Super God Gene 2379-2394

ตอนที่ 2379

 

ถ้าตัวตนของหานเซิ่นถูกเปิดเผย มันก็ไม่เป็นผลดีอะไรต่อราชินีจิ้งจอก เธอดูไม่เหมือนกับคนที่จะทำร้ายคนอื่นถ้าเธอไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรตอบแทน


 


แต่หานเซิ่นไม่สามารถใช้ตรรกะเพื่อคาดเดาพพฤติกรรมของราชินีจิ้งจอกได้ เธอเป็นเผ่าจิ้งจอกและเธอก็ถูกขังมาเป็นเวลานาน ไม่มีใครมั่นใจว่าเธอจะทำอะไร


 


หลังจากที่หานเซิ่นกลับไปถึงเมืองใต้น้ำ เขาก็นำขวดไซเรนออกมาและเคาะด้านซ้ายของขวด 3 ครั้ง สายรุ้งพุ่งออกมาจากขวดและเปลี่ยนเป็นรูปร่างเงาที่เป็นไซเรนเวอร์จิ้น


 


หานเซิ่นบอกเธอว่าตัวเองถูกข่มขู่โดยราชินีจิ้งจอก ไซเรนเวอร์จิ้นดูไม่ได้กังวลอะไร เธอพูดอย่างใจเย็น

“ราชินีจิ้งจอกไม่ได้จะขายเจ้าให้กับราชาไป๋ แต่ถ้าเจ้าติด 3 อันดับแรกในการสอบและได้รับสิทธิ์เข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตา นั่นก็ถือเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยม”


 


“ตัวตนของข้าอาจจะถูกเปิดเผยได้ทุกเมื่อ แบบนั้นทำไมข้าถึงต้องทำอะไรที่ดึงดูดความสนใจมากขนาดนั้นด้วย?” หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา


 


ไซเรนเวอร์จิ้นหัวเราะ “สถานการณ์ของเจ้าไม่ได้คับขันอย่างที่เจ้าคิด ถึงราชาไป๋จะสงสัยในตัวเจ้า แต่ถ้าเขาต้องการจะตรวจสอบเจ้า มันก็มีเพียงแค่ 3 วิธีเท่านั้นที่เขาจะทำได้ อย่างแรกเขาจะเรียกเจ้าไปเข้าพบตรงๆ แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะช่วยอะไร เพราะยังไงซะเขาก็ไม่เคยสนใจอะไรในตัวไป๋อี้ตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนั้นพวกเขาแทบจะไม่เคยได้พบหน้ากัน ข้าไม่คิดว่าเขาจะบอกได้ว่าเจ้าคือไป๋อี้หรือไม่ วิธีการที่ 2 ก็คือการตรวจสอบเจ้าโดยใช้คุณหญิงมิร์เรอร์ สำหรับคนอื่นแล้วนั่นถือเป็นวิธีการตรวจสอบที่หลีกเลี่ยงได้ยากที่สุด แต่สำหรับเจ้าแล้วมันถือเป็นเรื่องดี”


 


“ทำไมกัน?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่ไซเรนเวอร์จิ้น เขาไม่เคยบอกเธอเกี่ยวกับคุณหญิงมิร์เรอร์ ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ไซเรนเวอร์จิ้นได้ข้อสรุปแบบนั้น


 


เธอชี้ไปที่นิ้วมือของหานเซิ่นที่มีแหวนสวมอยู่และพูด “เจ้ากำลังสวมใส่แหวนมิร์เรอร์สปิริตอาย เจ้าคือความหวังของคุณหญิงมิร์เรอร์ แบบนั้นทำไมนางต้องทำลายความหวังของตัวเองด้วย?”


 


“ความหวัง? ข้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” หานเซิ่นรู้สึกดีขึ้นมา เมื่อรู้สึกตัวว่าไซเรนเวอร์จิ้นดูเหมือนจะรู้บางสิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


ไซเรนเวอร์จิ้นยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณหญิงมิร์เรอร์ถูกเรียกว่าคุณหญิงมิร์เรอร์ก็เพราะนางมีร่างกายแห่งราชันมิร์เรอร์สปิริต นางใช้ร่างกระจกของนางกับยอดฝีมือคนหนึ่ง และยิ่งยอดฝีมือคนนั้นแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ นางก็จะได้รับประโยชน์มากเท่านั้น”


 


“แหวนนี่ก็คือร่างกระจกของคุณหญิงมิร์เรอร์อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นมองไปที่แหวนบนนิ้วมือด้วยความประหลาดใจ


 


ไซเรนเวอร์จิ้นพยักหน้าและพูด “ใช่ ร่างกระจกนั้นใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว ถ้าร่างกระจกตกไปอยู่ในมือคนอื่น คุณหญิงมิร์เรอร์ก็จะสูญเสียการควบคุมมันไป และเจ้าของคนใหม่ก็จะได้รับประโยชน์จากร่างกระจกแทน ความงดงามและเฉลียวฉลาดของคุณหญิงมิร์เรอร์เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิง ในสมัยที่ก่อนชื่อองค์หญิงมิร์เรอร์นั้นมีชื่อเสียงมากๆ ขุนนางหนุ่มมากมายต่างก็ต้องการจะแต่งงานกับนาง แต่นางภาคภูมิเกินกว่าที่จะยอมตกอยู่ใต้เงาของคนอื่น นางไม่เคยเหลียวมองชายคนไหน แต่ที่สุดแล้วนางได้แต่งงานกับคนๆหนึ่ง แต่เขาเป็นคนนอก นางใส่ร่างกระจกของนางลงในแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายและมอบมันให้กับหนุ่มคนนอกคนนั้น”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ไซเรนเวอร์จิ้นก็พูดต่อ “หนุ่มรูปงามคนนั้นไม่ทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์ผิดหวัง เขาเป็นเพียงแค่ดยุกคนหนึ่ง และเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้การช่วยเหลือของคุณหญิงมิร์เรอร์ ในเวลาเพียงแค่หนึ่งร้อยปีเขาก็กลายเป็นระดับเทพเจ้า แต่น่าเศร้าที่เขาถูกฆ่าตายในการต่อสู้และแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายก็หายสาบสูญไป ข้าไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมาอยู่กับเจ้า”


 


“นี่กำลังจะบอกว่าในตอนที่ข้าสวมใส่แหวนนี้อยู่ คุณหญิงมิร์เรอร์จะได้รับบางสิ่งจากข้าอย่างนั้นหรอ? นางได้รับอะไรกัน?” หานเซิ่นถามอย่างหวั่นใจ


 


ไซเรนเวอร์จิ้นหัวเราะ “ไม่ต้องกังวล ร่างกระจกจะทำงานก็ต่อเมื่อร่างกระจกทั้ง 2 อยู่ใกล้กันเท่านั้น เจ้าคงจะสังเกตเห็นสินะว่าคุณหญิงมิร์เรอร์เองก็มีแหวนที่เหมือนกับแหวนของเจ้า พวกเจ้าทั้งคู่จะต้องอยู่ใกล้กัน แหวนทั้ง 2 ถึงจะสะท้อนถึงกันได้ และการสะท้อนนั้นทั้งไปและกลับ เจ้าจะรู้ถึงสิ่งที่คุณหญิงมิร์เรอร์กำลังคิดเช่นเดียวกับที่นางรู้ความคิดของเจ้า นั่นเป็นเหตุผลที่ชายหนุ่มคนนั้นพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่ได้รับแหวนมาทั้งๆที่เป็นดยุก ขณะที่คุณหญิงมิร์เรอร์เป็นระดับเทพเจ้าเรียบร้อยแล้วนั้นแสดงว่าเจ้าไม่เป็นคนที่เก่งกาจก็เป็นคนที่โชดดี ระดับของนางสูงกว่าของเจ้ามาก”


 


“เธอจะไม่เอาแหวนกลับไปและมอบมันให้กับคนอื่นอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย


 


“มันจะเป็นเรื่องดีสำหรับนางถ้าแหวนโยกย้ายได้ง่ายแบบนั้น แต่ทว่าเมื่อแหวนตกไปอยู่ในมือใครคนหนึ่ง นางก็ควบคุมมันไม่ได้อีก เนื่องจากตอนนี้เจ้ากำลังสวมแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายอยู่ นั่นหมายความว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากร่างกระจก และถ้าเจ้าตาย ร่างกระจกก็จะได้รับความเสียหาย ครั้งก่อนที่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่นางมอบแหวนให้ตายไป มันก็สร้างความเสียหายกับร่างกระจกของคุณหญิงมิร์เรอร์อย่างมาก ข้าไม่คิดว่านางต้องการจะประสบกับมันอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะฆ่าเจ้าและเอาแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายกลับไปแล้ว เพราะยังไงซะขณะที่เจ้าสวมใส่แหวนนี้อยู่ นางก็ไม่ได้รับอะไร” ไซเรนเวอร์จิ้นยิ้ม


 


หานเซิ่นไม่เข้าใจ ร่างกายของเขายังไม่ถึงระดับเทพเจ้าก็จริง แต่จิตใจของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าของคุณหญิงมิร์เรอร์ ถ้าร่างกระจกนี้สะท้อนอารมณ์และจิตใจของพวกเขา ใครจะรู้ว่าฝ่ายไหนที่เป็นฝ่ายที่ได้ผลประโยชน์?


 


แต่การรู้ว่าแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายจะไม่ส่งผลร้ายอะไรต่อร่างกายของเขา มันก็ทำให้หานเซิ่นรู้สึกดีขึ้นมา มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องกังวลว่าแหวนจะทำอะไรไม่ดีกับเขา


 


แถมตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหญิงมิร์เรอร์ถึงไม่เอาตัวเขาไปมอบให้กับราชาไป๋ ด้วยคำอธิบายของไซเรนเวอร์จิ้น หานเซิ่นก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาก


 


“นั่นหมายความว่าคุณหญิงมิร์เรอร์ไม่อยากเห็นข้าตายอย่างนั้นใช่ไหม?” หานเซิ่นรู้สึกดีใจ


 


“แน่นอนว่านางไม่ต้องการให้เจ้าตาย นางอาจจะปกป้องเจ้าด้วยซ้ำ เพราะยังไงซะถ้าเจ้าตาย ร่างกระจกของนางก็จะได้รับความเสียหายไปด้วย และมันจะใช้เวลานานกว่าที่นางจะฟื้นตัวกลับมา แถมมันอาจจะเป็นความเสียหายถาวร” ไซเรนเวอร์จิ้นพูด


 


“ราชาไป๋มีทั้งหมด 3 วิธี แล้ววิธีที่ 3 ล่ะคืออะไร?” หานเซิ่นถาม


 


“ในฐานะผู้นำของเอ็กซ์ตรีมคิง ราชาไป๋มีหลายหนทางในการเก็บข้อมูล แต่มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องกังวลเกี่ยวกับผู้เก็บข้อมูลธรรมดา เจ้าเป็นองค์ชายคนหนึ่ง ดังนั้นคนส่วนใหญ่จะมาตรวจสอบเจ้าไม่ได้ แต่ราชาไป๋มีเครือข่ายที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลอยู่ มันถูกเรียกว่าเรดิโอเวฟ พวกเขาคอยสอดส่องทั่วจักรวาล มันเป็นองค์กรที่ทรงพลังและพวกเขาคือคนที่เจ้าต้องระวังมากที่สุด ถ้าตัวตนของเจ้าถูกเปิดเผย มันก็คงจะต้องเป็นผลงานของเรดิโอเวฟ” ไซเรนเวอร์จิ้นพูด


 


“แต่ข้าไม่รู้ว่าใครที่เป็นสมาชิกของเรดิโอเวฟ แบบนั้นข้าจะหลีกเลี่ยงพวกเขาได้ยังไง?” หานเซิ่นพูด


 


“นั่นไม่เป็นไร ข้าบอกได้ทุกอย่างเกี่ยวกับไป๋อี้กับเจ้า แค่ทำตามที่ข้าบอกและจะไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเจ้าไม่ใช่ไป๋อี้” ไซเรนเวอร์จิ้นพูด


 


หลังจากนั้นไซเรนเวอร์จิ้นก็บอกหานเซิ่นเกี่ยวกับไป๋อี้ เธอทำให้แน่ใจว่าหานเซิ่นจะรู้ทุกรายละเอียดเกี่ยวกับไป๋อี้

 

 

 


ตอนที่ 2380

 

เมื่อการสอบเริ่มต้นขึ้น ชาวเอ็กซ์ตรีมคิงทุกคนก็จะมาดูและแน่นอนว่าราชาไป๋เองก็มาร่วมชมการสอบด้วยเช่นกัน โอกาสที่ตัวตนของหานเซิ่นจะถูกเปิดเผยจึงสูงขึ้นยิ่งกว่าที่เคย


 


“บุคลิกภาพของเจ้าและไป๋อี้นั้นแตกต่างกันเกินไป มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะพยายามสักแค่ไหน พวกเจ้าทั้ง 2 ก็ไม่เหมือนกันได้เป๊ะๆ โชคดีที่ราชาไป๋ไม่เคยสนใจอะไรในตัวไป๋อี้ แค่ทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะไม่เปิดเผยตัวเองและปลอบใจตัวเองกับความจริงที่ว่ามันเป็นเรื่องยากที่เขาจะจดจำไป๋อี้ได้ และไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าจำเป็นต้องยืนกรานและบอกคนอื่นไปว่าเจ้าคือไป๋อี้ ไม่ว่าคนอื่นจะสงสัยในตัวเจ้า พวกเขาก็ฆ่าเจ้าไม่ได้ถ้าไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ใช่เขา” ไซเรนอธิบายให้หานเซิ่นฟัง


 


เมื่อหานเซิ่นได้ยินสิ่งที่เธอบอก เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา มันเป็นอย่างที่ไซเรนเวอร์จิ้นพูด ราชาไป๋ไม่มีหนทางที่จะตรวจสอบตัวตนที่แท้จริงของเขา ถ้ามันยังมีโอกาสแม้น้อยนิดที่หานเซิ่นจะเป็นลูกชายของเขาจริงๆ เขาก็จะไม่ฆ่าหานเซิ่น ไม่อย่างนั้นราชาไป๋ก็จะถูกรู้จักในฐานะกษัตริย์ที่ฆ่าลูกตัวเอง ถึงแม้เขาไม่รังเกียจที่จะทำลายชื่อเสียงของตัวเอง แต่มันก็จะถือเป็นข่าวร้ายสำหรับเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง


 


ไซเรนเวอร์จิ้นขจัดความกลัวที่ใหญ่ที่สุดของหานเซิ่นไป และการที่เธอทำแบบนั้นก็ช่วยบรรเทาความกังวลของเขา


 


‘ผู้หญิงคนนี้ฉลาดจริงๆ! ไม่แปลกใจเลยที่เธอจัดการกับไซเรนอาวุโสได้อย่างง่ายดาย หญิงแก่คนนั้นตายไปโดยไม่แม้แต่จะรู้สึกตัวว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่’ หานเซิ่นคิดด้วยความชื่นชม


 


หานเซิ่นลองใส่พลังของตัวเองลงไปในขวดไซเรน แต่มันเหมือนกับว่าพลังนั้นจมลงไปในทะเลที่ไร้ก้นบึ้ง ไม่มีความพยายามไหนของเขาที่ดูจะได้ผล มันไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ไม่กล้าจะทดสอบขวดไซเรนไปมากกว่านั้น เขาไม่อยากจะยั่วโทสะของไซเรนเวอร์จิ้น ขวดไซเรนไม่มีทางด้อยไปกว่ารังของอันดายอิ้งเบิร์ด ดังนั้นการพยายามจะใช้กำลังเพื่อควบคุมมันจึงเป็นเรื่องยากและคงจะเป็นอะไรที่โง่เขลา


 


ในวันสอบ หานเซิ่นพากิเลนโลหิต ลิลลี่ เป่าเอ๋อและหลันไห่ซินไปพร้อมกับเขาด้วย มันเหมือนกับการออกไปเที่ยวทั้งครอบครัว


 


ในตอนแรกหานเซิ่นไม่ได้คิดจะพาหลันไห่ซินมาด้วย เนื่องจากตัวตนของเธออาจจะทำให้สถานการณ์ยุ่งยากขึ้น แต่การสอบครั้งนี้ไม่ใช่แค่การสอบธรรมดาๆ มันเป็นเทศกาลที่สำคัญมากๆของทั้งเอ็กซ์ตรีมคิง สมาชิกในครอบครัวของราชวงศ์ทุกคนจะต้องมาเข้าร่วม ถ้าหานเซิ่นไม่พาหลันไห่ซินมากับเขาด้วย คนอื่นๆก็อาจจะคิดว่ามันเป็นอะไรที่น่าสงสัย


 


การสอบของราชวงศ์เป็นเหมือนกับเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดของเอ็กซ์ตรีมคิง เมื่อหานเซิ่นและหลันไห่ซินมาถึงสนามสอบ มันก็เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว ขุนนางชาวเอ็กซ์ตรีมคิงมากมายต่างมาที่นี่เพื่อจะได้เห็นคนของราชวงศ์


 


วันนี้เป็นวันเปิดพิธีการ ดังนั้นมันมีพิธีการตามธรรมเนียมหลายอย่างที่ต้องถูกดำเนินการ หนึ่งในนั้นก็คือการแสดงตัวของคนที่มาเข้าร่วมการสอบ เมื่อพวกเขาขึ้นไปบนเวทีแล้ว ทุกคนจะต้องประกาศตัวเองต่อหน้าเอ็กซ์ตรีมคิงทุกคนที่มาชม


 


แน่นอนว่าการประกาศตัวไม่ได้พิเศษอะไร พวกเขาแค่ต้องเอยชื่อและฐานะของตัวเอง แต่ถ้าคนๆนั้นเสริมการประกาศตัวเองด้วยลูกเล่นต่างๆ นั่นก็เป็นหนทางที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นและเป็นที่จดจำ


 


เพราะแบบนั้นคนของราชวงศ์จึงใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองเพื่อพยายามดึงดูดความสนใจของผู้ชมให้ได้มากที่สุด


 


เพราะยังไงซะทั้งจักรวาลจีโนก็ถูกแบ่งระดับชั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และนี่ก็เป็นความจริงเมื่อพูดถึงเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง ผู้ที่ยิ่งใหญ่คือคนที่มีชื่อเสียงและผู้คนเชื่อฟัง ดังนั้นสมาชิกของราชวงศ์จึงไม่คิดจะพลาดโอกาสในการสร้างความประทับใจต่อประชากรของเอ็กซ์ตรีมคิง


 


หลังจากพิธีเปิด มันก็ถึงเวลาที่คนของราชวงศ์จะแสดงตัว คนแรกที่ขึ้นมาบนเวทีก็คือองค์รัชทายาท ไป๋ว่านเจี้ย


 


ถึงไป๋ว่านเจี้ยจะเป็นองค์รัชทายาท แต่เขาก็เป็นแค่ครึ่งเทพเท่านั้น เขาไม่ใช่ 1 ใน 2 ราชวงศ์ระดับเทพเจ้าที่เข้าร่วมการสอบครั้งนี้ด้วย


 


ม่านถูกดึงออกและเผยให้เห็นไป๋ว่านเจี้ย เขาสวมใส่ชุดเกราะทองคำ และอาณาเขตแห่งราชันสีทองของเขาก็ปกคลุมทั่วลานกว้าง เขาเรืองแสงอย่างเจิดจ้าราวกับนักรบทองที่กำลังเดินบนเส้นทางสีทอง


 


“ชื่อของข้าคือไป๋ว่านเจี้ย ข้าคือองค์รัชทายาท” การประกาศตัวของไป๋ว่านเจี้ยเป็นอะไรที่เรียบง่าย และเขาก็เดินลงจากเวทีทันทีที่พูดจบ


 


หลังจากที่ไป๋ว่านเจี้ยลงจากเวทีไปแล้ว ดาบแสงก็ปรากฏขึ้นด้านบนและฉีกผ่านท้องฟ้าลงมา ดาบแสงนั้นสว่างไสวจนแสบตา และมันทำให้ผู้ชมรู้สึกหนาว มันปลดปล่อยแรงกดดันลงมาสู่พวกเขาจากด้านบน


 


องค์ชายและองค์หญิงออกมาประกาศตัวเองทีละคนๆ แต่เนื่องจากพวกเขาเก่งกาจกันทุกคน มันจึงยังไม่มีใครคนไหนที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกประหลาดใจ


 


หานเซิ่นมองดูอย่างใกล้ชิดและถอนหายใจออกมา มันมียอดฝีมืออยู่ในเอ็กซ์ตรีมคิงมากเกินไป เหล่าคนของราชวงศ์แต่ละคนนั้นสามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์ที่ต่ำกว่าได้เลย


 


ผู้ชมส่วนใหญ่ให้ความสนใจไปที่ราชวงศ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 2 คนที่เข้าร่วมการสอบด้วย หนึ่งในพวกเขาคือองค์ชาย ขณะที่อีกคนอื่นองค์หญิง ถัดไปจากพวกเขาทั้งคู่ผู้ชมให้ความสนใจในตัวไป๋หลิงซวงมากที่สุด เธอถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในเอ็กซ์ตรีมคิง


 


แต่ในด้านความงดงามนั้นหานเซิ่นจะเอนเอียงไปข้างไป๋เวยมากกว่า เธอเองก็งดงามไม่ต่างไปจากไป๋หลิงซวง ในความจริงแล้วคนของราชวงศ์ทุกคนนั้นต่างก็ดูพิเศษ แต่ไป๋หลิงซวงเพียงแค่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงมากกว่าเท่านั้น


 


ไม่นานมันก็ถึงเวลาของหานเซิ่นในฐานะองค์ชายสิบหกที่จะแสดงตัว เมื่อได้ยินชื่อถูกเรียก หานเซิ่นก็ลุกขึ้นและเดินไปยังประตูที่นำไปสู่เวที


 


ทั้งขุนนาง สามัญชนหรือแม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าต่างก็รู้สึกสนใจที่จะได้เห็นไป๋อี้ เพราะยังไงซะความสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ของเขาก็เป็นอะไรที่มหัศจรรย์ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง


 


การปลุกรูปปั้นอัลฟ่าให้ตื่นขึ้นและการได้รับการคุ้มครองจากคิงอีซนับพัน ความสำเร็จทั้ง 2 นี้ทำให้ไป๋อี้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง


 


เพราะอย่างนี้ผู้คนจึงตั้งตารอที่จะได้เห็นไป๋อี้ ผู้ชมให้ความสนใจเขายิ่งกว่าราชวงศ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 2 คนซะอีก


 


เพราะยังไงซะราชวงศ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 2 คนก็แสดงตัวทุกๆปี แต่ในอดีตไป๋อี้ไม่เคยอยู่ในสายตาของผู้ชม และการก้าวหน้าขึ้นอย่างกะทันหันของเขาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสนใจ


 


ภายใต้สายตาของทุกคน หานเซิ่นค่อยเดินขึ้นไปบนเวที เขาไม่ได้เปิดใช้อาณาเขตแห่งราชัน และเขาก็ไม่ได้สร้างมีดหรือดาบแสงเช่นกัน


 


หานเซิ่นสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวและเดินไปที่ศูนย์กลางของเวทีอย่างเงียบๆ


 


“ไป๋อี้ องค์ชายอันดับที่สิบหกของเอ็กซ์ตรีมคิง อันดับที่หนึ่งในการสอบครั้งนี้” หลังจากที่พูดอย่างนั้น หานเซิ่นก็หันกลับและเดินลงจากเวทีไป


 


องค์ชายสิบเก้าที่กำลังจิมชาอยู่พ่นชาออกมา ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ขณะที่มองไปยังหานเซิ่นที่กำลังเดินลงมาจากเวที


 


ทั้งลานกว้างเงียบสนิท ดูเหมือนไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาควรจะมีปฏิกิริยาแบบไหน


 


“น้องสิบหกนั้นบ้าขึ้นทุกวันๆ…” ไป๋ชางลังยิ้มแห้งๆออกมา


 


“ทุกครั้งที่ข้าคิดว่าจะรับมือกับเขาได้ เจ้านี่ก็จะทำบางสิ่งที่บ้ายิ่งกว่าเดิม!”

ไป๋หลิงซวงสงสัยว่าเธอคิดถูกหรือเปล่าที่ร่วมมือกับไป๋อี้


 


“ฮ่าๆ! ข้าชอบการประกาศตัวแบบนี้ ข้าเห็นการประกาศตัวของราชวงศ์หลายคน แต่นี่เป็นการประกาศตัวที่เกรียงไกรที่สุด!”


 


“เกรียงไกรอะไร? นั่นเป็นอะไรที่โง่เขลามากกว่า มันมีราชวงศ์ระดับเทพเจ้า 2 คนเข้าร่วมการสอบครั้งนี้ด้วย เขากล้าดียังไงที่มาบอกว่าตัวเองจะได้อันดับที่หนึ่ง?”


 


“นั่นเป็นอะไรที่โง่เขลา แต่ข้าชอบมัน”


 


“องค์ชายสิบหกคนนี้น่าสนใจมากๆ”


 


ทั้งอาณาจักรกษัตริย์ตกตะลึง พวกเขาต่างก็พูดคุยกันถึงองค์ชายสิบหกไป๋อี้และการประกาศตัวของเขา


 


แม้แต่ราชาไป๋ ภรรยาของเขา กู่เยวียนและข้าราชการคนอื่นต่างก็มองไปที่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง


 


นี่คือสิ่งที่ไซเรนเวอร์จิ้นช่วยทำให้หานเซิ่นเข้าใจ เขาไม่สามารถปฏิบัติตัวเหมือนกับไป๋อี้ได้แบบเป๊ะๆ แต่เขาต้องทำให้คนอื่นแน่ใจว่าเขาคือไป๋อี้ และเขาไม่สามารถถอยหลังได้แม้แต่ก้าวเดียว เขาต้องแสดงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

 

 

 


ตอนที่ 2381

 

การประกาศตัวขององค์ชายสิบหกไม่ได้มีพลังช็อคกิ้งสกายหรือเทคนิคพิเศษอะไร แต่คำพูดของเขาเป็นเหมือนกับหินที่ตกลงสู่ทะเลสาบ การกระเพื่อมของน้ำนั้นรู้สึกได้ถึงทั่วทุกมุมของอาณาจักรกษัตริย์ ทุกคนรู้ว่าองค์ชายสิบหกไป๋อี้เป็นคนที่ก่อเหตุการณ์ใหญ่หลวงในประวัติศาสตร์ของเอ็กซ์ตรีมคิง 2 อย่าง และเขาก็กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงขึ้นมา


 


ถึงอย่างนั้นคนส่วนใหญ่ก็ยังคงเชื่อว่าคำพูดของเขานั้นน่าขบขันหรือเป็นแค่มุขตลก ไม่มีใครที่คิดว่าไป๋อี้จะทำในสิ่งที่เขากล่าวอ้างได้จริงๆ


 


ผลการสอบที่ผู้คนส่วนใหญ่คาดคิดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  2 อันดับแรกถูกจองไว้ให้กับราชวงศ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 2 คนเรียบร้อยแล้ว องค์ชายสิบหกที่เป็นแค่ราชันขั้นแรกไม่สามารถสั่นคลอนเรื่องนั้นได้ การประกาศตัวของเขาเพียงแค่ช่วยทำให้ผู้ชมสนุกสนานขึ้นเท่านั้น มันไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่านั้น


 


แต่พวกเขาคิดผิด พวกเขาคิดผิดตั้งแต่แรก หานเซิ่นเตรียมตัวที่จะต่อสู้เพื่อชิงอันดับที่หนึ่งจริงๆ บางทีถ้าเขาไม่ได้อันดับที่หนึ่ง อย่างน้อยเขาก็หวังว่าจะติด 3 อันดับแรกได้สำเร็จ


 


แถมหานเซิ่นก็ไม่ได้มีแค่อาณาเขตระดับราชันขั้นแรกอย่างที่ทุกคนคิด ร่างกายแห่งราชันออริจินอลวอทเอร์เป็นยีนซีโน่เจเนอิคที่เขาสกัดมา โดยปกติแล้วมันจะไม่พัฒนาไปไกลกว่าตอนที่ได้รับมันมาได้ มันเป็นแค่ขั้นแรกในตอนที่เขาได้มาและมันก็จะเป็นแค่ขั้นแรกตลอดไป


 


แต่ทว่าเมื่อหานเซิ่นได้รับแอนเชี่ยนท์ก็อตออริจินมา ด้วยพลังน้ำที่อัศจรรย์ของมัน ร่างกายแห่งราชันออริจินอลวอเทอร์ของหานเซิ่นก็สามารถพัฒนาไปสู่อาณาเขตแห่งราชันขั้นที่ 2 ได้สำเร็จ


 


‘แอนเชี่ยนท์ก็อตออริจินนี่พิเศษจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ยอดฝีมือมากมายต่างก็ต้องการมัน ถ้าร่างกายแห่งราชันออริจินอลวอเทอร์ของเราเลื่อนระดับต่อไปได้เรื่อยๆ นั่นก็จะเป็นอะไรที่วิเศษมากๆ’ หานเซิ่นคิดขณะที่เล่นกับแอนเชี่ยนท์ก็อนออริจินที่อยู่ในมือ


 


แต่หานเซิ่นยังคงสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับแอนเชี่ยนท์วอเทอร์ก็อต หานเซิ่นคิดว่าตัวเองได้ไปล่วงละเมิดแอนเชี่ยนท์วอเทอร์ก็อตเข้า แต่ในตอนที่แอนเชี่ยนท์วอเทอร์ก็อตตาย เขากลับเลือกที่จะมอบแอนเชี่ยนท์ก็อตออนิจินให้กับหานเซิ่น มันเป็นอะไรที่น่าสับสน


 


ยิ่งอาณาเขตแห่งราชันระดับสูงขึ้นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เมื่อพวกเขาถึงขั้นที่ 9 แล้ว อาณาเขตแห่งราชันของเขาก็จะถูกรีเซ็ตกลับมายังขั้นที่หนึ่งอีกครั้ง และพวกเขาก็จะกลายเป็นระดับครึ่งเทพ ถึงการพัฒนาของพลังจะไม่ได้น่าประทับใจอย่างการกลายเป็นระดับเทพเจ้า แต่ยอดฝีมือระดับครึ่งเทพก็ยังคงมีพลังมากกว่าระดับราชันขั้นที่ 9 อยู่หลายเท่าอยู่ดี นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาถูกเรียกว่าเป็นครึ่งเทพ


 


หานเซิ่นไม่ได้คาดหวังว่าร่างกายแห่งราชันออริจินอลวอเทอร์จะไปถึงระดับเทพเจ้า เขาจะพอใจแล้วถ้าแอนเชี่ยนท์ก็อตออริจินสามารถพัฒนามันไปสู่ระดับครึ่งเทพได้


 


ถึงหานเซิ่นลองจะพยายามใช้วิธีต่างๆ แต่เขาก็ไม่สามารถขับเคลื่อนแอนเชี่ยนท์ก็อตออริจินได้ เขาไม่สามารถกินมัน และเขาก็ไม่สามารถดูดพลังจากมันได้เช่นกัน อย่างมากที่สุดเขาก็ทำได้แค่ผสมร่างกายแห่งราชันออริจินอลวอเทอร์เข้าไปในแอนเชี่ยนท์ก็อตออริจิน


 


หานเซิ่นใส่พลังของร่างกายแห่งราชันออริจินอลเวอร์เข้าไปในแอนเชี่ยนท์ก็อตออริจิน และพวกมันก็เริ่มรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน พลังของแอนเชี่ยนท์ก็อตออริจินไม่ใช่สิ่งที่หานเซิ่นจะใช้ได้อย่างอิสระ แต่ผลกระทบที่มันมีต่อร่างกายแห่งราชันออริจินอลวอเทอร์ของเขาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้


 


การสอบกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในวันแรกของการสอบ ราชวงศ์ทุกคนที่เข้าร่วมจะถูกพาไปที่ตีนภูเขากระดูกเน่า พวกเขาจ้องมองขึ้นไปที่ยอดของภูเขาที่แทงทะลุท้องฟ้าขึ้นไปเหมือนกับหอก


 


ภูเขากระดูกเน่าเป็นเหมือนกับเสาที่ชี้ตรงขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ มีเพียงแค่ตีนของภูเขาเท่านั้นที่มองเห็นได้ ขณะที่ยอดของมันอยู่สูงเหนือก้อนเมฆ


 


ขณะที่พวกเขากำลังรอคอยเสียงสัญญาณที่บอกให้พวกเขาเริ่มการปีนเขาได้ ไป๋หลิงซวงก็ค่อยๆเคลื่อนที่เข้ามาใกล้หานเซิ่น เธอมองมาที่เขาแต่เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขา


 


เส้นทางของภูเขากระดูกเน่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ทำขึ้นจากหินที่ทุกคนสามารถเห็นได้ มีเพียงแค่เส้นทางที่อยู่เหนือก้อนเมฆขึ้นไปเท่านั้นที่มองไม่เห็น แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านก้อนเมฆและเห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้นได้


 


ไป๋หลิงซวงไม่สามารถปล่อยให้ทุกคนรู้ได้ว่าหานเซิ่นช่วยเหลือเธอ ไม่อย่างนั้นทุกคนในเอ็กซ์ตรีมคิงก็จะหัวเราะเยาะเธอ ดังนั้นเธอจะเดินทาง 90 เปอร์เซ็นต์แรกด้วยตัวเอง เมื่อใกล้จะถึงปลายทาง เมื่อเธอถึงจุดที่ยากที่สุด เธอถึงจะขอความช่วยเหลือจากหานเซิ่น


 


ส่วนสุดท้ายคือส่วนที่ยากที่สุดของภูเขากระดูกเน่า และมันก็เป็นส่วนที่ทำให้ไป๋หลิงซวงไม่มั่นใจว่าเธอจะขึ้นไปถึงยอดของภูเขาได้ด้วยตัวเอง


 


หลังจากเสียงสัญญาณดังขึ้นมา เหล่าองค์ชายและองค์หญิงทั้งหนึ่งร้อยคนก็ไม่ได้วิ่งออกไปหาบันไดหิน แต่พวกเขาเดินต่อกันเป็นแถวยาวและค่อยๆเดินขึ้นไปบนภูเขา


 


คนที่นำหน้าสุดนั้นคือองค์รัชทายาทไป๋ว่านเจี้ย ไม่มีใครคิดจะต่อสู้เพื่อยิงชิงเส้นทางด้านหน้าของเขา


 


ด้านหลังไป๋ว่านเจี้ยคือองค์ชายสี่และองค์หญิงสองที่เป็นระดับเทพเจ้า พวกเขาทั้งคู่เดินเคียงข้างกันไป


 


ถัดไปจากพวกเขาคือคนของราชวงศ์ที่เป็นระดับครึ่งเทพ ซึ่งนั่นรวมถึงไป๋หลิงซวงและไป๋ชางลัง หลังจากพวกเขาก็เป็นราชวงศ์ระดับราชันอย่างหานเซิ่น


 


หานเซิ่นมองไปรอบๆและรู้สึกตัวว่าไม่เห็นไป๋อู๋ฉางอยู่ที่นี่ มันดูเหมือนว่าชายคนนั้นไม่ได้เข้าร่วมการสอบในครั้งนี้


 


ไป๋ชิงเสียเดินเข้ามาใกล้หานเซิ่นและพูด “พี่สิบหก เราไปกันเถอะ”


 


หานเซิ่นพยักหน้าและเริ่มเดินขึ้นไปบนบันไดหินร่วมกับไป๋ชิงเสีย


 


ในกลุ่มด้านหลังมีสายตาที่งดงามคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่หานเซิ่น ซึ่งดวงตาคู่นั้นเป็นของไป๋เวย


 


หานเซิ่นคิดว่าภูเขากระดูกเป็นอะไรที่ปีนขึ้นไปได้ยาก ไม่อย่างนั้นไป๋หลิงซวงก็คงจะไม่ยอมมอบยีนซีโน่เจเนอิคมากมายเพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากเขา


 


แต่หลังจากที่หานเซิ่นเดินไปได้สักพัก เขาก็สังเกตได้ว่าการปีนภูเขากระดูกเน่านั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิดเอาไว้ นอกจากพลังที่จำกัดการเดินทางบนอากาศแล้ว ทุกอย่างก็ดูปกติดี


 


แต่เมื่อหานเซิ่นพยายามจะเร่งฝีเท้าขึ้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในทันที


 


ในตอนแรกที่เขาเดินขึ้นบันไดมาได้อย่างง่ายๆ แต่ตอนนี้มันมีพลังกดลงที่ตัวเขาอย่างหนักหน่วงเพื่อถ่วงความเร็วของเขา มันเหมือนกับว่าเขาพยายามจะวิ่งผ่านน้ำ ยิ่งเขาวิ่งเร็วมากเท่าไหร่ แรงต้านทานก็จะมากขึ้นเท่านั้น แรงที่ต้านหานเซิ่นเอาไว้ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้หานเซิ่นไม่มีทางเลือกนอกจากชะลอความเร็วลง


 


เมื่อหานเซิ่นลดความเร็วลง แรงต้านที่ได้รับก็ลดลงไปเช่นกัน เขาเกือบที่จะไม่รู้สึกถึงมันอีก


 


‘ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงได้ค่อยๆเดินขึ้นไป ไม่รู้เลยว่าภูเขากระดูกเน่าจะพิเศษขนาดนี้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


“พี่สิบหก การต่อสู้ของพวกเขายังไม่จบ ในการสอบครั้งนี้ ในที่สุดพวกเราจะได้ตัดสินว่าหนึ่งในพวกเราใครกันที่เป็นฝ่ายชนะ” ไป๋ชิงเสียพูดขณะที่เดินไปเคียงข้างหานเซิ่น


 


“ครั้งก่อนเจ้าแพ้ไปแล้วไม่ใช่หรอ?” หานเซิ่นถาม


 


ไป๋ชิงเสียยิ้ม “ข้าพ่ายแพ้ในเรื่องคิงอีซ แต่การต่อสู้ระหว่างพวกเรายังไม่มีผู้ชนะ เฮเทร็ดไทม์เท็นของข้าตอนนี้พัฒนาขึ้นหลายขั้นแล้ว”


 


หานเซิ่นถามอย่างประหลาดใจ “ตอนนี้เจ้าฝึกถึงขั้นไหนแล้ว?”


 


“ขั้นที่ 9 ตอนนี้ข้าแค่ต้องฝึกอีกสักหน่อยก็จะสำเร็จทั้งสิบขั้น แต่ร่างกายระดับราชันของข้ายังอยู่แค่ขั้นที่ 2 เท่านั้น ทำให้ข้าฝึกขั้นสุดท้ายไม่สำเร็จ” ไป๋ชิงเสียไม่ได้ปิดบังอะไร เขาตอบคำถามของหานเซิ่นไปตรงๆ


 


“นั่นสุดยอดไปเลย” หานเซิ่นเอยชมเขา


 


หานเซิ่นหมายความอย่างที่พูดจริงๆ หลังจากการต่อสู้หานเซิ่นได้ศึกษาเกี่ยวกับเฮเทร็ดไทม์เท็น เขาก็ได้พบว่ามันเป็นวิชาที่มหัศจรรย์จริงๆ ไทม์วันจำเป็นต้องมีอาณาเขตแห่งราชันขั้นแรก ดังนั้นการฝึกไทม์ไนน์จำเป็นต้องมีอาณาเขตแห่งราชันขั้นที่ 9


 


ถึงตัวไป๋ชิงเสียจะเป็นแค่ระดับราชันขั้นที่ 2 แต่เขาก็ฝึกเฮเทร็ดไทม์ไนน์ได้สำเร็จ เขามีพรสวรรค์อย่างแท้จริง

 

 

 


ตอนที่ 2382

 

ณ จุดกึ่งกลางของบันไดหินของภูเขากระดูกนั่นมีแผ่นศิลาหินตั้งอยู่ บนแผ่นศิลาสลักเอาไว้ว่า “เดินทางครึ่งภูเขา คิดเหมือนดั่งดาบ” หานเซิ่นไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร แต่เมื่อพวกเขาเดินผ่านแผ่นศิลาไป ทุกคนก็เริ่มเร่งฝีเท้าขึ้น องค์ชายสี่และองค์หญิงสองแซงหน้าไป๋ว่านเจี้ยไป ราชองศ์คนอื่นก็เริ่มกระจายตัวกันออกไป มันไม่ได้เป็นแถวเป็นแนวเหมือนกับครึ่งทางแรก


 


ขุนนางของเอ็กซ์ตรีมคิงที่มองดูอย่างครึ่งหลับครึ่งตื่น ตอนนี้พวกเขาดูตื่นตัวเต็มที่ แน่นอนว่าพวกเขาให้ความสนใจไปที่ราชวงศ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 2 แต่มีหลายคนที่มุ่งความสนใจมาที่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นดูอวดดีอย่างมากในพิธีเปิดงาน ดังนั้นถ้าตอนนี้เขาทำผลงานได้ไม่ดี เขาก็จะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะ


 


“พี่สิบหก พวกเรามาดูกันว่าใครจะไปถึงยอดภูเขาได้เร็วกว่ากัน”

ไป๋ชิงเสียเร่งฝีเท้าและวิ่งขึ้นภูเขาไปราวกับดาบที่คมกริบ


 


หานเซิ่นตกลงที่จะแข่งขันด้วย และเขาก็เร่งฝีเท้าของตัวเองขึ้น แรงต้านทานที่หนักหน่วงยังคงตกลงมาใส่ตัวของเขา


 


แต่หานเซิ่นไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาเดินขึ้นมาอย่างง่ายๆและไม่ได้รีบร้อนอะไร แต่ทำไมตอนนี้พวกเขาถึงได้ฝืนตัวเองเพื่อขึ้นเขาไปให้เร็วกว่าเดิมด้วย? พวกเขายังไม่ถึงส่วนที่ยากที่สุดของภูเขา ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาก็ควรจะเก็บแรงเอาไว้


 


แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ในเมื่อทุกคนเร่งฝีเท้าขึ้น หานเซิ่นก็ไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองถูกทิ้งท้ายได้ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เขาทำในระหว่างพิธีเปิดก็จะไม่มีความหมายอะไร


 


หานเซิ่นปลดปล่อยอาณาเขตน้ำและพยายามที่จะทำลายแรงต้านทานที่กดใส่ตัวของเขา แต่ยิ่งเขาปีนขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ แรงต้านทานก็สูงขึ้นตามไปด้วย ตอนนี้เขาใช้พลังงานเป็นไปจำนวนมาก แต่เขาไม่สามารถเร่งความเร็วขึ้นได้อีก


 


ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะไล่ตามองค์ชายสี่และองค์หญิงสองที่นำหน้าไปไม่ทัน และแม้แต่ราชวงศ์ระดับครึ่งเทพคนอื่นก็อาจจะทิ้งห่างเขาจนไม่เห็นฝุ่น


 


เมื่อดูจากพลังที่พวกเขาใช้ เหล่าราชวงศ์ระดับครึ่งเทพแข็งแกร่งกว่าระดับราชันขั้นที่ 2 มาก หานเซิ่นไม่สามารถแข่งขันกับพวกเขาได้ด้วยการใช้พละกำลังเพียงอย่างเดียว


 


หานเซิ่นคิดอยู่ชั่วครู่และตัดสินใจปิดอาณาเขตแห่งราชัน เขาปล่อยให้แรงต้านทานที่เหมือนกับน้ำซัดมาสู่ตัวเขา เมื่อพลังนั้นอาบตัวของเขา คิงอีซในร่างกายของเขาก็เรืองแสงสีทองออกมา


 


ภายใต้พลังเสริมของคิงอีซ หานเซิ่นรู้สึกว่าแรงต้านทานเบาบางลงไป ถึงแม้มันจะยังมีอยู่ แต่มันก็ลดลงไปอย่างมาก


 


ถ้าแรงต้านทานก่อนหน้านี้เป็นเหมือนกับแม่น้ำขนาดใหญ่ แรงต้านทานในตอนนี้ก็เป็นสายธารเล็กๆ มันกลายเป็นปัญหาที่จิ๊บจ๊อย


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร หลังจากที่เรียกใช้พลังของคิงอีซสีทองที่อยู่ในตัว เขาก็วิ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาทิ้งห่างไป๋ชิงเสียจนไม่เห็นฝุ่นในทันที


 


เหล่าองค์ชายและองค์หญิงที่อยู่ข้างหน้าพยายามอย่างหนัก แต่จู่ๆพวกเขาก็ถูกดึงดูดโดยเสียงฝีเท้าที่บ้าคลั่งจากด้านหลัง เสียงนั้นน่าตกใจจนทำให้พวกเขาต้องหันไปมองที่มาของมัน ที่นั่นพวกเขาเห็นหานเซิ่นที่เรืองด้วยแสงสีทองกำลังวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง หานเซิ่นวิ่งผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบหานเซิ่นกับคนอื่นๆแล้ว มันก็เหมือนกับการเทียบรถสปอร์ตกับเครื่องตัดหญ้า


 


ราชวงศ์คนอื่นจ้องมองเงาที่หายลับไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ พวกอึ้งจนเกือบจะลืมไปว่าตัวเองก็กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอยู่


 


ไม่มีใครเคยเห็นคนที่วิ่งบนเส้นทางภูเขากระดูกเน่าแบบนั้นมาก่อน แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ยังลำบากลำบนต่อแรงต้านทานของมัน มันไม่ควรมีใครที่เร่งความเร็วจนถึงขีดสุดและวิ่งขึ้นภูเขาไปแบบนั้นได้


 


แต่หานเซิ่นกำลังวิ่งเหมือนกับว่าไม่มีพลังอะไรมาจำกัดการเคลื่อนไหวของเขา ขาของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับม้าป่าที่เป็นอิสระจากบังเหียน


 


“โว้ว! โว้ว! องค์ชายสิบหกกำลังแซงหน้าคนอื่นไป”


 


“โอ้ว้าว! เขาแข็งแกร่งจริงๆ”


 


“นั่นคือการคุ้มครองของคิงอีซทั้งหมดที่เขาได้รับอย่างนั้นหรอ? มันดูเหมือนว่าคิงอีซกำลังทำงานเพื่อต้านท้านพลังของภูเขากระดูกเน่า”


 


“ด้วยความเร็วระดับนั้น… บางทีเขาอาจจะแซงหน้าราชวงศ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 2 และได้อันดับที่หนึ่งจริงๆ…”


 


“เขาก็แค่โชคดีเท่านั้น นั่นไม่ใช่พลังที่แท้จริงของเขา ถึงแม้เขาจะวิ่งขึ้นไปถึงยอดเขาได้สำเร็จ เขาก็จะได้อันดับที่หนึ่งแค่การแข่งขันนี้เท่านั้น การสอบยังมีบททดสอบอีกหลายอย่าง เขาจะพึ่งโชคเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แถมใครจะรู้ว่าเขาจะรักษาความเร็วระดับนี้ไปได้ตลอดได้หรือเปล่า เส้นทางส่วนที่อยู่เหนือเมฆไปคือส่วนที่สำคัญที่สุด”



 


ทุกคนเห็นว่าหานเซิ่นกำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงและแซงหน้าราชวงศ์คนอื่นไป ผู้ชมดูตื่นเต้นขึ้นมา


 


เมื่อหานเซิ่นไล่ตามไป๋หลิงซวงจนทัน เธอก็ดูตกใจเช่นเดียวกัน


 


เธอรู้ว่าคิงอีซจะสะท้อนพลังของภูเขากระดูกเน่า โดยปกติแล้วคนที่ได้รับคิงอีซอักษรอาวและกู่จะมีช่วงเวลาที่ง่ายกว่า เพราะด้วยเหตุผลบางอย่างแรงต้านทานที่จำกัดการเคลื่อนไหวของพวกเขาจะน้อยลงไป


แต่ผู้ที่ได้รับอักษรอาวและกู่นั้นไม่ควรจะเมินเฉยต่อพลังจำกัดการเคลื่อนของภูเขาได้เหมือนกับที่หานเซิ่นกำลังทำ พวกมันแค่จะช่วยลดแรงต้านทานลงเพียงนิดหน่อยเท่านั้น


 


‘ดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าแค่อักษรอาวและกู่ที่มีประโยชน์ในการปีนภูเขากระดูกเน่า สัญลักษณ์คิงอีซอื่นเองก็มีผลต่อมันเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่ามันไม่เคยมีใครได้รับพวกมันมาก่อน’ ไป๋หลิงซวงคิดกับตัวเอง ตอนนี้เธอมีความมั่นใจขึ้นกว่าเดิมว่าจะได้ใช้ประโยชน์จากพลังของหานเซิ่นเพื่อขึ้นไปถึงยอดของภูเขากระดูกเน่า


 


นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับไป๋หลิงซวง แต่ขณะที่เธอมองหานเซิ่นวิ่งแซงหน้าไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา

‘ทำไมเขาถึงเป็นคนที่ได้รับการคุ้มครองจากคิงอีซนับพันด้วย? ถ้าเราได้รับการคุ้มครองจากคิงอีซมากขนาดนั้น บางทีเราอาจจะได้เป็นกษัตริย์องค์ใหม่’


 


“เขาไล่ตามองค์รัชทายาททันแล้ว…” ผู้ชมดูตื่นเต้น


 


ร่างกายของหานเซิ่นเรืองแสงสีทองออกมา เขาวิ่งอย่างรวดเร็วถึงขนาดที่เขาแซงหน้าองค์รัชทายาทไป เขากำลังจะไล่ตามองค์ชายสี่และองค์หญิงสองทัน


 


องค์ชายสี่และองค์หญิงสองรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากด้านหลัง พวกเขาหันกลับไปมองและเห็นหานเซิ่นกำลังวิ่งมาทางพวกเขา หานเซิ่นวิ่งเข้ามาขณะที่ร่างกายอาบไปด้วยแสงสีทองที่ดูองอาจ พวกเขาขมวดคิ้วและเร่งฝีเท้าขึ้น


 


หานเซิ่นต้องการจะลดระยะห่างลง แต่การวิ่งไปข้างหน้าไม่ได้ง่ายเหมือนก่อนหน้านี้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้รับแรงต้านทานมากเท่ากับคนอื่น แต่แรงต้านทานที่ซัดมาใส่เขาก็ไม่ได้หายไปจนหมด เขายังคงประสบกับแรงต้านทาน ทำให้เขาไม่สามารถวิ่งเต็มความเร็วได้


 


ผู้ชมมองดูอย่างใจจดใจจ่อ ราชวงศ์ทั้ง 3 คนกำลังวิ่งขึ้นสู่ยอดของภูเขาด้วยความเร็วสูง และระยะห่างระหว่างพวกเขากับคนอื่นก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ


 


“ยอดฝีมือระดับเทพเจ้านี่แข็งแกร่งจริงๆ” หานเซิ่นไม่สามารถไล่ตามองค์ชายสี่และองค์หญิงสองได้ทัน พวกเขาทั้ง 3 เข้าสู่ส่วนสุดท้ายของภูเขากระดูกเน่าและหายไปในก้อนเมฆ ไม่มีใครมองเห็นพวกเขาอีกต่อไป


 


“องค์ชายสี่ผ่านเข้าไปในก้อนเมฆเป็นคนแรก ดูเหมือนว่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้ายังคงได้เปรียบเรื่องพละกำลัง การคุ้มครองของคิงอีซนับพันก็ยังไม่เพียงพอที่จะลดความห่างชั้นของระดับ” บางคนถอนหายใจออกมา


 


“ใครจะเป็นฝ่ายชนะกัน?” ราชาไป๋ ราชินีและราชครูจ้องมองไปที่ยอดภูเขากระดูกเน่าด้วยความสนใจ


 


ในการสอบครั้งก่อนๆการรอคอยใครบางคนไปถึงยอดเขานั้นไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร เพราะราชวงศ์ระดับเทพเจ้ามักจะเป็นผู้ชนะ แต่ครั้งนี้มันมีหานเซิ่นอยู่ด้วย ซึ่งทำให้การแข่งขันเป็นอะไรที่น่าสนใจขึ้นมา

 

 

 


ตอนที่ 2383

 

หานเซิ่นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อ่อนโยน แต่มันก็เป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้นก่อนจะหายไป คิงอีซของหานเซิ่นส่องสว่างขึ้นมา การปีนขึ้นสู่ยอดเขาเป็นอะไรที่ยาวนานและเหนื่อยล้า ขั้นบันไดนั้นคดเคี้ยวเหมือนกับตะขาบขนาดมหึมา


 


หานเซิ่นเห็นองค์ชายสี่และองค์หญิงสองพยายามจะต่อสู้กับแรงต้านทาน แต่พวกเขากำลังวิ่งอยู่บนบันไดขั้นเดิมซ้ำๆ


 


หานเซิ่นวิ่งขึ้นไปที่ยอดเขาได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร ขณะที่องค์ชายสี่และองค์หญิงสองยังคงวิ่งอยู่บนบันไดขั้นเดิมราวกับหนูแฮมเตอร์ในกงล้อ


 


“ดูเหมือนว่าคิงอีซจะปกป้องเราจากการถูกกักขังในมิติประหลาดนี่”

หานเซิ่นไม่มีอารมณ์จะมามองราชวงศ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 2 เขาใช้ความพยายามไปกับการวิ่งขึ้นสู่ยอดเขา


 


ยอดของภูเขานั้นกว้างมากๆ มันน่าจะใหญ่โตพอๆกับสนามฟุตบอล พื้นที่ส่วนใหญ่ราบเรียบ แต่ทว่ามันมีจุดๆหนึ่งบนยอดเขาที่เป็นโขดหิน


 


โขดหินไม่ได้สูงเกินกว่าหนึ่งร้อยเมตร มันดูแหลมคมเหมือนกับดาบที่ชี้ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และที่ด้านข้างของมันก็มีตัวอักษรสลักอยู่ พวกมันอ่านได้ว่า “ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น”


 


การมองดูไปที่ตัวอักษรเหล่านั้นจะทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุก พวกมันเป็นเหมือนกับดาบลมปราณนับพันที่จะฉีกร่างกายของคนนั้นได้ในเวลาไม่ถึงวินาที


 


“เป็นจิตแห่งดาบที่ทรงพลังอะไรขนาดนี้!” หานเซิ่นประหลาดใจเมื่อได้อ่านตัวอักษรที่สลักเอาไว้


 


วิชาดาบของหานเซิ่นถือว่าไม่เลว ถึงแม้เขาจะไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การฝึกวิชาดาบเพียงอย่างเดียว แต่จิตแห่งดาบของเขาก็เกือบจะเทียบเท่ากับยอดฝีมือระดับเทพเจ้า


 


แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวอักษรเหล่านั้น จิตแห่งดาบของหานเซิ่นถูกบดขยี้ มันเหมือนกับว่าเขากำลังสั่นกลัวภายใต้แรงกดดันที่ตกลงมาใส่เขาจากด้านบน


 


‘ใครก็ตามที่ทิ้งอักษรเหล่านี้เอาไว้จะต้องเชี่ยวชาญในวิชาดาบมากๆ คนๆนั้นต้องมีพรสวรรค์ในระดับที่น่าเหลือเชื่อ ใครกันที่เป็นคนที่ทิ้งตัวอักษรเหล่านี้เอาไว้? มันมีนักดาบที่เก่งกาจมากมายตลอดประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของเอ็กซ์ตรีมคิง และกษัตริย์หลายๆองค์ของเอ็กซ์ตรีมคิงก็เป็นนักดาบ แม้แต่สามัญชนของเอ็กซ์ตรีมคิงหลายคนก็เป็นนักดาบระดับเทพเจ้า’

หานเซิ่นหยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะคิดต่อไปว่า ‘แต่จิตแห่งดาบระดับนี้ นักดาบคนนั้นคงจะต้องก้าวข้ามระดับเทพเจ้า และเขาคงจะเป็นหนึ่งในนักดาบที่มีชื่อเสียง แต่เราไม่รู้จักพวกเขา’


 


หานเซิ่นหันหนีจากตัวอักษรเหล่านั้นและมองไปรอบๆยอดเขา แต่นอกจากโขดหินนี้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นบนยอดเขา


 


“ไป๋หลิงซวงบอกว่ามันมีบางสิ่งที่จะได้รับจากการมาถึงยอดเขาแห่งนี้ นี่เธอหมายถึงโขดหินนี่และตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้อย่างนั้นหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นผลประโยชน์อะไรกันที่เธอจะได้รับ? หรือว่าโขดหินนี่ก็คือสมบัติที่เธอพูดถึง? แต่มันดูจะไม่เป็นแบบนั้น รางวัลที่ไป๋หลิงซวงพูดถึงคงจะเป็นจิตแห่งดาบที่ถูกทิ้งเอาไว้” หานเซิ่นอ่านตัวอักษร ‘ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น’ อีกครั้ง


 


จิตแห่งดาบนั้นทรงพลังอย่างมาก เพียงแค่มองมันก็เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว การได้เห็นมันจะทำให้คนปกติรู้สึกแย่ขึ้นมา เมื่อเทียบกับจิตแห่งดาบธรรมดาๆกับจิตแห่งดาบที่ถูกทิ้งเอาไว้นี่ มันก็เหมือนกับการเทียบก้อนหินกับดวงจันทร์ พวกมันทั้ง 2 เป็นอะไรที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


แม้แต่หานเซิ่นที่มีจิตใจที่แข็งแกร่งก็ยังรู้สึกว่ามันยากลำบากที่จะคงสติเอาไว้ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าจิตแห่งดาบนี้


 


แต่จิตแห่งดาบของเขาแข็งแกร่งและไม่สั่นไหวง่ายๆ เขายืนหยัดอยู่ตรงนั้นและมองไปที่ตัวอักษรอย่างตั้งใจ


 


ด้วยเหตุผลบางอย่างหานเซิ่นรู้สึกเหมือนกับว่าเขาพยายามจะเกาในส่วนที่เอื้อมไม่ถึง เขาไม่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของจิตแห่งดาบได้


 


ขณะที่หานเซิ่นจ้องไปที่โขดหิน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากขั้นบันไดที่อยู่ด้านหลัง เขาหันไปมองและเห็นองค์ชายสี่วิ่งขึ้นมา


 


“คารวะองค์ชายสี่” หานเซิ่นโค้งคำนับ


 


องค์ชายสี่มองมาที่หานเซิ่นแต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเดินเข้าไปหาโขดหิน เมื่อเขามองไปที่ตัวอักษร สมาธิของเขาก็จดจ่อไปที่พวกมัน และเขาก็เมินเฉยต่อหานเซิ่นโดยสมบูรณ์


 


องค์ชายสี่ยืนนิ่งสนิทไปจนกระทั่งองค์หญิงสองมาถึง เมื่อเธอเห็นว่าหานเซิ่นและองค์ชายสี่มาถึงก่อนแล้ว เธอก็ดูเสียใจเล็กน้อย


 


เธอไม่ได้รู้สึกอะไรที่องค์ชายสี่รวดเร็วกว่าเธอ แต่การที่หานเซิ่นมาถึงยอดเขาก่อนหน้าเธอด้วยนั้นทำให้เธอรู้สึกเสียใจ


 


แต่เธอเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า ความเสียใจของเธอแสดงออกมาเพียงแค่แว็บเดียวเท่านั้นก่อนที่มันจะหายไป องค์หญิงสองเดินมาที่โขดหินและหันความสนใจไปที่ตัวอักษรเช่นเดียวกับที่องค์ชายสี่ทำ เธอเมินเฉยต่อตัวตนของหานเซิ่นเช่นเดียวกัน


 


เมื่อเห็นการกระทำของราชวงศ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 2 มันก็ช่วยยืนยันว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการขึ้นมาถึงยอดเขาคือตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้จริงๆ และนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกผิดหวัง


 


จิตแห่งดาบนั้นสุดยอดมากก็จริง แต่หานเซิ่นไม่ได้ใช้ดาบเป็นหลัก ถ้าจักรพรรดิหกวิถีมาอยู่ที่นี่ บางทีเขาคงจะได้ประโยชน์มากกว่า หานเซิ่นอยู่ที่นั่นและมองไปที่ตัวอักษรอยู่สักพัก แต่เขาไม่ได้เรียนรู้อะไร


 


แต่ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว หานเซิ่นไม่คิดจะยอมปล่อยโอกาสไป ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ


 


หลังจากผ่านไปสักพัก หานเซิ่นก็นึกได้ถึงข้อตกลงที่ทำไว้กับไป๋หลิงซวง มันเกือบจะได้เวลาแล้ว ดังนั้นเขาจึงเดินลงจากยอดเขา


 


องค์ชายสี่และองค์หญิงสองเห็นหานเซิ่นเดินลงจากยอดเขาไป นั่นทำให้พวกเขารู้สึกสับสน แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรหานเซิ่น พวกเขาหันความสนใจกลับไปที่ตัวอักษร


 


หานเซิ่นเดินลงมาและเห็นองค์ชายองค์หญิงหลายคนกำลังวิ่งอยู่กับที่ ไป๋หลิงซวงเองก็กำลังวิ่งอยู่กับที่เช่นเดียวกัน เหล่าราชวงศ์วิ่งราวกับไก่ไร้หัว แต่ไม่มีใครเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแม้แต่นิดเดียว


 


ไป๋หลิงซวงดูโกรธ เธอตะเกียกตะกายอยู่เป็นเวลานาน ร่างกายของเธอได้รับผลจากพลังของมิติที่บิดเบี้ยว ทำให้เธอไม่สามารถเคลื่อนที่ไปไหนได้ ความรู้สึกโกรธของเธอเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป


 


“ไป๋อี้! ถ้าเจ้าเอาของของข้าไปและไม่ทำตามข้อตกลงล่ะก็ ข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งเป็น” ไป๋หลิงซวงรู้สึกหนักอึ้งและเธอแทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีก


 


ในทุกๆก้าวที่เธอก้าวออกไป เธอรู้สึกว่าไหล่กำลังแบกรับน้ำหนักของภูเขาทั้งลูก เสื้อผ้าของเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ


 


ยิ่งคนๆหนึ่งอยู่บนในมิติที่บิดเบี้ยวนี้นานเท่าไหร่ พวกเขาก็จะได้รับผลจากมันมากขึ้นเท่านั้น


 


“ไอ้สารเลวไป๋อี้! ข้าจะฆ่าเจ้า” ไป๋หลิงซวงเริ่มที่จะล้มลงกับพื้น


“พี่สิบ นี่ข้ามาช้าเกินไปหรือเปล่า?”

แขนข้างหนึ่งปรากฏขึ้นและจับตัวของไป๋หลิงซวงเพื่อหยุดเธอจากการล้มลงไปบนพื้น


 


ไป๋หลิงซวงเงยหัวขึ้นมาและเห็นหานเซิ่นกำลังยิ้มให้กับเธอ เธอกัดริมฝีปากและพูด “ทำไมเจ้าถึงได้ชักช้านัก?”


 


“ถนนสายนี้มันยากลำบากกว่าที่คิด ทำให้ข้าล่าช้า ตอนนี้พวกเราไปกันเถอะ” หานเซิ่นพูดขณะที่เขาช่วยพยุงเธอขึ้นมา

 

 

 


ตอนที่ 2384

 

ไป๋หลิงซวงไม่ได้พูดอะไรและปล่อยให้หานเซิ่นอุ้มเธอขึ้นไปที่ยอดภูเขา จากมุมมองของเธอ มันดูเหมือนกับว่าหานเซิ่นกำลังเดินออกจากภูเขาไปสู่อากาศอันว่างเปล่า


 


แต่ในความจริงแล้วพวกเขายังคงอยู่บนบันได ที่ไป๋หลิงซวงคิดว่าพวกเขากำลังเดินออกไปสู่อากาศอันว่างเปล่านั่นก็เพราะมิติที่บิดเบือน


 


ขณะที่เดินขึ้นไป หานเซิ่นก็สังเกตเห็นไป๋เวย เธอกำลังเดินอยู่กับที่เช่นเดียวกับราชวงศ์คนอื่น


 


เนื่องจากเธอมาถึงที่หลังคนอื่น พลังของภูเขากระดูกเน่าจึงยังไม่ส่งผลต่อเธออย่างรุนแรงเหมือนกับคนอื่น แต่ความจริงที่ว่าเธอเดินได้รวดเร็วกว่าคนอื่นนั้นไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเธอไม่สามารถหาทางออกจากมิติที่บิดเบือนได้ การเดินต่อไปข้างหน้าเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์


 


“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนเลว และเธอก็พยายามจะปกป้องเป่าเอ๋อ เธอมีเจตนาดี” หานเซิ่นถอนหายใจ เขาใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนอย่างลับๆและปล่อยพลังบางส่วนออกไปทางเธอ


 


ไป๋เวยพยายามเดินหน้าต่อไป แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามมากสักแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถหนีไปจากบันไดที่ดูไม่มีที่สิ้นสุดได้ ทันใดนั้นไป๋เวยก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่ซัดเข้ามาทางเธอ มันเป็นพลังที่อ่อนโยน


 


“นี่คือ…” ไป๋เวยรู้สึกประหลาด


 


มิติที่บิดเบี้ยวของภูเขากระดูกเน่าจะซ่อนคนของราชวงศ์จากกันและกัน ถึงแม้ราชวงศ์ 2 คนจะเดินอยู่เคียงข้างกัน แต่พวกเขาก็มองไม่เห็นกัน ถึงแม้พวกเขาจะสัมผัสกัน มันก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไร


 


ตอนนี้พลังประหลาดไหลลงมาจากขั้นบันไดที่อยู่ตรงหน้าไป๋เวย


 


หัวใจของไป๋เวยเต้นรัว เธอตามพลังประหลาดนั้นไป พลังประหลาดนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไล่ตามมันไป ไป๋เวยสังเกตเห็นว่าบันไดกำลังจะหายไปจากใต้เท้าของเธอ พลังประหลาดนั้นนำทางห่างไปจากขั้นบันไดและออกสู่ท้องฟ้า


 


เธอต้องรีบเคลื่อนไหวเพื่อตามพลังประหลาดให้ทัน ไป๋เวยกัดฟันและเดินออกจากขั้นบันได ร่างกายของเธอลอยจากภูเขาสู่อากาศอันว่างเปล่า แต่เท้าของเธอยังคงสัมผัสกับบางสิ่ง และเธอก็ก้าวต่อไปข้างหน้า


 


มันไม่มีเส้นทางอื่นให้เดินตามอีก ดังนั้นเธอจึงตามพลังนั้นต่อไป ถ้าเธอก้าวไปในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง เธอก็จะตกลงไปที่ภูเขาอีกครั้ง


 


บนภูเขากระดูกเน่านั้นแม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็บินไม่ได้ ซึ่งไป๋เวยเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง


 


ไป๋เวยจำเป็นต้องเดินตามพลังประหลาดที่กำลังนำทางไป เธอเร่งฝีเท้าขึ้นขณะที่ไล่ตามพลังนั้นไป


 


หานเซิ่นอุ้มไป๋หลิงซวงขึ้นมาจนถึงยอดเขา ที่นั่นเขาพบองค์ชายและองค์หญิงหลายคนที่ขึ้นมาถึงยอดเขาได้สำเร็จ


 


ไป๋ชิงเสียเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เขาประหลาดใจที่เห็นว่าหานเซิ่นมาพร้อมกับไป๋หลิงซวง


 


แต่หานเซิ่นได้วางไป๋หลิงซวงลงเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนอกจากองค์ชายสี่และองค์หญิงสอง ไม่มีใครที่รู้ว่าหานเซิ่นอุ้มไป๋หลิงซวงขึ้นมาบนยอดเขา


 


“ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นฝ่ายชนะ” ไป๋ชิงเสียพูดขณะที่จ้องไปที่หานเซิ่น เขาคิดว่าหานเซิ่นเพิ่งจะขึ้นมาถึงยอดเขา


 


องค์ชายและองค์หญิงคนอื่นๆก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เพราะยังไงซะมิติที่บิดเบือนก็ไม่ใช่ที่จะผ่านมาได้ด้วยความเร็วเพียงอย่างเดียว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะคิดว่าหานเซิ่นนั้นเพิ่งขึ้นมาถึงยอดเขา


 


ไป๋หลิงซวงเหงื่อท่วมตัว แต่เมื่อเธอเห็นตัวอักษรที่สลักอยู่บนโขดหิน เธอก็ตื่นตัวอย่างเต็มที่ เธอไม่ได้มีคิงอีซอักษรอาวหรือกู่ การขึ้นมาถึงยอดเขาจึงเป็นอะไรที่ยากเกินไปสำหรับเธอ ส่วนไป๋ชิงเสียได้รับอักษรอาว ดังนั้นมันเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามากสำหรับเขาที่จะขึ้นมาถึงยอดเขา พละกำลังทางกายภาพนั้นไม่ได้สำคัญอะไรในการแข่งขันนี้


 


“นี่คือจิตแห่งดาบพราวด์โบนของดาบคลั่ง?” ไป๋หลิงซวงมองไปที่ตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้


 


“ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น” เธอดูดีใจอย่างมากขณะที่พึมพำกับตัวเอง


 


หานเซิ่นรู้สึกสับสน เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับกษัตริย์ที่มีสมญานามว่าดาบคลั่งมาก่อน มันมีกษัตริย์ที่มีสมญานามว่าดาบเทพหรือดาบศักดิ์สิทธิ์ แต่สมญานามว่าดาบคลั่งดูไม่ใช่สิ่งที่คู่ควรต่อกษัตริย์คนหนึ่ง


 


ไป๋ชิงเสียพูดต่อจากไป๋หลิงซวง “ดาบคลั่งนั้นเกิดมาพิการ เขาไม่ได้มีร่างกายแห่งราชัน และนั่นทำให้เขาถูกคนอื่นรังแก แต่ที่สุดแล้วเขาใช้ดาบของเขาเพื่อกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้สำเร็จ ถึงเขาจะไม่มีร่างกายแห่งราชัน แต่เขาก็เอาชนะเอ็กซ์ตรีมคิงคนอื่น แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่มีร่างกายแห่งราชันก็พ่ายแพ้ต่อดาบของเขา เขาไม่ได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองของพวกเรา แต่ในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิงเขาถูกเรียกว่ากษัตริย์ไร้มงกุฎ เผ่าพันธุ์ของพวกเรามีนักดาบมากมาย แต่ไม่มีใครคนไหนที่คู่ควรต่อการยกย่องเหมือนอย่างดาบคลั่ง”


 


หานเซิ่นครุ่นคิดกับตัวเอง ‘ไม่รู้เลยว่าเอ็กซ์ตรีมคิงมีคนที่แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นอยู่ด้วย ทำไมเราถึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อนเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้?’


 


เมื่อไป๋ชิงเสียพูดจบ องค์หญิงคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลก็มองมาที่เขาด้วยความดูถูก


“พลังของดาบคลั่งไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ว่าชื่อเสียงมากขนาดไหนก็ชำระล้างสิ่งสกปรกออกไปไม่ได้ เขาไม่คู่ควรต่อการถูกยกย่องสรรเสริญ”


 


ไป๋ชิงเสียและไป๋หลิงซวงขมวดคิ้วใส่องค์หญิงคนนั้น หลังจากที่เห็นหน้าของพวกเขา เธอก็หันหน้าหนีไป


 


หานเซิ่นไม่ได้สนใจในตัวองค์หญิงคนนั้นเช่นกัน เขาต้องการจะฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของดาบคลั่ง มันเห็นได้ชัดว่าดาบคลั่งนั้นแตกต่างไปจากเอ็กซ์ตรีมคิงคนอื่น แม้แต่สมญานามของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ห้ามพูดถึง


 


ถ้าหานเซิ่นเป็นไป๋อี้จริงๆ เขาก็ต้องรู้เกี่ยวกับดาบคลั่งบ้างแล้ว ดังนั้นเขาไม่สามารถถามใครได้


 


ทันใดนั้นก็มีใครคนหนึ่งเดินขึ้นมาถึงยอดเขา คนๆนั้นก็คือไป๋เวย ชุดของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายของเธอสั่นรัวและเธอแทบยืนไม่ไหว มันเห็นได้ชัดว่าเธอต้องต่อสู้อย่างหนักกว่าจะมาถึงที่นี่ได้


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะใช้พลังเพื่อนำทางเธอ แต่เธอก็ยังคงอ่อนแอเกินไป ถึงเธอจะรู้หนทางที่จะมาถึงยอดเขาแต่มันก็เป็นอะไรที่ยากอย่างที่สุด


 


ราชวงศ์หลายคนดูตกตะลึง เมื่อพวกเขาเห็นไป๋เวยขึ้นมาถึงยอดเขาได้สำเร็จ ในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของเอ็กซ์ตรีมคิง มีดยุกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มาถึงจุดนี้ได้


 


ไป๋เวยมองไปที่เหล่าองค์ชายและองค์หญิง เธออยากจะรู้ว่าใครกันที่ทิ้งพลังนั้นเอาไว้เบื้องหลังเพื่อนำทางให้กับเธอ แต่เธอไม่สามารถรู้ความจริงได้


 


แต่เมื่อเธอมองไปที่หานเซิ่น อารมณ์ที่ดีใจของเธอก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เธอกัดฟันขณะที่จ้องไปที่เขา


 


เธอยังคงขมขื่นกับความจริงที่ว่าไป๋อี้ฆ่าหานเซิ่น ความคิดที่ว่าพลังนั้นอาจจะเป็นของเขาไม่เคยผุดขึ้นมาในหัวของเธอ


 


ไป๋เวยมองไปรอบๆต่อ แต่เธอยังคงไม่สามารถบอกได้ว่าใครกันแน่ที่ทิ้งพลังนั้นเอาไว้ ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกขอบคุณจากใจจริง เธอเดินไปหาโขดหินเพื่อที่มองดูตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้


 


ไป๋หลิงซวงและคนอื่นๆก็มองไปยังตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้เช่นกัน จิตแห่งดาบพราวด์โบนของดาบคลั่งเป็นอะไรที่มีประโยชน์มากๆ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ค่อยชอบในตัวของดาบคลั่งเท่าไหร่นัก แต่พวกเขาก็ยังคงพยายามเรียนรู้จากจิตแห่งดาบของดาบคลั่งอยู่ดี


 


หานเซิ่นหาที่นั่งเหมาะๆ เขาต้องการจะมองดูจิตแห่งดาบจากตำแหน่งที่สบายที่สุด แต่มันไม่มีอะไรอย่างอื่นให้เขาทำนอกจากนั้น


 


มันไม่ใช่ว่าหานเซิ่นขาดพรสวรรค์หรือฝึกฝนไม่เพียงพอ แต่จิตแห่งดาบของดาบคลั่งขัดแย้งกับจิตแห่งดาบของหานเซิ่นเอง พวกมันเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกัน มันไม่มีอะไรที่คล้ายคลึงหรือเข้าคู่กันได้ ยิ่งจิตแห่งดาบของหานเซิ่นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเข้าใจจิตแห่งดาบพราวด์โบนของดาบคลั่งได้ยากเท่านั้น

 

 

 


ตอนที่ 2385

 

หานเซิ่นมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากคนที่คิดค้นจิตแห่งดาบพราวด์โบนนี้ขึ้นมา พวกเขาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หานเซิ่นพบว่ามันเป็นอะไรที่ยากลำบากอย่างมากในการจะเข้าใจจิตแห่งดาบพราวด์โบน


 


ชื่อ‘ดาบคลั่ง’และ‘พราวด์โบน’บอกถึงลักษณะนิสัยของชายคนนั้นได้เป็นอย่างดี เขาเป็นคนที่ภาคภูมิและบ้าคลั่ง วิธีการเผชิญหน้ากับปัญหาและการแก้ปัญหาของเขานั้นแตกต่างไปจากของหานเซิ่น


 


จิตแห่งดาบของหานเซิ่นมีรากฐานจากทิฐิ ไม่สำคัญว่าหานเซิ่นจะทำอะไร ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องเล็กน้อย เขาก็จะทำสิ่งที่เริ่มต้นขึ้นจนเสร็จสิ้น ปณิธานของเขาเป็นสิ่งที่นำพาเขาไปข้างหน้า แต่บางครั้งเขาก็สนใจกับจุดหมายมากเกินไปจนพลาดวิวระหว่างทางไป


 


ตราบใดที่ไปถึงจุดหมาย หานเซิ่นยินดีที่จะเดินบนเส้นทางไหนๆก็ตามที่ไปถึงปลายทาง ลักษณะนิสัยนี้บางครั้งทำให้เขาดูขาดความตั้งใจและความใส่ใจ เขาเป็นคนที่เปลี่ยนแผนอะไรง่ายๆราวกับว่ามันไม่มีอะไรที่สำคัญสำหรับเขาจริงๆ แต่ความจริงแล้วหานเซิ่นไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเอง เขาแค่ยินดีที่จะปรับเปลี่ยนแผนเพื่อให้สำเร็จเป้าหมายนั้น


 


หานเซิ่นดูเหมือนคนที่ไม่ค่อยสนใจอะไร จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่หัวแข็งกว่าคนส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่เขาหัวแข็งอยู่ไกลไปในอนาคนที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นมันได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอื่นคิดว่าเขาไม่ค่อยแสดงความสนใจสิ่งรอบๆตัวของเขา


 


ส่วนดาบคลั่งนั้นต่างออกไป ดาบคลั่งไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับจุดหมายปลายทาง เขาสนใจกับประสบการณ์ระหว่างทางมากกว่า แต่ที่น่าตลกก็คือตัวเขาเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และสะดุดตาที่สุดบนเส้นทางที่เขาเดินทาง


 


2 บุคลิกและ 2 ชีวิตที่แตกต่าง มันไม่มีใครคนไหนที่ถูกหรือผิด พวกมันเป็นเพียงแค่การตัดสินใจของคนนั้นๆ ถ้าหานเซิ่นต้องการจะเรียนรู้จิตแห่งดาบพราวด์โบนของดาบคลั่ง เขาก็ต้องละทิ้งศรัทธาและเจตจำนงของตัวเองไป หานเซิ่นสามารถทำแบบนั้นได้ แต่เขาไม่ต้องการจะทำ


 


ถึงแม้มันจะมีความแตกต่างที่กว้างใหญ่ระหว่างพวกเขา หานเซิ่นก็ยังอยากจะได้รับบางสิ่งจากจิตแห่งดาบ แต่มันเป็นเรื่องยากกว่าสำหรับเขา เพราะคนอื่นๆสามารถยอมรับจิตแห่งดาบของดาบคลั่งได้


 


ครั้งวันผ่านไปและจิตแห่งดาบของราชวงศ์หลายคนก็เริ่มจะสะท้อนอักษร‘ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น’ ที่ถูกสลักเอาไว้ พวกเขาก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก


 


คนที่ก้าวหน้าที่สุดก็คือไป๋หลิงซวง จิตแห่งดาบของเธอเชื่อมต่อกับอักษรที่ถูกสลักเอาไว้ จิตแห่งดาบนั้นเข้าไปในร่างกายของเธอและพลังของมันก็นำความทะนงตัวออกมา


 


หานเซิ่นประหลาดใจ ไป๋หลิงซวงมีพรสวรรค์ แต่เธอไม่ใช่คนที่เก่งกาจที่สุดที่ขึ้นมาถึงยอดเขาได้ ที่เธอก้าวหน้ากว่าคนอื่นเป็นเพราะบุคลิกภาพของเธอเข้ากันได้ดีกับจิตแห่งดาบพราวด์โบน


 


‘ดูเหมือนว่าเราจะเสียเวลาเปล่า’ หานเซิ่นถอนหายใจ เขาไม่สามารถยอมรับจิตแห่งดาบพราวด์โบนได้


 


มันเป็นเหมือนกับการที่คนที่ขี้เกียจไม่สามารถเข้าใจคนที่ขยันได้ พวกเขาแตกต่างกันเกินไปถึงขนาดที่พวกเขาไม่มีวันเป็นเหมือนกันได้


 


ในที่สุดแล้วหานเซิ่นก็ล้มเลิกความคิดที่จะพยายามเรียนรู้จากจิตแห่งดาบพราวด์โบน ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งสักแค่นั้น มันไม่ก็เข้ากันกับลักษณะนิสัยของเขา


 


แต่หานเซิ่นต้องพาไป๋หลิงซวงกลับลงไป การรอคอยเธอเป็นอะไรที่น่าเบื่อ และเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างรวดเร็วขณะที่นั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ทำอะไร เขาเริ่มจะนั่งเล่นกับน้ำเต้าหยกและเรียกแฟรี่น้ำออกมา


 


หานเซิ่นตั้งใจจะให้แฟรี่น้ำนวดให้กับเขาเพื่อผ่อนคลายระหว่างรอไป๋หลิงซวง แต่เมื่อแฟรี่น้ำออกมาจากน้ำเต้า เธอก็มองตรงไปที่ตัวอักษร เธอยืนอยู่กับที่อย่างไร้ความเคลื่อนไหว


 


ในจังหวะที่หานเซิ่นสังเกตเห็นพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของแฟรี่น้ำ ร่างกายของแฟรี่น้ำก็เริ่มเปลี่ยนไป ของเหลวในร่างโปร่งใสของเธอหมุนวนอย่างช้าๆและเปลี่ยนไปในรูปแบบที่เกือบจะมองไม่เห็น


 


การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับรูปลักษณ์ภายนอกของแฟรี่น้ำนั้นเล็กน้อยมากๆ แต่เมื่อเขามองแฟรี่น้ำอีกครั้ง เธอดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แม้แต่พลังของเธอก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน


 


แต่เดิมแฟรี่น้ำดูอ่อนโยนราวกับน้ำ เธอจะฟังคำขอของคนอื่นโดยที่ไม่ลำบากใจเหมือนกับสาวใช้


 


แต่หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ แฟรี่น้ำก็ดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ร่างกายทั้งร่างของเธอเป็นเหมือนกับดาบที่คมและทรงพลัง


 


หานเซิ่นมองไปที่แฟรี่น้ำและคิดว่าพลังของเธอดูค่อนข้างคุ้นเคย


 


“ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเอง เขารู้สึกตัวว่าทำไมตอนนี้เธอถึงได้ดูคุ้นเคย มันเป็นเพราะพลังใหม่ของแฟรี่น้ำทำให้เขานึกถึงตัวอักษรที่ถูกสลักอยู่บนโขนหิน จิตแห่งดาบพราวด์โบนนั้นแผ่รัศมีออกมาจากตัวเธอ


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัย


 


ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ที่เขาค้นพบแฟรี่น้ำ หานเซิ่นยังไม่สามารถหาได้ว่าแฟรี่น้ำสามารถทำอะไรได้กันแน่ โดยปกติเขาใช้เธอเหมือนกับสายใช้คนหนึ่ง แต่ตอนนี้เธอดูเหมือนจะมีพลังที่อยู่เหนือจินตนาการของเขา


 


การเปลี่ยนแปลงของแฟรี่น้ำยังคงดำเนินต่อไป ยิ่งการเปลี่ยนแปลงของเธอมองออกยากเท่าไหร่ พลังของเธอก็เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นเท่านั้น และไม่นานหลังจากนั้นเมื่อหานเซิ่นมองไปที่แฟรี่น้ำอีกครั้ง เธอก็กลายเป็นบุคคลที่คู่ควรกับอักษรที่ว่า ‘ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น’ เธอดูเหมือนกับจิตแห่งดาบพราวด์โบนไม่มีผิด มันเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ


 


โชดดีที่หานเซิ่นนั่งอยู่ด้านหลังราชวงศ์คนอื่น และพวกเขาก็กำลังใช้สมาธิไปกับการเรียนรู้จิตแห่งดาบ ถ้าพวกเขาได้มาเห็นการเปลี่ยนแปลงของแฟรี่น้ำล่ะก็ พวกเขาก็คงจะตกตะลึง


 


จิตแห่งดาบเป็นบางสิ่งที่ไม่มีตัวตนและรู้สึกได้เท่านั้น มันไม่ได้เหมือนกับวิชาจีโนหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้


 


มันไม่สามารถแม้แต่จะวาดหรือถ่ายภาพ มันเป็นความรู้สึกที่ต้องรู้สึกจากภายใน มันไม่สามารถลอกเลียนได้ด้วยเครื่องมือไหนๆ


 


แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างแฟรี่น้ำทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เธอลอกเลียนอักษรที่ถูกสลักเอาไว้และเปลี่ยนเป็นตัวตนของจิตแห่งดาบพราวด์โบน ถ้ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนหนึ่งได้มาเห็นสิ่งที่เธอทำ พวกเขาก็จะมีปฏิกิริยาแบบเดียวกันกับหานเซิ่น


 


หลังจากนั้นอีกสักพักการเปลี่ยนแปลงของแฟรี่น้ำก็เสร็จสิ้น พลังและจิตแห่งดาบของเธอเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ มันกลายเป็นจิตแห่งดาบพราวด์โบน


 


“สมบูรณ์แบบ! สมบูรณ์แบบ!” หานเซิ่นรู้สึกชื่นชม แฟรี่น้ำลอกเลียนแบบพลังนั้นได้อย่างไร้ที่ติ หานเซิ่นไม่เคยได้ยินถึงการมีอยู่ของสมบัติที่ทำอะไรแบบนี้ได้มาก่อน


 


ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้น้ำเต้าหยกและแฟรี่น้ำมา จู่ๆแฟรี่น้ำก็ขยับเข้ามาหาเขา เธอวางมือลงบนอกของหานเซิ่นและร่างน้ำของเธอก็ผสานกับร่างกายของเขา


 


“นี่คืออะไร?” หานเซิ่นสงสัย แต่หลังจากนั้นจู่ๆก็มีจิตแห่งดาบไหลเข้ามาในร่างกายของเขา เขาจำได้ในทันทีว่ามันคือจิตแห่งดาบพราวด์โบน


 


หานเซิ่นรู้สึกตัวว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น แฟรี่น้ำไม่ใช่แค่ลอกเลียนจิตแห่งดาบเท่านั้น เธอยังมอบจิตแห่งดาบนั้นให้กับเจ้าของน้ำเต้าหยก


 


จิตแห่งดาบนั้นอาจจะไม่เข้ากันกับหานเซิ่น แต่ตอนนี้มันฝังลึกในจิตใจของเขา แทนที่จะเป็นจิตแห่งดาบที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ตอนนี้หานเซิ่นสามารถสัมผัสมันได้ในทุกมุมมอง มันไม่มีวิธีการเรียนรู้ที่ดีกว่าการมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง


 


การสัมผัสด้วยตัวเองเป็นอะไรที่ดีกว่าการศึกษาจากตำรา แฟรี่น้ำสามารถนำไอเดียที่เป็นนามธรรม และทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่เป็นจริงและสัมผัสได้


 


‘ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสมบัติของอัลฟ่าคนนั้นจะสุดยอดถึงขนาดนี้ มันเกือบจะเป็นอะไรที่ทรงพลังเกินไป’ หานเซิ่นคิดขณะที่ยิ้มกว้างออกมา

 

 

 


ตอนที่ 2386

 

แต่จิตแห่งดาบของหานเซิ่นนั้นแตกต่างออกไป แทนที่จะเป็นการเรียนรู้จิตแห่งดาบของดาบคลั่ง เขากลับลอกเลียนแบบจิตแห่งดาบพราวด์โบนมาตรงๆ


 


จิตแห่งดาบนั้นเข้าปกคลุมทั้งยอดเขา มันครอบงำราชวงศ์คนอื่นราวกับเป็นผ้าห่มและข่มจิตแห่งดาบของพวกเขาเอาไว้ แม้แต่จิตแห่งดาบขององค์ชายสี่และองค์หญิงสองที่เป็นระดับเทพเจ้าก็เริ่มสั่นคลอนภายใต้แรงกดดันจากจิตแห่งดาบของหานเซิ่น


 


จากจิตแห่งดาบทั้งหมดที่กำลังปล่อยออกมาบนยอดเขากระดูกเน่า มีเพียงแค่ของหานเซิ่นคนเดียวเท่านั้นที่กำลังเชื่อมต่อกับตัวอักษร‘ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น’ จิตแห่งดาบของหานเซิ่นและจิตแห่งดาบของอักษรที่สลักเอาไว้กำลังปะทะกันราวกับการต่อสู้กันของดาบโบราณ 2 เล่ม


 


“เป็นไปได้ยังไง…”  ใบหน้าของเหล่าราชวงศ์ซีดไป แม้แต่องค์ชายสี่และองค์หญิงสองก็ดูตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น พวกเขาหันไปมองหานเซิ่นที่อยู่ด้านหลังอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


ไป๋หลิงซวงเบิกตากว้างราวกับว่าเพิ่งจะเห็นผี


 


ไป๋เวยกัดริมฝีปากของเธอโดยไม่พูดอะไร อารมณ์ต่างวูบวาบอย่างรวดเร็วบนใบหน้าของเธอ


 


จิตแห่งดาบที่ออกมาจากร่างกายของหานเซิ่นนั้นกำลังต่อสู้กับจิตแห่งดาบที่ถูกสลักเอาไว้บนโขดหิน ซึ่งแม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้


 


เนื่องจากจิตแห่งดาบของหานเซิ่นระเบิดพลังออกมา จิตแห่งดาบของอักษรที่ถูกสลักเอาไว้ก็ระเบิดพลังออกมาเพื่อปะทะกับมันอย่างภาคภูมิ


 


จิตแห่งดาบของหานเซิ่นลอกเลียนจากอักษร‘ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น’ที่สลักเอาไว้ เนื่องจากพลังทั้ง 2 นั้นเหมือนกัน พวกมันจึงทำงานเหมือนกับแม่เหล็กที่ด้านเดียวกันจะผลักดันซึ่งกันและกัน


 


มันเหมือนกับว่าหานเซิ่นกำลังต่อสู้กับภาพสะท้อนของตัวเอง โชคดีที่ในกรณีนี้มันเป็นแค่การต่อสู้โดยใช้จิตแห่งดาบเท่านั้น มันจึงไม่ได้มีพลังทำลายล้างอะไร แต่ถึงอย่างนั้นกลุ่มของราชวงศ์ที่เกี่ยวข้องก็พบว่าจิตแห่งดาบของพวกเขาถูกข่มโดยจิตแห่งดาบทั้ง 2 คนที่อ่อนแอกว่าจำเป็นต้องป้องกันจิตแห่งดาบของตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงจากกการถูกบดขยี้


 


เลือดเริ่มไหลออกมาจากปากและจมูกของราชวงศ์ที่อ่อนแอ จนในที่สุดพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากลงภูเขาไป พวกเขาไม่อยากจะมายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของจิตแห่งดาบที่น่ากลัว


 


จิตแห่งดาบไม่ได้ทำร้ายร่างกายของพวกเขา แต่มันสามารถทำลายจิตใจของพวกเขาได้ ซึ่งถ้าจิตใจของพวกเขาถูกทำลาย มันก็จะส่งผลเสียต่อการฝึกฝนในอนาคตของพวกเขา


 


จิตแห่งดาบทั้ง 2 เข้าครอบงำยอดภูเขากระดูกเน่า ท่ามกลางความโกลาหลนั้นมีเพียงหานเซิ่นที่ได้รับผลประโยชน์


 


ไม่สำคัญว่าจิตแห่งดาบนี้จะไม่เข้ากับลักษณะนิสัยของเขามากขนาดไหน แต่ตอนนี้ร่างกายของเขากำลังใช้จิตแห่งดาบพราวด์โบนอยู่ ขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป เขาก็ได้เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ


 


‘แฟรี่น้ำจะลอกเลี่ยนแบบจิตใจของสิ่งมีชีวิตได้ไหมนะ? ถ้าเธอทำได้ เราก็จะเรียนรู้วิชาจีโนไหนก็ได้ ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือเรียนรู้พื้นฐานของวิชาและหายอดฝีมือที่เชี่ยวชาญในวิชาจีโนนั้นๆ หลังจากนั้นเราก็จะขอให้แฟรี่น้ำลอกเลียนจิตใจของพวกเขาและส่งมันเข้ามาในร่างกายของเราเพื่อฝึกฝน ถ้านั่นได้ผล มันก็จะกลายเป็นสิ่งที่เราต้องการ ไม่สิ…มันควรจะกลายเป็นอะไรที่มากกว่าสิ่งที่เราต้องการเป็นสิบๆเท่า’ หานเซิ่นรู้สึกมีความสุขขณะที่คำนึงถึงความเป็นไปได้ของมัน


 


แต่ในขณะที่หานเซิ่นกำลังคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในอนาตต จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงแตกร้าวของบางสิ่ง บางทีการต่อสู้ระหว่างจิตแห่งดาบอาจจะรุนแรงเกินไป ทำให้โขดหินเริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้นมา


 


รอยร้าวค่อยๆขยายไปเรื่อยๆทั้ง 2 ข้างของโขดหิน มันเหมือนกับว่าโขดหินถูกฟ้าฝ่า รอยร้าวขยายออกไปจนกระทั่งมันหักครึ่ง มันตัดผ่านตัวอักษร ‘ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น’ไป


 


โขดหินถูกหักครึ่ง ทั้งตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้และจิตแห่งดาบที่สิงอยู่นั้นหายไป เพราะยังไงซะจิตแห่งดาบก็อยู่ที่นี่เพราะตัวอักษรที่สลักเอาไว้บนโขดหิน เมื่อตัวอักษรหายไป จิตแห่งดาบก็จะหายไปด้วยเช่นกัน


 


ตูม!


 


เมื่อโขดหินถูกตัดเปิดออก ดาบแสงก็พุ่งออกมา มันตัดผ่านมิติที่บิดเบือนของภูเขากระดูกเน่าและทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้าราวกับมีดที่ฉีกผ่านกระดาษ


 


“ดาบลมปราณพราวด์โบน!” ราชวงศ์ที่อยู่บนยอดเขามองขึ้นไปบนฟ้าขณะที่อ้าปากค้าง


 


เอ็กซ์ตรีมคิงทุกคนกำลังมองไปที่ภูเขากระดูกเน่า พวกเขารอคอยให้ผู้เข้าสอบลงมาจากภูเขาอีกครั้ง แต่ก่อนที่ผู้เข้าสอบจะกลับลงมาได้ ดาบแสงก็พุ่งขึ้นมาจากยอดเขาและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มันเป็นภาพที่น่าตกตะลึง และพวกเขาไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


“ดาบลมปราณพราวด์โบน!” สีหน้าของราชาไป๋เปลี่ยนไป เขาสะบัดมือและพลังที่ล้นหลามก็หลั่งไหลออกมาจากเขาและเปลี่ยนเป็นรูปร่างของมือขนาดใหญ่เหนือจินตนาการ มันเกือบจะใหญ่โตพอที่จะเป็นโล่ให้กับทั้งระบบจักรวาล มันฟาดเข้าไปทางของดาบแสงนั้น


 


เนื่องจากดาบแสงทะลุผ่านมิติที่บิดเบือนของภูเขากระดูกเน่าออก คนที่อยู่ข้างในจึงสามารถมองออกมาข้างนอกและคนที่อยู่ข้างนอกจึงสามารถมองเข้าไปข้างในได้ หานเซิ่นเห็นมือขนาดใหญ่กำลังลงมาทางเขา ดวงดาวนั้นไม่ได้ใหญ่ไปกว่าฝุ่นละอองเมื่อเทียบกับมือนั้น มันเหมือนกับว่ามือนั้นสามารถบดขยี้ดวงดาวได้ด้วยตัวมันเอง


 


ดาบแสงยังคงทะยานขึ้นและตรงเข้าไปหามือขนาดใหญ่มหึมานั้น มันไม่ได้เปลี่ยนทิศทางหรือแสดงท่าทีที่จะถอยหนี


 


เมื่อดาบแสงถูกเข้ากับฝ่ามือ มือก็กำมันเอาไว้แน่น พลังของมือนั้นน่าสะพรึงกลัวและน่าเกรงขามที่จะได้เห็น ดาบแสงพยายามจะฝ่าออกไป แต่มันไม่สามารถเคลื่อนตัวไปไหนได้อีก


 


ปัง!


 


มือขนาดใหญ่บีบตัวและดาบแสงก็ระเบิดเหมือนกับดอกไม้ไฟ มันแตกกระจายกลายเป็นแสงที่เหมือนกับฝนดาวตกไปทั่วท้องฟ้าของอาณาจักรกษัตริย์


 


หานเซิ่นมองดูฝนดาบแสงตกลงมาและสังเกตเห็นว่ามันตกลงมาทุกหนทุกแห่ง เมื่อดาบแสงตกถึงพื้น พวกมันก็ไม่ได้มีพลังทำลายล้างอะไร ดาบแสงแตกกระจายไม่ว่าพวกเขาจะสัมผัสกับอะไรก็ตาม มันเป็นเหตุการณ์ที่เหมือนกับความฝัน


 


ดาบแสงแตกกระจายเมื่อพวกมันสัมผัสกับร่างกายของคนเช่นกัน หานเซิ่นยื่นมือออกไปเพื่อรับดาบแสงเอาไว้ แต่เมื่อเขาสัมผัสมัน มันก็แตกสลายกลายเป็นผุยผงและไม่เหลืออะไรเอาไว้เบื้องหลัง


 


ราชาไป๋ลดมือลงและขมวดคิ้ว เขามองไปที่ฝนดาบแสงที่ตกลงมา ขณะที่อารมณ์ของเขาถูกซ่อนภายใต้หน้ากากของความสงบนิ่ง


 


ฝนดาบแสงตกลงมาทั่วทั้งอาณาจักรกษัตริย์ยาวนานกว่า 7 วัน หลังจากที่หานเซิ่นและคนอื่นๆกลับลงมาจากภูเขา พวกเขาก็ถูกถามว่าเกิดอะไรขึ้น


 


เหล่าองค์ชายและองค์หญิงอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หานเซิ่นเองก็เช่นกัน แต่เขาบอกแค่ว่าเขาเข้าใจจิตแห่งดาบพราวด์โบนบางส่วน เขาไม่ต้องการจะอธิบายเกี่ยวกับการต่อสู้ของเขากับจิตแห่งดาบของตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้บนโขดหิน เขาบอกแค่ว่าจู่ๆโขดหินก็ระเบิดและมีดาบแสงพุ่งออกมาแค่นั้น เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับน้ำเต้าหยกหรือแฟรี่น้ำ


 


ถึงแม้จะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น หลายคนก็ไม่เชื่อว่าหานเซิ่นจะฝึกจิตแห่งดาบได้ถึงระดับนั้น


 


เมื่อถูกถาม หานเซิ่นก็เปิดใช้งานจิตแห่งดาบพราวด์โบนของเขา แม้แต่ราชาไป๋ก็ตกใจเมื่อได้เห็นมัน


 


หานเซิ่นไม่เข้าใจว่าดาบแสงนั้นคืออะไร ซึ่งราชาไป๋ก็ไม่ได้บอกอะไร เขาแค่บอกให้หานเซิ่นกลับไปได้


 


ตอนนี้ไป๋อี้มีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าเดิม เขาสามารถเรียนรู้จิตแห่งดาบพราวด์โบนถึงระดับสุดยอดในเวลาอันสั้น ทุกคนในอาณาจักรกษัตริย์ต่างก็รู้จักชื่อของไป๋อี้ และพวกเขาก็รู้ว่าไป๋อี้เป็นอัจฉริยะ


 


แต่หานเซิ่นรำคาญกับความจริงที่ว่าเขาทำได้แค่ยืมพลังจากน้ำเต้าหยกเท่านั้น เขาสามารถใช้จิตแห่งดาบพราวด์โบนได้ก็ต่อเมื่อแฟรี่น้ำเข้าสิงเขา ถ้าแฟรี่น้ำไม่ได้ผสานตัวเข้ากับเขา จิตแห่งดาบก็จะกลับสู่ระดับปกติ


 


ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะทีเดียว การได้สัมผัสกับจิตแห่งดาบที่ทรงพลังอย่างนั้นสามารถช่วยในการพัฒนาได้


 


ฝนดาบแสงยังคงตกลงมา ดังนั้นการสอบจึงต้องหยุดไปชั่วคราว เพราะอย่างนั้นหานเซิ่นจึงเดินทางกลับไปที่ดาววอเทอร์โซน

 

 

 


ตอนที่ 2387

 

หานเซิ่นเรียกไซเรนเวอร์จิ้นออกมาเพื่อที่เธอจะได้เห็นฝนดาบแสง เขายังบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องที่ดาบแสงปรากฏขึ้นจากบนยอดภูเขากระดูกเน่า แต่หานเซิ่นไม่ได้เผยความจริงที่ว่าตัวเองคือคนที่ทำลายโขดหินบนยอดเขา


 


เมื่อไซเรนเวอร์จิ้นได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอก็ดูตกใจ เธอหันไปมองฝนดาบแสงอย่างเงียบๆ


 


“รู้ไหมว่าดาบแสงนี้คืออะไร?” หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว ไซเรนเวอร์จิ้นนั้นเงียบอยู่เป็นนาที


 


หลังจากนั้นเธอก็หันกลับมามองเขาและพูด “ดาบคลั่ง มันเป็นเวลานานที่แค่จะพูดชื่อของเขาก็ถือเป็นเรื่องต้องห้ามในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิง เขาไม่ใช่หนึ่งในขุนนางของเอ็กซ์ตรีมคิง และเขาก็ไม่มีร่างกายแห่งราชันอีกด้วย แต่วิชาดาบของเขาเหนือคำว่าอัจฉริยะ เขาเป็นแค่นักดาบธรรมดาคนหนึ่ง แต่แล้วเขาก็กลายเป็นระดับเทพเจ้าได้สำเร็จ เขาเอาชนะยอดฝีมือของเอ็กซ์ตรีมคิงนับไม่ถ้วน”


 


“ข้ารู้เรื่องนั้น” หานเซิ่นพูด


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยสงสัยไหมว่าทำไมยอดฝีมือที่น่ากลัวขนาดนั้นถึงไม่มีชื่อเสียงโด่งดังภายนอกเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง” ไซเรนเวอร์จิ้นถาม


 


“ข้าเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นแล้ว ข้าคิดว่ามันเป็นอะไรที่แปลก มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ข้าคิดว่ามันคงเป็นเพราะเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงกักขังเขาเอาไว้ที่นี่ และเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกเขตแดนของเอ็กซ์ตรีมคิง” หานเซิ่นพูด


 


ไซเรนเวอร์จิ้นส่ายหัว “เจ้าเดาถูกแค่ครึ่งเดียว ชายที่ชื่อดาบคลั่งไม่เคยออกจากเขตแดนของเอ็กซ์ตรีมคิงจริงๆ แต่จริงๆแล้วเขามีชื่อเสียงในหมู่เผ่าพันธุ์อื่นๆ เพียงแค่เผ่าพันธุ์อื่นๆรู้จักเขาในอีกชื่อหนึ่ง”


 


“หมายความว่าดาบคลั่งใช้นามแฝงอย่างนั้นหรอ? ทำไมเขาถึงได้ทำอะไรแบบนั้น?” หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


ไซเรนเวอร์จิ้นส่ายหัว “ข้าไม่รู้ ข้าเคยสืบข้อมูลของดาบคลั่ง แต่ข้ารู้แค่ว่าเขาทำบางสิ่งที่ทำให้คนของเอ็กซ์ตรีมคิงเกลียดชังเขาเท่านั้น หลายคนในเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ชอบเขาเป็นอย่างมาก”


 


หลังจากนั้นไซเรนเวอร์จิ้นก็มองไปที่ฝนดาบแสงราวกับว่าเธอมองออกไปในทะเล เธอพูดขึ้นมา “ถ้าข้อมูลที่ข้าได้มาถูกต้องล่ะก็ มันก็เป็นไปได้ที่ดาบคลั่งจะยังไม่ตายโดยสมบูรณ์ ฝนดาบแสงนี้อาจจะบ่งบอกถึงการเกิดใหม่ของเขา”


 


“จะบอกว่าดาบคลั่งถูกขังอยู่ในโขดหิน‘ความภาคภูมิใจและกระดูกถูกสร้างขึ้น’อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“มันคงจะเป็นแค่จิตของเขาเท่านั้น ข้าเดาว่าราชาไป๋คงจะกำลังปวดหัวกับเรื่องนี้ ถ้าเขาเกิดใหม่จริงๆ เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงก็จะตกลงสู่ความโกลาหล แต่นั่นถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา ยิ่งเอ็กซ์ตรีมคิงสับสนวุ่นวายมากเท่าไหร่ เจ้ากับข้าก็จะกอบโกยผลประโยชน์ได้มากเท่านั้น” ไซเรนเวอร์จิ้นพูดและจบด้วยการหัวเราะ


 


“ถ้าดาบคลั่งทิ้งไว้เพียงแค่จิตของเขา อย่างนั้นเขาก็อาจจะตัดสินใจหนีออกไปจากที่นี่ นั่นจะไม่สั่นคลอนสังคมของเอ็กซ์ตรีมคิงอะไรมากนัก?” หานเซิ่นพูด เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ไซเรนเวอร์จิ้นพูด


 


ไซเรนเวอร์จิ้นส่ายหัวของนาง “ทำไมเขาต้องหนีด้วย? ในตอนนี้ทั้งดินแดนของเอ็กซ์ตรีมคิงเต็มไปด้วยดาบแสง ทั้งหมดที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือเข้าสิงสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่อยู่ที่นี่ การจะหาตัวของเขานั้นคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องหนี”


 


หลังจากที่ได้ยินไซเรนเวอร์จิ้นพูดอย่างนี้ หานเซิ่นก็สะดุ้งเล็กน้อย หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ถาม “อย่างนั้นดาบคลั่งต้องการจะเลือกข้าไหม?”


 


“มันมีผู้คนมากมายในเอ็กซ์ตรีมคิง ดาบคลั่งไม่จำเป็นต้องสิงคนที่มีพรสวรรค์ ดังนั้นมันไม่มีเหตุผลที่เขาต้องเลือกองค์ชายคนหนึ่ง เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ไซเรนเวอร์จิ้นพูด


 


ถึงเธอจะพูดแบบนั้น แต่หานเซิ่นก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย มันทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมา


 


โชดดีที่ในตอนที่ฝนดาบแสงหยุด มันไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นบนดาววอเทอร์โซน แต่ทว่าหานเซิ่นหวาดระแวงตลอดช่วงเวลาที่ฝนดาบแสงตกลงมา


 


เนื่องจากฝนดาบแสง การสอบรอบต่อไปจึงถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด และถึงฝนดาบแสงจะหยุดลงแล้ว การสอบก็ยังคงไม่ถูกจัดขึ้นอีกครั้ง


 


บรรยากาศของทั้งอาณาจักรกษัตริย์เป็นไปอย่างตึงเครียด ทั้งดินแดนถูกล็อคดาวน์และแม้แต่ดาววอเทอร์โซนของหานเซิ่นก็มีคนของหลายหน่วยงานลงมาสืบสวน


 


ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้บอกว่ามาสืบหาอะไร แต่หานเซิ่นคาดเดาได้ว่าพวกเขาคงจะกำลังค้นหาจิตของดาบคลั่ง


 


‘เป็นบุคคลที่น่ากลัวจริงๆ แค่เขาทิ้งจิตเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นการปรากฏตัวของมันก็ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดนี้ เราคงจะตายอย่างมีความสุขถ้าเรามีอิทธิพลถึงขนาดนั้น’ หานเซิ่นถอนหายใจหลังจากที่ส่งเจ้าหน้าที่ที่มากลับ


 


หานเซิ่นไม่ได้เดินทางออกไปไหน เขาใช้เวลาไปกับการฝึกศาสตร์ตงเสวียน เขาต้องการจะพัฒนามันไปสู่ระดับราชันให้เร็วที่สุด


 


ถึงแม้วิชากายหยกและโลหิตชีพจรจะเป็นอะไรที่ง่ายกว่า แต่หานเซิ่นก็ยังอยากจะเพิ่มระดับของศาสตร์ตงเสวียนก่อนเป็นอันดับแรก หานเซิ่นสัมผัสได้ว่าหายนะกำลังเข้ามาใกล้และศาสตร์ตงเสวียนเป็นวิชาที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด มันเป็นบางสิ่งที่เขาสามารถพึ่งพาได้


 


พลังของศาสตร์ตงเสวียนไม่สามารถหาอะไรมาแทนที่ได้ ในการต่อสู้จริงๆหานเซิ่นสามารถต่อสู้โดยปราศจากวิชากายหยกและโลหิตชีพจร แม้แต่เรื่องราวของยีนก็เช่นกัน การทำแบบนั้นจะไม่ส่งผลต่อความสามารถในการต่อสู้ของหานเซิ่นอะไรมากนัก


 


แต่ถ้าไม่ใช้ศาสตร์ตงเสวียน ความสามารถในการต่อสู้ของหานเซิ่นก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัด


 


วิชาจีโนทั้ง 3 เป็นวิชาที่แข็งแกร่งเช่นกัน แต่ศาสตร์ตงเสวียนเข้ากันได้ดีที่สุดกับคนอย่างหานเซิ่น มันเข้าคู่กับลักษณะนิสัยของเขา นั่นเป็นเหตุผลหลักที่หานเซิ่นมักจะพึ่งพาศาสตร์ตงเสวียนเมื่อเผชิญกับวิกฤต มันเป็นสิ่งที่เขาวางใจที่สุด


 


เมื่อวิกฤตการณ์กำลังจะมาถึงและยังมีสัญญาที่จะไปช่วยหนิงเยวี่ยอีก เขาจำเป็นต้องมีพลังมากกว่านี้ ซึ่งหนทางที่ดีที่สุดก็คือการพัฒนาศาสตร์ตงเสวียนสู่ระดับราชัน


 


หานเซิ่นฝึกฝนอยู่ตลอดทั้งเดือนโดยที่เขาใช้ศาสตร์ตงเสวียนอยู่ตลอดเวลา ร่างกายของเขารู้สึกเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักร


 


ใช่แล้ว มันเป็นเครื่องจักร


 


จากมุมมองของหานเซิ่น ศาสตร์ตงเสวียนทำให้ทั้งจักรวาลเป็นเหมือนกับเครื่องจักรขนาดใหญ่เครื่องหนึ่ง หญ้า ป่า หิน น้ำ แมลง ปลา ทุกอย่างนั้นล้วนแต่เป็นเฟืองของเครื่องจักรนี้


 


แต่ละฟันเฟืองมีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป แต่พวกมันทั้งหมดเข้ากันได้อย่างพอดิบพอดี พวกมันทั้งหมดเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน เมื่อฟันเฟืองหนึ่งหมุน ฟันเฟืองใหม่ก็จะหมุนฟันเฟืองถัดไปอีก มันจะเป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ


 


หานเซิ่นเป็นแค่ชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งท่ามกลางเครื่องจักรที่กว้างใหญ่ แต่ทว่าด้วยพลังของศาสตร์ตงเสวียน หานเซิ่นมีมุมมองของฟันเฟืองของจักรวาลที่กว้างขึ้นและเห็นว่าฟันเฟืองแต่ละอันเชื่อมต่อกันยังไง


 


การใช้ศาสตร์ตงเสวียนเป็นอะไรที่รู้สึกมหัศจรรย์ วัตถุ 2 อย่างในโลกจริงนั้นอาจจะไม่มีการเชื่อมต่ออะไรให้เห็น แต่หานเซิ่นเห็นพลังงานที่ถ่ายโอนระหว่างพวกมัน อย่างเดียวที่หานเซิ่นไม่รู้ก็คือจะส่งผลต่อการเชื่อมต่อของพวกมันได้ยังไง


 


หานเซิ่นเข้าใจว่าถ้าต้องการจะเปลี่ยนแปลงการถ่ายทอดพลังงานของฟันเฟือง เขาจำเป็นต้องมีพลังของอาณาเขตแห่งราชัน


 


ทุกอาณาเขตแห่งราชันจะส่งผลต่อการหมุนของฟันเฟือง อาณาเขตแห่งราชันหนึ่งสามารถทำให้พวกมันหมุนเร็วขึ้น ช้าลงหรือแม้แต่หมุนกลับได้ ทุกฟันเฟืองที่อยู่ใกล้เคียงจะได้รับผลนั้นไปด้วยและสร้างอาณาเขตพิเศษขึ้นมา


 


หานเซิ่นพยายามจะควบคุมฟันเฟืองของตัวเองและเปลี่ยนวิธีการหมุนของมัน แต่เขาไม่สามารถทำได้ เขาไม่สามารถส่งผลต่อกลไกที่ควบคุมทั้งจักรวาลและสร้างอาณาเขตแห่งราชันใหม่ขึ้นมา 

 

 


ตอนที่ 2388

 

หานเซิ่นใช้ศาสตร์ตงเสวียนอย่างเต็มที่ เขาใช้พลังงานทั้งหมดเพื่อผลักดันฟันเฟืองให้หมุนและเลื่อนไปสู่ระดับราชัน


 


ดยุกหลายคนที่อ่อนแอกว่าหานเซิ่นสามารถเลื่อนไปสู่ระดับราชันได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร ความแข็งแกร่งทางร่างกายและพลังของหานเซิ่นทำให้เขาสามารถต่อสู้กับยอดฝีมือระดับราชันส่วนใหญ่ได้สบายๆ แต่เมื่อหานเซิ่นใช้ศาสตร์ตงเสวียน ฟันเฟืองจักรวาลของเขาไม่ยอมหมุน


 


หานเซิ่นพยายามคิดหาเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น อาณาเขตแห่งราชันจำเป็นต้องหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเองภายในเครื่องจักรจักรวาล


 


ตามทฤษฎีแล้วถ้าเขาแข็งแกร่งพอ เขาก็ควรจะหมุนฟันเฟืองของตัวเองได้เพื่อที่มันจะส่งผลต่อฟันเฟืองอื่นที่เชื่อมต่อกันอยู่


 


หานเซิ่นแข็งแกร่ง เขาน่าจะเป็นดยุกที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ดังนั้นมันอาจจะเป็นเพราะฟันเฟืองจักรวาลของเขาใหญ่กว่าของคนอื่น


 


ดยุกคนอื่นอาจจะมีฟันเฟืองที่เชื่อมต่อกับฟันเฟืองอื่นแค่ 1 หรือ 2 อัน แต่ฟันเฟืองจักรวาลของหานเซิ่นอาจจะเชื่อมต่อกับฟันเฟืองนับร้อยนับพัน ซึ่งยิ่งเขาเชื่อมต่อกับฟันเฟืองมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเองได้ยากขึ้นเท่านั้น


 


เห็นได้ชัดว่าพลังของหานเซิ่นไม่เพียงพอที่จะหมุนฟันเฟืองทั้งหมดพร้อมๆกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายังเลื่อนสู่ระดับราชันไม่ได้


 


หานเซิ่นล้มเลิกความคิดที่จะพัฒนาศาสตร์ตงเสวียนและหันไปฝึกวิชากายหยกแทน แต่ไม่นานเขาก็สังเกตได้ว่าฟันเฟืองจักรวาลของกายหยกนั้นใหญ่เกินไปเช่นเดียวกัน มันเชื่อมต่อกับฟันเฟืองอื่นมากเกินไป ดังนั้นการจะพัฒนาวิชากายหยกสู่ระดับราชันจึงเป็นอะไรที่ยากเช่นเดียวกันกับศาสตร์ตงเสวียน แต่ทว่าที่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือเรื่องที่ศาสตร์ตงเสวียนนั้นสามารถเห็นฟันเฟืองจักรวาลได้ แต่เมื่อหานเซิ่นใช้วิชากายหยก ฟันเฟืองนั้นดูเบลอๆและไม่ชัดเจน ซึ่งทำให้มันเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดิมที่จะหมุนฟันเฟือง


 


‘ดูเหมือนว่าศาสตร์ตงเสวียนมีโอกาสสูงกว่าที่จะทำให้ฟันเฟืองจักรวาลของเราหมุน เมื่อเราฝึกศาสตร์ตงเสวียนไปสู่ระดับราชันได้แล้ว มันจะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นสำหรับวิชากายหยก แต่เราจะทำให้ฟันเฟืองของศาสตร์ตงเสวียนหมุนได้ยังไง?’ หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่เป็นเวลานาน แต่เขาก็ไม่มีความคิดดีๆเลย มันดูเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


 


การแข็งแกร่งเกินไปกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมา เนื่องจากร่างกายของเขาเชื่อมโยงกับวิชาจีโนถึง 4 ตัว การที่วิชาจีโนแค่ตัวเดียวเลื่อนสู่ระดับราชันจึงไม่เพียงพอที่จะทำให้ฟันเฟืองจักรวาลของเขาหมุน


 


หานเซิ่นมีแค่ร่างกายเดียว ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะใช้วิชาจีโนทั้ง 4 ตัวเพื่อเพิ่มระดับของพวกมันพร้อมๆกัน มันเป็นความคิดที่น่ากลัวที่เพียงแค่ความขัดแย้งของพลังและโลหิตชีพจรก็เพียงพอที่จะทำลายร่างกายของเขา


 


“โชดดีที่เรามีวิชาจีโนแค่ 4 ตัว ถ้ามีมากกว่านี้ เราก็คงจะไม่มีวันเลื่อนขั้นสู่ระดับราชันได้” หานเซิ่นพยายามปลอบตัวเอง


 


‘การใช้พลังของตัวเองเพียงอย่างเดียวคงจะไม่มีวันได้ผล เราจำเป็นต้องพึ่งพลังจากภายนอก แต่ถ้าเราพยายามจะเลื่อนสู่ระดับราชันโดยใช้พลังจากภายนอก ความผิดพลาดเพียงแค่นิดเดียวก็อาจจะทำให้บางสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าการล้มเหลวเกิดขึ้น ร่างกายทั้งร่างของเราอาจจะถูกทำลาย’ หานเซิ่นคิด


 


‘เราต้องหาแหล่งพลังงานที่เสถียรและรุนแรง เราอาจะต้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคนที่เป็นระดับเทพเจ้า แต่ยอดฝีมือเทพเจ้าคนไหนที่จะยอมมาช่วยเหลือเรา? และใครกันที่เราจะเชื่อใจได้?’ หานเซิ่นสงสัย เขาไม่สามารถหายอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่เชื่อใจได้


 


จากสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าทั้งหมดที่รู้จัก หานเซิ่นเชื่อใจนกแดงน้อยที่สุด แต่พลังของนกแดงน้อยนั้นไม่แน่นอน ความสามารถในการควบคุมพลังของมันยังไม่ดีพอ มันไม่สามารถสิ่งที่ละเอียดอ่อนแบบนั้นได้


 


จากยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่ควบคุมพลังของตัวเองได้ดีพอ หานเซิ่นคิดว่าอี๋ซาเป็นคนที่เขาไว้ใจได้มากที่สุด มันเป็นชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขา เมื่อเขาพยายามคิดเกี่ยวกับคนที่สามารถเชื่อใจได้มากที่สุด


 


แต่จริงๆแล้วอี๋ซาเป็นศัตรูของเขา หานเซิ่นสับสนเล็กน้อยเมื่อถึงความจริงข้อนั้นขึ้นมาได้


 


แต่ความจริงที่น่าเสียใจที่สุดก็คือหานเซิ่นไม่สามารถคิดหายอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนอื่นที่จะพึ่งพาไปได้มากกว่าอี๋ซา


 


‘น่าเสียดายที่อี๋ซายังคงอยู่ในแนร์โรว์มูน ตราบใดที่เราไม่ออกไปจากอาณาจักรของกษัตริย์ เธอก็ช่วยเหลือเราไม่ได้’ หานเซิ่นคิดด้วยรอยยิ้มแห้งๆ


 


“ถ้าเราขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้ อย่างนั้นเราก็อาจจะต้องขอยืมพลังของใครสักคน นั่นดูจะเป็นหนทางเดียว” ดวงตาของหานเซิ่นสั่นไหวด้วยความไม่มั่นใจ


 


หานเซิ่นเชี่ยวชาญการใช้คลื่นหยินหยางและเทคนิคที่คล้ายคลึงกัน ถ้าเขาสามารถยืมพลังที่รุนแรงและเสถียรมาได้ บางทีเขาอาจจะหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเองได้


 


แต่การทำแบบนั้นเป็นเหมือนกับการเต้นระบำบนขอบมีด หานเซิ่นจะทำลายตัวเองถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา


 


หานเซิ่นจำเป็นต้องใช้พลังที่เหนือกว่าของตัวเองเพื่อหมุนฟันเฟืองจักรวาล เขาจำเป็นต้องควบคุมพลังที่ไม่ใช่ของตัวเองให้สมบูรณ์แบบที่สุด ความผิดพลาดเพียงแค่นิดเดียวอาจจะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่


 


“เป็นอะไรที่น่าปวดหัวจริงๆ!” ไม่ว่าจะครุ่นคิดสักแค่ไหน หานเซิ่นก็ไม่สามารถหาหนทางแก้ไขปัญหาในตอนนี้ได้


 


“องค์ชาย องค์หญิงสิบต้องการจะพบกับองค์ชาย” เสียงของลิลลี่ดังมาจากนอกประตู


 


‘ทำไมเธอถึงมาที่นี่?’ หานเซิ่นขมวดคิ้ว เนื่องจากทางเอ็กซ์ตรีมคิงยังทำการค้นหาร่องรอยของดาบคลั่งบนดวงดาวต่างๆ หานเซิ่นจึงยังไม่ได้ไปรับยีนซีโน่เจเนอิคระดับราชันอีก 50 ยีนกับไป๋หลิงซวง มันไม่มีเหตุผลที่หานเซิ่นต้องดึงความสนใจของคนอื่นและเผยความจริงถึงข้อตกลงระหว่างพวกเขา แต่หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะมาหาเขาด้วยตัวเอง


 


เมื่อหานเซิ่นเข้าไปในห้องรับแขก เขาก็เห็นไป๋หลิงซวงกำลังนั่งดื่มชาอยู่ก่อนแล้ว เธอดูผ่อนคลายมากๆ


 


“พี่สิบ ทำไมท่านถึงได้อุส่าเสียเวลามาถึงที่นี่?” หานเซิ่นถามอย่างเป็นกันเองขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้ถัดไปจากเธอ


 


“เนื่องจากเจ้ารักษาสัญญาที่ให้ไว้ ข้าจึงนำสิ่งของมาให้กับเจ้าตามที่พวกเราตกลงกัน” ไป๋หลิงซวงยกมือขึ้นและสาวใช้ 2 คนด้านหลังของเธอก็มอบกล่องขนาดใหญ่กล่องหนึ่งให้กับหานเซิ่น


 


“เจ้าลองนับพวกมันดูได้ มันคือยีนซีโน่เจเนอิค 50 ยีนไม่ขาดไม่เกิน” ไป๋หลิงซวงพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“พี่สิบควรจะบอกข้า แบบนั้นข้าจะได้ไปรับพวกมันด้วยตัวเอง และท่านจะได้ไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่” หานเซิ่นหัวเราะและเปิดกล่องดู เขานับยีนซีโน่เจเนอิคที่อยู่ข้างในอย่างละโมบ


 


“ข้ามาที่นี่ก็เพราะข้ามีข้อเสนออีกอย่างหนึ่ง” ไป๋หลิงซวงโบกมือเพื่อบอกให้สาวใช้ของเธอออกไป


 


เมื่อเห็นแบบนั้น หานเซิ่นก็หันไปหาลิลลี่เพื่อบอกให้เธอออกไปเช่นกัน ห้องโถงโล่งขึ้นมาและมีเพียงแค่พวกเขา 2 คนที่ยังคงนั่งอยู่ในห้อง


 


“ข้ามีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ยืนยันว่าการสอบของปีนี้จะไม่ดำเนินต่อไป พวกเขาจะใช้อันดับในการปีนภูเขากระดูกเน่าเป็นตัวตัดสิน น้องสิบหก เจ้าอาจจะได้รับอันดับที่หนึ่ง นอกเหนือจากสมบัติซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าแล้ว เจ้ายังจะได้รับสิทธิในการเข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตาหนึ่งครั้ง เจ้ามีแผนที่จะขายบัตรผ่านเข้าหอคอยแห่งโชคชะตาไหม?” ไป๋หลิงซวงถาม ดวงตาที่สวยงามของเธอมองตรงไปที่หานเซิ่น


 


“ที่พูดมาเป็นความจริงอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยความดีใจ การได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตาถือเป็นอะไรที่เยี่ยมที่สุด 

 

 


ตอนที่ 2389

 

2 วันต่อมา ทางเอ็กซ์ตรีมคิงก็ส่งคนมาที่ปราสาทเพื่อมอบรางวัลให้กับหานเซิ่น แต่รางวัลนั้นต่างไปจากที่ไป๋หลิงซวงคาดเดาเล็กน้อย


 


หานเซิ่นได้รับบัตรผ่านที่อนุญาตให้เข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตาได้ แต่เขาไม่ได้รับสมบัติระดับเทพเจ้าที่ไป๋หลิงซวงพูดถึง


 


หลังจากที่หานเซิ่นคำนึงดูดีๆแล้ว เขาก็คิดว่าบางทีราชาไป๋อาจจะยังสงสัยในตัวของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับสมบัติระดับเทพเจ้าที่ปกติแล้วจะมอบให้กับใครก็ตามที่ได้รับอันดับที่หนึ่ง


 


‘การได้รับอนุญาตให้เข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตาถือเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยม ในหอคอยแห่งโชคชะตานั้นจะเหมือนหรือแตกต่างไปจากหอคอยแห่งโชคชะตาของเรากันนะ’ หานเซิ่นรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับหอคอยแห่งโชคชะตาของเอ็กซ์ตรีมคิง


 


หลังจากที่เจ้าหน้าที่ส่งของกลับไปแล้ว หานเซิ่นก็ออกเดินทางไปที่หอคอยแห่งโชคชะตาในทันที ส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้เร่งรีบอะไร แต่เขากลัวว่าราชินีจิ้งจอกอาจจะรู้ว่าเขาได้รับบัตรผ่านมา เมื่อเธอรู้ในเรื่องนั้น เธอก็ต้องมาหาเขาเพื่อขอให้เขาขโมยบางสิ่งออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตาอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไป


 


หลังจากที่ไปถึงหอคอยแห่งโชคชะตา หานเซิ่นก็เข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตา อย่างหนึ่งคือทางเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ต้องการให้ใครหลายคนรู้ถึงความลับของหอคอยแห่งโชคชะตา แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือการจะเปิดหอคอยแห่งโชคชะตาจำเป็นต้องใช้พลังของยอดฝีมือระดับเทพเจ้าถึง 4 คน ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าทั้ง 4 ต้องร่วมมือกันเพื่อเปิดประตูให้คนๆหนึ่งผ่านเข้าไปได้


 


ทุกครั้งที่หอคอยแห่งโชคชะตาถูกเปิด ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าทั้ง 4 จะเหนื่อยล้าอย่างมาก และพวกเขาก็ต้องใช้เวลา 2 ถึง 3 เดือนเพื่อพักฟื้น แถมพวกเขายังต้องใช้สิ่งของที่พิเศษและหายากอีก


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตา แต่เขาก็ต้องลงทะเบียนก่อนถึงจะเข้าไปได้


 


หลังจากที่หานเซิ่นจัดการลงทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ถูกบอกว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตาในอีก 17 วัน ถ้าเขามาสายแม้แต่วินาทีเดียว เขาก็จะสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตา


 


หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ เขารู้ว่า 17 จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นสิ่งที่แสดงถึงอำนาจของเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงที่พวกเขาสามารถรวบรวมยอดฝีมือระดับเทพเจ้า 4 คนมาเพื่อเปิดประตูเข้าสู่หอคอยแห่งโชคชะตาได้ในเวลาอันสั้น สำหรับเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่แล้วการจะรวบรวมยอดฝีมือระดับเทพเจ้าถึง 4 คนนั้นต้องใช้เวลานานสักแค่ไหนก็ไม่รู้


 


แต่เพราะอย่างนั้นหานเซิ่นก็สูญเสียความหวังทั้งหมดที่จะหลีกเลี่ยงราชินีจิ้งจอก


 


เมื่อหานเซิ่นกลับไปถึงบ้าน เขาก็พบราชินีจิ้งจอกนอนอยู่บนเตียง ดวงตาของเธอเป็นเหมือนกับพระจันทร์ขณะที่เธอยิ้มให้กับเขา

“น้องชายแสนดีของข้า เจ้าลงทะเบียนเพื่อขอเข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตาแล้วสินะ?”


 


“ใช่แล้ว” หานเซิ่นไหล่ตกขณะที่เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้


 


ราชินีจิ้งจอกลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาหานเซิ่น เธอโอบหานเซิ่นจากด้านหลังและนิ้วมือวงบนอกของเขา


 


หานเซิ่นรู้สึกถึงได้บางสิ่งนุ่มๆกดลงบนหลังของเขา ใบหน้าที่งดงามของเธอถูกับใบหน้าของเขา ริมฝีปากสีแดงของเธอเข้ามาใกล้หูของเขาและกระซิบ

“ช่วยพี่สาวขโมยสมบัติของเผ่าจิ้งจอกออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตา และพี่สาวจะปฏิบัติกับเจ้าเป็นอย่างดี”


 


“มันไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะช่วย… ข้าแค่กลัวว่าถ้าข้าทำ ข้าอาจจะไม่มีได้โอกาสได้พูดคุยกับพี่สาวอีกครั้ง” หานเซิ่นพูด


 


ราชินีจิ้งจอกหัวเราะ เธอดึงแก้มของหานเซิ่นลงมาที่อกของนางและพูด

“ทำไมข้าถึงจะปล่อยให้เจ้าตาย? ข้ามีหนทางที่จะทำให้เจ้าขโมยของออกมาได้โดยไม่มีใครรู้ มันจะไม่มีใครสงสัยในตัวเจ้า หลังจากนั้นข้ายังจะช่วยพาเจ้าออกไปจากเอ็กซ์ตรีมคิง เผ่าพันธุ์จิ้งจอกจะติดหนี้บุญคุณเจ้าอย่างใหญ่หลวง ถ้าเจ้าต้องการ เจ้าจะกลับไปที่เผ่าจิ้งจอกร่วมกับข้าก็ได้ พวกเรามีผู้หญิงงดงามมากมายที่พร้อมจะใช้เวลาร่วมกับเจ้า”


 


“ไม่มีทาง ข้าเป็นคนโชคร้าย มันไม่มีทางที่สถานการณ์จะจบลงแบบนั้น ทำไมพี่สาวไม่ลองบอกข้าเกี่ยวกับสมบัติเผ่าจิ้งจอกในหอคอยแห่งโชคชะตาที่พูดถึง?” หานเซิ่นพูด


 


ราชินีจิ้งจอกดูเศร้า เธอเคลื่อนตัวรอบเก้าอี้และมานั่งลงบนตักของหานเซิ่น เธอเอนตัวพิงหานเซิ่นและถอนหายใจออกมา

“ข้าถูกกักขังอยู่ในปราสาทโกสต์โบนเป็นเวลานาน หลังจากที่ข้าออกมา ข้าก็ได้รู้ว่าจักรวาลในยุคสมัยนี้ต่างไปจากจักรวาลที่ข้าเคยรู้จัก เอ็กซ์ตรีมคิงเคยเป็นแค่ทาสของผู้นำเซเคร็ด แต่ตอนนนี้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งที่สุด ถึงแม้เผ่าจิ้งจอกจะไม่ได้ล่มสลาย แต่สมบัติของพวกเราถูกชิงไปโดยเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง เพราะอย่างนั้นผู้คนของข้าถึงวิวัฒนาการไปสู่ระดับเทพเจ้าไม่ได้ พวกเราจึงต้องใช้ความงามของพวกเราเพื่อความอยู่รอด”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ราชินีจิ้งจอกก็พูดต่อ “ข้าได้เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ที่ข้าออกมาจากปราสาทโกสต์โบน และข้าก็ได้รู้ว่าราชาเป่าเป็นคนที่ชิงสมบัติของพวกเราไป เขาเอามันไปเก็บไว้ภายในหอคอยแห่งโชคชะตา แต่ข้าเข้าไปในนั้นไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงต้องมาขอให้เจ้าช่วย”


 


ราชินีจิ้งจอกดูน่าสงสารอย่างมาก และสีหน้าที่เศร้าโศกของเธอก็เป็นอะไรที่ทำให้คนส่วนใหญ่อยากจะช่วยเหลือเธอ หานเซิ่นรู้ว่าราชินีจิ้งจอกแข็งแกร่งกว่าตัวเองมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกสงสาร

“สมบัติของเผ่าจิ้งจอกที่ว่านี่คืออะไร? ทำไมราชาเป่าถึงได้เก็บมันไว้ในหอคอยแห่งโชคชะตา?”


 


ราชินีจิ้งจอกดูลังเล แต่สุดท้ายเธอก็พูดออกมา “สมบัตินั้นมีชื่อว่ากระจกไนน์สปินเดสทินี่ มันเป็นสมบัติเทพเจ้าของเผ่าจิ้งจอกโดยเฉพาะ เมื่อเผ่าจิ้งจอกกลายเป็นระดับราชัน พวกเราจำเป็นต้องใช้กระจกไนน์สปินเดสทินี่เพื่อเกิดใหม่ 9 ครั้ง พวกเราถึงจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ หลังจากที่สูญเสียกระจกไนน์สปินเดสทินี่ไป มันก็ไม่มีสมาชิกของเผ่าจิ้งจอกแม้แต่คนเดียวที่กลายเป็นระดับเทพเจ้า สำหรับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงแล้วนี่เป็นอะไรที่น่าเศร้า ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจสถานการณ์ของพวกเรา”


 


“ส่วนที่ว่าทำไมราชาเป่าถึงได้นำกระจกไนน์สปินเดสทินี่ไปเก็บไว้ในหอคอยแห่งโชคชะตานั้น ข้าไม่รู้ โดยปกตินอกจากเผ่าจิ้งจอกแล้ว มันไม่มีใครที่ใช้กระจกนั่นได้”


 


หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาถามราชินีจิ้งจอกที่อยู่ในอ้อมแขน

“ข้าจะเอากระจกไนน์สปินเดสทินี่ออกมาจากหอคอยได้ยังไง?”


 


ราชินีจิ้งจอกกระพริบตาปริบๆและพูด “ข้าจะใช้เทคนิคลับของเผ่าจิ้งจอกกับเจ้า หลังจากนั้นเจ้าจะมีพลังของจิ้งจอกชั่วคราว เมื่อเจ้าเห็นกระจกไนน์สปินเดสทินี่ ถ้ามันไม่ได้ถูกพลังบางอย่างรั้งเอาไว้ มันก็จะบินมาหาเจ้าเอง หลังจากนั้นเจ้าก็ซ่อนมันเอาไว้กับตัวและเอามันออกมาโดยไม่มีใครสังเกตเห็น มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร”


 


หานเซิ่นพยักหน้าและพูด “ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง ข้าจะลองดู แต่ข้าให้สัญญาไม่ได้ว่าจะทำได้สำเร็จ”


 


ราชินีจิ้งจอกยิ้มออกมาในทันที เธอยกคางของหานเซิ่นขึ้นและจูบแก้มของเขา

“น้องชายแสนดีของพี่ เพียงแค่เจ้าพยายาม เจ้าก็ทำเพื่อพี่สาวคนนี้มากแล้ว ทั้งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกจะยกย่องเจ้า ถ้าเจ้าต้องการอะไร ข้าและเผ่าจิ้งจอกจะมอบความช่วยเหลือให้กับเจ้าอย่างเต็มที่”


 


“ไม่เป็นอะไร ที่ข้าช่วยพี่สาวก็เพราะสายสัมพันธ์ของพวกเรา”

หานเซิ่นพูดราวกับว่าเขาตกลงจะช่วยเธอ แต่ในจิตเขาคิดอะไรอย่างอื่นที่แตกต่างออกไป


 


“โอเค ข้าจะไม่พูดประโยคน้ำเน่าอีกแล้ว ตอนนี้ข้าจะใช้เทคนิคลับของเผ่าจิ้งจอกกับเจ้า มันจะมอบพลังจิ้งจอกให้กับเจ้าชั่วคราว”

หลังจากนั้นราชินีจิ้งจอกก็นั่งตรงๆ เธอใช้ขาพันรอบเอวของหานเซิ่น หลังจากนั้นเธอก็จูบเขา 

 

 


ตอนที่ 2390

 

ดวงตาของราชินีจิ้งจอกแว็บด้วยแสงสีเงินและสัญลักษณ์สีเงินประหลาดก็มีชีวิตขึ้นบนผิวของเธอ พวกมันดูเหมือนกับรอยสักที่ไม่ได้อยู่บนผิว แต่เป็นภายในผิวแทน


 


ขณะเดียวกันพลังก็พุ่งออกมาจากปากของราชินีจิ้งจอกราวกับน้ำพุและพุ่งตรงเข้าไปในปากของหานเซิ่น


 


ลมที่หนาวเย็นเข้ามาในร่างกายของหานเซิ่น เขารู้สึกราวกับว่าเซลล์ถูกชำระล้างโดยน้ำพุของภูเขา


 


เมื่อพลังอันหนาวเย็นรวมเข้ากับเซลล์ของหานเซิ่นแล้ว ร่างกายของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาด กลิ่นหอมโชยออกมาจากร่างกายของเขา


 


“ข้าได้ใช้เทคนิคลับของเผ่าจิ้งจอกกับเจ้าแล้ว ตอนนี้ร่างกายของเจ้ามีพลังจิ้งจอกไนน์สปิน ถ้าเจ้าเดินกระแสพลังตามข้าและใช้วิชาน้ำหอมจิ้งจอกไนน์สปิน เจ้าจะใช้พลังของจิ้งจอกได้ชั่วคราว”

ราชินีจิ้งจอกยังคงประกบริมฝีปากกับหานเซิ่น แต่เสียงของเธอดังในหัวของเขา


 


หานเซิ่นพยักหน้าเล็กน้อยและปล่อยให้กระแสพลังไหลไปตามการชี้นำของราชินีจิ้งจอก


 


ราชินีจิ้งจอกส่งพลังเข้าไปในร่างกายของหานเซิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นเดินกระแสพลังและกลิ่นหอมก็รุนแรงขึ้น มันเหมือนกับว่าหานเซิ่นกำลังว่ายอยู่ในทะเลดอกไม้


 


หลังจากนั้นไม่นานกลิ่นหอมในร่างกายของหานเซิ่นก็เบาบางลงจนกระทั่งหายไป และเขาก็ไม่ได้กลิ่นอะไรอีก แต่หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งนาทีกลิ่นหอมก็กลับมาอีกครั้ง


 


กลิ่นหอมนั้นกลับไปกลับมาระหว่างกลิ่นที่รุนแรงและกลิ่นที่เบาบาง มันเป็นแบบนี้อยู่ 9 ครั้ง พลังของราชินีจิ้งจอกเข้าไปภายในตัวของหานเซิ่นมากขึ้นเรื่อยๆและมันก็รวมเข้ากับร่างกายของหานเซิ่น


 


สัญลักษณ์สีเงินปรากฏขึ้นบนผิวของหานเซิ่น มันดูคล้ายคลึงกับสัญลักษณ์บนตัวราชินีจิ้งจอก แต่พวกมันไม่ได้แวววาวขนาดนั้น สัญลักษณ์ของหานเซิ่นดูมัวๆเมื่อเทียบกันแล้ว


 


หลังจากที่เห็นสัญลักษณ์สีเงินปรากฏบนตัวหานเซิ่น ราชินีจิ้งจอกก็ดูมีความสุขอย่างมาก


 


ในตอนแรกเธอคิดว่าหานเซิ่นจะรับพลังจิ้งจอกไนน์สปินที่เธอส่งเข้าไปได้แค่ราวๆ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เนื่องจากเขาไม่มีเลือดของเผ่าจิ้งจอกอยู่ในตัว


 


แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หานเซิ่นสามารถดูดซับพลังของน้ำหอมจิ้งจอกไนน์สปินที่เธอส่งเข้าไปได้ทุกหยด เพราะแบบนั้นสัญลักษณ์จิ้งจอกถึงได้ปรากฏขึ้นบนผิวของเขา ราชินีจิ้งจอกรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย


 


“แปลกจริงๆ นี่เขามีเลือดของจิ้งจอกอยู่อย่างนั้นหรอ?” ราชินีจิ้งจอกสับสน


 


หลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ ราชินีจิ้งจอกก็ทำการตัดสินใจ เดิมทีเธอตั้งใจจะหยุดเพียงแค่นี้ แต่ตอนนี้เธอคิดจะส่งพลังเข้าไปในร่างของหานเซิ่นต่อไป


 


สัญลักษณ์สีเงินบนผิวราชินีจิ้งจอกขยายออกไปเรื่อยๆ และพวกมันก็ค่อยๆเชื่อมต่อกันจนเกิดเป็นจิ้งจอกสีเงินเก้าหาง


 


สัญลักษณ์นั้นประหลาดอย่างมาก มันเหมือนกับว่ามีจิ้งจอกจริงๆอยู่บนหลังที่ขาวซีดของเธอ มันมีดวงตาสีเงินและมันก็กำลังจ้องตรงไปที่หานเซิ่น


 


ยิ่งราชินีจิ้งจอกส่งพลังให้กับหานเซิ่นมากเท่าไหร่ สัญลักษณ์สีเงินบนตัวของเขาก็สว่างขึ้นเท่านั้น และพวกมันก็เริ่มจะเชื่อมต่อกันเหมือนกับของราชินีจิ้งจอก ไม่นานมันก็เริ่มดูคล้ายคลึงกับจิ้งจอกเก้าหางที่ส่องสว่างด้วยแสงสีเงิน


 


หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าพลังงานในร่างกายกำลังพลุ่งพล่านในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกราวกับม้าป่าที่ปราศจากบังเหียน สิ่งต่างๆเริ่มไม่อยู่ในการควบคุมของเขา


 


“พี่สาว หยุด! ข้ารับมันไม่ได้อีกแล้ว” หานเซิ่นพูดกับราชินีจิ้งจอกผ่านจิตใจของเขา


 


แต่ราชินีจิ้งจอกเมินเฉยต่อสิ่งที่เขาพูด เธอใช้แขนล็อคคอของหานเซิ่นและขาของเธอก็พันรอบเอวของเขา พวกเขายังคงจูบกันขณะที่โซ่สสารเงินแทงลึกเข้าไปในร่างกายของหานเซิ่น


 


“ราชินีจิ้งจอก! นี่ท่านกำลังทำอะไร?” ใบหน้าของหานเซิ่นแข็งกล้าขึ้นมาขณะที่เขาเริ่มจะดิ้นรนจากการรัดกุมของเธอ แต่ราชินีจิ้งจอกล็อคตัวของเขาเอาไว้แน่น


 


ในที่สุดราชินีจิ้งจอกก็ตอบสนอง เธอยิ้มออกมา เธอไม่ได้ขยับริมฝีปาก แต่เสียงของเธอดังขึ้นในหูของเขา

“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าร่างกายของเจ้าจะมีพรสวรรค์ที่สุดยอดขนาดนี้ เจ้าสร้างสัญลักษณ์จิ้งจอกขึ้นมาได้ ข้าใช้พลังจิ้งจอกไนน์สปินทั้งหมดเพื่อช่วยเจ้า เจ้าจะใช้พลังจิ้งจอกไนน์สปินได้อย่างเป็นธรรมชาติ มันจะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้า และทำให้เจ้าควบคุมกระจกไนน์สปินเดสทินี่ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม”


 


“ราชินีจิ้งจอก นี่ท่านคิดว่าข้าเป็นแค่เด็ก 3 ขวบหรือยังไง?” หานเซิ่นพูดผ่านจิตใจของเขา


 


ราชินีจิ้งจอกยิ้มกว้าง “น้องชายแสนดีของข้า ทำไมเจ้าถึงไม่ทำตามที่ข้าบอกแต่โดยดี? ข้าจะไม่ทำร้ายอะไรเจ้า”


 


ขณะที่คำพูดของราชินีจิ้งจอกดังก้องในหัวของหานเซิ่น โซ่สสารสีเงินก็พุ่งเข้ามาในปากของหานเซิ่น พลังจิ้งจอกไนน์สปินของหานเซิ่นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


 


พลังนั้นเกือบจะหลุดจากการควบคุมของหานเซิ่น มันไหลเวียนในร่างกายของเขาตามจิตใจของราชินีจิ้งจอก สัญลักษณ์จิ้งจอกเก้าหางบนหลังของหานเซิ่นสว่างไสวขึ้น และดูเหมือนกับว่ามันกำลังจะมีชีวิตขึ้นมา


 


ตอนนี้หานเซิ่นมั่นใจแล้วว่าราชินีจิ้งจอกไม่ได้พยายามจะมอบพลังให้กับเขา แต่เธอพยายามจะควบคุมร่างกายของเขาแทน


 


แน่นอนว่าราชินีจิ้งจอกไม่ยอมรับในเรื่องนั้น เธอเมินเฉยต่อหานเซิ่น ขณะที่เธอปล่อยพลังของตัวเองเข้าไปในร่างกายของเขามากขึ้น


 


มันเป็นอย่างที่หานเซิ่นคิด ราชินีจิ้งจอกพยายามจะสกัดร่างกายของหานเซิ่นให้กลายเป็นร่างโคลนจิ้งจอกไนน์สปิน ถ้าเธอทำแบบนั้น เธอก็จะควบคุมหานเซิ่นได้อย่างสมบูรณ์ มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องเสี่ยงร่วมมือกันอีกต่อไป เธอจะขจัดปัญหานั้นได้ด้วยการควบคุมเขาโดยตรง


 


ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเธออย่างกะทันหัน เธอไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าร่างกายของหานเซิ่นจะสร้างสัญลักษณ์จิ้งจอกขึ้นมาได้ สิ่งที่เธอพูดในตอนแรกไม่ได้เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด


 


หานเซิ่นเข้าใจราชินีจิ้งจอก และเขาก็ไม่เคยเชื่อใจเธอตั้งแต่แรกแล้ว แต่มันไม่สำคัญว่าเธอจะบอกความจริงกับเขาหรือไม่ เขามีแผนการของตัวเอง


 


ถ้าราชินีจิ้งจอกตรงไปตรงมาและมอบพลังให้กับหานเซิ่นตามที่เธอให้สัญญา เขาคงจะรู้สึกผิดหวัง เพราะถ้าเธอทำแบบนั้น เธอก็จะไม่มอบพลังให้กับเขามากพอที่จะเติมเต็มแผนการของเขา


 


หานเซิ่นต้องการจะใช้พลังของราชินีจิ้งจอกเพื่อหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเอง แบบนั้นเขาก็จะเลื่อนสู่ระดับราชันได้


 


นี่ถือเป็นอะไรที่เสี่ยง แต่เมื่อเทียบกับการพยายามใช้พลังของใครบางคนเพื่อหมุนฟันเฟืองจักรวาลขณะที่กำลังต่อสู้แล้ว นี่ถือเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามาก


 


พลังที่ถูกเรียกใช้ในการต่อสู้เป็นอะไรที่มีพลังทำลายล้างสูงยิ่งกว่ามาก การให้มันมาไหลเวียนในร่างกายโดยที่ไม่ทำลายร่างกายนั้นเป็นเรื่องยาก และการควบคุมมันอย่างแม่นยำเพื่อหมุนฟันเฟืองจักรวาลก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า


 


แต่ตอนนี้ราชินีจิ้งจอกส่งพลังของเธอตรงเข้ามาในร่างกายของหานเซิ่น และพลังนั้นก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายเขา นั่นช่วยลดปัญหาให้เขาไปได้มาก หานเซิ่นรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เขาจะยืมพลังระดับเทพเจ้ามาใช้


 


เมื่อหานเซิ่นรู้สึกว่าพลังงานสะสมในร่างกายมากพอแล้ว เขาก็ไม่ลังเลอีก เขาเริ่มใช้ศาสตร์ตงเสวียนและพยายามใช้พลังนั้นเพื่อหมุนฟันเฟืองจักรวาลของเขา


 


ราชินีจิ้งจอกรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันภายในร่างกายหานเซิ่น เธอรู้สึกตัวถึงสิ่งที่หานเซิ่นพยายามจะทำ


 


“น่าหัวเราะ! พลังของเจ้าไม่มีทางเบี่ยงเบนพลังของข้าได้”

 

 

 


ตอนที่ 2391

 

ถึงแม้หานเซิ่นจะเชี่ยวชาญในวิชาคลื่นหยินหยาง แต่ราชินีจิ้งจอกใส่พลังเข้ามาในตัวเขาเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะควบคุมพลังที่มากขนาดนั้น


 


สัญลักษณ์จิ้งจอกเงินเก้าหางปกคลุมร่างกายของหานเซิ่นราวกับเงาปีศาจ กลิ่นหอมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และมันเกือบจะเหมือนกับว่าพวกมันกลายเป็นสิ่งที่มีรูปธรรมและสัมผัสได้


 


“เปล่าประโยชน์! พลังของเจ้ามีขีดจำกัด ถึงจะไม่มีดยุกคนไหนที่เทียบชั้นกับความแข็งแกร่งของเจ้าได้ แต่เมื่อเทียบกับข้า เจ้าก็ยังอ่อนแอเกินไป เจ้าเชื่อจริงๆหรือว่าจะใช้พลังของข้าเป็นเหมือนกับของตัวเองได้? เจ้าคงจะต้องล้อเล่นแน่ๆ” เสียงของราชินีจิ้งจอกดังในหัวของหานเซิ่น


 


ราชินีจิ้งจอกกอดหานเซิ่นเอาไว้แน่น ริมฝีปากของเธอยังคงประกบกับริมฝีปากของหานเซิ่นขณะที่เธอพ่นพลังจิ้งจอกไนน์สปินเข้าไปในตัวของเขา เธอควบคุมพลังที่ไหลเข้าไปในตัวของเขาและค่อยๆใช้มันเพื่อเปลี่ยนหานเซิ่นให้กลายเป็นร่างโคลนจิ้งจอกไนน์สปิน


 


หานเซิ่นพยายามอย่างเต็มที่ที่จะชักนำพลังจิ้งจอกไนน์สปิน แต่มันแตกต่างไปจากอะไรที่เขาเคยเจอ เขาไม่สามารถแย่งมันจากการควบคุมของราชินีจิ้งจอกได้ เขาตัดสินใจจะลองใช้กลยุทธ์ใหม่ แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกร้อนขึ้นมา พลังที่น่ากลัวแพร่ขยายบนแผ่นหลังของเขา


 


หานเซิ่นสะดุ้งด้วยความประหลาดใจ จู่ๆก็มีพลังที่ไม่รู้แหล่งที่มาออกมาจากแผ่นหลังของเขา พลังนั้นไม่ได้เป็นของหานเซิ่น และมันก็ไม่ได้เป็นของราชินีจิ้งจอกด้วยเช่นกัน


 


บางสิ่งสีแดงปรากฏบนขึ้นแผ่นหลังของหานเซิ่น เขาเปิดใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนและสังเกตเห็นผิวบนแผ่นหลังที่แต่เดิมถูกปกคลุมด้วยสัญลักษณ์จิ้งจอกกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง สีของเลือดเข้มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมันเผยรูปภาพออกมาให้เห็น


 


“นั่นคือ…แอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้” หานเซิ่นตกใจ


 


สัญลักษณ์สีแดงบนหลังของหานเซิ่นเป็นรูปของผู้หญิงที่มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์และร่างกายท่อนล่างเป็นงู หัวของเธอมีเขางอกออกมา มันเป็นภาพที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว และหานเซิ่นก็มั่นใจว่ามันคือแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้


 


‘นี่คือภาพที่คนที่ถูกล่ามโซ่วาดไว้บนหลังของเราในตอนที่อยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์?’ หานเซิ่นรู้ว่าภาพนั้นมาจากไหน


 


ในตอนนั้นเขาไม่สามารถมองดูแผ่นหลังของตัวเองได้ ซึ่งก่อนที่มันจะหายไป เป่าเอ๋อบอกกับเขาว่ามันเป็นภาพของผู้หญิงที่น่าเกลียด นี่เป็นครั้งแรกที่หานเซิ่นมีโอกาสได้เห็นมัน เขาไม่รู้สึกตัวมาก่อนเลยว่าภาพวาดจะยังอยู่บนหลังของเขา และเขาไม่เคยคิดว่ามันจะทำงานขึ้นมาในตอนนี้


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าภาพวาดนั้นทำอะไรได้ แต่พลังที่ออกมาจากภาพวาดแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าพลังที่ราชินีจิ้งจอกปล่อยเข้ามาในตัวของเขา มันผลักสัญลักษณ์จิ้งจอกไนน์สปินออกไปและเข้ายึดครองทั้งแผ่นหลังของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นรู้สึกปวดร้อนแผ่นหลังราวกับว่าถูกเหล็กร้อนจี้ใส่


 


ขณะที่ภาพของแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ดูละเอียดขึ้นเรื่อยๆ เงาของแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ก็ปรากฏออกมา มันยืนตรงข้ามเงาของจิ้งจอกเก้าหาง มันปกคลุมแผ่นหลังของหานเซิ่น ขณะที่จิ้งจอกปกคลุมอกของหานเซิ่น พลังทั้ง 2 ต่อสู้กันเพื่อความเป็นใหญ่ในตัวของเขา


 


“รูปปั้นเซเคร็ดบลัด! ทำไมเจ้าถึงมีรูปปั้นเซคร็ดบลัดได้?” ราชินีจิ้งจอกตกตะลึง


 


ราชินีจิ้งจอกดูหวาดกลัว เธอพยายามจะออกมาจากร่างกายของหานเซิ่น แต่ตอนนี้มีบางสิ่งดึงเธอเอาไว้ เธอไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้และพลังของเธอก็กำลังเข้าไปในร่างกายของหานเซิ่นอย่างควบคุมไม่ได้


 


“รูปปั้นเซเคร็ดบลัดคืออะไร?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว สถานการณ์บานปลายเกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้ รูปภาพสีเลือดยังคงอยู่บนแผ่นหลังของเขาและหัวใจของเขาก็เริ่มเจ็บปวด


 


ราชินีจิ้งจอกตัวสั่นด้วยความกลัว “เป็นไปไม่ได้! เซเคร็ดถูกทำลาย… และผู้นำของเซเคร็ดก็ได้ตายไปแล้ว! มันไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่จะวาดรูปปั้นเซเคร็ดบลัดได้อีก… นี่มันเป็นไปได้ยังไง?”


 


“รูปปั้นเซเคร็ดบลัดคืออะไร?” หานเซิ่นถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าราชินีจิ้งจอกยังคงพูดไม่รู้เรื่อง


 


ราชินีจิ้งจอกพยายามสงบสติ แต่เธอยังคงตกตะลึง เธอพูดขึ้นว่า

“มันเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ผู้นำเซเคร็ดจะควบคุมคนของเขา ถ้ารูปภาพของรูปปั้นเซเคร็ดบลัดถูกวาดลงบนตัวใครก็ตาม ร่างกายนั้นจะถูกกลืนกินได้ทุกเวลา ตราบใดที่รูปปั้นเซเคร็ดบลัดไม่ทำงาน มันจะไม่มีอะไรผิดปกติ และบางครั้งภาพวาดอาจจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอีกด้วย มันจะทำให้ร่างกายของคนๆนั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างเงียบๆ แต่ตอนนี้เมื่อรูปปั้นเซเคร็ดบลัดทำงานขึ้นมา มันก็จะเริ่มกลืนกินพลังและเนื้อหนังจนกระทั่งพวกมันถูกกินไปจนหมด”


 


“ทำไมเจ้าถึงมีรูปปั้นเซเคร็ดบลัด? และมันยังเป็นรูปภาพของแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้อีก? ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้? เจ้ากำลังจะทำให้ข้าถูกฆ่า!”

ราชินีจิ้งจอกกัดฟันและรวบรวมพลังของตัวเอง เธอต้องการจะใช้พลังเพื่อดึงตัวเองออกจากร่างกายของหานเซิ่น แต่ภายใต้อิทธิพลของรูปปั้นเซเคร็ดบลัด พลังของเธอเหมือนกับถูกแม่เหล็กดูด ราชินีจิ้งจอกไม่สามารถดึงตัวเองออกมาไปได้ และพลังของเธอก็ไหลออกไปสู่ร่างกายของหานเซิ่นอย่างต่อเนื่อง


 


ตอนนี้หานเซิ่นสัมผัสได้ถึงรูปปั้นเซเคร็ดบลัดบนหลังอย่างชัดเจน มันกำลังกัดกินพลังและเนื้อหนังของเขาราวกับผีที่หิวกระหาย ถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้ต่อไป ร่างกายของเขาก็จะถูกกลืนกินโดยรูปปั้นเซคร็ดบลัดในอีกไม่นาน


 


แต่พลังของรูปปั้นเซเคร็ดบลัดนั้นรวมเป็นหนึ่งกับร่างกายของหานเซิ่นเรียบร้อยแล้ว และพลังของมันก็อยู่ภายในร่างกายของเขา ดังนั้นถ้าเขาพยายามจะทำลายรูปปั้นเซเคร็ดบลัด นั่นก็หมายความว่าเขาทำลายร่างกายตัวเอง


 


“เวรเอ้ย! ผู้นำเซเคร็ดมันเป็นคนโรคจิต คนแบบไหนกันที่จะคิดวิชาจีโนแบบนี้ขึ้นมา?” หานเซิ่นสาบแช่ง


 


เมื่อราชินีจิ้งจอกรู้ตัวว่าไม่สามารถดึงตัวเองออกจากหานเซิ่นได้ เธอก็ตัดขาดการเชื่อมต่อกับพลังของตัวเองแทน เธอเริ่มกระอักเลือดออกมาในทันทีและใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือก การตัดการเชื่อมต่อกับพลังของตัวเองทำให้เธอออกมาจากหานเซิ่นได้ แต่มันก็ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก


 


เมื่อไม่มีการสนับสนุนจากพลังของราชินีจิ้งจอก สัญลักษณ์จิ้งจอกเก้าหางบนตัวหานเซิ่นก็เริ่มจะปั่นป่วน ตอนนี้หานเซิ่นมีพลังไม่พอที่จะต่อสู้กับเงาแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ เขากำลังจะถูกกลืนกิน


 


“มันจบแล้ว…มันจบสิ้นแล้ว…” ราชินีจิ้งจอกดูตื่นกลัว ความพยายามที่จะขโมยของออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตาของเธอล้มเหลวไม่เป็นท่า


 


ราชินีจิ้งจอกมองหานเซิ่นด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ก่อนที่เธอจะเดินจากไป


 


รูปปั้นเซเคร็ดบลัดทำงานเรียบร้อยแล้ว และสิ่งเดียวที่รอหานเซิ่นอยู่ก็คือความตาย ถ้าเธอยังอยู่ที่นี่ต่อและถูกค้นพบเข้า มันจะกลายเป็นว่าเธอเป็นคนฆ่าองค์ชายสิบหกของเอ็กซ์ตรีมคิง ซึ่งนั่นจะไม่เป็นผลดีต่อเธอ


 


ขณะที่ราชินีจิ้งจอกจากไป เธอก็รู้สึกหดหู่ เธอคิดว่าจะชิงกระจกไนน์สปินเดสทินี่กลับคืนมาได้ แต่โอกาสนั้นหายไปเพราะความโลภมากของตัวเธอเอง


 


แถมตอนนี้เธอก็ได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าไม่มีสิ่งของระดับเทพเจ้าช่วย มันจะใช้เวลาเป็นปีๆกว่าที่เธอจะฟื้นตัว


 


“หานเซิ่น ข้าไม่ได้ต้องการจะฆ่าเจ้า เจ้าโชคร้ายเอง” ราชินีจิ้งจอกรีบเดินทางออกจากดาววอเทอร์โซน เธอไม่อยากใครมาเห็นเธออยู่ที่นั่นในตอนที่หานเซิ่นตาย 

 

 


ตอนที่ 2392

 

หานเซิ่นคิดหาหนทางที่จะรับมือกับพลังที่บุกเข้ามาในร่างกายได้ก่อนหน้านี้แล้ว เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นพลังที่เลวร้ายเหนือจินตนาการเหมือนกับราชินีจิ้งจอก หานเซิ่นรู้สึกตัวว่ามันก็เป็นแค่พลังอย่างหนึ่งที่เหมือนกับพลังอื่น


 


หานเซิ่นใช้จิตใจเพื่อเรียกมนตราออกมา เธอปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาในร่างของหญิงสาว


 


หานเซิ่นใช้ศาสตร์ตงเสวียนอย่างเต็มที่ มนตราเป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตจริงๆ เธอสามารถใช้เรื่องราวของยีนได้ตามลำพัง และเธอก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการควบคุมของหานเซิ่น


 


จิตใจของหานเซิ่นและมนตรานั้นเชื่อมต่อกัน เธอรู้ว่าหานเซิ่นต้องการอะไร เธอเริ่มใช้เรื่องราวของยีนและยื่นมือข้างหนึ่งมาวางบนหน้าผากของหานเซิ่น


 


สัญลักษณ์แห่งแสงปรากฎขึ้นบนหน้าผากของหานเซิ่น หลังจากนั้นมันก็ละลายเข้าไปในเนื้อหนังของเขา ไม่นานร่างกายของหานเซิ่นก็หยุดนิ่งไป มันเหมือนกับว่ารูปปั้นเซเคร็ดบลัดและจิ้งจอกเก้าหางถูกแช่แข็งอยู่กับที่


 


แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งวินาที รูปปั้นเซเคร็ดบลัดและจิ้งจอกเก้าหางก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกมันกลืนกินร่างกายของหานเซิ่นเหมือนกับก่อนหน้านี้


 


มนตราเอาปืนพกของเธอออกมาและยิงใส่หานเซิ่น กระสุนแต่ละลูกอาบไปด้วยพลังอีเทอร์นิตี้ เธอระดมยิงไปที่หานเซิ่นและแช่แข็งร่างกายของเขา


 


หานเซิ่นใช้ศาสตร์ตงเสวียนอย่างเต็มกำลังและเริ่มผลักดันมันไปสู่ระดับราชัน


 


ทั้งจักรวาลเป็นเหมือนกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยฟันเฟือง ฟันเฟืองแต่ละอันนั้นติดต่อกัน และฟันเฟืองของหานเซิ่นก็มีขนาดใหญ่กว่าปกติ มันมีความแข็งแกร่งของเหล็กกล้าและถูกห้อมล้อมไปด้วยฟันเฟืองที่เล็กเกินกว่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เชื่อมต่อกับฟันเฟืองมากมาย ซึ่งถ้าเขาต้องการจะหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเอง เขาก็ต้องหมุนฟันเฟืองทั้งหมดที่อยู่รอบๆด้วยเช่นกัน


 


หานเซิ่นใช้ศาสตร์ตงเสวียนเกินขีดจำกัดและพยายามจะหมุนฟันเฟืองจักรวาลโดยใช้พลังทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ ซึ่งนั่นรวมถึงพลังของรูปปั้นเซเคร็ดบลัดและพลังของจิ้งจอกเก้าหาง


 


มนตรายิงปืนใส่หานเซิ่นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายส่วนใหญ่ของหานเซิ่นถูกแช่แข็ง แต่พลังแช่แข็งไม่เพียงพอที่จะหยุดรูปปั้นเซเคร็ดบลัดและสัญลักษณ์จิ้งจอกเก้าหาง แต่มนตราไม่ได้คิดที่จะหยุดพวกมันเอาไว้


 


มนตราใช้พลังแช่แข็งของอีเทอร์นิตี้เพื่อสร้างเส้นทางในร่างกายของหานเซิ่น มันเป็นเส้นทางที่ศาสตร์ตงเสวียนจะใช้งาน ซึ่งนอกจากเส้นทางนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแช่แข็ง


 


พลังที่น่ากลัวทั้ง 2 ไหลในอุโมงค์ราวกับแม่น้ำที่เชี่ยวกราก ด้วยการชี้นำของหานเซิ่น พลังเหล่านั้นไหลตรงไปเพื่อหมุนฟันเฟืองจักรวาลของเขา


 


ตูม!


พลังมหาศาลหลั่งไหลไปที่ฟันเฟืองจักรวาลและฟันเฟืองนั้นก็เริ่มจะสั่นไหวเล็กน้อย มันยังคงไม่หมุน แต่หานเซิ่นก็สังเกตเห็นความหวังเล็กๆ


 


ก่อนหน้านี้หานเซิ่นพยายามอย่างเต็มที่ แต่มันอะไรไร้ประโยชน์ เขาไม่สามารถขยับฟันเฟืองจักรวาลได้แม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้มันเริ่มจะเคลื่อนไหว ถึงแม้จะเพียงแค่เล็กน้อย แต่มันก็มอบความหวังให้กับเขา


 


หานเซิ่นหลับตาและใช้ศาสตร์ตงเสวียนต่อไป เขานำทางพลังทั้ง 2 ไปสู่ฟันเฟืองจักรวาลซ้ำๆ และทุกครั้งมันก็ทำให้ฟันเฟืองเกิดความเคลื่อนไหว


 


ในที่สุดฟันเฟืองก็ส่งเสียงแหลมออกมาขณะที่เริ่มจะหมุน มันเหมือนกับเครื่องจักรที่ถูกทิ้งไว้หลายปีและตอนนี้กลับมาทำงานอีกครั้ง


 


ใบหน้าของมนตรายังคงไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาขณะที่เธอยิงใส่ร่างกายของหานเซิ่นต่อไป เธอพยายามรักษาอุโมงค์ในร่างกายของหานเซิ่นเอาไว้


 


ร่างกายส่วนที่ถูกพลังอีเทอร์นิตี้เข้าไปนั้นเป็นเหมือนกับเขื่อนกั้นน้ำ ขณะที่พลังของรูปปั้นเซเคร็ดบลัดและสัญลักษณ์จิ้งจอกเก้าหอกเป็นเหมือนกับน้ำท่วมฉับพลัน พวกมันจะไหลไปทางตามเส้นทางของแม่น้ำและชนเข้ากับเขื่อนกั้นน้ำที่ขวางกั้นพวกมัน เขื่อนกั้นน้ำไม่สามารถปล่อยให้ถูกทำลายได้ เพราะถ้าพวกมันถูกทำลาย พลังทั้งหมดก็จะรั่วออกไปและทำลายร่างกายของหานเซิ่น


 


พลังแช่แข็งของอีเทอร์นิตี้เป็นระดับดยุก ดังนั้นมันจึงไม่เพียงพอที่จะต้านพลังของรูปปั้นเซเคร็ดบลัดและสัญลักษณ์จิ้งจอกได้อย่างสมบูรณ์ มนตราจึงต้องคอยยิงใส่ร่างกายของหานเซิ่นซ้ำๆเพื่อให้แน่ใจว่าเขื่อนกั้นน้ำจะไม่พังทลายลงมา


 


ตูม! ตูม! ตูม!


พลังไหลไปชนกับฟันเฟืองจักรวาลของหานเซิ่นซ้ำๆ และฟันเฟืองก็เริ่มหมุนทีละนิดๆ แต่ในแต่ละครั้งมันขยับเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นก่อนที่ฟันเฟืองจะหยุดนิ่งไปอีก


 


‘ฟันเฟืองจักรวาลของเรามันใหญ่เกินไป การจะทำให้มันหมุนอาจจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป’ หานเซิ่นคิด


 


พลังทั้ง 2 ชนใส่ฟันเฟืองจักรวาลของหานเซิ่นซ้ำๆ แต่พวกมันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ฟันเฟืองหมุนอย่างต่อเนื่อง นี่เป็นปัญหาใหญ่กว่าที่หานเซิ่นคิดเอาไว้


 


โชคดีที่หานเซิ่นเลือกจะเริ่มด้วยศาสตร์ตงเสวียนก่อน เขาเห็นฟันเฟืองจักรวาลของมันได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้เขาสามารถชักนำพลังไปในมุมที่จะส่งแรงได้มากที่สุดได้อย่างแม่นยำ ถ้าเขาเลือกวิชาจีโนตัวอื่นที่มองไม่เห็นฟันเฟืองจักรวาลล่ะก็ มันก็จะเป็นอะไรที่ยากยิ่งกว่าเดิม


 


‘พลังทั้ง 2 นี้ทิ้งช่วงมากเกินไป ถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็คงจะทำให้ฟันเฟืองจักรวาลของเราหมุนไม่ได้’ หลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ หานเซิ่นก็คิดไอเดียอย่างหนึ่งขึ้นมาได้


 


หานเซิ่นคิดในใจและมนตราก็เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ปืนพกของเธอเอนไปเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนเส้นทางของอุโมงค์ที่เธอสร้างภายในร่างกายของหานเซิ่น


 


พลังทั้ง 2 ถูกนำไปในร่างกายของหานเซิ่นผ่านเส้นทางที่แตกต่างกัน ตอนนี้พวกมันถูกนำมารวมกันในอุโมงค์ที่มาประสานกันในรูปเลขแปดก่อนที่จะปล่อยให้พลังไหลต่อไปสู่ฟันเฟืองจักรวาลของหานเซิ่น


 


เมื่อพลังทั้ง 2 เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน ฟันเฟืองจักรวาลของหานเซิ่นก็เริ่มจะหมุน และฟันเฟืองอื่นที่เชื่อมต่อกับฟันเฟืองจักรวาลของหานเซิ่นก็เริ่มหมุนด้วยเช่นเดียวกัน


 


หานเซิ่นรู้สึกปลาบปลื้มขณะที่ชักนำพลังทั้ง 2 ไปเพื่อหมุนฟันเฟืองต่อไป


 


มันหมุนอย่างช้าๆในตอนแรก แต่เมื่อฟันเฟืองจักรวาลของหานเซิ่นเคลื่อนไหวไปได้ระยะหนึ่ง ความเร็วในการหมุนของมันก็เริ่มเพิ่มขึ้น


 


เมื่อฟันเฟืองจักรวาลหมุนจนเกือบจะครบเริ่ม หานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่าทั้งร่ายกายตื่นขึ้นจากการหลับใหลอันยาวนาน มันเหมือนกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่เริ่มทำงานอีกครั้ง และพลังงานที่ไร้ที่สุดก็เริ่มถูกปล่อยออกมา


 


ขณะที่ฟันเฟืองหมุนเร็วขึ้นจนเบลอๆ หานเซิ่นก็เห็นว่าแสงในฟันเฟืองเริ่มจะสว่างไสวขึ้นมา ยิ่งฟันเฟืองหมุนเร็วขึ้นเท่าไหร่ ความสว่างของแสงก็มากขึ้นเท่านั้น


 


ตูม!


 


ด้วยพลังของรูปปั้นเซเคร็ดบลัดและสัญลักษณ์จิ้งจอกเก้าหองรวมกัน มันก็ทำให้ฟันเฟืองจักรวาลของหานเซิ่นหมุนด้วยตัวของมันเอง ภายในฟันเฟืองจักรวาลนั้นแสงสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ แสงนั้นดูเหมือนกับว่ามันสามารถละลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ ร่างกายของหานเซิ่นรู้สึกเบาหวิวยิ่งกว่าขนนก และฟันเฟืองจักรวาลก็ไม่ต้องพึ่งพาพลังของเขาอีกต่อไป ตอนนี้มันสามารถหมุนได้ด้วยตัวเอง


 


อาณาเขตที่มองไม่เห็นเปิดออกและขยายออกไปนอกร่างกายของหานเซิ่น มันสร้างฟองสบู่ประหลาดที่มองไม่เห็นขึ้นมา


 


“ศาสตร์ตงเสวียนเลื่อนสู่ระดับราชันขั้นที่หนึ่ง”


 


“มันได้ผล!” หานเซิ่นยิ้มกว้าง ในที่สุดเขาก็เลื่อนสู่ระดับราชัน ถึงแม้มันจะเป็นแค่ระดับราชันขั้นแรก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความจริงที่ว่าเขาทำได้สำเร็จ


 


ขณะที่ฟันเฟืองจักรวาลหมุนต่อไป หานเซิ่นก็ได้ยินเสียงประตูโลหะถูกเปิดออก มิติรอบตัวของเขาเริ่มจะสั่นไหว ประตูนั้นถูกเปิดออกโดยฟันเฟืองจักรวาล และร่างกายของหานเซิ่นก็ถูกดูดเข้าไปข้างใน 

 

 


ตอนที่ 2393

 

นี่เป็นกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการกลายเป็นระดับราชัน เมื่อไหร่ก็ตามที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเองและเลื่อนสู่ระดับราชันได้สำเร็จ พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในคอร์แอเรียจักรวาลจีโน


 


ไม่มีใครที่เข้าใจถึงธรรมชาติของคอร์แอเรียได้ บางคนบอกว่ามันเป็นซีโน่เจเนอิคสเปชพิเศษ ขณะที่บางคนเชื่อว่ามันเป็นสถานที่อยู่ภายในจีโนฮอลล์ มันมีการคาดเดาหลายอย่าง แต่ไม่ว่าจะความเชื่อไหนก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน


 


สำหรับตอนนี้มันมีเพียงแค่เรื่องเดียวที่ทุกคนเห็นตรงกัน ซึ่งก็คือเรื่องที่ว่าคอร์แอเรียจะถูกเข้าถึงได้เมื่อคนๆหนึ่งหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเองได้


 


เมื่อฟันเฟืองจักรวาลถูกหมุนเป็นครั้งแรก คนๆนั้นจะถูกดึงเข้าไปในคอร์แอเรียจักรวาล เช่นเดียวกับที่หานเซิ่นถูกดึงเข้าไปในตอนนี้


 


หานเซิ่นบินผ่านประตูเข้าไปในแสงสว่าง และเมื่อสายตาของเขากลับมามองเห็นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าปราสาทแห่งหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยโลหะโบราณบางอย่าง


 


โครงสร้างของปราสาทแห่งนี้ดูค่อนข้างประหลาด และทั้งปราสาทก็ประกอบไปด้วยฟันเฟืองที่มีขนาดแตกต่างกันออกไป ทั้งกำแพง พื้นและหลังคาเป็นเหมือนกันหมด นอกจากนั้นฟันเฟืองทั้งหมดยังประกบกันอย่างสนิทจนไม่มีรอยต่อให้เห็น


 


ทุกฟันเฟืองนั้นหมุนด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน บางเฟืองหมุนอย่างรวดเร็วจนดูเบลอๆ ขณะที่บางเฟืองหมุนอย่างช้าๆจนการเคลื่อนไหวของพวกมันแทบจะไม่สามารถมองเห็นได้ เสียงติ๊กต๊อกของฟันเฟืองดังไปทั่วปราสาท มันคล้ายคลึงกับเสียงที่นาฬิกากลไกจักรกลสร้างขึ้น


 


แต่หานเซิ่นไม่มีเวลาจะมาชมทิวทัศน์ เพราะตอนนี้ร่างกายของเขายังคงมีพลังของรูปปั้นเซเคร็ดบลัดและสัญลักษณ์จิ้งจอกเก้าหางหลงเหลืออยู่


 


หานเซิ่นตัดสินใจใช้วิชาเรื่องราวของยีน เขาอยากลองดูว่าจะสามารถใช้พลังของรูปปั้นเซเคร็ดบลัดและสัญลักษณ์จิ้งจอกเก้าหางเพื่อหมุนฟันเฟืองจักรวาลของเรื่องราวของยีนได้ไหม


 


แต่นั่นเป็นอะไรที่มากเกินไป พลังของรูปปั้นเซเคร็ดบลัดและสัญลักษณ์จิ้งจอกเก้าหางไม่เพียงพอจะผลักฟันเฟืองจักรวาลของเรื่องราวของยีนให้หมุนได้ ขณะที่หานเซิ่นพยายามทำแบบนั้น พลังของพวกมันก็เบาบางลงและสลายไปในที่สุด


 


หานเซิ่นตรวจเช็คร่างกายของตัวเองเพื่อความแน่ใจ แต่เขาไม่พบร่องรอยของพวกมันในตัวอีก หลังจากนั้นเขาก็หันกลับมามองที่ปราสาท


 


ฟันเฟืองของปราสาทเคลื่อนไหวในความเร็วคงที่เหมือนกับฟันเฟืองของนาฬิกา แต่มันแตกต่างไปจากนาฬิกา ปราสาทไม่มีเข็มสำหรับบอกเวลา เฟืองฟันกว้างจะหมุนอย่างช้าๆ ขณะที่เฟืองฟันน้อยจะหมุนอย่างรวดเร็ว การมองดูพวกมันเป็นอะไรที่น่าหลงไหลราวกับถูกสะกดจิต มันเหมือนกับว่าทั้งปราสาทเต็มไปด้วยนาฬิกา


 


ร่างกายของหานเซิ่นลอยตัวอยู่กลางอากาศ และเมื่อเท้าของเขาสัมผัสกับฟันเฟืองบนพื้น ฟันเฟืองก็เร่งความเร็วขึ้น และไม่นานฟันเฟืองทั้งปราสาทก็ทำงานอย่างเต็มกำลัง มิติของที่นั่นเริ่มบิดเบี้ยว และในจังหวะต่อมาปราตูปราสาทก็เปิดออกและเผยให้เห็นทิวทัศน์ของดวงดาวที่อยู่เหนือประตูขึ้นไป


 


ในตอนนี้ร่างกายของหานเซิ่นถูกห่อหุ้มด้วยชุดเกราะตงเสวียน เขาเดินออกไปจากปราสาทและมองออกไปยังดวงดาวมากมาย แต่ทว่าเมื่อสังเกตดูดีๆ เขาก็รู้สึกตัวว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นดวงดาวในตอนแรกนั้นจริงๆแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตระดับราชันที่น่ากลัว


 


เมื่อหานเซิ่นก้าวออกไปจากปราสาทคอร์จักรวาล เสียงติ๊กต๊อกของฟันเฟืองในปราสาทก็หายไป


 


หานเซิ่นรู้ว่าสามารถเรียกปราสาทคอร์จักรวาลมาเมื่อไหร่ก็ได้ด้วยการหมุนฟันเฟืองจักรวาลของตัวเอง


 


แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หานเซิ่นเข้ามาในคอร์แอเรียจักรวาล เขาจึงยังไม่อยากกลับออกไป เขาต้องการจะสำรวจรอบๆด้วยตัวเองและดูว่าที่นี่เป็นเหมือนกับที่ตำนานกล่าวเอาไว้ไหม


 


ทันใดนั้นก็มีแสงพุ่งผ่านหานเซิ่นและหายไปด้านหลังของเขา แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็มาปรากฏอีกครั้งตรงหน้าหานเซิ่น


 


หานเซิ่นรู้สึกกังวลขึ้นมา การเข้ามาในคอร์แอเรียจักรวาลจำเป็นต้องเป็นระดับราชันเป็นอย่างน้อย แต่นั่นก็หมายความว่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าเองก็สามารถเข้ามาในที่แห่งนี้ได้เช่นกัน หานเซิ่นเป็นแค่ราชันขั้นแรก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องระมัดระวัง


 


ดาวดวงหนึ่งมาหยุดตรงหน้าหานเซิ่น ตอนนี้เมื่อหานเซิ่นมองดูมันชัดๆ เขาก็รู้สึกตัวว่ามันก็คือดราก้อนเอทของเผ่าดราก้อน เขาเป็นระดับราชันเช่นเดียวกัน


 


“ดอลลาร์” ดราก้อนเอทมองหานเซิ่นด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ


 


ในตอนที่หานเซิ่นต่อสู้ในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน เขาต่อสู้ในฐานะดอลลาร์ ที่นั่นเขาสวมใส่ชุดเกราะตงเสวียน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงแทบไม่เคยสวมใส่ชุดเกราะนี้ในตอนที่ไม่ได้ใช้ตัวตนของดอลลาร์ เขาไม่อยากจะเปิดเผยความจริงที่ว่าเขาและดอลลาร์คือคนๆเดียวกัน


 


หลังจากที่ศาสตร์ตงเสวียนวิวัฒนาการครั้งที่ 2 รูปลักษณ์ของชุดเกราะตงเสวียนก็เปลี่ยนไป ตอนนี้ชุดเกราะตงเสวียนมีสีดำสนิท แสงที่ส่องลงมาบนชุดเกราะนั้นจะหายไปในทันที ถ้าใครบางคนมองหานเซิ่นจากระยะไกล เขาก็จะดูเหมือนกับเงาสีดำที่ลอยตัวอยู่ในอากาศ


 


หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าจะมีใครบางคนจดจำเขาได้ในฐานะดอลลาร์ เพียงเพราะชุดเกราะตงเสวียน


 


แต่เนื่องจากเขาถูกจำได้ หานเซิ่นก็ไม่คิดจะปฏิเสธมัน เขามองไปที่อีกฝ่ายและพูด “ดราก้อนเอทสินะ?”


 


“เจ้าจำข้าได้? แบบนั้นก็ดี”

ดวงตาของดราก้อนเอทลุกโชติช่วงยิ่งกว่าเดิม เขาพ่ายแพ้ให้กับดอลลาร์ในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน ซึ่งเขายังคงรู้สึกแค้นและพยายามจะค้นหาหนทางที่จะได้ต่อสู้กับดอลลาร์อีกครั้ง


 


แต่เขาหาดอลลาร์ไม่เจอ เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมาเจอดอลลาร์ที่นี่ เขาเปิดใช้อาณาเขตสีทองและพูดด้วยรอยยิ้ม

“ครั้งนี้ ข้าจะเอาชนะเจ้า ปลดปล่อยอาณาเขตของเจ้าออกมา”


 


“ดราก้อนเอท เจ้ากำลังจะทำอะไร?”

ก่อนที่หานเซิ่นจะได้ตอบอะไร แสงที่เหมือนกับดวงดาวอีกหลายดวงก็มาถึง พวกเขาคือคนเผ่าดราก้อนเช่นเดียวกัน หานเซิ่นยังระบุได้ว่าหนึ่งในพวกเขาก็คือดราก้อนวัน


 


หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ ในตอนนี้ดราก้อนวันคงจะเป็นระดับครึ่งเทพแล้ว และเขาไม่ใช่ดราก้อนคนเดียวที่มา ถ้าพวกเขาทั้งหมดโจมตีหานเซิ่นพร้อมๆกัน มันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายสำหรับเขา


 


“พี่ใหญ่ เขาคือดอลลาร์!” ดราก้อนเอทพูดขณะที่ยังคงจ้องมองไปที่หานเซิ่น


 


“ดอลลาร์?” ดราก้อนวันและคนอื่นๆประหลาดใจ ความสามารถที่ดอลลาร์แสดงออกมาในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนถือเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม แม้แต่พวกเขาเองก็คิดแบบนั้น


 


แต่พวกเขาไม่ได้หมุกมุ่นในดอลลาร์เหมือนกับดราก้อนเอท ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถระบุได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครในตอนแรก แต่หลังจากที่สังเกตดีๆ พวกเขาก็เริ่มเชื่อสิ่งที่ดราก้อนเอทพูด


 


“เจ้าคือดอลลาร์จริงๆอย่างนั้นหรอ?” ดราก้อนวันถามหานเซิ่นเพื่อความแน่ใจ


 


“ถ้าใช่แล้วจะทำไม? มันสำคัญด้วยหรอว่าข้าจะใช่หรือไม่ใช่?” หานเซิ่นตอบ


 


“ข้ารู้ว่าไม่ได้มองผิดไป เจ้าคือดอลลาร์จริงๆ! พวกเจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่ง เขาเป็นของข้า!”

ดราก้อนเอทแยกเคี้ยวเป็นรอยยิ้ม “ดอลลาร์ เปิดใช้อาณาเขตของเจ้า ให้ข้าดูสิว่าเจ้ายังแข็งแกร่งเหมือนกับก่อนหน้านี้หรือเปล่า”


 


“นั่นไม่จำเป็น” หานเซิ่นพูดขณะที่รวบรวมพลังไปที่นิ้วมือและดีดเหรียญออกไปทางดราก้อนเอท


 


“อย่าได้มาดูถูกข้า!” ดราก้อนเอทตะโกน และอาณาเขตสีทองของเขาก็กลายเป็นสิ่งที่มีรูปธรรมขึ้นมา มันเปลี่ยนร่างเป็นหีบสีทองที่ขังเหรียญเอาไว้ภายใน


 


เคร๊ง!


 


หีบสีทองร่วงลงไปภายใต้พลังของเหรียญ แต่มันไม่ได้เข้ามาใกล้ดราก้อนเอทไปมากกว่านั้น


 


“เป็นอาณาเขตที่ทรงพลัง!” หานเซิ่นเอยชมคู่ต่อสู้


 


ดราก้อนเอทสามารถทำให้อาณาเขตของตัวเองแข็งตัวเหมือนกับโลหะได้ มันคล้ายคลึงกับโลงศพปีศาจของวิหคเก้าเศียร แต่อาณาเขตของดราก้อนเอทนั้นไม่ได้แค่ปิดผนึกคู่ต่อสู้เพียงอย่างเดียว

 

 

 


ตอนที่ 2394

 

“ดอลลาร์ วันนี้ข้าจะเป็นฝ่ายชนะ” ดราก้อนเอทตะโกนและชกใส่หานเซิ่น ภายในอาณาเขตสีทองของเขา หมัดของเขาอัดแน่นจนกลายเป็นมังกรทองที่พุ่งเข้าใส่หานเซิ่น


 


‘เราควรลองใช้พลังของอาณาเขตตงเสวียน’ หานเซิ่นคิด เขาเปิดใช้อาณาเขตตงเสวียนที่ล่องหน และทันใดนั้นโลกรอบๆตัวหานเซิ่นก็เต็มไปด้วยฟันเฟืองที่กำลังหมุนจำนวนนับไม่ถ้วน


 


หานเซิ่นมองเห็นหมัดมังกรทองและพลังอาณาเขตของคู่ต่อสู้ พวกมันมาจากฟันเฟืองจักรวาลของดราก้อนเอทที่กำลังหมุนฟันเฟืองรอบๆเพื่อให้กำเนิดพลังที่มากขึ้น


 


ภายในรัศมีของอาณาเขตตงเสวียน หานเซิ่นสัมผัสได้ถึงอาณาเขตของดราก้อนเอทที่ส่งผลกระทบต่อฟันเฟืองจักรวาล ซึ่งอาณาเขตตงเสวียนของหานเซิ่นเองก็ส่งผลกระทบต่อพวกมันเช่นเดียวกัน


 


หานเซิ่นยกมือขึ้นและดันมือออกไปข้างหน้า มันไม่ได้ส่งผลอะไรต่อดราก้อนเอท แต่เขาใช้อาณาเขตตงเสวียนเพื่อควบคุมฟันเฟืองที่อยู่ใกล้เคียง


 


ในจังหวะนั้นมีบางสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้น ฟันเฟืองจักรวาลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของดราก้อนเอทหยุดหมุนอย่างกะทันหัน และอาณาเขตแห่งราชันกับหมัดมังกรทองของดราก้อนเอทก็สูญเสียพลังของพวกมันไป


 


มันเป็นจังหวะที่น่าอับอายอย่างประหลาดสำหรับดราก้อนเอท


 


มันเหมือนกับการที่นักแสดงถ่ายหนังโดยใช้เทคนิคพิเศษในฉากต่อสู้ การต่อสู้จะดูมหัศจรรย์เมื่อถูกเสริมด้วยเทคนิคพิเศษ แต่เมื่อผ่านไปครึ่งวิดีโอ เทคนิคพิเศษก็หายไป ดราก้อนเอทชกหมัดออกไปใส่หานเซิ่น แต่เมื่อพลังในการโจมตีหายไป หมัดจริงๆของดราก้อนเอทก็ยังคงอยู่ห่างจากหานเซิ่นไปถึงหนึ่งร้อยเมตร ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


ดราก้อนเอทไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เขาลองชกอีกหมัดหนึ่ง แต่มันไม่มีพลังอะไรถูกปล่อยออกมา


 


“ไม่… นี่มันเป็นไปไม่ได้… ทำไมข้าถึงใช้อาณาเขตและพลังไม่ได้?” ดราก้อนเอทจ้องมองหานเซิ่นอย่างตกตะลึง


 


ดราก้อนวันและดราก้อนระดับราชันคนอื่นเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน พวกเขามองไม่เห็นอาณาเขตตงเสวียนที่ล่องหนอยู่ พวกเขาเห็นแค่ว่าหานเซิ่นยกมือของตัวเองขึ้นและดันมือออกไปข้างหน้าก่อนที่อาณาเขตและพลังของดราก้อนเอทจะหายไป มันเป็นอะไรที่น่ากลัวมากๆ


 


หานเซิ่นดีใจเกินบรรยาย อาณาเขตตงเสวียนสามารถควบคุมทุกฟันเฟืองจักรวาลที่อยู่ในรัศมีของมันได้ นั่นหมายความว่าถ้าคู่ต่อสู้ไม่แข็งแกร่งกว่าเขาจนเกินไป เขาก็จะควบคุมฟันเฟืองของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย พลังอะไรก็ตามที่มาสัมผัสกับอาณาเขตตงเสวียนจะถูกยับยั้ง


 


แน่นอนว่าถ้าศัตรูแข็งแกร่งกว่าหานเซิ่นและใช้พลังที่เหนือกว่าเพื่อหมุนฟันเฟืองที่หานเซิ่นพยายามจะควบคุม อาณาเขตตงเสวียนก็จะไม่ทำงานได้ดีแบบนี้


 


แต่ถึงพลังของคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งกว่าหานเซิ่น อาณาเขตตงเสวียนก็ยังเป็นอะไรที่มีประสิทธิภาพอยู่ดี เพราะอย่างน้อยๆมันก็สามารถทำให้ฟันเฟืองจักรวาลรอบๆหมุนช้าลงได้ และมันยังเร่งความเร็วของฟันเฟืองในรัศมีได้อีกด้วย


 


พลังของอาณาเขตแห่งราชันทั่วไปจะส่งผลต่อฟันเฟืองจักรวาลที่เชื่อมต่อกับฟันเฟืองจักรวาลของผู้ใช้เท่านั้น แต่อาณาเขตตงเสวียนจะส่งผลต่อฟันเฟืองทั้งหมดที่อยู่ในรัศมีของมัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้อาณาเขตตงเสวียนเป็นอะไรที่น่ากลัว


 


และมันไม่ได้แค่ยับยั้งพลังของคู่ต่อสู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันยังมีฟังก์ชันอยู่อีกอย่างหนึ่ง


 


หานเซิ่นยกหมัดขึ้นและชกออกไปใส่ดราก้อนเอทที่ยังคงตกตะลึงอยู่


 


มังกรโลหะพุ่งออกไปจากหมัดของหานเซิ่นและตรงเข้าไปหาดราก้อนเอท มันเหมือนกับหมัดที่ดราก้อนเอทพยายามจะใช้ก่อนหน้านี้ไม่มีผิด


 


หานเซิ่นได้เห็นว่าหมัดของดราก้อนเอทหมัดส่งผลต่อฟันเฟืองจักรวาลยังไง ดังนั้นเขาจึงลองจำลองหมัดนั้นขึ้นมา เขาก็แค่ต้องลอกเลียนการเคลื่อนไหวของฟันเฟือง


 


แต่มันไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว นั่นเป็นเพราะมันเป็นพลังที่มาจากฟันเฟืองจักรวาลของหานเซิ่นแทนที่จะเป็นของดราก้อนเอท นั่นหมายความว่าพลังของการโจมตีนั้นแตกต่างกัน


 


ปัง!


“หมัดมังกรทอง… นั่นเป็นไปได้ยังไง…?” ดราก้อนเอทอึ้งจนลืมที่จะหลบมัน หมัดนั้นส่งเขากระเด็นออกไปขณะที่มีเลือดพุ่งออกมาจากปากของเขา


 


ดราก้อนวันและคนอื่นๆเองก็ประหลาดใจเช่นกัน หมัดมังกรทองเป็นวิชาประจำตัวของดราก้อนเอทที่ดัดแปลงมาจากวิชาลับของเผ่าดราก้อน มันเป็นวิชาเฉพาะของเขาคนเดียว แต่หานเซิ่นลอกเลียนแบบมันและใช้มันในเวลาไม่กี่วินาที นั่นเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว


 


“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเป็นมาร์คริสอันดับที่หนึ่งของจักรวาล ถึงจะเป็นระดับราชันเจ้าก็ยังแข็งแกร่งถึงขนาดนี้” ดราก้อนวันพูดขณะที่พยุงดราก้อนเอทขึ้นมา


 


“เจ้าพูดเกินไป ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน” หานเซิ่นพูดหลังจากนั้นเขาก็หันหลังเพื่อจะจากไป


 


ดราก้อนวันยกมือขึ้นเพื่อหยุดหานเซิ่นเอาไว้ เขาพูดขึ้นมา

“พวกเราพบคอร์ซีโน่เจเนอิค 2 ตัวที่เป็นระดับครึ่งเทพ เจ้าสนใจไหม?”


 


“พวกเราจะแบ่งกันยังไง?” หานเซิ่นถามดราก้อนวัน


 


ในคอร์แอเรียจักรวาลมีคอร์ซีโน่เจเนอิคอยู่มากมาย พวกมันเป็นระดับราชันเป็นอย่างน้อย แต่ยีนซีโน่เจเนอิคที่พวกมันมอบให้เป็นอะไรที่พิเศษมากๆ ยีนของคอร์ซีโน่เจเนอิคจะเสริมพลังให้กับอาณาเขตแห่งราชันได้ ยอดฝีมือระดับราชันมากมายแสวงหายีนคอร์ซีโน่เจเนอิคเพื่อจะเสริมพลังอาณาเขตของตัวเอง


 


หานเซิ่นรู้สึกสนใจ อาณาเขตแห่งราชันมีถึง 9 ขั้น และเขาก็จำเป็นต้องรีเซ็ตมันอีก ตอนนี้หานเซิ่นยังอยู่แค่ระดับราชันขั้นแรกเท่านั้น การจะฝึกฝนไปทีละขั้นๆเป็นอะไรที่ใช้เวลานาน ถ้าเขาเพิ่มระดับขึ้นด้วยการใช้ยีนคอร์ซีโน่เจเนอิค มันจะเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามาก


 


“มันเป็นกลุ่มคอร์ซีโน่เจเนอิคที่ใหญ่มากๆ” ดราก้อนวันพูด

“พวกมัน 2 ตัวเป็นคอร์ซีโน่เจเนอิคระดับครึ่งเทพ ข้ารับมือกับมันได้แค่ทีละตัว ถ้าเจ้าถ่วงเวลาพวกมันไว้ได้ตัวหนึ่ง ข้าจะมอบรางวัลที่ล่ามาได้ให้เจ้า 50 เปอร์เซ็นต์”


 


“50 เปอร์เซ็นต์จะไม่มากเกินไปหรอ?” ดราก้อนระดับราชันคนหนึ่งรีบพูดขึ้นมา


 


ดราก้อนวันโบกมือ “มันไม่มากเกินไป ไม่มีใครในหมู่พวกเราที่ถ่วงเวลาคอร์ซีโน่เจเนอิคระดับครึ่งเทพอีกตัวได้ พวกเราจะไม่มีโอกาสฆ่ากลุ่มของพวกมันได้ถ้าไม่ทำแบบนั้น เขาสมควรที่จะได้รับ 50 เปอร์เซ็นต์”


 


ดราก้อนวันหันกลับมาหาหานเซิ่นและพูด “เจ้าคิดยังไง?”


 


“นั่นฟังดูดี ตราบใดที่ข้าแค่ถ่วงเวลาซีโน่เจเนอิคครึ่งเทพตัวหนึ่ง”

หานเซิ่นยอมรับข้อเสนอของพวกเขา นี่เป็นการมาเยือนคอร์แอเรียจักรวาลครั้งแรกของเขา ดังนั้นเขายังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ การร่วมมือกับเผ่าดราก้อนไม่ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายอะไร


 


“ถ้างั้นก็เป็นอันตกลง” ดราก้อนวันเซ็นสัญญากับหานเซิ่น หลังจากนั้นพวกเขาก็บินขึ้นท้องฟ้าไป ขณะที่พวกเขาเดินทาง ดราก้อนเอทก็ถามขึ้นมา

“ดอลลาร์ ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับราชันขั้นไหน?”


 


ดราก้อนวันและคนอื่นเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ พวกเขาสงสัยในเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ได้เห็นหานเซิ่นต่อสู้ ด้วยความสามารถที่หานเซิ่นแสดงออกมา พวกเขาคาดเดาว่าหานเซิ่นน่าจะเป็นระดับราชันขั้นที่ 5 เป็นอย่างน้อย เพราะไม่อย่างนั้นเขาจะเอาชนะดราก้อนเอทอย่างง่ายดายแบบนั้นได้ยังไง?


 


“ขั้นแรก” หานเซิ่นคิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปิดบังระดับของตัวเอง เพราะยังไงซะตอนนี้พวกเขาก็จะร่วมต่อสู้ด้วยกัน ไม่ช้าก็เร็วคนอื่นๆก็คงจะต้องรู้ว่าอาณาเขตแห่งราชันของเขายังอยู่ขั้นแรก การพูดโกหกไปในตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไร


 


เมื่อได้ยินคำตอบของหานเซิ่น ดราก้อนเอทก็เสียสมดุล ใบหน้าของเขาดูไม่อยากจะเชื่อ


 


“เจ้าเป็นระดับราชันขั้นแรก?” ดราก้อนวันและคนอื่นๆหันมามองหานเซิ่นขณะพยายามทำสีหน้าที่ดูปกติเอาไว้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)