Super God Gene 2363-2370
ตอนที่ 2363
หอยสังข์สายรุ้งวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่เปลวไฟยังคงลุกไหม้บนเปลือกของมัน
“นกแดงน้อยผู้นำมาซึ่งความตาย!” หานเซิ่นยิ้มราวกับคนบ้า ถึงแม้เขาจะรู้ว่านกแดงน้อยเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า แต่การที่มันสามารถสร้างความเสียหายให้กับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าตัวอื่นได้นั้นเป็นอะไรที่น่าประทับใจอย่างมาก
แถมนกแดงน้อยก็เพิ่งจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ไม่นาน ดังนั้นมันยังแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ได้อีก ในอนาคตมันอาจจะเติบโตกลายเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับแอนเชี่ยนท์วอเทอร์ก็อตก็เป็นได้
นกแดงน้อยส่งเสียงร้องด้วยความภาคภูมิ ขณะที่มันบินอยู่เหนือหอยสังข์สายรุ้ง หานเซิ่นวิ่งตามมันไปพร้อมกับตะโกน “เหลือลมหายใจสุดท้ายของมันไว้ ฉันต้องการฆ่ามันด้วยมือของฉันเอง!”
หานเซิ่นไล่ตามไป และในที่สุดหอยสังข์สายรุ้งก็รู้ไม่สามารถหนีไปไหนได้อีก เนื้อภายในเปลือกหอยของมันถูกย่างจนสุก และเปลือกหอยของมันก็เปลี่ยนเป็นสีขาวกึ่งโปร่งใส มันดูเหมือนกับหอยสังข์ที่ถูกจับทำบาร์บีคิว
“มันยังหายใจอยู่ไหม?” หานเซิ่นนำธันเดอร์ก็อตสไปค์ออกมาและรีบวิ่งเข้าไปหามัน มันเป็นถึงซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า ถึงแม้โอกาสที่จะได้รับวิญญาณอสูรจะต่ำ แต่หานเซิ่นก็อยากจะลองดู
ไฟรอบๆตัวนกแดงน้อยดับลงไปและมันลอยลงมาเกาะบนไหล่ของหานเซิ่น มันหันไปทางหอยสังข์สายรุ้งและสูดลมหายใจเข้า หลังจากนั้นเปลวไฟก็ถูกดูดกลับเข้าไปในท้องของมัน
หานเซิ่นฟาดธันเดอร์ก็อตสไปค์เข้าไปยังเนื้อที่ถูกย่างจนสุกของหอยสังข์ แต่มันเหมือนกับว่าเขาฟาดใส่ยางยืด ธันเดอร์ก็อตสไปค์นั้นเด้งกลับออกมา
หานเซิ่นพยายามรวบรวมพลังทั้งหมด แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงมากสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเจาะทะลวงเนื้อหนังของหอยสังข์ได้
ขณะที่พลังชีวิตของหอยสังข์สายรุ้งค่อยๆจางหายไป ร่างกายของมันก็ตกผลึก
หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ ของรางวัลมาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว แต่เขาไม่สามารถเอามันไปได้
ไม่นานหลังจากนั้นหอยสังข์สายรุ้งก็ตกผลึกอย่างสมบูรณ์ มันกลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับชิ้นงานศิลปะที่ทำขึ้นมาจากคริสตัลสายรุ้ง
“น่าเสียดาย”
หานเซิ่นไม่สามารถเจาะทะลวงเนื้อหนังของหอยสังข์สายรุ้งได้ ถึงแม้เขาจะใช้ธันเดอร์ก็อตสไปค์ของเขาก็ตาม
“การช็อตไฟฟ้าก็เป็นความเสียหายอย่างหนึ่ง นั่นจะถือว่าเราเป็นคนที่ฆ่ามันไหมนะ?” หานเซิ่นรู้สึกกังวลอย่างมาก โอกาสที่จะได้รับวิญญาณอสูรระดับเทพเจ้านั้นเป็นอะไรที่ยั่วยวนอย่างที่สุด
“ซีโน่เจเนอิคหอยสังข์คริสตัลสายรุ้งระดับเทพเจ้าถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”
หานเซิ่นรู้สึกรวาว่าเขาก้าวเข้าสู่สรวงสวรรค์เพียงเพื่อจะตกลงสู่นรกอันร้อนแรง เขาเป็นคนที่ฆ่ามันได้สำเร็จ แต่เขาไม่ได้รับวิญญาณอสูรระดับเทพเจ้า
“ช่างเถอะ อย่างน้อยเราก็ได้รับยีนซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า นั่นถือเป็นรางวัลที่ดีแล้ว” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเอง แต่เขายังคงคอตก
หานเซิ่นส่งร่างของหอยสังข์คริสตัลสายรุ้งกลับเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่ สิ่งที่ไม่มีชีวิตจะไม่ได้รับผลจากก็อตแซงชัวรี่เช่นเดียวกับร่างของเรเวนอาทิตย์
หอยสังข์ที่เข้าไปในร่างของกิเลนโลหิตเองก็หายไปหมดแล้วเช่นกัน ถึงแม้กิเลนโลหิตจะยังมีบาดแผลอยู่ทั่วตัว แต่มันก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงอะไร
กิเลนโลหิตเริ่มกินเนื้อของหอยสังข์ภูเขาและส่วนที่เหลืออยู่ของปลาไหลไฟฟ้า หานเซิ่นกัดฟันและมอบยีนซีโน่เจเนอิคของหอยสังข์ภูเขาให้กับกิเลนโลหิตเช่นกัน เขาต้องการให้มันฟื้นคืนพลังโดยเร็ว
หลังจากผ่านไป 2 วัน ก่อนที่หานเซิ่นจะเดินทางกลับไปที่เมืองใต้น้ำ เมื่อถึงตอนนั้นบาดแผลของกิเลนโลหิตก็ไม่เหลือให้เห็นอีกแล้ว แต่มันก็ยังต้องพักฟื้นอีกหน่อยก่อนที่จะหายดี
กิเลนโลหิตได้รับบาดเจ็บสาหัส และหอยสังข์ตัวน้อยก็ทำลายอวัยวะภายในของมัน มันได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ถ้ามันไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอ มันก็จะใช้เวลานานก่อนที่มันจะหายเป็นปกติ
หานเซิ่นสำรวจดินแดนใต้น้ำต่อไป แต่เขาไม่เจอซีโน่เจเนอิคระดับราชันอีก เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงพบซีโน่เจเนอิคระดับราชัน 2 ตัวและระดับเทพเจ้าหนึ่งตัวในบริเวณนั้นได้
หานเซิ่นอยากจะกลับไปที่รูนั่นเพื่อสำรวจดู แต่เขาไม่ถนัดเรื่องการย่อส่วนร่างกาย รูนั้นจะเล็กลงไปเรื่อยๆเมื่อเดินทางลึกเข้าไป ซึ่งในที่สุดมันก็มีความกว้างเท่าเข็มหมุด หานเซิ่นใช้เวลาขุดทางให้กับตัวเองอยู่นาน แต่เขาก็พบไม่อะไร สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจยอมแพ้
“เราควรจะพากิเลนโลหิตไปที่สวนกษัตริย์เพื่อรักษาตัว” หานเซิ่นตัดสินใจ
แน่นอนว่าหานเซิ่นไม่คิดจะรับการคุ้มครองของต้นไม้กษัตริย์อีกครั้ง เขาต้องการหามังกรกษัตริย์รากแก้วสักตัวเพื่อที่เขากับกิเลนโลหิตจะได้ดูดซับลมปราณกษัตริย์ ถ้ากิเลนโลหิตได้ดูดซับลมปราณกษัตริย์สักหน่อย กระบวนการฟื้นตัวของมันก็จะรวดเร็วขึ้น
ถึงแม้หานเซิ่นจะพยายามทำตัวไม่ใเป็นจุดเด่น แต่การที่เขาเข้าไปในสวนกษัตริย์ก็ดึงความสนใจของผู้คนอยู่ดี และมันเป็นเรื่องยากที่จะหามังกรกษัตริย์รากแก้วที่ไม่มีคนอื่นจองเอาไว้ได้
หานเซิ่นพบมังกรกษัตริย์รากแก้วตัวหนึ่ง และหลังจากที่มองดูดีๆ เขาก็ยิ้มออกมา เขาเบะปากและพูด
“มันคือองค์ชายดาบดาราผู้น่าสงสารนี่เอง”
หานเซิ่นบินเข้าไปหาองค์ชายดาบดาราโดยไม่ลังเล
องค์ชายดาบดารานั่งอยู่บนมังกรกษัตริย์รากแก้วตัวหนึ่งร่วมกับองครักษ์ของเขา เมื่อเขาเห็นหานเซิ่นบินตรงเข้ามา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“น้องชายคนดีของข้า เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าเจ้าควรจะเคารพคนที่อาวุโสกว่า? ข้าต้องการมังกรกษัตริย์รากแก้วตัวนี้ เจ้ารีบไสหัวไปซะ” หานเซิ่นพูด
องค์ชายดาบดาราข้องใจอย่างมากที่หานเซิ่นถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกโดยคุณหญิงมิร์เรอร์ ตอนนี้เมื่อได้ยินหานเซิ่นพูดอย่างนี้ มันก็ทำให้เขาโกรธขึ้นมา
“ข้าควรจะเคารพคนที่อาวุโสกว่า แต่ถึงพวกเราจะมอบมันให้กับเจ้า ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะรับลมปราณกษัตริย์บนหลังของมันได้อยู่ดี แบบนั้นเจ้าจะเอามันไปทำไม?”
องค์ชายและองค์หญิงคนอื่นรู้ว่าองค์ชายดาบดาราจับตัวหานเซิ่นไปที่ศาลยุติธรรม ด้วยนิสัยอาฆาตของไป๋อี้แล้ว ทุกคนรู้ว่าเขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ เหล่าองค์ชายและองค์หญิงจึงหันสายตามองการเผชิญหน้ากันที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“ดูเหมือนว่าพี่คนนี้คงจะต้องส่งสอนบนเรียนให้กับเจ้า”
หานเซิ่นหัวเราะออกมา เขารวบรวมพลังไปที่หมัดและชกออกไปด้วยวิชาหมัดช็อคกิ้งสกายของเอ็กซ์ตรีมคิง เขาชกหมัดออกไปทางองค์ชายดาบดาราที่นั่งอยู่บนหัวมังกร
“จัดการพวกเขา!” องค์ชายดาบดาราสั่งขณะที่มองไปที่กิเลนโลหิตด้วยความกลัว เขาไม่กล้าต่อสู้ด้วยตัวเอง
องครักษ์ 4 คนก้าวออกมาข้างหน้า 2 คนในหมู่พวกเขาเป็นถึงระดับครึ่งเทพ
โดยปกติแล้วหานเซิ่นจะปล่อยให้กิเลนโลหิตเป็นคนต่อสู้ แต่กิเลนโลหิตยังคงได้รับบาดเจ็บอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปล่อยให้มันออกมาต่อสู้ได้
หานเซิ่นหัวเราะและพูด “ให้พี่คนนี้สอนเจ้าถึงความไร้เทียมทานที่แท้จริงของเอ็กซ์ตรีมคิง!”
หลังจากนั้นเขาก็ส่งหมัดช็อคกิ้งสกายของเอ็กซ์ตรีมคิงเข้าใส่องครักษ์ทั้ง 4
“นี่ไป๋อี้บ้าไปแล้วหรอ?” องค์ชายและองค์หญิงทั้งหมดรู้สึกแปลกใจ
ถึงแม้เขาจะปลุกรูปปั้นอัลฟ่าให้ตื่นขึ้นมาและได้รับความคุ้มครองจากคิงอีซนับไม่ถ้วน แต่ตัวเขาเองก็ยังเป็นแค่ระดับราชันขั้นแรกอยู่ดี ด้วยความสามารถและร่างกายแห่งราชันออริจินอลวอเทอร์ อย่างมากเขาก็ต่อสู้กับยอดฝีมือระดับครึ่งเทพได้แค่คนเดียวเท่านั้น มันเป็นอะไรที่อวดดีเกินไปที่เขาคิดว่าจะรับมือกับคู่ต่อสู้ 4 คนพร้อมๆกัน
ตอนที่ 2364
“เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง จัดการเขา” องค์ชายดาบดาราสั่ง
“ไป๋อี้นี่บ้าขึ้นทุกวันๆ เขาโชคดีที่ปลุกรูปปั้นอัลฟ่าและได้รับการคุ้มครองของคิงอีซ แต่มันทำให้เขาหน้ามืดตามัว เขากลายเป็นคนที่อวดดีและมองไม่เห็นว่าจริงๆแล้วตัวเองเป็นใคร” องค์ชายสิบเก้าพูด
ไป๋หลิงซวงอยู่ใกล้ๆ เธอขมวดคิ้วและคิดว่าการกระทำของไป๋อี้เป็นอะไรที่บ้าบิ่นเกินไป
ในตอนที่หานเซิ่นได้รับการคุ้มครองจากคิงอีซ ไป๋หลิงซวงก็สงสัยว่าควรจะญาติดีหรือไปเป็นพันธมิตรกับเขาดีไหม แต่ตอนนี้เมื่อไป๋อี้กลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ความอวดดีก็เข้าครอบงำเขา
เธอไม่กลัวศัตรูที่เป็นดังเทพ แต่เธอกลัวที่จะร่วมมือกับคนที่อวดดีและทำอะไรเกินตัว ความใจร้อนและความบุ่มบ่ามของไป๋อี้มีแต่จะสร้างปัญหาให้กับเธอ ไป๋หลิงซวงเคยสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของเขาก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เธอไม่สงสัยแล้ว
หานเซิ่นไม่ได้กังวลว่าคนอื่นจะคิดกับเขายังไง เขาแค่ต้องการเลียนแบบนิสัยของไป๋อี้และพยายามปฏิบัติตัวเหมือนอย่างที่องค์ชายคนนั้นจะทำ
แถมหานเซิ่นก็ไม่ค่อยชอบหน้าองค์ชายดาบดาราเท่าไหร่ นี่ถือเป็นข้ออ้างอย่างดีที่หานเซิ่นจะสั่งสอนบทเรียนให้กับเขา
เมื่อหานเซิ่นใช้หมัดช็อคกิ้งสกายของเอ็กซ์ตรีมคิง องครักษ์ทั้ง 4 ก็ก้าวออกมาเพื่อป้องกันองค์ชายดาบดารา พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีกิเลนโลหิตและหันมารับมือกับหมัดของหานเซิ่นก่อนเป็นอันดับแรก
แต่พวกเขาไม่กล้าฆ่าหานเซิ่น พวกเขาแค่จะกำราบความหลงตัวเองของหานเซิ่นเท่านั้น
การฆ่าฟันในสวนกษัตริย์ถือเป็นความผิดใหญ่หลวง แต่ถ้าพวกเขาฆ่ากิเลนโลหิต พวกเขาก็จะไม่ถูกประหาร แต่แค่จะถูกจับขังคุกเท่านั้น เพราะยังไงซะลุงขององค์ชายดาบดาราก็เป็นกัปตันของศาลยุติธรรม
ในทางกลับกันผลที่จะตามมาจากการฆ่าไป๋อี้นั้นเป็นอะไรที่ร้ายแรง
หานเซิ่นดูไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขารวบรวมพลังของหมัดช็อคกิ้งสกายจนถึงขีดสุด และหมัดนี่ของเขายังรวมกับสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากการมองดูแอนเชี่ยนท์วอเทอร์ก็อต เขาปรับปรุงหมัดช็อคกิ้งสกายให้เข้ากับความสามารถใหม่ที่ได้เรียนรู้มา
เมื่อเขาใช้มันหมัดช็อคกิ้งสกาย หมัดของเขาก็เป็นเหมือนกับคลื่นลูกใหญ่ คลื่นลูกแรกถูกปล่อยออกไป หลังจากนั้นคลื่นอีกลูกก็ตามมา พลังของคลื่นแต่ละลูกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นสามารถต่อกรกับองครักษ์ทั้ง 4 ได้ด้วยสิ่งนี้ และองครักษ์ทั้ง 4 ก็พบว่าพวกเขาตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ
ในตอนแรกองครักษ์ระดับครึ่งเทพทั้ง 2 คนไม่กล้าจะลงมือ พวกเขากลัวว่าจะพลั้งมือฆ่าองค์ชายสิบหก แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่หมัด ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง
มันไม่ใช่แค่องครักษ์ทั้ง 4 เท่านั้นที่ตกใจ องค์ชายดาบดารา ไป๋หลิงซวง องค์ชายสิบเก้าและคนของราชวงศ์คนอื่นก็ยืนมองอย่างตกตะลึง
หานเซิ่นเป็นเหมือนกับกษัตริย์ที่ปกครองทั้งจักรวาล หมัดของเขาหนักหน่วงยิ่งกว่าท้องทะเล องครักษ์ทั้ง 4 กระเด็นออกไปด้านหลังพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังก้อง มีด ดาบ หอกและหมัดแสงของพวกเขาถูกทำลาย
ภายใต้หมัดที่เหมือนกับมังกรจากท้องทะเลนั้นแม้แต่องครักษ์ระดับครึ่งเทพก็ไม่สามารถเอาตัวรอดจากมันได้ พวกเขาเป็นเหมือนกับเรือเล็กที่ล่องอยู่ในทะเลที่มีคลื่นลมแรง
“องค์ชายสิบหกฝึกหมัดช็อคกิ้งสกายจนถึงขั้นนี้เชียว?” องค์ชายสิบเก้าไม่สามารถเชื่อสายตาตัวเอง
ไป๋หลิงซวงรู้สึกตกใจเช่นกัน สมาชิกของเอ็กซ์ตรีมคิงคนอื่นสามารถใช้หมัดช็อคกิ้งสกายเวอร์ชั่นที่ทรงพลังกว่านี้ได้เช่นกัน แต่พวกเขาต้องฝึกฝนจนถึงระดับราชันขั้นที่ 8 หรือขั้นที่ 9 ก่อน ความจริงที่หานเซิ่นสามารถใช้หมัดช็อคกิ้งสกายที่ทรงพลังได้ตั้งแต่ระดับราชันขั้นแรกนั้นเป็นอะไรที่น่าตกตะลึง แม้แต่คนในราชวงศ์ระดับครึ่งเทพก็ไม่สามารถทำสิ่งที่หานเซิ่นทำได้
หานเซิ่นฝึกฝนหมัดช็อคกิ้งสกายที่พื้นฐานที่สุด ขณะที่ราชวงศ์คนอื่นฝึกฝนฉบับที่ล้ำลึกกว่า ไป๋เวยเองก็ฝึกหมัดเอ็กซ์ตรีมคิงไฟนอล มันควรที่จะมีพลังเหนือกว่าวิชาฉบับพื้นฐานมาก
หานเซิ่นกำลังใช้หมัดช็อคกิ้งสกายฉบับพื้นฐานก็จริง แต่มันได้ถูกผสมผสานกับสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากแอนเชี่ยนท์วอเทอร์ก็อต มันเป็นวิชาฉบับใหม่ที่หานเซิ่นปรับปรุงด้วยตัวเอง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ไป๋หลิงซวงรู้สึกแปลกใจ
การปรับปรุงวิชาหมัดช็อคกิ้งสกายให้เหมาะสมกับตัวเองนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะทำก็ได้
ไป๋หลิงซวงมองหานเซิ่นที่กำลังไล่ต้อนองครักษ์ทั้ง 4 ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
องค์ชายดาบดารากัดฟัน เขาอายุยังน้อย ด้วยเหตุนั้นเขาจึงพึ่งพาอำนาจของแม่ตัวเอง เขาเป็นที่รู้จักดีในหมู่คนของราชวงศ์ และการที่องครักษ์ทั้ง 4 คนของเขาถูกองค์ชายอย่างไป๋อี้ไล่ต้อนนั้นถือเป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้
มันจะไม่เป็นไรถ้าหานเซิ่นเป็นครึ่งเทพและองครักษ์ของเขามาจากเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นองครักษ์ของเขาถูกคัดเลือกมาจากฝ่ายอำนาจของเอ็กซ์ตรีมคิง องครักษ์ระดับครึ่งเทพทั้ง 2 คนของเขาถึงจะเป็นเลือดผสม แต่พวกเขาก็มีสายเลือดของเอ็กซ์ตรีมคิงอยู่ในตัว พวกเขาไม่ควรจะพ่ายแพ้ให้กับองค์ชายสิบหก
แต่ตอนนี้องครักษ์ระดับครึ่งเทพ 2 คนและองครักษ์ระดับราชันขั้นที่ 9 อีก 2 คนกำลังถูกไล่ต้อนโดยหานเซิ่น และองค์ชายดาบดาราเองก็รู้ดีกว่าตัวเขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน เขารู้สึกราวกับว่ามีงูมาฝังเขี้ยวลงในหัวใจของเขา ใบหน้าของเขามืดมนและบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชัง
“ไม่รู้มาก่อนเลยว่าน้องสิบหกจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ น่าประหลาดใจจริงๆ”
ชายที่นั่งอยู่บนหัวมังกรกษัตริย์ตัวหนึ่งพูดขึ้นมา เขาสวมใส่ชุดคลุมสีทองและเสียงของเขาก็หนักแน่น
ชายในชุดเกราะสีเขียวที่นั่งอยู่ข้างๆชายในชุดคลุมสีทองพูด
“ข้าไม่แน่ใจว่าเขาใช่น้องสิบหกจริงๆหรือเปล่า แบบนั้นท่านพี่ที่เป็นถึงองค์รัชทายาททำไมพูดราวกับว่าเขาเป็นคนสำคัญแบบนั้นล่ะ?”
“น้องสี่ เจ้าพูดผิดแล้ว ถ้าท่านพ่อยอมรับเขา นั่นก็หมายความว่าเขาคือน้องสิบหก” องค์รัชทายาทพูด
องค์ชายสี่หัวเราะ “ข้าไม่คิดแบบนั้น พวกเราต่างก็รู้ดีว่าน้องสิบหกเป็นคนยังไง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาฉลาดถึงขนาดนี้? เขาต่อสู้กับองครักษ์ 4 คนพร้อมกันโดยใช้เพียงแค่วิชาหมัดวิชาเดียว และเขาก็เล่นงานเหล่าองครักษ์จนหมดท่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่น้องสิบหกจะทำได้ เขาเป็นคนที่โง่เขลา”
องค์รัชทายาทหลี่ตาขณะที่มองไปที่หานเซิ่น
“ใครจะรู้? บางทีพวกเราอาจจะประเมินเขาต่ำเกินไป”
องค์ชายสี่ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาจ้องมองหานเซิ่นที่กำลังเฉิดฉาดด้วยความรุ่งโรจน์ของทั้งเทพและปีศาจ
ปัง!
หานเซิ่นชกหมัดเข้าไปถูกองครักษ์ระดับครึ่งเทพคนหนึ่ง หมัดช็อคกิ้งสกายของเขาถูกใช้ติดต่อกันหลายครั้ง และพลังของมันก็ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ยอดฝีมือระดับครึ่งเทพก็ไม่สามารถทนต่อหมัดของเขาได้ หานเซิ่นชกไปถูกอกขององครักษ์คนนั้นจนยุบเข้าไปเข้าใน
วินาทีต่อมา หานเซิ่นก็ชกอีกหมัดไปที่หัวขององครักษ์ราวกับดาวตก พลังอันน่ากลัวนั้นเป็นเหมือนกับแม่น้ำที่ตกลงมาจากท้องฟ้า
“ไป๋อี้! ถ้าเจ้าฆ่าองครักษ์ของข้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!” องค์ชายดาบดาราร้องตะโกน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ข้าไม่กล้า” หานเซิ่นพูดขณะที่ชกหมัดช็อคกิ้งสกายเข้าไปที่องครักษ์ระดับครึ่งเทพคนเดิม
ตอนที่ 2365
เมื่อหานเซิ่นปลดปล่อยหมัดช็อคกิ้งสกายออกไป กระดูกขององครักษ์ระดับครึ่งเทพก็ถูกบดขยี้ มันไม่มีกระดูกแม้แต่ชิ้นเดียวที่ยังอยู่ในสภาพดี ร่างกายของเขาร่วงลงไปกองกำพื้นราวกับกระสอบ
หานเซิ่นเอื้อมมือไปจับองครักษ์ระดับครึ่งเทพคนนั้นและยกเขาขึ้นมา ร่างกายของเขายับเยิน แต่เขายังคงมีลมหายใจ หานเซิ่นโยนเขากลับไปให้องค์ชายดาบดารา
“ตามที่เจ้าขอ เขายังมีชีวิตอยู่” หานเซิ่นพูด
“ไป๋อี้ ข้าจะฆ่าเจ้า” องค์ชายดาบดารารับร่างองครักษ์เอาไว้ หานเซิ่นทำลายแม้กระทั่งยีนซีโน่เจเนอิคขององครักษ์คนนั้น นั่นทำให้องค์ชายดาบดาราโกรธมากๆ
“นี่ข้าอุส่าดีกับเจ้า เจ้าขอให้ข้าไว้ชีวิตเขา ข้าก็ไม่ฆ่าเขาแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่พอใจ การเป็นพี่ชายช่างเป็นอะไรที่ยากลำบากจริงๆ” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็กระโดดไปหาองครักษ์อีก 3 คน
องครักษ์อีก 3 คนที่เหลือทั้งโกรธและกลัว พวกเขาอยากจะวิ่งหนีไป แต่หมัดช็อคกิ้งสกายนั้นลงมาหาพวกเขาเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาไม่สามารถหนีจากมันได้ แต่ถ้าพวกเขาพยายามจะป้องกันมัน พลังนั้นก็จะบดขยี้ร่างกายของพวกเขา พลังหมัดเข้ามาหาพวกเขาทีละคน องครักษ์ระดับราชันขั้นที่ 9 ร่วงไปก่อน หลังจากนั้นองครักษ์ระดับครึ่งเทพก็ร่วงตามไปเช่นกัน หานเซิ่นบดขยี้ร่างกายของพวกเขาในไม่กี่หมัด และโยนร่างกายของพวกเขากลับไปให้องค์ชายดาบดารา
คนของราชวงศ์ที่อยู่ใกล้เคียงตกตะลึงกับความโหดร้ายและความแข็งแกร่งของหานเซิ่น มันทำให้พวกเขาต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับวิธีที่จะปฏิบัติกับหานเซิ่นในอนาคต
องค์ชายดาบดารากัดฟัน เขาอดกลั้นความอยากที่จะโจมตีหานเซิ่นด้วยตัวเองเอาไว้ เขาจ้องมองไปที่หานเซิ่นขณะที่แบกร่างองครักษ์ทั้ง 4 เดินจากไป
“องค์ชายดาบดาราคนนั้นใจเสาะชะมัด นี่เขาจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างนั้นหรอ?” องค์ชายสิบเก้าเบะปากด้วยความเย้ยหยัน
“นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นคนที่น่ากลัว องค์ชายดาบดาราไม่ใช่คนที่จะถูกควบคุมโดยอารมณ์ชั่ววูบ”
ไป๋ชางลังเดินเข้ามา เขาถอนหายใจและพูด “คนของราชวงศ์ในรุ่นของพวกเราเป็นรุ่นที่มีทั้งความหวังและสิ้นหวังที่สุดเท่าที่เคยมีมา มันมีคนของราชวงศ์ที่ยอดเยี่ยมอยู่มากเกินไป และตอนนี้มันก็มีคนอย่างองค์ชายสิบหก องค์ชายสิบเจ็ดหรือแม้แต่องค์ชายดาบดารา เมื่อถึงเวลาที่ใครคนหนึ่งขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากท่านพ่อ มันจะไม่สงบสุขเป็นแน่”
“ความโกลาหลเป็นอะไรที่สนุก ไม่อย่างนั้นชีวิตก็เป็นเหมือนน้ำในสระที่หยุดนิ่ง นั่นเป็นอะไรที่น่าเบื่อ” องค์ชายสิบเก้าพูด
ทุกคนมองดูหานเซิ่นปีนขึ้นไปบนมังกรกษัตริย์รากแก้ว ไม่มีใครกล้าไปยั่วโมโหเขา เพราะยังไงซะเขาก็เพิ่งจะกำราบองครักษ์ระดับครึ่งเทพไป ราชวงศ์คนอื่นจึงรู้ตัวดีว่าพวกเขาไม่สามารถต่อกรกับหานเซิ่นได้ ส่วนคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้ก็รู้ว่าไม่ควรจะทำแบบนั้นภายในสวนกษัตริย์
หานเซิ่นพากิเลนโลหิตขึ้นไปนั่งบนหัวมังกรร่วมกับเขา ขณะที่ราชวงศ์คนอื่นแยกย้ายกันไปหามังกรกษัตริย์ของตัวเอง
หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ใบไม้สีเหลืองของต้นไม้กษัตริย์ก็เริ่มเรืองแสงขึ้นมา มังกรกษัตริย์รากแก้วคำรามและดำลงไปใต้ดิน
มันไม่เหมือนกับมังกรกษัตริย์ขนาดเล็กที่หานเซิ่นเคยใช้ก่อนหน้านี้ มังกรกษัตริย์รากแก้วตัวนี้มีขนาดใหญ่และมันก็ลงไปใต้ดินได้ลึกกว่า มันเข้าใกล้แหล่งพลังมากกว่า
ในตอนที่หานเซิ่นฝึกร่วมกับไป๋เวย แหล่งพลังนั้นดูเหมือนกับดวงอาทิตย์สีทองที่ไกลออกไป แต่ตอนนี้เขาอยู่ใกล้มากๆและมันก็ใหญ่เกินบรรยาย
คลื่นลมปราณกษัตริย์สีทองเริ่มหลั่งไหลออกมาหาหานเซิ่น ลมปราณกษัตริย์ที่หานเซิ่นดูดซับเข้าไปจะช่วยสกัดพลังในร่างกายของเขา
กิเลนโลหิตดูดซับลมปราณกษัตริย์เข้าไปอย่างละโมบ และมันก็ดูสุขภาพดีขึ้นมาก
หลังจากที่หานเซิ่นดูดซับลมปราณกษัตริย์เข้าไป 30 คลื่น เขาก็ได้ยินเสียงประกาศในหัว
“ยีนระดับดยุก+1”
หานเซิ่นตกใจ แต่เขาก็รู้สึกดีใจมากๆด้วยเช่นกัน “จริงๆแล้วคลื่นของลมปราณกษัตริย์พวกนี้ก็คือยีนซีโน่เจเนอิคอย่างนั้นหรอ?”
ในครั้งก่อนหานเซิ่นอยู่ห่างไกลไปจากต้นไม้กษัตริย์ ลมปราณกษัตริย์ที่เขาดูดซับเข้าไปจึงอ่อนแอเกินกว่าที่จะได้รับยีนระดับดยุก แต่ตอนนี้เขามีลมปราณกษัตริย์มากมาย และเขาก็สามารถดูดซับพวกมันได้อย่างเต็มที่
ก่อนหน้านี้หานเซิ่นไม่ได้รู้สึกสนใจในลมปราณกษัตริย์ แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา เขาดูดซับลมปราณกษัตริย์เข้าไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาดูดซับลมปราณกษัตริย์คลื่นที่ 50 เข้าไป เสียงประกาศก็ดังขึ้นอีกครั้ง
‘ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ เราก็ไม่จำเป็นต้องออกไปหาซีโน่เจเนอิคเพิ่มอีก เพียงแค่ดูดซับลมปราณกษัตริย์นี่ก็จะมอบยีนระดับดยุกให้กับเราอย่างเพียงพอ!” หานเซิ่นคิดขณะที่ดูดซับลมปราณกษัตริย์อย่างบ้าคลั่ง
ขณะที่มังกรกษัตริย์ยังอยู่ใต้ดิน ยีนระดับดยุกของหานเซิ่นก็เพิ่มขึ้นจนเต็มหนึ่งร้อยพ้อย เขาดูดซับลมปราณกษัตริย์เข้าไปอีก แต่ยีนระดับดยุกของเขาไม่เพิ่มขึ้นไปมากกว่านั้น
หานเซิ่นใช้ยีนระดับดยุกทั้งหนึ่งร้อยพ้อยเพื่อปลดล็อคยีนแรกของเรื่องราวของยีน
มันเป็นกระบวนการที่ราบรื่นเหมือนกับตอนที่ปลดล็อคยีนวิชากายหยก หลังจากที่เรื่องราวของยีนปลดล็อคยีนขั้นแรกแล้ว เขาก็ได้รับร่างแอสทรอลมา
เมื่อยีนระดับดยุกทั้ง 100 พ้อยหายไปแล้ว หานเซิ่นก็เริ่มดูดซับลมปราณกษัตริย์ต่อ ยีนระดับดยุกของเขาเริ่มถูกสะสมอีกครั้ง
“นี่มันของดีจริงๆ” หานเซิ่นยิ้ม เมื่อได้มังกรกษัตริย์รากแก้วนี้มาแล้ว เขาก็ไม่คิดจะจากไปไหน เขามีแผนที่จะใช้ลมปราณกษัตริย์เพื่อปลดล็อคยีนของวิชาจีโนอื่นๆอีก
ที่ไหนสักแห่งภายในอาณาจักรกษัตริย์ มันมีภูเขาลูกหนึ่งลอยอยู่ในความมืดมิด ภูเขานั้นดูใหญ่มหึมา และไม่ว่าใครจะใช้เวลาบินขึ้นไปสู่ยอดของมันสักแค่ไหน มันก็ไม่มีวันที่เขาจะไปถึงยอดของภูเขาได้
มันถูกรู้จักกันในชื่อภูเขาเอ็กซ์ตรีม ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 ภูเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอาณาจักรกษัตริย์ ตำนานที่น่าสะพรึงกลัวกล่าวขานถึงการมีอยู่ของมัน และยอดฝีมือมากมายต่างก็ถูกฆ่าตายขณะที่พยายามขึ้นไปให้ถึงยอดภูเขา ตำนานกล่าวไว้ว่าสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพและระดับเทพเจ้ามากมายเร่ร่อนอยู่ที่นั่น
ความลับของภูเขาเอ็กซ์ตรีมยังไม่ถูกค้นพบ และมันก็ยังมีสถานที่หลายแห่งบนภูเขาที่แม้แต่ราชาไป๋เองก็ยังไม่กล้าไปสำรวจ
บนด้านซ้ายของภูเขาเอ็กซ์ตรีม ชายที่ดูเหมือนกับผีคนหนึ่งกำลังเดินไปตามเส้นทางของภูเขา
ทุกก้าวที่เขาเดินออกไปนั้นเหมือนกับว่ามีพลังลึกลับบางอย่างลงมาสู่ตัวของเขา และทำให้ร่างกายของเขาเบาลงไปเรื่อยๆ เมื่อเขาเดินขึ้นไปบนทางลาดเอียงของภูเขาได้ครึ่งทาง ร่างกายของเขาก็ดูกึ่งโปร่งใส และมันดูเหมือนกับว่าเขากำลังจะจางหายไปได้ทุกเมื่อ
แต่ชายคนนั้นยังคงจ้องไปที่ยอดของภูเขาเอ็กซ์ตรีม และเขาก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าเพื่อจะไปให้ถึงยอดของมัน
“ครึ่งภูเขา ครึ่งท้องฟ้า ครึ่งเอ็กซ์ตรีม หนึ่งก้าว หนึ่งชีวิต หนึ่งโลก”
เมื่อเขาไปถึงครึ่งทาง เขาก็เห็นประโยคที่ถูกเขียนไว้บนหน้าผา ซึ่งมันเขียนเอาไว้ด้วยเลือด
ชายคนนั้นมองเห็นมัน แต่เขาก็ยังคงเดินไปข้างหน้าต่อไปโดยไม่สนใจคำบนหน้าผา
ตำนานบอกเอาไว้ว่าคำเหล่านั้นถูกทิ้งเอาไว้โดยกษัตริย์องค์ที่เจ็ดของเอ็กซ์ตรีมคิง กษัตริย์องค์ที่เจ็ดไปที่นั่นในตอนที่เขาเป็นครึ่งเทพ เขาหยุดอยู่ที่นั่นเพื่อเขียนคำเหล่านั้นเอาไว้ก่อนที่จะลงไปจากภูเขา
หลังจากนั้นมา ทายาททุกคนของเอ็กซ์ตรีมคิงที่มาเยือนภูเขาเอ็กซ์ตรีมและเดินผ่านคำเหล่านั้นไปล้วนแต่เสียชีวิตไป มันมีข้อยกเว้นเพียงแค่คนๆเดียวเท่านั้น
ข้อยกเว้นคนนั้นก็คือราชาเป่า กษัตริย์องค์ก่อนของเอ็กซ์ตรีมคิง ราชาเป่าเดินผ่านคำที่เขียนบนหน้าผาไป แต่เขารอดกลับมาได้ เขาไม่เคยพูดถึงเกี่ยวกับประสบการณ์บนภูเขาเอ็กซ์ตรีม เขาบอกเอาไว้แค่ว่าใครที่โชคดีพอจะไปถึงยอดของภูเขาเอ็กซ์ตรีมได้ คนๆนั้นจะกลายเป็นที่สุดในรุ่นตัวเองและได้รับร่างกายที่ไร้เทียมทาน
ตอนที่ 2366
หินนั้นดำมืดราวกับหมึก พวกมันดูดซับแสงที่ส่องมาโดยไม่มอบอะไรกลับคืนมา
เหล่ายอดฝีมือระดับดยุกใช้พลั่วขุดก้อนหินอย่างเหน็ดเหนื่อย ประกายแสงปรากฏขึ้นในการกระแทกแต่ละครั้ง และส่วนเล็กส่วนน้อยของหินก็ถูกขุดออกไปทีละนิดๆ
เหล่าดยุกและมาร์ควิสถูกใช้งานราวกับทาส ขณะที่เหล่าบารอนและไวเคานต์รับหน้าที่ในการขนย้ายหินที่ถูกขุดขึ้นมา
หินที่พวกเขาขุดได้จะถูกส่งไปยังโรงงานเพื่อสิ่งประดิษฐ์จากหินขึ้นมา
ชายคนหนึ่งยืนในหมู่พวกเขาและกำลังใช้ปากกาวาดลงบนหินอย่างระมัดระวังเพื่อทำเครื่องหมายว่าหินนั้นควรจะถูกแกะสลักเป็นอะไร
คนงานคนอื่นๆรับหน้าที่แกะสลักและมองชายคนนั้นด้วยความอิจฉา
เหล่าคนงานเป็นเหมือนกับสุนัขเฝ้ายามของเผ่าเฮลล์ ในที่แห่งนี้เผ่าเฮลล์ปกครองและเผ่าพันธุ์อื่นๆทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ทาส แม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันของเผ่าอื่นก็จะถูกปฏิบัติเหมือนทาสคนหนึ่ง
มันมีคริสตัลไลเซอร์ระดับมาร์ควิสคนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาดูผอมแห้ง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ที่เขามาอยู่ที่เผ่าเฮลล์ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ถูกใช้ให้ทำงานที่ต่ำต้อยเหมือนกับคนอื่น เขามีฝีมือพอที่จะไม่ต้องรับงานแบบนั้น และเขาก็สามารถเพลิดเพลินกับทรัพยากรมากมายของเผ่าเฮลล์ ผู้คนของเผ่าเฮลล์นั้นมองเขาต่างไปจากคนอื่นๆ
“หนิงเยวี่ย เจ้าทำได้ดีมาก พวกเราควรจะทำอะไรต่อไปเพื่อเพิ่มผลผลิตของพวกเรา?” เฮลล์คิงหลี่ตาและมองไปยังชายหนุ่มที่เดินเข้ามาในปราสาท
คริสตัลไลเซอร์คนนี้ดึงดูดความสนใจของเฮลล์คิง เขาเป็นคนนอกระดับมาร์ควิสคนหนึ่ง แต่ขุนนางเผ่าเฮลล์หลายคนต่างก็ชอบชมเขา ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องที่แปลก เพราะแม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันของเผ่าอื่นๆก็ไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนั้น
เฮลล์คิงคิดจะขอคำปรึกษากับชายหนุ่มเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง หลังจากนั้นก็ค่อยโยนอีกฝ่ายกลับไปเป็นทาส เพราะยังไงซะทุกคนก็รู้ว่ามีแค่คนของเผ่าเฮลล์เท่านั้นที่สำคัญ เผ่าพันธุ์อื่นมีไว้เพื่อเป็นทาสรับใช้เท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไป เฮลล์คิงก็เริ่มขอคำปรึกษาจากหนิงเยวี่ยบ่อยขึ้นเรื่อยๆ และทุกคำชี้แนะของหนิงเยวี่ยก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขา มันช่วยประหยัดเวลาและปัญหาของเฮลล์คิงได้มาก
ทุกครั้งที่เฮลล์คิงคิดจะส่งหนิงเยวี่ยกลับไปทำงานกับทาสคนอื่นๆ หนิงเยวี่ยก็จะคิดไอเดียใหม่ที่ดียิ่งกว่าเดิมขึ้นมาได้ เมื่อเฮลล์คิงได้ยินไอเดียใหม่ของหนิงเยวี่ย เฮลล์คิงก็จะอนุญาตให้หนิงเยวี่ยอยู่ต่อเพื่อทำตามไอเดียใหม่นั้น
หลังจากผ่านไปนานๆ เฮลล์คิงก็ไม่ใช่คนเดียวที่เคยชินกับการมีอยู่ของหนิงเยวี่ย ทุกคนในสังคมเผ่าเฮลล์ต่างก็เคยชินกับเขาเช่นเดียวกัน
“เลือด! เลือด! มันมีเลือดไหลออกมา!” เสียงกรีดร้องดังออกมาจากโรงงานหิน
หนิงเยวี่ยขมวดคิ้วและมองไปทางที่เสียงดังขึ้นมา หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งแตกร้าวและมีของเหลวสีแดงไหลออกมาจากรอยแตกนั้น กลิ่นของมันเหมือนกับเลือด
เหล่าทาสวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ขณะที่หนิงเยวี่ยจ้องมองไปที่หินสีดำก้อนใหญ่นั้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ในเวลาหลายเดือนที่หนิงเยวี่ยมาอยู่ที่นี่ มันเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วถึง 3 ครั้ง
ในครั้งแรกที่พวกเขาพบหินดำที่มีเลือดไหลออกมานั้น มันมีแมลงสีแดงตัวหนึ่งอยู่ภายใน แมลงตัวนั้นฆ่าทาสและยามรักษาการณ์หลายพันคน ซึ่งที่สุดแล้วเฮลล์คิงก็ต้องออกมาฆ่ามัน นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะกำจัดแมลงตัวนั้น
ครั้งที่ 2 ที่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ทาสที่อยู่ในบริเวณรอยหินดำที่มีเลือดไหลออกมานั้นติดพิษอะไรบางอย่าง พวกเขาทนต่อมันได้สิบวันก่อนที่ร่างกายของพวกเขาจะสลายกลายเป็นของเหลว ในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีคนตายอย่างน้อยหนึ่งหมื่นคน
ครั้งที่ 3 พวกเขาค้นพบหินดำที่มีเลือดไหลออกมา มันมีดาบเขียวเล่มน้อยเล่มหนึ่งพุ่งออกมาและทะลุหัวของดยุกคนที่ทำการตรวจสอบก้อนหินก้อนนั้น หลังจากนั้นมันก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าและหายลับไป
นี่เป็นครั้งที่ 4 ที่หนิงเยวี่ยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ ของเหลวสีแดงไหลออกมาจากรอยร้าวของหินทีละหยดๆ
ทันใดนั้นหนิงเยวี่ยก็เห็นนิ้วมือปรากฏออกมาจากรอยแยก นิ้วมือนั้นแวววาวเหมือนกับหยก มันดูงดงามมากๆ แต่เล็บมือนั้นเป็นเฉดสีแดงที่ดูน่าขนลุก เพียงแค่มองไปยังภาพที่น่าขนลุกนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้คนๆหนึ่งสั่นไปทั้งตัว
หนึ่งนิ้ว… สองนิ้ว… สามนิ้ว… นิ้วมือปรากฏออกมาจากรอยแยกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทั้งสิบนิ้วปรากฏออกมา มันก็มีเสียงแตกร้าวของหินดังขึ้น นิ้วมือนั้นฉีกก้อนหินจนขาดครึ่ง
ผู้หญิงที่สวมชุดเกราะสีแดงที่น่าขนลุกปรากฏตัวออกมา ดวงตาสีแดงของเธอเปล่งประกายขณะที่จ้องมองไปยังสิ่งมีชีวิตที่วิ่งหนีไปด้วยความกลัว
ทันใดนั้นผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว เธอเป็นเหมือนกับปีศาจที่ออกมาจากขุมนรก เธอกลายเป็นเงาสีเลือดและที่ไหนที่นิ้วมือของเธอเคลื่อนผ่านไป เสียงกรีดร้องของสิ่งมีชีวิตก็จะตามมา เลือดพุ่งออกมาจากร่างกายของพวกเขา และในเวลาอันสั้นสิ่งมีชีวิตมากมายก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
ผู้หญิงที่น่าสะพรึงกลัวไม่แสดงทีท่าที่จะหยุด เฮลล์คิงและยอดฝีมือระดับราชันของเผ่าพันธุ์เฮลล์รีบมายังที่เกิดเหตุเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ดินแดนแห่งนั้นเปลี่ยนเป็นสนามรบที่นองไปด้วยเลือด ซีโน่เจเนอิคสเปชที่ดูเหมือนกับนรกนั้นตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่
เลือด…มีเลือดอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ทั้งเลือดของเหล่าทาสและเลือดของเผ่าเฮลล์นองพื้น เศษเล็กเศษน้อยของร่างกายกระจัดกระจายไปทั่ว มันเกือบจะไม่มีใครรอดชีวิตอยู่ในซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นอีก
แต่มีคน 2 คนที่ยังคงยืนอยู่ พลังชีวิตของพวกเขาริบหรี่
หนึ่งในพวกเขาคือผู้หญิงประหลาดในชุดเกราะสีแดง ส่วนอีกคนก็คือเฮลล์คิง
ผู้หญิงประหลาดนั้นสภาพไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ดวงตาสีแดงของเธอส่องสว่างด้วยแสงที่น่ากลัว ชุดเกราะของเธอเต็มไปด้วยรอยร้าวและรอยบุบ ชิ้นส่วนของใบมีดดาบเล่มหนึ่งปักอยู่บนชุดเกราะของเธอ มันมีรูขนาดใหญ่อยู่ที่อกของเธอ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าอาวุธแบบไหนกันที่สร้างความเสียหายให้กับเธอ เธอมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่องและแทบที่จะยืนไม่ไหว
เฮลล์คิงเองก็ไม่อยู่ในสภาพดีเช่นกัน หนึ่งในเขาของเฮลล์คิงหักและหนึ่งในขาของเขาก็ขาดไป บริเวณท้องของเขาถูกตัดเปิดออกและไส้ข้างในเริ่มจะหลุดออกมา
ใบหน้าของเฮลล์คิงดูโกรธจัด ประชากรทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในซีโน่เจเนอิคสเปชนี้นั้นถูกฆ่าตายโดยผู้หญิงประหลาดคนนั้น นอกจากเขาแล้วไม่มีใครคนอื่นที่รอดชีวิต
“ข้าจะฆ่าเจ้า” เฮลล์อ้าปากและพ่นเลือดจำนวนมากออกมา เลือดเหล่านั้นซึมลงไปบนพื้นและเผยดาบสีเขียวเล่มน้อยออกมา
ถ้าหนิงเยวี่วได้เห็นมัน เขาก็จะจำได้ว่ามันคือดาบที่บินหายไปในตอนนั้น
เมื่อผู้หญิงเห็นดาบเขียวเล่มนั้น ดวงตาของเธอก็ดูหวาดกลัว
เฮลล์คิงคำราม เขาหยิบดาบเขียวขึ้นมาและวิ่งเข้าหาผู้หญิงประหลาด ดาบเขียวนั้นเล็งไปที่หัวของเธอ
ผู้หญิงประหลาดป้องกันดาบเขียวเล่มน้อยด้วยมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างแทงเข้าไปเพื่อคว้าหัวใจของเฮลล์คิง ดาบเขียวถูกหยุดเอาไว้ด้วยมือของเธอ ขณะที่มืออีกข้างบีบหัวใจของเฮลล์คิง
เคร๊ง!
ดาบเขียวเล่มน้อยตกลงสู่พื้นและแสงในดวงตาของเฮลล์คิงก็เริ่มจะจางหายไป ในจังหวะที่ไฟชีวิตของเขากำลังจะดับลง เฮลล์คิงก็คำรามออกมา แทนที่จะค่อยๆขาดใจตายไป เขากลับใช้พลังเฮือกสุดท้ายเพื่อคว้าคอของผู้หญิงประหลาดเอาไว้
ตอนที่ 2367
แสงสีเขียวแว็บขึ้นมาและหัวของเฮลล์คิงก็ถูกตัดขาด
ผู้หญิงประหลาดนั้นอึ้งไป เธอจ้องไปยังชายผอมแห้งที่ถือดาบสีเขียวอยู่ในมือ สิ่งมีชีวิตอื่นรอบๆตัวพวกเขาได้ตายไปหมดแล้ว
ผู้หญิงหลี่ตาและพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนที่เธอออกมาจากก้อนหินดำ เธอจำได้ว่าชายรูปร่างผอมคนนี้อยู่ในโรงงานหินในตอนที่เธอปรากฏตัวออกมา ดังนั้นเขาควรจะเป็นคนแรกๆที่ถูกเธอฆ่า
แต่ตอนนี้เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับมัน เธอก็จำไม่ได้ว่าเธอฆ่าเขา เขาดูธรรมดาเกินกว่าที่จะดึงดูดความสนใจของเธอ ด้วยเหตุนั้นเธอจึงแค่โยนแสงสีแดงไปทางเขาก่อนที่จะหันความสนใจไปที่คนอื่นๆ
“เขายังไม่ตาย?” ผู้หญิงประหลาดมองไปทางชายหนุ่มที่กำลังยิ้มออกมา เขาถือดาบเขียวอยู่ในมือ ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเขา เธอก็ต้องการยิ้มกลับไปให้เขา มันเหมือนกับว่ารอยยิ้มของเขาเป็นโรคติดต่อ
ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่หนิงเยวี่ยและพูด “เจ้าไม่เลวเลย ถ้าเจ้าเป็นพันธมิตรกับข้า เจ้าจะใช้พลังระดับเทพเจ้าของข้าได้ หลังจากนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นระดับเทพเจ้าเช่นเดียวกัน เจ้าจะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล”
หนิงเยวี่ยยิ้มออกมาและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาค่อยๆเดินเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ
“เจ้าไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรอ?” ผู้หญิงคนนั้นจ้องไปที่ใบหน้าของหนิงเยวี่ย เธอรู้ว่าควรจะหวาดระแวง แต่เธอไม่สามารถทนต่อรอยยิ้มที่เป็นเหมือนกับโรคติดต่อนั้นได้ เธอรู้สึกว่าต้องปฏิบัติกับเขาในฐานะมิตรสหายแทนที่จะเป็นศัตรู
“ข้าเชื่อเจ้า” หนิงเยวี่ยพูดอย่างจริงจัง
ผู้หญิงคนนั้นดูโล่งใจขึ้นมา ด้วยเหตุผลบางอย่างสิ่งที่หนิงเยวี่ยพูดนั้นให้ความรู้สึกน่าเชื่อถืออย่างที่สุด คำพูดของเขาดูหนักแน่นราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดคือสัจธรรมของจักรวาล
ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจออกมา และในตอนที่เธอจะตอบกลับไป หนิงเยวี่ยก็ใช้ดาบเขียวเล่มน้อยตัดหัวของเธอจนขาด
หัวของผู้หญิงคนนั้นกลิ้นไปกับพื้นด้วยดวงตาสีแดงที่ยังคงจ้องไปที่หนิงเยวี่ยราวกับว่าเธอไม่สามารถเชื่อสิ่งที่เขาเพิ่งจะทำ
หนิงเยวี่ยถอนหายใจและพูด “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะมอบพลังให้กับข้าได้ แต่ข้าเอาชนะคนๆนั้นด้วยพลังเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ข้าจำเป็นต้องก้าวขึ้นไปทีละขั้นด้วยตัวเอง ก่อนที่ข้าจะไปยืนต่อหน้าของเขาได้”
หนิงเยวี่ยเช็ดเลือดออกจากดาบเขียวเล่มน้อย ในจิตใจของหนิงเยวี่ยยังคงยืนอยู่ในเงาของคนๆนั้น ความแน่วแน่เปล่งประกายในดวงตาของหนิงเยวี่ย หลังจากนั้นพวกมันก็สงบลงไปอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปหาร่างของผู้หญิงประหลาดและเฮลล์คิง
…
หานเซิ่นครอบครองมังกรรากแก้วของเขาเอาไว้เพื่อดูดซับลมปราณกษัตริย์ เขาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ
กิเลนโลหิตเองก็ดูดซับลมปราณกษัตริย์เข้าไปเป็นจำนวนมาก และตลอดหนึ่งเดือนมันก็กลับมาหายดี ในช่วงเวลาเดียวกันหานเซิ่นก็ได้รับยีนระดับดยุกถึง 500 พ้อย
แต่เรื่องราวของยีนสามารถปลดล็อคยีนได้แค่ 3 ขั้นเท่านั้น ส่วนยีนระดับดยุกที่เหลือ หานเซิ่นใช้พวกมันเพื่อปลดล็อคยีนของวิชากายหยกและโลหิตชีพจร
วิชากายหยกดูเหมือนจะมีขีดจำกัดการปลดล็อคยีนอยู่ 3 ขั้นเหมือนกัน
“การปลดล็อคยีนขั้นแรกจะทำให้เราได้รับร่างแอสทรอล การปลดล็อคยีนขั้นที่ 2 จะมอบร่างเซเลสเทียลให้กับเรา การปลดล็อคยีนขั้นที่ 3 จะมอบบางสิ่งที่เหนือกว่าร่างเซเลสเทียล ร่างของยีนขั้นที่ 3 นี้ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจากร่างเซเลสเทียล แต่เรายังบอกไม่ได้ว่ามันต่างกันตรงไหนกันแน่”
หานเซิ่นประหลาดใจกับผลลัพธ์จากการปลดล็อคยีนขั้นที่ 3 ของเขา ถึงแม้เขาจะยังไม่เข้าใจมันอย่างเต็มที่ก็ตาม
ขณะที่หานเซิ่นฝึกฝนอยู่ในสวนของกษัตริย์นั้น เขาก็ยังได้รับรางวัลอีกอย่างหนึ่ง เขาพัฒนาศาสตร์ตงเสวียนไปสู่ระดับดยุกได้สำเร็จ แต่เนื่องจากเขาไม่มียีนระดับดยุกเหลืออีกแล้ว เขาจึงยังไม่ได้ปลดล็อคยีนมัน
ในตอนที่เรื่องราวของยีนปลดล็อคยีนขั้นที่ 3 ได้แล้ว ปรากฏว่าการจะดูดซับพลังของคิงอีซกลายเป็นเรื่องยาก มันเหมือนกับว่าคิงอีซรวมเข้ากับเซลล์ของหานเซิ่นอย่างสมบูรณ์ และพวกมันไม่สามารถถูกแยกออกจากกันได้อีกต่อไป
หานเซิ่นอยากจะอยู่ในสวนกษัตริย์ต่อเพื่อดูดซับลมปราณกษัตริย์เพิ่มอีก เขาต้องการจะปลดล็อคยีนของวิชาโลหิตชีพจรและศาสตร์ตงเสวียนให้ถึงขั้นที่ 3 เช่นกัน แต่ทว่าไป๋หลิงซวงปรากฏตัวขึ้นมาซะก่อน
“น้องสิบหก ข้าจะกลับไปที่เมืองไนท์ชาร์ม” ไป๋หลิงซวงพูดด้วยเสียงที่เป็นมิตร
“ข้าก็อยากจะไปที่นั่น แต่ข้าไม่มีบัตรเชิญ” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็คิดกับตัวเอง ‘ไม่มีทางที่จู่ๆเธอจะมาดีกับไป๋อี้แบบนี้ คราวนี้เธอต้องการอะไรอีกล่ะ?’
“ข้าจะเตรียมเชอร์และเครื่องดื่มเอาไว้ให้พร้อม ข้าจะเป็นเจ้าภาพในคืนนี้” ไป๋หลิงซวงมอบรอยยิ้มให้กับเขา
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปที่นั่น” ดวงตาของหานเซิ่นเต็มไปด้วยความละโมบ
แน่นอนว่าจริงๆแล้วหานเซิ่นไม่ต้องการจะไป แต่เนื่องจากไป๋หลิงซวงยื่นคำเชิญให้กับเขาแบบนี้ เขาก็คิดว่าจะไม่สามารถปฏิเสธเธอได้ ที่สุดแล้วเขาต้องไปอยู่ดี ดังนั้นการตอบตกลงในทันทีจะช่วยลดความสงสัยในตัวตนที่แท้จริงของเขาที่เธออาจจะมีอยู่
ในห้องสวีทสุดหรูหราภายในเมืองไนท์ชาร์ม หานเซิ่นนั่งอยู่บนโซฟาขณะที่มีเชอร์อยู่ในอ้อมแขน เขามองไปที่ไป๋หลิงซวงและพูด
“พี่สิบ บอกข้ามาว่าจริงๆแล้วท่านต้องการอะไร ท่านใจกว้างกับข้าอย่างมากในค่ำคืนนี้ แน่นอนว่านี่ต้องไม่ใช่แค่โอกาสให้พวกเราได้พบปะสังสรรค์กันเท่านั้น”
“น้องสิบหก การสอบของราชวงศ์กำลังจะมาถึงแล้ว เจ้ามีแผนที่จะทำยังไงกับมัน?” ไป๋หลิงซวงถามด้วยรอยยิ้ม
หานเซิ่นจิบไวท์และบีบก้นของเชอร์ด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะทำอะไรได้? ข้าก็เป็นแค่ระดับราชันขั้นแรกคนหนึ่ง มันมีคนที่เป็นระดับครึ่งเทพเข้าร่วมการสอบด้วย แม้แต่คนที่เป็นระดับเทพเจ้าก็มี ข้าจะไปทำอะไรได้?”
ไป๋หลิงซวงยังคงยิ้มให้กับเขาและพูด “บางทีอาจจะไม่เป็นแบบนั้น การสอบเป็นสิ่งที่ท่านพ่อจัดขึ้นเพื่อตรวจดูความก้าวหน้าของพวกเรา พวกเราไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่ง พวกเราแค่ต้องทำผลงานให้ดีพอที่จะทำให้ท่านพ่อประทับใจ ถ้าพวกเราทำแบบนั้นได้ พวกเราก็จะได้รับรางวัล”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ไป๋หลิงซวงก็พูดต่อ “น้องสิบหก ในช่วงนี้ข้าได้เห็นความก้าวหน้าของเจ้ากับตาตัวเอง ถ้าเจ้าทำผลงานได้ดีในการสอบ ท่านพ่อก็จะสังเกตเห็นถึงความก้าวหน้าของเจ้าเช่นกัน เจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม”
“ข้าไม่คิดแบบนั้น” หานเซิ่นพูดด้วยความรู้ที่ไม่สบายใจ
ไป๋หลิงซวงมองหานเซิ่นอยู่สักพักก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ถ้าเจ้าไม่อยากจะได้อันดับที่หนึ่งในการสอบจริงๆ ข้ามีหนทางที่จะทำให้พวกเราหาเงินได้เป็นจำนวนมาก เจ้าสนใจไหม?”
“ข้าขาดแคลนแทบจะทุกอย่าง แน่นอนว่าข้าขาดเงินด้วยเช่นกัน พี่สิบได้โปรดบอกข้ามา” หานเซิ่นพูด
ไป๋หลิงซวงยิ้ม “เจ้ารู้สินะว่าในการสอบจะมีภารกิจที่เจ้าต้องไปที่ภูเขากระดูก? ภูเขากระดูกนั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายมากๆสำหรับคนของราชวงศ์อย่างพวกเรา นอกจากพี่สี่และพี่สามที่เป็นระดับเทพเจ้าแล้ว ราชวงศ์คนอื่นๆที่ไปที่นั่นอาจจะทำไม่สำเร็จ แม้แต่องค์รัชทายาทเองก็ด้วย แต่น้องสิบหก เจ้านั้นต่างออกไป เจ้ามีการคุ้มครองจากคิงอีซ เจ้าจะต้องไปถึงยอดของภูเขากระดูกได้อย่างแน่นอน”
“ทำไมเจ้าไม่บอกข้ามาตรงๆว่าเจ้าต้องการอะไร?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว
“ถ้าเจ้าช่วยข้าไปถึงยอดของภูเขากระดูกได้ ข้าจะมอบอะไรก็ตามที่เจ้าต้องการ” รอยยิ้มของไป๋หลิงซวงหายไป และเธอดูจริงจังอย่างมาก
ตอนที่ 2368
การสอบถูกจัดขึ้นเพื่อวัดระดับความสามารถของคนในราชวงศ์ บางการสอบจะวัดศักยภาพด้านความเป็นผู้นำและพลังในตอนที่อยู่เป็นหมู่คณะ ในการสอบแบบนั้นจะอนุญาตให้องครักษ์เข้าร่วมด้วยได้
แต่การสอบอื่นที่เน้นไปที่ความสามารถส่วนบุคคลของคนๆนั้นก็จะมีเฉพาะคนของราชวงศ์เท่านั้นที่เข้าร่วมได้
หนึ่งในการสอบที่วัดความสามารถส่วนบุคคลก็คือการปีนภูเขากระดูกและขึ้นไปให้ถึงยอดของมัน
ภูเขากระดูกเป็น 1 ใน 3 ภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรกษัตริย์ มันไม่ได้อันตรายอย่างภูเขาเอ็กซ์ตรีม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการจะไปให้ถึงยอดของมันจะเป็นเรื่องง่าย
การปีนภูเขากระดูกเป็นบททดสอบที่จะแสดงถึงพลัง ความกล้าหาญและความอดทน
ภูเขากระดูกถูกเรียกกันทั่วไปว่าภูเขากระดูกเน่า สภาพแวดล้อมที่นั่นเป็นพิษสูงและคนของราชวงศ์ก็หัวรั้นเกินกว่าที่จะล้มเลิกความพยายามง่ายๆ พิษนั้นจะกัดกร่อนร่างกายของพวกเขาจนไม่เหลืออะไร มันมีเพียงกะโหลกที่ภาคภูมิของพวกเขาเท่านั้นที่เหลือทิ้งเอาไว้
หานเซิ่นไม่เคยไปที่ภูเขากระดูกเน่ามาก่อน ดังนั้นเขาไม่แน่ใจว่าต้องไปเจอกับอะไรกันแน่ เขารู้แค่ว่ามันสามารถทำลายความกล้าหาญและความอดทนของคนที่พยายามปืนขึ้นภูเขาได้
แต่ไป๋หลิงซวงบอกว่าถ้าคนที่มีอักษรคิงอีซตัวอาว(傲)หรือกู่(骨) พวกเขาก็มีโอกาสสูงที่จะขึ้นไปถึงยอดเขาภูเขา
หานเซิ่นได้รับการคุ้มครองจากคิงอีซจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงอักษรอาวและกู่ ด้วยเหตุนั้นไป๋หลิงซวงจึงยินดีที่จะจ่ายในราคาสูงเพื่อให้ได้ความช่วยเหลือจากเขา
แต่ที่ไป๋หลิงซวงต้องการขึ้นไปถึงยอดของภูเขากระดูกเน่านั้น ไม่ใช่เพราะเธอต้องการคำชมจากราชาไป๋ เธอต้องการผลประโยชน์ที่ภูเขากระดูกเน่าจะมอบให้กับเธอ ซึ่งรางวัลนั้นจะได้รับเมื่อขึ้นไปถึงยอดของภูเขาเท่านั้น
แต่อะไรกันแน่ที่ไป๋หลิงซวงต้องการ ไป๋หลิงซวงไม่ได้อธิบายและหานเซิ่นก็ไม่ได้ถาม
‘บนยอดภูเขากระดูกเน่ามีอะไรอยู่กันแน่?’ ขณะที่หานเซิ่นสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา
หานเซิ่นมองไปยังหมายเลขที่โทรมาและสังเกตเห็นว่ามันเป็นหมายเลขที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ เขาปลอมตัวเป็นไป๋อี้อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เก็บโทรศัพท์เก่าของตัวเองเอาไว้ ยังไงก็ตามเขาก็ต้องระมัดระวังและไม่ติดต่อหาใครคนอื่นบนดาวอุปราคา
แต่ตอนนี้จู่ๆก็มีเบอร์ประหลาดโทรมาหาเขา ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าสับสน เขารู้สึกลังเล แต่เขาก็รับสายอยู่ดี
ผู้หญิงผมดำยาวที่งดงามปรากฏบนหน้าจอ ใบหน้าของเธอดูศักดิ์สิทธิ์และดวงตาเขียวมรกตของเธอก็ดูมีเสน่ห์ หน้าอกของเธอมีขนาดเล็ก แต่อย่างอื่นทุกอย่างนั้นดีเยี่ยม
หานเซิ่นมองผู้หญิงในวิดีโอ เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่งดงามที่สุด แต่เขาก็ให้คะแนนความงามของเธอ 9 เต็มสิบ ถึงอย่างนั้นเขาก็จำไม่ได้ว่าเคยพบกับเธอมาก่อน
“เธอคือ?” หานเซิ่นมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและสังเกตสีหน้าที่สงบของเธอ ยิ่งเขามองดูเธอนานเท่าไหร่ เธอก็ดูคุ้นเคยขึ้นเท่านั้น เขาแค่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเธอที่ไหน
“ฉันคือหนิงเยวี่ย นายมีเวลาคุยไหม?” เสียงของผู้หญิงนั้นชัดเจน แต่คำพูดของเธอทำให้หานเซิ่นรู้สึกตกใจ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
หานเซิ่นไม่สามารถระบุถึงความรู้สึกคุ้นเคยของเขาได้ แต่เมื่อได้ยินชื่อหนิงเยวี่ย มันก็ทำให้เขารู้สึกตัว ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความรู้สึกคุ้นเคยมาจากไหนกันแน่
นอกจากร่างกายที่เป็นผู้หญิงแล้ว คนในหน้าจอนั้นมีท่าทางเหมือนกับหนิงเยวี่ยไม่มีผิด ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตามรกตที่ดึงดูดสายตา หานเซิ่นก็คงจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็อึ้งจนพูดไม่ออกอยู่ดี
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันโทรกลับไป” หานเซิ่นวางสายและไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ เขาเปิดเครื่องและโทรกลับไปที่หมายเลขนั้น
เมื่ออีกฝ่ายรับสาย ภาพของผู้หญิงที่งดงามคนนั้นก็ปรากฏบนคอมพิวเตอร์ของหานเซิ่น
“มีเรื่องอะไร?” หานเซิ่นกลั้นหัวเราะของเขาเอาไว้ เขาไม่คิดว่าคนอื่นจะสามารถปลอมตัวเป็นหนิงเยวี่ยได้
หนิงเยวี่ยเป็นบุคคลที่พิเศษมากๆ ดังนั้นการจะปลอมตัวเป็นหนิงเยวี่ยจึงถือเป็นเรื่องที่ยาก และถึงจะมีคนต้องการขโมยตัวตนของคนอื่นจริงๆ ทำไมพวกเขาต้องเลือกหนิงเยวี่ยด้วย? เขาไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงหรือคนสำคัญอะไรในจักรวาลจีโน ดังนั้นการปลอมตัวเป็นหนิงเยวี่ยจึงไม่มีประโยชน์อะไร?
เมื่อเห็นความพยายามกลั้นหัวเราะของหานเซิ่น ดวงตาของหนิงเยวี่ยก็กระตุก เขาเริ่มอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หนิงเยวี่ยถูกเผ่าเฮลล์จับตัวและถูกบังคับให้เป็นทาสอยู่ในซีโน่เจเนอิคสเปชลับของเผ่าเฮลล์ ในระหว่างที่เขาอยู่ที่นั่น ผู้หญิงประหลาดคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากหินดำก้อนหนึ่ง เธอฆ่าทั้งเผ่าเฮลล์และทาสที่อยู่ที่นั่นทุกคน
หนิงเยวี่ยคว้าดาบเขียวเล่มเล็กมาได้ในระหว่างความชุลมุน และเขาก็ใช้มันฆ่าเฮลล์คิงและผู้หญิงที่ออกมาจากก้อนหินคนนั้น หลังจากที่ฆ่าพวกเขาได้ หนิงเยวี่ยก็ค้นพบว่าเฮลล์คิงกับผู้หญิงคนนั้นเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าทั้งคู่ นี่ทำให้หนิงเยวี่ยรู้สึกตกใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมดาบเขียวเล่มเล็กนี้ถึงได้มีพลังมากขนาดนั้น
หนิงเยวี่ยมีพลังของมาร์ควิสคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นถึงเขาจะมีอาวุธระดับเทพเจ้าอยู่ เขาก็ไม่ควรจะฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าได้อยู่ดี แต่ดาบเขียวเล่มน้อยนี้สามารถตัดหัวของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งคู่บาดเจ็บหนัก แต่ถึงอย่างนั้นพลังของดาบเขียวเล่มน้อยก็ยังเป็นอะไรที่น่าตกใจอยู่ดี
“นายบอกว่านายใช้ดาบเขียวเล่มหนึ่งฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า 2 คนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นจ้องหนิงเยวี่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ถึงแม้หานเซิ่นจะใช้ธันเดอร์ก็อตสไปค์ เขาก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายกับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าได้ ส่วนหนิงเยวี่ยเป็นแค่มาร์ควิสคนหนึ่ง ดังนั้นพลังของดาบเขียวเล่มน้อยจึงเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ
“ใช่ และฉันก็ได้รับวิญญาณอสูรระดับเทพเจ้าดวงหนึ่งมา” หนิงเยวี่ยนำดาบเขียวเล่มน้อยออกมา
“นายได้รับวิญญาณอสูรระดับเทพเจ้า? นายนี่โชคดีจริงๆ!”
หลังจากที่หานเซิ่นหายตกใจไปแล้ว เขาก็ตรวจดูดาบเล่มน้อยของหนิงเยวี่ย ใบมีดนั้นมีความกว้าง 2 นิ้ว มันมีเฉดสีเขียวเข้มที่น่าสนใจ แต่นอกจากสีของมันแล้ว ตัวดาบก็ไม่ได้ดูพิเศษอะไร มันไม่มีการแกะสลักบนใบมีดและมันไม่มีแม้แต่ฝักที่จะเข้าคู่กับมันด้วยซ้ำ
“ฉันไม่อยากได้รับมัน” หนิงเยวี่ยพูดอย่างเคร่งขรึม เขาผลิกดาบเขียวเพื่อเผยอีกด้านหนึ่งให้หานเซิ่นดู มันมีรอยสีเขียวอยู่บนใบมีดราวกับว่ามีของเหลวบางอย่างเปื้อนผิวของมัน
“นั่นคืออะไร?” หานเซิ่นถาม
“ฉันไม่รู้ มันไม่ยอมหายไป”
หนิงเยวี่ยหยุดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อ “หลังจากที่ฉันฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าทั้ง 2 ร่างกายของพวกเขาก็กลายเป็นของเหลว หลังจากนั้นมันก็หายไป มันไม่มีอะไรหลงเหลือ ไม่มีแม้แต่ยีนซีโน่เจเนอิค”
เมื่อหานเซิ่นได้ยินแบบนั้น เขาก็ขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาก็ดูจริงจังขึ้นมา
สำหรับซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า ร่างกายทั้งร่างของพวกเขาคือยีนซีโน่เจเนอิค ดังนั้นการละลายมันจึงควรจะเป็นไปไม่ได้ มันต้องเกี่ยวข้องกับดาบเขียวเล่มน้อย
“เมื่อฉันเดินทางออกจากซีโน่เจเนอิคสเปช ครั้งแรกที่ฉันหลับ ฉันก็ตื่นมาในสภาพนี้” หนิงเยวี่ยถอนหายใจ
“นาย… นี่นายสูญเสีย…” หานเซิ่นไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
“ไม่ ความเป็นผู้ชายของฉันยังคงอยู่ แต่บางส่วนของฉันดูเหมือนกับของผู้หญิง” กล้ามเนื้อบริเวณแก้มของหนิงเยวี่ยกระตุก
ตอนที่ 2369
“นายลองใช้ดาบน้อยของนายเพื่อแก้ไขสถานการณ์แล้วหรือยัง?”
หานเซิ่นรู้สึกตัวขึ้นมาว่ากำลังพูดถึง ‘ดาบน้อย’ ของหนิงเยวี่ย และเขาก็รีบส่ายหัวเพื่อกำจัดความคิดเหล่านั้นไป
หนิงเยวี่ยมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆและพูด “ฉันลองทุกอย่างแล้ว! ฉันลองพยายามทำลายมันและโยนมันทิ้ง ฉันลองแม้กระทั่งขายมัน แต่ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ร่างกายของฉันก็ยังคงเป็นแบบนี้ และเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันนอนหลับ เจ้าสิ่งนี่ก็จะมาอยู่บนอกของฉัน ในตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา”
“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นดาบที่ชั่วร้าย… นายคิดจะทำยังไง?”
หานเซิ่นรู้ว่าหนิงเยวี่ยเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด มันไม่มีทางที่เขาจะติดต่อมาโดยไม่มีเหตุผล
“ดาบเขียวเล่มนี้มาจากเหมืองในซีโน่เจเนอิคสเปช ดังนั้นฉันจึงกลับไปสำรวจสถานที่แห่งนั้นอีกครั้ง และฉันก็พบเรื่องน่าสนใจบางอย่าง เผ่าเฮลล์อยู่ภายใต้การควบคุมของเผ่าพันธุ์อื่น และเผ่าพันธุ์นี้นั้นก็มอบหน้าที่ขุดเหมืองให้กับพวกเขา การสร้างปราสาทและรูปปั้นเป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาคือการหาอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายในเหมือง”
หลังจากที่หยุดไปชั่วครู่ หนิงเยวี่ยก็พูดต่อ “เพื่อหาว่าดาบเขียวเล่มนี้คืออะไร พวกเราต้องเริ่มจากเหมืองนั่น”
“ตอนนี้นายควรอยู่ห่างจากซีโน่เจเนอิคสเปชนั่นไปก่อน” หานเซิ่นพูด
“ตอนนี้ฉันอยู่บนดาวของพวก1000สมบัติ ก่อนที่จะจากมาฉันได้ลบร่องรอยทั้งหมดที่อยู่ที่นั่นไปแล้ว” หนิงเยวี่ยพูด
“นายรู้ไหมว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้?” หานเซิ่นพูด
“ฉันไม่รู้ จากการปะติดปะต่อข้อมูลทั้งหมดที่หามาได้ ฉันแค่รู้ว่ามีเผ่าอื่นคอยบ่งการเผ่าเฮลล์ มันไม่มีหลักฐานอะไรที่มาสนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้” หนิงเยวี่ยส่ายหัวของเขา
หานเซิ่นเงียบไปชั่วครู่ “ขอเวลาฉันสักหน่อย ตอนนี้ฉันเองก็กำลังมีปัญหาอยู่ ฉันยังเดินทางออกจากเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ได้ ถ้านายรอฉัน ฉันจะหาทางติดต่อกลับไปเมื่อฉันออกจากที่นี่ได้แล้ว”
“โอเค” หนิงเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรมากหลังจากนั้น พวกเขาคุยรายละเอียดกันอีกนิดหน่อยก่อนที่จะวางสายไป
ใบหน้าของหานเซิ่นบิดเบี้ยว เขาอยากจะหัวเราะ แต่เขาไม่สามารถทำได้
โชคดีที่หนิงเยวี่ยเป็นคนสุขุม ถ้าเหตุการณ์อย่างเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับหานเซิ่นล่ะก็ มันก็คงจะทำให้เขาเป็นบ้าไป
หานเซิ่นนำแผนที่ที่เป็นของเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงออกมาและมองหาซีโน่เจเนอิคสเปชที่หนิงเยวี่ยพูดถึง แต่มันไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็ค้นหาระบบจักรวาลที่มีซีโน่เจเนอิคสเปชนั้นอยู่และพบว่าระบบจักรวาลนั้นเป็นของเผ่าพันธุ์เล็กๆที่อยู่ภายใต้การปกครองของปราสาทนภา เผ่าพันธุ์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่เล็กมากๆ ถึงขนาดที่พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก
‘ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าพันธุ์เล็กๆนี้ ดูเหมือนว่าจะมีผู้คนไม่มากที่รู้เกี่ยวกับซีโน่เจเนอิคสเปชนั่น’
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘เผ่าเฮลล์และฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คงจะทำงานกันอย่างลับๆ นี่ไม่มีทางเป็นเขตแดนของพวกเขาไปได้ บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นพันธมิตรกับปราสาทนภา และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ขุดเหมืองที่นั่นอย่างลับๆ ถ้าพวกเขาลังเลที่จะกลับไปที่ซีโน่เจเนอิคสเปชนั่นอีกครั้ง พวกเราก็ยังมีโอกาสอยู่’
ขณะที่หานเซิ่นคำนึงถึงตัวเลือกของเขา เขาก็เริ่มจะรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ปัญหาใหญ่ของเขาในตอนนี้ก็คือการที่ไม่สามารถออกไปจากเอ็กซ์ตรีมคิงได้ คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่มีทางปล่อยเขาเป็นอิสระ
พลังที่จำกัดของหานเซิ่นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าถูกขุดออกมาจากซีโน่เจเนอิคสเปชนั้น ซึ่งในอตนนี้เขายังไม่มีพลังพอที่จะรับมือกับพวกมัน ถ้าเขาต้องการจะไปที่นั่น เขาก็ต้องพานกแดงน้อยไปด้วย ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ก็อาจจะเลวร้ายขึ้นมา ถ้าพวกเขาต้องไปเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าเข้า
ถ้าเขาไปดึงดูดบางสิ่งที่เลวร้ายเหมือนอย่างดาบเขียวของหนิงเยวี่ย หานเซิ่นก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกหนาวขึ้นมา
‘ยังไงหนิงเยวี่ยก็ไม่ใช่คนที่จะบุ่มบ่ามทำอะไร ตอนนี้เราควรจะให้ความสนใจกับสถานการณ์ของตัวเองก่อนที่จะทำอะไรอย่างอื่น’ หานเซิ่นขมวดคิ้วขณะที่คิดแบบนั้น
หานเซิ่นและหลันไห่ซินตกลงเวลาที่จะพบกัน ซึ่งหานเซิ่นเองก็อยากจะเห็นโบราณวัตถุที่เธอพูดถึงนี้เช่นกัน ถ้าเขาได้มันมา มันก็อาจจะมอบพลังให้กับเขา
ถึงแม้หลันไห่ซินจะเป็นคนที่ได้มันไป เธอก็เป็นภรรยาของไป๋อี้ อย่างนั้นแล้วหานเซิ่นที่เป็นคนช่วยเธอก็ควรจะได้รับอะไรบางอย่างจากข้อตกลงนี้อยู่ดี
หานเซิ่นคิดว่าการไปกับหลันไห่ซินไม่ถือว่าเป็นความคิดที่เลวร้ายอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรที่จะถูกลากตัวไป
หานเซิ่นเหลือเวลาไม่มากนักก่อนที่ถึงเวลานัดพบ ในช่วงนั้นแทนที่จะไปที่สวนของกษัตริย์ หานเซิ่นตัดสินใจที่จะศึกษาความลับของศาสตร์ตงเสวียนอยู่ที่บ้านแทน ศาสตร์ตงเสวียนนั้นแตกต่างจากวิชาจีโนอื่นๆ ถึงแม้เขาจะเลื่อนระดับมันได้แล้ว แต่เขาก็ยังต้องทำความเข้าใจถึงวิธีใช้พลังที่ได้มาอยู่ดี พวกมันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถใช้ได้ในทันที
หานเซิ่นยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธาตุของศาสตร์ตงเสวียน มันคล้ายคลึงกับออร่าศาสตร์ตงเสวียน แต่เขาสามารถบอกได้ว่ามันมีสิ่งสำคัญบางอย่างที่ต่างออกไป ตอนนี้หานเซิ่นแค่ต้องหาจะว่าสิ่งนั้นคืออะไร
นอกจากนั้นหานเซิ่นยังใช้เวลาเพื่อศึกษาวิญญาณอสูรของหอยสังข์ภูเขา ซึ่งเขาพบว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจ อาณาเขตแสงสีฟ้าที่มันปลดปล่อยออกมานั้นเป็นอะไรที่มหัศจรรย์ แต่เมื่อมันถูกปลดปล่อยใส่สิ่งมีชีวิต มันจะไม่ส่งผลโดยตรง หลังจากที่ทำการศึกษาค้นคว้าอยู่หลายวัน ในที่สุดหานเซิ่นก็ค้นพบบางสิ่ง เขาเข้าใจถึงวิธีการที่แท้จริงที่จะใช้อาณาเขตของหอยสังข์ภูเขา
นอกปราสาทใต้น้ำ เหล่าขุนนางของเผ่าไซเรนเริ่มจะมารวมตัวกัน รวมทั้งหมดแล้วพวกเขามีกันอยู่ราวๆ 2 ร้อยคนด้วยกัน มันมีไซเรนระดับราชัน 5 คนและระดับครึ่งเทพหนึ่งคนปะปนอยู่ด้วย
หลันไห่ซินเองก็เป็นระดับราชัน ผู้เหลือรอดของเผ่าไซเรนนั้นถือว่าไม่เลวเลย แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานให้กับหานเซิ่น พวกเขาฟังแค่คำสั่งของหลันไห่ซินเท่านั้น
ไป๋อี้เป็นเลือดบริสุทธิ์รุ่นสุดท้าย และเขาก็เป็นสามีของหลันไห่ซิน แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับเหล่าไซเรนแล้ว เขาไม่ได้มีความสำคัญอะไร
ถ้าหานเซิ่นไม่ได้แสดงความก้าวหน้าที่น่าประทับใจในช่วงนี้ พวกเขาก็คงจะยังมองหานเซิ่นด้วยความดูถูก
หลันไห่ซินพาเป่าออกไปที่แถวหน้าสุด เมื่อเห็นหานเซิ่นและกิเลนโลหิตเดินเข้ามา เป่าเอ๋อก็ดูหวาดกลัว เธอหนีไปซ่อนด้านหลังของหลันไห่ซิน
“ไม่ต้องกลัว ตราบใดที่พี่สาวอยู่ที่นี่ พี่จะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายหนูได้” หลันไห่ซินพูดปลอบและลดตัวลงเพื่อกอดเป่าเอ๋อ
‘เป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์อะไรอย่างนี้… มันคงจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายถ้าเธอไม่ได้มีอาชีพเป็นนักแสดง’ หานเซิ่นอยากจะร้องไห้กับภาพที่เห็น การแสดงของเป่าเอ๋อนั้นดีเกินไป ถ้าเขาไม่ได้รู้จักเป่าเอ๋อล่ะก็ เขาก็คงจะถูกหลอกอย่างสนิทใจ
หานเซิ่นหัวเราะออกมาและมองไปที่เป่าเอ๋อ “อย่าลืมว่านั่นเป็นลูกสาวของข้า ข้าขอเตือนเจ้า อย่าแตะต้องเป่าเอ๋อเป็นอันขาด”
เมื่อเห็นว่าเป่าเอ๋อยังคงหวาดกลัวและหลบซ่อนอยู่ด้านหลังของเธอ หลันไห่ซินก็หันมาจ้องหานเซิ่นและพูด “โอเค แต่เจ้าจะพานางกลับไปกับเจ้าไม่ได้”
หานเซิ่นมองไปที่เป่าเอ๋อและเลียริมฝีปากของเขา
“พวกเราจะไปพร้อมกัน พวกเราจะทิ้งนางเอาไว้ที่นี่ไม่ได้ ไม่ต้องกังวล นางจะไม่รบกวนอะไรพวกเรา” หลันไห่ซินจูงมือเป่าเอ๋อไปข้างหน้าและเมินเฉยต่อหานเซิ่น
หานเซิ่นยักไหล่และขี่กิเลนโลหิตตามหลังเธอไป
ไซเรนตามพวกเขามาอย่างเป็นระเบียบ พวกเขาทุกคนดูตื่นเต้น
“องค์ชาย ข้าขอรออยู่ที่นี่ได้ไหม?” ลิลลี่ยืนอยู่ด้านหลังของหานเซิ่นและขออนุญาตของเขาอย่างเบาๆ
“เจ้าไม่อยากไปอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นมองลิลลี่อย่างแปลกๆ
ลิลลี่กำลังจะตอบ แต่ทันใดนั้นหญิงแก่เผ่าไซเรนที่อยู่ข้างๆหลันไห่ซินก็พูดขึ้นมา
“นี่เป็นวันสำคัญของเผ่าไซเรน พวกเราทุกคนจำเป็นต้องไปเข้าร่วม นอกซะจากเจ้าไม่ใช่หนึ่งในพวกเรา?”
ลิลลี่ลดหัวลงต่ำและไม่พูดอะไรอีก
ตอนที่ 2370
หานเซิ่นขี่หลังกิเลนโลหิตและตามหลังหลันไห่ซินไปอย่างช้าๆ เขาทำเหมือนกับว่าไม่ได้สนใจอะไร แต่ความจริงแล้วเขาไม่รู้ว่าโบราณวัตถุนั้นอยู่ที่ไหน ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นไม่รีบไม่ร้อนอะไรเพื่อที่เขาจะได้อยู่ด้านหลังของหลันไห่ซิน
สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นสับสนก็คือหญิงแก่เผ่าไซเรนที่อยู่ข้างหน้าไม่ได้พาพวกเขาออกไปจากดาววอเทอร์โซน พวกเขากำลังมุ่งหน้าลึกเข้าไปในท้องทะเลแทน
‘นี่สมบัติของไซเรนอยู่บนดวงดาวแห่งนี้อย่างนั้นหรอ? ถ้าสมบัตินั้นอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วทำไมพวกเขาถึงยังไม่เอามันมาอีก’
หานเซิ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัว ‘บางทีหลันไห่ซินและคนอื่นอาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของโบราณวัตถุนั้น? บางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้นำมันมาที่นี่ แต่โบราณวัตถุนั้นคงจะอยู่บนดาววอเทอร์โซนตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงแล้ว”
หานเซิ่นครุ่นคิดเพิ่มอีกเพื่อคำนึงถึงรายละเอียดต่างๆ
‘แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คนที่ครอบครองโบราณวัตถุก็น่าจะเป็นแม่ของไป๋อี้ แต่ทำไมแม่ของไป๋อี้ถึงไม่มอบโบราณวัตถุให้กับลูกชายคนเดียวของเธอ? จากบันทึกของไป๋อี้ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าโบราณวัตถุอยู่ที่ไหนกันแน่ แต่คนที่รู้กลับเป็นหลันไห่ซิน สถานการณ์ทั้งหมดนี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด’
หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับมันเพิ่มอีก แต่เขาไม่สามารถหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจตามน้ำไป เขาจะปลาบปลื้มอย่างมาก ถ้าเขาได้โบราณวัตถุมาเป็นของตัวเอง แต่มันก็ไม่เป็นไรถ้าเกิดเขาไม่ได้มันมา เพราะยังไงซะมันก็ไม่ใช่ของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ด้วยการนำทางของหญิงแก่เผ่าไซเรน หานเซิ่นและคนอื่นไปหยุดอยู่ใกล้ๆกับภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ใต้ทะเล
หานเซิ่นขมวดคิ้วและมองไปรอบๆ
หานเซิ่นคุ้ยเคยกับภูเขาลูกนี่ ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่นั้นเขาได้ไล่ตามหอยสังข์ภูเขามา ความจริงแล้วที่นี่คือที่ที่เขาฆ่าหอยสังข์ภูเขาและหอยสังข์คริสตัลสายรุ้ง
แต่ครั้งก่อนหานเซิ่นอยู่ทางด้านซ้ายของภูเขา ตอนนี้เขายืนอยู่ที่ด้านขวาของภูเขาแทน
‘หอยสังข์คริสตัลสายรุ้งไม่มีทางเกี่ยวข้องกับโบราณวัตถุนี้หรอกใช่ไหม’
หานเซิ่นคิด เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งที่แปลกประหลาดมากๆกำลังเกิดขึ้น
ไป๋อี้ไล่ฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับสูงทั้งหมดของดาววอเทอร์โซน แต่ที่ภูเขาลูกนี้กลับมีซีโน่เจเนอิคระดับราชัน 2 ตัวและระดับเทพเจ้าอีกหนึ่งตัว นั่นถือเป็นอะไรที่แปลกประหลาด
“องค์หญิง มันไม่เป็นอะไร” หญิงแก่เผ่าไซเรนเดินออกไปตรงหน้าภูเขาก่อนที่จะหันกลับมาโค้งคำนับหลันไห่ซิน
หลันไห่ซินพยักหน้าและมอบเป่าเอ๋อให้กับองครักษ์หญิงเผ่าไซเรน หลังจากนั้นเธอก็เดินไปตรงหน้าภูเขาและถอดสร้อยคอออกมาจากคอของเธอ
สร้อยคอนั้นดูเรียบง่าย โซ่สีแดงของสร้อยคอประดับด้วยจี้หินสีฟ้า มันไม่ได้ส่องประกายเหมือนกับอัญมณี ดังนั้นมันจึงไม่ได้ดูพิเศษอะไร
ถ้าหลันไห่ซินไม่นำมันออกมาในตอนนี้ หานเซิ่นก็ไม่มีทางรู้เลยว่ามันเป็นของสำคัญ เขาจะเดินผ่านมันโดยไม่เหลียวมามอง ถ้ามันวางอยู่ด้านข้างของถนน มันดูธรรมดาเกินกว่าที่จะดึงดูดสายตาของผู้คน
มันมีรูสามเหลี่ยมขนาดเล็กอยู่ที่ไหล่เขา และหลันไห่ซินก็สอดหินสีฟ้าเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นก็มีเสียงบูมดังขึ้นมาจากภายในภูเขา
ภูเขาใต้น้ำทั้งลูกเคลื่อนไหวและเผยให้เห็นเส้นทางที่มืดมิด บันไดนำลึกลงไปใต้ภูเขา และเมื่อหานเซิ่นพยายามมองลงไป เขาก็เห็นแต่สีดำสนิทเท่านั้น
นอกจากนั้นน้ำทะเลก็ถูกแยกออกด้วยพลังที่มองไม่เห็น บนบันไดนั้นแห้งสนิท
หญิงแก่เผ่าไซเรนค่อยๆเดินลงบันไดไป และหลันไห่ซินก็พาเป่าเอ๋อกับไซเรนคนอื่นตามหลังไป
ขณะที่เดินลงบันไดไป หานเซิ่นก็ขมวดคิ้วและมองไปรอบๆด้วยความรู้สึกกังวลต่อบางสิ่งที่ไม่มองเห็น แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้น
หานเซิ่นเชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจแบบนี้ มันก็ต้องมีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
แต่หานเซิ่นยังสัมผัสถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ บันไดนำพวกเขาลงไปเรื่อยๆราวกับว่าพวกมันไม่มีที่สิ้นสุด ผู้คนส่องสว่างในความมืดมิด แต่แสงของพวกเขาเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของบริเวณรอบๆเท่านั้น และแสงของพวกเขาก็ไม่สามารถเจาะทะลุความมืดออกไประยะไกลได้
หานเซิ่นมองไปยังบันไดที่มืดมิด และเขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเดินลงไปในปากของอสูรที่ชั่วร้าย
ลิลลี่นั้นหวาดกลัวอย่างมาก เธอพยายามจะยืนใกล้ๆกับกิเลนโลหิต เธอเกือบจะพบว่าตัวเองกำลังเกาะขาของหานเซิ่น โดยปกติแล้วเธอจะหวาดกลัวต่อกิเลนโลหิตและพยายามอยู่ห่างออกไปจากมัน มันเห็นได้ชัดว่าความมืดทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างมาก
ในสถานการณ์อื่น หานเซิ่นคงจะพยายามปลอบขวัญเธอเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้เขากำลังปลอมตัวเป็นไป๋อี้ ไป๋อี้ไม่ใช่คนที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจใคร ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงแกล้งทำเป็นว่ามองไม่เห็น
กลุ่มของพวกเขาเดินลงบันไดไปอย่างเงียบๆ หานเซิ่นไม่แน่ใจว่าพวกเขาเดินทางมานานแค่ไหนแล้ว แต่เขาคิดว่ามันผ่านมาอย่างน้อยๆ 8 ชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะเห็นแสงสว่าง
“พวกเราเกือบจะถึงแล้ว” หญิงแก่เผ่าไซเรนดูดีใจ เธอเคลื่อนที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
แสงในความมืดนั้นสว่างขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากที่เดินทางไปอีกครึ่งชั่วโมง หานเซิ่นก็เห็นสิ่งที่อยู่ในแสงนั้น
มันเป็นปราสาทคริสตัลที่ดูเหมือนกับออกมาจากเทพนิยาย ทั้งปราสาทอาบด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์และเมฆที่ดูลึกลับ มันดูเหมือนกับบางสิ่งที่ออกจากดินแดนแห่งความฝัน
เมื่อหานเซิ่นและคนอื่นเข้าไปใกล้ พวกเขาก็เห็นว่าเหนือประตูของปราสาทคริสตัลนั้นมีป้ายอยู่ มันเขียวเอาไว้ว่าปราสาทคริสตัลจริงๆ
เมื่อมองไปที่ปราสาทคริสตัล หานเซิ่นก็รู้สึกค่อนข้างกังวล หัวใจของเขาเต้นรัว
ปราสาทคริสตัลนั้นโปร่งใสทั้งหลังราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากคริสตัล เขาควรจะมองทะลุผ่านเข้าไปข้างในได้ แต่เมฆและประกายของแสงสีรุ้งที่ลอยอยู่ในปราสาท ทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
แสงสีรุ้งนั้นทำให้หานเซิ่นรู้สึกตกใจเล็กน้อย มันดูเหมือนกับสายรุ้งของหอยสังข์ระดับเทพเจ้าที่เขาฆ่าตายไป
และคริสตัลของปราสาทคริสตัลก็ดูเหมือนจะเป็นวัสดุเดียวกันกับเปลือกของหอยสังข์คริสตัลสายรุ้ง
“นั่นเป็นแค่เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย แต่เขาไม่คิดแบบนั้น
ตอนนี้หานเซิ่นเริ่มรู้สึกลังเลที่จะเดินหน้าต่อไป ถ้าหอยสังข์คริสตัลสายรุ้งเป็นซีโน่เจเนอิคจากปราสาทคริสตัลนี้ล่ะก็ มันก็อาจจะมีซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าซ่อนอยู่ภายในนั้นอีก
หานเซิ่นหันมองไปที่เป่าเอ๋อและนกแดงน้อยบนไหล่ของเธอ พวกเธอดูไม่ได้กังวลอะไรกับสถานที่แห่งนี้ ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย
ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิด กลุ่มของพวกเขาก็ไปถึงหน้าประตูปราสาท หลังจากนั้นหลันไห่ซินก็หันมามองหานเซิ่น “ถึงตาเจ้าแล้ว”
หานเซิ่นสะดุ้ง เขาไม่รู้ว่าหลันไห่ซินหมายถึงอะไร แต่เขาก็ไม่สามารถแสดงความสับสนออกมาได้
ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ประตูของปราสาทคริสตัลและแกล้งทำเป็นว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“เจ้ามาถึงที่นี่แล้ว เจ้ายังมัวรออะไรอีก นี้เจ้าไม่เชื่อใจแม่ตัวเองอย่างนั้นหรอ? ถ้านางไม่ได้ตั้งให้ประตูของปราสาทคริสตัลเปิดได้เฉพาะเลือดของเจ้า ข้าก็คงจะไม่ยอมรับคำร้องขอของนาง”
หลันไห่ซินมองไปที่หานเซิ่น “ตอนนี้เมื่อเจ้ารู้ว่าปราสาทคริสตัลอยู่ที่ไหน เจ้าก็คิดที่จะเพิกถอนข้อตกลงของพวกเราอย่างนั้นหรอ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น