Super God Gene 2295-2298

ตอนที่ 2295

 

ครามกวัดแกว่งอาวุธของเขา และพลังบนมีดของเขาก็กลายเป็นราชางูดำที่ดูเหมือนกับว่าจะกลืนกินทั้งท้องฟ้า มันพุ่งเข้าหาหานเซิ่นอย่างรวดเร็ว


 


ร่างกายของหานเซิ่นระเบิดพลังออกมา แต่เชือกสีขาวยังคงรัดตัวของเขาเอาไว้ ทำให้ยากต่อการป้องกัน มีดนั่นจะตัดร่างของเขาขาดเหมือนริบบิ้น


 


หานเซิ่นกัดฟัน แต่ในจังหวะที่เขาเตรียมตัวจะเปิดใช้งานโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด มีดแสงที่พุ่งเข้ามาก็แตกสลายไป


 


หานเซิ่นตกใจ เขามองไปที่คราม มือข้างหนึ่งที่ดูเหมือนกับหยกทะลุอกของครามออกมา นิ้วของมือนั้นเรียวยาวและดูงดงาม


 


“กุนซือไวท์!” หานเซิ่นไม่อยากจะเชื่อตาตัวเอง กุนซือไวท์ยืนอยู่ด้านหลังของครามและดึงมือของเขากลับออกมา


 


แต่มือของกุนซือไวท์ยังคงดูสะอาดหมดจดและไม่เปื้อนเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว


 


มีดหักของครามตกลงบนพื้น เขามองรูที่เต็มไปด้วยเลือกบนอกของตัวเอง ก่อนที่จะหันไปมองกุนซือไวท์ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ

“ไหนว่าพลังของท่านบอกเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ในการต่อสู้… ท่าน… ท่านทำลายร่างสิงโตดำของข้าได้ยังไง?”


 


“ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจ เจ้าควรจะเคยชินกับมันได้แล้ว”

เปลือกหอยสีขาวปรากฏขึ้นในมือของกุนซือไวท์ เขาเปิดมันออกและยื่นมันเข้าหาคราม หลังจากนั้นครามที่ได้รับบาดเจ็บก็ถูกดูดเข้าไปภายในนั้น


 


เมื่อเปลือกหอยปิดตัวลง กุนซือไวท์ก็เก็บมันเข้ากระเป๋า เขาหยิบตาข่ายนภาและกล่องหยกน้อยๆขึ้นมา ดูเหมือนกับว่าเขากำลังยิ้ม แต่มันไม่ใช่  เขาหันมาหาหานเซิ่นและพูด

“หานเซิ่น ดูเหมือนว่าเจ้าจะแพ้อย่างหมดท่า”


 


หานเซิ่นยังคงถูกจับโดยตาข่ายนภา เขายิ้มแห้งๆให้กับกุนซือไวท์

“เจ้าเป็นฝ่ายชนะ อย่างนั้นแล้วเจ้าจะทำยังไงกับข้าล่ะ?”


 


“แน่นอนว่าข้าจะฆ่าเจ้า เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าจะปล่อยให้ศัตรูที่น่ากลัวอย่างเจ้ามีชีวิตต่อไปและเติบใหญ่ในโลกนี้น่ะ?” กุนซือไวท์มองหานเซิ่นอย่างไร้ความรู้สึก


 


“กุนซือไวท์ เจ้าประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว ข้าก็เป็นแค่ทหารไร้ชื่อคนหนึ่ง”

หานเซิ่นไม่เคลื่อนไหว เขารวบรวมพลังทั้งหมด ขณะที่ยังคงจ้องไปที่กุนซือไวท์ เขาคิดที่จะลองเสี่ยงดู


 


กุนซือไวท์หันไปหารูปปั้นแมวหยก ขณะที่เขายังถือตาข่ายนภาที่จับหานเซิ่นและเป่าเอ๋อเอาไว้ในมือ “แมวเก้าชีวิต ตอนนี้พวกเราไปได้แล้วใช่ไหม?”


 


หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ กุนซือไวท์รู้ว่ารูปปั้นแมวหยกนั้นคือแมวเก้าชีวิต


 


รูปปั้นแมวเก้าชีวิตมองมาที่กุนซือไวท์ “ถ้าพวกเจ้าผ่านการทดสอบแล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะมาหรือไป มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องขออนุญาตจากข้า”


 


“ลาก่อน” กุนซือไวท์ดึงตาข่ายนภาและลากหานเซิ่นกับเป่าเอ๋อออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์


 


ครั้งนี้พลังของเมืองไม่ได้ห้ามพวกเขา กุนซือไวท์ลากหานเซิ่นกับเป่าเอ๋อออกไปจากเมืองอย่างง่ายดาย


 


มืออีกข้างของกุนซือไวท์เรืองแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ขณะที่ถือกล่องหยกเอาไว้ แสงสว่างนั้นขับไล่สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดในระยะ 3 เมตรรอบๆตัวพวกเขา สุดท้ายแล้วกุนซือไวท์ก็ลากหานเซิ่นและเป่าเอ๋อกลับออกไปจากร่องน้ำได้อย่างปลอดภัย


 


หานเซิ่นคิดว่ากุนซือไวท์จะฆ่าพวกเขาในเมืองศักดิ์สิทธิ์ แต่กุนซือไวท์ไม่ทำอย่างนั้น และหลังจากที่เขาออกมาจากที่นั่น เขาไม่ได้พยายามจะหนีไปจากที่นี่ เขาพาหานเซิ่นและเป่าเอ๋อเข้าไปในวาฬขาวตัวใหญ่แทน


 


การต่อสู้ระหว่างราชินีจิ้งจอกและอี๋ซาดูเหมือนจะจบลงแล้ว เนื่องจากมันไม่มีความเคลื่อนไหวในทะเลอีก


 


กุนซือไวท์พาหานเซิ่นและเป่าเอ๋อเข้าไปในวาฬขาวตัวใหญ่ เขายิ้มและมองไปที่หานเซิ่น “ตอนนี้ข้าฆ่าเจ้าได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร เจ้าคิดแผนการหนีได้หรือยัง?”


 


“ทำไมเจ้าถึงไม่ฆ่าข้าภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์?” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน


 


“เจ้าคิดจริงๆหรือว่าเมืองนั่นซ่อนสมบัติที่แท้จริง?” กุนซือไวท์ถามด้วยโทนเสียงขบขัน


 


“มันไม่ได้ซ่อนสมบัติเอาไว้?” หานเซิ่นถาม


 


“มันจะซ่อนสมบัติเอาไว้ แต่นั่นก็ต่อเมื่อผู้นำของเซเคร็ดบ้าไปแล้ว มันมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะใช้ความพยายามมากขนาดนั้นเพื่อซ่อนสมบัติของตัวเอง”

กุนซือไวท์ยิ้ม “ที่นี่ต้องมีความลับที่เจ้าจินตนาการไม่ถึง นอกจากนั้นรูปบนหลังของเจ้าก็ดูเป็นอะไรที่พิเศษ”


 


“ข้าคิดว่ารูปภาพนั้นมันหายไปแล้ว” หานเซิ่นตกใจ


 


กุนซือไวท์หัวเราะและพูด “เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว เพียงแค่บางสิ่งหายไป นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะหายไปจริงๆ ข้าไม่รู้จักคนที่วาดมันบนตัวเจ้า แต่ข้ารู้ว่าเขาวาดมันด้วยการใช้สิ่งมีชีวิตที่ถูกรู้จักกันในชื่อแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดี้ มันเป็นซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้ากลายพันธุ์ เลือดของนางคือยีนซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์ ข้าไม่คิดว่าเลือดแบบนั้นจะหายไปง่ายๆ”


 


หานเซิ่นตกใจเมื่อได้ยินอย่างนี้ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่านั่นเป็นถึงสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้ากลายพันธุ์


 


“ทำไม? ทำไมเขาถึงวาดบนตัวของข้า?” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน


 


“ข้าไม่รู้ บางทีเจ้าอาจจะเป็นคนที่ถูกเลือกตั้งแต่แรกแล้ว”

กุนซือไวท์พูดต่อว่า “แต่มันไม่ได้สำคัญอีกต่อไป ข้าจะฆ่าเจ้าและทุกอย่างจะถึงจุดจบ”


 


หลังจากนั้นกุนซือไวท์ดูโกรธ เขากระตุกตาข่ายและหานเซิ่นกับเป่าเอ๋อก็ถูกดึงไปตรงหน้าของเขา


 


หานเซิ่นจำได้ว่าร่างกายของครามถูกเจาะทะลุอย่างง่ายดายด้วยมือของกุนซือไวท์ เขาตกใจและเตรียมตัวที่จะใช้ร่างเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด


 


แต่เมื่อกุนซือไวท์สะบัดมือของเขา ตาข่ายนภาก็ถูกปล่อยออกไป รังนกกลับมาหาหานเซิ่นอีกครั้ง


 


“กุนซือไวท์…” หานเซิ่นรับรังนกเอาไว้และมองไปที่กุนซือไวท์ด้วยความสับสน


 


กุนซือไวท์เก็บตาข่ายนภาไปและโยนกล่องหยกให้กับหานเซิ่น


 


หานเซิ่นรับกล่องหยกน้อยๆเอาไว้ขณะที่สับสนยิ่งกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


กุนซือไวท์ยิ้มให้กับหานเซิ่น กล้ามเนื้อและกระดูกของเขาเริ่มบิดเบี้ยวและเปลี่ยนไป ใบหน้าของเขาเองก็เช่นกัน


 


เพียงไม่นานกุนซือไวท์ก็กลายเป็นคนอื่นไป ตัวตนของเขาดูเปลี่ยนไปอย่างมาก


 


ตอนนี้กุนซือไวท์ดูหนุ่มกว่าเดิม เขาดูอายุไม่เกิน 20 ปี แต่ร่างกายของเขามีออร่าที่พิเศษ มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกว่าคนๆนี้ใช้ชีวิตผ่านทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเป็นเหมือนกับคนที่คอยควบคุมหมากบนกระดาน หานเซิ่นอ้าปากค้าง


 


“เจ้า! ทำไมมันถึงเป็นเจ้าได้!” หานเซิ่นชี้ไปที่เขาด้วยความตกตะลึง


 


“ทำไมถึงจะเป็นข้าไม่ได้?” กุนซือไวท์มองหานเซิ่นด้วยความสนใจ


 


“เจ้าอยู่ในก็อตแซงชัวรี่หนิ? ทำไม…ทำไมเจ้าถึงออก…”

คำพูดของหานเซิ่นตัดขาดไปก่อนที่เขาจะพูดจบ เขานึกขึ้นได้ว่าทั้งพยุหะโลหิตและชูร่าต่างก็มีหนทางจะออกมา ตอนนี้มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนๆนี้จะออกมาจากก็อตแซงชัวรี่ได้เช่นกัน


 


“เรื่องมันยาว ถ้าจะให้สรุปสั้นๆก็คือในตอนที่ข้าคิดจะฝ่ามิติและกลายเป็นเทพเจ้าของโลกได้ ข้ากลับออกมาในที่แห่งนี้แทน มันเป็นอะไรที่น่าผิดหวังจริงๆ” กุนซือไวท์ยักไหล่ขณะที่ดูเสียใจ


 


“เจ้า… ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย…” หานเซิ่นพึมพำ เขายังคงตกตะลึง


 


หานเซิ่นรู้จักคนๆนี้ พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันอะไรนานนัก แต่หานเซิ่นจำเขาได้ดี นั่นเป็นเพราะว่าชายคนนี้คือผู้สืบทอดที่แท้จริงของสำนักเสวียน ส่วนหานเซิ่นเรียนรู้ศาสตร์ตงเสวียนมาจากตงเสวียนจือ นั่นทำให้เขาถูกนับว่าเป็นคนสำนักเสวียนเช่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 2296

 

หานเซิ่นมองไปที่ชายคนนั้นที่ดูอายุพอๆกับเขา เขาไอออกมาและถามอย่างลังเล


“เอิ่ม ข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไร?”


 


ในอดีตหานเซิ่นได้รับวิชาลับของสำนักเสวียนมาจากชายคนนี้ แต่อีกฝ่ายบอกว่าไม่คิดจะรับลูกศิษย์คนไหน และหานเซิ่นยังไปได้รับมรดกของตงเสวียนจือ เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่สำคัญมากกว่าระหว่างทั้งคู่


 


ชายคนนั้นหัวเราะและพูด “ชื่อเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ เมื่อคนๆหนึ่งฝึกมากเท่าข้า พวกเขาก็จะละทิ้งสมญานามของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าควรจะเรียกข้าว่ากุนซือไวท์ต่อไป แบบนั้นตัวตนของข้าภายในเอ็กซ์ตรีมคิงก็จะไม่ถูกเปิดเผย”


 


“เจ้าจะกลับไปที่เอ็กซ์ตรีมคิงอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยความประหลาดใจ


 


กุนซือไวท์ยิ้มและพูด “เอ็กซ์ตรีมคิงมีทรัพยากรมากมาย บอกตามตรงมันถือเป็นสถานที่ที่ดีต่อการฝึกฝน แบบนั้นทำไมข้าถึงจะไม่กลับไป?”


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ยังไง?” หานเซิ่นถามขณะที่ถือกล่องหยกอยู่ในมือ


 


ครามตายไปแล้ว และกุนซือไวท์ก็มอบกล่องสมบัติให้กับหานเซิ่น หานเซิ่นกลัวว่าถ้ากุนซือไวท์กลับไปล่ะก็ เขาจะไม่สามารถรายงายสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์ชายสิบสี่ได้


 


“ทุกอย่างจะจบลงด้วยดีเอง ถ้ามีเวลาให้กับมันมากพอ ใช้หัวใจของเจ้าคิด ฟังและมองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันมีทางออกสำหรับทุกปัญหาเสมอ”


หลังจากนั้นกุนซือไวท์ก็มอบการ์ดให้กับหานเซิ่น “นี่คือสิ่งที่ข้าคิดมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าเอามันไปดู แต่จำเอาไว้ว่าอย่าได้เชื่อมั่นในสิ่งใดมากจนเกินไป เจ้าจำเป็นต้องสร้างความคิดเห็นของตัวเองต่อสิ่งต่างๆในชีวิต คนของสำนักเสวียนจำเป็นต้องฝึกด้วยศรัทธาของหัวใจตัวเอง ข้าไม่มีเวลาจะมาดูแลมัน เจ้าถือเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสำนักเสวียน ข้าหวังว่าในอนาคตเจ้าจะพบหนทางที่จะถ่ายทอดคำสอนของสำนักเสวียนและเทคนิคของข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องขอให้ใครเข้าร่วมสำนักเสวียนอย่างเป็นทางการ แต่สำนักเสวียนจะถือว่าโชคดีพอแล้วถ้ามีสัก 1-2 คนอุทิศตัวเองเพื่อเรียนรู้คำสอนของสำนัก”


 


หานเซิ่นไม่ปฏิเสธคำร้องขอนั้น เขารับการ์ดมาด้วยความยินดี เขารู้ว่าตัวกุนซือไวท์เองไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องทั้งหมดนี้มากนัก ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้เขาก็คงจะไม่มอบเทคนิคเสวียนเทียนให้กับหานเซิ่น


 


ในโลกนี้มีศาสนาและสำนักอยู่มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะสอนแนวทางการปฏิบัติและสิ่งที่พวกเขาควรเชื่อมั่น แต่สำนักเสวียนนั้นจะสอนคนๆหนึ่งถึงวิธีการท่องโลกและหาความเข้าใจโลกนี้


 


ด้วยเหตุนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่สำนักเสวียนจะมีชื่อเสียงขึ้นมา มันไม่ได้ถูกกำหนดตายตัว ดังนั้นมันจึงแข่งขันกับคำสอนของสำนักหรือศาสนาอื่นไม่ได้ นั่นก็เพราะคำสอนนี้ทำให้ผู้คนสับสน ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการความสบายใจ พวกเขาต้องการให้บางสิ่งนำทางพวกเขาผ่านความยากลำบากในชีวิต


 


แต่คำสอนของสำนักเสวียนนั้นบอกให้คิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง คนสำนักเสวียนจะต้องชี้นำชะตากรรมของตัวเองและสำรวจสิ่งที่ยังไม่ถูกค้นพบ อนาคตนั้นเต็มไปด้วยปริศนาและความไม่แน่นอน มันเป็นอะไรที่ยากลำบาก และผู้คนที่ไม่มีสติปัญญาหรือความอดทนพอจะไม่มีวันผ่านมันไปได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่สำนักเสวียนจะถูกลืมเลือน เส้นทางของสำนักเสวียนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครหลายๆคนจะเลือกเดิน


 


หลังจากที่พูดอย่างนั้น กุนซือไวท์ก็มองกล่องหยกในมือของหานเซิ่น


“ถ้าการสันนิษฐานของข้าถูกต้องล่ะก็ กล่องใบนี้ไม่ได้เก็บสมบัติของผู้นำเซเคร็ดเอาไว้จริงๆ มันเป็นแค่สิ่งที่เอาไว้หลอกเท่านั้น สมบัติของจริงยังคงซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์นั่น แต่พลังของพวกเราในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะสำรวจความลับทั้งหมดของเมืองนั้นได้ เมื่อพวกเราทั้งคู่กลายเป็นระดับเทพเจ้าเมื่อไหร่ พวกเราค่อยกลับมาสำรวจเมืองอีกที”


 


“กุนซือไวท์ แล้วรูปภาพบนหลังของข้าล่ะ มันคืออะไรอย่างนั้นหรอ?”


หานเซิ่นยังคงกังวลเมื่อคิดเกี่ยวกับภาพที่ถูกวาด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอะไรที่แปลกเกินไป


 


กุนซือไวท์คิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นมา


“เลือดของแอนเชี่ยนท์บลัดดราก้อนเลดีถูกใช้แทนหมึก ภาพๆหนึ่งถูกวาดลงบนหลังของเจ้า แต่ข้าไม่ได้เห็นภาพ ดังนั้นข้าจึงพูดอะไรไม่ได้มาก แต่อย่าได้กังวลไป เมื่อข้าได้ลองทำการคำนวณถึงอนาคตของเจ้า หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้าย มันยังมีความโชคดีรออยู่ ดังนั้นไม่ว่ารูปปั้นนั้นจะเป็นอะไร มันก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย”


 


“ความโชคดีตามหลังบางสิ่งที่เลวร้าย? นั่นหมายความว่ามันจะมีสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นตกใจ


 


กุนซือไวท์หัวเราะและพูด “ดูเหมือนเส้นทางของเจ้าจะไม่ใช่อะไรที่ราบรื่น”


 


“มันจะเป็นอะไรที่ดีกว่าถ้าเจ้าไม่บอกข้าตรง ๆ แบบนี้” หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา


 


หลังจากนั้นกุนซือไวท์ก็พูดอย่างจริงจัง “ในตอนที่เจ้าติดตามอี๋ซากลับไปที่แนร์โรว์มูน เจ้าควรจะเตรียมตัวเอาไว้ ข้าเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วทางเอ็กซ์ตรีมคิงจะเรียกตัวเจ้าไปที่อาณาจักรของของพวกเขา”


 


หานเซิ่นรู้สึกสงสัยขึ้นมา ดังนั้นเขาถามว่า “กุนซือไวท์ ทำไมเจ้าถึงได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเอ็กซ์ตรีมคิงได้?”


 


กุนซือไวท์พูด “ในตอนแรกข้าปลอมตัวเป็นเอ็กซ์ตรีมคิง ก็เพราะข้าถูกดึงดูดด้วยทรัพยากรของพวกเขา แต่หลังจากนั้นข้าได้เรียนรู้บางสิ่งที่น่าสนใจ ข้าจึงอยู่ที่นั่นก็เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับมันเพิ่ม?”


 


“สิ่งที่น่าสนใจอะไร?” หานเซิ่นถามอีกครั้ง


 


“พวกเรามนุษย์มียีนโลหิตชีพจรของเอ็กซ์ตรีมคิงอยู่ ถึงแม้มันจะน้อยนิด แต่มันก็มีอยู่ และนั่นคือเหตุผลที่ข้าปลอมตัวเป็นหนึ่งในเอ็กซ์ตรีมคิง” กุนซือไวท์พูด


 


“ข้าเองก็คาดเดาเอาไว้แบบนั้น” หานเซิ่นพยักหน้า เขาเองก็เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน


 


กุนซือไวท์พูดต่อ “ในตอนที่เอ็กซ์ตรีมคิงกลายเป็นระดับราชัน พวกเขาจะปลุกร่างกายแห่งราชันของพวกเขา ร่างกายแห่งราชันนั้นคล้ายคลึงกับร่างกายขั้นสุดยอดที่พวกเราได้รับภายในก็อตแซงชัวรี่ แต่ทว่ามันมีความแตกต่างอยู่อย่างหนึ่ง ร่างกายขั้นสุดยอดของพวกเราเป็นเอกราช ขณะที่ร่างกายแห่งราชันของพวกเขาไม่เป็นเอกราช”


 


“นั่นหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นไม่เข้าใจ


 


กุนซือไวท์อธิบายต่อ “ที่ข้าจะบอกก็คือร่างกายขั้นสุดยอดของพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา แต่ร่างกายแห่งราชันของพวกเขาดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับพลังลึกลับจากภายนอก ข้ายังสืบเรื่องนี้อยู่ และมันยังมีอีกหลายอย่างคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงอธิบายมันไม่ได้ทั้งหมด”


 


หลังจากพูดคุยกับหานเซิ่นเสร็จ กุนซือไวท์ก็พูดขึ้นมา “ข้าต้องไปแล้ว ถ้าเจ้ามุ่งหน้าไปทางซ้ายในตอนที่ออกไป เจ้าก็ควรจะพบกับอี๋ซาในไม่ช้า”


 


กุนซือไวท์จากไป แต่หานเซิ่นยังคงไม่ออกไปหาอี๋ซา เขาเดินเข้าไปหาโครงกระดูกที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้บัญชาการของวาฬขาว เขาถอดชุดของโครงกระดูกออก หลังจากนั้นก็เก็บโครงกระดูกใส่ในกล่อง เขามีแผนที่ฝังโครงกระดูกนี้เมื่อกลับไปแล้ว


 


หลังจากที่ปัดฝุ่นออกจากชุดจนสะอาดแล้ว หานเซิ่นก็สวมใส่มัน เขาสวมผ้าปิดตาโปร่งใสบนหัว หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่าวิสัยทัศน์ของเขากำลังแพร่ขยายออกไป


 


ความรู้สึกนั้นไม่สามารถอธิบายได้ มันเหมือนกับว่าวาฬขาวกลายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเขา คลื่นของข้อมูลไหลลงผ่านผ้าปิดตาและเข้าไปในจิตใจของเขา


 


ให้พูดง่ายๆก็คือตอนนี้หานเซิ่นสามารถใช้จิตใจควบคุมวาฬขาวได้ การขับเคลื่อนเครื่องจักรนี้ง่ายเหมือนกับการขยับร่างกายของตัวเอง


 


หานเซิ่นขับวาฬขาวตัวใหญ่ไปทางซ้ายและที่นั่นเขาก็พบกับอี๋ซา


 


อี๋ซากำลังว่ายอยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ เมื่อเธอเห็นวาฬขาว เธอก็ว่ายตรงเข้ามา หานเซิ่นรีบออกมาจากวาฬขาวเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด


 


“ราชินี แล้วราชินีจิ้งจอกล่ะ?” หานเซิ่นถาม


 


อี๋ซาส่ายหัว “นางหนีไปได้”


 


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรไปจากที่นี่เช่นกัน ข้าได้สิ่งของจากเมืองศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกเรารีบไปกันเถอะ”


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ขับวาฬขาวออกไปจากทะเลสปิริตศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับอี๋ซา


 


เมื่อพวกเขามาถึงเขาวงกต หานเซิ่นก็เก็บวาฬขาวไป


 


วาฬขาวขนาดมหึมานั้นจริงๆแล้วเป็นเหมือนกับด้วงของเขา มันสามารถย่อขนาดของตัวเองได้ มันย่อขนาดจนกระทั่งหายเข้าไปในผ้าปิดตา มันเป็นเหมือนกับวาฬตัวน้อยๆตัวหนึ่งในขวด มันดูเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์

 

 

 


ตอนที่ 2297

 

อี๋ซาและหานเซิ่นกลับไปที่ฐานทัพของหน่วยอัศวินไอซ์บลู ที่นั่นเขาได้พบกับราชาอัศวินไอซ์บลู มันเห็นได้ชัดว่าราชาอัศวินไอซ์บลูไม่สามารถค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องภายในปราสาทเขาวงกตได้และตัดสินใจเดินทางกลับ


 


เมื่อเขาเห็นอี๋ซาและหานเซิ่นกลับมาด้วยกัน ดวงตาของราชาอัศวินไอซ์บลูก็เบิกกว้าง


 


“อี๋ซา! ข้าดีใจจริงๆที่ได้รู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่…” ราชาอัศวินไอซ์บลูพูดขณะที่เข้ามาหาเธอ


 


“ข้ากลัวว่าการที่ข้ารอดมาได้อาจจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเจ้า” อี๋ซาพูด


 


ราชาอัศวินไอซ์บลูขมวดคิ้ว “อี๋ซา ทำไมเจ้าถึงพูดแบบนั้น?”


 


“ข้ายังมีชีวิตอยู่ นั่นหมายความว่าไม่มีใครรังแกลูกศิษย์ของข้าได้ ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมมันอาจจะไม่ใช่เรื่องดี?” อี๋ซาพูด เสียงของเธอแข็งราวกับหิน


 


ราชาอัศวินไอซ์บลูดูกระวนกระวาย เขารีบพูดขึ้นมา “ข้าแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง! ข้าไม่มีตัวเลือกในเรื่องนี้ มันมีบางสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องทำ”


 


“ข้าไม่สนใจเกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้า บอกข้ามาว่าเจ้าลากลูกศิษย์ของข้ามาเข้าหน่วยอัศวินไอซ์บลูใช่หรือไม่?”


 


อี๋ซาจ้องไปที่ราชาอัศวินไอซ์บลู


 


ราชาอัศวินไอซ์บลูดูหม่นหมอง เขารับสารภาพ “ใช่”


 


“เจ้าคือคนที่พยายามจับตัวเขาใช่หรือไม่?” อี๋ซาถาม


 


“ใช่” ราชาอัศวินไอซ์บลูพูด


 


“ถ้าเจ้าดูแลเขาไม่ได้ ทำไมเจ้าถึงลากลูกศิษย์ของข้ามาถึงที่นี่? นั่นคือวิธีการจัดการหน่วยอัศวินไอซ์บลูของเจ้าอย่างนั้นหรอ?” อี๋ซาพูด


 


ราชาอัศวินไอซ์บลูไม่สามารถพูดโต้เถียงอะไรได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง


 


อัศวินไอซ์บลูอีกคนที่ติดตามราชาอัศวินไอซ์บลูก้าวออกมาข้างหน้าและพูดด้วยความโกรธ


“อี๋ซา อย่าเสียมารยาท เจ้าเป็นสมาชิกของหน่วยอัศวินไอซ์บลูคนหนึ่ง เจ้าพูดอย่างนั้นกับกัปตันได้ยังไง?”


 


“จากนี้ต่อไปข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหน่วยอัศวินไอซ์บลูอีก” อี๋ซามองพวกเขาทุกคนด้วยความดูถูก


 


ราชาอัศวินไอซ์บลูขมวดคิ้วและพูด “อี๋ซา ข้าเข้าใจเหตุผลที่เจ้าจะโกรธ แต่มันมีบางสิ่งที่เจ้าไม่ควรพูดออกมา ข้าจะแกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้าพูด ถ้าเจ้าอยากจะพูดอะไร พวกเราจะคุยกันภายหลังอย่างลับๆ”


 


“ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก หานเซิ่น พวกเราไปกันเถอะ” อี๋ซาหันหลังกลับ


 


“อี๋ซา! เจ้าอย่าบ้าไปหน่อยเลย หน่วยอัศวินไอซ์บลูมีกฎอยู่ เจ้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของหน่วยอัศวินไอซ์บลู และเจ้าเกิดมาเพื่อเป็นอัศวินไอซ์บลู นอกจากเจ้าจะตายในนามของอัศวินไอซ์บลู หน่วยอัศวินไอซ์บลูก็จะไม่อนุญาตให้หนึ่งในสมาชิกของพวกเขาทรยศ นอกจากนั้นทางเอ็กซ์ตรีมคิงก็ไม่มีทางปล่อยให้…” เสียงของราชาอัศวินไอซ์บลูตัดขาดไป ความตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา


 


อี๋ซาระเบิดลมปราณสีม่วงออกมาราวกับปีศาจ เธอปกคลุมทั้งฐานทัพของอัศวินไอซ์บลูด้วยพลังของเธอ ทุกคนภายในฐานทัพดูซีดเซียวในทันที พวกเขาถูกพลังของอี๋ซากดดันจนแทบจะไม่สามารถยืนอยู่ได้


 


“ระดับเทพเจ้า… เจ้ากลายเป็นระดับเทพเจ้า” ราชาอัศวินไอซ์บลูและอัศวินไอซ์บลูคนอื่นๆตกตะลึง


 


“โทษทีนะ เจ้าช่วยพูดให้ข้าฟังอีกครั้งได้ไหม?”


อี๋ซาหันมามองราชาอัศวินไอว์บลูและคนอื่น แม้แต่อัศวินไอซ์บลูระดับราชันก็หน้าซีดไป ตอนนี้ไม่มีใครกล้าจะสบสายตากับอี๋ซา


 


ราชาอัศวินไอซ์บลูเองก็หน้าซีดเช่นกัน อารมณ์ที่หลากหลายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาและพูด


“ข้ามีเหตุผลของตัวเองที่อยากให้เจ้าอยู่ แต่ในเมื่อตอนนี้เจ้ากลายเป็นระดับเทพเจ้าแล้ว ข้าก็รู้ว่าไม่มีโอกาสจะรั้งเจ้าเอาไว้ที่นี่ได้อีก ถ้าอย่างนั้นข้าอนุญาตให้เจ้าจากไปได้”


 


อี๋ซาไม่มองราชาอัศวินไอซ์บลูอีก เธอพาหานเซิ่นออกไปจากฐานทัพของอัศวินไอซ์บลู


 


“ราชินี นั่นมันสุดยอดไปเลย อัศวินไอซ์บลูพวกนั้นต่างก็อวดดีกันทุกคน แต่พวกเขาเตรียมจะฉี่ราดเมื่ออยู่ต่อหน้าบารมีของท่าน” หานเซิ่นบอกเธอขณะที่ขับวาฬขาวไป


 


หลังจากที่อี๋ซาและหานเซิ่นออกจากฐานทัพของอัศวินไอซ์บลู พวกเขาก็ใช้วาฬขาวเพื่อเดินทางผ่านอวกาศ พวกเขาตรงกลับไปที่แนร์โรว์มูน


 


อี๋ซากำลังอุ้มเป่าเอ๋ออยู่ เธอป้อนผลไม้ให้กับเป่าเอ๋อขณะที่พูดขึ้นมา


“หน่วยอัศวินทั้งสิบของเอ็กซ์ตรีมคิง พวกมันฟังดูทรงพลังและเป็นที่เกรงขามทั่วจักรวาลจีโน แต่ภายในเอ็กซ์ตรีมคิงนั้น เหล่าอัศวินเป็นเพียงแค่เบี้ย พวกเขาคอยทำงานสกปรกเล็กๆน้อยๆแค่นั้น พวกเขาไม่ได้รับภารกิจสำคัญอะไร ถ้าสมาชิกคนไหนของหน่วยอัศวินกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ออกจากหน่วย พวกเขาจะไม่ถูกผูกมัดกับหน่วยอัศวินอีกต่อไป นี่เป็นกฎข้อหนึ่งของเอ็กซ์ตรีมคิง ราชาอัศวินไอซ์บลูจะฝ่าฝืนเรื่องนั้นไม่ได้”


 


“กองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างหน่วยอัศวินไอซ์บลูยังถือว่าเป็นแค่เบี้ยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นตกใจที่ได้ยินแบบนั้น


 


“พวกเขาไม่มีสมาชิกคนไหนที่เป็นระดับเทพเจ้า ถ้าเจ้าคิดว่านั่นคือกองกำลังหลักของเอ็กซ์ตรีมคิงแล้วล่ะก็ เจ้าก็ประเมินกองกำลังของพวกเขาต่ำไปอย่างมาก”


อี๋ซายิ้มและพูดต่อ “กองกำลังของเอ็กซ์ตรีมคิงประกอบไปด้วยอัศวินราชวงศ์ พวกเขาจะรับสมาชิกที่เป็นเอ็กซ์ตรีมคิงเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น และแม้แต่สมาชิกใหม่ก็ยังต้องเป็นระดับราชันเป็นอย่างน้อย พวกเขายังมีข้อจำกัดที่สูงในเรื่องสายเลือดและภูมิหลังอีกด้วย”


 


“นอกจากอัศวินราชวงศ์แล้ว เอ็กซ์ตรีมคิงยังมีหน่วยงานอื่นอีกเช่นกัน พวกมันแค่มีชื่อเสียงน้อยกว่าเท่านั้น เอ็กซ์ตรีมคิงแข็งแกร่งถึงขนาดที่มีน้อยเผ่าพันธุ์นักที่จะต่อกรกับพวกเขาได้ แม้แต่เผ่าพันธุ์ชั้นสูงอย่างปราสาทนภาก็ยังไม่มีโอกาสจะต่อกรกับเอ็กซ์ตรีมคิงได้ พวกเขาต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเผ่าเวรี่ไฮเพื่อทำให้เอ็กซ์ตรีมคิงหลีกเลี่ยงพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่เอ็กซ์ตรีมคิงไม่แตะต้องปราสาทนภา”


 


“อย่างนี้นี่เอง” หานเซิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นมา


“ถ้าอย่างนั้นแนร์โรว์มูนเป็นอะไรสำหรับเอ็กซ์ตรีมคิง?”


 


“พวกเราไม่ได้เป็นของใครทั้งนั้น” อี๋ซาถอนหายใจ หลังจากนั้นเธอก็พูดต่อ


“ข้าบอกเจ้าแล้วยังไงว่าบรรพบุรุษของพวกเราคือทาสรับใช้คนหนึ่งของเฮลล์คิง แต่ยุคสมัยของเฮลล์คิงผ่านมาเป็นเวลานานแล้ว ตอนนี้ผู้ปกครองของเอ็กซ์ตรีมคิงถูกรู้จักกันในชื่อไวท์คิง แนร์โรว์มูนไม่เคยมีสมาชิกระดับเทพเจ้ามาก่อน การที่ข้ากลายเป็นระดับเทพเจ้าไม่ได้ช่วยเปลี่ยนการเมืองของรีเบทอะไร รีเบทไม่มีวันถูกมองว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่บริสุทธิ์ และพวกเราจะเลือกข้างไม่ได้ พวกเราเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด”


 


“ตราบใดที่ราชินีอยู่ที่นี่ รีเบทก็จะกลายเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่มีชื่อเสียงที่สุดในจักรวาล”


หานเซิ่นรีบพูดประจบเธอ อี๋ซาเป็นผู้สนับสนุนของเขา ความปลอดภัยของหานเซิ่นและพวกพ้องก็ขึ้นอยู่อี๋ซา


 


อี๋ซากรอกตาของเธอ “บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้นในแนร์โรว์มูน”


 


หานเซิ่นบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแนร์โรว์มูน เขาไม่ได้พูดอะไรเกินความเป็นจริง แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของอี๋ซาก็ถมึงทึงหลังจากที่ได้ยินเรื่องทั้งหมด


 


“พวกเขานำทรัพย์สมบัติทั้งหมดของข้าไปแบ่งกันเอง? พวกเขาโหดร้ายกับลูกศิษย์เพียงคนเดียวของข้า? พวกเขาจะกล้าดีเกินไปแล้ว”


 


หานเซิ่นรู้สึกซาบซึ้ง ถ้าเธอพูดแบบนั้น นั่นก็หมายความว่าเขาสำคัญกับเธออย่างมาก


 


“มันไม่เป็นไรที่พวกเขาจะรังแกลูกศิษย์ของข้า แต่พวกเขากล้ามาขโมยปราสาทของข้าและทำให้ของของข้าต้องแปดเปื้อน อภัยให้ไม่ได้” อี๋ซาพูดอย่างเกรี้ยวโกรธ


 


ก่อนหน้านี้หานเซิ่นรู้สึกซาบซึ้ง แต่ตอนนี้เขาพูดอะไรไม่ออก เขาเช็ดจมูกและพูด


“ใช่แล้ว! อภัยให้ไม่ได้ ราชินีจะต้องส่งสอนบทเรียนให้กับพวกเขาทุกคน”

 

 

 


ตอนที่ 2298

 

ขณะที่วาฬขาวเดินทางออกจากระบบไอซ์บลู หานเซิ่นก็ขับมันไปยังจุดที่ราชาไนท์ริเวอร์เคยประจำการอยู่ แต่ทว่าเขาไม่เจออะไรที่ผิดปกติ และเขาก็ไม่สามารถตามหาร่องรอยของสีม่วงประหลาดที่ราชาไนท์ริเวอร์พูดถึงได้


 


หานเซิ่นยังไปพบกับอัศวินไอซ์บลูคนที่มาประจำการต่อจากราชาไนท์ริเวอร์ แต่อัศวินคนนั้นไม่เห็นอะไรผิดปกติในช่วงที่เขาประจำการอยู่ที่นั่น


 


‘แปลกจริงๆ สีม่วงที่ราชาไนท์ริเวอร์พูดถึงคืออะไรกันแน่? ทำไมเขาจะต้องเขียนไดอารี่ด้วยรหัสลับด้วย?’ หานเซิ่นไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นั่นต่อเพื่อหาความจริงเช่นกัน


 


หานเซิ่นขับวาฬขาวตรงกลับไปที่แนร์โรว์มูน ในระหว่างทางเขาไม่ได้เห็นอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งหรือแมงมุมหลุมดำ แต่ทว่าพวกเขาได้เจอกับกุ้งกาแลกติกจำนวนมาก โชคดีที่การโจมตีของกุ้งกาแลกติกไม่สามารถเจาะทะลุการป้องกันของวาฬขาวได้ นอกจากนั้นพวกมันก็ไม่ได้เร็วเท่ากับวาฬขาว การมียานอวกาศอย่างวาฬขาวจะทำให้พวกเขาปลอดภัย ตราบใดที่พวกเขาเผชิญกับซีโน่เจเนอิคธรรมดาอย่างกุ้งกาแลกติก ถ้าพวกเขาจะเจอกับปัญหา มันก็คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งและแมงมุมหลุมดำเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น หานเซิ่นก็ยังมียอดฝีมือระดับเทพเจ้าอย่างอี๋ซาร่วมเดินทางไปด้วย


 


อี๋ซาและหานเซิ่นสามารถเดินทางออกจากระบบจักรวาลเคออสได้อย่างปลอดภัย และพวกเขาจะกลับถึงแนร์โรว์มูนในเร็วๆนี้



 


“มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ? ทำไมขุนนางทุกคนถึงสั่งให้ไปที่ฟลูมูนฮอลล์?”


 


“นี่เจ้าไม่ได้ยินข่าวอย่างนั้นหรอ? ราชินีแห่งมีดกลับมาแล้ว!”


 


“ราชินีแห่งมีดกลับมาแล้ว? นั่นเป็นไปได้ยังไง? ข้าคิดว่านางตายในระบบจักรวาลเคออสซะอีก”


 


“นั่นคือสิ่งที่ขุนนางคนอื่นก็คิดเหมือนกัน นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาปล้นมรดกของนางไปอย่างไม่เกรงกลัว แต่นางกลับมาจริงๆ และไม่ใช่แค่นั้น นางกลับมาในระดับเทพเจ้าอีก”


 


“อะไรนะ? นางกลายเป็นระดับเทพเจ้าแล้ว? นี่มันเยี่ยมไปเลย! ในที่สุดรีเบทของพวกเราก็มียอดฝีมือระดับเทพเจ้าซะที ทีนี้มันจะไม่มีใครกล้ามาดูถูกพวกเราอีก ท่านราชินีแข็งแกร่งที่สุด”


 


“มันอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา แต่สำหรับขุนนางที่แบ่งสมบัติของนางล่ะ? พวกเขาขโมยมรดกของนางและบดขยี้ลูกศิษย์เพียงคนเดียวของนาง ตอนนี้เมื่อนางกลับมาในระดับเทพเจ้า พวกเขาก็คงจะกลัวจนตัวสั่น”


 


“พวกเขาสมควรโดนแล้ว พวกเขาคิดว่าตัวเองสูงส่งจะรังแกใครคนไหนก็ได้”


 


“ข้าดีใจจริงที่ขุนนางพวกนั้นจะได้รับบทเรียนซะบ้าง พวกเขาชอบรังแกพวกเรา ตอนนี้เมื่อปัญหามาถึงตัวพวกเขา พวกเขาก็สมควรโดนแล้ว”


 


ขณะที่ผู้คนของแนร์โรว์มูนกำลังพูดคุยกันถึงการกลับมาของราชินีแห่งมีด การพูดคุยที่จริงจังยิ่งกว่ากำลังเกิดขึ้นในฟลูมูนฮอลล์


 


“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้! อี๋ซา…หานเซิ่นเป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง! เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูด


 


ราชาฟลาวเวอร์พูด “อี๋ซา… เจ้าไม่คิดว่านี่จะไม่เหมาะสมไปหน่อยหรอ? เด็กศักดิ์สิทธิ์คือคนที่เก่งที่สุดและเป็นความหวังของเผ่ารีเบท หานเซิ่นไม่ใช่คนเผ่าพันธุ์เดียวกับพวกเราด้วยซ้ำ ถึงแม้พวกเราจะบังคับให้เขามาเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ ประชากรของพวกเราก็ต้องปฏิเสธการเลือกนี้แน่ๆ”


 


“อี๋ซา ได้โปรดคิดดูอีกทีด้วย!” ราชาแบล็คมูนชอบหานเซิ่น แต่เขาไม่คิดว่านี่เป็นอะไรที่ถูกต้อง


 


ขุนนางทุกคนคัดค้านการตัดสินใจของอี๋ซาที่จะแต่งตั้งหานเซิ่นเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ภายในฟลูมูนฮอลล์นั้นเต็มไปด้วยเสียงตะโกนที่ดังยิ่งกว่าในตลาด


 


ราชากงล้อจันทรายกมือเพื่อบอกให้ทุกคนเงียบ หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่อี๋ซาและพูด

“อี๋ซา พวกเรายินดีจะมอบอะไรก็ตามที่เขาสมควรจะได้รับ แต่ตำแหน่งเด็กศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเกินไป มันมีผลต่อศักดิ์ศรีของเผ่าเรา เจ้าช่วยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกที”


 


“พวกเจ้าพูดกันเสร็จหรือยัง?” อี๋ซานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุม เธอมองขุนนางทั้งหมดที่มารวมตัวกันอย่างเย็นชา


 


ขุนนางทุกคนรู้สึกหนาวขึ้นมา เมื่อสายตาของเธอจ้องมาที่พวกเขาแต่ละคน พวกเขาเงียบไป และแม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันอย่างราชาฟลาวเวอร์ก็ไม่เว้น


 


หลังจากที่ทุกคนพูด อี๋ซาก็พูดอย่างช้าๆด้วยเสียงที่หนักแน่น

“ถ้าข้ายังยืนกรานจะให้หานเซิ่นเป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?”


 


“อี๋ซา ถ้าเจ้า… ถ้าเจ้ายังยืนกราน อย่างนั้นแล้วเจ้าก็ต้องอภัยให้พวกเราสำหรับความประพฤติที่ไม่สมควร เหล่าผู้อาวุโสจะไม่มีวันเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และข้าแน่ใจว่าเหล่าราชันในที่นี้เองก็ไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน”

สมาชิกของสภาผู้อาวุโสพยายามจะเกลี้ยกล่อมเธอ “อี๋ซา! ที่พวกเราปฏิเสธการตัดสินใจของเจ้าก็เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของรีเบท พวกเราจะปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราสร้างขึ้นมาเพื่อรีเบทถูกทำลายไม่ได้”


 


“เจ้ากำลังบอกว่าข้าจะทำลายรีเบทอย่างนั้นสินะ?” อี๋ซาถามอย่างเย็นชา


 


“อี๋ซา พวกเราไม่ได้หมายความแบบนั้น…” ผู้อาวุโสต้องการจะพูดมากกว่านั้น แต่อี๋ซาขัดเขาเอาไว้ก่อน


 


อี๋ซากวาดสายตามองเหล่าขุนนางและไปหยุดอยู่ที่ราชากงล้อจันทรา

“ข้าเรียกพวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่ก็เพื่อบอกถึงการตัดสินใจของข้า ข้าไม่ได้เรียกพวกเจ้ามาที่นี่เพื่อฟังความคิดเห็นในเรื่องนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หานเซิ่นก็คือเด็กศักดิ์สิทธิ์ของรีเบท ถ้าพวกเจ้ามีปัญหาอะไรกับการตัดสินใจนั้น ก็ว่ามาได้เลย”


 


ขุนนางทั้งหลายอึ้งไป ถึงแม้พวกเขาจะคัดค้าน แต่ไม่มีใครอยากจะเผชิญหน้ากับอี๋ซา พวกเขาทั้งหมดมองไปที่ราชากงล้อจันทรา


 


ราชากงล้อจันทราขมวดคิ้วและมองไปที่อี๋ซา “ถ้าพวกเราทั้งหมดคัดค้านล่ะ?”


 


อี๋ซาหัวเราะ เธอยืนขึ้นและมองขุนนางทุกคนที่มารวมตัวกัน เธอพูดอย่างช้าๆ “ฟังให้ดี! จากนี้เป็นต้นไป แนร์โรว์มูนคือแนร์โรว์มูนของข้า รีเบทมีราชินีเพียงแค่คนเดียว ใครก็ตามที่ติดตามข้าจะมีชีวิตต่อไป แต่ใครก็ตามที่คิดทรยศข้าจะต้องตาย พวกเจ้าจะคัดค้านข้าก็ได้ แต่ถ้าพวกเจ้าขัดคำสั่งแม้แต่นิดเดียว ข้าจะถือว่าพวกเจ้าเป็นศัตรู ข้าไม่รังเกลียดที่จะให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมารับตำแหน่งในแนร์โรว์มูน”



 


ตลอดหลายเดือนต่อมา การเมืองของรีเบทแปรผันอย่างไม่แน่นอน คนที่มีอำนาจถูกเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ ตระกูลต่างๆผงาดขึ้นมาใหญ่และตกต่ำลงอยู่เป็นกิจวัตรประจำวัน


 


หานเซิ่นรู้สึกนับถือในความเด็ดขาดของอี๋ซา เมื่อเธอตัดสินใจแล้ว เธอก็เข้าควบคุมสังคมของรีเบททันที


 


ก่อนหน้านี้เธอขาดความแข็งแกร่งที่จะทำอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้เธอเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า เธอสามารถกำราบใครก็ตามที่กล้าขัดคำสั่งของเธอ เธอกลายเป็นผู้ปกครองแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งทำให้ปัญหาที่ซับซ้อนถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว


 


แต่ปัญหาอื่นก็เริ่มตามมา มันมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกภายในรีเบท และไม่มีใครพูดได้อย่างมั่นใจว่าอี๋ซาจะสามารถสมานฉันท์ทุกฝ่ายภายใต้การเผด็จการของเธอ


 


บางปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกำลังเพียงอย่างเดียว การครองบัลลังก์เป็นเพียงแค่ก้าวแรกของอี๋ซา เส้นทางข้างหน้าของเธอยังคงอีกยาวไกล


 


หานเซิ่นเชื่อมั่นในตัวอี๋ซา แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองของรีเบทมากนัก เขายุ่งอยู่กับการตรวจดูข้อมูลที่ได้รับมาจากกุนซือไวท์


 


เทคนิคของสำนักเสวียนเป็นอะไรที่ลึกซึ้งอย่างมาก และมันมีข้อมูลมากมายต้องศึกษา ซึ่งมันมากกว่าแค่วิชาจีโนไม่กี่ตัว เทคนิคบางอย่างที่หานเซิ่นอ่านอาจจะต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าที่จะเข้าใจอย่างแท้จริง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)