Super God Gene 2275-2278

ตอนที่ 2275

 

หานเซิ่นแปลกใจ เมืองโกสต์โบนมีรูปปั้นของจักรพรรดิมนุษย์อยู่ และตอนนี้เขาก็พบวิชาจีโนที่เกี่ยวข้องกับวิชาโลหิตชีพจรอีก จักรพรรดิมนุษย์ ผู้นำของเซเคร็ดและพยุหะโลหิตมีความเกี่ยวข้องยังไงกันแน่?


 


หานเซิ่นไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่การได้อ่านวิชาจีโนที่อยู่ภายในหมอกควันสีแดง ทำให้หานเซิ่นดีใจอย่างมาก


 


ตั้งแต่ที่หานเซิ่นเริ่มฝึกวิชาโลหิตชีพจรมา เขาคิดว่ามันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรในเรื่องการต่อสู้ ด้านที่มีประโยชน์ที่สุดของมันก็คือความจริงที่ว่าเขาสามารถส่งผ่านยีนที่แข็งแกร่งให้กับทายาทได้


 


แต่ในขณะเขามองดูวิชาจีโนที่อยู่ภายในลูกคริสตัลนั้น หานเซิ่นก็มองเห็นความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งของวิชาโลหิตชีพจร


 


วิชาจีโนที่อยู่ภายในลูกคริสตัลเป็นวิชาจำพวกเดียวกับวิชาโลหิตชีพจร แต่มันไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว มันเหมือนกับการเปรียบเทียบกันระหว่างดอกไม้กับใบไม้ พวกมันอาจจะโตขึ้นด้วยกัน แต่พวกมันแตกต่างไปจากกัน


 


ถ้าวิชาโลหิตชีพจรเป็นดอกไม้ วิชาจีโนที่อยู่ภายลูกคริสตัลก็คือใบไม้ หน้าที่ของดอกไม้คือออกผล แต่ทว่าหน้าที่ของใบไม้คือการหายใจ


 


คำอุปมานี้อาจจะฟังดูสวยงามและอ่อนโยน แต่จริงๆแล้ววิชาจีโนนี้เป็นอะไรที่โหดร้ายมากๆ วิชาจีโนที่อยู่ภายในลูกคริสตัลสามารถขโมยเลือดของสิ่งมีชีวิตอื่นได้ วิชานี้สามารถขโมยโลหิตชีพจรของคู่ต่อสู้เพื่อมอบให้กับผู้ใช้ คู่ต่อสู้ที่สูญเสียพลังโลหิตชีพจรของตัวเองจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่หมดชีวิตชีวาราวกับถูกดูดพลังชีวิตไป


 


แต่สำหรับหานเซิ่นแล้วความโหดร้ายก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต วิชาจีโนนี้ทำงานในกฎเดียวกันกับธรรมชาติของก็อตแซงชัวรี่ ภายในก็อตแซงชัวรี่ชีวิตคือการช่วงชิงสิ่งที่สิ่งมีชีวิตอื่นมอบให้เพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น


 


หานเซิ่นนึกถึงดราก้อนเอทที่ครั้งหนึ่งเขาเคยต่อสู้ด้วย ถ้าหานเซิ่นต้องการร่างมังกรทองของอีกฝ่าย เขาก็แค่ต้องใช้วิชาจีโนใหม่นี้เพื่อขโมยชีพจรโลหิตของดราก้อนเอท ซึ่งการทำแบบนั้นหานเซิ่นก็จะขโมยร่างมังกรทองมาเป็นของตัวเองได้ มันเป็นกระบวนการง่ายๆ


 


ถ้าสาธารณชนภายในจักรวาลจีโนรู้ถึงวิชาจีโนนี้ล่ะก็ หานเซิ่นก็จะกลายเป็นศัตรูในสายตาของทุกคน มันไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนที่จะยอมให้โลหิตชีพจรของพวกเขาถูกขโมยไปโดยคนอื่น


 


หานเซิ่นพยายามจดจำวิชาจีโนที่มีชื่อว่าช่วงชิงโลหิตชีพจร และสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ใครคนอื่นได้รู้ถึงการมีอยู่ของมันเป็นอันขาด เพราะถ้าคนอื่นได้รู้ว่าเขามีวิชาที่เป็นอันตรายแบบนี้ล่ะก็ มันก็จะไม่มีใครเข้ามาใกล้เขา


 


เนื่องจากหานเซิ่นมีวิชาโลหิตชีพจรเป็นฐานอยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องฝึกช่วงชิงโลหิตชีพจร เขาสามารถใช้มันได้ในทันที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังขาดประสบการณ์ในการวิชา


หานเซิ่นจดจำวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรเอาไว้ให้ขึ้นใจและฝังมันลึกเข้าไปในความทรงจำของเขา หลังจากนั้นเขาก็บดขยี้ลูกคริสตัลสีเขียวในมือเพื่อไม่ทิ้งหลักฐานอะไรเอาไว้เบื้องหลัง


 


แต่เมื่อลูกคริสตัลสีเขียวถูกบดขยี้ หมอกควันสีแดงที่อยู่ภายในก็ไหลเข้าไปในปลายนิ้วของหานเซิ่น หมอกควันไหลผ่านผิวหนังของเขาจนกระทั่งมันไปถึงเส้นเลือดและเลือดของเขา


 


หานเซิ่นพยายามจะหยุดมัน แต่ไม่มีอะไรที่ได้ผล พลังของวิชาโลหิตชีพจรกับหมอกควันสีเลือดผสมเป็นหนึ่งเดียวกันในทันที และพวกมันก็ปฏิเสธที่จะแยกจากกัน


 


หลังจากนั้นวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรก็เริ่มทำงาน กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่นจนหานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าเขาได้ฝึกมันมาเป็นล้านๆครั้งแล้ว


 


“ใครก็ตามที่ทิ้งสิ่งนี้เอาไว้ต้องเป็นคนที่น่ากลัวมากๆ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าคนที่พบลูกคริสตัลนี้จะทำลายมันทิ้ง หมอกควันสีเลือดที่อยู่ภายในนั้นถูกเตรียมเอาไว้เพื่อช่วยให้คนที่ได้มันไปฝึกฝนวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจร ถึงแม้คนที่มาพบมันจะไม่ได้เรียนรู้วิชาโลหิตชีพจรมาก่อน แต่มันก็จะทำให้พวกเขาเข้าใจวิชาช่วงชิงโลหิตชีพจรได้อย่างรวดเร็ว”

หานเซิ่นตกใจ เห็นได้ชัดว่าใครก็ตามที่ออกแบบลูกคริสตัลนี้เข้าใจจิตวิทยาเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นคนๆนั้นก็คงจะคาดการณ์ถึงสิ่งที่หานเซิ่นจะทำไม่ได้


 


‘แต่นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่เตรียมลูกคริสตัลนี้ไม่คิดว่าคนที่ได้มันไปจะรู้เกี่ยวกับวิชาโลหิตชีพจรอยู่ก่อนแล้ว ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่พยุหะโลหิตเตรียมเอาไว้ให้กับคนของพวกเขา บางทีจริงๆแล้วผู้นำของเซเคร็ดอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพยุหะโลหิต และเขาแค่บังเอิญได้วิชานี้มา?’ หานเซิ่นยังคงครุ่นคิดกับตัวเอง


 


กุนซือไวท์และครามยังคงเดินนำไป หานเซิ่นให้กิเลนโลหิตตามเขาจากด้านหลัง


 


หานเซิ่นติดตามกุนซือไวท์ไปอีกเป็นเวลานาน พวกเขาเดินทางผ่านอีกหนึ่งร้อยปราสาทโดยไม่มีอันตรายอะไร หลังจากนั้นพวกเขาก็มาถึงที่ด่านทดสอบ


 


แต่ครั้งนี้สิ่งที่พวกเขาเห็นที่ด่านทดสอบทำให้พวกเขาแข็งทื่อไป


 


มันมีหลุมขนาดใหญ่อยู่ที่ใจกลางของปราสาทวงกลม ถ้านั่นคือด่านทดสอบที่เหมือนกับด่านแรก มันก็ควรจะมีรูปปั้นอยู่ตรงนั้น


 


“ดูเหมือนจะมีใครบางคนมาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเราและตัดสินใจทำลายรูปปั้นทิ้ง” กุนซือไวท์พูด


 


กุนซือไวท์รีบเข้าไปเพื่อตรวจสอบหลุมที่เกิดขึ้น และหานเซิ่นกับครามก็ตามเขาไปติดๆ พวกเขายืนอยู่ที่ขอบหลุมและมองลงไปในความมืดมิด สิ่งพวกเขาเห็นนั้นยืนยันข้อสันนิษฐานของกุนซือไวท์


 


ชิ้นส่วนของพื้นและรูปปั้นที่ถูกทำลายกองอยู่ที่ก้นของหลุม มันเป็นอย่างที่พวกเขาคิด มันมีรูปปั้นตั้งอยู่ตรงนี้จริงๆเพียงแต่มันถูกทำลายโดยฝีมือของใครบางคน


 


“ให้ข้าลงไปดูข้างล่างสักหน่อย” หานเซิ่นอยากรู้อยากเห็น


 


เมื่อหานเซิ่นลงไปถึงก้นบึ้งของหลุม เขาก็ค้นพบว่ามันมีอุโมงค์แยกออกไป 3 ทาง ซึ่งแต่ละอุโมงค์นำไปในทิศทางที่แตกต่างกัน


 


ครามและกุนซือไวท์ก็ลงมาด้วยเช่นกัน กุนซือไวท์มองดูเศษซากของรูปปั้นและพูด

“รูปปั้นนั้นถูกทำลายและของรางวัลอะไรก็ตามได้หายแล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจว่าใครเอามันไป รูปปั้นที่ถูกทำลายก็พูดไม่ได้อีกแล้วเช่นกัน ดังนั้นพวกเราคงจะไม่ได้รู้ถึงข้อความอะไรที่ถูกทิ้งเอาไว้”


 


“พวกเราควรจะทำยังไงกันต่อ? พวกเราจะทำตามแผนเดิมหรือตรวจสอบอุโมงค์พวกนี้ว่ามันนำไปสู่ที่ไหน?” หานเซิ่นจ้องมองไปที่หนึ่งในอุโมงค์หิน


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา และทำให้ภายในหลุมนั่นสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว มันเป็นเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ดังมากจนพวกเขารู้สึกราวกับว่าหูกำลังจะแตก


 


“การเข้าไปในอุโมงค์พวกนี้เป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไป พวกเราควรจะทำตามแผนเดิม ถ้าใครก็ตามมาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเรา พวกเขาก็ต้องกลับออกมา ถึงแม้พวกเขาจะได้สมบัติของผู้นำเซเคร็ด พวกเรายังคงมีโอกาส” กุนซือไวท์ดูไม่แจ่มใสนัก เขาบินขึ้นมาจากหลุม


 


หานเซิ่นใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อตรวจสอบรูปปั้นที่พังทลาย แต่เขาไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ หลังจากนั้นเขาก็มองเข้าไปที่อุโมงค์ที่ดูเหมือนจะประสบกับฝนฟ้าคะนอง การได้ยินเสียงสายฟ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้หานเซิ่นตัดสินใจกลับออกไปกับกุนซือไวท์


 


บางทีมันอาจจะเป็นเพราะมีใครบางคนมาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเขา แต่กุนซือไวท์เร่งมือคำนวณหาเส้นทางอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม มันดูเหมือนกับว่าเขาต้องการจะไล่ตามใครก็ตามที่นำหน้าอยู่ให้ทัน


 


ตลอดหลายปราสาทต่อมา หานเซิ่นและคนอื่นๆสามารถยืนยันได้ว่ามีใครบางคนมาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเขาจริงๆ


 


แต่กุนซือไวท์ค้นพบว่าบุคคลปริศนานั้นดูเหมือนจะไม่รู้เส้นทางที่ถูกต้อง เขาต้องลองเข้าไปในทุกประตูแห่งแสงและเขาก็ต้องเข้าไปในปราสาทที่เป็นอันตรายก่อนที่จะกลับออกมาเพื่อเปลี่ยนไปใช้เส้นทางที่ถูกต้อง


 


“บุคคลนี้ไม่รู้เส้นทางที่ถูกต้อง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มาได้ไกลถึงขนาดนี้ นั่นหมายความว่าคนๆนี้ต้องแข็งแกร่งมากๆ และเขาก็อยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน” กุนซือไวท์พูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“นั่นอาจจะเป็นไปไม่ได้! ก่อนที่พวกเราจะเข้าเทเลพอร์ตเข้ามาในนี้ ประตูของต้นไม้แก่นั้นปิดอยู่ และถ้าไม่มีแผ่นหินของหานเซิ่น เขาจะเข้ามาในนี้ได้ยังไง?” ครามถาม


 


กุนซือไวท์ส่ายหัว เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ตามกุนซือไวท์ต่อไป พวกเขาไปถึงด่านทดสอบที่ 3 โดยใช้เวลาน้อยกว่าเวลาที่ใช้ในการไปถึงด่านตรวจที่ 2 อยู่หนึ่งชั่วโมง


 


หานเซิ่นเข้าไปในด่านทดสอบที่ 3 อย่างระมัดระวัง สิ่งที่เห็นทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างและเกือบที่จะกรีดร้องออกมา

 

 

 


ตอนที่ 2276

 

ด่านทดสอบที่ 3 นั้นต่างไปจากด่านทดสอบทั้ง 2 ที่พวกเขาเพิ่งจะผ่านมาอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้มันจะเป็นภายในปราสาทเหมือนกัน แต่ว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าปราสาทอื่นๆมาก พื้นของปราสาทนั้นไม่ได้ปกคลุมด้วยพื้นหินแต่เป็นน้ำ มันเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีสะพานข้ามอยู่หลายสะพาน


 


สะพานหยกนั้นอยู่ในรูปของพระจันทร์เสี้ยว และพวกมันก็มีกันอยู่ทั้งหมด 13 สะพานด้วยกัน พวกมันกระจายกันออกไปทั้งปราสาทและแต่ละสะพานดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับเครื่องเทเลพอร์ตที่แตกต่างกันออกไป


 


และสะพานทั้ง 13 ยังทำขึ้นมาจากหยกที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย


 


รูปปั้นหินตั้งอยู่ตามรั้วของแต่ละสะพาน บางรูปปั้นดูเหมือนกับปีศาจในขณะที่รูปปั้นอื่นดูเหมือนกับเทวดา บางรูปปั้นอยู่ในรูปร่างของอสูรร้าย ขณะที่รูปปั้นอื่นดูเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่อ่อนโยน


 


ตอนนี้หานเซิ่นกำลังมองออกไปที่สะพานหยกสีม่วง รั้วของมันเป็นแถวของรูปปั้นหินที่ดูชั่วร้าย แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่หานเซิ่นมองไปที่มัน


 


หานเซิ่นกำลังมองไปที่จุดสูงสุดของสะพานสีม่วง ซึ่งมีรูปปั้นที่ดูเหมือนกับปีศาจตั้งอยู่ มันกำลังนั่งยองๆอยู่ตรงกึ่งกลางของสะพานด้วยปีกที่พับอยู่ ดวงตาของปีศาจกำลังจ้องมองลงไปข้างล่างราวกับว่าพวกมันกำลังหาอะไรบางอย่างกิน


 


ผู้หญิงคนหนึ่งถูกกำอยู่ในมือของมัน และผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนที่หานเซิ่นคุ้นเคย


 


“อี๋ซา!” หานเซิ่นเกือบที่จะกรีดร้องออกมา


 


มือหินของปีศาจสีม่วงจับอี๋ซาเอาไว้แน่น ถึงแม้ร่างกายของเธอจะถูกปกคลุมด้วยนิ้วมือของมัน แต่ใบหน้าของเธอก็เห็นได้อย่างชัดเจน เธอดูซีดเซียวอย่างมากและเลือดก็ไหลออกมาจากปากของเธอ มันดูเหมือนกับว่าเธอกำลังอยู่ในอากาศโคม่าและเส้นผมของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีขาว


 


ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็จดจำเธอได้และเขาก็มั่นใจว่านั่นคืออี๋ซา เธออยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงเหมือนกับที่เขาจำได้ เธอยังคงเป็นราชินีผู้ยิ่งใหญ่


 


‘ทำไมอี๋ซาถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ฉันคิดว่าเธอถูกอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งกลืนกินเข้าไปซะอีก’ หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัวขณะที่เขาคิดต่อไปว่า

‘ที่นี่คือปราสาทที่ตั้งอยู่บนหลังของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งอย่างนั้นหรอ?’


 


เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้หัวใจของหานเซิ่นก็เต้นอย่างบ้าคลั่ง

“ไม่แปลกใจเลยที่ผู้นำของเซเคร็ดไม่กลัวว่าคนอื่นจะมาขโมยสมบัติของเขา เขาได้ลงทุนอย่างมากเพื่อปกป้องทรัพย์สินของเขา


 


“ท่านราชินี!” หานเซิ่นตะโกนเรียกอี๋ซาที่อยู่บนสะพานโดยหวังจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมา เขาสามารถบอกได้ว่าเธอยังไม่ตาย


 


เสียงตะโกนของหานเซิ่นดังก้องด้วยคลื่นเสียง แต่การเรียกของเขาไม่ได้กระตุ้นปฏิกิริยาใดๆจากเธอ


 


“หยุดตะโกนเถอะ ถึงแม้ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าจะตะโกนใส่นาง นางก็ไม่มีทางจะได้ยินเสียงเรียกนั้น” กุนซือไวท์


 


“อ้า ข้าเข้าใจแล้ว” หานเซิ่นหันไปมองกุนซือไวท์


 


กุนซือไวท์ชี้ออกไปที่สะพานหยกและพูด “สะพานทั้ง 13 นี้มีพลังที่แตกต่างกัน การก้าวไปบนสะพานจะล็อคเจ้ากับมัน นี่คงจะต้องเป็นการทดสอบอีกอย่างที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยผู้นำของเซเคร็ด พวกเราจะต้องเลือกสะพานที่ถูกต้อง ถ้าพวกเราอยากจะผ่านการทดสอบนี้ไปอย่างปลอดภัย”


 


“พลังของสะพานนี้คืออะไร?” หานเซิ่นชี้ไปที่สะพานหยกสีม่วงที่อี๋ซาอยู่


“ถ้าข้าดูไม่ผิด รูปปั้นปีศาจที่อยู่บนสะพานนั้นคือเฮลล์โกสต์ในตำนาน รูปปั้นที่จุดศูนย์กลางจะต้องเป็นราชาเฮลล์โกสต์ มันเป็นตัวแทนของพลังนรก” กุนซือไวท์พูดขณะที่มองสะพานอย่างละเอียด


 


“พลังนรกนี่คือพลังธาตุความตายอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


กุนซือไวท์ส่ายหัว “จากคำกล่าวในตำนาน นรกคือปลายทางของผู้ที่ตายไป แต่จริงๆแล้วนรกไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับธาตุความตาย มันเป็นส่วนย่อยของธาตุอวกาศและกาลเวลา นรกคืออีกมิติหนึ่งที่แยกไปจากโลกของพวกเรา แกนของอวกาศและกาลเวลาของที่นี่แตกต่างไปจากโลกของเรา ดังนั้นพลังนรกจึงมาจากความแตกต่างในโครงสร้างของมิติ มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความตายหรือความมืด”


 


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะช่วยเธอได้ยังไง?” หานเซิ่นถาม


 


กุนซือไวท์พูด “นอกจากการฝ่าเข้าไปแล้ว ข้าไม่คิดว่าจะมีหนทางอื่นที่จะช่วยนางได้ อวกาศและกาลเวลาเป็นธาตุที่ลึกลับอย่าง ตำนานบอกเอาไว้ว่าผู้นำของเซเคร็ดสำเร็จพลังอวกาศและกาลเวลา อี๋ซาโชคร้ายที่เลือกสะพานหยกนั้น”


 


หานเซิ่นขมวดคิ้ว ถ้าอี๋ซายังไม่สามารถข้ามสะพานหยกนั้นได้ นั่นก็หมายความว่ามันจะเป็นอะไรที่ยากยิ่งกว่าสำหรับเขา


 


เพราะยังไงซะหานเซิ่นก็ยังเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง พลังในการต่อสู้ของเขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างอี๋ซาที่เป็นครึ่งเทพ


 


หานเซิ่นมองอี๋ซาที่อยู่ในกำมือของปีศาจ และเมื่อเขาสังเกตดีๆ เขาก็เห็นว่าเล็บของปีศาจกำลังจิกเข้าไปในเนื้อหนังของอี๋ซา มีเลือดกำลังไหลออกมาอย่างช้าๆ เลือดไหลไปตามเล็บของรูปปั้นและปลายเล็บเหล่านั้นก็ถูกย้อมเป็นสีแดง


 


ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อี๋ซาก็จะเหลือเวลาอีกไม่มากก่อนที่เธอจะขาดใจตาย


 


พลังของสะพานนรกทำให้หานเซิ่นมองไม่เห็นพลังชีวิตของเธอ แต่เขาสามารถบอกได้ว่าเธอเหลือเวลาอีกไม่มาก


 


กุนซือไวท์ตรวจสอบสะพานหยกทั้ง 13 สะพาน หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับมา เขาเริ่มทำการคำนวณ หานเซิ่นคิดว่าเขาต้องพยายามเลือกสะพานหยกที่สามารถข้ามไปได้อย่างปลอดภัย


 


แต่ไม่นานสีหน้าของกุนซือไวท์ก็ดูหม่นหมอง “สะพานทั้ง 13 นี้เป็นทางตัน พวกมันทั้งหมดมีพลังที่น่ากลัวคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นมันไม่มีสะพานไหนที่จะข้ามไปได้อย่างปลอดภัย นี่ผู้นำของเซเคร็ดไม่คิดจะปล่อยให้ใครรอดไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยอย่างนั้นหรอ?”


 


“ไม่สิ! มันจะต้องมีหนทางอยู่!” กุนซือไวท์เริ่มเหงื่อตก นิ้วมือของเขาแว็บวับด้วยสัญลักษณ์ ขณะที่เขาทำการคำนวณต่อไป


 


สายตาของหานเซิ่นจ้องมองไปที่สะพานหยกสีม่วง เขาเรียกวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงออกมาเพื่อวิเคราะห์โครงสร้างของสะพานหยกสีม่วงนั้น


 


หานเซิ่นรู้ว่าอี๋ซาเป็นคนที่กล้าหาญและบางครั้งก็หยิ่งยโส แต่เธอไม่ใช่คนโง่ มันไม่มีทางที่เธอจะตัดสินใจเดินไปบนเส้นทางที่ยากที่สุด


 


หานเซิ่นคิดว่าอี๋ซาเลือกสะพานนรกด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ล้มเหลว


 


แต่วิญญาณอสูรเนตรม่วงไม่สามารถวิเคราะห์อะไรได้มาก สะพายหยกม่วงดูเหมือนจะถูกปกคลุมด้วยพลังบางอย่าง หานเซิ่นมองเห็นว่าโครงสร้างลำดับของมันซับซ้อนอย่างมากเหมือนกับรังนกของเขา หานเซิ่นไม่สามารถเข้าใจมันได้ และเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นพลังแบบไหนกันแน่


 


“นี่แหละ! ถ้าพวกเราเดินไปบนบันไดนี้ พวกเราจะรอดผ่านไปได้”

ทันใดนั้นกุนซือไวท์ก็ชี้ออกไปที่สะพานหยกอย่างอิ่มอกอิ่มใจ


 


หานเซิ่นมองไปที่สะพานที่กุนซือไวท์ชี้อออกไปและเห็นว่าสะพานหยกนั้นมีสีดำสนิทราวกับหมึก รั้วของสะพายมีรูปปั้นนกที่เหมือนกับอีกาอยู่ รูปปั้นนกขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่บนเสาหินกึ่งกลางของสะพาน

 

 

 


ตอนที่ 2277

 

กุนซือไวท์อธิบาย “นกนั่นคืออีกาแห่งความตาย มันนำสิ่งมีชีวิตที่ผ่านวัฏจักรแห่งความตาย นั่นอาจจะดูเหมือนเป็นทางตัน แต่มันเป็นสะพานที่พวกเราจะรอดไปได้ นี่คือสะพานเดียวจากทั้ง 13 สะพานที่จะนำพวกเราไปถึงอีกฝากอย่างปลอดภัย การผ่านวัฏจักรชีวิตและความตาย หยินและหยาง ผู้นำของเซเคร็ดเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์อย่างมาก ถ้าข้าไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับชีวิตของผู้นำเซเคร็ดและเรียนรู้ว่าเขาเกิดใหม่ 9 ครั้ง มันก็ไม่มีทางที่ข้าจะสันนิษฐานได้ว่านี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง”


 


“เจ้าเป็นคนที่ฉลาดมากๆ กุนซือไวท์ แม้แต่ความลับของผู้นำเซเคร็ดเจ้าก็ยังรู้”

เสียงของผู้หญิงคนดังขึ้นมา ทั้งหานเซิ่นและกุนซือไวท์สะดุ้งด้วยความประหลาดใจ


 


พวกเขาหันไปและเห็นราชินีจิ้งจอกเดินมาจากด้านหลัง เธอไล่ตามพวกเขามาทันอย่างรวดเร็ว


 


ใบหน้าของกุนซือไวท์ดูหม่นหมอง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดคิดว่าราชินีจิ้งจอกจะไล่ตามพวกเขาทันเร็วแบบนี้ ถ้าเธอไม่มีความสามารถในการคำนวณหาเส้นทางที่ถูกต้องเหมือนกับกุนซือไวท์ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะคาดเดาเส้นทางได้ถูกต้องทุกครั้ง


 


แต่ทันใดนั้นเองกุนซือไวท์ก็ดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่ง เขาก้มมองร่างกายของตัวเอง


ราชินีจิ้งจอกหัวเราะ “เธอไม่จำเป็นต้องมองหา ข้าได้ทิ้งสเปรย์เอาไว้บนตัวของเจ้า มันเป็นกลิ่นที่มีแค่จิ้งจอกเปลี่ยนร่างเท่านั้นที่จะตามรอยได้”


 


หลังจากนั้นราชินีจิ้งจอกก็เลิกสนใจกุนซือไวท์ เธอหันไปมองที่หานเซิ่น

“น้องชายคนดี พวกเราพบกันอีกครั้งแล้ว! เจ้าคิดถึงพี่สาวไหม? ข้าคิดถึงเจ้ามากเลย!”


 


หานเซิ่นกำรังนกในมือแน่นขณะที่เริ่มก้าวถอยออกไป เขาอยู่ถัดออกไปจากสะพานนรก เขายิ้มให้กับเธอ

“ข้าคิดถึงพี่สาวเหมือนกัน แต่ข้าจะมีความสุขมาก ถ้าไม่ต้องเห็นหน้าท่านอีกครั้ง”


 


ราชินีจิ้งจอกยิ้มและพูด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงต้องผิดหวัง ในเมื่อตอนนี้พวกเราทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งที่นี่ เจ้าก็ควรจะทำบางสิ่งเพื่อพี่สาวคนที่เป็นห่วงใยมากไม่ใช่หรอ?”


 


“ท่านต้องการสิ่งนี้สินะ?” หานเซิ่นนำแผ่นหินออกมา เขาถือมันในมืออย่างสบายใจ


 


ดวงตาของราชินีจิ้งจอกเป็นประกาย เธอยิ้มออกมา

“น้องชายคนดี! เจ้าเข้าใจพี่สาวจริงๆ เจ้าเป็นคนที่น่ารัก! ข้าไม่อยากจะฆ่าเจ้าอย่างโหดร้าย ถ้าเจ้ามอบมันมาให้กับพี่สาว ข้าก็จะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดต่อไป”


 


“แน่นอน แต่ถ้าท่านต้องการมัน ท่านก็ต้องไล่ตามข้าให้ทัน ถ้าท่านจับตัวข้าได้ ข้าก็จะมอบมันให้กับท่าน”

หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นเขาก็ก้าวไปบนสะพานนรกพร้อมกับกิเลนโลหิต


 


กล้ามเนื้อบนใบหน้าของราชินีจิ้งจอกตึงเครียด แต่มันสายเกินไปแล้วที่จะหยุดหานเซิ่น เธอเทเลพอร์ตไปหยุดอยู่ตรงหน้าสะพาน แต่เธอไม่มีความกล้าพอที่จะก้าวขึ้นไปบนสะพาน


 


กุนซือไวท์ตกตะลึง เขาตะโกนออกมา “กลับมา! เจ้าจะข้ามสะพานนรกไม่ได้!”


 


แต่กุนซือไวท์รู้ว่าเสียเวลาเปล่าๆ  สะพานนรกนั้นหมายถึงพลังจากนรก และเป็นอย่างที่เขาเพิ่งจะอธิบาย มันเป็นพลังจากมิติที่ต่างออกไป


 


ในจังหวะที่หานเซิ่นก้าวไปเหยียบบนสะพาน เขาก็เข้าไปสู่มิติใหม่ ไม่สำคัญว่ากุนซือไวท์จะตะโกนดังสักแค่ไหน เขาก็รู้ว่าหานเซิ่นไม่ได้ยินเสียงของเขาอีกแล้ว


 


“กุนซือไวท์ มันมีหนทางไหนที่พวกเราจะเดินไปบนสะพานนี้ไหม?” ราชินีจิ้งจอกจ้องมองไปที่หานเซิ่นและกิเลนโลหิต


 


“แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็อาจจะตายได้ คิดจริงๆหรือว่าเขาจะข้ามมันไปได้สำเร็จน่ะ?” กุนซือไวท์ยิ้มแห้งๆออกมา


 


“น่าเสียดาย” ราชินีจิ้งจอกมองหานเซิ่นและถอนหายใจ เธอไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกเสียใจกับหานเซิ่นหรือแผ่นหินที่ต้องการ


 


“กุนซือไวท์ พวกเจ้านำหน้าไปก่อน” ราชินีจิ้งจอกพูด


 


กุนซือไวท์รู้สึกหม่นหมอง เขาหันไปมองคราม หลังจากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นไปบนสะพานแห่งชีวิตและความตาย


 


ราชินีจิ้งจอกมองหานเซิ่นอีกสักพัก หลังจากนั้นเธอก็ก้าวขึ้นไปบนสะพานแห่งชีวิตและความตาย


 


เมื่อหานเซิ่นก้าวขึ้นมาเหยียบบนสะพานนรก ทัศนวิสัยของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ในตอนแรกเขามองเห็นปลายสะพานได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อเขาเหยียบลงบนสะพานทุกอย่างก็เปลี่ยนไป


 


สะพานยืดตัวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และนอกจากสะพานกับทะเลสาบแล้ว มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอยู่ในทัศนวิสัยของเขา


 


หานเซิ่นมองไม่เห็นสะพานอื่น และเขาก็มองไม่เห็นราชินีจิ้งจอกและกุนซือไวท์เช่นกัน มันเหมือนกับว่าสะพานนี้อยู่ในโลกส่วนตัวของมันโดยปราศจากสิ่งอื่นๆ


 


นอกจากนั้นรูปปั้นเฮลล์โกสต์บนสะพานก็มีชีวิตขึ้นมา พวกมันทั้งหมดดูเหมือนกับปีศาจที่แท้จริง พวกมันโค้งตัวเหนือรั้วและดวงตาสีม่วงของพวกมันก็จ้องมาที่หานเซิ่น ราวกับว่าพวกมันต้องการจะกลืนกินเขาทั้งเป็น


 


ร่างกายของพวกมันถูกห่อหุ้มไปด้วยเปลวไฟสีม่วง  ทำให้ทั้งสะพานถูกล้อมด้วยเปลวไฟสีม่วงทั้ง 2 ด้าน มันเป็นภาพที่น่าหวั่นใจ


 


หานเซิ่นถือรังนกเอาไว้ขณะที่มองออกไป แต่เขามองไม่เห็นรูปปั้นเฮลล์โกสต์ขนาดใหญ่และอี๋ซาที่อยู่ตรงใจกลางสะพานอีกแล้ว


 


หานเซิ่นกัดฟัน เขากำรังนกเอาไว้แน่นและเริ่มเดินออกไปข้างหน้าพร้อมกับกิเลนโลหิต


 


หานเซิ่นเชื่อว่าอี๋ซาต้องมีเหตุผลบางอย่างที่เลือกสะพานนรก แถมราชินีจิ้งจอกก็ตามเขามาจนทัน นั่นหมายความว่าหานเซิ่นไม่มีตัวเลือกอื่นในเรื่องนี้ เพราะการจะเดินไปบนสะพานอื่นร่วมกับเธออาจจะเป็นอะไรที่อันตรายยิ่งกว่า


 


หานเซิ่นค่อยๆเดินไปบนสะพานอย่างช้าๆขณะที่ถือรังนกเอาไว้ เฮลล์โกสต์ที่อยู่เหนือรั้วของสะพานยังคงจ้องมองมาที่เขา ดวงตาของพวกมันติดตามเขาไปเรื่อยๆ พวกมันมองหานเซิ่นและกิเลนโลหิตอย่างไม่ละสายตา


 


บางทีพวกมันอาจจะเกรงกลัวรังนกของหานเซิ่น และนั่นก็เป็นเหตุผลที่พวกมันตัดสินใจไม่ทำอะไร พวกมันเพียงแค่จ้องมองเขา


 


หานเซิ่นเดินไปบนสะพานอยู่สักพัก แต่ไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกแย่


 


หานเซิ่นมีรังนกปกป้องร่างกาย แต่เขาสังเกตได้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับเขา


 


“รังนกของอันดายอิ้งเบิร์ดป้องกันพลังของสะพานนรกไม่ได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นก้มมองร่างกายตัวเองและร่างกายของกิเลนโลหิต


 


ร่างกายของเขาและกิเลนโลหิตถูกย้อมเป็นสีม่วง ยิ่งเขาเดินไปไกลเท่าไหร่ ผิวของเขาก็กลายเป็นสีม่วงที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ


 


ก่อนหน้านี้กิเลนโลหิตมีร่างกายสีแดง แต่ตอนนี้มันก็ไม่สามารถป้องกันการถูกย้อมด้วยสีม่วงได้


 


ถึงหานเซิ่นจะไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีผลกระทบต่อร่างกายของพวกเขายังไง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ


 


หานเซิ่นหยุดเดินและใช้วิชาโลหิตชีพจรกับกายหยก แต่เขาไม่สามารถขจัดลมปราณสีม่วงออกจากผิวหนังได้ และถึงแม้พวกเขาจะหยุดเดิน ลมปราณสีม่วงก็ยังคงแข็งแกร่งขึ้น


 


หานเซิ่นเรียกใบเสมาราชาแมลงปีศาจสีทองออกมา แต่มันก็ไม่มีประโยชน์เช่นเดียวกัน


 


หานเซิ่นมองไข่นกสีแดงและพบว่ามันไม่มีลมปราณสีม่วงแทรกซึมเข้าไป นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย


 


ถ้าไข่ของนกน้อยสีแดงไม่ได้รับผล อย่างนั้นแล้วนั่นก็หมายความว่ามันยังมีหนทางที่จะต่อต้านพลังนี้ มันไม่ใช่อะไรที่ไร้เทียมทาน


 


หานเซิ่นมองกลับไปด้านหลังและเห็นว่ามันไม่มีเส้นทางด้านหลังอีกแล้ว มันไม่มีปลายทางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หานเซิ่นกัดฟันของเขา

 

 

 


ตอนที่ 2278

 

เฮลล์โกสต์ทั้ง 2 ข้างจ้องมองหานเซิ่นและกิเลนโลหิตอย่างเลือดเย็น พวกมันเป็นเหมือนกับฝูงชนที่มารวมตัวกันเพื่อดูพิธีศพ พวกมันไม่คิดจะทำอะไรเพื่อหยุดผู้บุกรุก


 


ขณะที่หานเซิ่นเดินต่อไป เขาก็คิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง

‘คนที่อยู่ด้านนอกจะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนนี้? ดังนั้นเหล่าเฮลล์โกสต์จริงๆแล้วก็เป็นแค่รูปปั้นเท่านั้น ที่พวกมันดูเหมือนมีชีวิต นั่นก็เพราะเราอยู่บนสะพานนี้ มันเป็นไปได้ที่พลังบางอย่างของสะพานจะทำให้พวกมันดูมีชีวิตขึ้นมา ถึงเฮลล์โกสต์จะไม่โจมตีพวกเรา แต่พวกมันก็อาจจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปลดปล่อยพลังบางอย่าง’


 


“ถ้าข้อสันนิษฐานนี้ถูกต้องล่ะก็ แล้วอี๋ซาไปอยู่ในกำมือของรูปปั้นนั้นได้ยังไง? หรือมีเพียงแค่รูปปั้นเฮลล์โกสต์แค่รูปเดียวที่เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างนั้นใช่ไหม?” หานเซิ่นสงสัย


 


หานเซิ่นและกิเลนโลหิตยังคงเดินต่อไปบนสะพาน ผิวของพวกเขาสีเข้มขึ้นเรื่อยๆขณะที่พวกเขาเดินไป แต่หนทางข้างหน้าของพวกเขาก็ยังคงปลอดโปร่ง สะพานหยกสีม่วงทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 


ลมปราณสีม่วงดูเหมือนจะไม่มีผลกระทบอะไรกับร่างกายของพวกเขา แต่มันก็ทำให้หานเซิ่นรู้สึกกังวลอยู่ดี


 


‘ลมปราณสีม่วงนี้อาจจะกำลังอยู่ในกระบวนการรวบรวมพลัง ยิ่งมันรวบรวมได้มากๆ การระเบิดก็จะเป็นอะไรที่รุนแรงยิ่งขึ้น’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


เนื่องจากความยาวของสะพานถูกยืดออกโดยมิติที่บิดเบือน หานเซิ่นจึงตัดสินใจขี่หลังกิเลนโลหิตและให้มันวิ่งไปด้วยความเร็วสูงสุด และหลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งร้อยชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นกึ่งกลางของสะพาน


 


มันเป็นเหมือนกับที่หานเซิ่นเห็นจากด้านนอก อี๋ซาอยู่ในกำมือของเฮลล์โกสต์ตัวใหญ่ยักษ์ที่ดูชั่วร้าย แต่ภาพที่เห็นในตอนนี้ต่างออกไปจากเดิมเมื่อเขามายืนอยู่บนสะพาน เฮลล์โกสต์ตัวใหญ่ยักษ์ไม่ใช่แค่รูปปั้นอีกต่อไป มันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ


 


หัวของมันมีเขาคู่สีม่วงที่ดูเหมือนกับเขาของวัวกระทิง ร่างกายของมันดูเหมือนกับลิงป่า มันกำอี๋ซาเอาไว้แน่นและดวงตาของมันก็เรืองแสงสีม่วง


 


“ราชินี!” หานเซิ่นตะโกนเรียกอี๋ซาขณะที่ขี่กิเลนโลหิตเข้าไปหาเธอ


 


ในตอนที่หานเซิ่นเรียกเธอจากด้านนอก อี๋ซาไม่ได้ยินเสียงของเขา แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาอยู่ในมิติเดียวกัน หานเซิ่นก็คิดว่าเธออาจจะได้ยินของเขา


 


อี๋ซาค่อยๆเปิดตาอย่างช้าๆ เธอพยายามเงยหัวขึ้นมาเพื่อมองไปที่หานเซิ่น มันเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่


 


เมื่อเธอเห็นหานเซิ่นกำลังตรงเข้ามา สีหน้าของอี๋ซาก็ดูแปลกๆ เธอจ้องมองเขาอยู่สักพักราวกับว่าเธอพยายามจะตัดสินว่าหานเซิ่นอยู่ที่นี่จริงๆหรือว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพหลอน


 


“ราชินี ท่านเป็นอะไรไหม?” หานเซิ่นตะโกนขณะที่เดินเข้าไปหาเธอ


 


เฮลล์โกสต์ที่จับตัวอี๋ซาอยู่ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร มันแค่กำอี๋ซาเอาไว้แน่นต่อไปราวกับว่ามันไม่ได้สังเกตเห็นหานเซิ่นและกิเลนโลหิต


 


“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” อี๋ซาพูดออกไป หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่าเธอแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงจะพูด


 


“เรื่องมันยาว พวกเราค่อยคุยกันทีหลัง บอกข้ามาว่าข้าจะช่วยท่านได้ยังไง?” หานเซิ่นถาม


 


อี๋ซาส่ายหัวของเธอ “เจ้าควรจะหาหนทางช่วยตัวเองก่อน ร่างกายของเจ้ากำลังสะสมลมปราณนรกเข้าไปเรื่อยๆ ถ้าเจ้าไม่รีบไปจากที่นี่ ในอีกไม่นานเฮลล์ก็จะเห็นเจ้า และเมื่อถึงตอนนั้นมันจะสายเกินไปที่เจ้าจะหนีไป”


 


“ท่านเลือกสะพานนรกด้วยเหตุผลบางอย่างใช่ไหม?” หานเซิ่นถาม


 


“อย่ามัวเสียเวลา รีบไปซะ!” อี๋ซาขมวดคิ้วใส่เขา


 


“ข้าไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ที่นี่ มันมียอดฝีมือระดับเทพเจ้ารอข้าอยู่ และนางก็เป็นศัตรูของข้า ถึงแม้ข้าจะรอดไปจากที่นี่ได้ ข้าก็ต้องตายอยู่ดี” หานเซิ่นพูด


 


อี๋ซาดูประหลาดใจ “เจ้านี่เป็นตัวปัญหาจริงๆ ช่างเถอะ ไหนๆเจ้าก็มาอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราก็ลองอะไรบางอย่างดู บางทีพวกเราอาจจะรอดชีวิตจากที่นี่ไปด้วยกัน”


 


“ราชินี! ท่านมีหนทางที่จะออกไปจากที่นี่อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


อี๋ซายิ้มและพูด “ข้าเลือกสะพานนรกก็เพื่อใช้พลังนรกในการปลุกเลือดรีเบทบรรพบุรุษในตัว แบบนั้นข้าจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ แต่ข้าทำไม่สำเร็จ ในเมื่อเจ้ามาอยู่ที่นี่ บางทีเจ้าจะช่วยให้ข้าได้ลองดูอีกครั้ง ถึงโอกาสสำเร็จจะต่ำ แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองดู”


 


“ข้าจะช่วยท่านได้ยังไง?” หานเซิ่นรีบถาม


 


อี๋ซาหายใจเข้าลึกและค่อยๆพูด “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าว่ารีเบทบรรพบุรุษของพวกเราเป็นทาสของคนสำคัญคนหนึ่งในหมู่เอ็กซ์ตรีมคิง คนๆนั้นถูกเรียกว่าราชาเฮลล์ เขามีร่างเฮลล์ก็อตที่มีพลังนรกที่เข้มข้นอยู่”


 


อี๋ซาเริ่มไอออกมา เธอหายใจเข้าลึกอีกครั้งก่อนที่จะพูดต่อ

“เพราะเขาปฏิบัติกับบรรพบุรุษของพวกเราเป็นอย่างดี ราชาเฮลล์ได้ใส่เลือดของเขาเข้าไปในตัวนาง บรรพบุรุษของพวกเราจึงกลายเป็นระดับเทพเจ้าและคิดค้นพลังเขี้ยวขึ้นมา ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะเลือดของราชาเฮลล์”


 


“น่าเสียดายที่เลือดของราชาเฮลล์ในตัวข้านั้นเบาบางเกินไป รีเบทบรรพบุรุษได้รับของขวัญที่ทรงพลังมา แต่นางไม่ได้มีเลือดโดยธรรมชาติ ด้วยเหตุนั้นเมื่อมันถูกถ่ายทอดไปสู่ลูกหลาย เลือดของราชาเฮลล์ก็เลยอ่อนลงไป หลังจากผ่านไปอย่างยาวนาน เลือดของราชาเฮลล์ก็เบาบางซะจนเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอยู่อีกแล้ว ข้าต้องการใช้พลังนรกเพื่อปลุกเลือดของราชาเฮลล์ให้ตื่นขึ้นมา แต่มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป หรือไม่อย่างนั้นสายเลือดของเขาก็ไม่ได้หลงเหลืออยู่ในตัวของพวกเราอีกต่อไปแล้ว”


 


อี๋ซามองไปที่หานเซิ่น “แต่ตอนนี้ถึงมันจะเป็นโอกาสหนึ่งในพันล้าน พวกเราก็ต้องลองดู แต่ทว่าข้าไม่มีพลังอีกแล้ว ดังนั้นข้าต้องใช้พลังของเจ้าช่วย ถ้ามันไม่ได้ผล เจ้าและข้าก็จะตายไปด้วยกัน ถ้าเจ้าไม่อยากจะเสี่ยง เจ้าก็ควรจะรีบหนีไปจากที่นี่ซะในขณะที่มันยังมีเวลา”


 


“ข้าจะช่วยท่านได้ยังไง?” หานเซิ่นถามซ้ำ


 


ถ้าหานเซิ่นไม่ช่วยอี๋ซา มันก็ไม่สำคัญว่าเขาจะรอดชีวิตออกไปจากสะพานนรกได้หรือไม่ เพราะราชินีจิ้งจอกจะรอเขาอยู่ที่นั่น


 


แต่ถ้าเขาช่วยอี๋ซากลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ สถานการณ์ก็อาจจะเปลี่ยนไป อี๋ซาเป็นอาจารย์ของเขา ถ้าเขาช่วยชีวิตเธอ อี๋ซาก็จะต้องช่วยเหลือเขาชิงสมบัติที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยผู้นำของเซเคร็ดแน่


 


และด้วยการที่มียอดฝีมือระดับเทพเจ้าอยู่ข้างกาย หานเซิ่นก็จะไม่หวาดกลัวต่อราชินีจิ้งจอกอีกต่อไป


 


อี๋ซาถอนหายใจ เธอมองเฮลล์โกสต์และพูดกับหานเซิ่น

“รูปปั้นเฮลล์โกสต์นี้คือกุญแจของสะพานนรกนี้ พลังทั้งหมดของสะพานนรกออกมาจากรูปปั้นนี่ ถ้าข้าเอาเลือดของมันมาได้ บางทีข้าอาจจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า…”


 


อี๋ซาหายใจเข้าลึกๆและพูดต่อ “อีกอย่างหนึ่งมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันเป็นแค่รูปปั้นที่มีเลือดนรกเท่านั้น ตอนนี้มันถูกดึงดูดด้วยพลังของข้า และพลังส่วนใหญ่ของมันก็มุ่งเน้นมาที่ข้าเพียงคนเดียว เจ้าต้องใช้โอกาสนี้เพื่อทำลายร่างกายของมันและเก็บเอาเลือดนรกมาช่วยให้ข้ากลายเป็นระดับเทพเจ้า แต่โอกาสสำเร็จนั้นเป็นอะไรที่ต่ำ…”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)