Super God Gene 2299-2310

ตอนที่ 2299

 

มันมีหลายสิ่งที่การอ่านเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เข้าใจได้ แต่ผู้อ่านจะต้องทำความเข้าใจพวกมันด้วยตัวเอง คำสอนของสำนักเสวียนเป็นความรู้ประเภทนี้


 


หานเซิ่นมีแผนที่จะหาคนมาทำวิจัยเกี่ยวกับข้อมูลคำสอนของสำนักเสวียนแทนเขาเพื่อระบุว่าเนื้อหาไหนที่เหมาะสมกับมนุษย์ และเขายังอยากจะเปิดโรงเรียนพิเศษในสหพันธ์เพื่อสอนเทคนิคของสำนักเสวียนให้กับมนุษย์คนอื่น เขาอยากจะถ่ายทอดความรู้และขยายเชื้อสายของสำนักเสวียน


 


มันเป็นอย่างที่กุนซือไวท์พูด ถ้ามีคนสัก 1-2 คนสามารถปฏิบัติตามเส้นทางที่ถูกต้องของสำนักเสวียนได้ นั่นก็ถือว่าเป็นอะไรที่มากพอแล้ว


 


น่าประหลาดใจที่จีเหยียนหรันบอกว่าเธอสนใจในเรื่องนี้ ดังนั้นหานเซิ่นรีบส่งต่อโปรเจคให้กับนาง


 


แต่จีเหยียนหรันไม่ได้ทำอย่างที่หานเซิ่นหวังเอาไว้ แทนที่จะสร้างโรงเรียนเพื่อถ่ายทอดปรัชญาของสำนักเสวียน เธอกลับเปิดสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ขึ้นมาแทน ภายในสถาบันเธอจะเริ่มด้วยการสอนวิชาการต่อสู้ของสำนักเสวียน ขณะที่ปรัชญาของสำนักเสวียนจะถูกสอนในภายหลัง


 


“ไม่มีใครเห็นค่าของสิ่งที่ได้รับมาง่ายๆ และวิธีการคิดของสำนักเสวียนไม่เหมาะสมสำหรับทุกคน มันจำเป็นต้องพึ่งหัวใจมากเกินไป ด้วยการสอนแบบนี้ ปรัชญาของสำนักเสวียนมีโอกาสที่จะถูกยอมรับมากกว่า” จีเหยียนหรันอธิบาย


 


วิธีการคิดของจีเหยียนหรันสมเหตุสมผลสำหรับหานเซิ่น ยังไงซะเขาเองก็เพิ่งจะเรียนรู้เทคนิคลับของสำนักเสวียน เขาไม่ได้เข้าใจถึงแนวคิดหลักของสำนักเสวียนจริงๆ ผู้คนที่จะมาเรียนรู้นั้นไม่มีประสบการณ์กับเทคนิคของสำนักเสวียนมาก่อน ดังนั้นมันเป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นอะไรที่เสียเวลา ของพวกเขาที่จะเรียนรู้ น้อยคนนักที่จะสามารถเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้


 


“เธอคิดว่าสถาบันศิลปะการต่อสู้จะได้ผลจริงๆอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


จีเหยียนหรันหัวเราะ “นี่มันง่ายมาก พวกเราแค่ใช้นายโฆษณา แค่นั้นผู้คนจากสังคมชั้นสูงก็จะแห่กันมาเข้าสมัคร นี่ ฉันเดิมพันว่าพวกเขาจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อส่งลูกหลานของตัวเองมาเข้าสถาบันศิลปะการต่อสู้ของพวกเรา”


 


“เจตจำนงของกุนซือไวท์คือการได้เห็นปรัชญาของสำนักเสวียนถูกเผยแพร่ออกไป ถ้าเธอใช้วิธีแบบนี้ เธอก็แค่ตอบสนองความต้องการของผู้คนจากสังคมชั้นสูงเท่านั้น” หานเซิ่นขมวดคิ้ว


 


จีเหยียนหรันหัวเราะและพูด “ไม่ต้องกังวล ถึงมันจะเริ่มจากสังคมชั้นสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไป แนวคิดที่ถูกยอมรับโดยคนที่ร่ำรวยและมีอำนาจจะถูกเผยแพร่ออกไปสู่สังคมคนธรรมดาได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงปรัชญาของสำนักเสวียน ในสมัยโบราณปรัชญาและวิชาการที่มีชื่อเสียงจะถูกถ่ายทอดผ่านการเดินทางที่ยาวไกลเพื่อโน้มน้าวผู้คนจากทุกชนชั้น ตอนนี้พวกเราก็แค่จำเป็นต้องใช้เวลาและการโฆษณา”


 


“ที่รัก อย่าทำงานหนักจนเกินไป เธอควรจะหาคนมาช่วย”

แน่นอนว่าหานเซิ่นไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้มาก ถ้าเธอยินดีจะแบกรับหน้าที่นี้ นั่นก็ไม่เป็นไรสำหรับเขา


 


กล่องหยกที่หานเซิ่นได้มาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกล็อค และเขาก็ไม่สามารถเปิดมันออกได้ เขาพยายามด้วยวิธีหลายอย่าง แต่ก็ไม่มีอะไรที่ได้ผล


 


แม้แต่พลังของอี๋ซาก็ไม่สามารถทำลายกล่องหยกนี้ได้ เนื่องจากหานเซิ่นไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ดังนั้นเขาจึงเก็บกล่องเอาไว้ก่อน


 


หลังจากนั้นเขาก็หันไปสนใจที่เข็มกระดูกแทน มันคือเข็มที่เขาได้มาจากอี๋ซา มันยังมีเลือดอยู่ภายใน พวกมันเป็นตัวแทนของโลหิตชีพจรระดับเทพเจ้าที่แตกต่างกันทั้ง 12


 


หานเซิ่นไม่ได้ใช้พวกมันในทันที ก่อนอื่นเขาต้องการตรวจสอบพวกมัน


 


เนื่องจากหานเซิ่นยังคงกักเก็บพลังโกสต์โบนเอาไว้ ตอนนี้เขาจึงยังไม่จำเป็นต้องใช้โลหิตชีพจรระดับเทพเจ้า


 


หานเซิ่นตรวจดูโลหิตชีพจรอยู่สักพัก และสุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจใช้พวกมัน


 


หานเซิ่นเลือกหยดเลือดที่ได้รับจากปีศาจโลหิต มันเป็นธาตุโลหิต ดังนั้นเขาจึงอยากจะลองดูว่ามันจะช่วยวิชาโลหิตชีพจรของเขาได้ไหม


 


หานเซิ่นยกเข็มกระดูกขึ้นเหนือหน้าอก หลังจากนั้นเขาก็แทงมันเข้าไปในหัวใจตัวเอง


 


เข็มกระดูกแทงทะลุเข้าไปในหัวใจของเขา และหยดเลือดโลหิตชีพจรระดับเทพเจ้าก็ไหลออกมา


 


หานเซิ่นกำลังสกัดโลหิตชีพจรระดับเทพเจ้า แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นในหัว


 


“ยีนระดับเทพเจ้า +1 ยีนเทพเจ้าโปรเกรส 1/100”


 


หลังจากที่ได้ยินเสียงประกาศ หานเซิ่นก็รู้สึกได้ว่าพลังที่น่ากลัวระเบิดขึ้นในหัวใจของเขาและกวาดทุกซอกทุกมุมของร่างกาย เซลล์ของเขาสั่นไหว และขณะที่พลังใหม่พุ่งผ่านร่างกายของเขา ร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลง


 


หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขากำลังถูกลอกชั้นผิวชั้นแล้วชั้นเล่า กระบวนการนี้ใช้เวลานานหนึ่งวันเต็มๆกว่าจะสิ้นสุด ร่องรอยของสสารสีดำถูกทิ้งเอาไว้บนพื้นราวกับหนังของงู มันดูเหมือนอะไรที่ค่อนข้างน่ากลัว


 


หานเซิ่น : ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด

ร่างยีนต่อสู้: เลือดกลายพันธุ์(ดยุก), มนตรา(มาร์ควิส), ตงเสวียน(มาร์ควิส), กายหยก(ดยุก)

ระดับ : ดยุก

ยีนดยุก: 17

ยีนเทพเจ้าโปรเกรส : 1/100

อายุขัย : 1100


 


หานเซิ่นตกใจ เขาไม่รู้ว่า ‘ยีนเทพเจ้าโปรเกรส’ หมายความว่าอะไร


 


‘นี่ยีนเทพเจ้าต่างไปจากยีนอื่นอย่างนั้นหรอ? ยีนเทพเจ้าโปรเกรสหมายความว่าอะไรกัน? นี่เราจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า เมื่อตัวเลขถึง 100 อย่างนั้นหรอ? เราจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้โดยที่ไม่ต้องเก็บยีนอื่นจนเต็มอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น


 


หานเซิ่นตรวจสอบร่างกายตัวเอง ร่างกายของเขาเปลี่ยนไป มันเหมือนกับว่ายีนทั้งหมดของเขาได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่สิ่งที่ไม่ได้ดีขึ้นคือระดับความแข็งแกร่งของเขา มันยังคงอยู่ในระดับดยุกเหมือนเดิม


 


หานเซิ่นลองฉีดหยดเลือดอื่นเข้าไปอีก กระบวนที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนเดิม ร่างกายของหานเซิ่นเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และเขาก็ได้รับยีนเทพเจ้าเพิ่มมาอีกหนึ่ง ยีนเทพเจ้าโปรเกรสของเขากลายเป็น 2/100 แต่ความแข็งแกร่งของเขาดูจะไม่ได้เพิ่มอะไรมากมาย


 


ตลอด 2 อาทิตย์ หานเซิ่นฉีกหยดเลือดระดับเทพเจ้าเข้าไป และยีนเทพเจ้าโปรเกรสของเขาก็กลายเป็น 12/100 และหลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นมานิดหน่อย


 


แต่น่าแปลกที่หานเซิ่นไม่ได้รับพลังพิเศษอะไร หลังจากที่ดูดซับโลหิตชีพจรระดับเทพเจ้าเข้าไป


 


‘เราจะไปหายีนเทพเจ้ามาเพิ่มอีกได้จากที่ไหน?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง แต่ตอนนี้มันยังยากเกินไปที่เขาจะสังหารสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าด้วยตัวเอง


 


‘น่าเสียดายที่นกแดงกินเรเวนอาทิตย์เข้าไป ไม่อย่างนั้นเราจะได้ลองมันดู บางทีเราอาจจะกินเนื้อของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าเข้าไปได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


เมื่อคิดเกี่ยวกับนกแดงน้อย หานเซิ่นก็หันไปตรวจดูไข่ที่อยู่ในรังนกอีกครั้ง หานเซิ่นแปลกใจเมื่อเห็นโซ่สสารประหลาดมากมายปรากฏขึ้นจากรังนกและเจาะเข้าไปในไข่สีแดง สีแดงของไข่เริ่มสว่างขึ้นมาราวกับว่ามันถูกกลืนกินโดยไฟสีแดง

 

 

 


ตอนที่ 2300

 

‘นกแดงน้อยกำลังจะฟักออกมาอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดอย่างประหลาดใจ


 


แต่ขณะที่มองดูต่อไป ใบหน้าของหานเซิ่นก็เริ่มถอดสี โซ่สสารที่เชื่อมต่อกับรังนกเริ่มจะถูกดึงเข้าไปในไข่ รังนกเริ่มจะล่มสลายไปที่ละชิ้นๆ


 


ชิ้นของหญ้าแห้งร่วงลงจากรังนกและเปลี่ยนกลายเป็นผุยผงในอากาศ พวกมันสลายจนไม่เหลืออะไร


 


“โอ้ไม่นะ เจ้านกน้อยนี้กำลังดูดพลังของรังนกไหมอย่างนั้นหรอ?”

หานเซิ่นเอื้อมมือออกไปเพื่อจะปกป้องรังนกเอาไว้ แต่เมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสกับเปลวไฟสีแดง ร่างกายของเขาก็เริ่มแก่และแห้งเหี่ยว ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีเขาก็ดูแก่เหมือนกับว่ากำลังจะหมดลมหายใจ


 


หานเซิ่นรีบดึงมือกลับมา เมื่อมือของเขาไม่ได้เข้าไปใกล้เปลวไฟสีแดง ร่างกายของเขาก็กลับเป็นปกติ เขาไม่ได้ดูแก่อีกต่อไป


 


ภาพการย่อยสลายของรังนกทำให้หัวใจของหานเซิ่นปวดร้าว


 


และมันยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นปัญหา องค์หญิงไป๋เวยบอกให้เขาเก็บรังนกของอันดายอิ้งเอาไว้ ซึ่งมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเธอกลับมาขอรังนกที่หายไป? เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะทำยังไง?


 


แต่ทว่าถึงจะมาคิดในตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไข่ของนกแดงดูดซับพลังของรังนกไปเกือบจะหมดแล้ว


 


เปลวไฟสีแดงของไข่เผาไหม้อย่างร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ตัวไข่เองนั้นดูบางและโปร่งใสขึ้น ไข่โปร่งใสถึงขนาดที่หานเซิ่นมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้


 


นกแดงยังคงขดตัวอยู่ภายในไข่และหลบไหลอย่างสงบสุข ร่างกายของมันเต็มไปด้วยไฟ และดูเหมือนกับว่ามันกำลังจะตื่นขึ้นจากการหลับใหล


 


เมื่อเปลือกไข่บางจนเหมือนกับแผ่นกระดาษ ในที่สุดมันก็แตกร้าว เปลือกไข่แตกสลายและถูกเปลวไฟเผาผลาญจนไม่เหลืออะไร นกแดงน้อยร่วงออกมา มันกางปีกออกและเปลวไฟก็ออกจากร่างกายของมัน มันกลายเป็นฟินิกซ์สีแดง


 


มันโบยบินในอากาศทันที มันบินวนรอบหานเซิ่น 3 รอบและพยักหน้าให้กับเขาซ้ำๆ หลังจากนั้นมันก็บินลงมาบนไหล่ของเขา


 


การเคลื่อนไหวของมันทำให้หานเซิ่นตกใจ เปลวไฟบนร่างกายของมันไม่ใช่ไฟธรรมดาๆ หานเซิ่นเพียงแค่เอื้อมมือออกไปสัมผัสกับมัน เขาก็เกือบจะแก่ตาย เขากังวลว่าถ้าเจ้านกลงมาบนไหล่ของเขา เขาจะแก่จนร่างกายย่อยสลายกลายเป็นผุยผง


 


หานเซิ่นเกร็งตัวขณะที่นกแดงน้อยบินลงมา อย่างน้อยๆเปลวไฟของมันก็ดับลงไปแล้ว และตอนนี้มันก็ดูเหมือนนกแดงน้อย มันลงมาเกาะบนไหล่ของหานเซิ่นเหมือนอย่างที่มันเคยทำ


 


หานเซิ่นถอนหายใจ โชคดีที่นกแดงน้อยพอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง ถ้ามันไม่จำกัดพลังของตัวเองเอาไว้ เรื่องร้ายก็อาจจะเกิดขึ้นกับเขา


 


“แดงน้อย!” เป่าเอ๋อวิ่งเข้ามาจากด้านนอก เธอดูดีใจเมื่อได้เห็นนกแดงน้อย


 


นกแดงน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของหานเซิ่นอย่างเงียบๆ แต่เมื่อมันได้ยินเสียงของเป่าเอ๋อ มันก็ทะยานออกไปในทันที มันบินเข้าไปหาเป่าเอ๋อและปล่อยให้เป่าเอ๋อลูบขนของมัน นกแดงน้อยดูจะเพลินเพลินและมันก็ก้มหัวลงมาให้เป่าเอ๋อลูบ


 


“นี่มันอะไรกัน? ฉันเป็นเจ้านายของนายนะ!” หานเซิ่นเบะปาก เขามองนกแดงน้อยด้วยรอยยิ้มที่ไม่เป็นมิตร


 


นกแดงน้อยดูเหมือนจะรับรู้ถึงสีหน้าของหานเซิ่น มันรีบบินไปด้านหลังของเป่าเอ๋อและมองมาที่หานเซิ่นด้วยการยื่นหัวข้ามไหล่ของเป่าเอ๋อ


 


“เจ้านี้กินเนื้อของเรเวนอาทิตย์เข้าไป มันควรจะเป็นระดับเทพเจ้า แต่ทำไมมันถึงยังตัวเล็กอยู่?” หานเซิ่นสับสน


 


แต่พลังภายในตัวนกแดงน้อยพิสูจน์ถึงระดับของมัน แม้แต่หานเซิ่นก็ไม่สามารถทนต่อไฟของมันได้แม้แต่วินาทีเดียว มันจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าอย่างแน่นอน


 


ช่วงนี้หานเซิ่นรู้สึกดีอย่างมาก หลังจากที่อี๋ซาแต่งตั้งให้เขาเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ของรีเบท เขาก็ได้รับทรัพยากรจำนวนมาก ดาวอุปราคายังคงอยู่ภายใต้การปกครองของเขา และเขายังได้รับดวงดาวอีก 8 ดวงพร้อมกับสมบัติต่างๆ


 


แถมมันยังมีทรัพยากรอีกมากที่จะถูกส่งมาให้กับหานเซิ่นในอนาคต แต่เขายังมีพลังโกสต์โบนหลงเหลืออยู่ภายในตัว เขาจึงยังไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรอะไรมากมาย ดังนั้นสำหรับตอนนี้หานเซิ่นมีแผนที่จะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เอาไว้ในโกดังเก็บของ


 


หานเซิ่นพาสปิริตหลายคนมาที่ดาวอุปราคา และเมื่อพวกเขากลายเป็นระดับมาร์ควิสแล้ว พวกเขาก็เดินทางออกไปสำรวจจักรวาลจีโน หกวิถี จันทราสวรรค์และราชินีชั่วพริบตาเริ่มออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว


 


หานเซิ่นไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของหกวิถี ส่วนจันทราสวรรค์ออกเดินทางร่วมกับกู่ชิงเฉิง ดังนั้นมันจึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง หานเซิ่นต้องการให้ราชินีชั่วพริบตาอยู่ข้างกายเขา แต่เธอปฏิเสธ เธออยากจะออกเดินทางตามลำพัง


 


หานเซิ่นจึงไม่ได้บังคับให้เธออยู่ต่อ ราชินีชั่วพริบตาอยู่กับเขามาพักใหญ่แล้ว ในช่วงแรกที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน หานเซิ่นและเธอเป็นศัตรูกัน แต่ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เอาชนะใจของเธอได้ ตอนนี้พวกเขาเชื่อใจกันพอที่หานเซิ่นจะพาเธอมาที่จักรวาลจีโนอย่างสบายใจ


 


ช่วงนี้สถานการณ์ของหานเซิ่นเป็นไปด้วยดี แต่มันคงจะอยู่ไม่นานนัก ชะตากรรมมักจะมีบางสิ่งทำให้หานเซิ่นต้องกังวลอยู่เสมอ เขาได้รับข่าวว่าคณะทูตจากเอ็กซ์ตรีมคิงกำลังจะเดินทางมาเยี่ยมแนร์โรว์มูน


 


ครั้งนี้ผู้นำของคณะทูตที่มาคือองค์ชายสิบสี่ ไป๋ชางลัง เมื่อได้ยินอย่างนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที


 


ครามทำงานรับใช้องค์ชายสิบสี่ ถึงคณะทูตของเอ็กซ์ตรีมคิงที่มาจะกล่าวอ้างว่าพวกเขามาเพื่อแสงความยินดีต่ออี๋ซาที่วิวัฒนาการเป็นระดับเทพเจ้าได้สำเร็จ แต่การส่งคณะทูตมาเพียงเพื่อแสดงความยินดีนั้นไม่มีความจำเป็นต้องให้องค์ชายสิบสี่มาด้วยตัวเอง


 


สำหรับเผ่าพันธุ์ที่เล็กกว่าอย่างรีเบทแล้ว ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าเป็นเหมือนกับเทพจริงๆ แต่สำหรับเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างเอ็กซ์ตรีมคิงแล้ว การขึ้นสู่ระดับเทพเจ้าได้เพียงแค่บอกว่าคนๆนั้นมีความสามารถที่ไม่ธรรมด


 


เมื่อหานเซิ่นได้รู้ว่าไป๋เวยเดินทางมาด้วย เขาก็รู้ว่าที่กุนซือไวท์พูดถูก เขาจะถูกบังคับให้ไปที่เอ็กซ์ตรีมคิงจริงๆ


 


“ถ้าการคาดเดาของกุนซือไวท์ถูกต้อง การไปที่เอ็กซ์ตรีมคิงจะเป็นอะไรที่อันตรายอย่างมาก ซีโร่และเมิ่งเอ๋อไม่ควรไปที่นั่น เพราะเรายังปกป้องพวกเธอจากคนของเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ได้ พวกเธอควรจะอยู่ในแนร์โรว์มูนต่อไป ภายใต้การปกป้องจากอี๋ซา พวกเธอจะถูกปฏิบัติอเป็นอย่างดี และตอนนี้เราก็มีทรัพยากรอยู่มากมาย พวกเธอจะกลายเป็นระดับดยุกได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร และมันก็มีโอกาสที่พวกเธอจะเลื่อนขั้นสู่ระดับราชันได้สำเร็จ”


 


‘แต่เราต้องพากิเลนโลหิตไปด้วย พลังของมันจะช่วยเราได้มาก แต่เราควรจะพานกแดงน้อยไปด้วยดีไหม?’ หานเซิ่นลังเล


 


หานเซิ่นครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่ทางเข้าสวน


 


ที่นั่นเขาเห็นชายในชุดสีฟ้าเดินนำหญิงสาวในชุดขาวเข้ามาในสวน ผู้หญิงในชุดขาวคือองค์หญิงไป๋เวย หานเซิ่นไม่รู้ว่าชายชุดสีฟ้าคือใคร แต่เมื่อดูจากท่าทางของเขาแล้ว หานเซิ่นเดาว่าชายคนนั้นก็คือองค์ชายสิบสี่ ไป๋ชางลัง


 


หานเซิ่นไม่ได้ประหลาดใจอะไรที่ทั้ง 2 คนมาหาเขา แต่เขาประหลาดใจที่ไม่มีใครมาเตือนเขาก่อนเลย


 


โดยปกติแล้วมันควรจะมีคนเข้ามารายงานถึงการมาเยือนของเอ็กซ์ตรีมคิง ถึงแม้พวกเขาจะบุกเข้ามา มันก็ควรจะมีใครบางคนมาแจ้งข่าวให้กับหานเซิ่น


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้รับคำเตือนอะไรเลย ทุกอย่างในฐานทัพยังดำเนินไปอย่างปกติ ขณะที่ไป๋ชางลังพาไป๋เวยเข้ามาในสวนของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นขมวดคิ้วและตรวจดูไป๋ชางลัง เขาดูเหมือนคนอายุราวๆ 30 ปี เขาไม่ได้ดูงดงามอะไร เขาเดินเข้ามาอย่างเป็นกันเองราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรในโลกนี้ เขาดูเป็นคนที่ไม่ได้กังวลเรื่องใดๆ


 


ถึงแม้เขาจะกำลังเดินเข้ามาในสวนของหานเซิ่น แต่ไป๋ชางลังก็ทำตัวเหมือนกับว่าเขาอยู่ที่บ้านของตัวเอง เขาเดินเข้ามาหาหานเซิ่นและนั่งลงข้างๆ เขาหยิบกาน้ำชาขึ้นและเทชาให้กับตัวเองหนึ่งถ้วย

“ชานี่ก็ดีและคนที่นี่ก็เยี่ยม”

 

 

 


ตอนที่ 2301

 

“น้ำชาถ้วยนี้แลกกับยีนซีโน่เจเนอิคหนึ่งตัว ขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยน” หานเซิ่นพูดอย่างมีมารยาท


 


ไป๋ชางลังดูประหลาดใจ หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มและพูด

“ดี! ดี! ดี! ข้าชอบคนที่โลภมาก”


 


หลังจากนั้นรอยยิ้มของไป๋ชางลังก็หายไป เขามองไปที่หานเซิ่นอย่างจริงจังและพูด “ข้าต้องการเจ้า ตัวเจ้ามีค่าเท่าไหร่?”


 


“ยีนซีโน่เจเนอิคระดับราชันหนึ่งร้อยตัว” หานเซิ่นพูด


 


“ดี! นั่นถูกกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ เจ้าคุ้มค่าต่อราคาจริงๆ” ไป๋ชางลังตอบอย่างไม่ลังเล เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ


 


“ต่อหนึ่งปี” หานเซิ่นพูด


 


ไป๋ชางลังมองหานเซิ่นด้วยความตกใจ ยีนซีโน่เจเนอิคระดับราชันหนึ่งร้อยตัวไม่ถือว่าแพงอะไรสำหรับองค์ชายสิบสี่ของเอ็กซ์ตรีมคิง


 


แต่ยีนซีโน่เจเนอิคระดับราชันหนึ่งร้อยตัวแลกกับข้ารับใช้ระดับดยุกเพียงแค่หนึ่งปี? นั่นเป็นบางสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยราคานั้นองค์ชายสิบสี่สามารถจ้างดยุก 12 คนมารับใช้ได้ตลอดชีวิต


 


“และถ้าข้าจะซื้อตัวเจ้าอย่างถาวรล่ะ ราคามันเท่าไหร่กัน?” ไป๋ชางลังถาม เสียงของเขาฟังดูอยากรู้อยากเห็น เขาไม่ได้โกรธอะไร


 


“ยีนซีโน่เจเนอิคระดับราชันหนึ่งร้อยตัวต่อหนึ่งปีคือราคาตายตัว เจ้าต้องซื้อตัวข้าปีต่อปี ตราบใดที่เจ้ายังต้องการข้า” หานเซิ่นพูด


 


ไป๋ชางลังหัวเราะ เขาวางแผ่นหินลงบนโต๊ะและพูด

“ข้าจะใช้สิ่งนี่เพื่อซื้อตัวเจ้าเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ข้าจะออกเดินทางพรุ่งนี้ เจ้าก็ตัดสินใจเองว่าจะมากับพวกเราหรือไม่”


 


หลังจากนั้นไป๋ชางลังก็ลุกขึ้นและเดินจากไป


 


หานเซิ่นมองแผ่นหินบนโต๊ะ มันเป็นแผ่นหยกเขียวที่มีขนาดพอๆกับมือคน ทั้ง 2 ด้านประดับไปด้วยรูปภาพของมังกรที่กำลังถือลูกบอลในกรงเล็บและชื่อชางลังก็ถูกสลักเอาไว้


 


“นี่คือแผ่นราชองครักษ์ของพี่สิบสี่ เจ้าจำเป็นต้องเป็นระดับราชันเป็นอย่างน้อยเพื่อเป็นหนึ่งในราชองครักษ์ของเขา”

ไป๋เวยอธิบาย ถึงแม้องค์ชายสิบสี่จะจากไปแล้ว แต่เธอก็ยังยืนอยู่ที่นี่และจ้องมองหานเซิ่น


 


“ข้าเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง ข้าคงจะไม่คุ้มค่าพอที่จะให้องค์ชายสิบสี่แหกกฎเพื่อข้า” หานเซิ่นพูดขณะที่เล่นกับแผ่นหยกในมือ


 


“พี่สิบสี่มาที่นี่เพื่อจ้างราชินีแห่งมีด แต่นางปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงมาจ้างตัวเลือกที่สอง ซึ่งก็คือเจ้า เขาต้องการเจ้าเพราะเจ้าคือลูกศิษย์ของนาง”

ไป๋เวยหยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “ดูเหมือนเจ้าจะทำให้เขาโกรธ”


 


“ข้าทำกับอะไรกับเรื่องนั้นไม่ได้ ข้าไม่คิดจะตอบตกลงเพียงเพราะใครบางคนไม่พอใจ” หานเซิ่นยักไหล่


 


ทันใดนั้นไป๋เวยก็ยื่นมือออกมาหาหานเซิ่น “มอบมันมาให้กับข้า”


 


“อะไร?” หานเซิ่นแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง


 


“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ส่งรังของอันดายอิ้งเบิร์ดมา” ไป๋เวยพูด


 


“เจ้าเอามันไปไม่ได้ แบบนั้นทำไมข้าถึงต้องส่งมันคืนให้กับเจ้าด้วย?” หานเซิ่นรู้สึกแย่ รังนกนั้นถูกนกแดงน้อยทำลายไปแล้ว ดังนั้นมันไม่เหลืออะไรให้ส่งคืน


 


“ไม่ว่าข้าจะเอามันไปได้หรือไม่ มันก็เป็นเรื่องของข้า เจ้าแค่ส่งมันคืนมา” เสียงของไป๋เวยดูเย็นชา


 


“ข้าอยากจะคืนมันให้กับเจ้า แต่มันแตกสลายไปในครั้งก่อนที่ข้าใช้มัน” หานเซิ่นยอมรับสารภาพด้วยท่าทางรู้สึกผิด


 


หานเซิ่นรู้ว่าไม่สามารถปกปิดความจริงได้ ดังนั้นเขาจึงยอมรับความจริงอออกไป


 


เมื่อไป๋เวยได้ยินคำสารภาพของหานเซิ่น เธอก็หัวเราะออกมา

“ข้าไม่เคยคิดว่านี้จะข้ออ้างของหัวขโมย ตระกูลไป๋ไม่ใช่ตระกูลที่เจ้าจะเมินเฉยได้”


 


ไป๋เวยไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียวว่ารังของอันดายอิ้งเบิร์ดระดับเทพเจ้าจะแตกสลายไป เพราะแม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถทำลายมันได้


“มันเป็นความจริง! ข้าไม่ได้โกหก” หานเซิ่นมองตาเธออย่างจริงใจ


 


ไป๋เวยเย้ยหยันและกรอกตาของเธอ เธอดูไม่พอใจที่ได้ยินแบบนั้น


 


“ก็ได้! ถ้าเจ้าไม่อยากจะส่งมันคืนมา เจ้าก็ต้องจ่ายหนี้ด้วยการมาเป็นราชองครักษ์ของข้า”

ไป๋เวยเทชาให้กับตัวเองถ้วยหนึ่งราวกับว่าเธอเป็นเจ้าหนี้ที่มาทวงเงิน


 


“สิบปี” หานเซิ่นกัดฟันราวกับว่าเขาต้องตัดสินใจครั้งใหญ่


 


ไป๋เวยยิ้มออกมา เธอจิบชาก่อนที่จะพูดต่อ

“การรับใช้ข้าก็เป็นเพียงแค่การจ่ายดอกเบี้ย เมื่อเจ้าคืนรังของอันดายอิ้งเบิร์ดมาให้กับข้า เจ้าจะไปไหนก็ได้ ข้าจะไม่ทำอะไรเพื่อหยุดเจ้า”


 


“แต่ข้าจะทำแบบนั้นได้ยังไง” หานเซิ่นพูด


 


ไป๋เวยยิ้ม “มอบรังของอันดายอิ้งเบิร์ดมา หรือไม่ก็มาเป็นราชองครักษ์ของข้า เจ้าเป็นคนเลือก ข้าไม่ชอบบังคับคนอื่น”


 


หานเซิ่นไม่สามารถคืนรังนกให้กับเธอได้ เพราะเขาไม่มีมันอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาปฏิเสธ เขาก็จะถูกบังคับให้ต่อสู้กับศัตรูที่อยู่เหนือกว่าความสามารถของเขา


 


ไป๋เวยถอนหายใจและพูด “จริงๆแล้วเจ้าไม่มีทางเลือก พี่สิบสี่จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่มาเป็นราชองครักษ์ของข้า เขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อพาตัวเจ้าไป เป้าหมายของเขาก็คือราชินีแห่งมีดอาจารย์ของเจ้า เจ้าจะถูกใช้เป็นเบี้ยเพื่อที่เขาจะได้ตัวนางมา”


 


หลังจากที่หยุดคิดไปชั่วครู่ ไป๋เวยก็พูดต่อ “อย่างน้อยข้าก็แค่ต้องการตัวเจ้า ข้าไม่ได้ต้องการอาจารย์ของเจ้าเหมือนกับเขา”


 


“ดูเหมือนข้าจะไม่มีทางเลือกอื่น” หานเซิ่นส่งแผ่นหยกให้กับไป๋เวย

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยข้าคืนนี่ให้กับองค์ชายสิบสี่”


 


ไป๋เวยต้องการเขา และไป๋ชางลังก็ดูเป็นคนที่น่ารำคาญ ถ้าให้หานเซิ่นเลือก เขาก็ขอเลือกไป๋เวย ถ้านั่นหมายความว่าเขาไม่ต้องคอยรับมือกับองค์ชายที่น่ารำคาญคนนั้น


 


ไป๋เวยรับแผ่นหยกมา หลังจากนั้นเธอก็มองไปรอบๆสวน

“ลูกสาวและเพื่อนของเจ้าอยู่ไหน? พวกเขาจะมาด้วยก็ได้ ข้าไม่รังเกลียดที่เจ้าจะพาคนอื่นไปด้วย ถึงแม้พวกเขาจะเป็นราชองครักษ์ไม่ได้ แต่ข้าให้สัญญาได้ว่าพวกเขาจะถูกปฏิบัติเป็นอย่างดี”


 


“ข้าต้องขอปฏิเสธแทนพวกเขา” หานเซิ่นตอบปฏิเสธข้อเสนอของไป๋เวยในทันที การเดินทางไปที่เอ็กซ์ตรีมคิงในครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย หานเซิ่นไม่อยากให้หานเมิ่งเอ๋อและคนอื่นๆต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น เขาจะพาไปแค่เป่าเอ๋อ กิเลนโลหิตและนกแดงน้อย


 


ไป๋เวยไม่ได้พูดอะไรอีก เธอหยิบแผ่นหินแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและมอบมันให้กับหานเซิ่น


 


มันเป็นแผ่นหินสีขาวที่ประดับด้วยดอกไม้สีเลือด และชื่อเวยก็ถูกเขียนเอาไว้ทั้ง 2 ด้าน แผ่นหินดูค่อนข้างเรียบง่าย แต่มันก็ดูละเอียดอ่อนอย่างน่าประหลาดใจเช่นกัน


 


หานเซิ่นรู้ว่ามันคือแผ่นราชองครักษ์ของไป๋เวย เขารับมันมาและถาม

“ราชองครักษ์ขององค์หญิงจำเป็นต้องทำอะไรบ้างอย่างนั้นหรอ? ข้าคงจะไม่ต้องคอยดูแลเจ้าทุกวันหรอกใช่ไหม?”


 


ไป๋เวยตอบกลับมา “เจ้าคิดว่าสมาชิกของราชวงศ์จะขี้เกียจไปวันๆหรือยังไง? มันมีสมาชิกจำนวนมากในราชวงศ์ของเอ็กซ์ตรีมคิง ถ้าพวกเราต้องการทรัพยากร พวกเราก็ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา ไม่อย่างนั้นแม้แต่คนในราชวงศ์ก็จะตกต่ำยิ่งกว่าขุนนางของเอ็กซ์ตรีมคิงคนหนึ่ง”


 


“การแข่งขันมันสูงถึงขนาดนั้นเลย?” หานเซิ่นถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

 

 


ตอนที่ 2302

 

หานเซิ่นไปพบกับอี๋ซา เขาบอกเธอเกี่ยวกับข้อตกลงที่เขาทำเอาไว้กับไป๋เวย


 


เมื่ออี๋ซาได้ยินรายละเอียด เธอก็พูดขึ้นมา “มันเป็นเรื่องดีที่เจ้าจะเดินทางไปกับพวกเอ็กซ์ตรีมคิง เพราะถ้าเจ้ายังอยู่ในแนร์โรว์มูนต่อไป มันก็เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะหาทรัพยากรเพื่อเลื่อนขึ้นไปสู่ระดับราชัน ถึงแม้ข้าจะเป็นราชินีผู้ปกครองแนร์โรว์มูน ข้าก็ใช้ทรัพยากรทั้งหมดกับเจ้าไม่ได้ สุดท้ายแล้วเจ้าก็ต้องหาเส้นทางของตัวเอง ซึ่งการไปกับพวกเอ็กซ์ตรีมคิงก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร”


 


หลังจากนั้นอี๋ซาก็มองไปที่หานเซิ่นและพูด “ข้าคิดว่าเจ้าจะเลือกติดตามองค์ชายสิบสี่ซะอีก ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าจะไปกับองค์หญิงไป๋เวย นี่เจ้าเลือกนางเพราะรูปลักษณ์ของนางอย่างนั้นหรอ?”


 


“นั่นตลกมากๆ ท่านราชินี”

หานเซิ่นรู้สึกหนาวกระดูกสันหลัง เขาพยายามอธิบาย “องค์ชายสิบสี่ต้องการใช้ข้าเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้ตัวราชินี มันไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น”


 


อี๋ซาพยักหน้าและพูด “องค์ชายสิบสี่ต้องการตัวข้าจริงๆนั่นแหละ แต่เขาก็เป็นผู้สนับสนุนที่ทรงอำนาจกว่าองค์หญิงไป๋เวย เจ้าจะได้รับทรัพยากรมากกว่าถ้าติดตามเขา การเลือกติดตามไป๋เวยถือเป็นการตัดสินใจที่แย่”


 


“นี่ไป๋ชางลังมีความสำคัญมากถึงขนาดนั้นเลย?” หานเซิ่นคิดถึงความเป็นไปได้นี้


 


“แม่ของเขาเป็นเผ่าดราก้อน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงได้รับการสนับสนุนจากทั้งดราก้อนและเอ็กซ์ตรีมคิง เขาใช้ทรัพยากรจากทั้ง 2 เผ่าพันธุ์ องค์หญิงไป๋เวยเป็นเพียงแค่ลูกของคนใช้ในเอ็กซ์ตรีมคิง และคนใช้คนนั้นก็ได้ตายไปแล้ว เมื่อเทียบกับราชวงศ์คนอื่นของเอ็กซ์ตรีมคิงแล้ว เบื้องหลังของไป๋เวยถือว่าด้อยกว่ามาก”


 


หลังจากเงียบไปชั่วครู่ อี๋ซาก็พูดต่อ “แต่เพราะอย่างนั้นถ้านางเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เข้าตาจนก็อาจจะเป็นโอกาสให้กับเจ้า มันเป็นทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย การติดตามนางอาจจะไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่แย่จนเกินไป”


 


หานเซิ่นเห็นด้วย แต่เขาไม่ได้มีแผนที่จะอยู่กับเอ็กซ์ตรีมคิงไปตลอด ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือการได้รับทรัพยากรที่มากขึ้น


 


ถึงแม้ไป๋เวยจะไม่ได้มีอำนาจมากที่สุดในราชวงศ์ แต่เธอก็ยังเป็นองค์หญิงคนหนึ่ง เธอยังมีโอกาสได้รับทรัพยากรเหนือกว่าสามัญชนคนไหนๆ แต่เธอก็จำเป็นต้องไขว่คว้าทรัพยากรเหล่านั้นมาด้วยตัวเอง


 


หานเซิ่นเก็บข้าวของและออกเดินทางไปกับไป๋เวย ในระหว่างการเดินทาง เขาใช้เวลาไปกับการสกัดพลังโกสต์โบนเพื่อพัฒนาวิชาเรื่องราวของยีน


 


แต่ถึงวิชาเรื่องราวของยีนจะก้าวหน้าไปด้วยดี แต่มันก็ยังคงอีกนานกว่าที่มันจะเลื่อนขึ้นสู่ระดับดยุก และถึงจะสกัดพลังโกสต์โบนจนหมด หานเซิ่นก็ไม่แน่ใจว่ามันจะทำให้วิชาเรื่องราวของยีนเลื่อนขึ้นสู่ระดับดยุกได้หรือเปล่า


 


เมื่อไป๋ชางลังเห็นหานเซิ่นขึ้นยานรบร่วมกับไป๋เวย องค์ชายสิบสี่ก็หยุดให้ความสนใจเขาอีก


 


ไป๋ชางลังต้องการหานเซิ่น เพราะเขาเกี่ยวข้องกับอี๋ซา เขาไม่ได้สนใจอะไรในตัวหานเซิ่น ดยุกคนหนึ่งไม่ได้มีค่าอะไรมาก ถ้าคนๆนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนที่แข็งแกร่งกว่า


 


แถมหานเซิ่นยังปฏิเสธคำเชิญของเขา นั่นทำให้ไป๋ชางลังไม่พอใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะถือสาอะไรหานเซิ่น


 


ในตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าที่ไป๋ชางลังปล่อยให้เรื่องนี้ตกไปก็เพราะเห็นแก่ไป๋เวย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลจริงๆ ความจริงแล้วไป๋ชางลังยังคงต้องการตัวอี๋ซา และเนื่องจากเขายังมีวิธีอื่นที่จะรับตัวอี๋ซามา ดังนั้นเขาจึงยังไม่มีแผนที่จะทำอะไรหานเซิ่นในตอนนี้


 


ในสายตาของไป๋ชางลัง หานเซิ่นตัดสินใจผิดพลาดที่เลือกไป๋เวย เขาคิดว่าอีกไม่นานหานเซิ่นก็จะเสียใจกับการตัดสินใจนั้น


 


“เจ้าพามาแค่นางอย่างนั้นหรอ?” ไป๋เวยถามด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยของหานเซิ่น


 


เอ็กซ์ตรีมคิงไม่ใช่สถานที่สำหรับเด็ก แทนที่จะพาหานเมิ่งเอ๋อที่แข็งแกร่งมา หานเซิ่นกลับพามาแค่เด็กเล็กคนหนึ่ง นั่นทำให้ไป๋เวยขมวดคิ้ว


 


“เป่าเอ๋อและข้าใกล้ชิดกันมากๆ ถ้าไม่มีข้าอยู่ นางจะนอนไม่หลับ” หานเซิ่นยิ้นและไม่ได้อธิบายอะไรมากกว่านั้น


 


ซีโน่เจเนอิคสเปชหลักของเอ็กซ์ตรีมคิงถูกรู้จักกันในชื่ออาณาจักรของกษัตริย์ มันเป็นระบบจักรวาลที่ใหญ่มากๆ และมันเกือบจะใหญ่เท่ากับระบบจักรวาลเคออส


 


ไป๋เวยเป็นคนในราชวงศ์ แต่เธอไม่ได้อาศัยอยู่ในพระราชวัง ราชาไป๋ต้องการให้คนในราชวงศ์พึ่งพาตัวเอง ดังนั้นพวกเขาแต่ละคนจะได้รับดาวดวงหนึ่งในอาณาจักรของกษัตริย์


 


ดวงดาวของไป๋เวยมีชื่อว่าดาววินด์โซน เมื่อหานเซิ่นไปถึงที่นั่น เขาก็เข้าใจทันทีว่าทำไมไป๋เวยถึงได้มีช่วงเวลาที่ยากลำบาก


 


สภาพแวดล้อมของดาววินด์โซนนั้นแย่มากๆ และมันก็มีทรัพยากรอยู่เพียงน้อยนิด ดูเหมือนว่าไป๋เวยจะได้รับดาวเริ่มต้นที่ไม่ยุติธรรม มันไม่มีสมาชิกของราชวงศ์คนไหนควรจะได้รับดาวที่รกร้างแบบนี้


 


หลังจากที่พาหานเซิ่นไปยังที่พักอาศัยของเขา ไป๋เวยก็หันมาพูดกับเขาอย่างจริงจัง

“ตอนนี้เจ้าก็เห็นเงื่อนไขที่ไม่ยุติธรรมของข้าแล้ว ข้าตั้งใจจะทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากท่านพ่อให้สำเร็จ ด้วยการนำรังของอันดายอิ้งเบิร์ดกลับไป ถ้าข้าทำแบบนั้น ข้าก็จะได้รับดวงดาวที่มีทรัพยากรมากมาย แต่ตอนนี้ข้าไม่มีอะไร ดังนั้นพวกเราไม่มีเวลาจะมาผ่อนคลาย พวกเราจะเริ่มงานพรุ่งนี้เลย”


 


ไป๋เวยอาศัยอยู่ในปราสาทที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง แต่เมืองแห่งนี้ดูสภาพแย่มากๆ


 


คนใช้และอัศวินในปราสาทของเธอต่างก็เป็นคนที่มีฐานะทางสังคมต่ำ มันเห็นได้ชัดว่าไป๋เวยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการอาศัยอยู่ที่นี่


 


“เจ้ามีศัตรูภายในเผ่าพันธุ์บ้างไหม?” หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา


 


ใบหน้าของไป๋เวยไม่ได้เปลี่ยน “ถึงข้าจะเป็นคนของราชวงศ์ แต่แม่ของข้าเป็นเพียงแค่คนใช้ มันไม่มีทางที่ข้าจะกลายเป็นผู้นำหรืออะไรทำนองนั้นได้ ตราบใดที่ข้าไม่ไปท้าทายคนอื่นๆ ข้าก็จะไม่ถูกรบกวนอะไร แต่องค์หญิงสิบและแม่ของนางนั้นต่างออกไป”


 


หานเซิ่นฟังอย่างตั้งใจ แต่ดูเหมือนไป๋เวยไม่อยากจะพูดเกี่ยวกับมัน เธอแค่บอกให้หานเซิ่นไปพักผ่อน หลังจากนั้นเธอก็จากไป


 


แต่ถึงเธอจะไม่ได้อธิบายอะไรมาก แต่หานเซิ่นก็พอจะคาดเดาได้


 


เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องการแก่งแย่งกันภายในราชวงศ์มาก่อน


 


แต่เรื่องภายในของเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับหานเซิ่น เขาสนใจแค่วิธีการที่จะได้รับทรัพยากรจากเอ็กซ์ตรีมคิง


 


ไม่นานหานเซิ่นก็ได้รู้ว่าเอ็กซ์ตรีมคิงมีทรัพยากรอยู่ทุกหนทุกแห่ง พวกเขามั่งคั่งกว่าปราสาทนภามาก แต่ทรัพยากรที่นี้จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา


 


แน่นอนว่าคนธรรมดาไม่สามารถแตะต้องทรัพยากรที่มีค่าได้ แต่ไป๋เวยเป็นคนของราชวงศ์คนหนึ่ง ดังนั้นมันจึงมีโอกาสสำหรับเธอที่จะชิงทรัพยากรมา


 


วันรุ่นขึ้นหานเซิ่นถูกไป๋เวยเรียกให้ไปพบที่ห้องโถงของปราสาท ที่นั่นพวกเขาพูดคุยกันถึงวิธีการที่จะเข้าไปในสุสานของทหารและกษัตริย์


 


สุสานของทหารและกษัตริย์ไม่ได้เป็นสุสานจริงๆ มันคือคลังอาวุธ อาวุธที่เก็บอยู่ที่นั่นถูกใช้โดยกษัตริย์แต่ละองค์


 


แน่นอนว่าสุสานไม่ได้เก็บเพียงแค่อาวุธที่กษัตริย์รุ่นก่อนเคยใช้ในช่วงปลายชีวิต มันยังเก็บอาวุธที่พวกเขาเคยใช้ในตอนหนุ่มๆด้วย


 


คนหนุ่มสาวในราชวงศ์สามารถเข้าไปในสุสานของทหารและกษัตริย์ได้ และถ้าพวกเขาโชคดี พวกเขาก็จะได้รับการยอมรับจากอาวุธที่ถูกเก็บอยู่ที่นั่น แบบนั้นพวกเขาก็สามารถจะนำอาวุธออกมาจากสุสานและใช้มันเป็นอาวุธของตัวเองได้


 


แต่การจะเข้าไปที่นั่นก็ต้องผ่านการทดสอบให้ได้ซะก่อน ไป๋เวยเคยรับการทดสอบหลายต่อหลายครั้ง แต่เธอก็ล้มเหลวทุกครั้ง ดังนั้นเธอจึงไม่เคยได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปในสุสานของทหารและกษัตริย์มาก่อน

 

 

 


ตอนที่ 2303

 

ตอนที่ 2303 ไป๋อู๋ฉาง


 


จากบุตรธิดาของราชวงศ์ทั้งหมด มันถือว่าหาได้ยากที่คนอายุเท่ากับไป๋เวยจะยังไม่ได้เข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์


 


แต่ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะอ่อนแอแต่อย่างใด แต่ถ้าเธอจะเข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์ตามลำพัง เธอก็ต้องเป็นระดับราชันเป็นอย่างน้อยเพื่อผ่านการทดสอบ


 


การทดสอบในสุสานทหารและกษัตริย์สามารถให้ราชองค์รักษ์ช่วยเหลือได้ แต่ราชาไป๋นั้นสร้างการทดสอบบางอย่างที่มุ่งเน้นไปที่พลังส่วนตัวของคนราชวงศ์ แต่การทดสอบส่วนใหญ่จะเน้นไปที่พลังโดยรวมของทีม


 


การจะกลายเป็นกษัตริย์ คนๆนั้นไม่สามารถพึ่งแค่พลังของตัวเองได้ กษัตริย์จำเป็นต้องมีทั้งวิชาการต่อสู้และอำนาจ


พวกพ้องที่แข็งแกร่งที่สุดของไป๋เวยก็คือหัวหน้าคนรับใช้ของเธอ เธอยังพอมีจะคนรับใช้ อัศวินระดับมาร์ควิสและเอิร์ลอยู่บ้าง แต่หานเซิ่นเป็นราชองครักษ์คนเดียวของเธอ


 


ไป๋เวยมีช่วงเวลาที่ยากลำบากก็เพราะดาววินด์โซนไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการพัฒนาอัศวินระดับสูง ทำให้ไม่มีใครอยากจะติดตามคนในราชวงศ์ที่ต้อยต่ำอย่างเธอ


 


นอกจากนั้นไป๋เวยก็ไม่ได้ถูกนับถือโดยคนธรรมดาทั่วไปเหมือนกับราชวงศ์คนอื่น เพราะเหตุนั้นคนที่ยินดีจะติดตามเธอจึงไม่ได้โดดเด่นอะไร


 


สุสานทหารและกษัตริย์อนุญาตให้ราชวงศ์คนหนึ่งนำราชองครักษ์ไปกับพวกเขาได้สิบคน แต่ราชองครักษ์ที่ไปต้องเป็นระดับดยุกหรือต่ำกว่าเท่านั้น ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่สามารถพากิเลนโลหิตเข้าไปด้วยได้


 


“นั่นหมายความว่าคนที่เข้าไปได้มีแค่เจ้า ข้าและหัวหน้าคนรับใช้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว


 


ไป๋เวยส่ายหัว “แค่เจ้าและข้าเท่านั้น หัวหน้าคนรับใช้ไม่ใช่ราชองครักษ์ของข้า ดังนั้นเขาไม่มีคุณสมบัติจะเข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์”


 


หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา “เจ้าคิดจะใช้ข้าเป็นตัวแทนราชองครักษ์สิบคนอย่างนั้นสินะ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรจะได้ส่วนแบ่งขององครักษ์ทั้งสิบคน?”


 


“ถ้าพวกเราเข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์ได้ ข้าจะแบ่งของกับเจ้าคนละครึ่ง” ไป๋เวยพูด


 


“สุสานทหารและกษัตริย์เก็บอาวุธของเหล่ากษัตริย์เอาไว้ไม่ใช่หรอ มีเพียงแค่คนในราชวงศ์เท่านั้นที่จะเอาของแบบนั้นออกมาได้ แบบนั้นพวกเราจะแบ่งของที่ได้คนละครึ่งยังไง?” หานเซิ่นถาม


 


ไป๋เวยหัวเราะ “แน่นอนว่าเจ้าเอาอาวุธของเหล่ากษัตริย์ไปไม่ได้ แต่สุสานไม่ได้เก็บเพียงแค่อาวุธของคนในราชวงศ์เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเหล่าคนในราชวงศ์ก็คงจะเอาพวกมันทั้งหมดไปแล้ว อาวุธมากมายถูกทิ้งเอาไว้ที่นั่นก็เพื่อเป็นเกียรติต่อคนที่เสียชีวิตไป พวกมันเป็นสมบัติที่หายาก และราชองครักษ์แต่ละคนก็ได้รับอนุญาตให้นำพวกมันติดตัวออกมาได้แค่คนละชิ้น แบบนั้นทั้งเจ้าและข้าจะได้รับบางสิ่ง”


 


เมื่อได้ยินว่าเขาจะได้รับบางสิ่งจากการเดินทางในครั้งนี้ หานเซิ่นก็รู้สึกดีขึ้นมาก


 


ไป๋เวยพูดต่อ “แถมสุสานทหารและกษัตริย์เป็นมากกว่าสถานที่สำหรับให้ราชวงศ์แต่ละคนเอาอาวุธออกมา การผ่านการทดสอบของสุสานทหารและกษัตริย์จะทำให้ข้ามีคุณสมบัติในการเข้าไปศึกษาในสวนของกษัตริย์ นั่นคือผลประโยชน์ที่แท้จริงที่ข้าต้องการ ราชองครักษ์เองก็ติดตามข้าเข้าไปที่นั่นได้ ดังนั้นนั่นก็ควรจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าเช่นกัน”


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะเพิ่งมาถึงที่นี่ แต่เขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับสวนของกษัตริย์มาก่อน มันมีต้นไม้กษัตริย์ระดับเทพเจ้าต้นหนึ่งอยู่ที่นั่น และมันเป็นของพื้นเมืองของอาณาจักรกษัตริย์ ในตอนกลางวันต้นไม้กษัตริย์จะปล่อยลมปราณกษัตริย์ออกมา การดูดซับลมปราณกษัตริย์เข้าไปจะเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายและยีนให้กับคนๆนั้น มันเป็นอะไรที่มีประโยชน์อย่างมากต่อขุนนางที่ต้องการจะเพิ่มระดับขึ้น


 


แต่ต้นไม้กษัตริย์จะปลดปล่อยลมปราณกษัตริย์ออกมาในจำนวนที่จำกัด ดังนั้นแม้แต่คนในราชวงศ์ก็จำเป็นต้องผ่านการทดสอบก่อนถึงจะเข้าไปในสวนของกษัตริย์ได้


 


การผ่านการทดสอบของสุสานทหารและกษัตริย์เป็นเพียงแค่เงื่อนไขอย่างหนึ่งในการจะเข้าไปในสวนของกษัตริย์เท่านั้น มันยังมีเงื่อนไขอย่างอื่นอีก แต่ไป๋เวยผ่านพวกมันเรียบร้อยแล้ว มันเหลือเพียงแค่การทดสอบของสุสานทหารและกษัตริย์เท่านั้นที่เธอยังไม่ผ่าน


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าการทดสอบภายในสุสานจะเป็นแบบไหน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถให้สัญญากับไป๋เวยได้


 


แต่ทว่าทั้งไป๋เวยและหานเซิ่นเป็นระดับดยุกทั้งคู่ เธอมั่นใจว่าพวกเขาจะผ่านการทดสอบไปได้


 


หานเซิ่นทิ้งเป่าเอ๋อ กิเลนโลหิตและนกแดงน้อยเอาไว้เบื้องหลัง และออกเดินทางไปที่สุสานกับไป๋เวยแค่ 2 คน


 


สุสานทหารและกษัตริย์เป็นดาวดวงหนึ่ง หานเซิ่นและไป๋เวยไปถึงสถานีอวกาศในวงโคจรของดวงดาว เมื่อไปถึงไป๋เวยก็ไปกรอกเอกสารที่จำเป็น ขณะที่หานเซิ่นรออยู่ในห้องล็อบบี้


 


“องค์หญิงผู้น่าสงสาร เจ้าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง”

หานเซิ่นถอนหายใจ เขาปิดตาลงและพยายามจะพักผ่อนสักหน่อย แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามา


 


มันมีคนหลายคนเดินไปมาในห้องล็อบบี้ แต่ตัวตนของคนคนนั้นดึงดูดความสนใจของหานเซิ่น


 


อีกฝ่ายคือชายหนุ่มชาวเอ็กซ์ตรีมคิงที่มีอายุราว 20 ปี ดวงตาของเขาดูแน่วแน่มากๆ ร่างกายของเขาเป็นเหมือนกับมีดที่สามารถดึงออกมาจากฝักได้


 


ชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาที่หานเซิ่น ชายคนนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าหานเซิ่นและจ้องตรงมาที่เขา “เจ้าคือหานเซิ่นใช่ไหม?”


 


“ใช่ เจ้าล่ะชื่ออะไร?” หานเซิ่นถามอย่างระมัดระวัง เขาเพิ่งจะมาถึงที่เอ็กซ์ตรีมคิง แต่มันก็มีใครบางคนมองหาตัวของเขาแล้ว


 


“ไป๋อู๋ฉาง” ชายหนุ่มตอบอย่างจริงจัง


 


เมื่อได้ยินชื่อนั้น หานเซิ่นก็ประหลาดใจ เขาคิดกับตัวเอง ‘นี่เป็นชื่อของระเบิด อัจฉริยะคนไหนกันที่ตัดสินใจมอบชื่อแบบนี้ให้กับลูกชายของเขา นี่พวกเขาไม่กลัวว่าลูกชายของตัวเองจะตายหรือยังไง?’


 


ไป๋อู๋ฉางเมินเฉยต่อความลังเลของหานเซิ่น “เจ้าคือหานเซิ่นที่ได้รับสมญานามปรมาจารย์แห่งมีดและดาบร่วมกับไผ่เดียวดายใช่ไหม?”


 


“ข้าคือหานเซิ่นคนนั้น แต่สมญานามนั่นเป็นเพียงแค่ชื่อที่ผู้คนใช้เพื่อหยอกล้อข้าเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องไปคิดจริงจังกับมัน” หานเซิ่นพูด


 


ไป๋อู๋ฉางพยักหน้า “ยังไงก็ช่างตราบใดที่เจ้าคือหานเซิ่นคนนั้น ข้าอยากจะประมือกับไผ่เดียวดาย แต่ข้าไม่เคยมีโอกาส ไหนๆเจ้าก็อยู่ที่นี่ ข้าจะขอประมือกับเจ้าก่อน”


 


ไป๋อู๋ฉางนำการ์ดออกมาจากกระเป๋าและมอบมันให้กับหานเซิ่น

“เอาการ์ดนี้ไป ข้ารอเจ้าในคืนพรุ่งนี้”


 


หลังจากนั้นไป๋อู๋ฉางก็เดินจากไปทันที เขาไม่ได้รอคำตอบจากหานเซิ่นแต่อย่างใด


 


“นี่มันอะไรกัน? เขาไม่แม้แต่จะให้ข้าได้พูดตอบ!” หานเซิ่นอยากจะเรียกไป๋อู๋ฉาง แต่ขณะที่เขาเดินตามไป เขาก็รู้สึกตัวว่าชายคนนั้นได้หายไปแล้ว เขาเดินออกจากล็อบบี้และออกจากสถานีอวกาศไป


 


“หมอนั่นเป็นใครกัน?” หานเซิ่นก้มมองดูการ์ดในมือ มันเป็นการ์ดสีดำที่มีตัวอักษรสีขาวที่อ่านง่ายๆว่า “ไป๋อู๋ฉาง” มันไม่มีอะไรอย่างอื่น มันไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับตำแหน่งของไป๋อู๋ฉางภายในเอ็กซ์ตรีมคิง


 


ขณะหานเซิ่นมองดูการ์ดในมือ ไป๋เวยก็เดินเข้ามา ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อได้เห็นการ์ดใบนั้น

“เจ้าไปได้มันมาจากไหน?”


 


“จากคนที่ชื่อไป๋อู๋ฉาง จู่ๆเขาก็เดินเข้ามามอบการ์ดใบนี้ให้กับข้าและเดินจากไป” หานเซิ่นพูดขณะถือการ์ดอยู่ในมือ


 


ไป๋เวยดูมัวหมอง เธอรีบถาม “เขาท้าเจ้าสู้อย่างนั้นหรอ?”


 


“ข้าคิดว่าอย่างนั้น” หานเซิ่นพูดพร้อมกับพยักหน้า


 


“นี่มันแย่แล้ว เขารู้ได้ยังไงว่าเจ้าอยู่ที่นี่? นอกจากนั้นเขายังเสียมารยาทมาท้าเจ้าสู้อีก? เขาต้องมาที่นี่เพราะแผนการของใครบางคนแน่ๆ” ไป๋เวยพูด


 


“ไป๋อู๋ฉางคนนี้เป็นใคร? เขามีชื่อเสียงอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


ไป๋เวยถอนหายใจ “เขาเป็นพี่ชายของข้า เขาคือบุตรชายของอัครมเหสี แต่เขาไม่ได้เหมือนกับองค์ชายคนอื่น เขาไม่ได้มีอำนาจมากมายอะไร เขาแค่อยากจะเพิ่มระดับของตัวเอง แม้แต่ท่านพ่อก็ยังบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในองค์ชายที่มีพรสวรรค์มากที่สุด มันยากที่จะคาดการณ์ได้ว่าเขาจะเติบใหญ่ไปเป็นยังไง”

 

 

 


ตอนที่ 2304

 

“ไป๋อู๋ฉางเป็นคนที่มีนิสัยประหลาด ด้วยเหตุนั้นท่านพ่อจึงไม่คิดจะให้เขาสืบทอดบัลลังก์ แต่ถึงอย่างนั้นท่านพ่อก็รักเขามาก ไป๋อู๋ฉางเป็นคนเดียวที่ไม่เคยรับสมัครองครักษ์ แต่ท่านพ่อก็ยังคงมอบทรัพยากรให้กับเขา” ไป๋เวยพูด


 


“ราชาไป๋เอ็นดูเขามากขนาดนั้นเลย? แบบนั้นองค์ชายและองค์หญิงคนอื่นไม่อิจฉาหรอกหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


“พวกเขาต่างก็อิจฉา แต่พวกเขาทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่ได้ ท่านพ่อนั้นลำเอียงเข้าข้างไป๋อู๋ฉางจริงๆ และเขาก็ยังเป็นบุตรชายของอัครมเหสี มงกุฎราชกุมารคือพี่ชายจากบิดามารดาเดียวกับเขา ถึงแม้เขาจะเป็นแค่ลูกศิษย์ของราชครู แต่คนอื่นๆก็ต้องคิดไตร่ตรองอย่างดีก่อนที่จะเสี่ยงไปต่อสู้กับเขา” ไป๋เวยพูด


 


“ราชครูคือใครกัน?” หานเซิ่นถาม เขาไม่ได้รู้เรื่องภายในเกี่ยวกับสังคมของเอ็กซ์ตรีมคิงมากนัก


 


“ชื่อของเขาคือ กู่เยวียน” เมื่อไป๋เวยพูดชื่อนั้น เธอก็ลดเสียงลง ดูเหมือนกับว่าการพูดถึงเขาจะทำให้เธอไม่ค่อยสบายใจ


 


“เจ้าจะได้ฟังเกี่ยวกับเขาเพิ่มภายหลัง สำหรับตอนนี้เจ้าแค่อย่ารับคำท้าของไป๋อู๋ฉางไม่ว่ายังไงก็ตาม” ไป๋เวยพูด


 


“ข้าไม่คิดจะต่อสู้กับเขาอยู่แล้ว” หานเซิ่นยักไหล่และหัวเราะ มันไม่มีทางที่เขาจะยอมรับคำท้าแบบนั้น เพราะมันเป็นอะไรที่เสียเวลาเปล่าๆ


 


ไป๋เวยถอนหายใจและพูด “ดี ข้าจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมดแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”


 


ขณะที่พวกเขาออกไปจากสถานีอวกาศและมุ่งหน้าไปยังสุสานทหารและกษัตริย์ ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ภายในห้องควบคุมกำลังดูพวกเขาผ่านกล้องวงจรปิด


 


ผู้หญิงคนนั้นดูงดงามอย่างมาก เพียงแค่เห็นเธอนั่งอยู่ตรงก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่ได้เห็นมีความสุข


 


เธออาจจะไม่ได้สวยอย่างราชินีจิ้งจอก แต่เธอดูเยือกเย็นและชาญฉลาด มันเป็นอะไรที่น่าประทับใจ มันเหมือนกับว่าทุกสิ่งในโลกสะท้อนอยู่ในดวงตาที่เหมือนกับทะเลสาบของเธอ


 


กัปตันของสถานีอวกาศยืนอยู่ข้างๆผู้หญิงคนนั้น เขาเอนตัวลงมาหาเธอและพูด

“มิสเตอร์มิร์เรอร์จะขออะไรข้าก็ได้ ข้าจะทำทุกสิ่งที่มิสเตอร์มิร์เรอร์ต้องการ”


 


“ข้าแค่อยากจะอยู่ที่นี่เงียบๆ ข้าทำแบบนั้นได้ใช่ไหม กัปตัน” ผู้หญิงคนนั้นตอบด้วยรอยยิ้ม


 


“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเจ้ายังรออะไรกันอยู่อีก? ออกไปให้หมด! เร็วเข้า! รีบออกไปให้หมด!” กัปตันรีบไล่คนงานทั้งหมดที่อยู่ในห้องควบคุมออกไป


 


“มิสเตอร์มิร์เรอร์ยังต้องการอะไรอย่างอื่นอีกไหม?”

หลังจากที่กัปตันไล่ทุกคนออกไปแล้ว เขาก็ยืนยิ้มอย่างประจบอยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น


 


ผู้หญิงคนนั้นเพียงแค่มองรอยยิ้มของกัปตัน เธอไม่ได้พูดอะไร


 


สีหน้าของกัปตันเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าเธอหมายความว่ายังไง เขารีบเดินไปที่ประตูหลังและหันกลับมาโค้งคำนับด้วยรอยยิ้ม

“เชิญมิสเตอร์มิร์เรอร์ตามสบาย ข้าจะไม่ให้ใครเข้ามารบกวนเด็ดขาด”


 


หลังจากที่ออกไปแล้ว กัปตันก็ปิดประตูอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง เขาไม่ต้องการจะรบกวนผู้หญิงคนนั้น


 


ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเดียวที่ยังอยู่ภายในห้องควบคุม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสง่างาม


 


“ไป๋เวยนะ ไป๋เวย ทำไมเจ้าถึงได้ทำแบบนี้?” ผู้หญิงคนนั้นมองไป๋เวยที่ตรงเข้าไปที่สุสานทหารและกษัตริย์ เธอถอนหายใจและส่ายหัว


 


ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็หันไปสนใจหานเซิ่นที่กำลังเดินทางไปกับไป๋เวย


 


หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็พูดกับตัวเอง “ในที่สุดราชินีแห่งมีดก็รับลูกศิษย์มาคนหนึ่ง เขาฝึกฝนอยู่ในปราสาทนภาหลายปีและกลับมาที่แนร์โรว์มูนเมื่อถึงระดับมาร์ควิส หลังจากนั้นเขาก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นอัศวินสำรองของหน่วยอัศวินไอซ์บลู เขาได้รับขนนกเทพเจ้ามาจากข่งเฟย สภาพแวดล้อมนั้นเป็นใจต่อเขามากๆ แต่เขามีศักยภาพที่แย่ คริสตัลไลเซอร์เป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่พึ่งพาพลังของเทคโนโลยี พลังของพวกเขาอ่อนแอและยีนของพวกเขาก็ไม่ดี มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ มันอาจจะเป็นเรื่องดีที่ไป๋เวยมีใครสักคนเคียงข้าง แต่การให้เขาเป็นราชองครักษ์จะเป็นการใช้ความพยามมากเกินไปแลกกับค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด”


 


หานเซิ่นตามไป๋เวยเข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์ ทั้งดวงดาวนั้นคือสุสาน และมันก็มีป้ายหลุมศพผุดขึ้นมาจากพื้นดินทุกหนทุกแห่งที่พวกเขามองออกไป


 


แต่สิ่งที่ถูกฝังอยู่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต พวกมันเป็นอาวุธซีโน่เจเนอิค


 


หานเซิ่นไม่ได้สนใจอาวุธซีโน่เจเนอิคนัก เนื่องจากเขามีธันเดอร์ก็อตสไปค์และมีดเขี้ยวผีสิงอยู่แล้ว


 


เขาอยากได้วิญญาณอสูรระดับเทพเจ้ามากกว่า


 


อาวุธซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าอย่างธันเดอร์ก็อตสไปค์ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากสำหรับหานเซิ่น เพราะแทนที่จะสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่าย มันกลับทำได้แค่ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพเป็นอัมพาตเท่านั้น


 


แถมอาวุธซีโน่เจเนอิคอย่างธันเดอร์ก็อตสไปค์นั้นถ้าไม่ถูกใช้โดยยอดฝีมือระดับราชันหรือเทพเจ้าแล้วล่ะก็ ประสิทธิภาพของมันก็จะลดลงไปอย่างมาก


 


หานเซิ่นและไป๋เวยลงมาถึงลานกว้างของสุสานทหารและกษัตริย์ ทั้ง 2 ด้านของลานกว้างมีอสูรทองแดงอยู่ด้านละ 9 ตัว ในจังหวะที่หานเซิ่นเหยียบลงบนลานกว้าง อสูรทองแดงทั้ง 18 ตัวก็มีชีวิตขึ้นมา


 


แต่ดูไม่เหมือนว่าพวกมันจะจู่โจมหานเซิ่นและไป๋เวย พวกมันเปิดปากและพ่นอาวุธอย่างหนึ่งออกมาที่ลานกว้าง


 


อาวุธทั้ง 18 อันแตกต่างกันออกไป และพวกมันทั้งหมดก็วางอยู่ตรงหน้าอสูรเฝ้าสุสานแต่ละตัว


 


ไป๋เวยตั้งท่าเตรียมต่อสู้เรียบร้อยแล้ว เธอพูดกับหานเซิ่น

“อาวุธแต่ละอันจะโจมตีพวกเราครั้งหนึ่ง พวกเราต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อปัดป้องการโจมตีนั้น ถ้าพวกเราทำได้ พวกเราก็จะได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์เพื่อเก็บอาวุธหนึ่งอย่างมา แต่พวกเราจะใช้สมบัติซีโน่เจเนอิคอะไรไม่ได้ ถ้าพวกเราใช้ มันจะถือว่าพวกเราไม่ผ่านการทดสอบ”


 


ขณะที่ไป๋เวยพูด หอกเล่มหนึ่งก็เริ่มรวบรวมพลัง เปลวไฟสีดำอาบอาวุธนั้นราวกับว่าปีศาจที่ลุกเป็นไฟกำลังถือหอกนั่นอยู่ มันแทงเข้ามาหาหานเซิ่นและไป๋เวย


 


“ข้าจะป้องกันการโจมตี 9 ครั้งแรก ส่วนเจ้าป้องกันการโจมตี 9 ครั้งหลัง” ไป๋เวยพูดขณะที่เตรียมตัวรับการโจมตีของหอก


 


แต่หานเซิ่นก้าวมาข้างหน้าไป๋เวย เขายิ้มและพูด

“ให้ข้าเริ่มก่อน และเมื่อข้ารับการโจมตีไม่ได้อีกแล้ว เจ้าค่อยรับการโจมตีต่อจากข้า”


 


ขณะที่หอกพุ่งเข้ามาราวกับมังกรปีศาจ หานเซิ่นก็ใช้ร่ายกายหยกชกหมัดออกไปใส่ปลายหอก


 


ผู้หญิงในห้องควบคุมขมวดคิ้ว ขณะที่เธอเห็นหานเซิ่นชกหมัดเข้าหาหอก

“อาวุธทั้ง 18 ไม่ได้แค่ทดสอบพลังของคนในราชวงศ์เพียงอย่างเดียว มันยังจะช่วยสอนพวกเขาว่าพลังที่แตกต่างจำเป็นต้องใช้การตอบโต้เฉพาะทาง นั่นคือหนทางที่จะผ่านการทดสอบ หานเซิ่นคิดจะใช้ไฟสู้กับไฟ ถึงแม้เขาจะป้องกันการโจมตีของหอกได้ แต่ตัวเขาเองก็จะได้รับความเสียหายไปด้วย เมื่อเขาพยายามจะรับการโจมตีของอาวุธอื่น มันก็จะเป็นภาระที่หนักหนาขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่เขาขาดสมอง ผู้ชายที่บุ่มบ่ามแบบนี้ ข้าไม่รู้เลยว่าเขาได้รับสมญานามแบบเดียวกับไผ่เดียวดายได้ยังไง”


 


เมื่อผู้หญิงคนนั้นกลับไปมองที่หน้าจอ หมัดของหานเซิ่นก็ปะทะกับปลายของหอกมังกรปีศาจ


 


ตูม!


ภายใต้แรงของหมัด ร่างของมังกรปีศาจทุกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผง

 

 

 


ตอนที่ 2305

 

‘การโจมตีของอาวุธทั้ง 18 จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีครั้งแรกอยู่ในระดับเดียวกับการโจมตีเต็มกำลังของดยุกคนหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ดยุกคนหนึ่งจะทำลายพลังของหอกนั้นได้ด้วยพละกำลัง ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาถือว่าไม่เลว’ ผู้หญิงในห้องควบคุมคิด


 


ความแข็งแกร่งทางร่างกายระดับนั้นถือว่าธรรมดาสำหรับคนของเอ็กซ์ตรีมคิง แม้แต่ไป๋เวยที่เพิ่งกลายเป็นดยุกก็สามารถทำเหมือนกันได้ด้วยหมัดเอ็กซ์ตรีมคิง การโจมตีของหานเซิ่นจึงไม่ได้แปลกอะไรสำหรับผู้หญิงคนนั้น


 


เธอชอบผู้ชายที่ฉลาดและกล้าหาญ เธอไม่ชอบคนที่บุ่มบ่ามจะต่อสู้โดยไม่ใช่อะไรอย่างอื่นนอกจากพละกำลัง


 


เธอเชื่อว่าความแข็งแกร่งของคนๆหนึ่งมีหลายรูปแบบ ถ้าสติปัญญาและจิตใจของคนๆหนึ่งอ่อนแอ มันก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง


 


เมื่อหมัดของหานเซิ่นทำลายหอกไปแล้ว อาวุธอีกอย่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาเขาทันที


 


ครั้งนี้ที่จู่โจมเข้ามาคือมีดเล่มหนึ่ง และเมื่อมีดพุ่งตรงเข้ามาหาหานเซิ่น มันก็มาในรูปแบบของเสือที่เตรียมพร้อมจะกลืนกินทั้งโลกใบนี้ มันคำรามเข้าใส่หานเซิ่น


 


ปัง!


หานเซิ่นชกหมัดออกไปทำลายมีด พลังจากการปะทะกันไม่แม้แต่จะทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้บนหมัดของหานเซิ่น มันยังคงเป็นหยกขาวที่แวววาว


 


อาวุธทั้ง 18 จู่โจมหานเซิ่นตามกันมา อาวุธแต่อันมีพลังพิเศษของตัวเอง หอกเป็นความแม่นยำ ขณะที่มีดเป็นความแข็งแกร่ง ต่อไปคือดาบที่สามารถสร้างความเจ็บปวดที่ทรมาน ทุกการจู่โจมจากอาวุธแต่ละอันจะเข้ามาในรูปแบบที่ร้ายกายและมีประสิทธิภาพ


 


โดยปกติแล้วเหล่าองค์ชายและองค์หญิงจะสามารถเลือกต่อสู้ได้ว่าจะต่อสู้ด้วยตัวเองหรือให้องครักษ์สู้แทนขึ้นอยู่กับธาตุของอาวุธที่เข้ามา เพื่อเลือกนักสู้ที่ดีที่สุดที่จะรับมือกับอาวุธนั้นๆ


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้สนใจอะไรในเรื่องนั้น มันไม่สำคัญว่าอาวุธแต่ละอันจะจู่โจมเขาด้วยพลังแบบไหน เขาสามารถบดขยี้พวกมันได้ด้วยการแกว่งหมัด ตอนนี้อาวุธ 8 อันถูกทำลายด้วยหมัดของหานเซิ่น ขณะที่เท้าของเขายังคงปักหลักอยู่ที่เดิม


 


“ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาไม่เลว แต่ถ้าเขาคิดจะใช้พลังของร่างกายทนต่อการโจมตีทั้ง 18 ครั้งล่ะก็ นั่นก็เป็นความพยายามที่ไร้เดียงสามากๆ ถึงไผ่เดียวดายจะมาอยู่ที่นี่ เขาก็ทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้” ผู้หญิงในห้องควบคุมดูช็อค


 


มันมีหลายคนที่สามารถทำลายอาวุธ 8 อันติดต่อกันได้ แต่หานเซิ่นทำเหมือนกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ซึ่งมันไม่ใช่ดยุกทุกคนจะสงบอยู่ได้ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น


 


มันเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวที่ดยุกคนหนึ่งสามารถแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ได้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ปลุกร่างแอสทรอลให้ตื่นขึ้นมา


 


ไป๋เวยยืนอยู่ด้านหลังหานเซิ่น เธอดูสับสนเล็กน้อย เธอเข้าใจว่าอาวุธทั้ง 18 จะทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่มั่นใจว่าจะรับการโจมตี 9 ครั้งหลังได้ ดังนั้นเธอจึงอยากจะให้หานเซิ่นเป็นคนรับพวกมัน ขณะที่เธอรับการโจมตี 9 ครั้งแรก


 


แต่หานเซิ่นขอเริ่มก่อน เธอเลยกังวลว่าหานเซิ่นจะแข็งแกร่งไม่พอที่จะรับพวกมันทั้งหมดได้


 


เพราะยังไงซะหานเซิ่นก็มีแค่ร่ายกายระดับดยุก เขาไม่ได้มีร่างแอสทรอลที่จะใช้พลังของดวงดาวได้ และเขาก็ไม่มีร่างเซเลสเทียลที่สามารถใช้พลังของจักรวาลเพื่อฟื้นฟูตัวเองได้เช่นกัน


 


มันเห็นได้ชัดว่าหานเซิ่นมีแผนที่จะรับการโจมตีทั้ง 18 ครั้ง ไป๋เวยไม่คิดว่าเธอจะทำอะไรแบบนั้นได้ เพราะถ้าเธอทำได้ เธอก็คงจะไม่ขอความช่วยเหลือจากหานเซิ่น


 


แต่ดูเหมือนว่าความกังวลของไป๋เวยจะไม่เป็นจริง อาวุธทั้ง 18 จู่โจมตามกันเข้ามาติดๆ แต่หานเซิ่นก็ยังมั่นคงราวกับขุนเขา หนึ่งหมัดต่อหนึ่งอาวุธ เขาทำลายทุกอาวุธด้วยกำปั้นของเขา


 


มันไม่สำคัญว่าอาวุธแต่ละอันจะโจมตีเข้ามาด้วยพลังแบบไหน พวกมันไม่สามารถหนีไปจากหมัดที่ทรงพลังของหานเซิ่นได้


 


อาวุธนับสิบถูกทำลายโดยหานเซิ่น แต่เขาก็ยังทำเหมือนกับว่าไม่ได้มีเรื่องผิดปกติอะไรเกิดขึ้น ไป๋เวยจ้องมองหานเซิ่นด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ผู้หญิงในห้องควบคุมก็มองเขาอย่างแปลกๆ


 


ตูม!


 


เมื่อหานเซิ่นชกใส่อาวุธอันสุดท้าย ผู้หญิงในห้องควบคุมก็ดูอึ้งไป


 


“ไม่แปลกใจเลยที่เขาถูกบอกว่าอยู่ในระดับเดียวกับไผ่เดียวดาย เขาผ่านการทดสอบโดยพึ่งแค่พลังทางร่างกายจริงๆซะด้วย เขาเป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่คนอย่างนั้นจะพบว่าตัวเองถูกกำราบโดยศัตรูที่ระดับเหนือกว่า เพราะยังไงซะเขาก็เป็นคนที่บุ่มบ่าม”

หลังจากนั้นเธอก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอหัวเราะและพูดกับตัวเอง “นี่ถือเป็นเรื่องดี! คนที่ใช้แต่พละกำลังจะถูกควบคุมได้ง่าย เขาจะสร้างปัญหาอะไรไม่ได้มาก แบบนั้นเขาก็ถือว่าเป็นราชองครักษ์ที่เหมาะสมคนหนึ่ง ไป๋เวยเลือกคนได้ดี”


 


หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องควบคุมไป ตอนนี้เมื่อไป๋เวยและหานเซิ่นเข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์ กล้องวงจรปิดก็จับภาพของพวกเขาไม่ได้อีก ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะอยู่ต่อ


 


เมื่อกัปตันของสถานีอวกาศเห็นผู้หญิงคนนั้นจากไป เขาก็ปาดเหงื่อบนหน้าผาก

“โชคดีที่มิสเตอร์มิร์เรอร์ไม่โกรธอะไรพวกเรา”


 


การเป็นน้องสาวของราชาไป๋ทำให้ผู้หญิงคนนั้นมีชื่อเสียงมากๆ กษัตริย์คนก่อนนั้นให้เธออภิเษกสมรสกับยอดฝีมือระดับเทพเจ้าของเอ็กซ์ตรีมคิงคนหนึ่ง แต่ผ่านไปไม่นานชายคนนั้นก็เสียชีวิตไปในการต่อสู้ ซึ่งเธอไม่คิดจะอภิเษกสมรสอีกตั้งแต่นั้นมา


 


ในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิง ชื่อของเธอจะถูกพูดด้วยเสียงกระซิบเท่านั้น ผู้คนไม่ได้หวาดกลัวพลังของเธอเอง แต่พวกเขาหวาดกลัวเธอเพราะเธอรับผิดชอบองค์กรลับของราชาไป๋ที่มีชื่อว่าสปริงเรน เธอเป็นผู้หญิงที่ราชาไป๋ไว้ใจมากที่สุด เธอตั้งชื่อองค์กรของเธอว่าสปริงเรน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะอะไร


 


หานเซิ่นทำลายอาวุธทั้ง 18 อัน และอสูรเฝ้าสุสานก็กลับไปเป็นรูปปั้นอีกครั้ง ตอนนี้เขาและไป๋เวยสามารถเดินผ่านลานกว้างและเข้าไปในสุสานได้


 


ไป๋เวยมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ เขาเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง แต่เขากลับสามารถเอาชนะอาวุธทั้ง 18 อันได้ด้วยตัวคนเดียว ในเอ็กซ์ตรีมคิงมีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำอะไรแบบนั้นได้ แต่หานเซิ่นดูเหมือนจะสามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย เขาเป็นคนที่แข็งแกว่งกว่าที่เธอคิดเอาไว้ในตอนแรก


 


“พวกเราจะเอาอาวุธไปได้ยังไง?” หานเซิ่นถามขณะมองไปที่ป้ายหลุมศพในสุสาน


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้สนใจสมบัติซีโน่เจเนอิค แต่เขาก็ไม่คิดจะพลาดของฟรีไป


 


ไป๋เวยมองไปที่ป้ายหลุมศพรอบๆตัวและพูด

“หลุมศพที่มีสัญลักษณ์รูปมงกุฎสลักอยู่คือสุสานของคนที่เป็นสมาชิกของราชวงศ์ เจ้าจะเอาอาวุธที่ฝังอยู่ในนั้นไปไม่ได้ แต่อาวุธในหลุมศพอื่นเอาไปได้ เพียงแค่เปิดหลุมศพและหยิบอาวุธที่ฝังอยู่ออกมา”


 


“มันง่ายขนาดนั้นเลย?” หานเซิ่นถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


ไป๋เวยส่ายหัว “มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น พวกเราไม่รู้ว่าใครถูกฝังอยู่ในหลุมศพไหน เพราะแบบนั้นพวกเราถึงไม่รู้ว่าหลุมศพไหนเก็บอาวุธที่ดีอยู่ เมื่อเจ้าเปิดหลุมศพออกแล้ว มันไม่สำคัญว่าอาวุธที่อยู่ข้างในจะดีหรือไม่ เจ้าจะต้องเอามันไป มันไม่มีการเปลี่ยนไปเอาอันอื่น เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ไป๋เวยก็พูดต่อ “ยังโชคดีที่เหตุผลหลักที่พวกมามาที่นี่คือการได้รับสิทธิเข้าไปในสวนของกษัตริย์ ข้าจะดีใจถ้าได้รับสมบัติชั้นสูง แต่ถ้านั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะได้รับ มันก็ไม่เป็นไร”


 


“ไหนๆพวกเราก็มาที่นี่แล้ว พวกเราก็ต้องเอาอาวุธไปสักอันไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี” หานเซิ่นหัวเราะขณะที่มองไปที่หลุมศพ


 


หานเซิ่นไม่ชอบการพึ่งดวงเช่นกัน และเขาก็ไม่สามารถทำการคำนวณได้อย่างกุนซือไวท์ ดังนั้นเขาจึงคิดจะใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนและวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อตรวจดูหลุมศพแต่ละหลุม

 

 

 


ตอนที่ 2306

 

แต่ละหลุมศพมีพลังพิเศษบางอย่างปกคลุมอยู่ ม่านพลังนั้นทำให้มองไม่เห็นว่าสมบัติแบบไหนกันที่หลับใหลอยู่ภายใน


 


แต่ด้วยการใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง ทำให้หานเซิ่นเห็นถึงการก่อสร้างของต่อละหลุมศพและเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน


 


แต่ไป๋เวยไม่มีพลังอะไรแบบนั้น ดังนั้นเธอจึงไม่อยากจะเสียเวลาลังเลกับสิ่งที่ขึ้นอยู่กับดวง เธอเดินเข้าไปหาหลุมศพราชวงศ์มงกุฎที่อยู่ใกล้ที่สุด


 


“เดี๋ยวก่อน!” หานเซิ่นหยุดไป๋เวยเอาไว้


 


หลุมศพที่ไป๋เวยยืนอยู่ตรงหน้านั้นเก็บอาวุธที่พอใช้ได้เอาไว้ แต่ระดับของมันยังถือว่าต่ำเกินไป


 


“อะไร?” ไป๋เวยหันกลับมามองหานเซิ่นด้วยความสับสน


 


“หลุมศพนั่นไม่เหมาะสมกับเจ้า พวกเราควรจะมองหากันต่ออีกสักหน่อย” หานเซิ่นยิ้ม


 


ตอนนี้ทรัพยากรที่เขาหาได้จะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของไป๋เวยด้วย ยิ่งไป๋เวยแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ เขาก็จะมีโอกาสได้รับทรัพยากรมากขึ้น ดังนั้นหานเซิ่นจึงต้องพยายามช่วยเธอเท่าที่จะทำได้ เพราะที่สุดแล้วมันก็ถือเป็นการช่วยเหลือตัวเขาเองด้วยเช่นกัน ถ้าเธอแข็งแกร่งขึ้น เขาก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย


 


ไป๋เวยมองหานเซิ่นอยู่สักครู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นหลุมศพไหนกันที่เหมาะสมกับข้า?”


 


หานเซิ่นเริ่มเดินออกไปข้างหน้า สุสานทหารและกษัตริย์เป็นดวงดาวที่กว้างใหญ่ มันมีสมบัติซีโน่เจเนอิคมากมายซ่อนอยู่ที่นี่ แต่พวกมันส่วนใหญ่เป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์


 


ถึงแม้โดยปกติแล้วอาวุธที่อยู่ใต้หลุมศพรูปมงกุฎมักจะดีกว่า แต่พลังของพวกมันก็ยังขึ้นอยู่กับระดับอยู่ดี และอาวุธส่วนใหญ่ที่ถูกซ่อนอยู่ก็เป็นอาวุธระดับต่ำ


 


เป้าหมายของหานเซิ่นคืออาวุธระดับเทพเจ้า แต่ถ้าพวกเขาหาอาวุธระดับนั้นไม่ได้ เขาก็จะเลือกอาวุธที่ระดับน้อยลงมาหน่อยอย่างอาวุธระดับราชัน


 


ไป๋เวยเดินตามหลังหานเซิ่นไป หานเซิ่นมองทุกหลุมศพที่อยู่รอบๆ แต่เธอไม่รู้ว่าเขากำลังมองเห็นอะไร ถ้าหานเซิ่นรู้ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในป้ายหลุมศพได้จริงๆ เธอก็ไม่รู้เลยว่าเขารู้ได้ยังไง


 


“อาวุธแบบไหนที่เจ้าต้องการ?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปรอบๆ


 


“ข้าเลือกได้งั้นหรอ?” ไป๋เวยมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ


 


“อธิษฐานดูสิ ไม่แน่มันอาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้?” หานเซิ่นยิ้ม


 


ไป๋เวยมองหานเซิ่นอยู่สักพักก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะได้ดาบ”


 


ไป๋เวยคิดว่าที่หานเซิ่นถามแบบนั้น ก็เพราะเขามีวิธีลับบางอย่างที่จะระบุอาวุธที่ซ่อนอยู่ในป้ายหลุมศพแต่ละอันได้


 


แต่นั่นฟังดูไม่น่าเชื่อสำหรับเธอ คนของราชวงศ์ทุกคนที่มามักจะมีปัญหากับการเลือกอาวุธที่พวกเขาต้องการ เพราะมันมีม่านพลังปกคลุมทุกหลุมศพเอาไว้


 


ภายในสุสานทหารและกษัตริย์มีเพียง 2 สิ่งที่สามารถใช้ได้ ซึ่งก็คือดวงและการคำนวณอย่างของกุนซือไวท์


 


ดวงเป็นบางสิ่งที่สำคัญมากๆสำหรับทั้งสามัญชนและขุนนาง อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่ไป๋เวยเชื่อ


 


ถึงแม้ดวงจะไม่ใช่สิ่งที่สามารถควบคุมได้ แต่การเลือกอาวุธซีโน่เจเนอิคระดับสูงกลับไปได้นั้นก็จะทำให้ราชาไป๋ประทับใจอยู่ดี มันถือเป็นอะไรที่สำคัญมากๆสำหรับลูกๆของเขา


 


หานเซิ่นเดินไปรอบๆ และเมื่อพวกเขาไปถึงเนินเขา หานเซิ่นก็หยุดอยู่ตรงหน้าหลุมศพน้อยๆ


 


ป้ายหลุมศพนั้นแตกหักและสูงแค่หนึ่งเมตรเท่านั้น แต่หานเซิ่นมองเห็นถึงกระบวนการก่อสร้างของมันได้ด้วยวิญญาณอสูรเนตรม่วง ซึ่งทำให้เขาเห็นดาบระดับเทพเจ้าที่ทรงพลังภายใน มันเป็นดาบที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของกษัตริย์ระดับเทพเจ้า


 


“หลุมศพนี้” หานเซิ่นชี้ไปที่ป้ายหลุมศพน้อยๆ


 


“อะไรอยู่ในหลุมศพนี่?” ไป๋เวยไม่เคลื่อนไหว เธอมองไปที่หานเซิ่น


“ใครจะรู้? บางทีมันอาจจะเป็นบางสิ่งที่ทำให้คำอธิษฐานของเจ้าเป็นจริงขึ้นมา” หานเซิ่นหัวเราะ


 


หลังจากที่ไป๋เวยได้ยินเขา เธอก็จ้องไปที่หลุมศพอยู่พักหนึ่ง แต่หลังจากนั้นเธอก็หันหลังกลับ


 


“เจ้าไม่อยากเปิดมันดูอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามไป๋เวยด้วยความแปลกใจ


 


“ข้าเชื่อการตัดสินใจของเจ้า แต่เจ้าช่วยหาอีกหลุมศพหนึ่งให้กับข้าที ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากได้อาวุธระดับราชัน” ไป๋เวยพูดอย่างจริงจัง


 


หานเซิ่นพยักหน้าและนำทางไป๋เวยต่อไป ตอนนี้เขาเริ่มจะมองเธอต่างไปจากเดิม


 


ถึงแม้ไป๋เวยจะเป็นลูกสาวของกษัตริย์ แต่เธอก็ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูอย่างเอาใจ เธอไม่ได้มีโอกาสมากนักที่จะได้รับสมบัติระดับเทพเจ้า ตอนนี้เมื่อสมบัติระดับเทพเจ้าอันหนึ่งมาอยู่ตรงหน้าเธอ เธอกลับยินดีที่จะปล่อยมันไป น้อยคนนักที่จะทำอะไรแบบนั้นได้


 


สุสานทหารและกษัตริย์เป็นการทดสอบสำหรับองค์ชายและองค์หญิงทุกคน แต่ถึงจะเลือกอาวุธดีๆได้ นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นเหนือกว่าคนอื่น แต่อาวุธนั่นก็จะเป็นอะไรที่ดึงดูดความสนใจ


 


ถ้าไป๋เวยนำอาวุธระดับเทพเจ้าออกไป สายตามากมายก็จะหันมามองที่เธอ มันยากจะคาดเดาได้ว่าผู้คนจะมีปฏิกิริยายังไง ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าไป๋เวยได้อาวุธมาเพราะดวงดีเท่านั้น แต่พวกเขาก็อาจจะโกรธเคืองเธออยู่ดี บางทีไป๋เวยอาจจะกลายเป็นคนที่ถูกเกลียดชัง


 


ไป๋เวยยอมปล่อยโอกาสที่จะได้อาวุธระดับเทพเจ้าไปและมีแผนที่จะเอาอาวุธระดับราชันออกไปแทนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ในขณะเดียวกันมันก็เพียงพอที่จะทำให้ราชาไป๋มีความประทับใจที่ดีต่อเธอ


 


เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ของเธอในตอนนี้แล้ว นี่ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ


 


‘ดูเหมือนไป๋เวยคนนี้จะทะเยอทะยานอย่างมาก’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


ถ้าคนๆหนึ่งสะเพร่า พวกเขาจะเลือกเอาอาวุธระดับเทพเจ้าไปโดยไม่ลังเล การเลือกของไป๋เวยนั้นบ่งบอกว่าเธอเป็นคนที่มักใหญ่ใฝ่สูง และนั่นทำให้เขารู้สึกกังวล


 


หานเซิ่นเดินต่อไปจนกระทั่งมาถึงป้ายหลุมศพที่มีมงกุฎอีกอัน เขาชี้ไปที่มันและพูด

“ลองอันนี้ดู บางทีเจ้าอาจจะได้สิ่งที่ต้องการ”


 


ไป๋เวยไม่ลังเล เธอเอื้อมมือออกไปแตะป้ายหลุมศพ หลังจากนั้นป้ายหลุมศพก็แตกร้าวและเผยให้เห็นกล่องที่อยู่ข้างใน


 


ไป๋เวยเปิดกล่องออกและเห็บดาบใหญ่สีทองอร่ามอยู่ภายใน เธอยิ้มกว้างออกมา


 


“นี่คือดาบที่กษัตริย์คนหนึ่งเคยใช้เพื่อเลื่อนสู่ระดับเทพเจ้า มันคือดาบใหญ่ฟินิกซ์ทองระดับราชัน เจ้าเลือกได้ดีจริงๆ!”

ไป๋เวยพูดหลังจากที่ได้มองดาบเพียงแค่แว็บเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเธอก็มองตรงมาที่หานเซิ่น


 


ไป๋เวยรู้สึกเลื่อมใสในตัวหานเซิ่นมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างนั้นความสามารถของหานเซิ่นก็ทำให้เธอต้องประหลาดใจอยู่เสมอ


 


“มันก็เป็นแค่ดวงเท่านั้น” หานเซิ่นหัวเราะ เขามองไปรอบๆและพูด

“ตอนนี้ถึงตาข้าเลือกอาวุธบ้าง ข้าเลือกอาวุธไหนก็ได้ที่ไม่ได้มาจากหลุมศพที่มีมงกุฎใช่ไหม?”


 


“ใช่ และเจ้าไม่ต้องกังวลว่าผู้คนจะรู้เกี่ยวกับอาวุธที่เจ้าเอาออกไป อาวุธที่ราชองครักษ์เลือกไม่จำเป็นต้องนำไปลงทะเบียน มันไม่มีใครจะมาสนใจอาวุธที่ราชองครักษ์เลือก แถมนอกจากหลุมศพของราชวงศ์แล้ว มันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหาอาวุธระดับเทพเจ้า” ไป๋เวยพูด


 


หานเซิ่นพยักหน้าและเริ่มเดินต่อไป


 


ภายในหลุมศพธรรมดาเป็นแค่สมบัติที่ไร้ประโยชน์จริงๆ อาวุธส่วนใหญ่ก็มีคุณภาพปานกลางเท่านั้นการเลือกอาวุธดีๆให้ตัวเองนั้นยากยิ่งกว่าการเลือกให้ไป๋เวยมาก


 


หานเซิ่นเดินหาอยู่ 2 ชั่วโมงก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่หน้าป้ายหลุมศพป้ายหนึ่ง มันไม่ได้มีอะไรที่ดูพิเศษเกี่ยวกับป้ายหลุมศพนี้ แต่หลังจากที่หานเซิ่นมองดูมัน เขาก็เอื้อมมือออกไปอย่างไม่ลังเล ภายในป้ายหลุมศพนั้นมีกล่องเล็กๆกล่องหนึ่งอยู่


 


กล่องนั้นมีขนาดเล็กพอๆกับมือเท่านั้น มันดูเล็กเกินกว่าที่จะเก็บอาวุธที่ทรงพลังเอาไว้ข้างใน


 


แต่หานเซิ่นดูไม่ประหลาดใจกับเรื่องนั้น เขาเปิดกล่องออกและนำแหวนที่อยู่ข้างในออกมา 

 

 


ตอนที่ 2307

 

แหวนนั้นเปล่งประกายสีเงินออกมา มันมีอัญมณีสีเขียวประดับอยู่ด้านบนเหมือนกับดวงตา มันดูสง่างาม


 


หานเซิ่นหมุนแหวนวนไปมาซ้ำๆ สีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังใช้สมาธิอย่างมาก


 


ที่หานเซิ่นเลือกแหวนนี้ เพราะเขาไม่สามารถระบุระดับของมันได้ ถ้ามันเป็นบางสิ่งที่วิญญาณอสูรเนตรม่วงไม่สามารถวิเคราะห์ได้ มันก็ต้องเป็นของดี ซึ่งมีโอกาสสูงที่มันจะเป็นสมบัติระดับเทพเจ้า


 


หานเซิ่นไม่ได้กังวลเกี่ยวกับผลที่จะตามมาเหมือนกับไป๋เวย ดังนั้นเขาจึงเลือกแหวนนี้ในทันที


 


แต่ขณะที่หานเซิ่นพลิกแหวนไปมา เขาก็รู้สึกตัวว่าไม่สามารถเปิดใช้พลังอะไรก็ตามที่มันมีอยู่ได้ หานเซิ่นพยายามจะใส่พลังของตัวเองเข้าไปในแหวน แต่มันกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น มันเป็นเหมือนกับแหวนธรรมดาๆ


 


“ทำไมมันถึงมีแหวนอยู่ที่นี่ได้? ระดับของมันคืออะไรอย่างนั้นหรอ?”

เมื่อได้เห็นแหวนวงนั้น ไป๋เวยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว มันควรจะมีแต่อาวุธอยู่ในสุสานทหารและกษัตริย์เท่านั้น เธอไม่เคยได้ยินเรื่องของอะไรอย่างอื่นถูกพบภายในนี้


 


“ข้าไม่รู้ เนื่องจากข้าเปิดใช้พลังของมันไม่ได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะธาตุไม่ตรงกัน”

หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็สวมแหวนใส่นิ้วและพูดต่อ “ข้าได้เลือกแหวนวงนี้ไปแล้ว ดังนั้นพวกเราไปกันเถอะ”


 


ไป๋เวยมองไปที่แหวนบนนิ้วมือของหานเซิ่น แต่เธอไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกจากสุสานทหารและกษัตริย์และรีบมุ่งหน้าไปต่อที่สวนของกษัตริย์


 


ไป๋เวยไม่ได้สนใจอะไรอาวุธที่เธอเลือก เธอรีบออกไปจากสุสานเพื่อจะเข้าไปฝึกภายในสวนของกษัตริย์


 


สวนของกษัตริย์ตั้งอยู่ใจกลางของอาณาจักรกษัตริย์ หานเซิ่นและไป๋เวยเดินทางไปที่อาณาจักรของกษัตริย์ และทันใดนั้นดวงตาของหานเซิ่นก็สว่างขึ้นมา


 


ซีโน่เจเนอิคตัวใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากความมืดและบินผ่านพวกเขาไป มันตัวใหญ่พอๆกับดวงดาวดวงหนึ่ง และมันก็ดูเหมือนกับไดโนเสาร์จากสมัยโบราณ ร่างกายของมันลุกโชติช่วงด้วยเปลวไฟ


 


“นั่นคือมังกรปีศาจเพลิง มันเป็นซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่คอยตรวจตาทั่วทั้งอาณาจักรกษัตริย์” ไป๋เวยพูด


 


อาณาจักรกษัตริย์นั้นยิ่งใหญ่กว่าที่หานเซิ่นจินตนาการเอาไว้ มันมีสิ่งแปลกๆอีกมายมายที่ดึงความสนใจของเขาอย่างต่อเนื่อง มันมีมากซะจนเขาพบว่ามันยากจะหันหนี ที่ไหนก็ตามที่เขามองออกไปจะมีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนบินผ่านพวกเขาไป


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เห็นบางสิ่ง เขาไม่สามารถควบคุมใบหน้าของตัวเองได้ต่อภาพที่เห็น


 


“มันมีอะไรอย่างนั้นหรอ?” ไป๋เวยถามอย่างหวาดหวั่น


 


เธอเคยเห็นหานเซิ่นตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายต่างๆนาๆ แต่เธอไม่เคยเห็นเขาทำหน้าแบบนั้นมาก่อน


 


“นั่นคืออะไร?” หานเซิ่นถามขณะที่ชี้ออกไป


 


หานเซิ่นชี้ออกในบริเวณระบบจักรวาลที่ไม่มีกลางวันกลางคืน มันมีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ยักษ์ที่เหมือนกับดวงดาวอยู่ แต่แทนที่จะเป็นดวงดาว มันเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ลอยตัวอยู่ในอวกาศ


 


มันเป็นหอคอยโบราณที่ลอยอย่างไม่ปกติอยู่ในอวกาศราวกับเป็นภาพลวงตาที่ประหลาด มันดูเก่าแก่และลึกลับ มันดูเหมือนกับว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรจะมาอยู่ในโลกนี้ เพราะมันไม่เข้ากันกับสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆ


 


หอคอยนั้นทำมาจากหินสีดำและมันมีอยู่ทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกัน มีระฆังสีดำห้อยลงจากทุกมุมของหอคอย แต่ระฆังนั้นไม่สั่นไหวแม้แต่นิดเดียว มันห้อยอยู่กลางอากาศอย่างไร้การเคลื่อนไหวใดๆ


 


มันไม่ได้เป็นเพราะรูปลักษณ์ของหอคอยที่ทำให้หานเซิ่นตกใจ แต่ที่เขาตกใจนั้นเป็นเพราะว่าหอคอยดูเหมือนกับหอคอยแห่งโชคชะตาไม่มีผิด


 


แต่หอคอยนี้ทำขึ้นมาจากหินสีดำ ขณะที่หอคอยแห่งโชคชะตาทำขึ้นมาจากโลหะ ส่วนอย่างอื่นทุกอย่างเหมือนกันหมด และเมื่อหานเซิ่นเห็นคำว่า “โชคชะตา” เขียนเอาไว้บนด้านข้างของหอคอย เขาก็รู้สึกแน่นท้องขึ้นมา ตัวอักษรนั้นไม่ได้ถูกเขียนด้วยภาษาสากลของจักรวาลจีโนเช่นกัน มันถูกเขียนด้วยภาษาโบราณของสหพันธ์


 


ไป๋เวยมองตามนิ้วของหานเซิ่นไปที่หอคอยเก่าแก่ที่ลอยอยู่ในอวกาศ หลังจากหยุดคิดชั่วขณะ เธอก็พูดขึ้นมา “นั่นคือหอคอยศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา มีเพียงแค่คนที่สร้างความดีความชอบต่อเผ่าพันธุ์เท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปศึกษาภายในนั้น”


 


“หอคอยศักดิ์สิทธิ์?” หานเซิ่นหันไปมองไป๋เวยด้วยความสับสนและหวังว่าเธอจะอธิบาย


 


ไป๋เวยส่ายหัว “ข้าไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับหอคอยศักดิ์สิทธิ์ ข้ารู้แค่ว่าใครก็ตามที่เข้าไปจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในตอนที่พวกเขากลับออกมา แต่มีเพียงแค่คนของเอ็กซ์ตรีมคิงที่สร้างความดีความชอบเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน และไม่มีใครที่กลับออกมาพูดถึงสิ่งที่พวกเขาได้เห็นภายในนั้น ข้าจึงไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่กันแน่”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ ไป๋เวยก็พูดต่อ “มันเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น แต่ข้าได้ยินว่ามันมีวิชาจีโนลึกลับวิชาหนึ่งอยู่ภายใน มันเป็นวิชาที่จะช่วยเหลือใครก็ตามที่เรียนรู้มันอย่างมาก แต่ผู้คนที่ออกมามักจะได้เรียนรู้วิชาจีโนที่แตกต่างกัน มันจึงยากจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหอคอยกันแน่ ข้าไม่รู้ว่าข่าวลือพวกนี้เป็นความจริงหรือไม่ มันมีแค่คนที่เข้าไปเท่านั้นที่รู้ถึงสิ่งที่อยู่ข้างใน”


 


“มันคือสิ่งที่บรรพบุรุษของเอ็กซ์ตรีมคิงทิ้งเอาไว้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่พยายามเก็บซ่อนความตกใจเอาไว้


 


“ข้าไม่คิดว่าเป็นแบบนั้น ตำนานเล่าว่าหอคอยศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่มาตั้งแต่ก่อนที่ซีโน่เจเนอิคสเปชจะถูกค้นพบด้วยซ้ำ มันเป็นเหมือนกับสถานหยกขาวของปราสาทนภา ไม่มีใครรู้ถึงเหตุผลของการมีอยู่ของพวกมัน”


 


‘หอคอยแห่งโชคชะตานี้เกี่ยวข้องกับหอคอยแห่งโชคชะตาของเราอย่างนั้นหรอ? แต่จากประวัติศาสตร์ของที่นี่ หอคอยนี่อยู่มาตั้งแต่ก่อนมันจะมีมนุษย์คนไหนๆกำเนิดขึ้นมาอีก ถ้าอย่างนั้นทำไมมันถึงได้มีตัวอักษรโบราณของสหพันธ์อยู่ได้?’ หานเซิ่นไม่สามารถหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถคิดหาคำตอบได้


 


หานเซิ่นอยากจะเข้าไปดูในหอคอยด้วยตาตัวเอง แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้หอคอย มันต้องใช้พลังจิตใจของเขาอย่างมากเพื่อละสายตาไปจากหอคอยโบราณนั้น


 


สวนของกษัตริย์ไม่ใช่ดวงดาวดวงหนึ่ง แต่มันเป็นแผ่นดินที่ลอยตัวอยู่ในอวกาศ ถึงอย่างนั้นมันก็ดูกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าดวงดาวดวงหนึ่ง


 


ต้นไม้ขนาดยักษ์ตั้งอยู่ที่ใจกลางของเกาะ ต้นไม้ที่ใหญ่มหึมาปกคลุมทั้งดินแดนด้านล่าง มันใหญ่โตเกินกว่าที่หาคำมาบรรยายได้


 


ลำต้นของต้นไม้เป็นสีดำ ขณะที่ใบเป็นสีเหลือง มันดูงดงามมากๆ


 


หลังจากเข้าไปใกล้ๆสวนของกษัตริย์ หานเซิ่นก็รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของต้นไม้กษัตริย์ แม้แต่ใบไม้ใบหนึ่งของมันก็ใหญ่โตยิ่งกว่าสนามฟุตบอลทั้งสนาม


 


สัญลักษณ์ประหลาดสลักอยู่บนใบไม้ทุกใบ ขณะที่หานเซิ่นเข้าไปใกล้ เขาก็พบว่าจริงๆแล้วสัญลักษณ์ที่เห็นก็คือเส้นใบของใบไม้


 


แต่เส้นใบของใบไม้แต่ละใบเป็นเอกลักษณ์ และพวกมันทั้งหมดก็มีพลังลึกลับบางอย่างอยู่


 


“ต้นไม้กษัตริย์คือแหล่งที่มาของวัฒนธรรมของเอ็กซ์ตรีมคิง สัญลักษณ์บนต้นไม้ถูกใช้ในภาษาอย่างเป็นทางการของเอ็กซ์ตรีมคิง พวกเราจะใช้ภาษาสากลของจักรวาลก็ต่อเมื่อพวกเราติดต่อกับคนนอกเท่านั้น” ไป๋เวยอธิบาย


 


หานเซิ่นพยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในสวนของกษัตริย์พร้อมกับไป๋เวย


 


ภูเขาและแม่น้ำต่างก็อยู่ภายใต้ต้นไม้กษัตริย์ มันยากที่จะบรรยายถึงความงดงามของที่แห่งนี้


 


เมื่อพวกเขาเข้าไปในสวนของกษัตริย์ หานเซิ่นก็มองไปรอบๆอย่างตกตะลึง มันมีมังกรจริงๆอาศัยอยู่ใกล้ๆกับภูเขาและแม่น้ำ พวกมันดูน่าสะพรึงกลัวราวกับสิ่งมีชีวิตจากสมัยโบราณกาล


 


“พวกมันไม่ใช่มังกรจริงๆ พวกมันเป็นแค่รากของต้นไม้กษัตริย์เท่านั้น” ไป๋เวยพูด

 

 

 


ตอนที่ 2308

 

หานเซิ่นไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามังกรที่ทะยานข้ามภูมิประเทศจริงๆแล้วเป็นรากของต้นไม้ พวกมันมีหัวของมังกร เขาของมังกร เขี้ยวของมังกรและเกล็ดของมังกร พวกมันดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ พวกมันดูไม่ได้เหมือนพืชเลยสักนิด


 


ขณะที่หานเซิ่นมองดูพวกมัน นกฝูงหนึ่งก็บินลงมาที่หลังของหนึ่งในมังกร มังกรคำรามออกมาและส่ายหนวดพร้อมกับเผยเขี้ยวที่คมราวกับใบมีดให้เห็น เสียงคำรามของมังกรดั่งสนั่นจนอากาศสั่นสะเทือน ทำให้นกบินหนีไปอย่างแตกตื่น มันเป็นมังกรที่มีชีวิตและลมหายใจจริงๆ


 


ไป๋เวยอธิบาย “ต้นไม้กษัตริย์เติบโตบนผืนดินที่ลอยตัวอยู่ที่ใจกลางของอาณาจักรของกษัตริย์ และบางครั้งส่วนหนึ่งของต้นไม้จะงอกออกมาเป็นรากมังกรกษัตริย์ ลมปราณะกษัตริย์จะซ่อนอยู่ภายในรากเหล่านั้น ซึ่งการจะดูดซับลมปราณกษัตริย์ เจ้าจะต้องนั่งอยู่บนหนึ่งในมังกรกษัตริย์ มังกรกษัตริย์ทุกตัวจะแตกต่างกันออกไปและแต่ละตัวจะมอบลมปราณกษัตริย์ที่แตกต่างกัน เจ้าจะดูดซับลมปราณกษัตริย์ได้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความห่างไกลระหว่างมังกรตัวนั้นกับต้นไม้ การนั่งบนมังกรที่อยู่ใกล้ๆกับต้นไม้จะมอบลมปราณกษัตริย์มากที่สุด ยิ่งไกลจากต้นไม้เท่าไหร่ เจ้าก็จะได้รับมันน้อยลงเท่านั้น”


 


“อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่ทำไมมันถึงไม่มีใครอยู่รอบๆเลย?”

หานเซิ่นพยักหน้าและมองไปรอบๆ เขาไม่เห็นเอ็กซ์ตรีมคิงสักคนที่กำลังดูดซับลมปราณกษัตริย์อยู่รอบๆพวกเขา


 


“พวกเราอยู่ที่ขอบของสวนกษัตริย์ มันมีแค่ปลายของรากต้นไม้กษัตริย์อยู่ที่นี่ ดังนั้นลมปราณกษัตริย์ของที่นี่จึงอ่อน โดยปกติแล้วทุกคนจะเลือกนั่งใกล้ๆกับต้นไม้เพื่อดูดซับลมปราณกษัตริย์ให้ได้มากที่สุด นี่เป็นครั้งแรกของพวกเรา ดังนั้นพวกเราควรหามังกรกษัตริย์แถวๆนี้” หลังจากพูดเสร็จไป๋เวยก็เดินไปหามังกรกษัตริย์ตัวหนึ่ง


 


พวกเขาอยู่ห่างจากมังกรกษัตริย์ที่อยู่ใกล้ที่สุดไปหลายไมล์ ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ มังกรกษัตริย์ก็คำรามใส่พวกเขาราวกับจะเตือนพวกเขาให้ถอยออกไป


 


ไป๋เวยและหานเซิ่นเมินเฉยต่อคำเตือนนั้นและเดินหน้าต่อไป มังกรกษัตริย์เริ่มขยับร่างกายที่ใหญ่มหึมาของมัน มันเขย่าภูเขาเพื่อจะหยุดการเข้าไปของไป๋เวยและหานเซิ่น


 


หานเซิ่นสังเกตเห็นแค่ครึ่งตัวของมังกรกษัตริย์เท่านั้น อีกครึ่งตัวของมังกรอยู่จมอยู่ใต้ดิน มันไม่สามารถบินขึ้นได้ ดังนั้นมันจึงทำได้แค่เขย่าร่างกายเพื่อจะไล่พวกเขาไป


 


มังกรกษัตริย์นั้นทรงพลัง แต่มันไม่สามารถปลดปล่อยพลังได้ และร่างกายของมันก็ยังถูกจำกัดอีกต่างหาก ทำให้พวกเขาขึ้นไปอยู่บนมังกรได้อย่างง่ายดาย


 


มังกรกษัตริย์เขย่าตัวอยู่สักพัก แต่เมื่อการดิ้นรนของมันไม่สามารถสลัดหานเซิ่นและไป๋เวยไปได้ สุดท้ายแล้วมันก็กลับลงไปนอนเงียบๆอีกครั้ง


 


หานเซิ่นนั่งลงบนหัวของมังกร แต่เขาสัมผัสถึงลมปราณกษัตริย์ไม่ได้เลย เขาหันไปมองไป๋เวย


 


ไป๋เวยยิ้ม “อีกเดี๋ยวเจ้าจะเข้าใจเอง”


 


หานเซิ่นนั่งอยู่บนหัวของมังกรขณะที่มองไปรอบๆ มังกรกษัตริย์ตัวนี้เป็นตัวที่อยู่รอบนอกสวนของกษัตริย์ มันจึงไม่ได้มีลมปราณกษัตริย์มากอะไร แต่พลังของมังกรกษัตริย์ก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะสลัดพวกเขาหลุดออกไปเช่นกัน


 


หลังจากผ่านไปสักพัก ใบไม้สีเหลืองบนต้นไม้ก็เริ่มเรืองแสงออกมา ตัวอักษรของเอ็กซ์ตรีมคิงเรืองแสงสีทอง ขณะที่ต้นไม้กษัตริย์ส่องสว่างด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นเหมือนกับต้นไม้ของเทพที่มอบชีวิตให้กับทุกสิ่งที่อยู่ใต้ร่มเงาของมัน


 


มังกรทั้งหมดเริ่มคำรามออกมาพร้อมกับขยับเขยื้อน ก่อนที่หานเซิ่นจะรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มังกรกษัตริย์ก็ดำลงไปในพื้นดิน


 


ผืนดินเป็นเหมือนกับน้ำขณะที่มังกรกษัตริย์ดำลงไป หานเซิ่นกับไป๋เวยยังคงนั่งอยู่บนหัวของมังกรกษัตริย์และปล่อยให้ตัวเองถูกพาลงไปใต้ดิน


 


รอบๆตัวพวกเขาควรจะมืดมิด เมื่อพวกเขาลงมาใต้ดิน แต่พวกเขาสามารถเห็นแสงสว่างได้ราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ใต้น้ำ แสงสีทองของต้นไม้ที่ส่องลงมาราวกับแสงอาทิตย์ แต่มันดูเบลอและห่างไกล


 


มังกรกษัตริย์อยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์สีทอง มันหันหน้าไปหาอาทิตย์สีทองและอ้าปากเพื่อพ่นลูกแก้วมังกรลูกหนึ่งออกมา อาทิตย์ที่ปลดปล่อยแสงสีทองส่องเข้าไปในลูกแก้วและความสว่างไสวของลูกแก้วมังกรก็เพิ่มขึ้น


 


หานเซิ่นยังคงตกตะลึงกับความจริงที่พวกเขาอยู่ใต้ดิน


 


“รีบดูดซับลมปราณกษัตริย์เร็วเข้า เจ้ายังมัวรีรออะไรอยู่?” ไป๋เวยพูดเตือนหานเซิ่น ขณะที่เธอเริ่มใช้วิชาจีโนของตัวเอง


 


เมื่อไป๋เวยใช้วิชาจีโนของเธอ ดวงอาทิตย์สีทองก็ปลดปล่อยแสงสีทองมาในร่างกายของเธอ ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็ถูกห่อหุ้มด้วยชั้นแสงศักดิ์สิทธิ์สีทอง


 


หานเซิ่นใช้วิชาเรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับแสงสีทองเช่นกัน เขารู้สึกว่าบางสิ่งที่ร้อนแรงกำลังเข้ามาในตัวของเขา แต่มันไม่ได้มากอย่างที่เขาหวังเอาไว้ การสกัดเอาพลังโกสต์โบนในตัวของเขาเป็นอะไรที่เร็วกว่าซะอีก


 


แต่ขาของยุงก็ยังคงเป็นเนื้ออยู่ดี ดังนั้นหานเซิ่นจึงพยายามดูดซับแสงสีทองเข้าไปให้มากที่สุด หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง มังกรกษัตริย์ก็เก็บลูกแก้วมังกรเข้าไป มันคำรามออกมาและพาพวกเขากลับขึ้นไปบนพื้นผิว


 


“มันมีลมปราณกษัตริย์ไม่เพียงพอ และพวกเราก็มีเวลาเพียงแค่นิดเดียวที่จะดูดซับมัน” หานเซิ่นส่ายหัว


“มังกรกษัตริย์นี่คือส่วนนอกของต้นไม้กษัตริย์ การจะได้รับลมปราณกษัตริย์มากขึ้นและมีเวลาดูดซับนานกว่านี้ เจ้าต้องหามังกรกษัตริย์ที่เชื่อมต่อกับรากแก้วของต้นไม้” ไป๋เวยพูด


 


“ถ้าอย่างนั้นพวกเรายังรออะไรอยู่อีก?” หานเซิ่นอยากจะหาแหล่งพลังที่บริสุทธิ์กว่านี้


 


“รากแก้วนั้นมักจะถูกจองเอาไว้แล้ว ถ้าพวกเราจะเข้าไปใกล้ พวกเราก็ต้องต่อสู้แย่งชิงกับคนอื่น” ไป๋เวยถอนหายใจ


 


“มันต้องมีคนที่มาสายมั่งแหละ” หานเซิ่นพูด


 


ไป๋เวยส่ายหัว “ในที่แห่งนี้พลังคือกฎที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเจ้ามีพลัง เจ้าจะยึดครองอะไรก็ได้ที่ต้องการ เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตราบใดที่เจ้าไม่ไปฆ่าใครคนไหน”


 


“พ่อของเจ้าไม่ใช่คนที่จะเอาใจลูกของตัวเองสินะ นี่เขาไม่ทะนุถนอมลูกสาวเลยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นดูหดหู่


 


“ไม่” ไป๋เวยตอบอย่างไม่คิด


 


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องไปยึดครองสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเอง” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเดินเข้าไปหาต้นไม้กษัตริย์


 


ไป๋เวยไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่ตามหานเซิ่นไป


 


พวกเขาเป็นแค่ดยุกและพวกเขาก็มีกันแค่ 2 คน การจะได้หนึ่งในรากแก้วของต้นไม้กษัตริย์มานั้นแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะยังไงซะคนที่ครองรากแก้วอยู่ก็มีแต่ราชวงศ์ที่เป็นระดับราชัน แถมพวกเขายังมีทีมของราชองค์อยู่ข้างกายอีก


 


ด้วยเหตุนั้นไป๋เวยจึงไม่คิดจะต่อสู้ เธอแค่อยากจะลองเสี่ยงดวงดูว่าจะหารากแก้วที่ไม่มีคนครองอยู่ได้ไหม


 


เพราะยังไงคนของราชวงศ์ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่ทุกวัน และราชองครักษ์ก็ต้องติดตามคนของราชวงศ์มาเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถมาที่นี่ด้วยตัวเองได้ ดังนั้นถ้าพวกหานเซิ่นโชคดี มันก็ไม่ยากจนเกินไปที่จะหารากแก้วให้กับตัวเอง


 


ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้ต้นไม้กษัตริย์มากเท่าไหร่ มังกรกษัตริย์ก็น่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น มังกรกษัตริย์ส่วนใหญ่ที่อยู่รอบนอกเป็นสีเหลืองที่สกปรก แต่เมื่อเข้าไปใกล้ต้นไม้กษัตริย์มากขึ้น พวกเขาก็ได้เจอกับมังกรกษัตริย์ที่มีเกล็ดสีทองอร่าม มันกำลังนอนพักอยู่บนพื้นดิน


 


“นั่นคือมังกรกษัตริย์จากรากแก้ว!” ไป๋เวยพูดด้วยความปิติยินดี เนื่องจากไม่มีใครคนอื่นกำลังใช้มังกรทองนั้น


 


หานเซิ่นและไป๋เวยขึ้นไปนั่งบนตัวมังกรกษัตริย์สีทองอย่างระมัดระวัง แต่มังกรกษัตริย์สีทองยังคงหลบอยู่ และดูเหมือนมันจะไม่สังเกตเห็นตัวตนของพวกเขา พวกเขาทั้ง 2 คนจึงนั่งลงบนหัวของมัน


 


“มังกรกษัตริย์นี่เพิ่งจะดูดซับลมปราณกษัตริย์เข้าไป มันจะไม่กลับลงไปในดินสักพักหนึ่ง ดังนั้นพวกเราต้องคอยอยู่ที่นี่ไปก่อน” ไป๋เวยดูมีความสุข เธอยิ้มให้กับหานเซิ่น

 

 

 


ตอนที่ 2309

 

หานเซิ่นและไป๋เวยนั่งคอยอยู่บนมังกรกษัตริย์สีทองนานหลายชั่วโมง แต่มังกรกษัตริย์ก็ยังคงไม่ลงไปใต้ดิน ในตอนที่มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาทางพวกเขา นั่นก็ทำให้ไป๋เวยรู้สึกกังวลใจ


 


เนื่องจากสายตาของหานเซิ่นดีกว่าไป๋เวย เขารู้ก่อนแล้วว่าใครที่กำลังเข้ามา ภาพที่เห็นทำให้เขาขมวดคิ้ว


 


หัวหน้าของกลุ่มคนที่เข้ามาไม่ใช่ใครอื่น นอกจากองค์ชายสิบสี่ ไป๋ชางลัง คนที่ติดตามเขามาคือราชองครักษ์ของเขา และมันก็มีอยู่ 4 คนด้วยกัน 2 คนเป็นเผ่าเลน หนึ่งคนเป็นเผ่ากาน่าและผู้หญิงอีกคนเป็นชาวเอ็กซ์ตรีมคิง


 


ราชองครักษ์ทั้ง 4 คนมีออร่าที่ขู่ขวัญ พวกเขาต้องเป็นระดับราชันเป็นอย่างน้อย นอกจากนั้นเอ็กซ์ตรีมคิงหญิงคนนั้นดูคุ้นเคยสำหรับหานเซิ่น แต่เมื่อหานเซิ่นมองดูดีๆแล้ว เขาก็รู้สึกตัวว่าไม่ได้รู้จักกับอีกฝ่าย


 


“พี่สิบสี่!” เมื่อไป๋เวยเห็นไป๋ชางลัง ใบหน้าของเธอก็ซีดไป เธออ่อนแอเกินกว่าที่จะไปแข่งขันกับไป๋ชางลังได้และตัวเธอเองก็รู้เรื่องนั้นดี


 


ไป๋เวยเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายและโค้งคำนับ “คารวะพี่สิบสี่”


 


ไป๋ชางลังมองไปที่ไป๋เวยและโบกมือ “เนื่องจากตอนนี้เจ้าได้สิทธิ์เข้ามาในสวนของกษัตริย์แล้ว เจ้าก็ไม่ใช่อะไรอื่นแต่เป็นคู่แข่งของข้า มันไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องมีมารยาท”


 


หลังจากนั้นไป๋ชางลังก็มองข้ามไหล่ของเธอไป สายตาของเขามองไปที่หานเซิ่นแค่แว็บเดียวก่อนที่จะกลับมาที่ไป๋เวย

“แต่เจ้าเป็นน้องสาวของข้า ในฐานะพี่ชาย ข้าก็ไม่ควรไปรังแกเจ้า เลือกหนึ่งในอัศวินทั้ง 4 ของข้า ถ้าเจ้ารับหนึ่งการโจมตีของพวกเขาได้ เจ้าก็ใช้มังกรกษัตริย์รากแก้วนี้ต่อไปได้”


 


“พี่สิบสี่ พี่ล้อเล่นใช่ไหม ถ้าพี่ต้องการมัน พี่ก็เอามันไปเถอะ พวกเราจะไปหามังกรกษัตริย์ตัวอื่น” ไป๋เวยโค้งคำนับและเตรียมตัวจะจากไป


 


ไป๋ชางลังก้าวเข้ามาจับแขนของไป๋เวย เขายิ้มและพูด

“น้องเวย อย่าได้ดูถูกตัวเองแบบนั้น เจ้าเข้ามาอยู่ในสวนของกษัตริย์แล้ว! เจ้าไม่อาจจะหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับคนอื่นได้ เจ้าควรจะทำความเคยชินกับมัน ไม่ต้องกังวล พี่จะไม่แย่งมังกรกษัตริย์ไปจากเจ้า พี่แค่อยากให้เจ้าเข้าใจว่าจะเอาตัวรอดภายในสวนของกษัตริย์ได้ยังไง”


 


ไป๋เวยฝืนยิ้มออกมา “ขอบคุณพี่สิบสี่มาก แต่น้องไม่กล้าทำอะไรเกินตัว น้องไม่อยากจะต่อสู้กับใคร และน้องก็ขออยู่ที่นี่อย่างไม่แก่งแย่งกับคนอื่น”


 


“ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ เจ้าก็ใช้มังกรกษัตริย์รากแก้วนี้ได้” ไป๋ชางลังยังคงจับแขนของเธอเอาไว้ขณะที่พูดออกมา


 


มังกรกษัตริย์รากแก้วตัวหนึ่งไม่ได้หายากอะไรสำหรับองค์ชายอย่างไป๋ชางลัง ถ้าเขาไม่ใช้มังกรกษัตริย์รากแก้วตัวนี้ มันก็เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะไปหามังกรกษัตริย์รากแก้วอีกตัว


 


ที่ไป๋ชางลังบังคับให้ไป๋เวยตกอยู่ในสถานการณ์นี้ก็เพราะหานเซิ่น เขาต้องการให้หานเซิ่นรู้ว่าการเลือกติดตามไป๋เวยเป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างมหันต์


 


หานเซิ่นเห็นไป๋ชางลังจับแขนของไป๋เวยเอาไว้และไม่ปล่อยเธอไป ดังนั้นเขาจึงเดินเข้ามาและโค้งคำนับ

“ถ้าองค์ชายสิบสี่ยืนกราม อย่างนั้นข้าก็ขอเป็นคนรับการโจมตีแทนองค์หญิงของข้า”


 


ไป๋เวยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไป๋ชางลังพูดขึ้นมาก่อน

“อ้า เจ้าคือลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดหนิ! กล้าหาญมากๆ ข้าเลื่อมใสในคนที่กล้าหาญอย่างเจ้า เชิญเลือกหนึ่งในองครักษ์ทั้ง 4 ของข้า ไม่ว่าเจ้าจะรับการโจมตีได้หรือไม่ เจ้าก็ยังคงใช้มังกรกษัตริย์ตัวนี้ได้”


 


หลังจากนั้นไป๋ชางลังก็หันไปหาองครักษ์ 4 คนที่ติดตามเขา

“หานเซิ่นเป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด นางเป็นเพื่อนที่ดีของข้า พวกเจ้าไม่ควรทำร้ายลูกศิษย์ของนางหนักจนเกินไป อย่าได้ใช้พลังของพวกเจ้ามากจนเกินไป เข้าใจใช่ไหม?”


 


หานเซิ่นมองไปที่องครักษ์ทั้ง 4 อย่างลังเล เขาเดินไปตรงหน้าขององครักษ์เอ็กซ์ตรีมคิงหญิงและพูด “ถ้าเจ้าจะกรุณา”


 


“เรดสลีฟ อย่าได้ลงมือกับเขาหนักจนเกินไป” ไป๋ชางลังพูดกำชับกับองครักษ์หญิง


 


“เพคะ” องครักษ์หญิงตอบ เธอก้าวออกมายืนตรงหน้าของหานเซิ่น


 


“ข้าชื่อหานเซิ่น เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” หานเซิ่นทักทายองครักษ์หญิง


 


มันไม่สำคัญว่าเขาจะเลือกราชองครักษ์คนไหน เพราะพวกเขาแต่ละคนระดับสูงกว่าหานเซิ่นหนึ่งระดับ


 


หานเซิ่นเลือกเธอเพียงเพราะเขาคิดว่าเธอดูคุ้นๆ เขาแค่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน ด้วยการทำแบบนี้เขาหวังว่าจะนึกออกและยืนยันความรู้สึกคุ้นเคยของเขาได้


 


“เรดสลีฟ” องครักษ์หญิงตอบสั้นๆ เธอยกกำปั้นขึ้นและพูด

“ถ้าเจ้ารับหมัดของข้าได้ เจ้าก็เป็นฝ่ายชนะ”


 


หลังจากนั้นหมัดก็เริ่มเรืองแสงขึ้นมา แสงนั้นดูเหมือนกับดวงจันทร์ และที่ไหนก็ตามที่แสงจันทร์ส่องออกไปมิติบริเวณนั้นจะบิดเบี้ยว


 


หานเซิ่นขยับร่างกายเล็กน้อย เขารู้สึกราวกับว่าบริเวณรอบๆตัวถูกยืดออกไป และหลังจากที่เขาขยับร่างกายตัวเอง เขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม


 


“พลังธาตุอวกาศ?” หานเซิ่นแปลกใจ


 


หมัดของเรดสลีฟพุ่งเข้าไปหาหานเซิ่น มันเหมือนกับดวงจันทร์ตกลงมา หานเซิ่นขยับร่างกายของเขา แต่พลังของเธอดูเหมือนจะล็อคเขาเอาไว้กับที่ และดวงจันทร์ก็เข้ามาใกล้เรื่อยๆ


 


หานเซิ่นหลี่ตาและมองดวงจันทร์ที่กำลังเข้ามา ถ้าเขาหลบหลีกไม่ได้ แบบนั้นเขาก็จะไม่หลบ หานเซิ่นยกหมัดขึ้นและชกเข้าใส่ดวงจันทร์ที่เข้ามา


 


สีหน้าของไป๋เวยดูแย่ เรดสลีฟเป็นยอดฝีมือระดับราชัน เธออาจจะเป็นระดับครึ่งเทพด้วยซ้ำ ส่วนทางด้านหานเซิ่นเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง มันไม่สำคัญว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน มันไม่มีทางที่เขาจะต่อสู้กับเรดสลีฟได้อย่างตรงๆแบบนั้น


 


ไป๋เวยรู้ว่าไป๋ชางลังต้องการอะไร ถ้าหานเซิ่นรับหมัดนี้ไป ถ้าเขาไม่ตายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


ปัง!


 


ในจังหวะที่หมัดของเรดสลีฟปะทะกับหมัดของหานเซิ่น ดวงจันทร์ก็แตกสลายราวกับแก้ว และมิติใกล้เคียงก็แตกเป็นเสี่ยงเช่นกัน รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นบนร่างจริงๆของหานเซิ่น


 


ไป๋เวยตกตะลึง เธอแน่ใจว่าเรดสลีฟไม่กล้าจะฆ่าคนอื่นภายในสวนของกษัตริย์ แต่ผู้หญิงคนนั้นปลดปล่อยพลังด้วยเจตนาที่จะฆ่าอย่างชัดเจน ร่างกายของหานเซิ่นถูกทำลายด้วยพลังธาตุอวกาศ นอกซะจากหานเซิ่นจะมีพลังฟื้นฟูที่แข็งแกร่ง เขาก็ไม่มีโอกาสจะฟื้นฟูตัวเองได้ทันต่อความเร็วในการแตกสลาย


 


ร่างกายของหานเซิ่นแตกร้าวไปทั่วร่าง และหลังจากนั้นร่างของเขาก็ระเบิดกระจัดกระจายไปทั่วเหมือนกับแก้ว


 


แต่หลังจากนั้นภาพของหานเซิ่นก็ปรากฏให้เห็นในตำแหน่งเดิมที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ เขายังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ หานเซิ่นที่ถูกดวงจันทร์ทำลายไปเป็นเพียงแค่ร่างโคลนที่สร้างขึ้นมาจากวิชาจันทรา


 


“ข้าไร้ความสามารถ องค์ชายได้โปรดลงโทษด้วย!” เรดสลีฟดูแย่ เธอโค้งคำนับขออภัยต่อไป๋ชางลัง


 


“เทคนิคของหานเซิ่นมหัศจรรย์มากๆ แม้แต่ข้าเองก็ยังถูกหลอก อย่างนั้นแล้วข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร”

ไป๋ชางลังพูดและทำท่าทางบอกให้เธอถอยออกไป เขายิ้มให้กับหานเซิ่นและพูด “เจ้าเหนือกว่าอาจารย์ของเจ้า ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด ข้าใกล้ชิดกับอาจารย์ของเจ้า ถ้าเจ้ามีเวลาล่ะก็ เจ้าควรหาเวลาแวะมาเยี่ยมเยือนข้า”


 


หลังจากนั้นไป๋ชางลังก็หันไปบอกไป๋เวย “น้องเวย พี่ดีใจจริงๆที่เจ้าได้องครักษ์ที่ดีคนหนึ่งมา เจ้าใช้มังกรกษัตริย์รากแก้วนี้ได้ พี่จะไปหามังกรกษัตริย์ตัวอื่น ไว้เจอกันทีหลัง”


 


หลังจากที่ไป๋ชางลังจากไป ไป๋เวยก็พูดกับหานเซิ่น “นั่นมันเสี่ยงเกินไปแล้ว เจ้าเกือบจะต้องตาย”


 


“แต่ข้ายังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือยังไง?” หานเซิ่นหัวเราะ ขณะที่เขาหันไปมองไป๋ชางลัง สีหน้าที่ครุ่นคิดก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา

 

 

 


ตอนที่ 2310

 

ไป๋ชางลังพาองครักษ์ทั้ง 4 จากไป ขณะที่เดินออกไป เขาก็หันสายตาที่แข็งกร้าวมาที่เรดสลีฟและพูด

“ใครบอกให้เจ้าใช้การโจมตีที่รุนแรงอย่างนั้นกับหานเซิ่นได้?”


 


“พวกเราอาจจะมองข้ามความจริงที่ว่าราชินีแห่งมีดปฏิเสธข้อเสนอขององค์ชายได้ แต่พวกเราไม่อาจจะมองข้ามการที่ดยุกคนนั้นขัดต่อความต้องการขององค์ชายได้ กระหม่อมแค่ต้องการจะสั่งสอนเขาว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากล้ามาลบหลู่องค์ชาย” เรดสลีฟพูดขณะที่ลดตัวลง


 


“ข้าจัดการกับธุระของตัวเองได้ อย่าได้ทำแบบนั้นอีกเป็นอันขาด ข้าจะประหารชีวิตเจ้าด้วยตัวข้าเอง” ไป๋ชางลังพูดอย่างเย็นชา

“โชคดีที่เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นแม้แต่ข้าเองก็คงจะช่วยขอละเว้นโทษให้เจ้าที่ฆ่าชีวิตคนอื่นภายในสวนกษัตริย์ไม่ได้”


 


“กระหม่อมทำงานสะเพร่า องค์ชายได้โปรดลงโทษ” เรดสลีฟรีบโค้งคำนับ


 


“ช่างเถอะ แค่อย่าทำมันอีกเป็นครั้งที่ 2” ไป๋ชางลังสะบัดมือของเขาและเริ่มเดินออกไปเพื่อค้นหามังกรกษัตริย์รากแก้วอีกตัว


 


เนื่องจากมังกรกษัตริย์รากแก้วปรากฏในจุดที่แตกต่างไปจากเดิมทุกครั้ง คนของราชวงศ์ที่มาจึงจำเป็นต้องค้นหามังกรกษัตริย์ตัวใหม่ทุกครั้งที่พวกเขาต้องการจะฝึก อีกตัวเลือกก็คือไม่ออกไปจากมังกรกษัตริย์แม้แต่ตอนที่ต้นไม้ไม่ได้ปลดปล่อยแสงสีทองออกมา


 


หานเซิ่นและไป๋เวยปีนกลับขึ้นไปบนมังกรกษัตริย์ร่างแก้ว หลังจากนั้นพวกเขาก็รอคอยเวลาที่มันจะพาพวกเขาลงไปใต้ดิน


 


โชคดีที่มีแค่คนของราชวงศ์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในสวนของกษัตริย์ได้ ซึ่งราชาไป๋มีบุตรธิดาเพียงแค่ร้อยคนเท่านั้น


 


หานเซิ่นและไป๋เวยโชคดี นอกจากไป๋ชางลังแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เจอกับราชวงศ์คนอื่นอีก


 


ในอีกสิบชั่วโมงต่อมาไม่มีใครปรากฏตัวขึ้น หานเซิ่นคิดว่าการฝึกจะเป็นไปด้วยดี แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นใครบางคนบินเข้ามาหาพวกเขาด้วยความรวดเร็ว


 


“ไป๋อู๋ฉาง!” หานเซิ่นตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของชายคนนั้น อีกฝ่ายคือชายคนเดียวกับที่เขาพบในสถานีอวกาศ


 


มันเห็นได้ชัดว่าไป๋อู๋ฉางมาที่นี่เพื่อพบหานเซิ่น ไป๋เวยหน้าซีดไปเมื่อเห็นไป๋อู๋ฉางตรงเข้ามา แต่มันสายเกินไปแล้วที่จะหนี


“หานเซิ่น ทำไมเจ้าถึงไม่ไปตามที่ข้าขอ?” ไป๋อู๋ฉางลอยตัวอยู่ในอากาศและมองลงมาที่หานเซิ่น


 


“ข้าไม่เคยตอบตกลง” หานเซิ่นพูด


 


เมื่อไป๋อู๋ฉางได้ยินหานเซิ่น ใบหน้าของเขาก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย สีหน้าของเขานิ่งราวกับหิน ซึ่งทำให้เขามีใบหน้าที่เฉยเมยไร้ความรู้สึก

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าและข้ามาต่อสู้กันที่นี่เป็นยังไง?”


 


“ข้าเป็นองครักษ์ขององค์หญิงไป๋เวย ข้าไม่ใช่นักสู้ในสนามประลอง ข้าไม่ขอรับ…” ก่อนที่หานเซิ่นจะพูดจบ ไป๋อู๋ฉางก็ใช้มีดฟันเข้ามาหาเขาแล้ว


 


“นี่ทุกคนในเอ็กซ์ตรีมคิงไร้เหตุผลแบบนี้กันหมดทุกคนเลยหรือยังไง?”

หานเซิ่นชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมาป้องกันมีดของไป๋อู๋ฉาง


 


เคร๊ง!


 


มีดของทั้งคู่ปะทะกัน ไป๋อู๋ฉางฟันแบบกดลง ขณะที่หานเซิ่นฟันแบบกดขึ้น มีดลมปราณสีม่วงและขาวพุ่งเข้าใส่กัน มีดลมปราณแตกกระจายไปทุกหนทุกแห่ง


 


เนื่องจากหานเซิ่นยืนอยู่บนหัวของมังกรกษัตริย์ มีดลมปราณที่แตกกระจายจึงไปถูกมังกรกษัตริย์รากแก้วเข้าและปลุกมันให้ตื่นขึ้นมา


 


มังกรกษัตริย์รากแก้วคำราม ร่างของมันทะยานขึ้นและเกล็ดมังกรทองก็ถูกเขย่า ขณะที่มังกรกษัตริย์แกว่งหัวของมัน


 


มังกรกษัตริย์รากแก้วไม่สามารถปลดปล่อยพลังได้ แต่ถึงอย่างนั้นความแข็งแกร่งทางกายภาพของมันก็เป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว แค่แรงจากการแกว่งหัวของมันก็มากพอที่จะฉีกมิติให้ขาด


 


หานเซิ่น ไป๋อู๋ฉางและไป๋เวยถูกโยนออกไป


 


ไป๋อู๋ฉางแทบจะไม่ได้รู้สึกถึงเรื่องนั้น เขาฟันใส่หานเซิ่นอีกครั้ง


 


มีดของเขาเป็นเหมือนกับน้ำแข็ง ใบมีดนั้นเย็นยะเยือก แต่พลังที่มันปลดปล่อยออกมาแทบจะไม่มีความเย็นอยู่เลย มันไม่ได้ปลดปล่อยพลังน้ำแข็งออกมา ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่แปลกมากๆ


 


มีดเขี้ยวผีสิงของหานเซิ่นฟันปะทะกับมีดของไป๋อู๋ฉางอีก 2 ครั้ง แต่มันก็ยังไม่มีฝ่ายไหนที่ได้เปรียบ มังกรกษัตริย์รากแก้วคำรามออกมาและพยายามจะกลืนกินพวกเขา


 


หานเซิ่นกระพือปีกและเทเลพอร์ต เขาต้องการจะถอยห่างจากมังกรกษัตริย์ที่โกรธ แต่ไป๋อู๋ฉางก็ยังคงพุ่งเข้ามาจู่โจมใส่เขาอย่างไม่สนใจอะไรอย่างอื่น


 


ไป๋อู๋ฉางไล่ตามเขาอย่างไม่หยุด และมังกรกษัตริย์ก็พยายามจะกลืนกินพวกเขา มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกโมโห เขาใช้วิชาหยกและโลหิตชีพจรจนถึงขีดสุด หานเซิ่นโฟกัสไป๋อู๋ฉางที่กำลังเข้ามาใกล้และฟันเข้าใส่เขา


 


ไป๋อู๋ฉางเป็นแค่ดยุกคนหนึ่งเช่นกัน การโจมตีของหานเซิ่นถูกตัวของเขาและทำให้เขากระเด็นออกไปไกล ไป๋อู๋ฉางกระเด็นออกไปหลายพันเมตรก่อนที่เขาจะหยุดตัวเองได้


 


“ดี! ดี! ดี! ตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่าทำไมเจ้าถึงถูกกล่าวว่าอยู่ในระดับเดียวกับไผ่เดียวดาย เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!” ไป๋อู๋ฉางไม่ได้โกรธ แต่เขากลับดีใจแทน เขายิ้มออกมา


 


แต่ใบหน้าของเขาดูแข็งกระด้างเกินไป ซึ่งทำให้รอยยิ้มของเขาดูฝืนๆ มันทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้เห็นมัน


 


ในขณะที่เขาพูดออกมา ลมปราณสีขาวที่เย็นยะเยือกก็ปะทุขึ้นมาจากร่างกายของไป๋อู๋ฉาง ลมปราณที่หนาวเย็นเปลี่ยนกลายเป็นไฟน้ำแข็งที่ไม่แผ่ความร้อนออกมา


 


ด้วยเปลวไฟที่ลุกไหม้อย่างเย็นยะเยือกนั้น ร่างกายของไป๋อู๋ฉางก็เริ่มจะดูโปร่งใสภายในชุดเกราะสีขาวของเขา เขาดูเหมือนภูตผีที่โปร่งใส


 


“ร่างกายแห่งราชันภูตผี! หานเซิ่นรีบถอยออกมา”

ไป๋เวยรีบเข้ามาตรงหน้าหานเซิ่นและพูดกับไป๋อู๋ฉาง “พี่อู๋ฉาง! พี่เป็นองค์ชายคนหนึ่ง การโจมตีราชองครักษ์ของน้องแบบนี้จะทำลายชื่อเสียงของพี่ คนอย่างหานเซิ่นนั้นไม่คู่ควรจะเป็นศัตรูของพี่”


 


ไป๋เวยรู้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของไป๋อู๋ฉาง โดยปกติแล้วร่างกายแห่งราชันของเอ็กซ์ตรีมคิงจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาในตอนที่พวกเขาวิวัฒนาการสู่ระดับราชัน


 


มันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ไป๋เวยตั้งตารอที่จะวิวัฒนาการสู่ระดับราชัน


 


นี่เป็นความจริงสำหรับเอ็กซ์ตรีมคิงทุกคน เว้นก็แต่ไป๋อู๋ฉาง ร่างกายแห่งราชันของเขาตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ระดับไวเคานต์


 


เขามีพรสวรรค์มากๆในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิงด้วยกัน โดยปกติแล้วเขาไม่จำเป็นต้องใช้ร่างกายแห่งราชันเพื่อเอาชนะคนที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วยซ้ำ


 


ด้วยร่างกายแห่งราชันภูตผีของเขา เขาสามารถต่อกรกับยอดฝีมือระดับราชันได้ เนื่องจากไป๋อู๋ฉางเปิดใช้ร่างกายแห่งราชันภูตผีเพื่อต่อสู้กับหานเซิ่น มันก็เป็นหลักฐานว่าเขาต้องการต่อสู้อย่างจริงจัง


 


กฎของสวนกษัตริย์มีผลต่อราชวงศ์ทุกคน แต่ไป๋อู๋ฉางดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องพวกนั้น เขาเมินเฉยต่อกฎของสวนกษัตริย์ที่ห้ามการฆ่าฟัน


 


ดวงตาของไป๋อู๋ฉางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มันเหมือนกับว่าเขาไม่เห็นไป๋เวยเลยแม้แต่นิดเดียว เขาจ้องไปที่หานเซิ่นและพูด


 


“เร็วๆเข้า! มาต่อสู้กับข้า!”


 


“หมอนี่บ้าไปแล้วหรือยังไงกัน?” หานเซิ่นถอนหายใจ เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นแม่เหล็กดูดคนบ้า ก่อนหน้านี้บาร์ก็ต้องการจะฆ่าเขาอย่างไม่สนใจอะไร ตอนนี้ไป๋อู๋ฉางก็อีกคนหนึ่ง หานเซิ่นสงสัยว่ามันมีบางสิ่งเกี่ยวกับร่างกายของเขาหรือเปล่าที่ทำให้เขาดึงดูดบุคคลที่บ้าอย่างนี้


 


ไป๋เวยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไป๋อู๋ฉางได้ฟันลงมาแล้ว ในสายตาของเขามันเหมือนกับว่าเธอไม่มีตัวตน เขาฟันเข้าใส่หานเซิ่น


 


แต่ไป๋เวยยืนอยู่ด้านหน้าหานเซิ่น เธอจะรับการโจมตีแทนเขา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)