Super God Gene 2267-2270
ตอนที่ 2267
หานเซิ่นยืนอยู่บนภูเขาดอกบัวและมองดูด้วยความดีใจ ขณะที่เจ้ากิเลนโลหิตเข้าร่วมวง หานเซิ่นคาดเดาว่ากิเลนโลหิตนั้นกลืนกินกิเลนสีดำจนเสร็จสิ้นแล้ว เพราะตอนนี้มันกลายเป็นระดับครึ่งเทพ นอกจากนั้นแล้วกิเลนโลหิตยังอยู่ภายในไวท์โบนเฮลล์ที่เป็นถิ่นของมัน การโจมตีที่มันปล่อยออกไปทำให้เอ็ดเวิร์ดและราชาอัศวินไอซ์บลูโซเซถอยไปด้านหลัง
หลังจากผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วินาที กิเลนโลหิตก็ฉีกอัศวินไอซ์บลูระดับราชัน 2 คนเป็นชิ้นๆเรียบร้อยแล้ว หานเซิ่นรู้สึกมีความสุขขณะที่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น
“พวกเจ้าต้านอสูรตัวนี้เอาไว้! ข้าจะไปจับตัวหานเซิ่น”
เอ็ดเวิร์ดตะโกน เขารีบตรงไปที่ภูเขาโลหิตเพื่อจะจับตัวหานเซิ่นให้มันจบๆไป
เจ้ากิเลนโลหิตกำลังอยู่ระหว่างการฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่ง มันไม่สนใจที่จะป้องกันด้านข้างของมัน มันจดจ่ออยู่กับการโจมตีใส่ราชาอัศวินไอซ์บลูโดยไม่ได้เหลียวมองเอ็ดเวิร์ด
หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ “สติปัญญาของเจ้าตัวนี้จำเป็นต้องได้รับการพัฒนา”
ถึงแม้ราชินีจิ้งจอกจะฟาดใส่เอ็ดเวิร์ด และทำให้เขาบาดเจ็บหนัก แต่ร่างกายครึ่งเทพของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะประมาทได้ เขาวนอ้อมการต่อสู้ของกิเลนโลหิตกับราชาอัศวินไอซ์บลูและมาถึงตรงหน้าหานเซิ่นในเวลาไม่นาน หานเซิ่นรู้ว่าการพยายามจะหนีไปด้วยความเร็วเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หานเซิ่นตีใส่บลัดสกอร์เปี้ยนเจดดรัมที่เอวและส่งพลังเสียงที่น่ากลัวเข้าใส่หน้าผากของเอ็ดเวิร์ดราวกับเข็ม
เอ็ดเวิร์ดเบ่งเสียงและเปลี่ยนร่างกายเป็นสีทอง ทำให้พลังเสียงของบลัดสกอร์เปี้ยนเจดดรัมไม่สามารถเจาะทะลุร่างกายของเขาได้
ร่างสีทองของเอ็ดเวิร์ดเฉิดฉายราวกับดวงอาทิตย์ หานเซิ่นรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองหนักอึ้งขึ้นมาทันที ราวกับว่าเขากำลังแบกภูเขาทั้งลูกเอาไว้
หานเซิ่นรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ภายใต้พลังพิเศษของเอ็ดเวิร์ด
หลังจากที่ดยุกกลายเป็นราชัน พลังธาตุของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก พวกเขาสามารถใช้พลังของตัวเองปกคลุมดินแดนรอบๆตัว พลังของเอ็ดเวิร์ดนั้นมีผลในการกำราบศัตรูด้วยภาระที่หนักอึ้ง มันคล้ายคลึงกับพลังดีปบลูอะบิสของราชาอัศวินไอซ์บลูอยู่เล็กน้อย
เอ็ดเวิร์ดนั้นไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว เขารีบเอื้อมมือออกไปจับตัวหานเซิ่นที่ตอนนี้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
หานเซิ่นพยายามจะต่อต้าน แต่พลังธาตุของระดับราชันเป็นอะไรที่แข็งแกร่งเกินกว่าจะต่อต้านได้ แถมเอ็ดเวิร์ดยังเป็นถึงครึ่งเทพ ถึงแม้พลังธาตุของหานเซิ่นจะถือว่ายอดเยี่ยมในระดับดยุก แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีนี้ได้ เขาไม่สามารถเอาชนะน้ำหนักที่กดลงบนตัวของเขาได้
แต่ในตอนที่มือของเอ็ดเวิร์ดเกือบจะถึงคอของหานเซิ่นนั้น หานเซิ่นก็ยกรังนกน้อยๆขึ้นมา ขณะที่มืออีกข้างยกดาบขึ้นมาและแทงมันเข้าไปที่อกของเอ็ดเวิร์ด
เอ็ดเวิร์ดแปลกใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะปัดป้องพลังของเขาได้ และในตอนนี้พวกเขาก็อยู่ใกล้กันเกินกว่าที่เอ็ดเวิร์ดจะป้องกันการโจมตีของหานเซิ่นได้ แต่เอ็ดเวิร์ดนั้นเมินเฉยต่อการโจมตีของหานเซิ่นและยังคงยื่นมือออกไปจับคอของหานเซิ่น
หานเซิ่นเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง ถึงแม้อาวุธที่เขาใช้จะเป็นระดับเทพเจ้า มันก็ทำความเสียหายต่อร่างกายครึ่งเทพของเอ็ดเวิร์ดไม่ได้มากนัก ถ้าในครั้งนี้เขาสามารถจับตัวหานเซิ่นเอาไว้ได้ล่ะก็ เอ็ดเวิร์ดก็ไม่รู้สึกกังวลที่จะรับการโจมตีนั้น
ในจังหวะที่นิ้วมือของเอ็ดเวิร์ดเข้ามาใกล้คอของหานเซิ่น ธันเดอร์ก็อตสไปค์ก็แทงเข้าไปในชุดเกราะของเอ็ดเวิร์ด
ชุดเกราะนั้นหยุดธันเดอร์ก็อตสไปค์เอาไว้ได้ แต่สายฟ้าสีเงินของธันเดอร์ก็อตสไปค์เมินเฉยต่อการป้องกันของชุดเกราะนั้นอย่างสมบูรณ์ เอ็ดเวิร์ดตกตะลึงขณะที่สายฟ้าช็อตร่างกายของเขาจนกระเด็นออกไป
เคร๊ง!
หานเซิ่นตีใส่บลัดสกอร์เปี้ยนเจดดรัมอีกครั้ง ในขณะที่เอ็ดเวิร์ดยังคงเป็นอัมพาตจากการถูกไฟฟ้าช็อต เขาไม่สามารถรวบรวมสติได้เร็วพอจะป้องกันพลังเสียงที่เข้ามา
“อ้า!” แม้แต่ยอดฝีมือระดับครึ่งเทพ การได้ยินเสียงบลัดสกอร์เปี้ยนเจดดรัมนั้นก็ทำให้รู้สึกเหมือนกับการถูกเข็มแทงเข้าไปในหัว เอ็ดเวิร์ดอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมา
หานเซิ่นเก็บรังนกกลับไปขณะที่ยังคงตีใส่เจดดรัมซ้ำๆ ก่อนที่จะเทเลพอร์ตไปตรงหน้าเอ็ดเวิร์ดและใช้ธันเดอร์ก็อตสไปค์แทงใส่เอ็ดเวิร์ดอีกครั้ง
แต่ถึงแม้จะมึนหัวและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เอ็ดเวิร์ดก็ยังรวบรวมพลังเพื่อป้องกันการโจมตีครั้งต่อไปของหานเซิ่นได้
ธันเดอร์ก็อตสไปค์ไม่ได้มีพลังทำลายล้างสูงอะไร แต่สายฟ้าที่มันปลดปล่อยออกมาสามารถทะลุผ่านการป้องกันได้ทุกรูปแบบ และมันก็พุ่งเข้าไปในทุกเซลล์ของร่างกายเอ็ดเวิร์ด
แต่หานเซิ่นยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะใช้มากไปกว่าเศษเสี้ยวของพลังที่แท้จริงของธันเดอร์ก็อตสไปค์ เอ็ดเวิร์ดจึงแค่ปวดชาเล็กน้อย ถ้าธันเดอร์ก็อตสไปค์ถูกใช้โดยบางคนที่เป็นครึ่งเทพเหมือนกัน การโจมตีแบบจังๆครั้งหนึ่งก็อาจจะทำให้เอ็ดเวิร์ดสั่นไม่หยุดไปทั้งวัน
พลังเสียงของบลัดสกอร์เปี้ยนเจดดรัมยังคงซัดใส่เอ็ดเวิร์ดราวกับสายธารที่ต่อเนื่อง แต่เอ็ดเวิร์ดอดทนต่อความปวดชาที่ได้รับจาดสายฟ้าและสร้างโล่ป้องกันตัวเองอีกครั้ง พลังเสียงของเจดดรัมเริ่มที่จะถูกสะท้อนออกไปจากเขา
‘เราอ่อนแอเกินไป! ถ้าเราแข็งแกร่งกว่านี้ล่ะก็ เอ็ดเวิร์ดก็คงจะรวบรวมพลังมาต้านทานพลังเสียงของเจดดรัมไม่ได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง แต่เขายังคงเคลื่อนไหวต่อไป และแทนที่จะแทงด้วยธันเดอร์ก็อตสไปค์ เขาเปลี่ยนไปทุบใส่เอ็ดเวิร์ดราวกับว่ามันเป็นกระบอง
ไฟฟ้าทั้งหมดนั้นทำให้เอ็ดเวิร์ดดิ้นไปกับพื้นราวกับว่าเขากำลังเป็นลมชัก เขาเป็นเหมือนกับคนที่กำลังถูกตีด้วยกระบองช็อตไฟฟ้า
ราชาอัศวินไอซ์บลูและคนอื่นๆที่กำลังต่อสู้อยู่กับกิเลนโลหิตนั้นอึ้งไป เอ็ดเวิร์ดที่เป็นระดับครึ่งเทพกำลังนอนชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น ขณะที่หานเซิ่นทุบใส่เขาอย่างไม่ยั้ง มันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง
พวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของเอ็ดเวิร์ดดี และดยุกคนหนึ่งก็ไม่ควรจะต้านทานแสงแห่งเทพสีทองของเขาได้
แต่หานเซิ่นดูเหมือนจะไม่ได้รับผลของมันเลยแม้แต่นิดเดียว ขณะที่เขาทุบใส่เอ็ดเวิร์ดอย่างไม่หยุด การป้องกันของเอ็ดเวิร์ดไม่สามารถหยุดยั้งสายฟ้าที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากธันเดอร์ก็อตสไปค์ได้ เขากรีดร้องอย่างไม่หยุดขณะที่มีฟองออกมาจากปาก มันเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวที่จะได้เห็น
หานเซิ่นยังคงทุบใส่เอ็ดเวิร์ดต่อไป ขณะที่สงสัยว่าเขาจะฆ่าชายคนนี้ได้ยังไงกัน
สายฟ้าของธันเดอร์ก็อตสไปค์ทะลุการป้องกันของคู่ต่อสู้ได้ แต่มันไม่สามารถฆ่าใครได้ และหานเซิ่นก็ไม่สามารถทำเรื่องนั้นได้ด้วยตัวเอง เขาอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำลายชุดเกราะของอีกฝ่ายได้
“เจ้ากิเลนโลหิต!” หานเซิ่นคิดขึ้นมาได้ หลังจากนั้นเขาก็ตะโกนเรียกมัน
เจ้ากิเลนโลหิตยังคงไล่ล่าคนอื่นอยู่ แต่ราชาอัศวินไอซ์บลูและกลุ่มของเขาไม่กล้าจะปะทะกับมันตรงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ล่อมันกลับไปกลับมา
สติปัญญาของเจ้ากิเลนโลหิตนั้นต่ำ พวกเขาจึงสามารถล่อมันไปซ้ายขวาหน้าหลังได้
แต่ด้วยเสียงตะโกนของหานเซิ่น เจ้ากิเลนโลหิตก็หันมามองทางเขา เมื่อมันเห็นหานเซิ่นกำลังทุบใส่เอ็ดเวิร์ดอยู่ ดวงตาของมันก็เป็นประกาย มันวิ่งเข้ามาและงับหัวของเอ็ดเวิร์ด ชุดเกราะถูกทำลายและหัวของเอ็ดเวิร์ดก็ถูกกัดขาดในคำเดียว
เลือดจำนวนมากพุ่งออกมาจากคอของชายคนนั้นและอาบตัวของกิเลนโลหิต มันกลืนหัวของเอ็ดเวิร์ดเข้าไปในคำเดียว ภาพนั้นทำให้ราชาอัศวินไอซ์บลูและคนอื่นๆสั่นด้วยความหวาดกลัวและความโกรธ
ตอนที่ 2268
หานเซิ่นกระโดดขึ้นหลังกิเลนโลหิต หลังจากนั้นกิเลนโลหิตก็คำรามและบินเข้าไปหาพวกราชาอัศวินไอซ์บลู
“ไม่ต้องสนใจหมอนั่น ฆ่าคนอื่นก่อน” หานเซิ่นออกคำสั่งพร้อมกับแทงธันเดอร์ก็อตสไปค์เข้าใส่อัศวินไอซ์บลู
กิเลนโลหิตรับคำสั่งด้วยการคำรามออกมา
“บุก!” ราชาอัศวินไอซ์บลูออกคำสั่งกับอัศวินไอซ์บลูคนอื่นๆขณะที่เขาแกว่งดาบใหญ่เข้าใส่กิเลนโลหิต
แต่กิเลนโลหิตไม่สนใจอะไรอัศวินคนอื่น ก่อนหน้านี้เหล่าอัศวินสามารถใช้ประโยชน์จากสติปัญญาที่ต่ำของกิเลนโลหิตได้ แต่ตอนนี้มันเคลื่อนไหวตามคำสั่งของหานเซิ่น พวกเขาจึงพบว่าการจะรับมือกับกิเลนโลหิตนั้นเป็นอะไรที่ยากลำบาก
“หานเซิ่น ถ้าเจ้ายังทำแบบนี้ต่อไป เจ้าจะไม่มีวันได้กลับเข้าหน่วยอัศวินไอซ์บลูอีก!”
ราชาอัศวินไอซ์บลูตะโกน เมื่อเห็นอัศวินไอซ์บลูคนหนึ่งถูกกิเลนโลหิตฉีกเป็นชิ้นๆ
“ฉันออกจากหน่วยอัศวินไอซ์บลูเรียบร้อยแล้ว เจ้าคิดจริงๆหรือว่าฉันจะกลับไปอีกหลังจากเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นน่ะ? ในตอนที่พวกเจ้าตัดสินใจต่อสู้กับข้า พวกเจ้าก็ควรจะสวดภาวนาและเตรียมตัวรับความตาย!” หานเซิ่นตะโกนกลับไป
ราชาอัศวินไอซ์บลูไม่พูดอะไรอีก เขาปฏิบัติกับหานเซิ่นในฐานะลูกศิษย์ของอี๋ซา เขาคิดกับหานเซิ่นในฐานะรุ่นน้อง และเขาไม่เคยคิดว่าจะต้องเห็นชายหนุ่มเป็นศัตรูคนหนึ่ง
ถึงแม้หานเซิ่นจะทรยศต่ออัศวินไอซ์บลู ทั้งหมดที่ราชาอัศวินไอซ์บลูต้องการก็คือสั่งสอนบทเรียนให้กับเขาในฐานะรุ่นพี่ เขาต้องการจะจับตัวหานเซิ่นและลากเขากลับไปในตำแหน่งที่ถูกต้องภายในหน่วยอัศวินไอซ์บลู
ตอนนี้ราชาอัศวินไอซ์บลูเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเขามองหานเซิ่นผิดไป เขาไม่เคยคำนึงหานเซิ่นในฐานะคนที่เท่าเทียมมาก่อน และมันไม่เคยผุดขึ้นมาในหัวของเขาว่าหานเซิ่นจะมองเห็นเขาเป็นคู่แข่งขันหรือคู่ต่อสู้คนหนึ่ง
หานเซิ่นไม่ใช่รุ่นน้องที่จำเป็นต้องได้รับการปกป้อง แต่หานเซิ่นเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจ เขามีสิ่งที่จำเป็นในการอยู่รอดและก้าวหน้าไปในโลกที่โหดร้ายนี้ เขาสามารถปกป้องตัวเองได้ ถึงแม้ศัตรูที่ทรงพลังมากมายต้องการจะฆ่าเขา
ราชาอัศวินไอซ์บลูรู้สึกตัวสายเกินไป ถ้าเขาคำนึงหานเซิ่นว่าเป็นภัยตั้งแต่ตอนแรก เขาก็คงจะไม่มอบโอกาสให้หานเซิ่นหนีออกมาจากฐานทัพได้ เขาจะจัดการกับหานเซิ่นอย่างรวดเร็วที่สุด และเขาจะไม่พยายามไล่ตามหานเซิ่นไปตามลำพังในตอนที่หานเซิ่นหนีไปตอนแรก
กิเลนโลหิตไล่ล่ากลุ่มอัศวินจนไปถึงไปประตูโครงกระดูกนรก มันฆ่าทุกคนยกเว้นราชาอัศวินไอซ์บลู ครามและอัศวินไอซ์บลูอีกคนหนึ่ง
แต่หานเซิ่นและกิเลนโลหิตไม่กล้าจะเข้าไปใกล้ประตูมากเกินไป หานเซิ่นปล่อยให้พวกเขาทั้ง 3 คนหนีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่ภูเขาดอกบัวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกิเลนโลหิต
“ข้านั้นโง่เขลา ข้าควรจะปฏิบัติกับเขาเป็นเหมือนคู่ต่อสู้ที่แท้จริง”
ราชาอัศวินไอซ์บลูจ้องมองหานเซิ่นที่กำลังขี่กิเลนโลหิตจากไป ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึก มันไม่ได้แสดงทั้งความโกรธหรือความเศร้า
ครามดูเคร่งขรึม “เขาเป็นลูกศิษย์ของอี๋ซาจริงๆอย่างนั้นหรอ? เขาดูจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าอี๋ซาเองซะอีก ข้ากลัวว่าพวกเราจะประเมินเขาต่ำเกินไป”
“เจ้าจะโทษพวกเราในเรื่องนั้นไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่ามาร์ควิสคนหนึ่งจะเป็นภัยใหญ่หลวงแบบนั้น?” อัศวินไอซ์บลูอีกคนที่เหลือรอดชื่อฮาร์ดเดอร์พูด
ในตอนนี้ความรู้สึกของฮาร์ดเดอร์ค่อนข้างซับซ้อน เขาและเอ็ดเวิร์ดใกล้ชิดกันอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเอ็ดเวิร์ดเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
ถึงแม้เอ็ดเวิร์ดจะเป็นชาวเอ็กซ์ตรีมคิงเลือดผสม และถึงพลังโจมตีของเขาจะไม่ได้สูงอะไรเมื่อเทียบกับคนอื่นที่อยู่ระดับเดียวกัน แต่พลังในการสังเกตและการเคลื่อนไหวของเขานั้นไร้ที่ติ
เมื่อฮาร์ดเดอร์นึกถึงภาพที่เอ็ดเวิร์ดนอนหมดสภาพภายใต้การโจมตีของหานเซิ่น เขาก็ไม่สามารถหาคำไหนมาบรรยายภาพที่เห็นได้
ถึงแม้ตอนนี้หานเซิ่นจะเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง แต่มันก็ไม่มีใครกล้าปฏิบัติกับเขาในฐานะดยุกคนหนึ่งอีกต่อไป
เมื่อราชินีจิ้งจอกเห็นราชาอัศวินไอซ์บลูและคนอื่นอีก 2 คนกลับออกมา เธอก็ขมวดคิ้วและถาม “คนอื่นๆอยู่ที่ไหน?”
ราชาอัศวินไอซ์บลูบองเธอถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพูดบรรยายพลังของหานเซิ่นและกิเลนโลหิตอย่างตรงไปตรงมา และเขาก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องที่กลุ่มของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า
“น่าสนใจ น่าสนใจมากๆ กิเลนโลหิตกลายเป็นครึ่งเทพรวดเร็วขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย? และหานเซิ่นยังขี่มันในการต่อสู้อีกอย่างนั้นหรอ?” ราชินีจิ้งจอกหลี่ตาของเธอ
เธอไม่ได้โทษอะไรพวกราชาอัศวินไอซ์บลู เธอพูดกับพวกเขา
“พวกเจ้าอยู่ช่วยกุนซือไวท์เพื่อทำลายการป้องกันของที่นี่ เมื่อข้าทำลายโซ่ที่ล่ามข้าอยู่ได้แล้ว ข้าจะไปจับตัวเขามาด้วยตัวเอง”
ภายในหุบเขาของกิเลนโลหิต หานเซิ่นปล่อยให้เป่าเอ๋อและคนอื่นๆได้ออกมาจากหอคอยแห่งโชคชะตาเพื่อผ่อนคลาย เขายังคงต้องการปรึกษาแผนการที่จะรับมือกับศึกที่กำลังจะมาถึง
ตอนนี้ถึงหานเซิ่นจะใช้พลังของกิเลนโลหิตเอาชนะราชาอัศวินไอซ์บลูและคนอื่นได้ แต่หานเซิ่นก็ยังไม่คิดว่าตัวเองปลอดภัย และนั่นทำให้เขายังคงรู้สึกกังวล
เอ็ดเวิร์ดและคนอื่นๆสามารถหาหนทางที่จะทำลายการป้องกันของปราสาทเพื่อเข้ามาข้างในได้ นั่นหมายความว่าหนึ่งในพวกเขาเข้าใจถึงโครงสร้างของปราสาท อย่างน้อยๆก็ในระดับหนึ่ง
ราชินีจิ้งจอกไม่ได้ส่งกุนซือไวท์มาล่าตัวเขา และนั่นก็คงจะเป็นเพราะกุนซือไวท์รู้เกี่ยวกับโครงสร้างของปราสาท ถ้าเขาสามารถทำลายโซ่ที่ล่ามราชินีจิ้งจอกอยู่ได้ หานเซิ่นก็จะเจอกับปัญหาใหญ่
หานเซิ่นไม่มีโอกาสจะเอาชนะยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่ได้ ถึงแม้เขาจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีก็ตาม และตอนนี้หานเซิ่นก็ติดอยู่ภายในไวท์โบนเฮลล์ ปราสาทนั้นเป็นทางออกเดียวที่เขามี
‘น่าเสียดายที่เจ้ากิเลนโลหิตยังเป็นแค่ครึ่งเทพ ถ้าเราทำให้มันกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ล่ะก็ เราก็คงจะขี่มันออกไปสังหารอะไรก็ตามที่มาขวางทางได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง
ทีมของหานเซิ่นพูดคุยกันอยู่ครึ่งวัน แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถคิดหาแผนการอะไรขึ้นมาได้ หานเซิ่นตัดสินใจหันไปพยายามดูดซับพลังโกสต์โบนทั้งหมดที่ทำได้ เขาหวังว่าจะพัฒนาวิชาเรื่องราวของยีนไปสู่ระดับดยุก ยิ่งเขามีพลังมากเท่าไหร่ โอกาสรอดไปจากที่นี่ก็จะมากขึ้นเท่านั้น
‘ถึงแม้ราชินีจิ้งจอกจะถูกปล่อยเป็นอิสระจริงๆ เธอก็คงจะไม่ฆ่าเราในทันที ตราบใดที่เธอยังหาสิ่งที่ต้องการไม่เจอ นั่นหมายความว่าเรายังมีโอกาสอยู่’ หานเซิ่นคิด
ในตอนนี้กิเลนโลหิตและหานเซิ่นสนิทสนมกันเรียบร้อยแล้ว แต่มีเพียงแค่หานเซิ่นเท่านั้นที่เข้าไปใกล้กิเลนโลหิตได้ ตัวตนของมันน่าสะพรึงกลัวเกินไป และมันก็มองคนอื่นทุกคนราวกับเป็นชิ้นเนื้อ
หานเซิ่นยังคงฝึกเรื่องราวของยีนต่อไปเรื่อยๆ และหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เรื่องราวของยีนก็ก้าวหน้าไปได้ด้วยดี แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังห่างไกลจากการพัฒนาไปสู่ระดับดยุก
ทันใดนั้นทั้งไวท์โบนเฮลล์ก็เริ่มสั่นไหว และหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงของราชินีจิ้งจอกดังออกมาจากประตูโครงกระดูกนรก
“น้องชายคนดีของข้า! พี่สาวคนนี้กำลังจะไปหาเจ้า”
ราชินีจิ้งจอกเดินมายืนอยู่หน้าประตูโครงกระดูกนรก ห่วงโลหะยังคงอยู่ที่คอ ข้อมือและข้อเท้าของเธอ แต่ทว่าโซ่โลหะที่ติดอยู่กับพวกมันได้หายไปแล้ว
กุนซือไวท์ ราชาอัศวินไอซ์บลู ครามและฮาร์ดเดอร์ยืนอยู่ด้านหลังของราชินีจิ้งจอก มันดูเหมือนกับว่าในตอนนี้พวกเขาเป็นคนของเธอ
ตอนที่ 2269
“น้องชายคนดีของข้า นี่เจ้าไร้เดียงสาจริงๆอย่างนั้นหรอ? เจ้าคงจะไม่ได้คิดหรอกนะว่าพลังของกิเลนโลหิตจะต่อกรกับคนอย่างข้าได้?”
ราชินีจิ้งจอกยิ้มให้กับหานเซิ่นและกิเลนโลหิตขณะที่เธอมายืนอยู่หน้าภูเขา
“พี่สาว ท่านระแวงเกินไปแล้ว ท่านลืมความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพวกเราไปแล้วอย่างนั้นหรอ? ทำไมข้าถึงต้องทำร้ายพี่สาวคนสวยด้วย ในตอนที่ข้ารู้ว่าท่านถูกปล่อยเป็นอิสระ ข้าก็อยากจะใช้โอกาสนี้เฉลิมฉลองร่วมกับท่าน ข้าแค่คิดว่าควรจะพากิเลนโลหิตไปร่วมเฉลิมฉลองด้วยเท่านั้นเอง” หานเซิ่นพูด
“ถ้าเจ้ามาที่นี่เพื่อเพื่อเฉลิมฉลองร่วมกับพี่สาวจริงๆ เจ้าก็ควรจะนำของขวัญอย่างหนึ่งมาให้กับพี่ไม่ใช่หรอ? ไม่อย่างนั้นล่ะก็พี่สาวคนนี้ก็จะโกรธเอา” ราชินีจิ้งจอกพูดขณะที่ยังคงยิ้มแย้ม
หานเซิ่นรู้ว่าของขวัญอะไรที่ราชินีจิ้งจอกพูดถึง เขาจึงล้วงเอาสิ่งของบางอย่างออกมา
“แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นวันสำคัญของท่าน ในฐานะน้องชาย ข้าก็ต้องการมอบของขวัญที่ดีที่สุดให้กับท่าน”
ราชินีจิ้งจอกมองดูสิ่งของที่อยู่ในมือของหานเซิ่น หลังจากนั้นเธอก็หันไปมองกุนซือไวท์ “พวกเจ้าคิดยังไงกับของขวัญที่น้องของข้านำมามอบให้?”
“พวกเราไม่รู้อะไร มีเพียงแค่เอ็ดเวิร์ดคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไร” กุนซือไวท์สารภาพด้วยสีหน้าที่ดูแย่เล็กน้อย
ราชินีจิ้งจอกยื่นมือออกมา และหานเซิ่นก็วางของสิ่งนั้นในฝ่ามือของเธอ ราชินีจิ้งจอกมองแผ่นจารึกคริสตัลในมืออย่างละเอียด แต่มันดูไม่มีอะไรพิเศษ
“นี่คือสิ่งที่เจ้าได้มาจากเมืองโกสต์โบนจริงๆอย่างหรอ?” ราชินีจิ้งจอกมองตรงไปที่หานเซิ่น
“จริงแท้แน่นอน” หานเซิ่นพูด
ราชินีจิ้งจอกมอบแผ่นจารึกให้กับกุนซือไวท์ “กุนซือไวท์ เจ้าคิดยังไงกับมัน?”
หลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ กุนซือไวท์ก็พูดขึ้นมา “ข้าไม่รู้ว่ามันมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับสิ่งนี้กันแน่ แต่ข้าพอจะบอกได้ว่ามันเก่าแก่มากๆ มันต้องเป็นสิ่งของโบราณอย่างแน่นอน เพียงแค่อายุของมันก็ทำให้มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ”
กุนซือไวท์ระบุอย่างชัดเจนว่าเขาไม่รู้จริงๆว่านี่ใช่สิ่งที่หานเซิ่นนำออกมาจากเมืองโกสต์โบนหรือไม่ แต่ว่ามันเป็นของที่เก่าแก่เกินกว่าจะเป็นสิ่งที่เพิ่งถูกทำขึ้นมา
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘แน่นอนอยู่แล้วว่ามันเก่าแก่ ฉันอุส่ากลับไปเอามันมาจากโบราณสถานคริสตัลไลเซอร์ภายในสหพันธ์เชียวนะ’
ราชินีจิ้งจอกยิ้มและหันไปหาหานเซิ่น “น้องชายดีต่อพี่สาวจริงๆ เข้ามาเดินร่วมกับพี่เร็วเข้า”
“แน่นอนพี่สาวของข้า” หานเซิ่นยิ้ม
ราชินีจิ้งจอกพบว่ามันน่าสงสัยที่หานเซิ่นยอมมอบมันมาง่ายๆแบบนั้น ตอนนี้เธอยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าแผ่นจารึกนี้เป็นของจริงหรือเปล่า ด้วยเหตุนั้นเธอจึงต้องพาหานเซิ่นไปที่อนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับเธอด้วย
ราชินีจิ้งจอกใช้พลังเชือกเส้นหนึ่งเพื่อรัดตัวหานเซิ่นและกิเลนโลหิตไว้ เธอยิ้มและพูด “อย่าโทษที่ข้าต้องทำแบบนี้ น้องชายของพี่เพิ่งจะทำตัวไม่ดีเมื่อไม่นานมานี่ ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือก”
“โอ้ ข้าขอโทษที่ทำให้พี่สาวต้องกังวล” หานเซิ่นยิ้ม
“รังนกที่เจ้าใช้ก่อนหน้านี้คืออะไรกัน?”
ราชินีจิ้งจอกสังเกตหานเซิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เธอไม่เห็นรังนกนั่น สิ่งนั้นสลายพลังเชือกของเธอได้ ซึ่งนั่นทำให้เธอประหลาดใจอย่างมาก
“ข้าซ่อนมันเอาไว้ที่ไหนสักแห่งในไวท์โบนเฮลล์ ถ้าท่านหามันเจอ ข้าก็จะมอบมันให้กับท่านเป็นของขวัญ” หานเซิ่นยิ้ม
ราชินีจิ้งจอกไม่มีอารมณ์จะตามหามัน แค่เธอค้นตัวหานเซิ่น นั่นก็มากพอแล้ว การซ่อนมันเอาไว้ในไวท์โบนเฮลล์ก็เหมือนกับการเก็บมันเอาไว้ในโกดังส่วนตัวของเธอ เธอมีเวลาอีกมากที่จะตามหามันในภายหลัง
ราชินีจิ้งจอกพาหานเซิ่นและคนอื่นๆออกไปจากไวท์โบนเฮลล์ หลังจากนั้นเธอก็เปิดประตูของปราสาทและพาพวกเขาออกไป
“มันเป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้สูดอากาศที่สดชื่น” ราชินีจิ้งจอกยืนใต้ท้องฟ้าและมองขึ้นไปบนดวงดาวขณะที่พูดออกมา
หานเซิ่นและกุนซือไวท์ยืนอยู่ข้างๆกัน แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกัน กุนซือไวท์และราชาอัศวินไอซ์บลูเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีไปกว่าหานเซิ่น
อารมณ์ของราชินีจิ้งจอกเปลี่ยนแปลงไปกับสายลม และมันไม่สามารถบอกได้ว่าหลังจากผ่านไปอีกสักชั่วโมง เธอจะฆ่าพวกเขาหรือเปล่า
“ไปกันเถอะ! พวกเราจะมุ่งหน้าไปที่อนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์ มาดูกันสิว่าผู้นำเซเคร็ดจะทิ้งอะไรเอาไว้” ราชินีจิ้งจอกพูดขณะที่มองกุนซือไวท์
“คราม เจ้าเป็นคนนำทาง” กุนซือไวท์สั่ง
“นายท่าน…” ครามพูดด้วยใบหน้าที่ซีดเฝือก
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? ในตอนนี้ความอยู่รอดคือสิ่งที่สำคัญที่สุด” กุนซือไวท์ยิ้มแห้งๆออกมา
“กุนซือไวท์เป็นคนฉลาด แต่อย่าได้กังวลไป ข้าไม่ชอบการฆ่าฟัน เมื่อข้าได้สมบัติของผู้นำเซเคร็ดแล้ว พวกเจ้าทุกคนจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านอย่างปลอดภัย” ราชินีจิ้งจอกยิ้ม
ราชาอัศวินไอซ์บลูและคนอื่นๆฉลาดเกินกว่าที่จะเชื่อคำสัญญาของราชินีจิ้งจอก แต่พวกเขาก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะขัดคำสั่งของเธอได้ พวกเขาจึงทำตามที่ราชินีจิ้งจอกบอก
และถึงพวกเขาจะไม่บอกตำแหน่งของอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์กับราชินีจิ้งจอก ในที่สุดแล้วเธอก็หามันเจออยู่ดี
ทั้งฮาร์ดเดอร์และราชาอัศวินไอซ์บลูหันไปมองที่กุนซือไวท์ มันใช้เวลาหนึ่งวินาที่ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่ากุนซือไวท์เป็นคนเดียวที่รู้ว่าอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน
ฮาร์ดเดอร์กำลังครุ่นคิดขณะที่พวกเขาเดินทางไป ท่ามกลางทุกคนที่อยู่ที่นี่ เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าหานเซิ่นขโมยแผ่นหินมาจากเมืองโกสต์โบน และแผ่นคริสตัลที่หานเซิ่นมอบให้กับราชินีจิ้งจอกนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่เขาขโมยออกไป
‘ข้ายอมรับว่าหานเซิ่นนั้นใจถึง เขากล้ามากที่มอบโบราณวัตถุของปลอมให้กับราชินีจิ้งจอก แต่ว่ามันเป็นของปลอม และไม่ช้าก็เร็วนางก็จะรู้ความจริง เมื่อพวกเราไปถึงที่อนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อเป็นอย่างนั้นเขามีแผนจะทำอะไรกันแน่ นี่เขามีหนทางที่จะหนีไปจากสถานการณ์นี้หรือยังไง’ ฮาร์ดเดอร์มองไปที่หานเซิ่นเพื่อดูว่าเขามีพฤติกรรมอะไรที่น่าสงสัยหรือเปล่า
โอกาสในการหนีไปได้ของหานเซิ่นดูไม่ดีนัก ราชินีจิ้งจอกนั้นใช้พลังเชือกของเธอรัดตัวเขาและกิเลนโลหิตเอาไว้ แถมเธอยังจับตามองเขาเป็นพิเศษ มันจึงไม่มีทางที่เขาจะหนีไปได้
ด้วยการนำทางของคราม พวกเขาเดินทางผ่านภูเขาและป่าไม้อย่างรวดเร็ว ซีโน่เจเนอิคมากมายขวางเส้นทางของพวกเขา แต่ราชาอัศวินและครามก็สามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีศัตรูตัวไหนที่แข็งแกร่งเกินไป
พวกเขาเดินทางอยู่ 4 วัน และในที่สุดกุนซือไวท์ก็ชี้ออกไปข้างหน้าพร้อมกับพูด “ที่นี่แหละ!”
ทุกคนมองไปทางที่กุนซือไวท์ชี้ออกไป พวกเขาทุกคนดูแปลกใจ และแม้แต่หานเซิ่นเองก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“นี่น่ะหรออนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า?” ราชินีจิ้งจอกขมวดคิ้ว
กุนซือไวท์ชี้ไปที่ต้นไม้แก่ต้นหนึ่ง ต้นไม้นั้นหนามากๆและมันต้องใช้คนถึง 4 คนจับมือกันเพื่อโอบมัน แต่นอกเหนือจากเรื่องนั้นแล้ว มันก็ดูเหมือนกับต้นไม้ปกติ และนี่ยังไม่ได้พูดถึงความจริงที่ว่ามันได้ตายไปแล้ว มันไม่มีใบไม้แม้แต่ใบเดียวอยู่บนต้นและกิ่งมากมายของมันก็หัก มันตั้งอยู่ตามลำพังท่ามกลางส่วนที่โล่งแจ้งของป่า
ในป่าดงดิบที่พวกเขายืนอยู่ในขณะนี้ ต้นไม้แบบนั้นถือเป็นอะไรที่เห็นได้ทั่วไป กุนซือไวท์บอกพวกเขาว่ามันคืออนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์ แต่ภาพที่ดูธรรมดาๆนั้นทำให้พวกเขายากจะเชื่อได้
หานเซิ่นใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อสแกนต้นไม้ แต่เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอะไรที่พิเศษ
“ผู้นำของเซเคร็ดไม่ต้องการจะเก็บสมบัติของเขาเอาไว้ในที่ที่ถูกพบได้ง่าย แต่ถ้าท่านมองดูใกล้ๆ ท่านจะเห็นถึงความจริงที่น่ามหัศจรรย์ของต้นไม้ต้นนี้” กุนซือไวท์พูด
ตอนที่ 2270
ราชินีจิ้งจอกเคลื่อนที่เข้าไปใกล้เพื่อสังเกตต้นไม้ชัดๆ แต่ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็เริ่มขมวดคิ้ว “มันมีอะไรบางอย่างอยู่ภายในต้นไม้นี้อย่างนั้นหรอ? อนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายในต้นไม้นี้สินะ?”
กุนซือไวท์ก้าวมาข้างหน้าอย่างตื่นตระหนก “อย่าแตะต้องมัน!”
“ทำไม?” ทั้งราชินีจิ้งจอกและหานเซิ่นมองไปที่กุนซือไวท์
กุนซือไวท์พูด “ต้นไม้นี้แข็งแรงมากๆ และมันก็อัดแน่นไปด้วยแรงแม่เหล็กพิเศษอย่างหนึ่งที่ผลักดันซีโน่เจเนนิคทุกตัว แต่ทว่าภายในลำต้นของมันคือแชตเตอร์สเปซคริสตัล”
“แชตเตอร์สเปซคริสตัล?” ราชินีจิ้งจอกขมวดคิ้ว
“ใช่” กุนซือไวท์ยืนยันอย่างหนักแน่น
หานเซิ่นถาม “แชตเตอร์สเปซคริสตัลคืออะไร?”
“มันคือวัสดุที่ใช้สำหรับสร้างเครื่องเทเลพอร์ต” ฮาร์ดเดอร์อธิบาย
“การใช้คริสตัลเหล่านั้นในเครื่องเทเลพอร์ตจะช่วยขยายระยะทางการเทเลพอร์ตอย่างมาก มันเป็นวัสดุที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในการสร้างเครื่องเทเลพอร์ตขึ้นมา”
“นั่นหมายความว่ามันมีเครื่องเทเลพอร์ตอยู่ภายในต้นไม้นี่อย่างนั้นหรอ? พวกเราจะใช้มันเพื่อเข้าไปสู่อนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?” หานเซิ่นถาม
“ตามทฤษฎีล่ะก็นะ” กุนซือไวท์พยักหน้า “แต่พวกเราต้องเปิดต้นไม้ออกเพื่อใช้งานเครื่องเทเลพอร์ตที่อยู่ข้างใน”
“ด้วยพลังของพี่สาว การจะโค่นต้นไม้นี้ควรจะเป็นเรื่องง่าย มันมีปัญหาอะไรหรือยังไง?” หานเซิ่นถาม
“มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น” ราชินีจิ้งจอกตอบ
“แชตเตอร์สเปซคริสตัลดีสำหรับการสร้างเทคโนโลยีการเทเลพอร์ต แต่พวกมันเป็นอะไรที่บอบบางมากๆ และต้นไม้กับแชตเตอร์สเปซคริสตัลก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าพวกเราใช้กำลังโค่นต้นไม้ล่ะก็ แชตเตอร์สเปซคริสตัลที่อยู่ภายในก็จะได้รับความเสียหายไปด้วย และนั่นจะทำให้เครื่องเทเลพอร์ตที่อยู่ภายในใช้งานไม่ได้อีกต่อไป”
“โชคดีที่ท่านมีกุญแจอยู่ ท่านแค่จำเป็นต้องใช้กุญแจเพื่อเปิดประตูของต้นไม้” กุนซือไวท์พูด
หานเซิ่นรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าแผ่นหินนั้นเป็นกุญแจเพื่อเปิดใช้เครื่องเทเลพอร์ต แต่ชิ้นคริสตัลที่เขามอบราชินีจิ้งจอกไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าที่ทับกระดาษ มันเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะใช้มันทำให้ต้นไม้เปิดออก
“พวกเราจะใช้มันได้ยังไง?” ราชินีจิ้งจอกมองไปที่แผ่นคริสตัลในมือ หลังจากนั้นเธอก็หันกลับไปที่กุนซือไวท์
“ถ้าทฤษฎีของพวกเราถูกต้อง มันก็ต้องมีรูกุญแจอยู่” กุนซือไวท์ดูลังเลขณะที่พูดออกมา
“แต่มันมีรูบนผิวต้นไม้ที่ใหญ่ขนาดนี้ด้วยหรอ”
ราชินีจิ้งจอกมองมาที่หานเซิ่น เธอคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าที่หานเซิ่นมอบให้กับเธอเป็นของปลอม
“ข้านำสิ่งนั้นออกมาจากเมืองโกสต์โบนจริงๆ ท่านควรจะมองหาดูดีๆก่อน” หานเซิ่นแกล้งทำเป็นสังเกตที่ต้นไม้
“ตรงนั้น!” ทันใดนั้นหานเซิ่นก็ชี้ไปที่ยอดของต้นไม้สูง เขาดูตื่นเต้นอย่างมาก
ราชินีจิ้งจอกและคนอื่นๆมองไปตามนิ้วมือของหานเซิ่น แต่พวกเขาไม่เห็นอะไรที่พิเศษ
ขณะที่คนอื่นๆดึงความสนใจอยู่นั้น หานเซิ่นก็กระโดนขึ้นบนหลังของกิเลนโลหิตและรังนกก็ปรากฏขึ้นมาในมือของเขา
กิเลนโลหิตคำรามและวิ่งเข้าไปหาต้นไม้
ราชินีจิ้งจอกเป็นคนที่ตอบสนองเร็วที่สุด เธอแกว่งมือไปข้างหน้าเพื่อส่งพลังเชือกจำนวนนับไม่ถ้วนไล่ตามหานเซิ่นไป
หานเซิ่นวางแขนในส่วนเว้าของรังนก และทันใดนั้นมันก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น มันกลายเป็นโล่ขนาดใหญ่ที่หยุดการไล่ตามพลังเชือกของราชินีจิ้งจอก
ทันทีที่กิเลนโลหิตมาถึงต้นไม้แก่ หานเซิ่นก็นำแผ่นหินของจริงออกมา เขาใส่มันเข้าไปในรอยเว้ารูปพระจันทร์ของต้นไม้ และแผ่นหินก็สวมตัวเองเข้าไปในช่องว่างอย่างพอดิบพอดี
ทันใดนั้นต้นไม้แก่ก็เปิดออกและเผยให้เห็นเฟรมขนาดใหญ่ที่บรรจุอยู่ภายในลำต้น ในศูนย์กลางของเฟรมนั้นคือมิติที่บิดเบี้ยวทรงกลม มันสว่างไสวซะจนแทบจะมองไม่เห็น
กิเลนโลหิตพาหานเซิ่นเข้าไปในมิติที่บิดเบี้ยวนั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็หายตัวไปในชั่วพริบตา
ราชินีจิ้งจอกกระโดดตามพวกเขาไป ซึ่งเธอเองก็หายตัวไปเช่นเดียวกัน
ราชาอัศวินไอซ์บลูกัดฟันและวิ่งเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นกุนซือไวท์ ครามและอาร์ดเดอร์ก็ตัดสินใจตามไปด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่อยากจะยอมแพ้ต่อการได้รับมรดกของผู้นำเซเคร็ด
หานเซิ่นวางรังนกบนหัวของเขา เมื่อมิติรอบๆตัวหยุดบิดเบี้ยวและวิสัยทัศน์ของเขากลับคืนมา เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่งและแผ่นหินก็กลับมาอยู่ในมือของเขา เขารีบเปิดใช้งานวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงและมองไปรอบๆ
เขากำลังอยู่ในปราสาทหินหยก มันมีรูปปั้นประหลาดมากมายรอบๆตัวเขาทั้งสัตว์ เทพเจ้าและปีศาจต่างๆ
กำแพงและเพดานของปราสาทต่างก็ปกคลุมไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังประหลาด พวกมันดูจะเป็นสัญลักษณ์ถึงอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นเครื่องเทเลพอร์ตด้านหลังของหานเซิ่นก็เริ่มทำงานอีกครั้ง
“วิ่ง!” หานเซิ่นตะโกน ดูเหมือนกับว่าคนอื่นกำลังเข้ามาข้างใน นั่นทำให้เขาสั่งให้กิเลนโลหิตรีบวิ่งเข้าไปในประตูของปราสาท
ประตูของปราสาทนั้นเปิดอยู่ แต่ทว่าภายนอกปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง มันดูเหมือนกับว่าแสงสว่างมีไว้เพื่อป้องกันคนที่อยู่ภายในจากการมองเห็น แม้แต่วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงของหานเซิ่นก็ไม่สามารถมองทะลุม่านแสงนั้นได้
หานเซิ่นรีบร้อนหนีไปจากราชินีจิ้งจอก จนเขาไม่สนใจต่อความเป็นไปได้ที่เจอกับดักเข้า หานเซิ่นและกิเลนโลหิตวิ่งผ่านม่านแสงนั่นออกไป
กิเลนโลหิตแบกหานเซิ่นผ่านประตูหน้าของปราสาทออกไป และทั้งคู่ก็รู้สึกว่ามิติรอบๆตัวนั้นบิดเบี้ยวในทำนองเดียวกับเครื่องเทเลพอร์ต เมื่อวิสัยทัศน์ของหานเซิ่นกลับคืนมา เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ภายในปราสาทอีกแห่งหนึ่ง เขายืนอยู่ต่อหน้าเครื่องเทเลพอร์ตของมัน
แต่มันแตกต่างไปจากปราสาทแห่งแรก ปราสาทนี้ไม่ได้มีรูปปั้นหรือภาพวาดอะไร และที่ใจกลางของปราสาทก็มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่งอยู่
ต้นผลไม้นั้นมีความสูงแค่ 2 เมตรเท่านั้น และลำต้นของมันก็ดูเหมือนกับต้นพลัม แต่มันถูกทำขึ้นมาจากเหล็กดำที่บิดเบี้ยว กิ่งก้านของมันดูจะถูกทำขึ้นมาอย่างหยาบๆไร้ความปราณีต
ใบไม้บนต้นมีสีเงิน และผลไม้สีเงินที่ห้อยลงมาก็เหมือนกับเงินไซซีที่มีขนาดพอกับไข่
หานเซิ่นนับเงินไซซีบนต้นไม้ได้ทั้งหมด 8 อันด้วยกัน พวกมันมีขนาดเท่ากันหมด แต่ที่ก้นของเงินไซซีแต่ละอันจะมีลวดลายเฉพาะของมันอยู่
“สมบัติเงิน?” หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าลวดลายของแต่เงินไซซีแต่ละอันนั้นจะประกอบกันเป็นคำ
“ต้นไม้นี่ถูกทำขึ้นมาด้วยมืออย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นหันกลับไปมองที่เครื่องเทเลพอร์ตด้านหลัง เครื่องเทเลพอร์ตนั้นยังคงเงียบสนิทและไม่ทำงาน ซึ่งทำให้หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
ด้วยความเร็วของราชินีจิ้งจอก ในตอนนี้เธอควรจะไล่ตามเขาได้ทันแล้ว มันเป็นได้ยังไงที่เธอยังมาไม่ถึงที่นี่?
‘เมื่อเราผ่านประตูของปราสาทออกมา แสงสว่างนั้นส่งเรามาที่อื่นอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง นอกจากนั้นแล้วเขาไม่สามารถคิดถึงเหตุผลอื่นที่อธิบายได้ว่าทำไมราชินีจิ้งจอกถึงยังไล่ตามเขามาไม่ทัน
แต่ถึงจะยังไงก็ตามหานเซิ่นก็ดีใจกับเรื่องนี้ หานเซิ่นตัดสินใจมองไปที่สมบัติเงินอีกครั้ง
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็สวมใส่ชุดเกราะกุ้งมังกรกาแลกติก และเดินไปตรงหน้าของต้นไม้ หลังจากนั้นเขาก็ใช้มีดตัดหนึ่งในสมบัติเงินลงมา
มีดเขี้ยวผีสิงฟันเข้าไปที่ผิวเหล็กของต้นไม้ แต่แทนที่จะกิ่งก้านของมันจะถูกตัดขาด มีดของหานเซิ่นกลับทำได้แค่ทิ้งรอยบางๆเอาไว้เท่านั้น แต่มันก็มีน้ำเลี้ยงไหลออกมาราวกับเลือด
“ต้นไม้นี้มีชีวิต!” หานเซิ่นดูค่อนข้างประหลาดใจ น้ำเลี้ยงนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังงาน
หานเซิ่นใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อสังเกตต้นไม้ผลสีเงิน เขายืนยันได้อย่างรวดเร็วว่ามันเป็นต้นไม้ที่มีชีวิตจริงๆ และมันก็อยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน
ด้วยวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงหานเซิ่นสามารถบอกได้ว่าต้นไม้นี้อยู่มานานกว่าพันล้านปี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น