Super God Gene 2279-2290
ตอนที่ 2279
“อีกอย่างหนึ่ง ถึงข้าจะรู้ว่ามันมีเลือดนรกอยู่ในรูปปั้น แต่ข้าไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนกันแน่ และเนื่องจากเจ้ายังอ่อนแอ ข้าไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเจ้าจะทำความเสียหายกับมันได้หรือเปล่า นอกจากนั้นถึงข้าจะได้รับเลือดนรกมา โอกาสในการจะปลุกเลือดนรกในตัวของข้าก็ยังคงต่ำ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่ามันเป็นโอกาสหนึ่งในพันล้าน ถ้าเจ้ามีวิธีที่จะหนีไปล่ะก็ ข้าแนะนำให้เจ้าใช้มันซะตอนนี้” ขณะที่อี๋ซาพูดจบ ใบหน้าของเธอก็ซีดยิ่งกว่าเดิม
หานเซิ่นหันหน้าไปหารูปปั้น หลังจากนั้นเขาก็เปิดใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง
ถ้าเขาอยากจะมีชีวิตรอด เขาจำเป็นต้องพึ่งอี๋ซา และเขาก็ไม่อยากจะเห็นเธอตายเช่นกัน ถ้ามันมีหนทางที่จะช่วยชีวิตเธอและแก้ไขสถานการณ์ที่คับขันของเขาไปด้วย เขาก็อยากจะลองดู
เป็นอย่างที่อี๋ซาพูด มันอันตรายที่จะลองดู ถ้าพวกเขาล้มเหลว มันก็มีโอกาสสูงที่เขาจะตาย
และถ้าการโจมตีของหานเซิ่นไม่ได้ผล รูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็อาจจะโจมตีเขากลับ
โชคดีที่หานเซิ่นมีรังนกของอันดายอิ้งเบิร์ดไว้ใช้ป้องกันตัวเอง ด้วยโล่แบบนั้นเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
แถมเขายังมีกิเลนโลหิตอยู่ ถ้าเกิดพลังของเขาเองไม่สามารถทำลายร่างของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ พละกำลังของกิเลนโลหิตก็อาจจะทำได้
แต่ก่อนที่เขาจะสั่งให้กิเลนโลหิตโจมตี หานเซิ่นจำเป็นต้องหาตำแหน่งของเลือดนรกภายในรูปปั้นเฮลล์โกสต์ให้ได้ซะก่อน และเมื่อเขาหาตำแหน่งของมันได้แล้ว เขาก็ต้องทำให้แน่ใจว่ามันจะสำเร็จในการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพราะเขาไม่รู้ว่าจะได้รับโอกาสครั้งที่ 2 หรือเปล่า
ด้วยการวิเคราะห์ของวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง หานเซิ่นตรวจพบห่วงโซ่สสารที่ซับซ้อนอย่างมาก และพวกมันก็เป็นอะไรที่ยากจะเข้าใจได้ แต่หานเซิ่นไม่ได้อยากว่ารูปปั้นเฮลล์โกสต์ถูกสร้างขึ้นมายังไง ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือหาตำแหน่งที่มีเลือดนรกอยู่เท่านั้น
ด้วยการใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนและวิญญาณผีเสื้อเนตรม่วง ในที่สุดดวงตาของหานเซิ่นก็เป็นประกายขึ้นมา
“มันอยู่ตรงนั้น!”
เมื่อหานเซิ่นมองไปที่ระหว่างคิ้วของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ เขาก็สังเกตเห็นว่าห่วงโซ่สสารบริเวณนั้นหนาแน่นเป็นพิเศษ สสารสีม่วงหนาซะจนหานเซิ่นไม่สามารถหารอยต่อของพวกมันได้
“กิเลนโลหิต โจมตีไปตรงนั้น!” หานเซิ่นยกธันเดอร์ก็อตสไปค์ขึ้นและเล็งไปที่ระหว่างคิ้วของรูปปั้นเฮลล์โกสต์
กิเลนโลหิตแบกหานเซิ่นบนหลังขณะที่เรืองแสงสีแดงออกมา ลมปราณโลหิตหมุนเวียนเพื่อปกคลุมทั้งร่างกายของมัน มันปล่อยเสียงคำรามที่ดังกระหึ่มราวกับฟ้าร้องออกมา ก่อนที่จะกระโดดเข้าใส่ระหว่างคิ้วของรูปปั้นเฮลล์โกสต์
อี๋ซาประหลาดใจขณะที่มองดูหานเซิ่น เธออ่อนแอเกินกว่าที่จะเข้าร่วมได้ และเป็นตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งจะสังเกตเห็นอสูรที่หานเซิ่นกำลังขี่อยู่ เธอสามารถบอกได้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพ และมันก็ไม่ใช่แค่สิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพธรรมดาเช่นกัน มันเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตในระดับเดียวกัน
อี๋ซาประหลาดใจที่หานเซิ่นสามารถสั่งการสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้ ภาพนั้นทำให้เธอรู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
ซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่งที่แข็งแกร่งพอๆกับเธออาจจะทำให้รูปปั้นเฮลล์โกสต์แตกร้าวและนำเอาเลือกนรกออกมาได้สำเร็จ
ขณะที่อี๋ซากำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่นั้น กรงเล็บของกิเลนโลหิตก็ส่งการโจมตีที่โหดร้ายเข้าไปใส่ระหว่างคิ้วของรูปปั้น
แต่ทันใดนั้นรูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็ส่องสว่างแสงสีม่วงออกมา ก่อนที่หานเซิ่นและกิเลนโลหิตจะตอบสนองได้ทัน มืออีกข้างของมันก็จับตัวกิเลนโลหิตเช่นเดียวกับอี๋ซา เล็บที่แหลมคมของมันทิ่มเข้าไปในเนื้อหนังของกิเลนโลหิต
กิเลนโลหิตส่งเสียงกรีดร้องออกมา กรงเล็บของรูปปั้นเจาะทะลุเกล็ดของกิเลนโลหิตเข้าไปอย่างง่ายดาย
หานเซิ่นปลอดภัย เนื่องจากมือของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้จับตัวของกิเลนโลหิตเท่านั้น เขาร่วงกลับลงไปบนสะพานและมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ
เห็นได้ชัดว่าพลังของรูปปั้นเฮลล์โกสต์อยู่ในระดับเทพเจ้า เพราะแม้แต่กิเลนโลหิตก็ไม่สามารถขัดขืนมันได้ ไม่ว่าเจ้ากิเลนโลหิตจะพยายามดิ้นรนมากสักแค่ไหน มันก็ไม่หลุดออกมาจากกำมือของรูปปั้นเฮลล์โกสต์
การดิ้นรนมีแต่จะทำให้เล็บของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ฝังเข้าไปลึกยิ่งกว่าเดิม เลือดเริ่มไหลออกมามากขึ้น
อี๋ซาดูหดหู่ เธอประเมินความเหลี่ยมจัดของรูปปั้นต่ำเกินไป อี๋ซาคิดว่าเธอกำลังดึงความสนใจของรูปปั้นเฮลล์โกสต์มาที่ตัวเอง แต่ตอนนี้เธอรู้ตัวแล้วว่ารูปปั้นเฮลล์โกสต์มีพลังมากกว่าที่เธอคิดเอาไว้
“กิเลนโลหิตอย่าขยับ!” หานเซิ่นตะโกนบอกกิเลนโลหิตจากด้านล่าง
เมื่อได้ยินเสียงของหานเซิ่น เจ้ากิเลนโลหิตก็หยุดดิ้นรนและยอมปล่อยตัวเองไปกับความเจ็บปวด เมื่อกิเลนโลหิตหยุดขันขืน กรงเล็บของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็ดูเหมือนจะเบาบางลงไป
“บ้าเอ๊ย! ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว มันไม่ใช่เพราะอี๋ซาและกิเลนโลหิตแข็งแกร่งไม่พอ ที่รูปปั้นโจมตีพวกเขาเป็นเพราะพวกเขามีพลังนรกอยู่ในตัวเรียบร้อยแล้ว” หานเซิ่นมองดูร่างกายสีม่วงของตัวเอง
รูปปั้นเฮลล์โกสต์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันเป็นแค่รูปปั้นจริงๆ และภายในรูปปั้นก็มีเลือดนรกอยู่ นั่นเป็นแหล่งพลังของมัน แต่ในขณะที่มันมีพลังมาก มันก็ขาดสติปัญญาที่จะคิดทำอะไรด้วยตัวเอง มันเพียงแค่ทำตามที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้เท่านั้น
มันเป็นเพราะพลังนรกที่อยู่ภายในร่างกายของพวกเขาที่ทำให้รูปปั้นเคลื่อนไหว ถ้าหานเซิ่นใช้พลังของเขา พลังนรกที่ตอนนี้อยู่ภายในร่างกายของเขาก็จะทำงานและกระตุ้นให้รูปปั้นเฮลล์โกสต์ทำการเคลื่อนไหว
เหตุการณ์นั้นต่อเนื่องกันเหมือนกับโดมิโน่ นอกซะจากหานเซิ่นจะสามารถกำจัดพลังนรกจากตัวของเขาได้ แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้
และเมื่อพลังนรกแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของหานเซิ่นมากพอแล้ว รูปปั้นก็จะโจมตีเขา ถึงแม้เขาจะไม่ได้ลงมือทำอะไรก่อนเช่นเดียวกับอี๋ซา ในตอนที่อี๋ซาก้าวขึ้นมาบนสะพาน เธอไม่ได้จู่โจมรูปปั้นเฮลล์โกสต์ แต่ถึงอย่างนั้นรูปปั้นก็ยังจับตัวเธอ
ที่หานเซิ่นและกิเลนโลหิตไม่ได้กระตุ้นให้รูปปั้นเฮลล์โกสต์ทำการเคลื่อนไหวในตอนที่พวกเขาเดินเข้ามาใกล้ นั่นเป็นเพราะรังนกของอันดายอิ้งเบิร์ด ในตอนแรกหานเซิ่นคิดว่ารังนกไม่ได้มีผลอะไรต่อพลังนรก แต่จริงๆแล้วมันช่วยกำจัดพลังนรกบางส่วนไป นั่นเป็นเหตุผลที่หานเซิ่นและกิเลนโลหิตไม่ได้ถูกโจมตีในทันทีที่พวกเขามาถึง
หานเซิ่นรู้สึกปวดหัวขึ้นมา ปัญหามันไม่ใช่แค่การเอาเลือดนรกออกมาจากรูปปั้นอีกต่อไป แต่มันเป็นความจริงที่เขาไม่สามารถแตะต้องรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ด้วยซ้ำ ถ้าหานเซิ่นใช้พลังของเขาในระดับหนึ่ง พลังนรกที่สะสมในร่างกายของเขาก็จะทำงาน หลังจากนั้นรูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็จะโจมตีเขา
“ไปซะ” อี๋ซาเป็นคนฉลาด เธอเข้าใจถึงปัญหาเช่นเดียวกัน เมื่อร่างกายของเขาถูกพลังนรกเข้าแล้ว ความหวังทั้งหมดที่จะเอาชนะรูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็สูญสิ้นไป แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ถ้าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน
หานเซิ่นจ้องมองไปที่รูปปั้นเฮลล์โกสต์โดยไม่พูดอะไร เขาไม่อยากจะจากไปทั้งๆอย่างนั้น นอกจากเขาจะช่วยอี๋ซาไม่สำเร็จแล้ว ตอนนี้กิเลนโลหิตยังถูกจับตัวไปอีก ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่หานเซิ่นจะโยนผ้ายอมแพ้
หานเซิ่นถือธันเดอร์ก็อตสไปค์อยู่ในมือ ปีกบนหลังของเขากระพือและเทเลพอร์ตไปตรงหน้ารูปปั้นเฮลล์โกสต์ แต่ในจังหวะที่เขาเข้าใกล้ มือที่กำลังกำอี๋ซาเอาไว้ก็ฟาดใส่หานเซิ่น
ปัง!
หานเซิ่นใช้รังนกเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังถูกส่งกระเด็นออกไปและร่วงลงกระแทกกับพื้นที่แข็งของสะพาน ร่างกายของหานเซิ่นเป็นเหมือนกับอุกกาบาตที่ตกลงสู่พื้นโลก หานเซิ่นกระอักเลือดออกมาเต็มพื้นตรงหน้าของเขา
ตอนที่ 2280
เนื่องจากหานเซิ่นใช้พลังไปพอสมควร ทำให้พลังนรกในร่างกายปะทุขึ้นมา รูปปั้นเฮลล์โกสต์กระพือปีกของมัน มันบินขึ้นเหนือหัวหานเซิ่น หลังจากนั้นมันก็โฉบลงมาราวกับเหยี่ยว เท้าของมันยื่นออกมาเพื่อจะคว้าตัวหานเซิ่น
มันไม่มีทางที่เขาจะหลบหลีกได้ รูปปั้นเฮลล์โกสต์ถูกดึงเข้ามาหาพลังนรกในร่างกายหานเซิ่นราวกับเป็นแม่เหล็ก รูปปั้นโฉบลงมาและใช้กรงเล็บเท้าของมันจับตัวหานเซิ่น
เคร็ง!
กรงเล็บของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ปะทะเข้ากับรังนกและพยายามที่จะบดขยี้มัน แต่มันล้มเหลว
ด้วยการซ่อนตัวอยู่ภายใต้รังนก หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ถ้ารังนกทนต่อการโจมตีของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ล่ะก็ นั่นก็หมายความว่าเขายังมีโอกาสอยู่
บางทีการอยู่ใต้รังนกนั้นทำให้พลังนรกในร่างกายของหานเซิ่นสงบลง แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม รูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็ปล่อยรังนกและกลับไปที่จุดเดิมของมันบนเสากลางสะพาน
หานเซิ่นใช้เวลาคิดอยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังของกายหยกและชกหมัดออกไปใส่รูปปั้นเฮลล์โกสต์
พลังของวิชากายหยกดูจะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบสำหรับงานนี้ การใช้พลังนั้นจะไม่ไปกระตุ้นพลังนรกภายในตัวของหานเซิ่น บางทีเขาอาจจะหลีกเลี่ยงการปลุกรูปปั้นเฮลล์โกสต์ให้ตื่นได้
แต่ไม่นานความคิดนั้นก็ถูกพิสูจน์ว่าเป็นอะไรที่ไร้เดียวสา ทันทีที่หานเซิ่นปรากฏตัวหลังจากการเทเลพอร์ต เขาก็ถูกส่งกระเด็นออกไปอีกครั้ง โชคดีที่เขามีรังนกในการดูดซับแรงของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ เขาถึงหลีกเลี่ยงความตายมาได้
แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ดี
พลังเขี้ยว…วิชาผนึกมาร… วิชาเต่า… วิชามีดใต้นภา… วิชาดาบของไผ่เดียวดาย… พลังสายฟ้า…พลังไฟ…พลังน้ำแข็ง…
หานเซิ่นใช้พลังทั้งหมดที่เขาจดจำได้ แต่พวกมันทั้งหมดเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าเขาจะใช้พลังแบบไหน เขาก็ไม่สามารถสัมผัสรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ เฮลล์โกสต์ตบเขาทิ้งราวกับเป็นของเล่น ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของรังนก เขาก็คงจะถูกฆ่าไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว
และถึงจะมีการปกป้องจากรังนก แรงกระแทกกับสะพานก็ทำให้เขาบาดเจ็บอยู่ดี บาดแผลของเขาอาจจะไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่พวกมันก็ดูแย่มากๆ
“หยุดได้แล้ว ไปจากที่นี่ซะ!” อี๋ซาพูด เธอกำลังรู้สึกซับซ้อนด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
หานเซิ่นมีรังนกของอันดายอิ้งเบิร์ดในการป้องกันตัว ดังนั้นถึงมันจะมียอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนหนึ่งดักรอเขาอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าหานเซิ่นจะหนีไปไม่ได้ ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นกลับพยายามเสี่ยงเพื่อช่วยเธอออกไป นั่นทำให้อี๋ซารู้สึกซาบซึ้ง
อี๋ซาไม่ได้คิดว่าตัวเองปฏิบัติกับหานเซิ่นดีอะไรขนาดนั้น เธอเพียงแค่มอบทรัพยากรให้กับเขาเท่านั้น และเธอก็รับเขามาเป็นลูกศิษย์ เนื่องจากการเดิมพันที่เธอเคยทำเอาไว้กับหมอดูคนหนึ่ง มันเป็นตอนหลังที่เธอรับรู้ว่าการมีหานเซิ่นเป็นลูกศิษย์ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเลย
เมื่อเธอเห็นว่าตัวเองมีลูกศิษย์ที่พร้อมจะต่อสู้ในสถานการณ์ที่คับขันอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะไม่รู้สึกซาบซึ้ง
อี๋ซาไม่ได้คำนึงถึงว่าหานเซิ่นต้องการทำแบบนี้เพียงเพราะเขาไม่อยากจะสูญเสียความได้เปรียบไป หานเซิ่นไม่อยากจะสูญเสียทั้งอี๋ซากับกิเลนโลหิตระดับครึ่งเทพ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่อยากจะสูญเสียมากถึงขนาดนั้น
หานเซิ่นมีรังนกของอันดายอิ้งเบิร์ดอยู่ ดังนั้นเขาจะไม่ตายง่ายๆ นั่นเป็นเหตุผลที่เขายังพยายามต่อไป หานเซิ่นพยายามทุกวิถีทาง แต่ไม่มีพลังไหนที่สามารถเอาชนะพลังของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้
รูปปั้นเฮลล์โกสต์ตอบสนองต่อพลังนรกเป็นอย่างดี มันเป็นเหมือนกับเหตุและผล ถ้าหานเซิ่นมีพลังนรก มันก็หมายความว่าเขาจะถูกตบกระเด็นออกไป มันไม่มีความเป็นไปได้อย่างอื่น
และในทุกการโจมตี หานเซิ่นไม่สามารถสัมผัสหน้าผากของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้แม้แต่ครั้งเดียว การคิดเกี่ยวกับการเอาเลือดนรกออกมาจากหน้าผากของรูปปั้นเฮลล์โกสต์นั้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ เพราะเขาไม่สามารถทำได้
ขณะที่หานเซิ่นยังพยายามและถูกตบกระเด็นออกมา แม้แต่ชุดเกราะของเขาก็ถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดที่เขากระอักออกมา สีหน้าของอี๋ซาดูเจ็บปวด
รูปปั้นเฮลล์โกสต์ตบใส่หานเซิ่นอีกครั้งและส่งเขากระเด็นออกไปชนเข้ากับสะพาน แต่ครั้งนี้เขาซ่อนตัวอยู่ภายใต้รังนกไปสักพักหนึ่ง
“เจ้าตายแล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่ตาย ก็ไปจากที่นี่ซะ!” อี๋ซาตะโกนด้วยความโกรธ แต่ดวงตาของเธอระยิบระยับ
หานเซิ่นไม่เคลื่อนไหว เขายังคงซ่อนตัวอยู่ใต้รังนกเพื่อคิดเกี่ยวกับหนทางที่จะทำลายพลังนรกในตัวและการเชื่อมต่อระหว่างมันกับรูปปั้นเฮลล์โกสต์
“เราลองใช้พลังทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโจมตีไม่ถูกตัวมันเลยสักครั้ง อย่างเดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือร่างเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด ด้วยการใช้มัน เราจะขจัดพลังนรกและหลีกเลี่ยงการถูกทำร้ายโดยรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ แต่ถ้าเราทำแบบนั้น อี๋ซาก็จะรู้ว่าเราคือดอลลาร์ นี่มันแย่จริงๆ” หานเซิ่นรู้สึกกลุ้มใจ
หานเซิ่นไม่อยากเห็นอี๋ซาและกิเลนโลหิตถูกฆ่าตาย เขาจำเป็นต้องลองดู ถึงแม้มันจะมีโอกาสที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยก็ตาม
ขณะที่หานเซิ่นกำลังคิดอยู่นั้น อี๋ซาก็ตะโกนอีกครั้ง “หานเซิ่น เจ้าตายแล้วหรือยัง? ออกไปจากที่นี่ซะถ้าเจ้ายังไม่ตาย”
“ท่านราชินี ทำไมคนอย่างข้าถึงจะตายง่ายๆ? ท่านประเมินความโชคดีของลูกศิษย์คนนี้ต่ำเกินไปแล้ว” หานเซิ่นวางรังนกลงบนหัวเหมือนกับหมวกขณะที่พูดกับอี๋ซา
ร่างกายและใบหน้าของเขาอาบไปด้วยเลือด และด้วยรังนกบนหัว ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ มันก็ดูเป็นอะไรที่น่าตลกอยู่ดี
ริมฝีปากของอี๋ซาสั่น แต่หลังจากผ่านชั่วครู่ ดวงตาของเธอก็กลับมาดูเย็นชาอีกครั้ง เธอมองไปที่หานเซิ่น ริมฝีปากของเธอค่อยๆเปิดออกและพ่นใส่เขา
หยดเลือดหล่นลงมาหาหานเซิ่นราวกับสายฝน หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่แน่ใจว่าอี๋ซากำลังทำอะไร
ภายในหยดเลือดนั้น บางสิ่งหล่นลงบนสะพานตรงหน้าหานเซิ่น
เมื่อหานเซิ่นมองดูดีๆ เขาก็พบว่ามันเป็นเข็มเย็บผ้าสีแดง มันเบายิ่งกว่าเส้นผมและมันก็มีความยาวพอๆกับนิ้วมือ
“นี่คืออะไร?” หานเซิ่นหยิบมันขึ้นมา เขาคิดว่าอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเข็มเย็บผ้านี่ดูผิดไปจากปกติ
มันถูกทำขึ้นมาจากระดูกแทนที่จะเป็นโลหิต มันมีขนาดเล็กมากๆ แต่มันก็กลวงข้างใน มันเป็นเหมือนกับเข็มสำหรับฉีกยามากกว่าเข็มสำหรับเย็บผ้า
เมื่อหานเซิ่นยกเข็มกระดูกขึ้น เขาก็รู้สึกว่ามันปลุกพลังภายในร่างกายของเขา พลังงานในตัวของเขาเริ่มหมุนเวียน
ดวงตาของหานเซิ่นเบิกกว้าง พลังที่กำลังทำงานคือวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร ซึ่งเขาเพิ่งจะเรียนรู้มาเมื่อไม่นานมานี้
อี๋ซาพูด “สิ่งของส่วนใหญ่ที่ข้านำติดตัวมาถูกทำลายไปหมดแล้ว นี่คือสิ่งที่ข้าได้มาจากรูปปั้นที่ถูกทำลาย เอามันไปเป็นของที่ระลึกและไปจากที่นี่ซะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น จู่ๆหานเซิ่นก็ดูดีใจขึ้นมา “รูปปั้นที่ราชินีพูดถึง คือรูปปั้นที่อยู่ในการทดสอบด่านที่ 2 ใช่ไหม?”
“เลิกเสียเวลาสักที! ไปจากที่นี่ซะ! ถึงแม้ข้าจะตาย เจ้าก็ต้องชิงดาวเบลดกลับคืนมา ดูแลปราสาทของข้า ข้าไม่ต้องการให้ใครคนอื่นแตะต้องของของข้า” อี๋ซาพูด
ตอนที่ 2281
“ถ้าราชินีไม่ได้อยู่ที่นั่น มันคงจะไม่มีประโยชน์อะไรที่ข้าจะอยู่ในปราสาทต่อไป?” หานเซิ่นพูด
“นั่นเป็นธุระของข้า เจ้าแค่ต้องทำตามที่ข้าบอก” อี๋ซาพูด
หานเซิ่นยิ้มให้กับอี๋ซา “ข้าต้องขออภัยราชินีด้วย ข้าเป็นคนที่ชอบอิสรภาพ ข้าไม่ชื่นชอบที่จะอยู่ในที่ที่เดียวและคอยดูแลบางสิ่ง ท่านควรจะกลับไปดูแลปราสาทของท่านด้วยตัวเอง”
อี๋ซาตอบกลับรอยยิ้มของเขาด้วยรอยยิ้มของเธอ “ถ้าข้ากลับไปได้ ข้าก็คงจะไม่ฝากเจ้าหรอก?”
เธอกำลังจะพูดอะไรอย่างอื่นอีก แต่ทันใดนั้นหานเซิ่นก็แข็งทื่อไป เขาจ้องไปที่รูปปั้นเฮลล์โกสต์อย่างเอาจริงเอาจัง หลังจากนั้นเขาก็ขว้างเข็มออกไป
อี๋ซาถอนหายใจ เธอใช้เวลาอยู่นานในการศึกษาเกี่ยวกับเข็มกระดูกนั้น มันเกือบจะเป็นอะไรที่ไม่สามารถถูกทำลายได้ แต่เธอไม่รู้สึกถึงพลังอะไรที่สถิตอยู่
แต่อี๋ซาก็ดูตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเข็มกระดูกพุ่งเข้าไปหารูปปั้นเฮลล์โกสต์โดยไร้การขัดขวาง รูปปั้นเฮลล์โกสต์ตบหานเซิ่นร่วงลงไปกับพื้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่มันไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรต่อเข็มกระดูกเลยแม้แต่นิดเดียว มันเพียงแค่มองดูเข็มกระดูกพุ่งเข้ามาถูกหน้าผากของมัน
“นี่…นี่เป็นไปได้ยังไง…?” ดวงตาของอี๋ซาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อเข็มกระดูกเจาะเข้าไปในหน้าผากของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ เข็มก็ส่องแสงสีแดงออกมา มันส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆและไม่นานรูปปั้นเฮลล์โกสต์ก็เริ่มสั่นไหว เสียงแตกหักของหินเริ่มจะดังขึ้นให้พวกเขาได้ยิน
ปัง!
หลังจากนั้นรูปปั้นก็ถล่มลงมาเป็นชิ้นๆ ขณะเดียวกันอี๋ซาและกิเลนโลหิตก็ถูกปล่อยตัว พวกเขาร่วงลงมาบนสะพานที่อยู่ด้านล่างพร้อมกับเศษเล็กเศษน้อยของรูปปั้นที่หล่นลงมาพร้อมๆกับพวกเขา
กิเลนโลหิตได้รับบาดเจ็บ แต่มันไม่ได้สูญเสียพละกำลังไปมากมายอะไร มันพยุงตัวเองกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วและปลดปล่อยเมฆสีแดงประจำตัวของมันออกมารอบๆ
อี๋ซาอยู่ในสภาพปางตายและเลือดในร่างกายของเธอก็เกือบจะแห้งเหือด เธออ่อนแออย่างมากและไม่มีเรี่ยวแรงพอจะตอบสนอง
หานเซิ่นวิ่งเข้าไปรับเธอเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เธอล้มลงไปกระแทกกับสะพาน
“ราชินี ดูเหมือนท่านต้องกลับไปดูแลปราสาทด้วยตัวเองจริงๆ”
ลมปราณสีม่วงที่ปกคลุมทั้งสะพานหยกเริ่มจะเบาบางลงไป รูปปั้นยังคงถล่มลงมา อี๋ซาอยู่ในอ้อมแขนของหานเซิ่น ขณะที่เธอมองหานเซิ่นจากด้านล่าง เธอก็เริ่มจะรู้สึกแปลกๆ
เธอไม่เคยมองดูชายคนหนึ่งจากมุมต่ำมาก่อน เธอเป็นคนที่อยู่สูงกว่าเสมอ เธอไม่เคยรู้สึกถึงอะไรแบบนี้ และทันใดนั้นเธอก็เริ่มจะรู้สึกอ่อนแอยิ่งไปกว่าเดิม
ขณะที่ชิ้นสุดของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ร่วงลงมา ลมปราณสีม่วงที่ปกคลุมสะพานก็หายไปอย่างสมบูรณ์ หานเซิ่น กิเลนโลหิตและอี๋ซาเริ่มจะกลับสู่สภาพปกติอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขามองเห็นสะพานหยกอื่นที่อยู่รอบๆและเครื่องเทเลพอร์ตทั้ง 13 ตรงหน้าพวกเขา
แต่ทว่าราชินีจิ้งจอกและคนอื่นๆไม่อยู่แล้ว พวกเขาเดินทางผ่านเครื่องเทเลพอร์ตและออกไปจากปราสาทนี้แล้ว
เนื่องจากกิเลนโลหิตได้รับบาดเจ็บ หานเซิ่นจึงไม่ขึ้นขี่มัน เขายังคงอุ้มอี๋ซาอยู่ในอ้อมแขน ขณะที่เดินกลับออกไปจากสะพานหยก
“เจ้าจะไม่ไปเข้าเครื่องเทเลพอร์ตหรือยังไง?” อี๋ซาถามอย่างอ่อนแรง
“แน่นอนว่าข้าจะเข้าไป แต่ก่อนหน้านั้นข้าอยากจะลองเดินข้ามสะพานหยกอื่นๆก่อน” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
หานเซิ่นอยากจะเดินไปบนสะพานทั้ง 13 ด้วยเหตุผลง่ายๆอย่างเดียว เขาต้องการจะได้พลังของรูปปั้นแต่ละรูป
หลังจากที่อี๋ซามอบเข็มกระดูกให้กับเขา เขาก็รู้สึกตัวว่าเข็มกระดูกเป็นสมบัติซีโน่เจเนอิคที่เอาไว้ใช้ร่วมกับวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร ถ้าเขาใช้วิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรด้วยตัวมันเอง เขาจำเป็นต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ซะก่อน เขาไม่สามารถใช้วิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรเพื่อขโมยโลหิตชีพจรของคู่ต่อสู้ไปได้จนกว่าคู่ต่อสู้จะไม่เหลือพลังพอที่จะต่อต้าน
ในการต่อสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งนั้น มันมีโอกาสสูงที่หานเซิ่นจะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ในเวลาแบบนั้นวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรก็จะไร้ประโยชน์
แต่ด้วยเข็มกระดูกนี้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หานเซิ่นสามารถอาบเข็มกระดูกด้วยพลังของวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร หลังจากนั้นเขาก็จะสามารถใส่เข็มเข้าไปในร่างกายของคู่ต่อสู้ เข็มกระดูกนั้นจะทำการขโมยโลหิตชีพจรของคู่ต่อสู้แทนเขา หานเซิ่นจำเป็นแค่ต้องแทงเข็มนั่นเข้าไปในร่างของศัตรู
แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเข็มกระดูกก็ไม่ได้ทรงพลังอะไร หานเซิ่นยังคงต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อแทงมันเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย แต่การแทงเข็มเข้าไปในตัวศัตรูก็ยังเป็นอะไรที่ง่ายกว่าการต้องเอาชนะคู่ต่อสู้อยู่ดี
รูปปั้นบนสะพานหยกทั้ง 13 ถูกเตรียมเอาไว้สำหรับการใช้วิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรร่วมกับเข็มกระดูก เข็มกระดูกนั้นสามารถแทงทะลุเข้าไปในรูปปั้นได้อย่างง่ายดายและช่วงชิงเอาโลหิตชีพจรที่ซ่อนอยู่ภายในพวกมันมา หานเซิ่นแค่จำเป็นต้องทำแบบเดียวกันกับที่ทำกับรูปปั้นเฮลล์โกสต์
ถึงมันจะเป็นแค่หนึ่งหยด แต่มันก็เป็นโลหิตชีพจรพลังนรก และมันก็เป็นพลังระดับเทพเจ้าอีกด้วย
มันยังมีบางสิ่งที่เหมือนๆกันบนสะพานหยกอีก 12 สะพาน ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่คิดจะพลาดโอกาสนี้ไป
หานเซิ่นเปลี่ยนตำแหน่งและแบกอี๋ซาบนหลังแทน เขาเดินขึ้นไปบนอีกสะพานหยกหนึ่งและมันก็เป็นอย่างที่เขาคาดคิด เมื่อเขาไปถึงรูปปั้นที่อยู่ใจกลางสะพานและใช้เข็มกระดูกเพื่อขโมยโลหิตชีพจรที่อยู่ภายในรูปปั้น รูปปั้นก็จะถล่มลงมาและสะพานก็จะสูญเสียการป้องกันไป มันกลายเป็นเพียงแค่สะพานหยกธรรมดาๆ
หานเซิ่นเดินไปบนสะพานที่เหลือและชิงเอาโลหิตชีพจรจากรูปปั้นแต่ละรูป อี๋ซาประหลาดใจอย่างมาก เธอไม่รู้เลยว่าทำไมเข็มกระดูกถึงได้ทรงพลังนักเมื่อไปอยู่ในมือหานเซิ่น
อี๋ซาเก็บเข็มกระดูกมาเพราะคิดว่ามันเป็นของล้ำค่า แต่เธอไม่รู้เลยว่าเข็มกระดูกจำเป็นต้องใช้ควบคู่กับวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร เธอไม่ได้เรียนรู้วิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรเหมือนอย่างหานเซิ่น ดังนั้นนอกจากความทนทานของมันแล้ว เข็มกระดูกก็ไม่มีประโยชน์อะไรอย่างอื่นเมื่ออยู่ในมือของเธอ
รูปปั้นของผู้นำเซเคร็ดถูกทำลายไปด้วยเหตุผลบางอย่าง ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้รับเข็มกระดูกมาด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้อี๋ซาเลือกจะมอบมันให้กับหานเซิ่น
ผู้นำของเซเคร็ดได้ตั้งด่านทดสอบเอาไว้พร้อมกับทิ้งบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในทุกการทดสอบ สิ่งต่างๆที่ถูกทิ้งเอาไว้เชื่อมต่อกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หานเซิ่นยังคิดไม่ออก แผนการที่แท้จริงของผู้นำเซเคร็ดนั้นยังคงเป็นปริศนา
เงินไซซี วิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร เข็มกระดูก พลังของโลหิตชีพจรทั้ง 13 พวกมันต่างก็เป็นสมบัติที่หายากและล้ำค่าทั้งนั้น สมบัติของผู้นำเซเคร็ดเหล่านั้นถูกมอบผ่านการทดสอบของเขา แต่ยังไม่มีใครรู้สึกตัวว่าสมบัติของผู้นำเซเคร็ดเป็นอะไรที่น่ากลัวถึงเพียงไหน
“ราชินี ท่านกลัวเข็มไหม?” หานเซิ่นถามอี๋ซา
อี๋ซาดูตกใจ เธอไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่ายังไง
“ข้ากำลังถามว่าท่านกลัวการถูกทิ่มด้วยเข็มหรือเปล่า?” หานเซิ่นกระพริบตาและถามอีกครั้ง
“เจ้าจะทิ่มข้าอย่างนั้นหรอ?” อี๋ซามองไปที่หานเซิ่น
หานเซิ่นยกเข็มกระดูกของเขาขึ้นขณะที่ยิ้มให้กับอี๋ซา “หลับตาถ้าท่านกลัว มันจะเจ็บเพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น”
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ทิ่มเข็มกระดูกเข้าไปที่อกของอี๋ซา หยดเลือดของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ไหลออกมาและรวมเข้ากับเลือดของอี๋ซา
ถ้าหานเซิ่นต้องการจะอยู่รอด เขาจำเป็นต้องกำจัดราชินีจิ้งจอก และนอกจากจะเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้าเหมือนกัน มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ราชินีจิ้งจอกจะพ่ายแพ้
ถึงแม้หานเซิ่นจะใช้โลหิตชีพจรระดับเทพเจ้าที่ได้รับมา พลังที่แท้จริงของเขาก็ไม่ใช่ระดับเทพเจ้าอยู่ดี แต่ทว่าอี๋ซาต่างออกไป เธออยู่ห่างจากการเป็นระดับเทพเจ้าเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น การได้รับโลหิตชีพจรของรูปปั้นเฮลล์โกสต์จะช่วยผลักดันเธอสู่การเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า นี่เป็นโอกาสดีที่พวกเขาจะชิงสมบัติของผู้นำเซเคร็ดมาครอบครอง
ตอนที่ 2282
โลหิตชีพจรของรูปปั้นเฮลล์โกสต์เข้าไปในร่างกายของอี๋ซา ทันใดนั้นลมปราณสีม่วงก็ระเบิดออกมาจากร่างของอี๋ซา มันแข็งตัวกลายเป็นโซ่สสารสีม่วงและพันรอบตัวเธอ
ทุกอย่างที่เธอมีไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ ชุดเกราะและสิ่งของอื่นถูกทำลายจนไม่เหลืออะไร ขณะที่โซ่สสารพันรอบๆตัวของเธอ ร่างกายที่เหยียดยาวของอี๋ซาก็คดตัวเป็นลูกบอลเหมือนกับลูกอ่อนในครรภ์
เมื่ออี๋ซาถูกห่อหุ้มอย่างปลอดภัยภายในรังไหมสีม่วงแล้ว ทุกอย่างก็เงียบลงไป
…
ภายในปราสาทขนาดใหญ่ ราชินีจิ้งจอก กุนซือไวท์และครามเดินทางต่อไปข้างหน้า แต่จู่ๆราชินีจิ้งจอกก็หยุดเดิน เธอหันมองไปรอบๆและพูด
“กุนซือไวท์ นี่เป็นเส้นทางที่ถูกต้องแน่หรอ? พวกเราเดินทางมาตั้งนานแล้ว แต่ทำไมพวกเรายังอยู่ในปราสาทแห่งเดิม?”
กุนซือไวท์ค่อยๆพูด “นี่จะต้องเป็นด่านทดสอบที่ 4 ของที่นี่ พวกเราจำเป็นต้องผ่านที่นี่เพื่อไปถึงสถานที่เก็บสมบัติ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะผ่านที่นี่ไปได้ยังไง?” ราชินีจิ้งจอกถามกุนซือไวท์
“ปราสาทนี้ดูเหมือนจะมีพลังธาตุอวกาศคอยป้องกันอยู่ พลังของข้าอ่อนแอเกินไปในที่แห่งนี้ และข้ากลัวว่าอาจจะทำลายการป้องกันไม่ได้ บางทีนี่เป็นบางสิ่งที่ท่านจำเป็นต้องทำ” กุนซือไวท์พูดหลังจากที่ครุ่นคิด
“และข้าจะทำได้ยังไง?” ราชินีจิ้งจอกถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“จากการคำนวณของข้าแล้ว พวกเราต้องเริ่มจากตรงนี้” กุนซือไวท์ชี้ไปที่เสาหินเสาหนึ่ง
ราชินีจิ้งจอกมองไปที่เสาหินและส่งเสียงโอดโอยอย่างไม่ค่อยพอใจ เธอไม่เคลื่อนไหว
…
หานเซิ่นจ้องมองอี๋ซาด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ กระบวนการวิวัฒนาการเป็นไปได้ด้วยดีกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้
โลหิตชีพจรของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ปลุกเลือดของราชาเฮลล์ภายในร่างกายเธอให้ตื่นขึ้นมา พวกมันผสานเข้ากับอี๋ซาที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว และเธอก็วิวัฒนาการสู่ระดับเทพเจ้าได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลย
ในตอนที่ออกมาจากรังไหม อี๋ซาออกมาพร้อมกับชุดเกราะสีม่วง ตัวตนที่โอ่อ่าของเธอบดบังทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัว ราวกับว่าเธอเป็นราชินีของทั้งจักรวาล
“ถ้าเจ้ากล้าไปบอกใครเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้า” อี๋ซาจ้องไปที่หานเซิ่นขณะที่พูด
“ราชินี ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” หานเซิ่นกระพริบตาอย่างไร้เดียงสา แต่ลึกในใจเขากำลังคิดกับตัวเอง
‘ผู้หญิงนี่แปลกจริงๆ เมื่อครู่เธอยังขอร้องที่จะได้วิวัฒนาการเป็นเทพเจ้าอยู่เลย แต่ตอนนี้หลังจากที่เธอกลายเป็นระดับเทพเจ้าแล้ว เธอก็ยังคงไม่พอใจ! นี่เธอสนใจเรื่องเล็กน้อยอย่างการถูกเห็นร่างกายที่เปื่อยเปล่าจริงๆอย่างนั้นหรอ? ร่างกายที่เปื่อยเปล่าของเธอดูดีจะตาย ทำไมเธอต้องโมโหด้วย?’
อี๋ซาจ้องมองหานเซิ่นเพียงครู่เดียว ก่อนที่เธอจะหันไปอย่างเงียบๆและมองไปที่เครื่องเทเลพอร์ตทั้ง 13 หลังจากนั้นเธอก็พูด
“เจ้าคิดว่าพวกเราจะใช้เครื่องเทเลพอร์ตไหน?”
เห็นได้ชัดว่าอี๋ซาไม่ถนัดในเรื่องแบบนี้ ดูเหมือนเธอจะฝ่าเข้ามาถึงที่นี่ด้วยการลองผิดลองถูก
“ข้าเองก็ไม่ถนัดในการค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องเช่นกัน แต่ถ้าให้ข้าเดา ข้าคิดว่าพวกเขาใช้เครื่องเทเลพอร์ตที่ปลายสะพานแห่งชีวิตและความตาย แต่ถึงพวกเราจะเลือกได้อย่างถูกต้องในครั้งนี้ พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่ออยู่ดี พวกเราต้องลองดูทุกเส้นทางที่พวกเราเจอ”
หานเซิ่นหยุดคิดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อ “ราชินี ท่านมาไกลถึงที่นี่ตั้งแต่แรกได้ยังไงกัน?”
อี๋ซาคิดและพูด “ข้าเข้าร่วมกับหน่วยอัศวินไอซ์บลู ในตอนที่ข้ากำลังสำรวจดวงดาวหนึ่งร่วมกับกลุ่มของอัศวิน พวกเราได้ไปปลุกให้ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่เรียกว่าอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งโดยไม่ตั้งใจ ข้าถูกมันกลืนกินเข้าไป”
“ในตอนแรกข้าคิดว่าจะต้องตาย ข้าถูกกลืนกินเข้าไป และข้ารู้ว่ากระเพาะของมันย่อยได้ทุกอย่าง แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าก็ถูกย่อยสลายภายในนั้น ในตอนที่ข้าสูญเสียความหวังทั้งหมดนั้น ข้าพบร่องแคบที่ทำให้ข้าหนีออกจากกระเพาะของมันได้ หลังจากเดินทางผ่านถ้ำมากมายและผ่านรูปปั้นที่ถูกทำลาย ข้าได้เข้ามาในปราสาทแห่งหนึ่ง มันคงจะเป็นหนึ่งในปราสาทที่อยู่บนหลังของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่ง”
“เดี๋ยวก่อนนะ ท่านจะบอกว่าท่านไม่ได้เป็นคนที่ทำลายรูปปั้นของผู้นำเซเคร็ดอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามอี๋ซาด้วยความตกใจ
“แน่นอนว่าไม่! พลังของข้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำลายอะไรในที่แห่งนี้” อี๋ซาพูด
“ถ้าท่านไม่ได้เป็นคนทำลายรูปปั้น นั่นก็หมายความว่ามีใครบางคนเข้ามาในนี้ก่อนหน้าท่าน ร่องแคบในกระเพาะของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งเองก็อาจจะเป็นฝีมือของเขาเช่นกัน” หานเซิ่นพูดขณะที่ครุ่นคิด
อี๋ซาพยักหน้า “มันก็เป็นไปได้ และเขาก็อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในนี้”
“อะไรที่ทำให้ท่านคิดแบบนั้น?” หานเซิ่นถามอย่างสงสัย
“ร่องแคบๆในกระเพาะของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งอยู่ได้ไม่นาน ด้วยความรวดเร็วในการพื้นตัวของมัน บาดแผลคงจะสมานตัวในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์” อี๋ซาพูด
หานเซิ่นขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นเขาก็อาจจะยังอยู่ในนี้จริงๆ แต่ทำไมเขาถึงไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย? ถ้าเขาอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องทิ้งร่องรอยบางอย่างที่จะชี้ไปถึงตัวตนของเขาบ้าง แต่นอกจากรูปปั้นที่ถูกทำลายแล้ว ร่องรอยอื่นถูกทิ้งเอาไว้โดยท่านถูกไหม?”
อี๋ซาพยักหน้าและพูด “ใช่ ในตอนที่ข้าสำรวจที่นี่ ข้าไม่เห็นร่องรอยของใครคนอื่นเลย”
“ถ้าเขาเป็นคนที่ทำลายรูปปั้น มันก็แปลกที่เขาไม่เอาเข็มกระดูกที่อยู่ข้างในไป นี่เขาสะเพร่าถึงขนาดที่ไม่หาว่ามีอะไรซ่อนอยู่ข้างในเลยอย่างนั้นหรอ? ยอดฝีมือที่ทรงพลังจะสะเพร่าถึงขนาดนั้นได้ยังไงกัน? มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด” หานเซิ่นพูด
อี๋ซาถอนหายใจ “บางทีเขาอาจจะไม่สนใจเกี่ยวกับสิ่งของภายในสถานที่แห่งนี้?”
หานเซิ่นอึ้งกับคำพูดของอี๋ซา แต่เมื่อเขาลองคิดดูดีๆ มันก็สมเหตุสมผล
“นั่นอาจจะเป็นไปได้! เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งพอจะสร้างรูภายในกระเพาะของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่ง บางทีเป้าหมายของเขาอาจจะมีแค่สมบัติสุดท้ายของผู้นำเซเคร็ดเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเรา”
หานเซิ่นเดินไปบนสะพานแห่งชีวิตและความตาย เมื่อพวกเขามาถึงประตูแห่งแสงและเดินผ่านไป เครื่องเทเลพอร์ก็ส่งพวกเขามาที่ปราสาทแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนกับปราสาทอื่นๆ มันมีห้องโถงหลักด้านหน้า ห้องโถง 2 ข้างและห้องโถงอีกห้องด้านหลัง รวมทั้งหมดแล้วมันมีเครื่องเทเลพอร์ตที่แตกต่างกัน 4 เครื่องด้วยกัน
หานเซิ่นมองไปรอบๆและพูด “ข้าคิดว่าพวกเขาออกไปโดยใช้ห้องโถงด้านหลัง”
“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้ยังไง?” อี๋ซาถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าเห็นออร่าที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยร่างกายของพวกเขา” หานเซิ่นอธิบายอย่างง่ายๆ แต่เขาคิดว่ามันดูน่าสงสัย
ยิ่งคนๆหนึ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหน มันก็เป็นไปได้น้อยลงที่พวกเขาจะทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ และร่องรอยก็จะไม่อยู่ไปตลอด กุนซือไวท์และคนอื่นๆไปจากที่นี่เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติมันควรจะเป็นเรื่องยากที่หานเซิ่นจะสัมผัสได้ถึงร่องรอยที่พวกเขาทิ้งเอาไว้
ในความจริงแล้วหานเซิ่นไม่เห็นร่องรอยของราชินีจิ้งจอกหรือครามเลย แต่เขาเห็นโมเลกุลที่กุนซือไวท์ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
‘บางทีกุนซือไวท์อาจจะทิ้งร่องรอยของเขาเอาไว้อย่างจงใจ?’
หานเซิ่นคาดเดากับตัวเอง ‘แต่เขารู้ได้ยังไงว่าเราจะรอดมาได้? และทำไมเขาต้องทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้เรา หรือว่าทั้งหมดนี่จะเป็นแค่กับดัก?’
ตอนที่ 2283
หานเซิ่นและอี๋ซาไม่สามารถทำการคำนวณเพื่อหาเส้นทางที่ถูกต้องได้ แต่แทนที่จะเดินไปมั่วๆ พวกเขาตามร่องรอยที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยกุนซือไวท์
หานเซิ่น อี๋ซาและกิเลนโลหิตตามรอยกุนซือไวท์ผ่านเข้าประตูเครื่องเทเลพอร์ตแต่ละประตูไป หานเซิ่นเป็นคนนำทาง โชคดีที่พวกเขาไม่พบอันตรายอะไรระหว่างทาง
พวกเขาเดินผ่านปราสาทไปมากมายและการเดินทางของพวกเขาก็ยังเป็นอะไรที่เงียบสงบ มันเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยตลอดเส้นทาง
“นี่กุนซือไวท์มีแผนจะทำอะไรกันแน่?” หานเซิ่นสงสัย เขาไม่รู้ว่าทำไมกุนซือไวท์ถึงเสี่ยงทำอะไรแบบนี้
มันไม่สมเหตุสมผลที่กุนซือไวท์จะเชื่อว่าหานเซิ่นจะต่อกรกับราชินีจิ้งจอก และมันก็ดูไม่เหมือนว่ากุนซือไวท์จะทิ้งร่องรอยเอาไว้เบื้องหลังเพียงเพื่อจะสร้างปัญหาให้กับราชินีจิ้งจอก
ด้วยการใช้ร่องรอยที่กุนซือไวท์ทิ้งเอาไว้เป็นตัวนำทาง หานเซิ่นและอี๋ซาเดินทางได้อย่างรวดเร็ว มันใช้เวลาเพียงไม่นานก่อนที่พวกเขาจะมาถึงด่านทดสอบด่านที่ 4
สิ่งที่เห็นทำให้ทั้งหานเซิ่นและอี๋ซาขมวดคิ้ว ห้องโถงนั้นถล่มไปครึ่งหนึ่ง เสาที่ถูกทำลายและเศษซากของเพดานกระจัดกระจายไปทั่ว
หานเซิ่นมองไปรอบๆห้องโถง แต่เขาไม่พบรูปปั้นของผู้นำเซเคร็ด มันไม่มีอะไรที่ดูพิเศษอยู่ที่นั่น
“ดูเหมือนราชินีจิ้งจอกจะผ่านด่านทดสอบด่านนี้ไปได้” หานเซิ่นพูดเมื่อพบว่าภายในปราสาทไม่มีอะไรที่น่าสนใจ
“ผู้นำเซเคร็ดทิ้งอะไรเอาไว้ที่นี่กัน? แต่ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม ราชินีจิ้งจอกคงจะเก็บมันไปแล้ว” หานเซิ่นขมวดคิ้ว
สิ่งของทุกอย่างที่ผู้นำของเซเคร็ดทิ้งเอาไว้นั้นเชื่อมต่อกัน ถ้าพวกเขาพลาดสิ่งของชิ้นหนึ่งไป พวกเขาก็อาจจะเจอเข้ากับปัญหาในหนทางข้างหน้า
หานเซิ่นและอี๋ซาไม่มีทางเลือกนอกจากเดินทางต่อไป แต่เมื่อพวกเขาผ่านเครื่องเทเลพอร์ตออกมา สิ่งที่เห็นก็ทำให้พวกเขาตกตะลึง
พวกเขาไม่ได้มาถึงที่ปราสาทอีกแห่งหนึ่ง เมื่อพวกเขาก้าวออกมาจากเครื่องเทเลพอร์ต พวกเขาก็พบว่าตัวเองอยู่บนชายหาดของมหาสมุทรที่ไม่มีที่สิ้นสุด
อันเดอร์โอเวอร์แบริ่งนั้นใหญ่โตเหมือนกับดวงดาวดวงหนึ่ง ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกใจอะไรที่จะได้เห็นมหาสมุทรบนตัวของมัน แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้หานเซิ่นหดหู่อยู่ดี
กุนซือไวท์และคนอื่นๆคงจะข้ามมหาสมุทรไปแล้ว แต่ลมของมหาสมุทรนั้นทำลายร่องรอยทั้งหมดของกุนซือไวท์ไป
“มันเป็นมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ข้ากลัวว่าอาจจะเป็นอะไรที่ยากเกินไปถ้าจะหาตำแหน่งของกุนซือไวท์และคนอื่นๆ” หานเซิ่นพูดด้วยความเศร้าใจ
อี๋ซามองไปรอบๆ หลังจากที่คิดอยู่สักครู่ เธอก็พูดขึ้นมา “นี่อาจจะเป็นสถานที่ที่ผู้นำของเซเคร็ดซ่อนสมบัติเอาไว้ บางทีพวกเขาอาจจะยังไปได้ไม่ไกล แต่พวกเขาสำรวจที่ไหนสักไหนใต้น้ำทะเล”
หานเซิ่นคิดถึงความเป็นไปได้นี่เช่นกัน แต่ถ้าสมบัติซ่อนอยู่ในน้ำจริงๆ การจะหากุนซือไวท์และคนอื่นก็จะเป็นอะไรที่ยากขึ้นอีก
“ข้าคิดว่าพวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลองหาดู” หานเซิ่นพูด
อี๋ซาพยักหน้าและลงไปในน้ำทะเล ร่างกายของเธอปลดปล่อยควันสีม่วงออกมา และเมื่อควันสีม่วงสัมผัสกับน้ำทะเล น้ำทะเลก็เปิดทางให้กับเธอ
หานเซิ่นและกิเลนโลหิตเดินทางไปข้างๆอี๋ซา พวกเขาตรงเข้าไปในทะเลลึก ขณะที่ห้อมล้อมไปด้วยอาณาเขตทรงกลมรอบๆตัวอี๋ซา
ควันสีม่วงของอี๋ซาป้องกันไม่ให้น้ำเข้ามาในระยะสิบเมตร ขณะที่พวกเขาดำลึกลงไปในมหาสมุทร
พวกเขาเดินทางลึกลงไปในทะเลกว่าหนึ่งร้อยไมล์ และในช่วงเวลานั้นพวกเขาไม่ได้เห็นหรือได้ยินสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มันดูเหมือนกับมหาสมุทรร้างที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
แต่ทันใดนั้นก็มีเงามืดขนาดใหญ่เคลื่อนไหวภายในน้ำ อี๋ซาหยุดเคลื่อนไหวและมองไปที่เงามืดขนาดใหญ่ในทะเล
เงามืดกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว หานเซิ่นเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้เมื่อเห็นว่าเงามืดนั้นคืออะไร
มันคือซีโน่เจเนอิคขนาดใหญ่ยักษ์ที่ดูเหมือนกับวาฬ ร่างกายของมันมีสีขาวบริสุทธิ์
วาฬขาวมีความยาวกว่าหนึ่งพันเมตร และทุกการเคลื่อนไหวจะส่งคลื่นทะเลออกไปในทุกทิศทาง กระแสน้ำวนมากมายผุดขึ้นมารอบๆตัวของมัน
“สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า” อี๋ซาพูด
“ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าร่างกายของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งจะเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าตัวอื่น ข้ากลัวว่านอกจากผู้นำของเซเคร็ดแล้ว มันไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นที่จะทำอะไรแบบนั้นได้” หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา
วาฬขาวขนาดใหญ่สังเกตเห็นพวกเขาทั้ง 3 เพราะยังไงซะมันก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นในมหาสมุทรแห่งนี้ นั่นทำให้ตัวตนของพวกเขาเป็นที่สังเกต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอี๋ซาและกิเลนโลหิต หนึ่งในพวกเขาเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า ส่วนอีกคนเต็มไปด้วยลมปราณโลหิต มันเป็นเรื่องยากที่จะไม่สังเกตเห็นตัวตนของพวกเขา
เมื่อวาฬขาวอยู่ห่างจากพวกเขาไปหนึ่งพันเมตร มันก็อ้าปากและปลดปล่อยคลื่นเสียงออกมา ในขณะเดียวกันปากของมันก็สร้างแรงดูดที่ทรงพลัง กระแสน้ำวนขนาดใหญ่มากมายก่อตัวขึ้นมาภายในน้ำ พวกมันดูดทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณรอบๆเข้าไปในกระเพาะของเจ้าวาฬ
ก้อนควันลมปราณสีม่วงของอี๋ซาเริ่มจะไหลเข้าไปหาวังวนนั้น และอาณาเขตที่ทรงกลมของพลังลมปราณก็เริ่มจะรู้สึกได้ถึงแรงดูดนั้น ลมปราณสีม่วงถูกดึงไปในทิศทางของปากของวาฬขาว
อี๋ซาขมวดคิ้ว เธอใช้มือของเธอเป็นเหมือนกับมีด และลมปราณสีม่วงก็ก่อตัวขึ้นเป็นมีดลมปราณขนาดใหญ่ เธอยกมือขึ้นเหนือหัวและฟันออกไป
มีดลมปราณพุ่งตรงเข้าไปหาวาฬขาว มันตัดผ่านวังวนที่เจ้าวาฬขาวสร้างขึ้นมา และมีดลมปราณสีม่วงก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น มันพุ่งต่อไปที่หัวของวาฬขาว
เจ้าวาฬขาวตัวใหญ่ไม่ได้แสดงท่าที่ว่ามันจะหลบหลีกการโจมตีที่เข้ามา มันอ้าปากกว้างและภายในปากของมันก็ดูเหมือนกับหลุมดำ พลังดูดของมันเพิ่มสูงขึ้น และมันก็กลืนกินมีดลมปราณของอี๋ซาเข้าไปอย่างง่ายดาย
เจ้าวาฬขาวกลืนมีดลมปราณของเธอเข้าไปทั้งๆอย่างนั้น ก่อนที่มันจะส่งเสียงเรอออกมาอย่างพึงพอใจ หลังจากนั้นมันก็ปล่อยลมออกมาเพื่อสร้างฟองสบู่จำนวนมากในมหาสมุทร
หานเซิ่นตกตะลึง อี๋ซาเพิ่งจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า และเธอก็เต็มไปด้วยพลังนรก เธอยังมีวิชามีดเขี้ยวดาบอีก พรสวรรค์ของเธอเป็นอะไรที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่เผ่าพันธุ์มากมาย และความสามารถในการทำลายล้างของเธอก็เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่ทว่าเจ้าวาฬขาวนั้นกลืนกินการโจมตีของเธอเข้าไปอย่างง่ายดาย พลังที่วาฬขาวมีอยู่เป็นอะไรที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
อี๋ซาขมวดคิ้ว โซ่สสารสีม่วงลอยขึ้นจากร่างกายของเธอและเริ่มจัดกันเป็นแนว พวกมันสร้างมีดลมปราณสีม่วงขึ้นรอบๆร่างกายของอี๋ซา
ร่างกายทั้งร่างของอี๋ซาในตอนนี้เต็มไปด้วยจิตแห่งมีด มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าในตอนนี้ตัวเธอเองเป็นมีดที่สามารถทำลายทุกสิ่งได้ทุกเมื่อ
อี๋ซาเพิ่มพลังของเธอจนถึงจุดสูงสุด แต่เจ้าวาฬขาวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลัว มันอ้าปากและพลังหลุมดำก็กลับมาอีกครั้ง มันดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในปากของมัน ทรายและน้ำกลิ้งเข้าไปข้างในราวกับว่าพวกมันถูกดึงเข้าไปในหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง
เมื่อเห็นเจ้าวาฬขาวตัวใหญ่อ้าปากของมันอีกครั้ง อี๋ซาก็ตะโกนอย่างเย็นชา แขนของเธอฟันออกไปที่เจ้าวาฬขาว
มีดลมปราณสีม่วงที่เหมือนกับปีศาจพุ่งเข้าไปหาวาฬขาวอีกครั้ง มันตัดผ่านทุกสิ่งทุกอย่างและทิ้งร่องรอยของการทำลายล้างเอาไว้
มีดลมปราณสีม่วงและหลุมดำของวาฬขาวตัวใหญ่ปะทะซึ่งกันและกัน หลุมดำถูกทำลายและมีดลมปราณสีม่วงก็แตกสลายเช่นกัน คลื่นกระแทกของการปะทะกันนั้นระเบิดออกรอบทิศทางจนเกิดเป็นคลื่นขนาดยักษ์บนผิวน้ำ มันเหมือนกับว่าทั้งมหาสมุทรกำลังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
แต่พลังของทั้ง 2 ฝ่ายนั้นสมดุลกัน และไม่มีฝ่ายไหนที่เหนือกว่า
วินาทีต่อมา ดวงตาของอี๋ซาและหานเซิ่นก็เบิกกว้าง ปากของวาฬขาวยังคงอ้าอยู่ และทันใดนั้นก็มีบางสิ่งออกมาจากปากของมัน มันครอบอี๋ซา หานเซิ่นและกิเลนโลหิต หลังจากนั้นมันก็ดึงพวกเขาเข้าไปในท้องของวาฬขาว
ตอนที่ 2284
หานเซิ่น อี๋ซาและกิเลนโลหิตถูกครอบด้วยระฆังทองแดงขนาดใหญ่ โซ่สสารสีม่วงของอี๋ซากลายเป็นมีดลมปราณ เธอสะบัดมือเพื่อฟันใส่ผิวของระฆัง แต่มันก็แค่ทำให้มีเสียงดังขึ้นมาเท่านั้น
“ระฆังนี่คืออะไรกัน? ทำไมมันถึงมาอยู่ในท้องของวาฬขาวได้? นี่ซีโน่เจเนอิคใช้งานสมบัติซีโน่เจเนอิคได้ด้วยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นแปลกใจ
เคร๊ง!
ระฆังร่วงลงไปบนอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นมันก็หยุดเคลื่อนไหว อี๋ซายังคงฟันใส่ระฆังด้วยมีดลมปราณ แต่ทันใดนั้นระฆังก็ยกตัวเองขึ้นจากพวกเขา มันบินไปด้านข้างและปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ
อี๋ซาใช้พลังของเธอห่อหุ้มหานเซิ่นและกิเลนโลหิตเพื่อปกป้องพวกเขา
เมื่อดูจากทิศทางของระฆัง พวกเขาควรจะกำลังยืนอยู่ในกระเพาะของวาฬขาว ระบบย่อยของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าไม่ใช่บางสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะทนได้ แม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันก็จะถูกย่อยสลายอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อหานเซิ่นและอี๋ซามองไปรอบๆ พวกเขาก็อึ้งไป
ที่นี่ไม่ใช่กระเพาะ แต่มันเป็นห้องควบคุมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เทคโนโลยีที่อยู่รอบๆพวกเขาเทียบได้กับสิ่งอยู่ในห้องควบคุมของยานรบระดับสูง
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือทุกอย่างในห้องควบคุมนั้นโปร่งใส พวกเขามองเห็นภายนอกห้องได้ และความรู้สึกจากภาพที่เห็นเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย
ถึงแม้ภายนอกของมันจะดูเหมือนกับวาฬ แต่จริงๆแล้วมันถูกควบคุมด้วยเครื่องจักร ทุกชิ้นส่วนภายในตัววาฬทำมาจากคริสตัลหลากสีสัน
ทั้งเครื่องปั่น ลูกสูบและการหมุนของเครื่องจักรนาๆชนิดสามารถเห็นได้จากที่ที่พวกเขายืนอยู่
“เจ้าตัวนี้มันคืออะไรกัน?” ครั้งนี้หานเซิ่นแปลกใจจริงๆ
วาฬขาวดูเหมือนกับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าจากด้านนอก แต่จริงๆแล้วมันเป็นเทคโนโลยีที่น่าพิศวง มันยากที่จะเชื่อได้ว่าเครื่องจักรอันน่าอัศจรรย์แบบนี้จะมีอยู่จริงๆ
อี๋ซามองไปรอบๆด้วยความแปลกใจ ไม่นานดวงตาของพวกเขาก็ไปหยุดอยู่ที่แผงควบคุมของห้องควบคุมหลัก
มีคนๆหนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังแผงควบคุม แต่ในตอนนี้มันเหลือเพียงแค่โครงกระดูกที่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าอยู่เท่านั้น
ชุดของคนๆนั้นเป็นสิ่งที่ผลิตขึ้นมาจากเทคโนโลยีชั้นสูง มันไม่ใช่แค่สมบัติชุดเกราะ เมื่อดูจากสไตล์ของชุดแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินว่าโครงกระดูกนั้นเป็นของผู้ชายหรือผู้หญิง
หลังจากการที่หานเซิ่นและคนอื่นเข้ามาในห้อง ระฆังทองแดงก็ขนาดลดลงอย่างมาก ตอนนี้มันมีขนาดพอๆกับกำปั้นของมนุษย์ และมันก็พักอยู่ตรงนั้นภายในห้องควบคุมหลัก
“เทคโนโลยีแบบนี้มีอยู่ที่อื่นภายในจักรวาลจีโนไหม?”
หานเซิ่นมองไปที่อี๋ซา เขาไม่รู้เลยว่าเผ่าพันธุ์ไหนที่ก่อสร้างเทคโนโลยีที่น่าพิศวงนี้ขึ้นมา
อี๋ซาส่ายหัว “มันมีเทคโนโลยีมากมายที่มีพลังทำลายล้างระดับเทพเจ้า แต่มีน้อยเทคโนโลยีนักที่จะใช้ในการต่อสู้จริงได้ พวกมันใช้เวลานานเกินไปกว่าจะเล็งและยิงออกไป ดังนั้นพวกมันจึงใช้ในการต่อสู้กับยอดฝีมือระดับเทพเจ้าจริงๆไม่ได้ โดยส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะถูกใช้ในการโจมตีดวงดาวเท่านั้น เพราะดวงดวงเคลื่อนไหวไม่ได้ ชุดเกราะชีวภาพของมีก้าเองก็เป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง พวกมันเป็นอาวุธที่ทรงพลังอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็แตกต่างไปจากสิ่งที่พวกเรากำลังเห็นอยู่ในตอนนี้”
เห็นได้ชัดว่าอี๋ซาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเช่นเดียวกัน
‘นี่จะต้องเป็นอีกสิ่งประดิษฐ์หนึ่งของผู้นำของเซเคร็ด เซเคร็ดก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องเทคโนโลยี” หานเซิ่นครุ่นคิดขณะที่เขามองไปรอบๆ
เนื่องจากผู้ควบคุมวาฬขาวดูเหมือนจะตายไปแล้ว แล้วอย่างนั้นวาฬขาวยังคงเคลื่อนไหวต่อไปได้ยังไง และอะไรที่ทำให้มันตัดสินใจที่กินกลืนพวกเขาเข้ามาข้างใน?
อี๋ซาเดินเข้าไปหาโครงกระดูก เธอสะบัดมือและหนึ่งในโซ่สสารของเธอก็สลายกลายเป็นหมอกควันสีม่วง หมอกควันลอยออกไปหาโครงกระดูกเพื่อทำการค้นร่าง เธอกำลังมองหาข้อมูลหรือเบาะแสบางอย่าง
แต่ก่อนที่ที่ลมปราณสีม่วงจะสัมผัสกับโครงกระดูกได้ ระฆังทองแดงก็ลอยขึ้นมาจากแท่นที่มันอยู่และครอบลมปราณสีม่วงของอี๋ซาอย่างรวดเร็ว
“ระฆังทองแดงนี้ป้องกันเจ้านายของมันโดยอัตโนมัติ นี่มันเองก็เป็นเทคโนโลยีเหมือนกันหรอเนี่ย?” หานเซิ่นมองไปที่ระฆังทองแดงเก่าๆ
ทันใดนั้นหานเซิ่นและอี๋ซาก็ได้ยินเสียงของเด็กผู้ชาย
“เจ้าน่ะสิเป็นเทคโนโลยี ทั้งครอบครัวของเจ้าเป็นเทคโนโลยี”
“นั่นใครกัน?” หานเซิ่นและอี๋ซาตกใจ พวกเขามองไปรอบๆ แต่พวกเขาสัมผัสถึงตัวตนของใครคนอื่นไม่ได้
มันมีเพียงแค่โครงกระดูกที่นั่งอยู่ในห้องควบคุมหลักเท่านั้น มันทำให้หานเซิ่นและอี๋ซารู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา
“ไม่มีทาง! นี่พวกเราเจอผีอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพึมพำออกมาขณะที่มองไปที่โครงกระดูก เขาใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อสแกนโครงกระดูกหลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีวี่แววของพลังชีวิต ดังนั้นมันไม่มีทางที่เสียงจะออกมาจากมัน หานเซิ่นจึงคิดได้แค่ว่าพวกเขากำลังพูดคุยอยู่กับผี
“เจ้าน่ะสิเป็นผี ทั้งครอบครัวเจ้าเป็นผี” เสียงของเด็กผู้ชายดังขึ้นมาอีกครั้ง และเสียงนั้นก็ดูโมโห
ครั้งนี้หานเซิ่นและอี๋ซาระบุแหล่งที่มาของเสียงได้ เสียงนั้นดังมาจากระฆังทองแดง
ระฆังทองแดงสั่นไหว สัญลักษณ์ประหลาดเรืองแสงขึ้นมาจากมันและมันก็เปิดดวงตาสีเงินอร่าม
ใต้ดวงตาของมันมีช่องว่างอยู่ มันดูเหมือนกับปากที่เปิดๆปิดๆ
หานเซิ่นจ้องมองไปที่ระฆังทองแดง ตัวระฆังนั้นดูเหมือนจะกำลังสั่นไหวด้วยความโกรธ
“สิ่งของนี้มันคืออะไรกัน?” หานเซิ่นไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองยังไงดี มันไม่มีพลังชีวิต ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันคงจะเป็นสมบัติซีโน่เจเนอิค แต่ตอนนี้มันกำลังพูดออกมาและก็ดูเหมือนว่ามันจะมีบุคลิกภาพทั้งหมดของสิ่งมีชีวิต
“เจ้าน่ะสิเป็นสิ่งของ ทั้งครอบครัวของเจ้าเป็นสิ่งของ” ระฆังทองแดงดูโกรธยิ่งกว่าเดิม มันกระโดดขึ้นลงขณะที่ตะโกนออกมา
“เจ้าปัญญาประดิษฐ์อย่างนั้นหรอ ดูเหมือนเจ้าจะเป็นแค่ปัญญาประดิษฐ์ถูกๆสินะ เจ้าถึงพูดได้แต่คำพูดเดิมๆ” หานเซิ่นพูดขณะที่มองไปที่ระฆังทองแดงอย่างอยากรู้อยากเห็น
ระฆังทองแดงเริ่มที่จะตะโกน “เจ้าน่ะสิเป็น…”
เสียงของมันตัดขาดไปซะก่อน ถ้ามันยังพูดต่อไป ผู้คนก็จะเชื่อว่ามันเป็นแค่ปัญญาประดิษฐ์จริงๆ
หลังจากที่ตะโกนไปได้ครึ่งหนึ่ง ระฆังทองแดงก็หยุดพูดและสงบสติลงเล็กน้อย หลังจากนั้นมันก็พูดด้วยท่าทางที่ดูอวดดี
“สิ่งมีชีวิตปัญญาต่ำทั้งหลาย ฟังข้าให้ดี! ชื่อเจ้านายของพวกเจ้าคือบิ๊กคิงเบลล์”
หลังจากนั้นบิ๊กคิงเบลล์ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มันมองไปที่หานเซิ่นและพูด
“เจ้านายของเจ้าไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์”
ตอนที่ 2285
หานเซิ่นมองไปที่อี๋ซา พวกเขาทั้งคู่ดูสับสน สิ่งนี้มันคืออะไรกัน? มันดูเหมือนกับสมบัติซีโน่เจเนอิคชิ้นหนึ่ง แต่มันไม่ใช่สมบัติ มันเป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิต แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
เจดดรัมเป็นสิ่งมีชีวิต และพวกมันก็เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ พวกมันไม่ใช่บางสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือ แต่ตัวอักษรสลักอยู่รอบๆระฆังน้อยนี้ และนั่นบ่งบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ
“โอเค บิ๊กคิง ทำไมเจ้าถึงลักพาตัวพวกเรามาที่นี่?” หานเซิ่นถามระฆังทองแดง
บิ๊กคิงเบลล์กรอกตาและกระโดดขึ้น มันพูด “เจ้าหมายความว่ายังไงที่พูดว่าลักพาตัว? ข้าช่วยพวกเจ้าเอาไว้ นี่เจ้ามองไม่ออกอย่างนั้นหรอ? อย่าพูดจาใหญ่โตถ้าเจ้าไม่รู้เรื่องอะไร เด็กน้อย”
“เจ้าช่วยพวกเราเอาไว้? จากอะไร?” หานเซิ่นมองไปที่บิ๊กคิงเบลล์ด้วยความสับสน
“นี่พวกเจ้าไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง! แต่พวกเจ้าก็ยังเข้ามาในทะเลสปิริตศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าคงจะอยากตายมากสินะ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าช่วยพวกเจ้าเอาไว้ล่ะก็ พวกเจ้าทั้งคู่ก็คงจะเหลือแต่กระดูกเหมือนกับเขา”
ระฆังทองแดงกระโดดลงบนหัวกะโหลกของโครงกระดูกขณะที่มันพูดออกมา
“เขาเป็นใครกัน?” หานเซิ่นถามด้วยความสงสัย
แต่เดิมเขาคิดว่าโครงกระดูกนั้นเป็นเจ้าของบิ๊กคิงเบลล์ แต่ตอนนี้มันดูเหมือนจะไม่ได้เป็นแบบนั้น
“ฮ่า! ขยะชิ้นนี้น่ะหรอ? เจ้าคาดหวังให้ข้าจำได้ว่าเขาคือใครหรือยังไง? เขาก็เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งที่ไม่ได้ต่างอะไรไปจากฉากหลังของเรื่องราวนี้” บิ๊กคิงเบลล์พูดพร้อมกับแบะปากด้วยความดูถูก
หานเซิ่นไม่เชื่อคำพูดของระฆัง มันไม่มีทางที่คนธรรมดาคนหนึ่งจะเป็นผู้ควบคุมเทคโนโลยีที่พิศวงอย่างวาฬขาวนี่ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งอะไร แต่เขาก็สามารถใช้วาฬขาวเพื่อต่อกรกับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าคนหนึ่งได้
“เขาตายได้ยังไง?” อี๋ซาถามบิ๊กคิงเบลล์
บิ๊กคิงเบลล์กรอกตาของมัน “เขาคิดว่าถ้ามีเครื่องจักรประหลาดนี้จะข้ามทะเลสปิริตศักดิ์สิทธิ์และเอาสมบัติของผู้นำของเซเคร็ดไปครอบครองได้ แต่เขาไม่ได้รู้ถึงพลังของทะเลสปิริตศักดิ์สิทธิ์ เจ้าสิ่งนี้ไม่มีโอกาสจะต่อต้านพลังของทะเลได้ ไม่แม้แต่น้อย เขาตายตั้งแต่ก่อนที่จะไปถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ซะอีก มีเพียงแค่กระดูกของเขาเท่านั้นที่เหลืออยู่”
หลังจากนั้นบิ๊กคิงเบลล์ก็กระโดดขึ้นไปบนแผงควบคุมและพูดอย่างโอ้อวด
“แต่สิ่งนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าสนใจ ดังนั้นข้าจึงเก็บมันเอาไว้ในฐานะของที่ระลึก”
หานเซิ่นรู้ว่าบิ๊กคิงเบลล์กำลังพูดถึงวาฬขาว เขามองไปที่โครงกระดูกและพูดกับอี๋ซา
“คนนี้คงจะตายมาเป็นเวลานานแล้ว เขาไม่ได้เข้ามาที่นี่เมื่อเร็วๆนี้”
“อะไร? มันยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นมาที่นี่อีกอย่างนั้นหรอ?”
บิ๊กคิงเบลล์ถามก่อนที่อี๋ซาจะตอบอะไร ดูเหมือนเขาจะตกใจกับเรื่องนั้น
“ใช่แล้ว พวกเขามีกันอยู่หลายคน”
หานเซิ่นมองไปที่บิ๊กคิงเบลล์และถาม “เจ้าเองก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน นั่นมันเป็นเรื่องแปลกหรือยังไง?”
“ฮ่า ข้าอยู่ที่นี่…” เสียงของบิ๊กคิงเบลล์ตัดขาดไป
“ที่นี่อะไร?” หานเซิ่นถาม
บิ๊กคิงเบลล์พูด “นั่นไม่ใช่ธุระอะไรของเจ้า พวกเจ้ามีโบราณวัตถุติดตัวมาด้วยไม่ใช่หรือยังไง? สิ่งมีชีวิตอื่นอีกมากแค่ไหนกันที่มาถึงที่นี่ได้? ตอนนี้อันเดอร์โอเวอร์แบริ่งแก่จนผู้คนมาถึงปราสาทได้ง่ายๆแล้วอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจที่บิ๊กคิงเบลล์รู้ว่าเขามีโบราณวัตถุอยู่ ระฆังดูเหมือนจะรู้ในสิ่งที่ไม่ควร ดังนั้นบางทีมันอาจจะเชื่อมต่อกับสมบัติของผู้นำเซเคร็ดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“อย่ามัวเสียเวลาเลย มอบโบราณวัตถุมาให้กับข้า และเมื่อข้าเปิดคลังสมบัติของเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเจ้าจะได้รับสิ่งที่เป็นของของพวกเจ้า”
บิ๊กคิงเบลล์ลอยตัวอยู่ในอากาศต่อหน้าหานเซิ่นขณะที่พูดออกมา
“เจ้าเอาโบราณวัตถุไปได้ แต่ข้าต้องดูก่อนว่าเจ้าจะมีความสามารถพอที่จะเอามันไปหรือเปล่า” หานเซิ่นยิ้ม
“ข้าเกิดมาเป็นระดับเทพเจ้า ข้าเอาชนะผู้คนเป็นพันล้านในจักรวาลแห่งนี้ ข้าแข็งแกร่งที่สุดทั้งในท้องฟ้าและบนผืนดิน แม้แต่ผู้นำของเซเคร็ดเมื่อเขาพบข้า เขาก็ยังเรียกข้าว่าพี่บิ๊กคิง นี่เจ้าคิดจะต่อกรกับข้าจริงๆอย่างนั้นหรอ?”
บิ๊กคิงเบลล์มองหานเซิ่นด้วยความประหลาดใจ มันไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย
“พี่บิ๊กคิง ถึงแม้เจ้าจะแข็งแกร่ง แต่เจ้าก็ควรจะแสดงถึงความแข็งแกร่งนั้น ไม่อย่างนั้นข้าจะเชื่อได้ยังไงว่าเจ้าแข็งแกร่งอย่างที่พูดจริงๆ?” หานเซิ่นพูด
“ข้าลากตัวพวกเจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างง่ายดาย นั่นยังไม่เพียงพอหรือยังไง? หรือข้าต้องให้ฆ่าพวกเจ้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าข้าแข็งแกร่งถึงขนาดไหน?”
บิ๊งคิงเบลล์มองหานเซิ่นอย่างเลือดเย็น ขณะที่มันลอยขึ้นในอากาศอย่างช้าๆ ดูเหมือนกับว่ามันกำลังจะฆ่าหานเซิ่น
“พี่บิ๊กคิง มันเป็นการแสดงที่ทรงพลัง แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเรายอมมอบโบราณวัตถุ พี่จะแสดงให้ข้าดูอีกครั้งได้ไหม? ถ้าพี่ทำให้พวกเรายอมเชื่อได้ ข้าก็จะมอบโบราณวัตถุให้กับพี่” หานเซิ่นยิ้มให้กับบิ๊กคิงเบลล์
เขาคิดว่าบิ๊กคิงเบลล์ค่อนข้างน่าสนใจ และนั่นเป็นแรกผลักดันให้หานเซิ่นพูดยั่วยุมัน
ระฆังทองแดงครอบหัวพวกเขาขณะที่ลากตัวพวกเขาเข้ามาข้างในได้ก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เตรียมตัว อี๋ซายังคงไม่ได้แสดงพลังที่แท้จริงของเธอเช่นกัน ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการทำให้บิ๊กคิงเบลล์รำคาญ
บิ๊กคิงเบลล์มองหานเซิ่นด้วยความดูถูก “เพียงแค่เศษเสี้ยวพลังของข้าก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เจ้ายอมเชื่อฟัง แต่ข้ามีวิชาจีโนที่ทรงพลังมากเกินไป ให้ข้าคิดวิชาที่อ่อนแอเพื่อแสดงให้พวกเจ้าดูก่อน เผื่อในกรณีที่วิชาจีโนของข้าทรงพลังเกินไปและฆ่าพวกเจ้าโดยไม่ตั้งใจ”
บิ๊กคิงเบลล์หมุนตัวอย่างช้าๆอยู่ในอากาศราวกับว่ามันกำลังทำการตัดสินใจ มันกระโดดไปบนแผงควบคุมและกดปุ่มหลายปุ่ม หลังจากนั้นวาฬขาวก็ลอยขึ้นสู่พื้นผิวและเปิดปากของมัน ด้านหน้าของห้องควบคุมนั้นมองผ่านดวงตาของวาฬขาว ซึ่งทำให้ผู้ที่อยู่ข้างในเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกได้
“พวกโง่ทั้งหลาย! ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้ตาสว่างด้วยพลังของข้า ข้าจะแสดงเทคนิคของยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานให้พวกเจ้าได้เห็น”
บิ๊กคิงเบลล์พูด หลังจากนั้นมันก็หมุนตัวพร้อมกับขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆขณะที่มีแสงสีเขียวส่องสว่างออกมา
ระฆังทองแดงตะแคงข้างและเล็งปากระฆังออกไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงตีระฆังดังขึ้นมา คลื่นเสียงที่น่ากลัวพุ่งออกไปจากปากระฆัง
ตูม!
ทั้งทะเลถูกตัดครึ่งด้วยพลังเสียงของระฆัง น้ำแยกออกจากกันและทอดยาวไปจนถึงชายฝั่งอีกด้านหนึ่งของมหาสมุทร
“ว้าว! หมอนี่มีพลังมหาศาลอย่างที่มันบอกจริงๆ” หานเซิ่นอึ้งไป พลังของบิ๊งคิงเบลล์ดูเหมือนจะเหนือกว่าอี๋ซาและราชินีจิ้งจอกจริงๆ
อี๋ซาเองก็ดูตกตะลึงเช่นกัน พลังที่บิ๊กคิงเบลล์ปลดปล่อยออกมาเป็นอะไรที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง
น้ำในทะเลสปิริตศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่แค่น้ำทะเลธรรมดาเช่นกัน อี๋ซาเองก็ไม่คิดว่าตัวเธอเองจะแยกน้ำออกจากกันได้มากขนาดนั้น
“เป็นยังไง? ทีนี้พวกเจ้าเชื่อข้าแล้วสินะ? มอบโบราณวัตถุมาให้กับข้าเดี๋ยวนี้! ก่อนที่ข้าจะไม่ชอบพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้ามากับข้า พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์อย่างสูง” บิ๊กคิงเบลล์พูดด้วยความภาคภูมิใจ
ในขณะที่พวกเขากำลังพูดกันอยู่ เงาของคน 3 คนก็ปรากฏตัวเหนือทะเล มันคือราชินีจิ้งจอก กุนซือไวท์และคราม
เมื่อราชินีจิ้งจอกเห็นวาฬขาวตัวใหญ่นั้น เธอก็สะบัดหางจิ้งจอกของเธอ พลังเชือกล่องหนพุ่งออกไปพันรอบๆตัวของวาฬขาวเพื่อจะยกมันออกมาจากทะเล
บิ๊กคิงเบลล์รีบกระโดดไปกดปุ่มบนแผงควบคุม หลังจากนั้นวาฬขาวก็อ้าปากของมันขึ้นและสร้างหลุมดำขึ้นมาเพื่อส่งแรงดูดเข้าใส่ราชินีจิ้งจอก
แต่ราชินีจิ้งจอกกระตุกพลังเชือกและมัดปากของวาฬขาวเอาไว้ วาฬขาวไม่สามารถเปิดปากของมันได้ และหลุมดำก็สลายหายไปภายในปากของมัน
หานเซิ่นรอคอยที่จะเห็นบิ๊กคิงเบลล์จัดการกับราชินีจิ้งจอก แต่เมื่อเขาหันไปมอง เขาก็เห็นว่าบิ๊กคิงเบลล์นำกระเป๋าขนาดใหญ่ออกมาจากไหนไม่รู้ และมันก็กำลังจะหนีออกไปทางประตูหลังของวาฬขาว
“พี่บิ๊กคิง นี่พี่จะไม่ฆ่านางอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน
“ข้ากำลังยุ่งๆ ตอนนี้ข้าจะปล่อยให้นางมีชีวิตต่อไปก่อน แต่ข้าจะจำนางเอาไว้ ครั้งต่อไปที่ข้าได้เห็นนาง ข้าจะเป่าลมใส่นางเพื่อฆ่านางซะ”
บิ๊กคิงเบลล์พูด หลังจากนั้นมันก็ออกประตูหลังไป พร้อมกับกระเป๋าใหญ่ของมัน
หานเซิ่นและอี๋ซาอึ้งไป พวกเขาไม่แน่ใจว่าควรจะตอบสนองยังไงดี
ตอนที่ 2286
“หมอนั่นดูแข็งแกร่งจะตายไป อะไรกันที่ทำให้เขารีบหนีไปอย่างนั้น?” หานเซิ่นหันไปมองอี๋ซาด้วยความสับสน
อี๋ซาถอนหายใจและพูด “บางทีพลังของมันอาจจะใช้เวลานานกว่าจะฟื้นคืนกลับมา พลังที่เขาเพิ่งจะปลดปล่อยออกไปนั้นอาจจะทำให้เขาสูญเสียพลังเกือบทั้งหมดไป”
ตอนนี้หานเซิ่นก็เข้าใจขึ้นมา มันเป็นเหมือนกับราชาหมอกแดงที่ต้องพึ่งพาพลังงานจากมิงค์หมอกแดงทั้ง 7 ตัว มันใช้เวลานานอย่างมากในการเก็บรวบรวมพลัง
ถ้าบิ๊กคิงเบลล์หลอกหานเซิ่นและอี๋ซาไม่สำเร็จ มันก็รู้ว่าต้องวิ่งหนีไป
“ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงกันดี?” หานเซิ่นถามขณะมองไปที่อี๋ซา
อี๋ซาไม่ตอบ เธอเทเลพอร์ตไปที่ประตูหลัง
หานเซิ่นรู้ว่าเธอหมายความว่ายังไง เขาขึ้นขี่กิเลนโลหิตและตามหลังอี๋ซาไป
บิ๊กคิงเบลล์ไม่ได้เก่งจริงอย่างที่พูด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คุ้นเคยกับบริเวณโดยรอบเป็นอย่างดี การได้รับข้อมูลจากมันเป็นอะไรที่มีประโยชน์
หลังจากที่พวกเขาออกไปจากวาฬขาวแล้ว ร่างกายอี๋ซาก็แว๊บหายไป กิเลนโลหิตไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเธอได้ทัน มันเป็นเหมือนกับการให้มนุษย์วิ่งแข่งกับรถสปอร์ต
ครึ่งเทพถึงจะมีคำว่าเทพอยู่ แต่แก่นแท้ของพวกเขาก็ยังเป็นแค่ระดับราชันอยู่ดี พวกเขายังห่างชั้นกับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าที่แท้จริง
“หานเซิ่น!” อี๋ซาไล่ตามหลังบิ๊กคิงเบลล์และหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ในตอนที่ราชินีจิ้งจอกเห็นหานเซิ่นออกมาจากท้องของวาฬขาว เธอก็ส่งเสียงเรียกออกมาด้วยความประหลาดใจ
ก่อนที่หานเซิ่นจะคิดหาหนทางหนีไปได้ ราชินีจิ้งจอกก็มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาเพื่อขวางทางพวกเขาเอาไว้
“ได้จังหวะพอดีเลย! มอบโบราณวัตถุมาให้กับข้าและข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ราชินีจิ้งจอกหลี่ตาและจ้องมองไปที่หานเซิ่น แต่ดูเหมือนกับว่าเธอกำลังยิ้มอยู่
“พี่สาวคนสวย ท่านทำให้ข้าลำบากใจ ในตอนนี้ข้าไม่มีโบราณวัตถุอยู่กับตัว”
หานเซิ่นดูลำบากใจ “ท่านเห็นคนที่เพิ่งจะวิ่งจากไปนั่นไหม? นั่นคือราชินีแห่งมีดอาจารย์ของข้า ข้ามอบโบราณวัตถุให้กับนางไปแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาดูกันว่าอาจารย์ของเจ้าหรือโบราณวัตถุจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ราชินีจิ้งจอกพูดอย่างเย็นชา ขณะที่พลังเชือกมากมายพุ่งเข้ามารัดตัวหานเซิ่นกับกิเลนโลหิต
แต่หานเซิ่นตบรังนกบนหัวของเขา ซึ่งทำให้มันขยายใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นโล่ให้กับเขาและกิเลนโลหิต
แต่ถึงอย่างนั้นพลังเชือกก็ล้อมรังนกเอาไว้อย่างแน่นหนา และนั่นก็หมายความว่าตอนนี้หานเซิ่นไม่สามารถหนีไปไหนอีกได้
“น้องชายคนดีของข้า เจ้าคิดว่ารังนกนี่จะปกป้องเจ้าได้อย่างนั้นหรอ?”
ราชินีจิ้งจอกยิ้ม เธอดึงเอาของบางอย่างออกมาจากเอวของเธอ
เมื่อหานเซิ่นมองเห็นมัน เขาก็รู้สึกใจคอไม่ดี
ที่ราชินีจิ้งจอกนำออกมาคือขลุ่ยหยก มันยาวประมานหนึ่งฟุตและมีสีครีมที่โปร่งใส มันดูเล็กและบอบบางอย่างมาก
‘ราชินีจิ้งจอกเชี่ยวชาญในพลังเสียงด้วยหรอเนี่ย? รังนกป้องกันเสียงจากภายนอกไม่ได้ แล้วแบบนั้นมันจะป้องกันพลังเสียงได้หรือเปล่านะ’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
รังนกไม่ใช่ใบเสมาราชาแมลงปีศาจ และหานเซิ่นก็ไม่สามารถใช้พลังเต็มที่ของมันได้ ดังนั้นมันยากที่จะบอกได้ว่ามันจะป้องกันการโจมตีด้วยพลังเสียงได้หรือเปล่า
ราชินีจิ้งจอกนำขลุ่ยหยกขึ้นมาที่ริมฝีปาก เธอยิ้มให้กับหานเซิ่น หลังจากนั้นเธอก็เริ่มเปล่าขลุ่ยและสร้างเสียงดนตรีที่ไพเราะออกมา
ขลุ่ยนั้นไม่ได้ดังอะไรเป็นพิเศษ แต่มันมีพลังที่เลือนรางออกมาจากขลุ่ย พลังนั้นตรงเข้ามาหารังนก
หานเซิ่นตกใจ เขารู้สึกตัวว่าเสียงเพลงของขลุ่ยสามารถแทรกซึมผ่านหญ้าแห้งของรังนกได้
เขาได้รับการยอมรับจากอันดายอิ้งเบิร์ด ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้รังนกได้ แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดี เพราะเขาเปิดใช้งานพลังของรังนกไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้คุณสมบัติในการป้องกันของมันได้
เสียงของขลุ่ยซึมเข้าไปในรังนกราวกับเส้นไหมบางๆที่เข้ามาเพื่อรัดตัวหานเซิ่นและกิเลนโลหิต หานเซิ่นและกิเลนโลหิตพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถกำจัดเสียงของขลุ่ยได้
ภายใต้อิทธิพลของขลุ่ย หานเซิ่นไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขายกรังนกออกและเริ่มคลานออกมาราวกับหุ่นเชิด
“โอ้ไม่! โอ้ไม่!” หานเซิ่นรู้สึกแย่
เมื่อเห็นหานเซิ่นค่อยๆเคลื่อนที่ออกมาจากรังนก ราชินีจิ้งจอกก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
แต่ในจังหวะที่หานเซิ่นกำลังจะถูกดึงออกมาจากรังนกทั้งตัวนั้น สีหน้าของราชินีจิ้งจอกก็กลายเป็นสีหน้าที่ประหลาดใจ
เคร๊ง!
มีดลมปราณสีม่วงพุ่งผ่านอากาศมาด้วยความเร็วสูง มันเป็นเหมือนกับปีศาจที่พุ่งเข้ามาเพื่อฟันใส่ขลุ่ยหยกของราชินีจิ้งจอก มีดลมปราณที่ไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งเข้ามาฟันใส่ขลุ่ยหยกซ้ำๆ หลังจากนั้นก็ฟันไปที่ร่างกายของริชิจิ้งจอกและส่งเธอกระเด็นออกไป ราชินีจิ้งจอกทำลายมีดลมปราณและยืนนิ่งไป
ร่างกายของอี๋ซาแว๊บมาปรากฏตัวข้างๆหานเซิ่น ดวงตาของเธอมองสบตากับดวงตาที่งดงามของราชินีจิ้งจอก
ราชินีจิ้งจอกรู้สึกราวกับว่าเธอสัมผัสได้ถึงประกายไฟ
“เจ้าก็คืออาจารย์ของหานเซิ่น?” ราชินีจิ้งจอกยิ้มราวกับดอกไม้ แต่ดวงตาของเธอดูเย็นชา
“ไม่เลวหนิ” อี๋ซาตอบ
“มาก็ดีแล้ว หานเซิ่นบอกว่าเจ้าครอบครองโบราณวัตถุอยู่ มอบมันมาให้กับข้า และข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป” ราชินีจิ้งจอกพูด
อี๋ซาตอบอย่างจริงจัง “ข้าไม่เห็นจำได้ว่าต้องเชื่อฟังเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นราชินีจิ้งจอกก็ดูโมโห เธอกวัดแกว่งขลุ่ยหยกและส่งเสียงที่ฟังดูเศร้าสร้อยเข้าใส่อี๋ซา ขณะเดียวกันเธอก็เปล่งเสียงด้วยความโกรธ
“เจ้ากล้าดียังไง!”
หานเซิ่นรู้ว่าบางสิ่งที่เลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น เขาไม่ได้พูดอะไรและยังคงหลบซ่อนตัวภายในรังนกต่อไป ขณะที่เคลื่อนที่เข้าไปหาวาฬขาว
ตอนนี้สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า 2 คนกำลังจะต่อสู้กัน สิ่งมีชีวิตธรรมดาไม่สามารถทนต่อคลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นได้ หานเซิ่นไม่ต้องการจะถูกทำลายกลายเป็นผุยผง
โชคดีที่ตอนนี้วาฬขาวไม่มีเจ้าของ หานเซิ่นมีแผนที่จะเข้าไปซ่อนอยู่ข้างในและลองดูสิว่าเขาจะใช้งานมันได้ไหม
วาฬขาวสามารถป้องกันการโจมตีของยอดฝีมือระดับเทพเจ้าได้ ทั้งอี๋ซาและราชินีจิ้งจอกไม่สามารถทำลายร่างกายของมันได้ ด้วยเหตุนั้นมันก็ต้องเป็นสิ่งที่ทนทานอย่างมาก ถ้าหานเซิ่นบังคับมันได้ วาฬขาวก็จะเป็นอะไรที่เหนือกว่ายานรบชั้นสูงซะอีก
เมื่อราชินีจิ้งจอกเทเลพอร์ตมาจับตัวหานเซิ่น เธอได้ปล่อยให้เชือกพลังจากวาฬขาว และทำให้มันร่วงลงไปในทะเล ครึ่งหนึ่งของตัวมันยังคงลอยอยู่เหนือผิวของน้ำทะเล
หานเซิ่นให้กิเลนโลหิตพาเขาดำลงไปในน้ำ หานเซิ่นมีแผนที่จะกลับไปที่ห้องควบคุมของวาฬขาว
ทันทีที่เขาเข้าไปข้างใน เขาก็สังเกตเห็นว่าครามและกุนซือไวท์ตามเขามา
ตอนที่ 2287
ตูม!
หานเซิ่นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มีเสียงดังขึ้นมาขัดเขาซะก่อน หลังจากนั้นวาฬขาวก็พลิกตัวอย่างกะทันหันและเริ่มจะจมลงในทะเล
พลังที่เลวร้ายมากมายพุ่งเข้ามาถูกวาฬขาวอย่างต่อเนื่องและแต่ละครั้งก็เหมือนกับว่ามีฟ้าผ่าลงมาใส่
โชคดีที่วาฬขาวทนทานอย่างมาก คลื่นกระแทกที่เกิดจากการต่อสู้ของอี๋ซาและราชินีจิ้งจอกไม่เพียงพอที่จะทำลายมัน แต่ถึงอย่างนั้นแรงกระแทกก็ผลักมันให้จมลึกลงไปในทะเล
ตูม!
วาฬขาวสั่นสะเทือนราวกับว่ามันเพิ่งจะถูกชนกับอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ยินสิ่งของบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่ถูกทำลาย จากนั้นทุกอย่างก็เงียบไปและวาฬขาวก็ไม่ได้ถูกซัดกระเด็นไปมาอีก
เมื่อมองผ่านดวงตาของวาฬขาวออกไป พวกเขามองไม่เห็นอะไรนอกจากน้ำทะเลและกองหิน มันดูเหมือนกับว่าวาฬขาวจะถูกทับด้วยกองก้อนหิน
น้ำทะเลรอบๆพวกเขาซัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้พวกเขาจะลงมาลึกมากพอสมควรแล้ว แต่พวกเขาก็ยังได้ยินเสียงการต่อสู้อยู่ดี พวกเขายังคงเห็นคลื่นกระแทกพุ่งเข้ามาเป็นระยะๆ แต่ทว่าแรงสั่นสะเทือนนั้นเบาบางลงไปมาก และตอนนี้เมื่อวาฬขาวถูกทับด้วยก้อนหิน มันก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนอีก นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“วาฬขาวนี้เป็นเครื่องจักร!” ครามมองไปรอบๆห้องควบคุมหลักด้วยความแปลกใจ เรื่องนี่นั้นอยู่เหนือจากสิ่งที่เขาคิดเอาไว้
กุนซือไวท์มองไปรอบๆด้วยความสนใจ
บิ๊กคิงเบลล์ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของยังสามารถควบคุมวาฬขาวได้ ดังนั้นหานเซิ่นคิดว่ากุนซือไวท์เองก็สามารถทำได้เช่นกัน
ไม่ว่าใครก็สามารถควบคุมเครื่องจักรแบบนั้นได้ ตราบใดที่มันไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ เพราะยังไงมันก็ควรจะทำงานในหลักการเดียวกันกับเครื่องจักรอื่นๆ
“อย่าแตะต้องมัน!” กุนซือไวท์ตะโกนขณะที่หานเซิ่นกำลังจะเคลื่อนย้ายโครงกระดูกบนเก้าอี้บัญชาการ
หานเซิ่นหยุดและรอให้กุนซือไวท์กับครามเข้ามาในห้องควบคุม
“กุนซือไวท์ เจ้ารู้อะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
กุนซือไวท์มองไปที่โครงกระดูกและพูด “ถ้าข้าเข้าใจถูกต้องล่ะก็ โครงกระดูกนี้คือกุญแจที่จะทำให้เราควบคุมวาฬขาวนี้ได้”
หานเซิ่นแปลกใจ ก่อนหน้านี้เขาเห็นบิ๊กคิงเบลล์กระโดดไปมาบนแผงควบคุม แต่เขาไม่ได้คิดอะไรกับมันมาก เนื่องจากเจ้าระฆังนั้นสามารถควบคุมวาฬขาวได้
แต่ตอนนี้หานเซิ่นเห็นในสิ่งที่มองข้ามไป บิ๊กคิงเบลล์ต้องใช้วาฬขาวนี่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่มันก็ยังไม่เคลื่อนย้ายโครงกระดูกไปที่อื่น มันต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่
“กุนซือไวท์ เจ้าคิดว่าเทคโนโลยีนี่มาจากที่ไหนกัน?” หานเซิ่นถาม
กุนซือไวท์ส่ายหัว “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอะไรแบบนี้ ข้าไม่รู้วิธีที่จะควบคุมมันเช่นกัน”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ กุนซือไวท์ก็มองไปที่โครงกระดูกและพูด
“แต่เมื่อดูจากชุดของโครงกระดูกนี่แล้ว คนๆนี้ต้องเชื่อมต่อกับระบบควบคุมของเครื่องจักรนี่ โครงกระดูกของเขาจะต้องเป็นกุญแจที่ใช้ควบคุมวาฬขาวนี้ แต่ข้าบอกไม่ได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราเคลื่อนย้ายมัน”
หานเซิ่นตรวจดูชุดของโครงกระดูก เครื่องแบบของโครงกระดูกเป็นสีเงินและดำ และนอกจากส่วนหัวแล้วทั้งร่างกายของโครงกระดูกถูกรัดแน่น
โครงกระดูกสวมหน้ากากโปร่งแสงที่เชื่อมต่อกับเครื่องแบบ มันไม่มีรอยต่อที่มองเห็นได้อยู่เลย
หานเซิ่นใช้เวลาสังเกตมันอยู่สักพัก และถึงเขาจะหาการเชื่อมต่อระหว่างเก้าอี้กับเครื่องแบบไม่ได้ แต่เขาก็คิดว่าเครื่องแบบและวาฬขาวต้องเชื่อมต่อกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
หานเซิ่นใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อตรวจดูเครื่องแบบ แผงควบคุมและเก้าอี้
มันมีโบราณวัตถุที่ทรงพลังมากมายที่วิญญาณอสูรเนตรม่วงไม่สามารถบอกอะไรได้ แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีบางอย่างล่ะก็ วิญญาณอสูรเนตรม่วงก็เป็นอะไรที่มีประโยชน์อย่างมากในการดูว่ามันถูกสร้างขึ้นมายังไงและจุดประสงค์ของมันคืออะไร
ด้วยวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง หานเซิ่นมองเห็นทั้งกระบวนในการสร้างวาฬขาวขึ้นมา สิ่งที่เห็นทำให้หานเซิ่นค่อนข้างประหลาดใจ
วาฬขาวเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมาอย่างไม่ต้องสงสัย กระบวนการสร้างของมันเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากๆและมันก็ยากยิ่งกว่าการสร้างอาวุธระดับเทพเจ้าซะอีก
ที่มันซับซ้อนก็เพราะว่ามันมีวิทยาศาสตร์มากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกปัญญาที่เกิดขึ้นมาในแต่ละส่วนจะถูกแก้ไขด้วยใช้วิทยาศาสตร์เข้าช่วย
ถ้าหานเซิ่นสามารถวิเคราะห์เทคโนโลยีของวาฬขาวนี้ได้ การจะยกระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของสหพันธ์ก็จะเป็นเรื่องง่ายมากๆ
และนั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจที่สุด ขณะที่หานเซิ่นมองดูการสร้างวาฬขาว เขาก็เห็นเงาของด้วง
ถึงแม้วาฬขาวจะเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ายิ่งกว่าด้วงของเขา แต่แนวคิดของพวกมันคล้ายคลึงกัน วาฬขาวแค่ก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับหนึ่งเท่านั้น เทคโนโลยีของวาฬขาวล้ำหน้าด้วงของเขาในทุกๆด้าน ทุกรายละเอียดของมันเหนือกว่าด้วงของเขาด้วยเช่นกัน
‘นี่คือเทคโนโลยีของคริสตัลไลเซอร์หรอเนี่ย?’ หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ
‘เทคโนโลยีของคริสตัลไลเซอร์ก้าวหน้าถึงขนาดนี้เลยอย่างนั้นหรอ? นี่พวกเขาสร้างเครื่องจักรระดับของเทพเจ้าได้เลยหรอเนี่ย? นั่นเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ’ หานเซิ่นคิด
นั่นจะอธิบายว่าทำไมคริสตัลไลเซอร์ถึงท้าสู้กับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงได้ทั้งๆที่ขาดแคลนยอดฝีมือระดับเทพเจ้า การมีเทคโนโลยีแบบนี้คงจะมอบความมั่นใจให้กับพวกเขา
แต่ท้ายที่สุดแล้วความอวดดีและโอหังของพวกเขาก็นำไปสู่ความล้มเหลว ผลที่ตามมาก็คือทั้งเผ่าพันธุ์เกือบที่จะถูกทำลาย
“เป็นอะไรที่น่าเสียดายจริงๆ ถ้าคริสตัลไลเซอร์ท้าชิงเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่ทรงพลังน้อยกว่า พวกเขาก็คงจะจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์ได้อย่างแน่นอน และหลังจากนั้นพวกเขาก็จะก้าวหน้าต่อไปอีก พวกเขาจะกลายเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์สูงสุดในจักรวาลจีโน” หานเซิ่นถอนหายใจ
แต่หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าถ้าคริสตัลไลเซอร์กลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูง พวกเขาก็จะดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยีของพวกเขาต่อไป พวกเขาจะไม่ต้องเปลี่ยนยีนและชีพจรโลหิตของตัวเอง พวกเขาอาจจะไม่ทำการทดลองเกี่ยวกับยีน และถ้าเป็นแบบนั้นมนุษย์ก็จะไม่กำเนิดขึ้นมา
“หานเซิ่น เจ้ายังมีโบราณวัตถุอยู่ใช่ไหม?” กุนซือไวท์ถามหานเซิ่น
“ทำไมเจ้าถึงถามข้าในเรื่องนี้?” หานเซิ่นหันไปมองกุนซือไวท์
กุนซือไวท์ยิ้มและพูด “ข้าทิ้งร่องรอยเอาไว้ก็เพื่อให้เจ้าตามพวกเราได้ และนั่นหมายความว่าข้าจะร่วมมือเจ้าต่อไป ก่อนที่การต่อสู้พวกนางจะรู้ผลแพ้ชนะ พวกเราควรจะรีบไปสำรวจเมืองศักดิ์สิทธิ์กัน”
“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าข้าจะไล่ตามเจ้าได้?” หานเซิ่นถามกุนซือไวท์พร้อมกับขมวดคิ้ว
“เพราะว่าข้าเชื่อในตัวเจ้า” กุนซือไวท์พูด
หานเซิ่นจ้องไปที่กุนซือไวท์ เขาไม่เชื่อว่าพวกเขาทั้งคู่จะสนิทสนมอะไรกัน แต่กุนซือไวท์กลับพูดว่าเชื่อมั่นในตัวของเขา หานเซิ่นจ้องมองไปในดวงตาของกุนซือไวท์และยอมรับในความจริงใจของอีกฝ่าย ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อหานเซิ่นมองลึกเข้าไปในดวงตาของกุนซือไวท์ เขามีความรู้สึกที่คุ้นเคย มันเหมือนกับว่าพวกเขาเคยพบกันเมื่อนานมาแล้ว
ตอนที่ 2288
ความรู้สึกที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมาเพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้น เมื่อเขามองไปที่กุนซือไวท์อย่างละเอียดอีกครั้ง ชายคนนั้นก็ดูเหมือนกับคนแปลกหน้า กุนซือไวท์เป็นคนของเอ็กซ์ตรีมคิง หานเซิ่นไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับเอ็กซ์ตรีมคิง และมันก็ไม่มีใครในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิงที่เขาใกล้ชิดด้วย ไม่มีใครที่จะกล่าวอ้างว่ากุนซือไวท์เป็นเพื่อนสนิทของเขาเช่นกัน
เมื่อคิดได้แบบนี้ หานเซิ่นก็คำนึงถึงข้อเสนอของกุนซือไวท์
ข้อเสนอของกุนซือไวท์เป็นอะไรที่ยั่วใจหานเซิ่นอย่างมาก เพราะยังไงซะหานเซิ่นก็ไม่แน่ใจว่าอี๋ซาจะเอาชนะราชินีจิ้งจอกได้
และถึงอี๋ซาจะเป็นฝ่ายชนะและเดินทางร่วมกับเขาต่อไป เขาก็ต้องแบ่งสมบัติอะไรก็ตามที่ได้กับเธอ
พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และพวกเขาก็ใกล้ชิดมากพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังคงสร้างขึ้นมาจากรากฐานที่อี๋ซาไม่รู้ว่าหานเซิ่นคือดอลลาร์ผู้ลึกลับ ถ้าอี๋ซารู้ว่าหานเซิ่นคือดอลลาร์ล่ะก็ มันก็บอกไม่ได้ว่าเธอจะทำอะไร
หานเซิ่นตัดสินใจไปสำรวจคลังสมบัติของผู้นำเซเคร็ดร่วมกับกุนซือไวท์ เขาไม่จำเป็นต้องวางแผนทุกอย่างล่วงหน้า เขาสามารถทรยศใครเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ เขาสามารถชิงสิ่งของไหนที่จำเป็นเมื่อเวลานั้นมาถึง ถ้าหานเซิ่นจำเป็นต้องทิ้งพวกเขาทั้งสองคน เขาก็จะทำมันโดยไม่ลังเล
มันเป็นแนวคิดของนักธุรกิจ พวกเขาสนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกเขาจะร่วมมือกันก็ต่อเมื่อพวกเขาจำเป็นต้องใช้กันและกัน
หานเซิ่นจำเป็นต้องพึ่งการนำทางของกุนซือไวท์เพื่อไปให้ถึงคลังสมบัติอย่างปลอดภัย ส่วนกุนซือไวท์ก็จำเป็นต้องพึ่งโบราณวัตถุที่หานเซิ่นครอบครองอยู่ พวกเขาทั้งคู่ใช้กันและกันเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
และเมื่อหานเซิ่นพบสมบัติ ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ทรยศพวกเขา มันก็เป็นไปได้สูงที่ครามและกุนซือไวท์จะเป็นฝ่ายทรยศเขาแทน
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหานเซิ่นสามารถทรยศกุนซือไวท์ได้ แต่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นต่อหน้าราชินีจิ้งจอกและอี๋ซาได้
“เวลามีไม่มาก ถ้าการต่อสู้มีผู้ชนะเมื่อไหร่ พวกเราก็จะไม่มีโอกาสได้สำรวจเมืองนั่น” กุนซือไวท์พูดกับหานเซิ่น
หานเซิ่นเงียบไป เขามองไปที่กุนซือไวท์และถาม “ในตอนที่พวกเจ้าทำลายด่านทดสอบที่ 4 พวกเจ้าพบอะไรหรือเปล่า?”
หานเซิ่นสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในด่านทดสอบที่ 4 อย่างมาก มันมีโอกาสสูงที่สิ่งของอะไรก็ตามที่ได้รับจากที่นั่นจะมีประโยชน์เมื่อพวกเขาไปถึงคลังสมบัติ
กุนซือไวท์เงียบไป หลังจากนั้นเขาก็พูด “เมื่อราชินีจิ้งจอกทำลาย 36 เสาหินในด่านทดสอบที่ 4 นางพบขลุ่ยหยกอยู่ภายในเสาหินสุดท้าย”
“ขลุ่ยหยกนั่นไม่ได้เป็นของราชินีจิ้งจอกตั้งแต่แรกอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นนึกขึ้นได้ว่าราชินีจิ้งจอกถูกขังเอาไว้อยู่ภายในปราสาทของโกสต์โบนมาเป็นเวลานาน หานเซิ่นไม่เห็นขลุ่ยไหนอยู่ที่นั่น ดังนั้นจู่ๆเธอจะมีมันอยู่ได้ยังไง? มันจะสมเหตุสมผลถ้าเธอได้มันมาจากด่านทดสอบที่ 4 แต่หานเซิ่นยังไม่รู้ว่าขลุ่ยหยกนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาได้รับจากด่านทดสอบอื่นยังไง
กุนซือไวท์ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแค่รอการตัดสินใจของหานเซิ่น
หานเซิ่นครุ่นคิด เขาใช้นิ้วมือชี้ไปที่โครงกระดูกบนเก้าอี้
“ทะเลนี่ดูพิเศษ เขาดำลงไปในทะเลลึกนี้ด้วยเจตนาที่จะไปให้ถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี่ตั้งแต่แรก”
“ข้ารู้” กุนซือไวท์พูดอย่างง่ายๆ
“นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราจำเป็นต้องมีโบราณวัตถุ มันจะอนุญาตให้พวกเราไปถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างปลอดภัย”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปสำรวจเมืองศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน” หานเซิ่นทำการตัดสินใจ
หานเซิ่นไม่รู้ว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน แต่เห็นได้ชัดว่ากุนซือไวท์นั่นรู้ ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงตัดสินใจติดตามกุนซือไวท์และครามไป พวกเขาเดินทางออกจากวาฬขาวและดำลึกลงไปอีก
คลื่นทะเลซัดลงมาอย่างรุนแรง มันเห็นได้ชัดว่าราชินีจิ้งจอกและอี๋ซายังคงต่อสู้กันอยู่ มันคงจะใช้เวลาอีกนานก่อนที่จะตัดสินผลแพ้ชนะได้
หานเซิ่นไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอี๋ซา ด้วยความสามารถของเธอ ถึงแม้เธอจะไม่สามารถเอาชนะราชินีจิ้งจอกได้ เขาก็ไม่คิดว่าราชินีจิ้งจอกจะฆ่าอี๋ซาได้เช่นกัน
หานเซิ่นเรียนรู้วิธีที่จะควบคุมและขับวาฬขาวเรียบร้อยแล้ว แต่เขาไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องใช้มันในตอนนี้ แต่บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตข้างหน้า
ด้วยการนำทางของกุนซือไวท์ หานเซิ่นดำลึกลงไปเรื่อยๆและยิ่งพวกเขาดำลงไปลึกมากเท่าไหร่ ทะเลก็เงียบสงบขึ้นกว่าเดิม คลื่นกระแทกที่เกิดจากการต่อสู้ของอี๋ซาและราชินีจิ้งจอกมาไม่ถึงระดับน้ำที่พวกเขาอยู่
“ถ้าการคำนวณของข้าถูกต้องล่ะก็ สมบัติของผู้นำเซเคร็ดควรจะอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในร่องนี้” กุนซือไวท์ชี้ไปที่ร่องใต้น้ำขนาดใหญ่ตรงหน้า
หานเซิ่นมองลงไปในร่องและไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด มันเป็นเหมือนกับเหวไร้ก้น และถึงจะใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วง เขาก็ยังไม่เห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ภายในอยู่ดี
กุนซือไวท์และครามว่ายลงไปในนั้นอย่างไม่ลังเล หานเซิ่นขี่หลังกิเลนโลหิตตามพวกเขาไป พวกเขาทุกคนมุ่งหน้าไปในร่องลึกอันมืดมิด
ลงมาได้ไม่นาน หานเซิ่นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แผ่นหินในกระเป๋าของเขาเริ่มจะร้อนขึ้นมา
หานเซิ่นนำแผ่นหินออกมาและเมื่อเขาทำอย่างนั้น แผ่นหินก็ส่องสว่างด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ มันฉายแสงไปท่ามกลางความมืดมิดของสถานที่แห่งนั้น
“เป็นอย่างที่ข้าคิด! มีเพียงแค่คนที่มีโบราณวัตถุอยู่เท่านั้น ถึงจะเข้ามาในสถานที่ที่เก็บสมบัติที่แท้จริงของผู้นำเซเคร็ดได้”
กุนซือไวท์ดูเหมือนจะคาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว เขามองไปที่แผ่นหินขณะที่พูดออกมา
พวกเขาทั้ง 3 และอสูรอีกหนึ่งดำลึกลงไปอีก น้ำรอบๆตัวพวกเขาทั้งมืดและน่าขนลุก มันไม่สำคัญว่าสายตาของพวกเขาจะดีสักแค่ไหน พวกเขามองเห็นได้แค่ภายในแสงสว่างที่แผ่นหินมอบให้พวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมืดมิด ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่มองเห็นได้ราวกับว่าทั้งโลกเปลี่ยนเป็นสีดำ
พวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นผลของศาสตร์มายาหรือไม่ แต่หานเซิ่นสัมผัสได้ว่ามีสายตานับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองพวกเขาจากความมืดมิด
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หานเซิ่นไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองดำลึกมามากขนาดไหนแล้ว แต่ร่องนี้เป็นเหมือนกับเหวที่ไร้ก้น ไม่ว่าพวกเขาจะดำลงมาลึกสักแค่ไหน มันก็ไม่มีปลายทางปรากฏให้เห็น
เมื่อเขามองขึ้นไปด้านบน เขาก็พบว่ามันมืดมิดเช่นเดียวกัน แสงนั้นไม่สามารถลงมาในระดับน้ำที่ลึกขนาดนี้ได้
พวกเขาสร้างคลื่นเล็กๆภายในน้ำขณะที่ว่ายไป แต่มันไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นอยู่เลย คลื่นกระแทกของการต่อสู้ระหว่างอี๋ซาและราชินีจิ้งจอกมาไม่ถึงพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
เนื่องจากที่นี่มืดเกินไป แม้แต่กิเลนโลหิตเองก็เริ่มจะเป็นกังวล มันส่งเสียงขู่เบาๆออกมาขณะที่ว่ายไป
หานเซิ่นใช้มือของเขาลูบคอของกิเลนโลหิตเพื่อทำให้มันผ่อนคลาย
ครามเองก็ดูกังวลเล็กน้อยเช่นกัน ดูเหมือนว่าเขากำลังรู้สึกหวาดกลัวเช่นเดียวกับกิเลนโลหิต พวกเขารู้สึกว่าตัวเองถูกมองโดยสายตาจากในความมืดมิด แต่ทว่ากุนซือไวท์ยังคงดูใจเย็น
หานเซิ่นแน่ใจว่ามีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่นอกสายตาของพวกเขา ถ้ามันไม่ใช่เพราะเขาถือแผ่นหินอยู่ กลุ่มของพวกเขาก็คงจะประสบชะตากรรมเดียวกับเจ้าของวาฬขาวเรียบร้อยแล้ว
ทันใดนั้นก็ดูเหมือนกับว่ามีแสงสว่างเบลอๆปรากฏขึ้นใต้เท้าของหานเซิ่น เขาเพ่งความสนใจไปที่วงแหวนน้อยๆนั้น
แต่แสงสว่างนั้นเบลอเกินไป เขามองเห็นมันไม่ชัดเจน
กุนซือไวท์และครามเองก็เห็นแสงสว่างนั้นเช่นกัน พวกเขาจับจ้องไปที่มัน
ขณะที่ร่างกายของพวกเขาดำลึกลงไป แสงที่เบลอๆก็ชัดเจนและขยายใหญ่ขึ้น ในที่สุดเมื่อหานเซิ่นได้เห็นว่าแสงสว่างนั้นคืออะไร เขาก็อ้าปากค้าง
ตอนที่ 2289
ภายในทะเลลึกที่แปลกประหลาด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวพวกเขานั้นมืดสนิท
แต่ที่ก้นมหาสมุทร มันมีเมืองที่สงบเงียบเมืองหนึ่งตั้งอยู่ มันส่องสว่างราวกับดวงประทีปของแสงศักดิ์สิทธิ์
เมืองใต้น้ำนี้แตกต่างไปจากเมืองอื่นๆที่หานเซิ่นเคยเห็นมาก่อน เมืองศักดิ์สิทธิ์นี้จริงๆแล้วดูเหมือนกับรูปปั้น ทุกสิ่งก่อสร้างเป็นหนึ่งเดียวกัน
มันเป็นรูปปั้นที่สูงหลายสิบชั้นและอิฐทุกก้อนก็ถูกสร้างขึ้นมาจากหยก เมืองแห่งนี้ดูเหมือนกับรูปปั้นหยกที่มาจากอีกโลกหนึ่ง
ที่หานเซิ่นตกใจมากที่สุดก็คือรูปร่างของเมืองใต้น้ำขนาดใหญ่นี้ รูปปั้นมีรูปร่างเหมือนกับอสูรที่กำลังนอนหลับและปลายหางของมันก็ซุกเข้าไปใต้หัว
และใบหน้าของอสูรทำให้หานเซิ่นตกใจอย่างมาก
“แมวเก้าชีวิต!” หานเซิ่นเกือบจะตะโกนออกมา เมืองนี้มีรูปร่างเหมือนกับสร้อยคอแมวเก้าชีวิตที่เขาเคยเป็นเจ้าของ
เมื่อหานเซิ่นและคนอื่นเข้าไปใกล้เมืองหยกนั้น เมืองก็เริ่มดูใหญ่ขึ้น และเมื่อพวกเขาสัมผัสกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องสว่างออกมา แสงของแผ่นหินก็ระเบิดอย่างกะทันหัน
รอยร้าวปรากฏขึ้นมาบนแผ่นหิน ไม่นานหลังจากนั้นแผ่นหินก็แตกสลายในมือของหานเซิ่นและเหลือคริสตัลทิ้งเอาไว้ คริสตัลมีรูปร่างเหมือนกับหยดน้ำ มันลอยออกไปจากนิ้วมือของหานเซิ่นและพุ่งไปที่เมืองหยก
หานเซิ่นเอื้อมมือออกไปคว้ามัน แต่คริสตัลหยดน้ำนั้นรวดเร็วเกินไป หานเซิ่นคว้าน้ำเปล่าๆ ขณะที่คริสตัลบินต่อไปที่หัวของรูปปั้นแมวเก้าชีวิต
ตรงหน้าฝากของเมืองที่ดูเหมือนแมวเก้าชีวิตมีรูปปั้นหยกอยู่ รูปปั้นหยกนั้นดูเหมือนกับแมวเก้าชีวิตที่กำลังนอนหลับเช่นเดียวกัน ถึงแม้มันจะเป็นรูปปั้นที่เล็กกว่า แต่ในหน้าผากของรูปปั้นแมวเก้าชีวิตที่เล็กกว่าก็ยังมีช่องที่ดูเหมือนหยดน้ำอยู่ มันดูเหมือนกับช่องของดวงตาดวงที่ 3
คริสตัลสวมตัวเองเข้าไปในช่องรูปหยดน้ำแบบพอดิบพอดี มันพอดีซะจนไม่มีรอยต่อเหลือให้เห็น และเมื่อรูปปั้นแมวเก้าชีวิตสมบูรณ์ มันก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
รูปปั้นแมวเก้าชีวิตค่อยๆลืมตาขึ้นมา มันนอนอย่างขี้เกียจอยู่เป็นนาทีและขยับอุ้งมือไปขยี้ดวงตาแมวที่ดูง่วงของมัน มันเงยหัวขึ้นมามองหานเซิ่นและคนอื่นๆที่ลอยตัวอยู่เหนือเมืองหยก พวกเขาทั้ง 3 สงสัยว่าควรจะเข้าไปหรือไม่ แต่ทันใดนั้นแมวเก้าชีวิตก็ยกอุ้งมือขึ้นมาและโบกเรียกพวกเขาราวกับแมวนำโชค
พวกเขารู้สึกราวกับว่าถูกพลังบางอย่างที่ไม่สามารถต่อต้านได้ พวกเขาทั้งหมดรวมถึงกิเลนโลหิตถูกดูดเข้าไปที่เมืองหยกราวกับว่ามันเป็นแม่เหล็ก พวกเขาใช้พลังทั้งหมดของตัวเองเพื่อต่อต้านมัน แต่พวกเขาก็ยังถูกดึงไปอยู่ดี
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงกระแทกดังขึ้น 4 ครั้ง ขณะที่พวกเขาร่วงลงบนพื้น พวกเขาลงมาอยู่ตรงหน้าปราสาทที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของรูปปั้นแมวหยก
“ผู้คนที่น่าสงสารทั้งหลาย ยินดีต้อนรับสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์”
ตอนนี้รูปปั้นแมวเก้าชีวิตมองพวกเขาจากด้านบน เขี้ยวของมันแสยะออกมาเป็นบางครั้งดูเหมือนกับรอยยิ้ม แต่ใบหน้าของมันไม่ได้ดูรื่นเริงอะไรนัก
พวกเขาทั้ง 3 มองหน้ากัน พวกเขาไม่รู้ว่าทั้งหมดนี่คืออะไรกันแน่ แต่พวกเขาก็รู้ว่าต้องระวังตัวเอาไว้ พวกเขาจ้องมองไปที่รูปปั้นแมวเก้าชีวิต
“อย่าได้กลัว ข้าเป็นแค่สปิริตผู้พิทักษ์ที่ปกป้องเมืองแห่งนี้ ข้าจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า” แมวหยกยังคงมีรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับรอยยิ้มจริงๆ
หลังจากนั้นโทนเสียงของมันก็เปลี่ยนไป “แต่เนื่องจากพวกเจ้าเข้ามาในเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบของผู้นำของเซเคร็ดไม่ได้ พวกมันก็คงจะฆ่าพวกเจ้า”
“ทำไมพวกเราต้องยอมรับการทดสอบของเจ้าด้วย?” ครามถาม
ถึงแม้จะเป็นรูปปั้น แต่แมวเก้าชีวิตก็ดูเหมือนจะคิดด้วยตัวเองได้ มันยิ้มให้กับครามและพูด “ไม่เป็นไร ถ้าพวกเจ้าจะไม่เข้ารับการทดสอบ นั่นหมายความว่าพวกเจ้ายอมแพ้ และพวกเจ้าก็ตายซะเดี๋ยวนี้”
ครามขมวดคิ้ว เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กุนซือไวท์หยุดเขาเอาไว้
กุนซือไวท์มองไปที่รูปปั้นแมวหยกและถาม “การทดสอบแบบไหนกันที่รอพวกเราอยู่? และถ้าพวกเราผ่าน พวกเราจะได้อะไร?”
แมวหยกมองไปที่กุนซือไวท์ มันยิ้มและพูด “มันเป็นอะไรง่ายๆ แค่ใช้ชีวิตในเมืองศักดิ์สิทธิ์ ถ้าพวกเจ้ารอดชีวิตได้เป็นเวลาสิบวัน พวกเจ้าก็จะได้รับบางสิ่งจากคลังสมบัติของผู้นำเซเคร็ด ขอให้โชคดี! พยายามอย่าตายเร็วเกินไป”
หลังจากที่รูปปั้นแมวหยกพูดจบ ทุกประตูของปราสาทและห้องทั่วเมืองก็เปิดออก ซีโน่เจเนอิคที่น่ากลัวมากมายเริ่มจะคืบคลานกันออกมา เกล็ดของกิเลนโลหิตตั้งตรงราวกับขนของสุนัข มันปลดปล่อยลมปราณโลหิตออกมาพร้อมกับส่งเสียงขู่ใส่สิ่งมีชีวิตที่คืบคลานเข้ามา แต่เสียงของมันฟังดูสั่นๆราวกับว่าเจ้ากิเลนโลหิตกำลังหวาดกลัว
ซีโน่เจเนอิคทั้งหมดทำเหมือนกับว่าพวกมันไม่ได้ยินเสียงขู่ของกิเลนโลหิต พวกมันทั้งหมดออกมาจากปราสาทและมุ่งหน้ามาที่ลานกว้าง
พวกมันมองมาที่หานเซิ่น กิเลนโลหิต กุนซือไวท์และคราม
ซีโน่เจเนอิคมากมายปรากฏตัวออกมาและพวกมันส่วนใหญ่ก็เป็นชนิดที่หานเซิ่นไม่เคยรู้จักมาก่อน พวกมันบางตัวดูคุ้นเคย แต่ความคุ้นเคยนั้นก็เป็นอะไรที่คลุมเครือไม่แน่ชัด
มันมีสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนกับเฟเธอร์ที่มีปีกสีทอง 6 ปีกและกาน่าที่มีเขาของมังกร แต่พวกมันส่วนใหญ่เป็นซีโน่เจเนอิคที่หานเซิ่นไม่เคยเห็นมาก่อน พวกมันค่อยๆเคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ พลังของพวกมันล้นหลามและเพียงแค่สัมผัสได้ถึงตัวตนของพวกมันก็ทำให้หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าต้องแบกรับภูเขาทั้งลูกเอาไว้
“นกสายฟ้าระดับเทพเจ้า… สปิริตนภาระดับเทพเจ้า… นางฟ้าทอง 6 ปีกระดับเทพเจ้า… กาน่ามังกรระดับเทพเจ้า….” ครามกรีดร้อง
ทุกชื่อที่ครามตะโกนออกมาทำให้หานเซิ่นรู้สึกแย่ขึ้นเรื่อยๆ การได้เห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นทำให้หานเซิ่นมีคำถามมากมาย แค่คำพูดของครามนั้น ทำให้เขาอึ้งไป
ซีโน่เจเนอิคทั้งหมดที่เดินออกมาจากปราสาทเป็นระดับเทพเจ้าทั้งหมด
“นี่เป็นไปได้ยังไงกัน…” หานเซิ่นตกตะลึง มันมีซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้านับร้อยล้อมลานกว้างเอาไว้
ด้วยซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้ามากมายขนาดนี้ ทั้งจักรวาลจีโนก็สามารถถูกยึดครองได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ 3 เผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดร่วมมือกันก็ไม่อาจจะต่อต้านกองกำลังนี้ได้
การใช้กองกำลังขนาดนี้เพื่อทำการทดสอบเป็นเหมือนกับการใช้ระเบิดนิวเคลียร์เพื่อฆ่ายุงตัวหนึ่ง
“นี่จะต้องเป็นกลลวงอะไรบางอย่างแน่ มันต้องเป็นกลลวงแน่ๆ บางทีมันอาจจะเป็นแค่ภาพมายา เซเคร็ดไม่มีทางมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้ามากมายขนาดนี้ไปได้ และถึงพวกเขาจะมี สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าทั้งหมดก็ไม่อาจจะมาอยู่ที่นี่พร้อมกัน…”
หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะขยี้ตาตัวเอง เขาเรียกวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงออกมาเพื่อดูสิ่งมีชีวิตตรงหน้าชัดๆ
และเมื่อเขาทำอย่างนั้น เขาก็เห็นพลังที่สามารถกำราบทุกสิ่งมีชีวิตในจักรวาลได้
เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้รวมมือกัน พวกมันก็สามารถทำลายได้ทุกสิ่ง ทันใดนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เดินเข้ามาในนรก เขารู้สึกอ่อนแอและเปราะบาง ขณะที่สายตาที่ชั่วร้ายมองมาที่เขาจากความมืด
ตอนที่ 2290
หานเซิ่นสงสัยว่าผู้นำเซเคร็ดกำลังเล่นตลกอะไรกับพวกเขาอยู่หรือเปล่า พวกเขาถูกล้อมโดยซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าจำนวนมาก และหานเซิ่นก็เพิ่งจะกลายเป็นดยุกเมื่อเร็วๆนี้ แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่หานเซิ่นรู้จักก็ไม่มีโอกาสจะต่อกรกับซีโน่เจเนอิคทั้งหมดนี้ได้
“มันเป็นกับดัก!” หานเซิ่นไม่มีหนทางไหนที่จะต่อต้านกองกำลังที่ถูกส่งออกมาได้
ถึงแม้หานเซิ่นจะดูดซับโลหิตชีพจรระดับเทพเจ้าทั้ง 13 ที่ได้รับมา เขาก็จะได้รับแค่ความสามารถของพวกมันเท่านั้น แต่ระดับของเขาเองไม่ได้เลื่อนขึ้นไปสู่ระดับเทพเจ้า และเขาก็ยังคงจะถูกฆ่าตายอยู่ดี
นอกไปจากเขายังไม่มีเวลาไปดูดซับโลหิตชีพจรระดับเทพเจ้าทั้ง 12 ที่มีอยู่เลย
‘ขลุ่ยหยกที่อยู่ในมือของราชินีจิ้งจอกคือกุญแจที่จะผ่านการทดสอบนี้อย่างนั้นหรอ? บางทีมันอาจจะเล่นเสียงเพื่อกล่อมซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าทั้งหมด มันอาจจะเป็นสิ่งที่กำราบพวกมันได้โดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้’
หานเซิ่นคิด แต่มันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ เพราะตอนนี้พวกเขาไม่มีขลุ่ยนั่นอยู่
กุนซือไวท์และครามเองก็ตกใจกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่เช่นกัน พวกเขาถูกซีโน่เจเนอิคที่ทรงพลังจำนวนมากล้อมอยู่ ถึงแม้ผู้ปกครองของเอ็กซ์ตรีมคิงจะมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อช่วยพวกเขา มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร
สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวทั้งหมดมารวมตัวกันในลานกว้าง และมันก็กลายเป็นอะไรที่ค่อนข้างแออัดเมื่อพวกมันเข้ามาข้างใน เหล่าซีโน่เจเนอิคมองมาที่กลุ่มของพวกเขา และสายตาของพวกมันก็ทำให้หานเซิ่นหรือแม้แต่กุนซือไวท์หวาดกลัว
ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าบีบเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้พวกหานเซิ่นต้องขยับไปที่ใจกลางของลานกว้าง มันไม่มีหนทางให้หนีไป แต่ทันใดนั้นแมวหยกก็ไอออกมา 2 ครั้ง
หลังจากที่แมวหยกไอออกมา ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าก็หยุดเดิน พวกมันไม่ได้เข้ามาใกล้พวกเขามากกว่านั้น แต่พวกมันก็ไม่ได้เดินถอยไปเช่นกัน พวกมันเพียงแค่ยืนประจำที่และจ้องมองกลุ่มของหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
แมวหยกมองไปที่หานเซิ่นและยิ้ม “ไม่ต้องกลัว พวกมันจะยังไม่โจมตีพวกเจ้า พวกเจ้ามีเวลาหนึ่งวันในการไปที่ไหนก็ได้ภายในเมืองแห่งนี้ สำหรับวันนี้พวกมันจะยังไม่ทำอะไรพวกเจ้า ซึ่งถ้าพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่หลังจากผ่านไปสิบวัน พวกเจ้าก็จะผ่านการทดสอบ”
“พวกเราจะถูกไล่ล่าโดยซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าหนึ่งร้อยตัว แบบนั้นพวกเราจะเอาชีวิตรอดในเมืองแห่งนี้ถึงสิบวันได้ยังไง?” หานเซิ่นอยากจะต่อรองเงื่อนไขที่ดีกว่า
แมวหยกยิ้ม “พวกมันไม่ใช่ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าจริงๆ พวกมันเป็นแค่ร่างโคลนของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่ผู้นำเซเคร็ดสร้างขึ้นมาเท่านั้น พวกมันแต่ละตัวจะปลดปล่อยการโจมตีระดับเทพเจ้าได้แค่ครั้งเดียว หลังจากที่โจมตีพวกมันจะตายไป ดังนั้นพวกเจ้ายังมีโอกาสอันเล็กน้อยที่จะรอดชีวิตได้ พยายามเข้าล่ะ! โอ้ ข้าเกือบลืมบอกพวกเจ้าไปเลย ถ้าเจ้าต่อสู้กับร่างโคลนของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าตัวหนึ่ง ตัวอื่นๆจะถอยออกไป ในเวลาเวลาหนึ่งจะมีแค่ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าตัวเดียวเท่านั้นที่จะโจมตีพวกเจ้า ตัวอื่นๆจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง”
“การทดสอบเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาชีวิตรอด พวกเจ้ามีเวลาหนึ่งวันเต็มๆในการซ่อนตัว พวกเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็ได้ภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์”
แมวหยกนอนลงไปหลังจากที่พูดจบ และดูเหมือนกับว่ามันจะหลับใหลอีกครั้งหนึ่ง
หานเซิ่นพยายามจะถามคำถามอีก 2-3 คำถาม แต่รูปปั้นแมวหยกไม่ตอบสนอง ทั้งหมดที่ถูกทิ้งเอาไว้ก็คือร่างโคลนของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่กำลังมองมาที่พวกเขา
“ไปกันเถอะ! พวกเรามีเวลาแค่วันเดียว นี่เป็นโอกาสเดียวที่พวกเราจะเอาชีวิตรอด” กุนซือไวท์พูด หลังจากนั้นเขาก็เดินไปในฝูงซีโน่เจเนอิค
ร่างโคลนของซีโน่เจเนอิคที่น่ากลัวแยกตัวออกเพื่อสร้างเส้นทางให้กับเขา
หานเซิ่นตามกุนซือไวท์ออกไปจากลานกว้าง ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าทั้งหนึ่งร้อยตัวมองดูพวกเขาเดินจากไป แต่ไม่มีตัวไหนที่ไล่ตามพวกเขา
“กุนซือไวท์ เจ้ามีแผนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
กุนซือไวท์ส่ายหัว “ข้ามั่นใจว่าการออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หนทางเดียวที่พวกเราจะมีชีวิตรอดได้ถึงสิบวันได้ก็คือซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ร่างโคลนของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าหาพวกเราไม่เจอ แต่ข้าไม่คิดว่าผู้นำของเซเคร็ดจะสร้างเกมส์ซ่อนหาขึ้นมาเพราะความเบื่อ เขาต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างอยู่ ดังนั้นไม่ว่าพวกเราจะซ่อนที่ไหน พวกเราก็คงจะถูกเหล่าซีโน่เจเนอิคหาเจออยู่ดี”
“นี่เจ้าท่านหมายความว่ายังไง? พวกเราควรจะซ่อนตัวหรือไม่ซ่อนตัวกันแน่?”
ครามถามด้วยความสับสน กุนซือไวท์บรรยายผลลัพธ์ของตัวเลือกทั้ง 2 แต่มันไม่มีตัวเลือกไหนที่ฟังดูดี
หานเซิ่นหัวเราะ “กุนซือไวท์อธิบายอย่างชัดเจนแล้ว พวกเราจำเป็นต้องซ่อนตัวเป็นเวลาสิบวัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็จะถูกหาพบ นั่นหมายความว่าพวกเรามีหนทางเดียว”
“ะหนทางนั่นคืออะไร?” ครามยังไม่เข้าใจ
หานเซิ่นอธิบาย “ที่รูปปั้นแมวหยกบอกยังไม่ชัดเจนพอหรือยังไง? ถ้าพวกเราต่อสู้กับซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่ง ตัวอื่นก็จะไม่เข้ามายุ่งกับพวกเราจนกระทั่งการต่อสู้นั้นสิ้นสุด ดังนั้นพวกเราก็แค่ต่อสู้กับซีโน่เจเนอิคตัวเดียวเป็นเวลาสิบวัน ถ้าพวกเราทำอย่างนั้น ซีโน่เจเนอิคตัวอื่นก็เหมือนไม่มีตัวตน”
“อย่างนี้นี่เอง แต่พวกเราจะต่อสู้กับซีโน่เจเนอิคแค่ตัวเดียวเป็นเวลานานขนาดนั้นได้ยังไง? นี่รูปปั้นแมวหยกบอกไม่ใช่หรือว่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่อยู่ที่นี่เป็นแค่ร่างโคลน และพวกมันจะตายหลังจากการโจมตีหนึ่งครั้ง?” ครามถาม
“นั่นเป็นบางสิ่งที่เจ้าต้องถามจากกุนซือไวท์ กุนซือไวท์คิดแผนการนี้ขึ้นมา ข้าแน่ใจว่าเขาคงจะไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้ว” หานเซิ่นมองไปที่กุนซือไวท์
“ข้ามีความคิดบางอย่างอยู่ แต่การจะอยู่รอดให้ถึงสิบวัน พวกเราทั้ง 4 จำเป็นต้องร่วมมือกัน” กุนซือไวท์เริ่มอธิบายแผนการของเขา
เมื่อหานเซิ่นและครามได้ยินมัน พวกเขาก็คิดเหมือนกันว่ามันเป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไป แต่ทว่าพวกเขาไม่มีความคิดอื่นที่ดีกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงจะทำ
พวกเขาทั้ง 4 ไม่ได้ออกไปจากลานกว้างเพื่อซ่อนตัว พวกเขาแค่ลองพยายามออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมาที่ลานกว้าง พวกเขาใช้เวลาหนึ่งวันซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองแห่งนี้ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์
มันไม่สำคัญว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์จะใหญ่โตสักแค่ไหน เพราะยังไงมันก็เป็นแค่เมืองๆหนึ่ง ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าสามารถใช้ประสาทสัมผัสของมันในการหาตัวพวกเขาได้ มันมีซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าอยู่ที่นี่เป็นร้อยตัว ดังนั้นการจะหากลุ่มของหานเซิ่นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
แผนการของกุนซือไวท์อคือการใช้เวลาหนึ่งวันที่มีเพื่อเตรียมพร้อม
กุนซือไวท์คิดที่จะใช้เทคนิคในการปิดผนึกของเขากับหนึ่งในซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า ขณะที่มันยังคงไม่เคลื่อนไหว มันก็จะใช้การโจมตีระดับเทพเจ้าไม่ได้ แบบนั้นพวกเขาก็จะสามารถดึงการต่อสู้ให้ผ่านไปสิบวันได้
แน่นอนว่าซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้านั้นแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้มันจะใช้การโจมตีระดับเทพเจ้าได้แค่ครั้งเดียว แต่มันก็เป็นพลังระดับเทพเจ้าอยู่ดี กุนซือไวท์ไม่สามารถปิดผนึกพลังนั้นได้ด้วยตัวคนเดียว เขาจำเป็นต้องรวมพลังกับหานเซิ่น กิเลนโลหิตและครามเพื่อช่วยเขาในการปิดผนึก
หลังจากนั้นตราบใดที่พวกเขาไม่โจมตีร่างโคลนของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าตัวอื่น ร่างโคลนก็จะยืนนิ่งอยู่ในลานกว้างต่อไป
“จำเอาไว้ว่าผนึก 4 สัญลักษณ์ของข้าจำเป็นต้องใช้คน 4 คนถึงจะทำงานได้ ดังนั้นเมื่อการปิดผนึกเริ่มต้นแล้ว พวกเราจะเคลื่อนไหวไม่ได้ พวกเจ้าต้องส่งพลังเข้าไปผนึกเรื่อยๆ ถ้าพวกเราสูญเสียพลังของใครไป ผนึกก็จะถูกทำลาย”
กุนซือไวท์พูดอย่างจริงจัง หลังจากนั้นเขาก็ส่งพลังงานเข้าไปในตัวหานเซิ่น ครามและกิเลนโลหิต สัญลักษณ์แห่งแสงประหลาดปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของพวกเขา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น