมายความว่าพลังอาณาเขตของกายหยกจะไม่สามารถขยายออกไปไกล เพราะฟันเฟืองจักรวาลของกายหยกนั้นสามารถหมุนอย่างรวดเร็วได้
ภายใต้อาณาเขตตงเสวียน หานเซิ่นเริ่มใช้วิชากายหยก หลังจากนั้นเขาก็เริ่มพยายามจะหมุนฟันเฟืองจักรวาลของมัน กระบวนการของมันนั้นง่ายกว่าตอนที่เขาพยายามหมุนฟันเฟืองจักรวาลของศาสตร์ตงเสวียนมากๆ
เพราะยังไงซะตอนนี้หานเซิ่นก็เป็นระดับราชันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีพลังที่จะใช้หมุนฟันเฟืองจักรวาลมากกว่าเดิม
ฟันเฟืองหยกโปร่งใสค่อยขยับๆ ขณะที่ฟันเฟืองจักรวาลของกายหยกเริ่มหมุน สัญลักษณ์ดอกไม้ประหลาดก็ปรากฏขึ้นบนผิวของมัน
สัญลักษณ์ดอกไม้ขยายออกเหมือนกับคริสตัลเรืองแสงที่เข้าปกคลุมฟันเฟืองจักรวาล ขณะที่ฟันเฟืองหมุน สัญลักษณ์นั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานหลังจากนั้นมันก็ปกคลุมฟันเฟืองอย่างสมบูรณ์ ฟันเฟืองจักรวาลของกายหยกนั้นกลายเป็นพระจันทร์น้ำแข็งไป
ฟันเฟืองจักรวาลของกายหยกเริ่มหมุนฟันเฟืองจักรวาลทั้ง 7 ที่เชื่อมต่อกับมัน และขณะที่มันทำแบบนั้น สัญลักษณ์ดอกไม้ก็เริ่มขยายไปสู่ฟันเฟืองจักรวาลเหล่านั้นด้วย
พลังอาณาเขตที่ดูเหมือนกับหยกน้ำแข็งขยายออกจากตัวของหานเซิ่น แต่หลังจากขยายออกไปได้สักพัก พลังนั้นก็กลับมาที่หานเซิ่น ร่างกายของเขาดูดซับพลังทั้งหมดเข้าไป
เมื่อฟันเฟืองที่เหมือนกับพระจันทร์น้ำแข็งหมุน ร่างกายทั้งร่างของหานเซิ่นก็ตกผลึก และเขาก็เรืองแสงเหมือนกับคริสตัล เขาเหมือนกับเทพที่ห่อหุ้มด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์
ตูม!
ฟันเฟืองจักรวาลยังคงหมุนต่อไป ขณะที่ประตูสู่คอร์แอเรียเริ่มเปิดออก ร่างกายของหานเซิ่นถูกดูดเข้าไปข้างใน หานเซิ่นพบว่าตัวเองอยู่ภายในสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนกับปราสาทอีกครั้ง หานเซิ่นเปิดประตูปราสาทออกไปอย่างไม่ลังเลและพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แห่งใหม่ภายในคอร์แอเรียจักรวาล นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เขาเคยเห็นมาก่อน
โดยปกติแล้วการเปิดประตูเข้าสู่คอร์แอเรียจักรวาลจะส่งเขากลับไปยังสถานที่ที่เขากลับออกมาเสมอๆ แต่ตอนนี้เมื่อหานเซิ่นเข้าสู่คอร์แอเรียจักรวาลโดยการหมุนฟันเฟืองของวิชากายหยก มันก็ส่งเขาไปในสถานที่ที่แตกต่างไปจากตอนที่เขาเข้าสู่คอร์แอเรียด้วยการหมุนฟันเฟืองของศาสตร์ตงเสวียน
“นั่นหมายความว่าแต่ละวิชาจะส่งเราเข้าไปสู่คอร์แอเรียในสถานที่ที่ต่างกันอย่างนั้นหรอ? นี่เราจะเลือกสถานที่ที่จะเข้าไปได้โดยการเปลี่ยนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเองหรอเนี่ย?” หานเซิ่นรู้สึกดีใจกับเรื่องนั้น
ตอนที่ 2418
หานเซิ่นมองไปรอบๆและพยายามจะดูว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนในคอร์แอเรีย เขายังไม่คิดจะออกล่าคอร์ซีโน่เจเนอิคในตอนนี้ ดังนั้นหลังจากที่ยืนยันตำแหน่งของตัวเองได้แล้ว เขาก็ตัดสินใจกลับออกมา
หานเซิ่นเดินออกมาจากห้องส่วนตัวของเขา และเขาก็หยุดชะงักไปกับสิ่งที่เห็น ฟอลลิ่งลีฟและเป่าเอ๋อกำลังจ้องหน้ากัน แต่ใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟนั้นถูกแปะด้วยสติ๊กเกอร์ ซึ่งบ่งบอกว่าเธอเป็นฝ่ายแพ้ ตอนนี้เธอกำลังถือไพ่ 2 ใบอยู่ในมือและเธอดูจริงจังมากๆ
ส่วนทางด้านเป่าเอ๋อกำลังถือไพ่อยู่หนึ่งใบ เธองมองไปที่ไพ่ 2 ใบของฟอลลิ่งลีฟอย่างครุ่นคิด
“ข้าควรจะเลือกใบไหนดีนะ?” เป่าเอ๋อสงสัยและทำการตัดสินใจอย่างระมัดระวัง เธอชี้นิ้วออกไปข้างหน้าและส่ายไปมาระหว่างไพ่ทั้ง 2 ของฟอลลิ่งลีฟ มันดูเหมือนว่าเธอกำลังจะเลือกไพ่ใบใดใบหนึ่ง
เมื่อหานเซิ่นเห็นแบบนั้น เขาก็รู้ในทันทีว่าเป่าเอ๋อและฟอลลิ่งลีฟกำลังเล่นอีแก่กินน้ำ
นี่เป็นเกมส์ที่หานเซิ่นเล่นกับเป่าเอ๋ออยู่บ่อยๆ และเนื่องจากหานเซิ่นถนัดเกมส์ที่ใช้การคาดเดาแบบนี้ ในตอนแรกเป่าเอ๋อจึงไม่เคยเอาชนะเขาได้เลย แต่หลังจากเล่นไม่นานเขาก็เริ่มชนะน้อยครั้งลงเรื่อยๆ และไม่นานหานเซิ่นก็รู้สึกว่าเขาแทบจะเอาชนะเป่าเอ๋อไม่ได้อีก เขาต้องใช้สมาธิอย่างเต็มที่เพื่อเล่นเกมส์นี้กับเป่าเอ๋อโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องการจะหลีกเลี่ยงการพ่ายแพ้
ที่สุดแล้วหานเซิ่นก็หยุดเล่มเกมส์นี้กับเป่าเอ๋อ ซึ่งหมายความว่าเป่าเอ๋อไม่สามารถแก้แค้นจำนวนตาทั้งหมดที่หานเซิ่นเอาชนะเธอไปได้ เป่าเอ๋อนั้นโกรธในเรื่องนั้นอยู่พักใหญ่
แต่หานเซิ่นก็ยังยืนกรานที่จะไม่เล่นเกมส์นี้กับเธอ เขาไม่ต้องการมอบโอกาสล้างแค้นให้กับเธอ
มันเป็นเกมส์ที่พึ่งพาโชค การตัดสินใจ การสังเกตและจิตวิทยา ครอบครัวของหานเซิ่นภาคภูมิใจในด้านการเล่มเกมส์ แต่หานเซิ่นไม่มั่นใจอีกต่อไปว่าจะสามารถเอาชนะเป่าเอ๋อได้
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟเต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ เขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเธอนั้นพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ส่วนใบหน้าของเป่าเอ๋อนั้นยังสะอาดหมดจด และมันไม่มีสติ๊กเกอร์อยู่บนหน้าของเธอเลยแม้แต่แผ่นเดียว
ขณะที่มือของเป่าเอ๋อค่อยๆส่ายไปมาระหว่างไพ่ทั้ง 2 ใบ ใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟนั้นไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา แต่หัวใจของเธอนั้นเต้นรัวในทุกการเคลื่อนมือของเป่าเอ๋อ
เธอรู้สึกแย่อย่างแท้จริง ในตอนแรกเธอแค่ตกลงจะเล่นเกมส์กับเป่าเอ๋อก็เพื่อทำให้เด็กสาวคนหนึ่งมีความสุข เกมส์แบบนี้เป็นอะไรที่ง่ายเกินไปสำหรับนักฆ่าอย่างเธอ เธอถนัดเรื่องการอ่านผู้คนและความสามารถในการคาดเดาของเธอก็ยอดเยี่ยม
แต่ตลอดเวลาที่เล่นกันมา เธอไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฟอลลิ่งลีฟเริ่มจะรู้สึกเข้าตาจนขึ้นเรื่อยๆ และเธอก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อจะชนะให้ได้สักครั้งหนึ่ง
ดวงตาของฟอลลิ่งลีฟจ้องไปที่ไพ่ทั้ง 2 ในมือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เป่าเอ๋อชี้ไปที่ไพ่โจ๊กเกอร์ เธอก็จะรู้สึกดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป่าเอ๋อชี้ไปที่ไพ่เจ็ดโพแดง เธอก็รู้สึกกังวลอย่างมาก
“บางทีข้าควรจะเลือกใบนี้?” เป่าเอ๋อพูดขณะที่เอื่อมมือไปหาไพ่โจ๊กเกอร์ ชีพจรของฟอลลิ่งลีฟเต้นรัวเมื่อนิ้วมือของเป่าเอ๋อสัมผัสกับไพ่โจ๊กเกอร์
“เอามันไป! เอามันไป!” ฟอลลิ่งลีฟตะโกนในหัวใจ แต่เธอไม่ปล่อยให้อารมณ์แสดงออกมาบนใบหน้า
แต่ทันใดนั้นเป่าเอ๋อก็หยุดชะงักไป เธอหันมาหยิบไพ่เจ็ดโพแดงแทนด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าข้าเอาไพ่ใบนี้ดีกว่า”
กล้ามเนื้อแก้มของฟอลลิ่งลีฟกระตุก นิ้วมือของเธอจับไพ่ทั้ง 2 ใบเอาไว้แน่น ขณะที่เป่าเอ๋อพยายามจะดึงไพ่เจ็ดโพแดงไป แต่ฟอลลิ่งลีฟไม่ยอมปล่อยมันไป
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยไพ่ในมือ เป่าเอ๋อก็ไม่รู้จะทำยังไง เธอปล่อยมือจากไพ่เจ็ดโพแดงและหันไปหยิบไพ่โจ๊กเกอร์แทน
“ถ้าอย่างนั้นข้าเอาใบนี้”
ฟอลลิ่งลีฟรู้สึกดีใจ เธอรีบปล่อยไพ่โจ๊กเกอร์ในมือให้เป่าเอ๋อและพูด
“มันถึงตาของพี่แล้ว”
ฟอลลิ่งลีฟกัดฟันและจ้องไปที่ไพ่ 2 ใบในมือของเป่าเอ๋อ เธอจ้องมองอย่างขะมักเขม้นราวกับว่าเธอกำลังอ่านบางสิ่งจากด้านหลังของไพ่
ในฐานะนักฆ่าชั้นเลิศของสปริงเรน ความสามารถในการสังเกตและตัดสินใจของฟอลลิ่งลีฟนั้นถือเป็นที่สุด เธอจับข้อแตกต่างที่เล็กน้อยที่สุดได้อย่างง่ายดาย
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอไม่สามารถสัมผัสร่องรอยอะไรที่จะช่วยเธอระบุไพ่บนมือของเป่าเอ๋อได้เลย ฟอลลิ่งลีฟจ้องมือของเป่าเอ๋ออย่างขะมักเขม้นจนดวงตาของเธอดูเหมือนจะหลุดออกมาจากเบ้า เธอไม่สามารถบอกได้ว่าไพ่ใบไหนคือไพ่โจ๊กเกอร์กันแน่
“พี่สาวจะเลือกหรือยัง?” เป่าเอ๋อพูดพร้อมกับหาวออกมา
“ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย” ฟอลลิ่งลีฟยื่นมือออกไปจับไพ่ที่อยู่ด้านซ้าย เธอมองไปที่เป่าเอ๋อโดยหวังว่าจะเห็นเบาะแสบางอย่างในดวงตาของอีกฝ่าย
“ถ้านั่นคือไพ่ที่พี่สาวต้องการ พี่ก็รีบหยิบมันไป” เป่าเอ๋อพูดด้วยใบหน้าที่ดูเบื่อ
เมื่อได้ยินเป่าเอ๋อพูดแบบนั้น ฟอลลิ่งลีฟก็ตัดสินใจไม่หยิบมัน พวกเขาพึ่งจะอยู่ด้วยกันได้แค่ 2 ชั่วโมง แต่ในสายตาของฟอลลิ่งลีฟนั้น เป่าเอ๋อไม่ใช่แค่เด็กตัวน้อยคนหนึ่งอีกต่อไป
‘พยายามหลอกข้าอย่างนั้นหรอ? มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก’ ฟอลลิ่งลีฟเปลี่ยนไปหยิบไพ่ที่อยู่ด้านขวา
แต่เมื่อเธอผลิกมันมาหาตัว เธอก็รู้สึกเหมือนกับถูกสายฟ้าช็อตใส่ มันเป็นไพ่โจ๊กเกอร์
“ทำไมพี่สาวไม่เชื่อคนอื่น? ผู้ใหญ่อย่างพี่สาวนี่ซับซ้อนจริงๆ ข้าไม่เข้าใจพี่สาวเลย” เป่าเอ๋อดูเศร้าโศกขณะที่ส่ายหัวของตัวเอง
ใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟกระตุก เธอกัดฟันและพูด “ตาเจ้าแล้ว”
“ข้าเลือกใบนี้” เป่าเอ๋อยื่นมือออกไปหยิบไพ่เจ็ดโพแดงออกมาจากมือของฟอลลิ่งลีฟ
“ฮ่าๆ ข้าชนะอีกแล้ว” เป่าเอ๋อโยนคู่เจ็ดลงไปบนกองไพ่ หลังจากนั้นเธอก็หยิบสติ๊กเกอร์ขึ้นมาและแปะบนใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟ
“พวกเราจะเล่นกันอีกตา!” ฟอลลิ่งลีฟเริ่มสับไฟ่อีกครั้ง
“ข้าไม่เล่นแล้ว พี่สาวอ่อนกว่าข้าเกินไป” เป่าเอ๋อดูเบื่อ
“อีกแค่ตาเดียว” ฟอลลิ่งลีฟพูดขึ้นมา ขณะที่ดวงตาของเธอลุกเป็นไฟ
หานเซิ่นเกือบจะหัวเราะออกมา การเล่มเกมส์นั้นกับเป่าเอ๋อนั้นเหมือนกับการรนหาที่
เป่าเอ๋อกรอกตาและพูด “พวกเราจะเล่นกันต่อ แต่การแปะสติ๊กเกอร์บนใบหน้าอีกฝ่ายมันน่าเบื่อ พวกเรามาเดิมพันอย่างอื่นกันดีกว่า”
“แน่นอน เจ้าอยากจะเดิมพันอะไร?” ฟอลลิ่งลีฟต้องการจะชนะให้ได้ เธอเป็นนักฆ่าชั้นสูงของสปริงเรน เธอไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองพ่ายแพ้เด็กคนหนึ่งได้
“ผู้แพ้จะต้องเดินออกประตูไปและตะโกนว่าข้าเป็นคนโง่” เป่าเอ๋อพูดหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่
“นั่น..” ฟอลลิ่งลีฟเกิดลังเลขึ้นมา เธอไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเป่าเอ๋อได้ และมันก็มีสมาชิกของสปริงเรนคนอื่นอยู่ในค่าย มันจะเป็นอะไรที่น่าอับอายอย่างมากถ้ามันถูกได้ยินเข้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ นี่มันน่าเบื่อ” เป่าเอ๋อยืนขึ้นและเตรียมจะเดินจากไป
“ก็ได้! พวกเราจะทำแบบนั้น!” ฟอลลิ่งลีฟพูดขึ้นมาขณะที่ดึงแขนของเป่าเอ๋อเอาไว้ เธอดูอยากจะเอาชนะเป่าเอ๋อให้ได้จริงๆ
หานเซิ่นทนดูต่อไปไม่ไหว เกมส์นั้นรู้ผลตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มด้วยซ้ำ แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะเป่าเอ๋อในการเล่มเกมส์นี้ได้ นี่เป็นสิ่งที่ครอบครัวของหานเซิ่นนั้นถนัดที่สุด
ตอนที่ 2419
คุณหญิงมิร์เรอร์และสมาชิก 2 คนของสปริงเรนที่ชื่อเรดคลาวด์กับไนท์วินด์กำลังประชุมกัน แต่ทันใดนั้นจู่ๆก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากที่อยู่อาศัยของหานเซิ่น
“ข้าเป็นคนโง่!” ใครบางคนตะโกนขึ้นมา
ทั้ง 3 คนหันมาสบสายตากัน เสียงนั้นเป็นของฟอลลิ่งลีฟอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าฟอลลิ่งลีฟนั้นจะตะโกนอะไรแบบนั้นออกมา
ฟอลลิ่งลีฟนั้นถูกรู้จักกันดีในฐานะหนึ่งในนักฆ่าที่ดีที่สุดของสปริงเรน เธอเป็นผู้หญิงที่โหดร้ายมาก เธอเป็นคนที่มีภาคภูมิ เหี้ยมโหดและพร้อมที่จะต่อสู้เสมอ คำพูดแบบนั้นจะออกมาจากปากคนอย่างเธอได้ยังไงกัน?
“นั่นเป็นเสียงของฟอลลิ่งลีฟไม่ใช่หรอ?” ไนท์วินด์หันไปมองเรนคลาวด์และคุณหญิงมิร์เรอร์ด้วยสีหน้าสับสน
“พวกเราพอกันก่อนเพียงแค่นี้ พวกเจ้า 2 คนไปพักได้”
คุณหญิงมิร์เรอร์ขมวดคิ้ว เธอลุกขึ้นและเดินไปทางที่พักของหานเซิ่น เธออยากจะเห็นว่าหานเซิ่นกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
ผู้หญิงอย่างฟอลลิ่งลีฟไม่ใช่คนที่จะถูกบังคับให้พูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ เธอเป็นคนที่เลือกตายดีกว่าที่จะต้องทำเรื่องที่น่าอับอายแบบนั้น
ถ้าหานเซิ่นใช้กลลวงบางอย่างเพื่อหลอกฟอลลิ่งลีฟ คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ไม่คิดจะเมินเฉยต่อเรื่องนั้น เธอส่งฟอลลิ่งลีฟให้ไปคอยดูแลหานเซิ่น แต่เธอจะไม่มองข้ามถ้าฟอลลิ่งลีฟถูกรังแก
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” หานเซิ่นถามด้วยรอยยิ้มเมื่อเปิดประตูออกไปและเห็นคุณหญิงมิร์เรอร์
“เจ้าทำอะไรกับฟอลลิ่งลีฟ?” คุณหญิงมิร์เรอร์ขมวดคิ้ว
“ข้าจะไปทำอะไรได้? ข้าแทบจะไม่ได้พูดอะไรกับนางเลย นางกำลังเล่นเกมส์กับเป่าเอ๋ออยู่ ท่านจะมาดูก็ได้ถ้าท่านต้องการ” หานเซิ่นหลีกไปด้านข้างและเพื่อให้เธอเดินเข้ามาข้างใน
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่เชื่อหานเซิ่น เธอเดินผ่านประตูและตรงเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น ที่นั่นเธอพบฟอลลิ่งลีฟกำลังเล่นไพ่กับเป่าเอ๋ออยู่
“คุณหญิงมิร์เรอร์!” ฟอลลิ่งลีฟรีบลุกขึ้นมาและโค้งคำนับ
“เจ้าเป็นอะไรไหม?” ใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟเต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ ภาพที่เห็นนั้นเกือบจะทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์หัวเราะออกมา
“ข้าไม่เป็นอะไร” ฟอลลิ่งลีฟหน้าแดง แต่เธอไม่ได้แกะสติ๊กเกอร์ที่ติดอยู่บนใบหน้าของเธอออก เธอเป็นนักฆ่า และนักฆ่านั้นรักษาคำพูดของพวกเขาเสมอ เธออาจจะพ่ายแพ้ แต่เธอจะไม่ทำผิดกฎ
“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
คุณหญิงมิร์เรอร์มองมาที่หานเซิ่นและพูดกับเขา “ตามข้ามา”
หานเซิ่นยักไหล่และตามคุณหญิงมิร์เรอร์ไปที่สวน
“เจ้ารู้ว่าฟอลลิ่งลีฟเป็นคนของข้า เจ้าควรจะระมัดระวังวิธีที่เจ้าจะปฏิบัติกับนาง” คุณหญิงมิร์เรอร์นั่งลงบนเก้าอี้ในสวนและมองไปที่หานเซิ่น
หานเซิ่นหัวเราะ “ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย และข้าก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรที่เป็นการล่วงละเมิดนางเช่นกัน นางแค่เล่นเกมส์กับเป่าเอ๋อเท่านั้น ท่านจะไปถามนางก็ได้ ถ้าท่านไม่เชื่อข้า”
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรก็ดีแล้ว ข้าแค่จะเตือนเจ้าเฉยๆ อย่าได้ทำอะไรที่จะทำให้นางหรือข้าเป็นทุกข์เป็นอันขาด” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ข้าเข้าใจ” หานเซิ่นยักไหล่อีกครั้ง
“ยื่นมือของเจ้ามา” คุณหญิงมิร์เรอร์มองแหวนที่หานเซิ่นสวมอยู่ และคำพูดของเธอก็มีความลังเลอยู่
ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ใช่นักสู้ที่แย่ แต่ระดับของเขายังต่ำเกินไป คุณหญิงไม่คิดว่าความแข็งแกร่งของหานเซิ่นในตอนนี้จะสามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้มาก แต่ไหนๆเธอก็มาถึงที่นี่แล้ว เธอก็คิดว่าควรจะทำความรู้จักเขาให้ดีกว่านี้
จิตใจและหัวใจนั้นเชื่อมต่อกันอย่างแยกไม่ได้ ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดที่จะเรียนรู้ลักษณะนิสัยของคนๆหนึ่งคือการเรียนรู้ผ่านจิตใจของเขา มันเป็นวิธีการที่แม่นยำในการอ่านจะผู้คน
“ท่านกำลังจะทำอะไร?” หานเซิ่นถามขณะที่ยื่นมือขวาออกไปตรงหน้าคุณหญิงมิร์เรอร์
“นี่เจ้ากำลังแกล้งโง่อย่างนั้นหรอ?” คุณหญิงมิร์เรอร์จ้องไปที่หานเซิ่น
“แน่นอนว่าไม่ ท่านควรจะบอกข้าให้ชัดกว่านี้”
หานเซิ่นหัวเราะและดึงมือขวากลับไป หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือซ้ายออกมาแทน แหวนมิร์เรอร์สปิรินอายแวววาวบนนิ้วมือของเขา
คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปที่แหวนมิร์เรอร์สปิริยอาย เมื่อได้เห็นแหวนจิตใจ เธอก็นึกย้อนไปถึงชายที่ครั้งหนึ่งเคยสวมใส่มัน ชายคนนั้นเป็นคนที่ชาญฉลาดและอ่อนโยน
แม้แต่ตอนนี้การคิดถึงชายคนนั้นก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัว
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่เคยเสียใจที่แต่งงานกับชายคนนั้น การเลือกเขาเป็นประสบการณ์ที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเธอ แต่พระเจ้านั้นไม่อนุญาตให้เธออยู่เคียงข้างเขาไปตลอดการ
แต่หลังจากที่ได้เห็นเจ้าของแหวนในตอนนี้ คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมา
ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่เลว แต่เธอคิดว่าเขาไม่สามารถเทียบกับผู้ชายคนนั้นได้
คุณหญิงมิร์เรอร์ยื่นมือของเธอออกมาและนำแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายของเธอเอาไว้ข้างๆแหวนของหานเซิ่น
ใบหน้าของคุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ได้มีความงามของนางแบบ เธอไม่ได้งดงามเหมือนผู้หญิงอย่างกู่ชิงเฉิง เธอดูเป็นผู้หญิงแต่งตัวดีและดูเป็นผู้ใหญ่
แต่ถึงอย่างนั้นมือของคุณหญิงมิร์เรอร์ก็งดงามกว่าที่จะติชม ทุกนิ้วของเธอนั้นเรียวยาว ผิวของเธอขาวเหมือนกับหยกและเล็บของเธอก็แวววาวเหมือนกับคริสตัล
มือของเธอดูสวยและสง่างาม หานเซิ่นเคยเห็นผู้หญิงที่งดงามมากมายในชีวิตของเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมือที่สวยขนาดนี้
มือของคุณหญิงมิร์เรอร์ขยับเข้ามาใกล้หานเซิ่น และแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายก็เริ่มมีปฏิกิริยา มรกตบนแหวนเริ่มเรืองแสงขึ้นมา
เมื่ออัญมณีที่เหมือนกับดวงตาทั้ง 2 สัมผัสกันและกัน ทั้งหานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์ก็สั่นไหว พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังประหลาดที่ก่อตัวขึ้นในแหวนมิร์เรอร์สปิริตอาย หลังจากนั้นพวกมันก็ไหลเข้ามาสู่ร่างกายของพวกเขาทั้ง 2 พวกมันเดินทางผ่านแขนและตรงไปสู่สมองของพวกเขา
ร่างกายของหานเซิ่นสั่นไหว เขามองไปรอบๆและพบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่กำลังมีฝนตกลงมา สายฝนฤดูใบไม้ผลิกำลังตกลงมาราวกับว่าพระเจ้านั้นกำลังร้องไห้
เมื่อเม็ดฝนตกลงมา พวกมันก็เปียกโชกทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวของเขา ทั้งต้นไม้ ดอกไม้ หญ้าหรือแม้แต่เกาลัด และความเศร้าโศกที่อยู่ภายในฝนก็มอบแหล่งพลังชีวิตและความหวังที่ไม่จำกัด
หานเซิ่นเรียนรู้ 48 จิตแห่งน้ำในหอคอยแห่งโชคชะตา และจิตแห่งฝนฤดูใบไม้ผลิก็เป็นหนึ่งในนั้น จิตของคุณหญิงมิร์เรอร์คือฝนฤดูใบไม้ผลิ แต่มันไม่ได้โฟกัสที่ไปตัวฝน
หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมาภายในจิตใจของเธอ และจู่ๆนั้นเขาก็รู้สึกนับถือผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา จิตใจนี้เป็นจิตใจที่มีแต่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะมีได้
‘ไม่แปลกใจเลยที่องค์กรของเธอมีชื่อว่าสปริงเรน จิตใจนี้เป็นสิ่งที่รู้สึกได้เท่านั้น มันไม่ใช่บางสิ่งที่จะอธิบายได้ การจะได้จิตใจแบบนี้มาเป็นเรื่องที่ยากมากๆ คุณหญิงมิร์เรอร์เป็นผู้หญิงที่ซับซ้อน เราจะตัดสินเธอเหมือนอย่างที่ปกติเราจะทำกับคนอื่นไม่ได้’ ขณะที่หานเซิ่นสังเกตและสัมผัสจิตแห่งฝนฤดูใบไม้ผลิ เขาก็ได้เรียนรู้อะไรอย่างมาก
ร่างกายของคุณหญิงมิร์เรอร์นั้นสั่นไหวเช่นกัน เธอรู้สึกได้ถึงจิตใจหนึ่งเช่นเดียวกัน
แต่จิตใจนั้นไม่ได้น่าประหลาดใจหรือแข็งแกร่งจนเกินไป มันไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรกับเธอมากนัก
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ได้คิดกับจิตใจของหานเซิ่นอย่างจริงจังอะไรนัก เพราะเธอนำแหวนมาสัมผัสกันก็เพื่อที่เธอจะได้รู้เกี่ยวกับเขามากขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อจิตใจของเขาเริ่มขยาย คุณหญิงมิร์เรอร์ก็อึ้งไป
จิตใจของหานเซิ่ทที่คุณหญิงมิร์เรอร์ได้เห็นเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับดอกไม้ที่กำลังจะบานออก ในตอนที่ดอกไม้ตูมอยู่นั้นมันอาจจะไม่ได้ดูน่าประทับใจอะไร แต่ขณะที่เธอพยายามทำความเข้าใจ เธอก็ลอกกลีบมันออก แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามสักแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถลอกกลีบออกได้หมด เธอไม่สามารถเข้าถึงศูนย์กลางของดอกไม้ได้ และนั่นเป็นอะไรที่รบกวนจิตใจของเธอ
ตอนที่ 2420
มันเหมือนกับว่าเธอได้รับของขวัญปริศนากล่องหนึ่งมา แต่เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมันมาหรือว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่ ซึ่งหลังจากที่เปิดกล่องออก เธอก็ได้พบกับกล่องปริศนาอีกใบ เธอเปิดมันชั้นแล้วชั้นเล่า แต่เธอก็ยังไม่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
มันไม่ได้สำคัญว่าของขวัญที่อยู่ข้างในกล่องนั้นจะดีหรือไม่ แต่การเปิดกล่องของขวัญชั้นแล้วชั้นเล่านั้นจะทำให้คนเปิดรู้สึกหงุดหงิด
โชคดีที่คุณหญิงมิร์เรอร์เป็นคนที่มีความอดทนสูง ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกรำคาญง่ายๆ เธอค่อยๆลอกจิตใจของหานเซิ่นออกทีละชั้นๆ แต่หลังจากทำแบบนั้นอยู่สักพัก เธอก็ยังไม่พบสิ่งที่อยู่ภายในศูนย์กลางของมัน
‘ข้าต้องการจะเห็นว่าในจิตใจของเจ้ามีอะไรอยู่’ คุณหญิงมิร์เรอร์คิดด้วยความมุ่นมั่น เธอสงบจิตใจของตัวเองและจิตใจระดับเทพเจ้าของเธอก็ทับจิตใจของหานเซิ่นอย่างเต็มน้ำหนักเพื่อพยายามเปิดมันออก
ฝนฤดูใบไม้ผลิทำลายกลีบของดอกไม้ จิตใจของหานเซิ่นเป็นเหมือนกับศูนย์กลางของดอกไม้ที่ถูกบังคับให้เปิดออก กลีบดอกไม้ร่วงหล่นกลีบแล้วกลีบเล่า และเมื่อตำแหน่งที่กลีบดอกไม้ปกคลุมอยู่ถูกเปิดเผย เธอก็พบว่ามันว่างเปล่า
“มันเป็นแค่เปลือกที่ไม่มีอะไรอยู่ภายใน” คุณหญิงมิร์เรอร์รู้สึกค่อนข้างผิดหวัง
จิตใจบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของคนๆนั้นและความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อสิ่งต่างๆ ภายนอกจิตใจของหานเซิ่นนั้นดูแข็งแกร่งมาก แต่ภายในนั้นว่างเปล่า ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่สามารถเป็นคนที่เข้มแข็งได้
คุณหญิงมิร์เรอร์ต้องการจะดึงจิตใจของเธอกลับ เนื่องจากเธอได้เห็นสิ่งที่ต้องการเห็นแล้ว แต่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้
เธอเปิดจิตใจของหานเซิ่นด้วยใช้กำลัง จิตใจปกตินั้นจะแตกสลายด้วยการทำแบบนั้น และมันควรจะไม่มีร่องรอยของจิตใจหลงเหลืออยู่
แต่คุณหญิงมิร์เรอร์ยังคงสัมผัสได้ถึงจิตใจของหานเซิ่น นั่นเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง
คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปที่กลีบดอกไม้ทั้งหมดที่อยู่บนพื้น กลีบดอกไม้ทั้งหมดเป็นเหมือนกับคริสตัล พวกมันกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น แต่พวกมันไม่ได้รับความเสียหายอะไร
ดวงตาของคุณหญิงมิร์เรอร์เบิกกว้าง เธอต้องการจะลอกกลีบทั้งหมดออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ข้างใน เธอไม่ได้สนใจที่จะดูตัวกลีบที่ถูกลอกออกไปเลย เมื่อเธอส่งจิตใจของตัวเองเข้าไปในกลีบหนึ่งกลีบ จิตใจของหานเซิ่นที่อยู่ภายในก็ซัดเข้ามาราวกับทะเล มันกว้างใหญ่ราวกับท้องฟ้าและลึกราวกับมหาสมุทร จิตใจนั้นลึกซึ้งซะจนทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์ตกอยู่ภายใต้ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของมัน
คุณหญิงมิร์เรอร์ก้มตัวลงไปและเก็บกลีบขึ้นมาอีกกลีบ จิตใจที่อยู่ภายในเป็นเหมือนกับภูเขาที่ถล่มลงมา มันเป็นเหมือนกับเสาที่ค้ำจุนท้องฟ้าเอาไว้
ถ้าเธอเป็นนวนิยายเล่มหนึ่ง ชายคนนี้ก็เป็นนวนิยายการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ทั้งเรื่อง
ชายคนนี้สามารถนิยามตัวเองว่าเป็นชายสูงอายุที่เจ็บป่วยใกล้ถึงวันตาย หรือเป็นนักรบที่พาตัวเองเข้าไปในการต่อสู้ที่ดุเดือนในตอนที่เขายังหนุ่ม
ผู้คนนั้นสนใจแค่ผลลัพธ์ ชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นตัวกำหนดทุกอย่าง และผู้คนแทบจะไม่ได้สนใจอะไรเหตุการณ์ที่นำไปสู่ผลลัพธ์นั้นๆ ผู้คนมักจะมองข้ามช่วงเวลายากลำบากและสิ้นหวังที่ต้องเผชิญ
ทุกคนเคยประสบกับความล้มเหลว แต่ผู้คนที่อดทนและกล้าหาญจะลุกกลับขึ้นมาไม่ว่าพวกเขาจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหนหรือมีอะไรเกิดขึ้น สิ่งเดียวที่จะไม่เปลี่ยนแปลงก็คือความปรารถนาในหัวใจของพวกเขา พวกเขาต้องการชัยชนะและมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเหนือสิ่งอื่นใด
จิตใจของหานเซิ่นไม่มีศูนย์กลางอยู่นั่นเพราะจิตใจของเขาไม่มีปลายทาง ความทะเยอทะยานของเขาขยายออกไปเรื่อยๆเหนืออวกาศและกาลเวลา มันจะขยายไปข้างหน้าจนกระทั่งถึงเวลาตาย
หานเซิ่นไม่ได้ต้องการแค่จะปีนภูเขาที่สูงที่สุด เขาต้องการไปให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ความทะเยอทะยานของเขาไม่มีที่สิ้นสุด
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่เห็นศูนย์กลางของจิตใจของหานเซิ่น แต่ทุกกลีบคือประสบการณ์ของหานเซิ่น มันมีทั้งความโกรธ ความสุข ความเศร้า ความอดทน ความรู้สึกของทะเล ท้องฟ้าและผืนดิน
บางทีจิตใจเดียวของหานเซิ่นอาจจะไม่ได้เหนือกว่าของคุณหญิงมิร์เรอร์ แต่ด้วยการสังเกตกลีบของจิตใจทั้งหมดและทำความเข้าใจพวกมัน คุณหญิงมิร์เรอร์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยำเกรง
ทันใดนั้นคุณหญิงมิร์เรอร์ก็เงยหัวขึ้นมา เธอรู้สึกตัวว่าตัวเองถูกกักขังอยู่ในจิตใจของหานเซิ่น ความรู้สึกของเธอกำลังส่งผลต่ออารมณ์
“เราไม่อาจจะอยู่ในสถานที่ที่รบกวนหัวใจของเราได้” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด เธอเรียกจิตใจฝนฤดูใบไม้ผลิออกมาเพื่อจะทำลายกลีบดอกไม้ที่มีจิตใจของหานเซิ่นแฝงอยู่ภายใน เธอไม่ต้องการให้จิตใจของตัวเองได้รับผลกระทบ
กลีบดอกไม้นับหมื่นถูกทำลายโดยจิตใจของเธอ แต่ไม่นานคุณหญิงมิร์เรอร์ก็พบว่าเมื่อกลีบดอกไม้ถูกทำลายไปแล้ว พวกมันก็ร่วงหล่นลงไปกับพื้นและเกิดเป็นดอกไม้ดอกใหม่ขึ้นมา
ไม่สำคัญว่าคุณหญิงมิร์เรอร์จะพยายามทำลายจิตใจของหานเซิ่นยังไง มันก็มีดอกไม้งอกขึ้นมาใหม่ เธอไม่สามารถทำลายพวกมันได้ และพวกมันก็แพร่กระจายออกไปมากขึ้น
“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?” คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่สามารถสงบจิตใจได้ การจะทำลายจิตใจของหานเซิ่นอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเธอ
เธอเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า จิตใจของเธอเป็นหนึ่งในจิตใจที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถทำลายจิตใจของหานเซิ่นที่เป็นแค่ระดับราชันคนหนึ่งได้ เธอไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
‘นี่จิตใจของเขาแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นจริงๆหรอ?’ คุณหญิงมิร์เรอร์คิด
คุณหญิงมิร์เรอร์ก้าวถอยหลังออกไป เธอยกแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายทั้ง 2 ออกจากกันและมองตรงไปที่หานเซิ่น
คุณหญิงมิร์เรอร์ค้นพบว่าจิตใจของเธอละลายอย่างรวดเร็วในร่างกายของหานเซิ่น และไม่กี่วินาทีต่อมามันก็หายไปจนหมด แม้แต่คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้อีก
“ขอบคุณ ท่านหญิงมิร์เรอร์” หานเซิ่นลืมตาขึ้นมาและโค้งคำนับคุณหญิงมิร์เรอร์
จิตฝนฤดูใบไม้ผลิของคุณหญิงมิร์เรอร์ช่วยทำให้หานเซิ่นได้เรียนรู้อะไรมากมาย
คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปที่หานเซิ่น หลังจากนั้นเธอก็จากไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ
เมื่อคุณหญิงมิร์เรอร์กลับไปถึงห้อง เธอก็พยายามใช้วิธีต่างๆเพื่อจะลบอิทธิพลจากจิตใจของหานเซิ่นออกไป แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามสักแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถทำได้ มันทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์รำคาญใจอย่างมาก
“นี่จิตใจของเราสู้กับราชันคนหนึ่งไม่ได้อย่างนั้นหรอ?” คุณหญิงมิร์เรอร์กัดริมฝีปากและพยายามใช้จิตใจของเธอลบล้างดอกไม้ที่เป็นตัวแทนจิตใจของหานเซิ่นออกไป แต่ความพยายามของเธอนั้นล้มเหลว ดอกไม้เหล่านั้นฝังรากลึกในจิตใจของเธอและไม่ว่าเธอจะพยายามทำลายพวกมันยังไง พวกมันก็สามารถงอกออกมาใหม่ได้เรื่อยๆ
คนของคุณหญิงมิร์เรอร์ทำงานอยู่ในทุ่งหินเป็นเวลาอีก 5 วัน หลังจากนั้นก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง คนงานขุดก้อนหินประหลาดก้อนหนึ่งที่มีอักษรสลักอยู่ขึ้นมาได้
มาร์ควิส 2 คนที่ขุดหินขึ้นมาอ่านตัวอักษณนั้น และจู่ๆพวกเขาก็กลายเป็นระดับดยุก
คุณหญิงมิร์เรอร์ออกไปที่ทุ่งหินพร้อมกับเรดคลาวด์และนำหินกลับมาที่ค่าย หลังจากที่ตรวจสอบก้อนหินอยู่ 2 วัน เรดคราวด์ที่เป็นระดับเทพเจ้าก็ถูกลดระดับลงมาเป็นราชันในชั่วข้ามคืน
ตอนที่ 2421
หินก้อนนั้นถูกนำไปเก็บเอาไว้ในโกดัง โดยที่ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปใกล้โกดังนั้น สิ่งมีชีวิตไหนก็ตามที่เข้าไปใกล้ก้อนหินจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น
สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าถูกลดระดับลงมาเหลือแค่ราชัน นั่นเป็นบางสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แม้แต่เรดคลาวด์เองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร และเธอก็ไม่ได้รู้สึกถึงอะไรที่เข้าไปในร่างกายของเธอ มันเหมือนกับว่าในตอนที่เธอหลับนั้น เธอได้ย้อนเวลากลับไปก่อนที่เธอจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า
ถึงแม้เธอจะยังมีจิตใจและสัมผัสระดับเทพเจ้า แต่พละกำลังและพลังของเธอถูกลดลงมาอยู่ในระดับราชัน มันเป็นเหตุการณ์ที่ประหลาดมากๆ
หานเซิ่นได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อเขามองดูเรดคลาวด์ เขาก็ตรวจเช็คเธออย่างละเอียด เขาเห็นว่าพลังชีวิตของเรดคลาวด์ลดลงไปอย่างมาก ในตอนที่เขามองเธอก่อนหน้านี้ มันมีเมฆมัวๆห่อหุ้มพลังของเธอเอาไว้ แต่ตอนนี้พวกมันหายไปแล้ว ตอนนี้เขามองเห็นพลังชีวิตของเธอได้อย่างชัดเจน เธอกลายเป็นแค่ระดับราชันคนหนึ่ง ในตอนนี้เธออ่อนแอกว่าฟอลลิ่งลีฟซะอีก
“เจ้าคิดว่ายังไง?” คุณหญิงมิร์เรอร์ถามหานเซิ่น
หานเซิ่นมองก้อนหินบนหน้าจอและสังเกตเห็นว่ามันมีสีดำเหมือนกับก้อนหินธรรมดาทั่วไป แต่มันมีขนาดและรูปร่างพอๆกับคนที่ยืนอยู่
แต่นั่นเป็นแค่รูปร่างคร่าวๆเท่านั้น ก้อนหินไม่ได้มีใบหน้าอยู่ และส่วนที่ดูเป็นแขนขาก็เชื่อมต่อกับส่วนตัวเป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้นมันเป็นก้อนหินก้อนเดียว มันดูเหมือนกับบางสิ่งที่ถูกตัดออกมาจากหินก้อนที่ใหญ่กว่าอย่างหยาบๆโดยเครื่องมือโบราณ
แต่หานเซิ่นรู้ว่ามันไม่มีทางถูกสร้างขึ้นมาได้ มันไม่มีหลักฐานอะไรที่บ่งบอกว่ามันถูกสร้างขึ้นมาโดยสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก
แม้แต่ตัวอักษรที่อยู่บนมนุษย์หินก็ดูเป็นบางสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ พวกมันไม่ได้ดูเหมือนกับการแกะสลักเลยสักนิดเดียว
หานเซิ่นสังเกตมันอยู่สักพัก แต่เขาไม่เจออะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับมัน และเขาก็ไม่รู้ว่าตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้หมายความว่าอะไรเช่นกัน เขาไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนและมันก็ไม่ได้เหมือนกับคิงอีซที่จะเข้าใจได้โดยสัญชาตญาณ
“ข้าบอกอะไรไม่ได้ถ้าดูแค่วิดีโอ” หานเซิ่นตอบ
“เจ้าอยากจะไปที่โกดังเพื่อดูมันไหม?” คุณหญิงมิร์เรอร์ถามขณะที่มองไปที่หานเซิ่น
“ถ้าพวกท่านยังบอกอะไรเกี่ยวกับหินนี้ไม่ได้ แบบนั้นข้าก็คงจะทำไม่ได้เช่นกัน” หานเซิ่นรีบพูด เขาไม่อยากจะเสี่ยงโดยไม่มีความจำเป็น
แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้ายังถูกลดระดับลงมาสู่ระดับราชันในชั่วข้ามคืน หานเซิ่นไม่อยากจะถูกลดระดับลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเพิ่งจะเลื่อนสู่ระดับราชัน
คำตอบของหานเซิ่นทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์ประหลาดใจ เธอเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นมา
“ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วอาณาเขตกษัตริย์ ราชาไป๋บอกข้าว่าให้เก็บมันเอาไว้ที่นี่และสืบหาว่ามันคืออะไรกันแน่”
หานเซิ่นไม่แปลกใจอะไรกับเรื่องนั้น ถ้าพวกเขาส่งมันกลับไปที่เอ็กซ์ตรีมคิงโดยไม่รู้ซะก่อนว่ามันคืออะไร ก้อนหินนี้ก็อาจจะดูดพลังของเอ็กซ์ตรีมคิงระดับเทพเจ้าทั้งหมดไป หานเซิ่นคิดว่านั้นเป็นอะไรที่น่าขัน
ไนท์วินด์พูด “พวกเราไม่รู้ถึงประสิทธิภาพของสิ่งนี้ พวกเราคงจะต้องใช้สิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อมาทดลองและหาระยะส่งผลของมัน”
“องค์ชายสิบหก เจ้าอยากจะมีงานทำไม่ใช่หรอ? ข้าจะให้เจ้าจัดการเรื่องนี้” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ข้า?” หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ นี่นั่นเป็นอะไรที่อันตรายเกินไป ดังนั้นเขาไม่คิดจะลองทดสอบมันด้วยตัวเอง ถ้าเป็นหานเซิ่น เขาก็จะเลือกให้คนงานสักคนไปลองแทนเขา
มันน่าประหลาดใจที่คุณหญิงมิร์เรอร์ปล่อยให้หานเซิ่นเป็นคนจัดการเรื่องนี้
“เจ้ามีปัญหาอย่างนั้นหรอ?” คุณหญิงมิร์เรอร์ถาม
“เปล่า แต่ข้าจะใช้คนจากไหน?” หานเซิ่นถาม
“เลือกคนงานคนไหนก็ได้ มันมีพวกเขาอยู่ตั้งมากมาย แต่เจ้าเลือกไปได้สูงสุดแค่ดยุกสิบคนเท่านั้น หรือเจ้าจะเลือกมาร์ควิสไปสิบคนก็ได้เช่นกัน” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ข้าเข้าใจแล้ว” หานเซิ่นพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำงานได้ ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า” คุณหญิงมิร์เรอร์ยิ้ม
“ท่านหญิงไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง” หานเซิ่นตอบ
เมื่อหานเซิ่นจากไปแล้ว ไนท์วินด์ก็พูดขึ้นมา “คุณหญิง การให้องค์ชายสิบหกเป็นคนจัดการเรื่องนี้มันจะดีอย่างนั้นหรอ? ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขา พวกเราจะบอกราชาไป๋ว่ายังไง?”
“ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนั้นเอง ในตอนนี้ที่เรดคลาวด์สูญเสียพลังของนางไป เจ้าจะต้องเป็นคนรับผิดชอบทุ่งหินแทน ระวังตัวให้ดี” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
หานเซิ่นไปที่ทุ่งหินเพื่อเลือกคนงาน ซึ่งนั่นรวมถึงหนิงเยวี่ยด้วย เนื่องจากหานเซิ่นจำเป็นต้องยืนยันประสิทธิภาพของก้อนหินนั้น เขาก็ต้องส่งคนเข้าไปใกล้มัน ยิ่งคนๆหนึ่งเข้าก้อนหินมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น หานเซิ่นมีแผนที่จะให้หนิงเยวี่ยอยู่ห่างจากก้อนหินมากที่สุดเท่าที่ทำได้
ถ้าแม้แต่คนที่อยู่ไกลที่สุดก็ได้รับผลกระทบจากมัน แบบนั้นทุกคนในค่ายก็คงจะอยู่ในระยะส่งผลของก้อนหินเรียบร้อยแล้ว
หานเซิ่นเลือกขุนนาง 20 คนอย่างรวดเร็วและจัดเป็นสิบคู่ คู่หนึ่งจะประกอบไปด้วยมาร์ควิสคนหนึ่งและดยุกคนหนึ่ง เขาสั่งให้แต่ละคู่ยืนอยู่ห่างจากก้อนหินไประยะหนึ่ง คู่ที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ในโกดัง ส่วนคู่อื่นๆอยู่นอกโกดัง เขาแบ่งระยะห่างระหว่างแต่ระคู่โดยจัดคู่ของหนิงเยวี่ยเอาไว้หลังสุด
หลังจากนั้นสิ่งที่หานเซิ่นต้องทำก็คือมองดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทั้งสิบคู่ สมาชิกระดับสูงของสปริงเรนจะคอยบันทึกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเอาไว้ด้วยเช่นกัน
หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน บางสิ่งก็เกิดขึ้นกับคู่ที่อยู่ใกล้กับก้อนหินมากที่สุด แต่มันแตกต่างไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรดคลาวด์ พวกเขาไม่ได้ลดระดับลง แต่เป็นเพิ่มระดับขึ้นแทน
คนที่เป็นระดับมาร์ควิสนั้นกลายเป็นดยุก และคนที่เป็นระดับดยุกกลายเป็นราชัน
มันไม่ได้น่าประหลาดใจเหมือนอย่างตอนที่เรดคลาวด์ถูกลดระดับลงมาเหลือราชัน แต่มันก็ยังคงเป็นอะไรที่น่าตกใจอยู่ดี ตอนนี้ทุกคนสงสัยว่าก้อนหินนั้นจะใช้เพื่อเพิ่มเกินระดับราชันขึ้นไปได้หรือเปล่า ถ้าพวกเขาสามารถใช้ก้อนหินเพื่อเปลี่ยนราชันคนหนึ่งไปสู่ระดับเทพเจ้าได้ นั่นก็จะเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ
และถึงก้อนหินจะไม่สามารถเพิ่มระดับได้ถึงขนาดนั้น แต่การทำให้ดยุกคนหนึ่งพัฒนาไปสู่ระดับราชันก็เป็นอะไรที่สุดยอดอยู่ดี ถ้าพวกเขาสามารถใช้พลังของก้อนหินได้อย่างปลอดภัย แบบนั้นพวกเขาก็จะสามารถใช้มันเพื่อสร้างกองทัพราชันขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
หานเซิ่นไม่อนุญาตให้คน 2 คนที่เพิ่มระดับขึ้นทิ้งตำแหน่งของตัวเอง พวกเขายังคงประจำอยู่ในโกดังและรอคอยว่ามันจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นอีกไหม
3 วันผ่านไป มันไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นกับทั้ง 2 คนที่อยู่ในโกดัง แต่คู่ที่อยู่นอกโกดังใกล้ๆกับก้อนหินมากที่สุดนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลง พวกเขาเพิ่มระดับขึ้นเหมือนกับคู่แรก
ตั้งแต่ที่ก้อนหินก้อนนี่ถูกพบ ทุกคนก็เพิ่มระดับขึ้นเมื่ออยู่ใกล้มัน มีเพียงแค่เรดคลาวด์เท่านั้นที่ถูกลดระดับลง
หานเซิ่นตรวจเช็คทั้งสิบคู่อยู่ทุกวัน และเขาก็มีโอกาสที่จะได้พูดคุยกับหนิงเยวี่ย แต่เขาพบว่ามันเป็นประสบการณ์ที่น่าขนลุก หนิงเยวี่ยดูเป็นผู้หญิงจริงๆ มันไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แม้แต่ลักษณะนิสัยของหนิงเยวี่ยก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
หานเซิ่นแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือหนิงเยวี่ยที่เขารู้จัก หนิงเยวี่ยเคยเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้เขากลายเป็นเป็นหญิงสาวที่อ่อนไหว
“ฉันได้รับผลกระทบจากดาบนั่น”
หานเซิ่นไม่เคยลืมใบหน้าเมื่อหนิงเยวี่ยพูดแบบนั้น มันเหมือนกับผู้หญิงที่เพิ่งจะแต่งงานแต่สามีของเธอถูกฆ่าตายในทันทีหลังจากนั้น เขาดูสิ้นหวังและน่าสงสารอย่างมาก
ตอนที่ 2422
ความอดทนทางจิตใจของหนิงเยวี่ยนั้นเกือบจะดีเท่ากับหานเซิ่น แต่หนิงเยวี่ยได้รับผลกระทบจากดาบเขียวเล่มนั้น หานเซิ่นไม่รู้จะทำยังไงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งร่างกาย ยีนหรือแม้แต่ลักษณะของหนิงเยวี่ยนั้นเปลี่ยนแปลงไป
หานเซิ่นไม่อยากจะเชื่อว่าหนิงเยวี่ยจะสวมชุดสีชมพูทั้งตัวและกลายเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนไหวอย่างมาก ตอนนี้หนิงเยวี่ยกลายเป็นคนขี้ขลาดและสูญเสียความเด็ดขาดของตัวเองไปจนหมด เขาดูไม่เหมือนหนิงเยวี่ยที่หานเซิ่นเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว
หานเซิ่นถึงขนาดที่สงสัยว่าวิญญาณของหนิงเยวี่ยนั้นถูกครอบงำโดยผู้หญิง
“ซีโน่เจเนอิคสเปชนี้มันคืออะไรกันแน่? ทำไมมันถึงได้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้?” หานเซิ่นขมวดคิ้วและก้าวถอยห่างจากก้อนหินโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ต้องการจะเป็นแบบหนิงเยวี่ย
การขุดทุ่งหินนั้นยังคงดำเนินต่อไป แต่หลังจากผ่านไปอีก 7 วัน มันก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง คนงานขุดหินก้อนที่มีเลือดไหลขึ้นมาได้ หลังจากนั้นมันก็มีมือทำลายก้อนหินออกมาและฆ่าคนงานหลายสิบคน มันไม่หยุดจนกระทั่งไนท์วินด์ปรากฏตัวและฆ่ามัน
การทดลองของหานเซิ่นยังคงดำเนินต่อไป จนถึงตอนนี้มี 4 คู่ได้รับผลกระทบจากก้อนหิน พวกเขาเพิ่มระดับขึ้นหนึ่งระดับ แต่พวกเขาไม่ได้เพิ่มระดับขึ้นไปมากกว่านั้นและมันก็ไม่มีใครถูกลดระดับลงเช่นกัน
ตอนนี้หานเซิ่นพอจะยืนยันรัศมีส่งผลของก้อนหินได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงทำเครื่องหมายเตือนรอบๆโกดัง แต่เขาไม่ได้เรียกคนทั้งสิบคู่กลับไป พวกเขายังคงอยู่ประจำที่ของตัวเองและทำการทดสอบต่อไป
หานเซิ่นไม่ได้เข้าไปในโกดังเพื่อดูก้อนหินนั่นด้วยตัวเอง ถึงมันจะดูเหมือนว่าก้อนหินนั้นมีประโยชน์ต่อทุกคนที่เข้าไปใกล้มัน แต่หลังจากที่เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับเรดคลาวด์ หานเซิ่นก็ไม่คิดจะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง
เหมือนอย่างทุกครั้ง หานเซิ่นเรียกทั้งสิบคู่มาหา หลังจากที่สอบถามพวกเขาเสร็จแล้ว หานเซิ่นก็มีแผนที่จะกลับไปที่ห้องเพื่อกินข้าวร่วมกับเป่าเอ๋อ แต่ฟอลลิ่งลีฟนั้นมาแจ้งหานเซิ่นว่าคุณหญิงมิร์เรอร์ต้องการจะพบกับเขา
“ท่านหญิงมิร์เรอร์พบบางสิ่งที่สำคัญจนต้องเรียกเราไปพบในทันทีอย่างนั้นหรอ?”
จากที่หานเซิ่นบอกได้ การขุดค้นทุ่งหินนั้นถูกเร่งให้เร็วขึ้น และพวกเขาก็เจอกับปัญหาอยู่เรื่อยๆ คุณหญิงมิร์เรอร์ได้ไปดูที่ทุ่งหินด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าเธอเรียกหานเซิ่นไปพบในทันทีหลังจากที่กลับมา เขาก็สันนิษฐานว่ามันต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
หานเซิ่นไปที่ห้องทำงานของคุณหญิงมิร์เรอร์ตามที่ถูกสั่ง เขาเคาะประตูและเดินเข้าไปข้างใน เมื่อเขาเห็นคุณหญิงมิร์เรอร์ เขาก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
“ท่าน…” คุณหญิงมิร์เรอร์เป็นเหมือนกับเรดคลาวด์ เธอไม่มีออร่าที่น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว พลังชีวิตของเธอดูอ่อนแอ และตอนนี้เธอก็เป็นเพียงแค่ราชันคนหนึ่งเท่านั้น เธอไม่ได้เป็นระดับเทพเจ้าอีกต่อไป
“ใช่แล้ว ข้ากลายเป็นระดับราชัน” คุณหญิงมิร์เรอร์ดูสงบนิ่ง แต่หานเซิ่นเห็นความโศกเศร้าในดวงตาของเธอ
ดูเหมือนว่าการถูกลดระดับลงจากสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้ามาสู่สิ่งชีวิตระดับราชันจะเป็นอะไรที่เจ็บปวดสำหรับคุณหญิงมิร์เรอร์ หานเซิ่นนับถือในความแข็งแกร่งทางจิตใจของเธอ แต่แม้คนที่เข้มแข็งอย่างเธอก็ต้องจิตใจสั่นคลอนเมื่อเจอกับเหตุการณ์แบบนี้
หานเซิ่นมองไปที่คุณหญิงมิร์เรอร์และถาม “ข้าจะทำอะไรให้ท่านได้?”
หานเซิ่นรู้ว่าคุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ได้เรียกเขามาพบโดยไม่มีเหตุผล และมันก็มีขีดจำกัดถึงเรื่องที่เธอจะบอกกับองค์ชายปลอมๆอย่างเขาได้
คุณหญิงมิร์เรอร์เริ่มพูดขึ้นมา “กำลังเสริมกำลังเดินทางมา มันต้องใช้เวลาอีก 2 อาทิตย์กว่าที่พวกเขาจะมาถึง พวกเรากำลังสูญเสียการควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่ ข้าควบคุมสถานการณ์ไม่ได้อีกแล้ว และบางสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าอาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้”
ใบหน้าของหานเซิ่นดูหม่นหมอง การที่ผู้หญิงอย่างคุณหญิงมิร์เรอร์พูดออกมาแบบนั้น มันก็หมายความว่าสถานการณ์นั้นเลวร้ายจริงๆ สถานการณ์ในตอนนี้คงจะต้องเลวร้ายกว่าที่หานเซิ่นคาดคิดเอาไว้
“ทำไมพวกเราไม่เลิกขุดและออกไปจากที่นี่ก่อน?” หานเซิ่นพูดแนะนำ
คุณหญิงมิร์เรอร์ส่ายหัว “มันสายเกินไปแล้ว ก่อนที่ข้าจะออกมาจากทุ่งหิน พวกเขาขุดพบรูปปั้นอีกรูป”
หานเซิ่นอึ้งไป เขาถามขณะที่จ้องไปที่คุณหญิงมิร์เรอร์ “รูปปั้นที่เหมือนกับอันที่อยู่ในโกดังอย่างนั้นหรอ?”
“มันต่างออกไป ครั้งนี้มันเป็นรูปปั้นจริงๆ มันมีตาและแขนนับพัน ซึ่งดวงตาแต่ละดวงของมันมี 2 รูม่านตา” เมื่อคุณหญิงมิร์เรอร์พูดถึงเรื่องนั้น เธอก็หายใจเร็วขึ้นกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเธอยังคงไม่คงที่
“เพราะรูปปั้นนั้นท่านถึงกลายเป็นระดับราชันอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
คุณหญิงมิร์เรอร์พยักหน้า หลังจากนั้นเธอก็ส่ายหัว “ภายในครึ่งชั่วโมงหลังจากที่รูปปั้นนั่นถูกขุดพบ ข้าก็หล่นลงมาจากระดับเทพเจ้า แต่ไนท์วินด์คนที่ตรวจสอบรูปปั้นร่วมกับข้าไม่ได้เป็นอะไร คนงานคนอื่นๆก็ไม่เป็นอะไรเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงไม่แน่ใจว่ามันเพราะรูปปั้นนั่นจริงๆหรือเปล่า?”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรรีบหยุดการขุดและรีบออกไปจากที่นี่” หานเซิ่นพูด
คุณหญิงมิร์เรอร์พูด “ข้าบอกเจ้าแล้วยังไงว่ามันสายเกินไปแล้ว มองดูที่ตาของข้า”
“ดวงตาของท่านเป็นอะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม เมื่อเขามองลึกไปในดวงตาของคุณหญิงมิร์เรอร์ สิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาตกตะลึง
คุณหญิงมิร์เรอร์เคยมีดวงตาที่งดงามเหมือนกับฟินิกซ์ รูม่านตาของเธอเคยเป็นสีดำ แต่ตอนนี้พวกมันเป็นสีแดง ยิ่งไปกว่านั้นรูม่านตาของเธอก็แบ่งออกเป็น 2 รูม่านตาสีแดงทั้ง 2 เป็นภาพที่น่าขนลุก
“รูม่านตานั้นเหมือนกับของรูปปั้นอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
คุณหญิงมิร์เรอร์พยักหน้า “ทุกคนที่เห็นรูปปั้นรวมทั้งข้าและไนท์วินด์เป็นแบบนี้เหมือนกันทุกคน ถ้าพวกเราออกห่างจากรูปปั้นมากเกินไป พวกเราก็จะมีอาการเหมือนคนขาดยา ยิ่งออกไปไกลจากรูปปั้นมากเท่านั้น ความรู้สึกก็จะรุนแรงขึ้นเท่านั้น ความต้องการที่จะขุดทุ่งหินกลายเป็นอะไรที่ต่อต้านไม่ได้ พวกเราได้แต่ขุดต่อไปเท่านั้น มันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเรารู้สึกดีขึ้น”
ใบหน้าของหานเซิ่นดูหม่นหมอง ทุกอย่างเกี่ยวกับที่แห่งนี้เป็นอะไรที่น่ากลัวเกินไป แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ได้รับผลประทบโดยไม่รู้ตัวว่าทำไม หานเซิ่นไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของตัวเองในสถานที่แบบนี้ได้
“ข้าจะทำอะไรให้ท่านได้บ้าง?” หานเซิ่นถามอีกครั้ง สถานการณ์ในตอนนี้เกินการควบคุมของทุกคน หานเซิ่นไม่แน่ใจว่าตัวเขาจะช่วยเหลืออะไรได้
ถ้าเขาสามารถเลือกได้ เขาก็จะออกไปจากซีโน่เจเนอิคสเปชนี้ให้เร็วที่สุด ยิ่งเขาไปไกลจากมันเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
คุณหญิงมิร์เรอร์กำลังจะตอบ แต่ทันใดนั้นไนท์วินด์ก็เปิดประตูเข้ามาด้วยความรีบร้อน
หานเซิ่นมองไปในดวงตาของไนท์วินด์ รูม่านตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น?” คุณหญิงมิร์เรอร์ถามขณะที่มองไปที่ไนท์วินด์
“พวกเราขุดพบประตูหินในทุ่งหิน พวกมันใหญ่โตราวกับว่าพวกมันจะนำไปสู่เมืองโบราณขนาดยักษ์” ไนท์วินด์อธิบาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น