Super God Gene 2251-2262

ตอนที่ 2251

 

หานเซิ่นมองไปที่หน้ากากโกสต์โบนและเห็นมันสร้างการเชื่อมต่อกับพลังโกสต์โบนที่เขาจำลองขึ้นมา


 


“หน้ากากโกสต์โบนนี้เป็นหนึ่งในอันที่อ่อนแอ แต่การได้รับการยอมรับจากมันในหนึ่งเดือนก็ถือเป็นความก้าวหน้าที่ยอดเยี่ยม พวกเขายังคงพอมีเวลา ฝึกฝนต่อไปเพื่อสร้างความมั่นใจกับเหล่าหน้ากาก และ…”

ราชินีจิ้งจอกหันไปชี้ที่หน้ากากอีกอันหนึ่ง “ถ้าเจ้าสร้างการเชื่อมต่อกับหน้ากากโกสต์โบนนี้แทนล่ะก็ การฆ่าซีโน่เจเนอิคตัวนั้นก็ควรจะเป็นอะไรที่ง่ายดาย”


 


หานเซิ่นมองหน้ากากที่ราชินีจิ้งจอกชี้ เขาใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนและวิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อตรวจสอบมัน เขาพบว่ามันเป็นหน้ากากโกสต์โบนที่ทรงพลังที่สุดจริงๆ พลังของมันเหนือกว่าหน้ากากอื่นอยู่พอสมควร


 


“อะไรกันที่ทำให้หน้ากากโกสต์โบนนี้แตกต่างไปจากอันอื่น?” หานเซิ่นถามและแกล้งทำเป็นว่าเขาไม่สังเกตเห็นถึงพลังของมัน


 


ราชินีจิ้งจอกพูด “พวกมันทั้งหมดเป็นหัวกะโหลกของซีโน่เจเนอิคระดับครึ่งเทพเหมือนกันก็จริง แต่สิ่งมีชีวิตบางตัวก็แข็งแกร่งกว่าตัวอื่นๆ หน้ากากโกสต์โบนอันนั้นทำมาจากกะโหลกของปีศาจจากขุมนรก โกสต์โบนต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากกับหน้ากากอันนั้น พลังของมันเกือบจะอยู่ในระดับเทพเจ้า มันเป็นหน้ากากโกสต์โบนที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้”


 


“ไม่เห็นต้องกังวลเลย ที่ข้าต้องฆ่าเป็นแค่ซีโน่เจเนอิคระดับราชันตัวหนึ่ง ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งสักไหน พลังของหน้ากากโกสต์โบนระดับครึ่งเทพก็เพียงพอที่จะฆ่ามันอย่างแน่นอน ข้าจะใช้แค่หน้ากากโกสต์โบนที่ข้าได้รับการยอมรับเรียบร้อยแล้วนี่”

หานเซิ่นยกมือขึ้นเพื่อชี้ไปที่หน้ากากโกสต์โบนที่เขาสร้างการเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้ว และหน้ากากก็บินเข้ามาอยู่ในมือของเขา


 


ก่อนที่หานเซิ่นจะมีพลังโกสต์โบน เพียงแค่แตะต้องหน้ากากก็ทำให้เขากระเด็นไปชนกับกำแพง แต่ตอนนี้เขาสามารถถือหน้ากากโกสต์โบนอยู่ในมือและสัมผัสถึงพลังของมันได้


 


หานเซิ่นใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนและวิญญาณอสูรเนตรม่วงเพื่อตรวจดูหน้ากากอย่างละเอียด หลังจากนั้นเขาก็สวมมันบนใบหน้าของเขา


 


เมื่อหานเซิ่นสวมหน้ากากกับใบหน้า พลังก็หลั่งไหลเข้าไปในร่างกายของเขา พลังงานใหม่นี้รวมเข้ากับพลังโกสต์โบนที่หานเซิ่นจำลองขึ้นมาและเพิ่มพลังของพวกมันอย่างมหาศาล


 


ทันใดนั้นใบหน้าของหานเซิ่นก็ซีดไป เขาอยากจะถอดหน้ากากออก แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่จะทำแบบนั้น จิตใจที่แข็งแกร่งคำรามออกมาจากหน้ากากและเข้าไปในตัวหานเซิ่น มันขัดขวางหานเซิ่นจากการเคลื่อนไหว พลังโกสต์โบนเป็นเหมือนกับคลื่นสึนามิที่กำลังซัดผ่านเขา ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำและออร่าของผีก็ห้อมล้อมตัวของเขา


 


จิตใจของหน้ากากเข้าข่มจิตใจของหานเซิ่น มันเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆกำลังตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดของมัน

“ร่างกายนี่ไม่ถือว่าดีที่สุด แต่มันก็ไม่ได้แย่จนเกินไป”


 


“เจ้าก็คือขุนพลโกสต์โบน?” หานเซิ่นตระหนักว่าหน้ากากโกสต์โบนนี้เป็นของใครกันแน่ แต่เขาไม่ได้หวาดกลัว เขารู้อยู่แล้วว่ามันมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับหน้ากากพวกนี้ แต่เขาแค่ยังระบุถึงมันไม่ได้เท่านั้น อย่างน้อยๆเขาก็ไม่ได้รู้สึกถูกทำให้หลงทาง


 


วิญญาณของขุนพลโกสต์โบนภายในหัวของหานเซิ่นพูด

“ใช่ ข้าคือราชาโกสต์โบน ต้องขอบคุณความช่วยเหลือของเจ้าที่ทำให้เข้าสิงร่างกายของเจ้าได้ ถ้าเจ้ามีบางสิ่งที่อยากจะทำก่อนตาย ข้าจะช่วยเหลือเจ้าในเรื่องนั้น”


 


หานเซิ่นใช้ศาสตร์ตงเสวียนเพื่อหยุดการจำลองพลังโกสต์โบน ซึ่งทำให้พลังของหน้ากากโกสต์โบนที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของเขาถูกหยุดไป


 


ขุนพลโกสต์โบนดูประหลาดใจ “เจ้าไม่ได้ฝึกเทคนิคโกสต์โบน! แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ใช้พลังของมันได้?”


 


“ร่างกายของข้าไม่ใช่ร่างกายโกสต์โบน ดังนั้นทำไมเจ้าถึงต้องการใช้มัน?” หานเซิ่นถามอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก


 


“เจ้าเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง การจะเปลี่ยนร่างกายของเจ้าให้กลายเป็นร่างกายโกสต์โบนนั้นไม่ต้องพยายามอะไรมาก และใช่ ข้าจะใช้ร่างกายของเจ้า!”

ขุนพลโกสต์โบนพูดด้วยเสียงแข็ง เขาหยุดพยายามจะข่มจิตใจของหานเซิ่น แต่พลังโกสต์โบนจากหน้ากากโกสต์โบนนั้นทรงพลังขึ้นไปอีก


 


พลังโกสต์โบนสีดำแทรกตัวเข้าไปในทุกเซลล์ของหานเซิ่น และทำให้ยีนของเขาดูต่างไปจากเดิม


 


หานเซิ่นใช้กายหยกและเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นรูปปั้นหยก พลังโกสต์โบนแทรกซึมเข้าไปในตัวของเขาอย่างช้าๆ แต่พวกมันไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างร่างกายของเขาได้


 


“เจ้าฝึกร่างกายคงกระพัน? นี่ถือเป็นอะไรที่หายากมากๆ”

ขุนพลโกสต์โบนดูจะประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เสียงของเขาฟังดูละโมบและพลังโกสต์โบนของหน้ากากโกสต์โบนก็ทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก


 


ร่างกายหยกของหานเซิ่นแข็งแกร่ง แต่มันไม่สามารถต้านทานพลังของขุนพลโกสต์โบนได้ พลังที่กำลังแทรกซึมเข้ามาในตัวของเขาเป็นพลังระดับเทพเจ้า ร่างกายหยกของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นกระดูก


 


หานเซิ่นไม่สามารถต้านทานพลังของขุนพลโกสต์โบนได้ แต่ในขณะเดียวกันขุนพลโกสต์โบนก็ไม่สามารถเอาชนะจิตใจของเขาได้เช่นกัน


 


“ขุนพลโกสต์โบน เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเมืองที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายแห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเมืองโกสต์โบนหรือเปล่า?” จู่ๆหานเซิ่นก็ถามขึ้นมา


 


“เจ้าเคยไปที่นั่น?”  ขุนพลโกสต์โบนพูด


 


“ที่แห่งนั้นมีชื่อว่าเมืองโกสต์โบน แต่ทำไมรูปปั้นของเจ้าถึงได้ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู? รูปปั้นภายในปราสาทนั่นเป็นของใครกัน? นั่นคือผู้นำของเซเคร็ดอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


“เจ้ากำลังจะตายอยู่แล้ว เจ้าจะสนใจเรื่องนั้นไปอีกทำไม? ขุนพลโกสต์โบนถามด้วยความสงสัย


 


“ไหนๆถ้าข้าจะตาย ข้าก็ไม่อยากจะจากโลกนี้ไปโดยมีคำถามค้างคาใจ” หานเซิ่นพูด


 


“ข้าจะบอกเจ้าเอง มันก็คือสถานที่ที่ท่านผู้นำหลับใหล” ขุนพลโกสต์โบนอธิบายขณะที่เขายังคงพยายามเปลี่ยนแปลงร่างกายของหานเซิ่น


 


“มันคือสุสานหรืออะไรทำนองอย่างนั้นหรอ? แล้วรูปปั้นที่อยู่ในปราสาทนั่นเป็นของใครกัน? ทำไมมันถึงได้ไปอยู่ในนั้น?” หานเซิ่นถาม


 


ขุนพลโกสต์โบนพูดอย่างเย้ยหยัน “บางทีเขาสมควรได้รับมัน?”


 


ขุนพลโกสต์โบนดูเหมือนจะรู้สึกดูถูกเหยียดหยามต่อจักรพรรดิมนุษย์ แต่เขาไม่ได้บอกว่าอีกฝ่ายจริงๆแล้วเป็นใครกันแน่


 


“ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นใครกัน? ทำไมรูปปั้นของเขาถึงไปอยู่ในปราสาท?” หานเซิ่นถามต่อ


 


“เจ้าเป็นคนที่กำลังจะตาย เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้อะไรไปมากกว่านั้น!”

ขุนพลโกสต์โบนไม่อยากจะพูดอะไรอีก ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือเปลี่ยนร่างกายของหานเซิ่นให้กลายเป็นกระดูก


 


ร่างกายของหานเซิ่นเปลี่ยนจากดำเป็นขาว เขากลายเป็นสิ่งมีชีวิตกระดูกขาว ซึ่งดูแปลกประหลาดอย่างมาก


 


พลังกระดูกดำดูชั่วร้ายมากๆ แต่ตอนนี้เมื่อมันเปลี่ยนเป็นกระดูกขาว มันก็ดูไม่ชั่วร้ายอีกต่อไป


 


“ข้าพบแผ่นหินพิเศษภายในปราสาท เจ้ารู้ไหมว่ามันคืออะไร?”

หานเซิ่นถาม เขามีคำถามมากมาย และดูเหมือนว่ามีเพียงแค่ขุนพลโกสต์โบนเท่านั้นที่จะคลายความสงสัยให้กับเขาได้


 


ขุนพลโกสต์โบนนิ่งไปชั่วขณะ แม้แต่พลังโกสต์โบนที่กำลังเปลี่ยนแปลงร่างกายของหานเซิ่นก็ถูกหยุด เห็นได้ชัดว่าคำถามนั้นทำให้ขุนพลโกสต์โบนรู้สึกอึ้งไป


 


“เจ้าพบโบราณวัตถุ? ทำไมเจ้าถึงมีมันอยู่ได้?” ขุนพลโกสต์โบนรีบถาม


 


“ข้ามีมันติดตัวอยู่ในตอนนี้ โบราณวัตถุนั่นคือะไร? มันใช้ทำอะไรได้?” หานเซิ่นถาม


 


“ฮ่าๆ! พระเจ้าคงกำลังช่วยเหลือข้าอยู่แน่ๆ ด้วยโบราณวัตถุนี้ ข้าจะเข้าถึงสมบัติที่อยู่ภายในอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์นั่นได้ ยุคสมัยของโกสต์โบนมาถึงแล้ว”

ขุนพลโกสต์โบนหัวเราะราวกับคนบ้าภายในหัวของหานเซิ่น 

 

 


ตอนที่ 2252

 

“ขุนพลโกสต์โบน เจ้าได้รับผลประโยชน์จากข้าไปแล้ว อย่างน้อยเจ้าก็ควรบอกให้ข้าได้รู้ความจริงก่อนที่จะตาย?” หานเซิ่นพูด


 


ขุนพลโกสต์โบนหยุดการหัวเราะและพูดขึ้นมา “ขอบคุณเจ้าที่ทำเพื่อข้ามากถึงขนาดนี้ แต่ข้ากลัวว่าจะไม่มีเวลาพูดกับเจ้า ทั้งหมดที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ก็คือโบราณวัตถุที่เจ้าค้นพบคือกุญแจที่ใช้เปิดกล่องสมบัติของผู้นำเซเคร็ด เมื่อข้าได้สิ่งที่อยู่ภายในอนุสรณ์สถานมาแล้ว ข้าจะใช้ร่างกายของเจ้าท่องไปทั่วหล้า ร่างกายของเจ้าจะเป็นร่างของบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุด เจ้าจะไม่ตายเปล่า”


 


“เจ้ามีกุญแจแล้วยังไง? เจ้ารู้หรือว่าอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์นั่นอยู่ที่ไหน?” หานเซิ่นถาม


 


“ถ้าข้าไม่รู้ มันจะมีประโยชน์อะไรที่ข้าจะเอาแผ่นหินนั่นไป? อนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่บนดาวดวงนี้ ข้าแค่จำเป็นต้องได้ร่างนี้มา หลังจากนั้นข้าจะไปที่อนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์และกอบกู้โบราณวัตถุของท่านผู้นำกลับคืนมา” ขุนพลโกสต์โบนดูตื่นเต้นอย่างมาก


 


หานเซิ่นเป็นเพียงแค่ดยุกคนหนึ่ง และเมื่อก่อนนั้นขุนพลโกสต์โบนเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลจีโน แม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันก็ไม่อยู่ในสายตาของเขา แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก ถ้าเขาได้รับโอกาสอื่นอีกล่ะก็ เขาก็ไม่มีทางจะพึงพอใจแค่ร่างของดยุกคนหนึ่ง


 


เมื่อก่อนนั้นถ้าเขาต้องเลือกร่างกายระดับเทพเจ้า เขาก็ยังต้องคิดหนัก


 


ตอนนี้เมื่อดยุกคนหนึ่งอยู่ในการควบคุมของเขา เขาก็คิดว่าร่างของอีกฝ่ายเป็นของเขาเรียบร้อยแล้ว และหานเซิ่นก็ไม่มีทางจะหนีจากการเข้าสิงไปได้


 


หลังจากที่ได้ยินอย่างนั้นหานเซิ่นก็รู้ว่าขุนพลโกสต์โบนกำลังเพ้อฝัน อีกฝ่ายไม่ได้บอกเขาว่าอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ไหน และเมื่อหานเซิ่นกำลังจะถามเพิ่ม ร่างกายของเขาก็สั่นไหว หน้ากากโกสต์โบนบนใบหน้าของเขาสลายกลายเป็นผุยผง และจิตใจขุนพลโกสต์โบนก็ตรงเข้าไปในจิตใจของเขา


 


ในตอนนี้หานเซิ่นดูเหมือนกับเป็นคริสตัลหรือรูปปั้นที่ทำขึ้นมาจากกระดูกอันศักดิ์สิทธิ์ มันรู้สึกราวกับว่าผู้คนที่ได้เห็นเขาจะปรารถนาที่จะเชื่อฟังเขา


 


หานเซิ่นรู้ว่าร่างกายของเขาสิ้นสุดขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง มันสายเกินไปแล้วสำหรับเขาที่จะถามอะไรจากขุนพลโกสต์โบนอีกในตอนนี้


 


“ข้ากลับมาแล้ว! สั่นกลัวภายใต้แรงสั่นสะเทือนของฝีเท้าข้า”


จิตใจของขุนพลโกสต์โบนนั้นเป็นบางสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างแท้จริง เขาตะโกนขึ้นมาภายในจิตใจของหานเซิ่น


 


แต่เมื่อขุนพลโกสต์โบนมองไปรอบภายในจิตใจของหานเซิ่น เขาก็ตกตะลึงไป “ทำไมจิตใจของเจ้าถึงเป็นแบบนี้?”


 


ขุนพลโกสต์เห็นหอคอยหนึ่งตั้งอยู่ที่จิตของหานเซิ่น และภายในนั้นยังมีอสูรและซีโน่เจเนอิคกระจัดกระจายอยู่รอบๆ มันดูเหมือนกับโลกน้อยๆโลกหนึ่ง ขุนพลโกสต์โบนไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อน


 


“จริงๆแล้วมันเรียกว่าทะเลจิต” เสียงของหานเซิ่นดังขึ้นภายในจิต


 


“ข้าไม่สนใจเกี่ยวกับทะเลจิตอะไรนี่ ในเมื่อข้ามาถึงแล้ว ที่นี่ก็เป็นดินแดนของข้า”


จิตใจที่แข็งแกร่งของขุนพลโกสต์โบนต้องการจะครอบงำที่นั่นและทำลายจิตใจของหานเซิ่น เมื่อเขาทำอย่างนั้นได้สำเร็จ เขาก็จะสามารถครอบครองร่างกายของหานเซิ่นได้อย่างสมบูรณ์


 


แต่ในทันทีที่จิตใจของเขาเข้ามาถึงในมุมๆหนึ่งภายในจิต ชุดเกราะคริสตัลสีดำก็ตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน จิตใจที่น่ากลัวของมันเข้าครอบงำทั้งทะเลจิต


 


จิตใจระดับเทพเจ้าของขุนพลโกสต์โบนถูกทำลายเมื่อสัมผัสกับจิตใจของชุดเกราะคริสตัลสีดำ เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะต่อต้าน


 


“เป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้… อ้า…” ขุนพลโกสต์โบนไม่มีโอกาสจะหนีออกไป เขาได้แต่กรีดร้องขณะที่จิตใจถูกบดขยี้จนเหลือแต่ความว่างเปล่า


 


หลังจากนั้นชุดเกราะคริสตัลสีดำก็หลับใหลไปอีกครั้ง มันเหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ จิตใจของขุนพลโกสต์โบนถูกขจัดไปอย่างรวดเร็ว


 


“ทำไมเขาถึงได้รีบฆ่าตัวตายแบบนั้น? เขาไม่แม้แต่จะบอกเราว่าอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ไหน!” หานเซิ่นรู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มันจะไม่จบลงด้วยดีสำหรับใครบางคนที่ต้องการจะบุกเข้าไปในจิตเขา


 


หานเซิ่นอาจจะรู้สึกสงสารเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ที่สุดแล้วเขาก็มีความสุข พลังของขุนพลโกสต์โบนยังคงหลงเหลืออยู่ภายในร่างกายของเขา และตอนนี้พวกมันก็เป็นของเขาแล้ว เขาสามารถพัฒนาตัวเองได้ด้วยพวกมัน


 


พลังโกสต์โบนมหาศาลรวมกันอยู่ภายในร่างกายของหานเซิ่น ถ้าเขาดูดซับพลังโกสต์โบนทั้งหมดเข้าไป เขาก็จะกลายเป็นระดับดยุกได้


 


แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น มันก็เป็นเพียงแค่พลังที่หลงเหลือจากขุนพลโกสต์โบน มันไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างพลังดิบที่สมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นพลังระดับเทพเจ้า ความแข็งแกร่งและบริสุทธิ์ของมันจึงเหนือกว่าดยุกคนหนึ่ง ทุกหยดของพลังจึงถือเป็นอะไรที่ประเมินค่าไม่ได้


 


ตอนนี้เมื่อร่างกายของหานเซิ่นเต็มไปด้วยพลังโกสต์โบนระดับเทพเจ้า ร่างกายของเขาก็เป็นเหมือนกับสมบัติล้ำค่าในตัวเอง เขาไม่จำเป็นต้องหาแหล่งทรัพยากรอีก เขาแค่จำเป็นต้องดูดซับพลังนั้นเข้าไปและเพิ่มระดับขึ้นด้วยพวกมัน


 


และมันไม่ใช่แค่ศาสตร์ตงเสวียนและวิชาโลหิตชีพจรเท่านั้นที่จะเพิ่มระดับขึ้น แม้แต่เรื่องราวของยีนก็อาจจะพัฒนาไปเป็นระดับดยุกเช่นกัน และมันยังมีความเป็นไปได้ที่พวกมันจะพัฒนาสูงขึ้นไปอีก


 


‘ขุนพลโกสต์โบนนี่เป็นคนดีจริงๆ น่าเสียดายที่เขาด่วนตายไปเร็วนัก มันจะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบถ้าเขาบอกถึงที่อยู่ของอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะจากไป’ หานเซิ่นถอนหายใจ


 


หานเซิ่นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมา เขาเห็นราชินีจิ้งจอกอยู่ตรงหน้าของเขา


 


“สุดที่รักของข้า ขอบคุณเจ้ามาก” หานเซิ่นพูดอย่างเย็นชาขณะที่เขามองไปที่ราชินีจิ้งจอก ตอนนี้ร่างของเขาดูเหมือนกับของโกสต์โบน ราชินีจิ้งจอกไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิต ดังนั้นเธอยังไม่รู้ว่าขุนพลโกสต์โบนได้ตายไป ตอนนี้หานเซิ่นจึงกล่าวอ้างว่าตัวเองคือขุนพลโกสต์โบนเพื่อหลอกเธอ


 


ราชินีจิ้งจอกมองหานเซิ่นและหัวเราะ “เจ้าดูชั่วร้ายมากๆ โกสต์โบนนี่เจ้าคิดว่าข้ากำลังช่วยเหลือเจ้าอย่างนั้นหรอ? เจ้าขังข้าเอาไว้ที่นี่เป็นล้านๆปีก็เพื่อทำให้ข้าทุกข์ทรมาน ข้ารอคอยโอกาสนี้มาชั่วชีวิต ตอนนี้เมื่อเจ้ามีร่างกายและใช้พลังของตัวเองไม่ได้สักพัก แถมเจ้าก็ยังเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง ดังนั้นมันถึงเวลาที่ข้าจะฆ่าเจ้า”


 


หานเซิ่นตกใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ เขาอ้างตัวว่าเขาเป็นขุนพลโกสต์โบนทั้งหมดก็เพื่อหลอกเธอ เขาคิดว่าแบบนั้นจะสามารถล้วงความลับบางอย่างออกมาจากเธอได้ เขาไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น


 


ราชินีจิ้งจอกดูแปลกๆ โซ่สสารก่อตัวรอบๆร่างกายของเธอ ผมและหางจิ้งจอกสีขาวของเธอโบกสะบัดไปมา เธอกำลังจะระเบิดพลังออกมา


 


โซ่ที่ล่ามเธออยู่ปลดปล่อยควันสีดำออกมา มือผีทั้ง 5 พยายามที่จะจับคอ ข้อมือและข้อเท้าของราชินีจิ้งจอก


 


แต่โซ่สสารของราชินีจิ้งจอกป้องกันมือสีดำเหล่านั้นเอาไว้ มือพวกนั้นไม่สามารถหยุดเธอได้ ขณะที่ราชินีจิ้งจอกยื่นมือออกไปและโซ่สสารนั้นก็พุ่งตรงเข้าไปหาหานเซิ่น


 


“ช้าก่อน! ข้าไม่ใช่ขุนพลโกสต์โบน ข้าคือซานมู่!” หานเซิ่นรีบพูด


 


“บางทีลูกไม้นั้นอาจจะใช้ได้ผลกับคนอื่น แต่มันไม่ได้ผลกับข้า”


ราชินีจิ้งจอกไม่เชื่อหานเซิ่นและโซ่สสารนั้นก็พุ่งเข้าไปหาเขาต่อไปอย่างไม่ลดละ


 


ราชินีจิ้งจอกเชื่อว่านี้เป็นโอกาสเดียวของเธอ ร่างกายของเธอถูกล่ามและเธอก็ใช้พลังของส่วนใหญ่ไปกับการข่มโซ่ที่ล่ามเธอเอาไว้ พลังที่เธอสามารถใช้เพื่อโจมตีจึงเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของพลังทั้งหมด เธอจึงจำเป็นต้องฆ่าขุนพลโกสต์โบนในขณะที่ร่างกายของเขายังเป็นแค่ระดับดยุกเท่านั้น


 


ราชินีจิ้งจอกนั้นรอคอยโอกาสนี้มานานแสนนานแล้ว 

 

 


ตอนที่ 2253

 

หานเซิ่นรีบถอยออกไปด้านหลังพร้อมกับเรียกใบเสมาราชาแมลงปีศาจสีทองออกมา


 


ตูม!


โซ่สสารที่มองไม่เห็นพุ่งเข้ามาใส่ใบสามาราชาแมลงปีศาจสีทอง ใบเสมาสั่นสะเทือนและส่งเสียงดังออกมา มันฟังดูเหมือนกับว่าใบเสมากำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


หานเซิ่นตกตะลึง พลังส่วนใหญ่ของราชินีจิ้งจอกถูกใช้ไปกับการต่อต้านโซ่ที่ล่ามตัวเธออยู่ แต่ถึงอย่างนั้นใบเสมาราชาแมลงปีศาจก็ไม่สามารถป้องกันพลังเพียงน้อยนิดของเธอได้ ถ้าเธอโจมตีซ้ำอีกเพียงไม่กี่ครั้ง เธอก็คงจะทำลายมันได้อย่างแน่นอน


 


‘ยอดฝีมือระดับเทพเจ้านี่น่ากลัวจริงๆ เพียงแค่พลังน้อยนิดของพวกเขาก็เอาชนะสิ่งมีชีวิตระดับต่ำกว่าได้’ หานเซิ่นกำลังคิดหาทางที่จะหนีไปจากสถานการณ์ในตอนนี้


 


ราชินีจิ้งจอกไม่ประหลาดใจที่หานเซิ่นสามารถป้องกันการโจมตีครั้งแรกของเธอได้ เพราะเธอคิดว่าเขาคือขุนพลโกสต์โบน


 


โซ่สสารที่เธอปล่อยออกไปยังไม่ลดละ มันเป็นเหมือนกับโซ่ที่เข้ารัดใบเสมาราชาแมลงปีศาจ มันรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆและพยายามบีบโล่ป้องกันให้แตกสลาย


 


หานเซิ่นเห็นว่าใบเสมาของเขาเริ่มริบหรี่ ฝุ่นสีทองจำนวนมากกำลังหลุดลอกออกมา


 


“ราชินีจิ้งจอกในตอนที่ข้ามาที่นี่ครั้งแรก ท่านจำสิ่งแรกที่ข้าได้ไหม?”


หานเซิ่นถามราชินีจิ้งจอก ขณะที่เขายังคงอยู่ภายในใบเสมาราชาแมลงปีศาจ


 


“โกสต์โบน อย่ามัวเสียเวลาเลย! นี่คือวันตายของเจ้า” ราชินีจิ้งจอกพูด


 


หานเซิ่นรีบคิดและพูดขึ้นมา “แล้วถ้าเรื่องที่พวกเราพูดคุยกันในระหว่างที่อยู่ในไวท์โบนเฮลล์ล่ะ? ขุนพลโกสต์โบนไม่รู่เรื่องนั้นถูกไหม ท่านบอกว่าชื่อซานมู่ของข้าเป็นชื่อที่แย่! ท่านบอกว่าแค่หนึ่งไม้ก็น่าเบื่อมากพอแล้ว และความจริงที่ข้ามี 3 ไม้ทำให้ข้าเป็นคนที่น่าเบื่ออย่างที่สุด”


 


ราชินีจิ้งจอกแปลกใจ เธอขมวดคิ้วและมองไปที่หานเซิ่น มันดูเหมือนกับว่าเธอเริ่มจะเชื่อคำกล่าวอ้างของเขา


 


“จิตใจของขุนพลโกสต์โบนถูกข้าทำลายไปแล้ว ข้าจึงกลัวว่าท่านอาจจะต้องการแก้แค้นข้าในเรื่องนั้น ด้วยเหตุนั้นในตอนแรกข้าถึงได้สวมรอยเป็นเขา แต่ข้าไม่ใช่ขุนพลโกสต์โบนจริงๆ” หานเซิ่นพูด


 


ราชินีจิ้งจอกจ้องมองหานเซิ่นอยู่สักพัก หลังจากนั้นเธอก็ถามขึ้นมา


“เจ้าเห็นซีโน่เจเนอิคแบบไหนภายในไวท์โบนเฮลล์?”


 


หานเซิ่นรีบบรรยายลักษณะของซีโน่เจเนอิคตัวนั้นให้เธอฟัง หลังจากที่ราชินีจิ้งจอกได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอก็เชื่อเขายิ่งกว่าเดิม


 


ราชินีจิ้งจอกลังเลอยู่ชั่วขณะ หลังจากนั้นเธอก็ถามหานเซิ่น “ในตอนที่เจ้าถูกนำมาที่นี่ ข้าไม่ได้พูดกับเจ้า ข้าพูดอะไร?”


 


‘เธอพูดกับฉันหนิ’ หานเซิ่นคิด หลังจากนั้นเขาก็พูด “มานี่…”


 


ราชินีจิ้งจอกสะดุ้งเมื่อได้ยินหานเซิ่น โซ่สสารรอบใบเสมาเริ่มจางหายไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ เธอพูดขึ้นมา


“เจ้าคือซานมู่จริงๆอย่างนั้นหรอ?”


 


“ข้าคือซานมู่จริงๆ ข้าไม่ใช่โกสต์โบน ข้าต้องทำยังไงท่านถึงจะยอมเชื่อข้า?” หานเซิ่นรู้สึกอยากจะร้องไห้ เขาไม่ควรพยายามกล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นขุนพลโกสต์โบน เขาควรจะบอกเธอไปตามตรงตั้งแต่แรก


 


“วิธีการคิดและพูดของเจ้านั้นแตกต่าง แต่โกสต์โบนนั้นชั่วร้าย…”


ราชินีจิ้งจอกยังลังเลที่จะเชื่อหานเซิ่น เธอไม่อยากจะเชื่อว่าหานเซิ่นเอาชนะและทำลายจิตใจของขุนพลโกสต์โบนได้


 


ขุนพลโกสต์โบนเป็นหนึ่งในสิบขุนพลของเซเคร็ด เธอและขุนพลโกสต์โบนเป็นระดับเทพเจ้าเหมือนกัน ซึ่งแม้แต่เธอก็ยังเอาชนะขุนพลโกสต์โบนไม่ได้ ส่วนหานเซิ่นเป็นเพียงแค่ดยุกคนหนึ่ง


 


“ข้าคือซานมู่จริงๆ” หานเซิ่นรู้สึกแย่


 


“เจ้าทำลายจิตใจของขุนพลโกสต์โบนได้ยังไง” ราชินีจิ้งจอกมองหานเซิ่นและถามคำถาม


 


หานเซิ่นตอบ “ข้าเป็นคนมีพรสวรรค์ จิตใจของข้าแข็งแกร่งเหนือกว่าจิตใจของยอดฝีมือระดับเทพเจ้า การที่ขุนพลโกสต์โบนบุกเข้ามาในจิตใจของข้าด้วยตัวเองนั้นไม่ต่างอะไรไปจากการรนหาที่ตาย”


 


ราชินีจิ้งจอกยังคงไม่เชื่อ เธอมองหานเซิ่นอย่างละเอียด เธอรู้จักขุนพลโกสต์โบนเป็นอย่างดี และหานเซิ่นในตอนนี้ก็ฟังดูไม่เหมือนกับเขาเลยสักนิดเดียว


 


หานเซิ่นคิดและพูด “ถึงแม้ขุนพลโกสต์โบนจะเข้าสิงร่างกายของข้า เขาก็เข้าถึงความทรงจำของข้าไม่ได้”


 


“มันเป็นไปได้ การกลืนกินจิตใจคนอื่นและรับต่อความทรงจำของพวกเขาไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับโกสต์โบน” ราชินีจิ้งจอกพูด


 


หานเซิ่นเงียบไป เขาไม่สามารถอธิบายในเรื่องนี้ได้


 


ทันใดนั้นราชินีจิ้งจอกก็ยิ้มออกมา “มันเป็นเรื่องง่ายที่จะพิสูจน์ว่าเจ้าใช่โกสต์โบนหรือไม่ ตามข้ามาที่ไวท์โบนเฮลล์ และพวกเราจะได้เห็นเอง”


 


“ทำไม?” หานเซิ่นถาม


 


ราชินีจิ้งจอกยิ้ม “ซีโน่เจเนอิคที่อยู่ภายในไวท์โบนเฮลล์เป็นผลงานที่เกิดจากความผิดพลาดของโกสต์โบน โกสต์โบนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาก็ไม่เคยกลับเข้าไปในไวท์โบนเฮลล์ เขาจึงไม่รู้ว่ามันมีซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่งอยู่ภายใน และเรื่องที่ซีโน่เจเนอิคตัวนั้นได้รับการยอมรับจากไวท์โบนเฮลล์ โกสต์โบนนั้นเคยเป็นผู้ครองในไวท์โบนเฮลล์ ดังนั้นถ้าเจ้าคือโกสต์โบนและเข้าไปในไวท์โบนเฮลล์ ซีโน่เจเนอิคตัวนั้นก็จะสัมผัสได้ถึงตัวตนของเจ้า มันจะจู่โจมเจ้า ไวท์โบนเฮลล์นั้นมีผู้ครอง 2 คนไม่ได้”


 


“ข้าจะลองทำดู” หานเซิ่นพูด


 


ราชินีจิ้งจอกไม่ได้พูดอะไรอีก เธอแค่เดินไปที่อีกฝากหนึ่งของปราสาท และใช้กุญแจที่ห้อยคอของอยู่เธอเพื่อเปิดประตูโครงกระดูกนรก หลังจากนั้นเธอก็พาหานเซิ่นกลับเข้าไปในไวท์โบนเฮลล์


 


หานเซิ่นยืนอยู่บนยอดของไวท์โบนเอลล์ แต่เขาไม่ได้รู้สึกถึงอะไรพิเศษ


 


ในตอนแรกหานเซิ่นกังวลว่าพลังโกสต์โบนในตัวจะกระตุ้นปฏิกิริยาบางอย่างกับไวท์โบนเฮลล์ แต่โชคดีที่มันไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้น


 


ราชินีจิ้งจอกมองหานเซิ่นอย่างขะมักเขม้นและเตรียมที่จะฆ่าเขา ถ้าเกิดเขาทำอะไรตุกติก แต่เมื่อหานเซิ่นเข้าไปข้างใน เธอก็พบว่าไวท์โบนเฮลล์ไม่มีปฏิกิริยาอะไร และซีโน่เจเนอิคที่อยู่ภายในก็ไม่มองหานเซิ่นแม้แต่น้อย นี่ทำให้เธอประหลาดใจไม่น้อย


 


“เจ้าคือซานมู่จริงๆ” ราชินีจิ้งจอกเริ่มเชื่อหานเซิ่นแล้วในตอนนี้


 


“ข้าบอกท่านแล้ว ข้าคือซานมู่จริงๆ” หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา


 


ราชินีจิ้งจอกปัดผมของเธอและมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ “โกสต์โบนคงไม่มีทางเชื่อว่าเขาจะถูกดยุกคนหนึ่งฆ่า”


 


การได้ยินแบบนั้นทำให้หานเซิ่นถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ดูเหมือนราชาจิ้งจอกจะเชื่อเขาแล้วจริงๆ


 


“ราชินีจิ้งจอก โกสต์โบนได้ตายไปแล้ว ท่านและข้าไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกัน ดังนั้นพวกเราควรจะร่วมมือกันเพื่อค้นหาหนทางที่จะออกไปจากที่นี่ แบบนั้นท่านก็จะกลับไปสู่โลกภายนอกได้” หานเซิ่นพูดขณะที่มองไปที่ราชินีจิ้งจอก


 


ราชินีจิ้งจอกถอนหายใจ “ถ้าข้าทำได้ ข้าก็คงออกไปนานแล้ว”


 


“ท่านออกไปจากที่นี่ตามลำพังไม่ได้ แต่บางทีมันอาจจะมีหนทางอยู่ถ้าพวกเราร่วมมือกัน บอกข้าเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านรู้และบางทีข้าอาจจะหาทางทำลายการป้องกันของที่นี่ได้” หานเซิ่นพูด


 


ตลอดเดือนที่ผ่านมา หานเซิ่นได้ใช้เวลาตรวจสอบการป้องกันของปราสาทแห่งนี้ เขาได้ใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อมองสิ่งต่างๆ แต่เขาไม่พบหนทางที่จะทำลายการป้องกันออกไปได้


 


แต่ตอนนี้ทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไป โกสต์โบนใช้พลังที่เหลืออยู่ของเขาเพื่อมอบร่างโกสต์โบนให้กับหานเซิ่น ตอนนี้เขาจึงเดิมพันว่าตัวเองจะทำลายการป้องกันของที่นี่และออกไปข้างนอกได้ 

 

 


ตอนที่ 2254

 

จิตของโกสต์โบนถูกทำลายด้วยชุดเกราะคริสตัลสีดำ แต่พลังของโกสต์โบนยังคงหลงเหลืออยู่ภายในร่างกายของหานเซิ่น และถึงแม้หานเซิ่นจะไม่สามารถใช้พวกมันได้ แต่พลังที่อยู่ในร่างกายของเขาก็เป็นพลังเดียวกันกับพลังที่กักขังพวกเขาเอาไว้ ซึ่งนั่นมอบความเป็นไปได้ใหม่ให้กับหานเซิ่น


 


หานเซิ่นจำเป็นต้องหาหนทางทำลายพลังป้องกันที่นี่ และด้วยการทำแบบนั้นบางทีเขาอาจจะออกไปจากที่นี่ได้


 


แต่ด้วยการที่ราชินีจิ้งจอกอยู่ที่นี่ด้วย เธอไม่มีทางจะปล่อยให้เขาไปทดลองวิธีต่างๆตามใจชอบ และถ้าเกิดพวกเขาต้องต่อสู้กันขึ้นมา หานเซิ่นก็ไม่สามารถเอาชนะเธอได้ ดังนั้นเขาต้องหาหนทางทำให้เธอยอมร่วมมือกับเขาก่อน


 


“พลังที่ป้องกันที่นี่อยู่เป็นบางสิ่งที่แม้แต่ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างนั้นแล้วอะไรกันที่ทำให้เจ้าคิดว่าจะทำมันได้?”

ราชินีจิ้งจอกกรอกตาของเธอ “แต่มันเป็นเรื่องดีที่เจ้าอยู่ที่นี่ อย่างน้อยมันก็มีใครบางคนอยู่ที่นี่เพื่อพูดคุยกับข้า แบบนั้นข้าจะได้ไม่เบื่อตาย”


 


‘นั่นฟังดูดี แต่ไม่ว่าเธอจะสวยสักแค่ไหน หลังจากผ่านไปสักพักมันก็น่าเบื่ออยู่ดี ฉันไม่คิดจะอยู่กับเธอไปตลอด’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


“เอิ่ม…ท่านจะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ตอนนี้ขุนพลโกสต์โบนได้เปลี่ยนร่างกายของข้าเป็นร่างโกสต์โบน ข้ายังใช้พลังโกสต์โบนได้ ข้าคิดว่าพลังป้องกันของที่แห่งนี้เกี่ยวเนื่องกับพลังโกสต์โบน มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ถ้าจะทำลายมัน” หานเซิ่นพูด


 


ราชินีจิ้งจอกดูค่อนข้างเบื่อในตอนนี้ “พลังที่ป้องกันที่นี่อยู่ไม่ใช่แค่พลังโกสต์โบนเพียงอย่างเดียว ถึงแม้โกสต์โบนจะเกิดใหม่อีกครั้ง เขาก็ทำลายพวกมันออกไปไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่ระดับเทพเจ้า เจ้าเองก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้นแค่อยู่กับข้าที่นี่และทุกอย่างจะไม่เป็นไร”


 


หลังจากนั้นราชินีจิ้งจอกก็กลับไปที่ปราสาท หานเซิ่นก็ตามหลังเธอกลับไปที่ปราสาทเช่นกัน


 


ดูเหมือนราชินีจิ้งจอกไม่มีความหวังที่จะหนีออกไปจากที่นี่ และเธอก็ไม่มีอารมณ์จะพูดเกี่ยวกับมันเช่นกัน หานเซิ่นจึงได้แต่ตรวจสอบและวิเคราะห์พลังป้องกันของปราสาทอยู่ตามลำพัง


 


หานเซิ่นยังไม่คิดจะไปดูโซ่ที่ล่ามราชินีจิ้งจอกอยู่ ในตอนนี้เขาเริ่มจากการตรวจสอบพลังป้องกันกำแพงก่อน ถ้าเขาสามารถทำลายพวกมันได้ อสูรกาแล็กซี่ก็จะสามารถพาเขาออกไปจากที่นี่ได้


 


ด้วยการใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อตรวจดูพลังป้องกันที่อยู่ในกำแพง หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าพวกมันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบ โครงสร้างลำดับของมันเหนียวแน่น และพวกมันก็อยู่ในรูปแบบที่แปลกประหลาด ถึงแม้เขาจะใช้ท่าตบขั้นสุดยอด พลังของเขาก็ไม่เพียงพอที่จะทำลายโครงสร้างลำดับของพวกมัน


 


ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ หานเซิ่นก็ไม่มีทางจะทำอะไรกับมันได้


 


แต่ตอนนี้เขามีร่างโกสต์โบนอยู่ นอกจากนั้นเขายังมีพลังโกสต์โบนของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป


 


ถ้าราชินีจิ้งจอกสามารถทำลายการป้องกันเพื่อให้เขาผ่านเข้ามาได้ก่อนหน้านี้ หานเซิ่นก็คิดว่าตัวเองสามารถได้เหมือนกัน


 


หานเซิ่นใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อตรวจสอบทั่วทั้งปราสาท เขาพยายามจะดูว่าปราสาทนั้นถูกสร้างขึ้นมาในรูปแบบไหน


 


พลังป้องกันไม่ได้ถูกเสริมเข้าไปทีหลัง แต่พวกมันถูกสร้างขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งก่อสร้าง หินของปราสาทเป็นหนึ่งในพลังป้องกัน แม้แต่ตัวของราชินีจิ้งจอกเองก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน นอกซะจากพลังป้องกันของทั้งปราสาทจะถูกทำลายไป ราชินีจิ้งจอกก็ไม่มีวันออกไปจากที่นี่ได้ และถ้าหานเซิ่นต้องการทำลายพลังป้องกันของทั้งปราสาท เขาก็ต้องทำลายพลังของราชินีจิ้งจอกด้วย นั่นคือเหตุผลที่เธอไม่คิดจะหนีออกไป


 


ขุนพลโกสต์โบนนั้นชาญฉลาด เขาออกแบบปราสาทนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ลงมือสร้างมันขึ้นมา


 


‘พลังป้องกันของที่นี่เป็นอะไรที่มหัศจรรย์ แต่มันทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากเทคนิคโกสต์โบน ตอนนี้เมื่อเรามีร่างโกสต์โบนอยู่ ถ้าเราหาข้อบกพร่องบางอย่างในการก่อสร้างได้ เราก็อาจจะหนีไปได้ ถึงแม้การทำลายพลังป้องกันทั้งหมดของปราสาทจะเป็นเรื่องยากก็ตาม’ หานเซิ่นยังคงทำการวิเคราะห์โครงสร้างของปราสาทต่อไป


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นก็สังเกตเห็นว่าในปราสาทที่มีพลังป้องกันสมบูรณ์แบบนั้น เขาหาจุดบกพร่องที่เล็กมากๆจนเจอ


 


จริงๆแล้วมันไม่ควรจะเรียกว่าเป็นจุดบกพร่อง แต่มันเป็นแค่จุดที่การป้องกันหลวมกว่าปกติเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกมีหวังขึ้นมา


 


จุดที่หานเซิ่นพบคือจุดที่ใกล้ๆกับรูปปั้นปลาที่อยู่ข้างๆสระน้ำ นั่นคือตำแหน่งที่เขาเข้ามาในที่แห่งนี้


 


“ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ บริเวณนั้นมีจุดบกพร่องอยู่ และนั่นเป็นเพราะราชินีจิ้งจอกพยายามใช้พลังของเธอใส่จุดนั้นซ้ำๆเพื่อให้อสูรตัวน้อยเข้าออกได้ ถึงแม้พลังของราชินีจิ้งจอกจะทำลายพลังป้องกันของที่นี่ไม่ได้ แต่มันก็ทำให้โครงสร้างลำดับในบริเวณนั้นหลวมกว่าบริเวณอื่นๆ” ตอนนี้หานเซิ่นมีหนทางที่จะหนีออกไป


 


บนดาวไอซ์บลูกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางลึกเข้าไปในภูเขา ถ้าหานเซิ่นได้มาเห็นเขาก็คงจะประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะคนสำคัญของฐานทัพไอซ์บลูมาอยู่พร้อมหน้ากันหมด


 


กุนซือไวท์ คราม ราชาอัศวินไอซ์บลู ผู้ตรวจการเอ็ดเวิร์ดและยังมีอัศวินไอซ์บลูระดับราชันอีกหลายคน ทีมที่มานั้นถือเป็นแกนหลักของหน่วยอัศวินไอซ์บลู


 


“กุนซือไวท์ ด้วยพลังที่มหัศจรรย์ของท่าน ท่านก็ยังระบุไม่ได้ว่าหานเซิ่นอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรอ?” อัศวินไอซ์บลูที่อยู่ข้างๆเอ็ดเวิร์ดพูดขึ้นมา


 


“มิสเตอร์ไวท์ไม่พูดโกหก” ครามตอบอย่างเกรี้ยวโกรธ


 


กุนซือไวท์โบกมือเพื่อหยุดคราม จากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา

“พลังของข้าจะไม่ทำให้ข้าหลงทาง และทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือคาดเดาสถานที่ที่เขาอยู่ ความเป็นไปได้เดียวที่ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนเป็นเพราะมีพลังที่แข็งแกร่งบางอย่างมากรีดกวางข้าเอาไว้ ทั้งหมดที่ข้าจะแนะนำได้ก็คือให้พวกเราเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ข้าเดาว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อพวกเราหาเขาพบ”


 


“พวกเราจะฟังทุกอย่างที่ท่านบอกพวกเรา” ราชาอัศวินไอซ์บลูพูด


 


เอ็ดเวิร์ดห้ามอัศวินไอซ์บลูข้างๆจากการพูดอะไรอีก พวกเขาติดตามกุนซือไวท์และเดินขบวนกันต่อไป


 


กลุ่มของพวกเขาเดินทางลึกเข้าไปในภูเขา กุนซือไวท์นำทางพวกเขาทุกคนไปขณะที่คำนวณอะไรบางอย่างไปด้วย


 


“ทำไมเจ้าถึงเอาแต่เดินไปเดินมาอยู่ได้? เข้ามาพูดคุยกับข้า”

ราชินีจิ้งจอกจ้องไปที่หานเซิ่น ขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียงหยกของเธอ


 


“ข้ากำลังมองหาหนทางที่จะทำลายการป้องกันของที่นี่” หานเซิ่นรู้ว่าไม่สามารถปิดบังมันจากเธอได้ ดังนั้นเขาจึงบอกเธอไปตรงๆ


 


เมื่อได้ยินที่เขาพูด ราชินีจิ้งจอกก็ยังคงไม่เชื่อว่าหานเซิ่นจะทำลายพลังป้องกันเพื่อออกไปได้


 


“ความสนุกของค่ำคืนหนึ่งเป็นอะไรที่ประเมินค่าไม่ได้ เลิกเสียเวลาและหันมาแสดงความสนใจผู้คนที่อยู่รอบๆตัว” เสียงของราชินีจิ้งจอกฟังดูยั่วยวน และเธอก็ดูเหมือนกับปีศาจจอมล่อลวง


 


“หน้ากากโกสต์โบนที่เหลืออยู่มีพลังระดับครึ่งเทพเหมือนกันใช่ไหม?”

หานเซิ่นหันไปมองหน้ากากโกสต์โบนที่อยู่ที่ห้องโถงด้านข้าง


 


ราชินีจิ้งจอกยิ้ม “แน่นอนว่าไม่ พวกมันเป็นแค่สถานที่ที่โกสต์โบนเคยใช้อยู่อาศัย เมื่อเขายังอยู่ที่นี่ พวกมันก็มีพลัง แต่ตอนนี้พลังของเขาอยู่ในร่างกายของเจ้า หน้ากากพวกนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป”


 


หานเซิ่นคิดหนทางที่จะออกไปจากที่นี่ขึ้นมาได้ แต่เขายังคงอ่อนแอเกินไป


 


หานเซิ่นหยิบหน้ากากอันหนึ่งขึ้นมาและพบว่ามันไม่มีพลังอะไรอยู่จริงๆ แต่ทว่ามันเป็นอะไรที่แข็งแรงอย่างมาก


 


“ท่านช่วยเปิดไวท์โบนเฮลล์ให้ข้าหน่อยได้ไหม?” หานเซิ่นถาม


 


ในตอนนี้เมื่อหน้ากากโกสต์โบนไร้ประโยชน์ หานเซิ่นจึงหันไปหากิเลนโลหิตแทน ถ้าเขาทำให้มันมาเป็นพวกได้ มันก็จะเป็นอะไรที่ง่ายขึ้นมาก


 


“ทำไมเจ้าถึงอยากจะเข้าไปในนั้น?” ราชินีจิ้งจอกถามหานเซิ่น


 


“ข้าอยากลองดูว่าจะทำให้มันเชื่องได้ไหม ถ้าข้าได้รับพลังของมัน ข้าก็อาจจะทำลายการป้องกันของที่นี่ได้” หานเซิ่นพูดสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ออกไปตรงๆ


 


“โอเค นั่นเป็นความคิดที่ดี เอาล่ะเจ้าไปทำแบบนั้นได้” ราชินีจิ้งจอกโยนกุญแจกระดูกดำให้กับหานเซิ่น 

 

 


ตอนที่ 2255

 

หานเซิ่นเป็นแค่ดยุกคนหนึ่งแต่เขาอยากจะจับกิเลนโลหิต ราชินีจิ้งจอกนั้นคิดว่านั่นความคิดที่บ้าบอสิ้นดี


 


กิเลนโลหิตถือเป็นซีโน่เจเนอิคระดับราชันที่แข็งแกร่งที่สุดตัวหนึ่ง มันอาจจะไม่พ่ายแพ้ในการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพด้วยซ้ำ นอกจากนั้นมันยังกำเนิดภายในไวท์โบนเฮลล์


 


แต่เนื่องจากเธอไม่มีอะไรจะทำ เธอจึงคิดว่าแบบนั้นก็อาจจะช่วยขจัดความเบื่อไปได้สักระยะหนึ่ง


 


หลังจากที่หานเซิ่นเข้าไปในไวท์โบนเฮลล์อีกครั้ง เขาก็ตรงไปที่ยอดภูเขาที่เหมือนกับดอกบัว ถ้าทำอะไรกิเลนโลหิตไม่ได้จริงๆ เขาก็คิดจะฝึกวิชาโลหิตชีพจรแทนด้วยความหวังที่จะทำลายการป้องกันของปราสาท


 


ราชินีจิ้งจอกยืนอยู่ตรงหน้าประตูโครงกระดูกนรก เธอมองดูการเคลื่อนไหวของหานเซิ่น หานเซิ่นมีร่างโกสต์โบน ซึ่งในสายตาของกิเลนโลหิตแล้วนั่นถือเป็นสารอาหารที่สมบูรณ์แบบ บางสิ่งที่น่าสนใจจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนถ้ากิเลนโลหิตสัมผัสได้ถึงการมาของเขา


 


และมันก็เป็นอย่างที่ราชินีจิ้งจอกคิด เมื่อหานเซิ่นอยู่ห่างออกไปจากยอดภูเขาดอกบัวแค่ 50 ไมล์ มันก็มีเสียงคำรามดังขึ้นมา


 


หลังจากนั้นกิเลนโลหิตก็ออกมาจากยอดภูเขาดอกบัวพร้อมกับเมฆสีแดงของมัน ดวงตาสีเลือดของมันจ้องไปที่หานเซิ่น หลังจากนั้นมันก็กระโดดเข้าหาหานเซิ่นพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ประหลาด


 


หานเซิ่นเห็นกิเลนโลหิตพุ่งมาหาเขาราวกับสายฟ้า พลังที่น่าสะพรึงกลัวตรงเข้ามาหาเขา และเขาไม่สามารถเทเลพอร์ได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกใบเสมาราชาแมลงปีศาจสีทองออกมา


 


กรงเล็บของกิเลนโลหิตห่อหุ้มด้วยแสงสีแดง พวกมันพุ่งลงมาใส่ใบเสมาราชาแมลงปีศาจสีทองและทิ้งรอยลึกเอาไว้ มันเกือบจะทำลายใบเสมาในทันที ซึ่งทำให้หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ


 


โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หานเซิ่นหันหลังกลับและวิ่งหนีไป กิเลนโลหิตนั้นแข็งแกร่งกว่าที่หานเซิ่นคิดเอาไว้ ถึงแม้มันจะเป็นแค่ระดับราชัน แต่มันก็อาศัยอยู่ภายในไวท์โบนเฮลล์ สิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพส่วนใหญ่ไม่สามารถเอาชนะมันได้


 


ราชินีจิ้งจอกมองดูหานเซิ่นใช้โล่สีทองในการวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เธอหัวเราะออกมา

“ตอนนี้เจ้ายังอยากจะจับมันมาฝึกให้เชื่องอีกไหม?”


 


หานเซิ่นเห็นว่ากิเลนโลหิตดูเหมือนจะหวาดกลัวต่อราชินีจิ้งจอก และด้วยเหตุนั้นมันจึงเลิกไล่ล่าเขา หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจอย่างมาก เขาเก็บใบเสมาราชาแมลงปีศาจสีทองกลับไปและพูด “ให้ข้าได้คิดวิธีที่ดีกว่านี้”


 


ราชินีจิ้งจอกหัวเราะ เธอกลับไปที่ปราสาทขณะที่หานเซิ่นนั่งอยู่หน้าประตูโครงกระดูกนรก เขาพยายามคิดหาวิธีที่จะรับมือกับกิเลนโลหิต


 


กิเลนโลหิตนั้นคำรามใส่หานเซิ่นจากระยะไกล พลังโลหิตของมันระเบิดออกในวงกว้าง ขณะที่บนท้องฟ้าเมฆสีแดงก่อตัวหนาและเข้มขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นฝนก็เริ่มจะตกลงมาอย่างหนัก


 


หานเซิ่นนั่งอยู่ท่ามกลางสายฝนเลือด เขาจ้องมองไปที่กิเลนโลหิตและขมวดคิ้ว เขาใช้วิญญาณอสูรเนตรม่วงเพื่อตรวจดูมัน


 


กิเลนโลหิตนั้นคล้ายคลึงกับโกสต์โบนอย่างมาก ทั้งคู่กำเนิดภายในไวท์โบนเฮลล์เหมือนกัน แต่กิเลนโลหิตไม่ใช่หนึ่งในเผ่าโบน พลังของมันจึงต่างไปจากของขุนพลโกสต์โบนโดยสิ้นเชิง


 


ด้วยเหตุนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้พลังของขุนพลโกสต์โบนเพื่อทำให้กิเลนโลหิตเชื่อง และถ้าเขาพยายามทำแบบนั้นมันก็จะถูกกลืนกิน


 


หานเซิ่นนั่งอยู่หน้าประตูโครงกระดูกนรกและเริ่มฝึกวิชาโลหิตชีพจร ถ้าเขาไม่สามารถทำให้เจ้ากิโลนโลหิตเชื่องได้ อย่างนั้นแล้วเขาก็ต้องพัฒนาวิชาโลหิตชีพจรไปสู่ระดับดยุกเพื่อทำลายพลังป้องกันของปราสาท


 


ภายในร่างกายของหานเซิ่นมีพลังโกสต์โบนระดับเทพเจ้าหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก หานเซิ่นใช้วิชาโลหิตชีพจรของเขาดูดซับมันเข้าไปอย่างช้าๆเพื่อฝึกวิชาโลหิตชีพจร


 


พลังระดับเทพเจ้านั้นหนาแน่นมากๆ แค่พลังเพียงนิดเดียวก็สามารถทำให้หานเซิ่นฝึกได้ตลอดทั้งเดือน มันทำให้วิชาโลหิตชีพจรพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นกัน หานเซิ่นเชื่อว่าขุนพลโกสต์โบนนั้นเกือบจะเป็นคนดี


 


ราชินีจิ้งจอกแวะเข้ามาเยี่ยมหานเซิ่นอยู่หลายครั้งเพื่อยั่วยวนเขา แต่หานเซิ่นไม่พูดอะไรกับเธอสักคำ มันทำให้เธอรู้สึกเบื่อยิ่งกว่าที่เคยและการมาเยี่ยมของเธอก็น้อยครั้งลงเรื่อยๆ


 


ราชาจิ้งจอกนั้นชื่นชอบความสะอาด ด้วยเหตุนั้นสถานที่อย่างไวท์โบนเฮลล์จึงไม่ใช่ที่ที่เธอจะอยู่เป็นเวลานาน


 


หานเซิ่นนั่งอยู่บนกองหัวกะโหลกและฝึกวิชาโลหิตชีพจรต่อไปวันแล้ววันเล่า เมื่อไหร่ก็ตามที่กิเลนโลหิตออกมาเพื่อดูดซับพลังงานจากกระดูกและเลือดเข้าไป มันก็จะคำรามใส่หานเซิ่น แต่ดูเหมือนมันจะยังหวาดกลัวต่ออะไรบางอย่าง มันไม่เคยพยายามที่จะเข้ามาใกล้ประตูโครงกระดูกนรก มันแค่คำรามใส่หานเซิ่นจากระยะไกลเท่านั้น


 


ด้วยการช่วยเหลือของพลังระดับเทพเจ้า วิชาโลหิตชีพจรของหานเซิ่นนั้นพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว


 


‘เมื่อวิชาโลหิตชีพจรกลายเป็นระดับดยุก ธาตุของมันจะคืออะไรกันแน่’

หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของธาตุวิชาโลหิตชีพจร


 


เขาคิดว่าธาตุของวิชาโลหิตชีพจรนั้นเป็นอะไรที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิงมากกว่า ผู้ชายไม่ควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคที่ถูกออกแบบมาเพื่อการมีลูก นั่นไม่สมเหตุสมผล


 


แต่วิชาโลหิตชีพจรนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงยังฝึกต่อไปและไม่ยอมแพ้กับมัน


 


หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งเดือน หานเซิ่นก็ได้ดูดซับพลังโกสต์โบนที่อยู่ในร่างกายหมดไปแล้ว 5 เปอร์เซ็นต์ และมันก็ถึงเวลาที่วิชาโลหิตชีพจรของเขาจะวิวัฒนาการไปสู่ระดับดยุก


 


‘เมื่อวิชาโลหิตชีพจรพัฒนาไปสู่ระดับดยุก หวังว่ามันจะมีธาตุที่เราเอาไปใช้ในการต่อสู้ได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


หานเซิ่นใช้วิชาโลหิตชีพจรอีกครั้ง หลังจากนั้นลมปราณสีแดงก็ปรากฏขึ้นทุกหนทุกแห่ง มันทำให้แก้มของหานเซิ่นดูแดงกล่ำ ซึ่งในที่สุดสีแดงก็ปกคลุมทั้งร่างกายของเขา และทำให้เขาดูเหมือนกับรูปปั้นสีแดง


 


ด้วยเหตุผลบางอย่างกิเลนโลหิตปรากฏตัวออกมาจากภูเขาดอกบัว มันจ้องมองหานเซิ่นที่กำลังฝึกวิชาโลหิตชีพจร และสายตาของมันก็เป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากๆ


 


กิเลนโลหิตมักจะปรากฏตัวออกมาหลังจากที่ฝนเลือดหยุดไปแล้ว แต่ตอนนี้ฝนเลือดยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ แต่มันกลับมาออกมาจากภูเขาและจ้องมองไปที่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นไม่ได้สังเกตเห็นกิเลนโลหิต นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาวิชาโลหิตชีพจรไปสู่ระดับดยุก เขาไม่มีเวลามามัวสนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากตัวเอง


 


กิเลนโลหิตนั้นหวาดกลัวต่อราชินีจิ้งจอก และนั่นก็เป็นเหตุผลที่มันไม่อยากจะเข้ามาใกล้ประตูโครงกระดูกนรก แต่วันนี้การกระทำของมันต่างออกไป มันเดินไปมาบนยอดเขาด้วยความลังเล หลังจากนั้นมันก็กัดฟันและเริ่มเดินมาทางประตูโครงกระดูกนรก


 


ตอนนี้กิเลนโลหิตค่อยๆย่องไปบนพื้นกระดูกขาวอย่างลับๆล่อๆ มันขยับตัวเข้าไปใกล้กับกองหัวกะโหลกขึ้นเรื่อยๆโดยที่ไม่มีเจตนาที่จะทำให้หานเซิ่นรู้สึกตัว


 


ร่างกายของหานเซิ่นกลายเป็นคริสตัลสีเลือด ตอนนี้มันเป็นจังหวะที่สำคัญที่เขาจะกลายเป็นระดับดยุก พลังโกสต์โบนนั้นถูกดูดซับเข้าไปเรื่อยๆเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับวิชาโลหิตชีพจร มันทำให้พลังโลหิตภายในร่างกายของหานเซิ่นแข็งแกร่งขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 2256

 

ถึงแม้หานเซิ่นจะกำลังอยู่ระหว่างการวิวัฒนาการ แต่เจ้ากิเลนโลหิตก็ยังคงระมัดระวังอย่างมากในการเดินเข้ามา ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็สัมผัสได้ถึงการมาของมัน และนั่นทำหานเซิ่นสงสัยว่าควรจะเรียกวิญญาณอสูรใบเสมาราชาแมลงปีศาจออกมาหรือตะโกนเรียกราชินีจิ้งจอกดีไหม


 


เหตุผลที่หานเซิ่นมาวิวัฒนาการที่นี่ นั่นเป็นเพราะว่าจริงๆแล้วเขาไม่อยากให้ราชินีจิ้งจอกรู้ว่าเขาเลื่อนระดับขึ้นไป


 


หานเซิ่นไม่ได้คิดเอาไว้ว่ากิเลนโลหิตจะเข้ามาใกล้เขา เนื่องจากตอนนี้มันไม่ใช่เวลาปกติที่กิเลนโลหิตจะออกมาจากยอดเขาดอกบัว แต่เจ้ากิเลนโลหิตกลับปรากฏตัวออกมาจริงๆ และมันก็กล้าเดินเข้ามาใกล้อีกด้วย


 


แต่เมื่อเห็นท่าทางลับๆล่อๆของมัน หานเซิ่นก็เลือกที่จะไม่ทำอะไร เขาอยากจะดูสถานการณ์ต่อไปอีกหน่อย


 


เจ้ากิเลนโลหิตเดินเข้ามาที่กองหัวกะโหลกอย่างระมัดระวัง มันดูจะหวาดกลัวอะไรบางอย่าง


 


เมื่ออยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร เจ้ากิเลนโลหิตก็เริ่มหาที่กำบัง มันยื่นหัวออกมามองหานเซิ่น แต่มันไม่ได้เข้าไปใกล้มากกว่านั้น


 


หานเซิ่นดำเนินการวิวัฒนาการต่อไป ขณะที่คอยจับตาดูกิเลนโลหิตไปด้วย ถ้ามันทำอะไรบางอย่าง เขาก็จะเรียกราชินีจิ้งจอกและใช้ใบเสมาราชาแมลงปีศาจ


 


แต่ทั้งหมดที่เจ้ากิเลนโลหิตทำก็คือมองดูเท่านั้น มันมองมาที่หานเซิ่นตาไม่กระพริบ แต่มันไม่ได้เข้ามาใกล้กว่านั้น


 


หานเซิ่นเชื่อว่านั่นเป็นเพราะมันหวาดกลัวเกินไป ดังนั้นเขาจึงใช้สมาธิไปกับการวิวัฒนาการ


 


เลือดภายในตัวของเขากำลังเดือนและหัวใจของเขาก็เต้นดังราวกับฟ้าร้อง มันเป็นเหมือนกับเครื่องจักร


 


เมื่อหัวใจของเขาสูบฉีด มันก็ทำให้เลือดภายในตัวหมุนวน อุณหภูมิภายในเลือดของเขาเพิ่มสูงขึ้น


 


เมื่อมันถึงจุดวิกฤต หานเซิ่นก็ไม่มีเวลาจะจับตามองดูเจ้ากิเลนโลหิตอีก ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเรียกใบเสมาราชาแมลงปีศาจออกมาเพื่อที่เขาจะได้ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการวิวัฒนาการ


 


หานเซิ่นเป็นเหมือนกับมนุษย์เลือด เลือดนั้นซึมออกมาจากผิวของเขาและแพร่กระจายไปทั่วร่าง มันค่อยๆแข็งตัวเพื่อสร้างชั้นคริสตัลเลือดขึ้นมา


 


นั่นไม่ใช่เพราะว่ามันมีบางอย่างผิดพลาดเกิดขึ้นกับการวิวัฒนาการของหานเซิ่น แต่มันคือการที่เขาปลดปล่อยเลือดเก่าออกมาเพื่อแทนที่ด้วยเลือดใหม่ที่มีพลังประหลาดบางอย่าง เมื่อเลือดของเขาถูกเปลี่ยน พลังภายในร่างกายของเขาก็เพิ่มสูงขึ้น


 


ในขณะเดียวกันร่างกายของเขาก็ห่อหุ้มไปด้วยเลือดเก่ามันทำให้หานเซิ่นดูเหมือนกับหินเลือด เขานั่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ร่างกายของเขาจมอยู่ในความรู้สึกปิติยินดี


 


การพัฒนาวิชาโลหิตชีพจรไปสู่ระดับดยุกนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น มันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันอะไรเกิดขึ้น เลือดของเขาจากที่เป็นระดับมาร์ควิสก็กลายเป็นระดับดยุก และในที่สุดการวิวัฒนาการก็สิ้นสุด


 


แต่เมื่อหานเซิ่นออกมาจากสภาวะจิตใจที่ว่างเปล่า เขาก็รู้สึกว่าใบหน้าเปียก และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น เจ้ากิโลนอยู่ตรงหน้าเขาและกำลังใช้ลิ้นสีแดงของมันเลียใบหน้าของเขาอยู่


 


“มันเข้ามาข้างในได้ยังไง… นี่ใบเสมาราชาแมลงปีศาจไม่ได้ผลอย่างนั้นหรอ…” หานเซิ่นตกใจและสะดุ้งถอยไปด้านหลัง แต่เจ้ากิเลนโลหิตก็ตามเขาไปติดๆ เพราะความเร็วของหานเซิ่นเชื่องช้ากว่ามัน


 


แต่เจ้ากิเลนโลหิตไม่ได้ปลดปล่อยพลังอะไรออกมา มันแค่เลียหานเซิ่นเท่านั้น หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าเจ้ากิเลนโลหิตกำลังเลียเลือดเก่าของเขา


 


หานเซิ่นยืนนิ่งไป เนื่องจากกลัวว่าจะไปทำให้เจ้ากิโลนโลหิตโกรธ ตอนนี้มันอยู่ใกล้กับเขามาก เขาจำเป็นต้องใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดถ้าต้องการจะหนีไป


 


โชคดีที่เจ้ากิเลนไม่ได้โมโห มันแค่อยากจะเลียหานเซิ่น มันเลียเลือดเก่าที่อยู่รอบๆตัวของเขาออกไป และดูมันจะเพลิดเพลินกับการทำแบบนั้นราวกับว่ามันกำลังเลียไอศกรีม


 


‘เจ้านี้ดูจะชอบเลือด หลังจากที่มันดื่มเลือดเก่าของเราไปหมดแล้ว มันไม่คงจะกินเลือดใหม่ของเราด้วยหรอกใช่ไหม?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเองขณะที่เหลือบมองใบเสมาราชาแมลงปีศาจ


 


ใบเสมาราชาแมลงปีศาจไม่ได้ถูกทำลาย แต่หานเซิ่นก็คาดเอาไว้อยู่แล้ว เพราะถ้าใบเสมาราชาแมลงปีศาจถูกโจมตีจริงๆ เขาก็ต้องรู้สึกถึงมัน


 


ตอนนี้ใบเสมาราชาแมลงปีศาจยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี แต่แล้วเจ้ากิเลนโลหิตก็เข้ามาอยู่ข้างใน นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกสับสน


 


ตั้งแต่ที่หานเซิ่นมีใบเสมาราชาแมลงปีศาจ เขาไม่เคยเจอสิ่งมีชีวิตไหนที่สามารถทะลุผ่านการป้องกันของใบเสมาได้โดยที่ไม่ต้องทำลายมันมาก่อน แม้แต่อสูรกาแล็กซี่ก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้


 


ในขณะที่หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้ากิเลนโลหิตก็เสร็จสิ้นการเลียเลือดเก่าทั้งหมดของเขา หลังจากนั้นมันก็มองหานเซิ่น ขณะที่เลียริมฝีปากของตัวเอง


 


“กินเลือดเก่าของฉันไปจนหมดแล้ว ตอนนี้นายยังอยากกินเลือดใหม่ของฉันอีกอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นรวบรวมพลังและตั้งท่าเตรียมต่อสู้


 


แต่ทั้งหมดที่เจ้ากิเลนโลหิตทำก็คือมองมาที่เขา หลังจากนั้นมันก็หันกลับไปที่ภูเขาดอกบัว


 


หานเซิ่นอึ้งไปและคิดกับตัวเอง ‘เจ้านี้เป็นอะไรของมัน?’


 


หลังจากนั้นเมื่อฝนสายเลือดหยุด หานเซิ่นก็พบว่าเจ้ากิเลนโลหิตไม่ได้ปรากฏตัวออกมาเหมือนปกติ นั่นทำให้หานเซิ่นคิดว่ามันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ มันไม่ได้ออกมาดูดซับพลังเหมือนกับทุกครั้ง


 


“นี่เลือดเก่าของเราทำให้มันอิ่มแล้วอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัย


 


ตลอดหลายวันต่อมา หานเซิ่นไม่ได้เห็นกิเลนโลหิตอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรกับการหายตัวไปของมันมากนัก


 


ถึงแม้วิชาโลหิตชีพจรจะกลายเป็นระดับดยุกแล้ว หานเซิ่นก็ยังไม่คิดว่าตัวเขาเองจะเอาชนะกิเลนโลหิตได้เมื่ออยู่ภายในไวท์โบนเฮลล์ได้ และหานเซิ่นก็ยังไม่รู้ว่าเจ้ากิเลนโลหิตนั้นผ่านเข้ามาในใบเสมาราชาแมลงปีศาจได้ยังไง


 


หลังจากที่สิ้นสุดการวิวัฒนาการวิชาโลหิตชีพจรสู่ระดับดยุก หานเซิ่นก็อยากจะรู้ว่าธาตุของมันคืออะไรกันแน่ และเขาก็อยากจะรู้ด้วยว่ามันจะช่วยให้เขาทำลายพลังป้องกันของปราสาทได้ไหม


 


หลังจากที่ใช้วิชาโลหิตชีพจร ความแข็งแกร่งทางร่างกายของหานเซิ่นก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ถึงมันจะไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างกับกายหยก แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร


 


นอกจากนั้นแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ และนั่นทำให้หานเซิ่นหดหู่เล็กน้อย เขารู้สึกว่าวิชาโลหิตชีพจรมีพลังประหลาดบางอย่างอยู่ แต่เขาไม่สามารถใช้มันได้ เนื่องจากเขาไม่รู้วิธีที่จะใช้มัน


 


“นี่คงจะไม่ใช่แค่พลังที่สืบทอดไปสู่ทายาทหรอกใช่ไหม?”

หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ เขาตัดสินใจว่าถ้ามีโอกาสจะไปถามสมาชิกของพยุหะโลหิตเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาโลหิตชีพจร มันจะเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์มากถ้ามันช่วยแค่ในเรื่องการมีลูกเพียงอย่างเดียว


 


พลังของวิชากายหยกและโลหิตชีพจรรวมกันเป็นอะไรที่ค่อนข้างทรงพลัง หานเซิ่นคำนวณว่าเขามีโอกาสที่จะทำลายการป้องกันของปราสาทได้


 


แต่เพื่อให้แน่ใจ หานเซิ่นตัดสินใจจะช่วยให้นางฟ้ากลายเป็นระดับดยุกซะก่อน ด้วยการมีพลังของนางฟ้าช่วยอีกแรง มันก็ควรที่จะเป็นอะไรที่ราบรื่น


 


ร่างกายของหานเซิ่นมีพลังโกสต์โบนอยู่เป็นจำนวนมาก และถ้าเขาแบ่งมันให้กับนางฟ้า มันก็จะทำให้เธอกลายเป็นระดับดยุกได้อย่างง่ายดาย แต่ขณะที่หานเซิ่นกำลังอยู่ระหว่างการทำแบบนั้น เขาก็รู้สึกตัวว่าพลังของนางฟ้าเข้ากันไม่ได้กับพลังโกสต์โบน เธอไม่สามารถดูดซับมันเข้าไปได้

 

 

 


ตอนที่ 2257

 

หานเซิ่นเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่านางฟ้ามีพลังธาตุศักดิ์สิทธิ์ ส่วนพลังโกสต์โบนนั้นเหมือนจะหวาดกลัวต่อพลังแสงหรืออะไรทำนองนั้น ด้วยเหตุนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางฟ้าจะดูดซับมันเข้าไปไม่ได้


 


“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องลองดูตอนนี้เลย ศาสตร์ตงเสวียนและเรื่องราวของยีนเป็นอะไรที่ยากจะเพิ่มระดับได้ ถึงแม้เราจะมีพลังโกสต์โบนอยู่ แต่การจะทำให้พวกมันขึ้นไปสู่ระดับดยุกก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น”

หานเซิ่นกำลังคิดเกี่ยวกับวิธีที่จะทำลายพลังป้องกันของปราสาท แต่ทันใดนั้นเองเจ้ากิเลนโลหิตก็วิ่งออกมาจากภูเขา


 


หานเซิ่นไม่ได้รู้สึกตัวในตอนแรก เพราะมันวิ่งออกมาเหมือนกับทุกที มันเป็นบางสิ่งที่หานเซิ่นเคยชินเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อหานเซิ่นลองสังเกตดูดีๆ เขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจ


 


ครั้งนี้ร่างกายของกิเลนโลหิตเปลี่ยนแปลงไป ก่อนหน้านี้มันมีขนาดพอๆกับวัวกระทิง แต่ตอนนี้ตัวของมันเล็กลงกว่าเดิม ในตอนนี้มันมีขนาดพอๆกับสิงโตที่โตเต็มวัยเท่านั้นเอง


 


สีที่ก่อนหน้านี้เป็นสีแดงเข้มตอนนี้กลายเป็นสีแดงที่สดใส และเขาบนหัวของมันก็โปร่งใสอีกด้วย


 


ขณะที่หานเซิ่นมองไปที่เจ้ากิเลนโลหิต เขาก็คิดว่าบางสิ่งเกี่ยวกับมันเปลี่ยนไป แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร


 


ท่ามกลางความสับสนของหานเซิ่น เจ้ากิเลนโลหิตก็วิ่งมาอยู่ที่ตีนเขาหัวกะโหลก มันเงยหน้าขึ้นมามองที่หานเซิ่น ขณะที่ในปากของมันคาบอะไรบางอย่างอยู่


 


หานเซิ่นหลี่ตาและสังเกตเห็นว่ามันเป็นเถาวัลย์สีแดง บนเถาวัลย์มีผลไม้ลูกหนึ่งห้อยอยู่ มันดูคล้ายคลึงกับลูกแพร์และมันก็มีขนาดพอๆกับกำปั้น ผิวของผลไม้มีสีแดง แต่หานเซิ่นสามารถมองเห็นแกนที่อยู่ภายในของมันได้


 


เจ้ากิเลนโลหิตวางเถาวัลย์และตะโกนใส่หานเซิ่น มันใช้ขาดันเถาวัลย์ไปข้างหน้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันต้องการอะไร


 


หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ ‘เจ้านี้รู้สึกขอบคุณที่เราปล่อยให้มันดื่มเลือดเก่าของเราอย่างนั้นหรอ?’


 


เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นไม่เคลื่อนไหว กิเลนโลหิตก็ตะโกนใส่หานเซิ่นและใช้ขาดันเถาวัลย์ไปข้างหน้าอีกครั้ง หลังจากนั้นมันก็ก้าวถอยหลังและตะโกนใส่หานเซิ่นราวกับว่ามันกำลังบอกเขาว่าไม่ต้องหวาดกลัว


 


เมื่อเห็นอย่างนั้น หานเซิ่นก็เดินลงภูเขาหัวกะโหลกไปและหยิบเถาวัลย์ขึ้นมา


 


เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นรับเถาวัลย์ไปแล้ว เจ้ากิเลนโลหิตก็หันหลังและวิ่งกลับไปที่ภูเขาดอกบัว


 


หานเซิ่นสัมผัสได้ว่าลูกแพร์โลหิตมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง มันต้องไม่ใช่ผลไม้ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ร่างกายของเขามีพลังโกสต์โบนอยู่แล้ว ดังนั้นมันจะเป็นอะไรที่สิ้นเปลือง ถ้าเขากินมันเข้าไปก่อนที่จะดูดซับพลังโกสต์โบนจนหมด


 


หานเซิ่นจึงปล่อยเป่าเอ๋อออกมาและตัดสินใจมอบลูกแพร์ให้กับเธอ เป่าเอ๋อดูดีใจที่ได้รับมัน และเธอก็เด็ดลูกแพร์ออกมาจากเถาวัลย์ในทันที


 


เมื่อลูกแพร์หลุดออกจากเถาวัลย์ เถาวัลย์สีแดงก็กลายเป็นเลือดและละลายหายไป


 


เป่าเอ๋อเริ่มกินลูกแพร์ในทันที น้ำของมันกระเด็นออกไปทั่วและความหวานของมันก็เข้าปกคลุมอากาศด้วยกลิ่นที่หอมหวน พลังชีวิตของมันนั้นระเบิดออกมาทุกทนทุกแห่ง


 


‘ไม่รู้ว่ามันเป็นผลไม้แบบนั้นกันแน่ ลูกแพร์ควรจะเติบโตบนต้นไม้ แต่ผลไม้นี้เติบโตบนเถาวัลย์ มันควรจะเป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างออกไป’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


เป่าเอ๋อกินลูกแพร่เข้าไป แต่มันไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นกับเธอ เธอยังคงดูเหมือนเดิมทุกอย่าง เมื่อเธอเติบโตถึงร่างของเด็กอายุ 5-6 ขวบ การเจริญเติบโตของเธอก็หยุดนิ่งไป เธอไม่ได้เจริญเติบโตมากไปกว่านั้น


 


นั่นทำให้หานเซิ่นสงสัยว่าเป่าเอ๋ออาจจะต้องการปัจจัยภายนอกบางอย่างเพื่อไปกระตุ้นจากเติบโต


 


หานเซิ่นนำเป่าเอ๋อกลับเข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตา ถึงแม้เธอจะไม่ชื่นชอบที่แห่งนั้นก็ตาม


 


หานเซิ่นกลับไปที่ปราสาท เขาอยากจะตรวจสอบจุดที่มีพลังป้องกันหละหลวมอีกครั้งว่าสามารถทำลายมันเพื่อออกไปได้หรือยัง


 


ถ้าเขาลองทำแล้วไม่ได้ผล ราชินีจิ้งจอกก็จะเกิดเอะใจขึ้นมา นั่นจะหมายความว่าเขาไม่สามารถหนีไปจากที่นี่ได้


 


“ไม่รู้ว่าในวันๆหนึ่งผู้ชายอย่างเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ นี่การฝึกฝนมันสนุกกว่าการเล่นกับผู้หญิงที่งดงามหรือยังไง?”

ราชินีจิ้งจอกกำลังนอนอยู่บนเตียงหยกของเธอ ดวงตาของเธอจ้องมองมาที่หานเซิ่นด้วยสายตาที่ยั่วยวน


 


ตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่นี่ ราชินีจิ้งจอกได้ใช้วิธีต่างๆเพื่อยั่วยวนเขา แต่หานเซิ่นไม่เคยทำอะไรเลย และนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยพอใจ


 


เธอเป็นจิ้งจอกเปลี่ยนร่างระดับเทพเจ้า เธอมีพรสวรรค์ในการยั่วยวนผู้อื่น และยอดฝีมือระดับเทพเจ้านับไม่ถ้วนก็ถูกบังคับให้คุกเข่าใต้ชายกระโปรงของเธอ แต่หานเซิ่นไม่ทำอะไรเลย และนั่นถือเป็นบางสิ่งที่เหมือนกับการดูถูกเธอ


 


ด้วยเหตุนั้นราชินีจิ้งจอกจึงใช้ทุกวิถีทางเพื่อยั่วยวนหานเซิ่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรที่ได้ผล นั่นทำให้ราชินีจิ้งจอกประหลาดใจ


 


ถ้าผู้ชายระดับเทพเจ้าคนหนึ่งไม่หลงเสน่ห์ของเธอ นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไร แต่หานเซิ่นเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง มันจึงเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจอย่างมากที่เขาไม่ทำอะไรเลย และมันก็ทำให้เธอเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขา


 


“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าทำลายจิตใจของโกสต์โบนได้ จิตใจของเจ้าต้องแข็งแกร่งๆไม่ต่างไปจากยอดฝีมือระดับเทพเจ้าอย่างแน่นอน” ราชินีจิ้งจอกเริ่มจะชื่นชมหานเซิ่น


 


แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะหยุดยั่วยวนหานเซิ่น การถูกกักขังอยู่คนเดียวเป็นเวลายาวนานเป็นอะไรที่น่าเบื่อและเงียบเหงามากๆ ตอนนี้เมื่อเธอพบของเล่นใหม่ เธอจึงไม่คิดจะยอมแพ้กับมันง่ายๆ


 


ราชินีจิ้งจอกไม่ใช่คนที่ไม่มีความอดทน ดังนั้นเธอจึงได้คอยจับตามองหานเซิ่นเพื่อหาว่าผู้หญิงแบบไหนที่หานเซิ่นชอบ


 


แต่น่าเศร้าที่หานเซิ่นไม่ใช่ผู้ชายที่เรื่องมาก ราชินีจิ้งจอกพยายามยั่วยวนหานเซิ่นด้วยผู้หญิงหลายๆแบบ และเธอก็ถูกเขามองออกอย่างง่ายดาย หานเซิ่นรู้สึกชื่นชมเธอเช่นกัน แต่มันเป็นความชื่นชมที่ต่างออกไป


 


และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ราชินีจิ้งจอกรู้สึกแปลกๆ ด้วยประสบการณ์ของเธอ เธอรู้ว่าผู้ชายแบบเขาเป็นอะไรที่ง่ายที่สุดที่จะยั่วยวน แต่หานเซิ่นสามารถทนต่อการยั่วยวนของเธอได้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าสับสน


 


แต่ราชินีจิ้งจอกไม่คิดจะยอมแพ้ และเหตุผลหลักก็เป็นเพราะว่าเธอรู้สึกเบื่อ อีกอย่างคือเธออยากจะกอบกู้ความภาคภูมิใจในฐานะสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้ากลับคืนมา


 


สายตาของหานเซิ่นไปหยุดอยู่ที่ปากของรูปปั้นปลาที่มีน้ำไหลออกมา นั่นดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดูเป็นไปได้มากที่สุด ถ้าหานเซิ่นไม่มองไปตรงนั้น ราชินีจิ้งจอกก็จะไม่เกิดระแวงสงสัย


 


แต่หานเซิ่นจับจ้องไปที่จุดนั้นและพูดขึ้นมา “ท่านไม่เคยได้ยินคำกล่าวอย่างนั้นหรอ?”


 


“คำกล่าวอะไร?” ราชินีจิ้งจอกพูด


 


“ชีวิตมีค่าและรักมีค่ายิ่งกว่า ถ้าพวกเราตายเพื่ออิสรภาพ ทั้ง 2 อย่างก็จะสูญเสียไป ตอนนี้เมื่อข้าไม่มีอิสรภาพ แล้วข้าจะคิดถึงอะไรอย่างอื่นได้ยังไง?” หานเซิ่นถอนหายใจ


 


“เจ้าเป็นคนที่น่าเบื่อจริงๆ เจ้าไม่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นหรือยังไง ดังนั้นเราควรจะหาความสนุกให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้?” ราชินีจิ้งจอกพูดด้วยเสียงที่ยั่วยวน


 


“ข้าเคย…” หานเซิ่นมองไปที่ราชินีจิ้งจอก แต่สิ่งที่เห็นทำให้เขาตัวแข็งทื่อไป ดวงตาดำและขาวของเธอดูน่าดึงดูดอย่างมาก มันดูเหมือนกับว่าพวกมันมีพลังอยู่ภายใน พวกมันทำให้หานเซิ่นสูญเสียสมาธิและพบว่าตัวเองถูกดึงดูดด้วยดวงตาของเธอ

 

 

 


ตอนที่ 2258

 

สะกดวิญญาณเป็นวิชาจีโนขั้นสูงสุดของเผ่าจิ้งจอกเปลี่ยนร่าง และการฝึกฝนวิชานั้นจำเป็นต้องใช้พรสวรรค์ทางดวงตาของจิ้งจอกเปลี่ยนร่าง


 


ถ้าคนหนึ่งพันคนถูกถามด้วยคำถามเดียวกัน มันก็เป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะตอบแตกต่างกันหนึ่งพันอย่าง ทุกคนมีความสนใจและความคิดของตัวเอง ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ใครบางคนจะตกหลุมรักต่อคนที่ผู้อื่นคิดว่าน่าเกลียด สำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิงรักแรกพบถือเป็นแนวคิดที่สำคัญมากๆ


 


ในตอนที่จิ้งจอกเปลี่ยนร่างคนหนึ่งใช้สะกดวิญญาณ มันจะทำให้จิ้งจอกเปลี่ยนร่างคนนั้นจับภาพความปรารถนาของเป้าหมายได้ พวกเขาจะดูสมบูรณ์แบบในสายตาของเหยื่อราวกับความฝันที่เป็นจริง


 


ดังนั้นไม่ว่าราชินีจิ้งจอกจะทำอะไร เป้าหมายของเธอก็จะเชื่อว่าเธอสมบูรณ์แบบอย่างที่สุด


 


สิ่งที่มหัศจรรย์ก็คือวิชานี้จะไม่มีผลเสียต่อจิตใจของเป้าหมาย เป้าหมายแค่จะหลงเสน่ห์คนที่พวกเขาเห็นเท่านั้น เพราะยังไงซะมันก็คือผู้หญิงในความฝันของเป้าหมาย


 


หานเซิ่นจ้องมองราชินีจิ้งจอกด้วยความประหลาดใจ วันนี้ราชินีจิ้งจอกดูสวยเป็นพิเศษ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ดูเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ความงดงามของเธอทำให้ยากที่จะหายใจ


 


“วันนี้ท่านดูพิเศษ” ขณะที่หานเซิ่นมองราชินีจิ้งจอก สีหน้าของเขาก็อ่อนลง


 


“อะไรที่ทำให้เจ้าพูดว่าข้าดูพิเศษ?” ราชินีจิ้งจอกยิ้ม


 


หานเซิ่นยิ้มกลับ แก้มของเขาเปลี่ยนสีแดงเล็กน้อย ขณะที่เขาทำอย่างนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย


 


“ท่านดูสวยเป็นพิเศษ” หานเซิ่นพูด เขาไม่สามารถคิดหาคำบรรยายถึงความงดงามของราชินีจิ้งจอกในตอนนี้ได้ และนั่นเป็นทั้งหมดที่เขาสามารถพูดออกไปได้


 


“ก่อนหน้านี้ข้าไม่สวยอย่างนั้นหรอ?” ราชินีจิ้งจอกพูดอย่างชั่วร้าย


 


“ท่านสวยอยู่ตลอด แต่วันนี้ท่านดูสวยเป็นพิเศษ มันมีบางสิ่งต่างออกไป…” ขณะที่หานเซิ่นพูด เขาก็ดูประหม่าอย่างมาก


 


มันเหมือนกับว่าเขาถูกส่งกลับไปในวันที่เขามีความรักครั้งแรก หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับว่าหัวใจกำลังจะหลุดออกมาจากอก


 


“เจ้าชอบลุคของข้าในตอนนี้ไหม?” ราชินีจิ้งจอกถามขณะที่จ้องมองไปที่หานเซิ่น


 


“ข้าชอบมัน” หานเซิ่นกลืนน้ำลาย


 


“ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้ายังยืนอยู่ตรงนั่นอีก?” ราชินีจิ้งจอกหันร่างของเธอเพื่อนอนตะแคง ขณะที่ทำอย่างนั้นเธอก็ปลดชุดออกเพื่อเผยให้เห็นไหล่และขาที่ละเอียดอ่อนของเธอ


 


“ข้า…ข้า…” ใบหน้าของหานเซิ่นแดงอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าควรจะวางสายตาหรือมือของเขาเอาไว้ที่ไหน


 


ราชินีจิ้งจอกดูพึงพอใจ เธอคิดกับตัวเอง ‘ไม่ว่าจิตใจของเจ้าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่เมื่อตกภายใต้สะกดวิญญาณของข้า เจ้าก็ไม่มีทางจะทนต่อความยั่วยวนของข้าได้’


 


หานเซิ่นดูเขินอายราวกับชายที่ไม่เคยมีเซ็กมาก่อน ราชินีจิ้งจอกยืนขึ้นและเดินเข้ามาตรงหน้าของเขา เธอยกมือขึ้นมาและนำพวกมันมาสัมผัสกับใบหน้า เธอถูใบหน้าของเธอกับมือของหานเซิ่นและจ้องมองไปที่เขาด้วยความใคร่


 


ถึงแม้ราชินีจิ้งจอกจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ดวงตาของเธอก็กำลังพูดแทน


 


ถ้าใบหน้าของหานเซิ่นแดงมากไปกว่านี้ มันก็จะเริ่มมีเลือดไหลออกมา เขารวบรวมความกล้าเพื่อจับใบหน้าที่งดงามของเธอ เขากัดริมฝีปากของตัวเอง มันดูเหมือนกับว่าเขามีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะจูบเธอ แต่เขาไม่กล้าทำ


 


ราชินีจิ้งจอกหลับตาและเงยใบหน้าที่งดงามของเธอขึ้นเหมือนกับเจ้าหญิงที่กำลังรอจุมพิตของเจ้าชาย ใบหน้าที่งดงามของเธอในตอนนี้ดูเหมือนกำลังบอกหานเซิ่นว่าสามารถจะทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ


 


การหายใจเข้าไปลึกๆของหานเซิ่นทำให้ราชินีจิ้งจอกรู้สึกอวดดี เธอเอาชนะหานเซิ่นได้อย่างรวดเร็ว และความสนใจของเธอในตัวเขาก็ดูเหมือนจะสลายไป


 


ราชินีจิ้งจอกคิดหาวิธีการที่จะเล่นกับเขา เธออยากจะดูว่าวิธีการไหนที่เธอจะทำให้เขาทุกข์ทรมานเพื่อเธอ


 


‘บางทีเราควรจะจับเขามัดเอาไว้ในตอนที่เขายังควบคุมตัวเองไม่ได้ นั่นจะเป็นภาพที่น่าสนใจ’ ราชินีจิ้งจอกคิด แต่ริมฝีปากของหานเซิ่นก็ยังคงมาไม่ถึงเธอสักที


 


ปัง!


ราชินีจิ้งจอกได้ยินเสียงดัง หลังจากนั้นตัวตนของหานเซิ่นก็หายไปจากตรงหน้าของเธอ เธอรู้สึกตกใจเพราะไม่รู้ว่าเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้น


 


หลังจากนั้นเธอก็เข้าใจ เธอลืมตาขึ้นและหันไปมองที่รูปปั้นปลา พลังป้องกันของปราสาทในบริเวณนั้นอ่อนลงไป และหานเซิ่นกับอสูรกาแล็กซี่ก็รอดผ่านช่องว่างเล็กๆนั่นไป


 


“เขาหนีไป… เขาหนีไป… ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะหนีไปจริงๆ…”

ราชินีจิ้งจอกยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เธอไม่สามารถเชื่อได้ว่าหานเซิ่นจะหนีไปได้จริงๆ


 


ราชินีจิ้งจอกไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียวว่าหานเซิ่นจะหนีไปจากกำแพงของปราสาทได้ และยังเรื่องที่หานเซิ่นไม่ได้รับผลจากสะกดวิญญาณของเธออีก


 


เมื่อเธอรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าของเธอก็ดูมึงทึงด้วยความโกรธ เธอเพิ่งจะถูกหลอกโดยดยุกคนหนึ่ง


 


ราชินีจิ้งจอกต้องการจะปลดปล่อยความโกรธกับเขา แต่เธอไม่สามารถทำได้ หานเซิ่นได้จากไปแล้ว แม้แต่การสาบานว่าจะแก้แค้นก็เป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ เนื่องจากเธอยังไม่มีวิธีที่จะหนีไปที่นี่


 


หานเซิ่นรวมตัวเองเข้ากับนางฟ้าและเปิดใช้พลังของวิชากายหยกและโลหิตชีพจร หลังจากนั้นเขาก็ใช้ท่าตบขั้นสุดยอดใส่บริเวณปากของรูปปั้นปลา


 


พลังป้องกันที่หลวมอยู่แล้วเปิดกว้างมากขึ้น และหานเซิ่นก็ขี่อสูรกาแล็กซี่ออกจากปราสาทไปโดยผ่านปากของมัน


 


นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่เขาจะหนีไป ราชินีจิ้งจอกเชื่อว่าเขาตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดของเธอ ดังนั้นเธอจึงตอบสนองได้ไม่ทันเวลา


 


หานเซิ่นคิดว่าทุกอย่างนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นเกินไปจนเขาเกือบจะไม่สามารถเชื่อว่าหนีออกมาได้สำเร็จจริงๆ


 


“ฉันหนีออกมาได้! มันเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมที่จะมีผู้หญิงที่งดงามอยู่ข้างกาย แต่ฉันอยู่ที่นั่นไปตลอดไม่ได้”

หานเซิ่นขี่อสูรกาแล็กซี่เพื่อเดินทางผ่านหินไป เขารู้สึกดีใจอย่างมากจนเริ่มที่จะร้องเพลงออกมา เขาคิดกับตัวเอง ‘เรามีพรสวรรค์จริงๆ เราไปสมัครเป็นนักแสดงได้เลยนะเนี่ย’


 


หานเซิ่นปล่อยให้อสูรกาแล็กซี่เดินทางไปตามท่อโลหะ เขาอยากจะกลับไปยังระบบถ้ำใต้ดินก่อนที่จะคิดว่าต้องทำอะไรต่อไป


 


ไม่นานอสูรกาแล็กซี่ก็พาหานเซิ่นกลับมาที่แม่น้ำใต้ดิน หานเซิ่นยังคงนั่งอย่างผ่อนคลายอยู่บนหลังของอสูรกาแล็กซี่ขณะที่มันว่ายทวนกระแสน้ำไป


 


อสูรกาแล็กซี่พาหานเซิ่นออกมาจากแม่น้ำใต้ดิน และพวกเขาก็ลอยตัวอยู่เหนือผิวของแม่น้ำ


 


หานเซิ่นถอนหายใจและมองไปรอบๆ หลังจากนั้นเขาก็แข็งทื่อไป


 


ราชาอัศวินไอซ์บลู คราม กุนซือไวท์ เอ็ดเวิร์ดและคนอื่นๆอยู่ยืนที่ริมแม่น้ำไม่ไกล พวกเขาอ้าปากค้างขณะที่จ้องมองหานเซิ่นที่เพิ่งจะออกมาจากน้ำ ทั้ง 2 ฝ่ายจ้องมองกันกว่า 3 วินาที


 


มันเงียบสงัด และมันมีเพียงแค่เสียงของแม่น้ำเท่านั้นดังให้ได้ยิน มันเหมือนกับว่าเวลาหยุดนิ่งไป

 

 

 


ตอนที่ 2259

 

“เวรเอ้ย! ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” หานเซิ่นตอบสนองอย่างรวดเร็วและสั่งให้อสูรกาแล็กซี่กลับลงไปในแม่น้ำอันมืดมิด


 


ก่อนที่อสูรกาแล็กซี่จะหนีลงไปใต้น้ำ หานเซิ่นก็รู้สึกได้ว่าพลังอันน่าสะพรึงกลัวกำลังเข้ามาหาเขา ในเวลาไม่ถึงวินาทีน้ำในแม่น้ำก็สลายกลายเป็นความว่างเปล่า


 


หานเซิ่นเรียกใบเสมาราชาแมลงปีศาจออกมาเพื่อป้องกันการโจมตีที่น่ากลัวนั้น แต่โล่ป้องกันของเขาก็ได้รับความเสียอย่างมาก มันกำลังจะแตกสลายอย่างสมบูรณ์


 


โชคดีที่เอ็ดเวิร์ดยังไม่คิดจะฆ่าหานเซิ่น จนกว่าพวกเขาจะรู้ว่าโบราณวัตถุอยู่ที่ไหน ถ้าเกิดพวกเขาฆ่าหานเซิ่นตายไปซะเดี๋ยวนั้นและเกิดว่าหานเซิ่นไม่มีโบราณวัตถุอยู่กับตัว มันก็มีโอกาสที่พวกเขาจะหามันไม่เจอ ถ้าพวกเขาเพียงแค่ต้องการจะฆ่าหานเซิ่น อย่างนั้นแล้วใบเสมาราชาแมลงปีศาจก็ไม่มีทางรอดจากการโจมตีของพวกเขาไปได้


 


ถึงอย่างนั้นใบเสมาราชาแมลงปีศาจก็ไม่สามารถใช้ป้องกันได้อีกต่อไป ดังนั้นหานเซิ่นจึงเก็บมันกลับไป


 


หลังจากที่หานเซิ่นป้องกันการโจมตีครั้งแรก อสูรกาแล็กซี่ก็วิ่งเข้าไปในกำแพงหินเพื่อหนีไป


 


แต่กำแพงหินไม่เพียงพอจะหยุดเอ็ดเวิร์ดได้ พลังที่น่ากลัวห่อหุ้มร่างกายของเขาและถูกปล่อยออกไปใส่กำแพงหิน ทำให้เกิดเป็นเส้นทางที่ทอดยาวไปกว่าหนึ่งพันเมตร


 


หานเซิ่นชักนำอสูรกาแล็กซี่ให้เปลี่ยนเส้นทาง มันดูเหมือนว่าคนที่กำลังไล่ล่าพวกเขามีพลังพอที่จะทำได้ทุกอย่าง กำแพงหินใต้ดินไม่ต่างอะไรจากฟองสบู่สำหรับพวกเขา ที่ไหนก็ตามที่หานเซิ่นหนีไป พวกเขาก็สามารถไล่ตามไปได้อย่างรวดเร็ว


 


มันเหมือนกับว่าพวกเขามีเครื่องสะกดรอยตามหานเซิ่น ถึงแม้หานเซิ่นและอสูรกาแล็กซี่จะนำหน้าพวกเขาไป แต่หานเซิ่นก็ไม่สามารถสลัดพวกเขาหลุดไปได้


 


“หานเซิ่น เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า! มอบของมาให้กับข้าและเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” กุนซือไวท์พูด


 


“สิ่งนั้นคือของๆ ข้า ทำไมข้าต้องมอบมันให้ด้วย?”

หานเซิ่นถามขณะที่ยังคงหนีต่อไป แผ่นหินนั้นไม่ใช่ของของพวกเขา ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่มีแผนจะส่งมันให้กับพวกเขา


 


“เจ้าไม่มีทางเลือก ถ้าเจ้าอยากจะมีชีวิต เจ้าก็ต้องมอบมันมา เจ้าอยากจะมีชีวิตต่อหรือเจ้าอยากจะตายเพราะมัน?” ราชาอัศวินไอซ์บลูพูดต่อ


 


“ข้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ข้าก็อยากจะเก็บมันไว้ด้วย” หานเซิ่นพูด


 


เนื่องจากเอ็ดเวิร์ดยังไม่คิดจะฆ่าหานเซิ่น ทำให้มีกำแพงหินพอเหลืออยู่บ้าง ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงสามารถหนีไปจากการจับกุมได้


 


แต่เขาไม่สามารถหนีไปได้ตลอดไป หานเซิ่นกัดฟันและให้อสูรกาแล็กซี่พาเขากลับไปที่ปราสาท


 


ราชินีจิ้งจอกยังไม่หายโกรธ และจู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา เมื่อเธอหันไป เธอก็เห็นหานเซิ่นและอสูรกาแล็กซี่กลับเข้ามา


หานเซิ่นมองไปที่ราชินีจิ้งจอกและยิ้มออกมาอย่างเก้ๆกังๆ

“ราชินีจิ้งจอกคนสวย ข้าลองคิดดูแล้ว… ข้าคิดถึงท่านมากเกินไป ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะกลับมา”


 


เมื่อราชินีจิ้งจอกเห็นเขา เธอก็ขมวดคิ้ว มันเหมือนกับว่าเธอพยายามจะฟังอะไรบางอย่าง ในที่สุดเธอก็หลี่ตาและยิ้มให้กับหานเซิ่น

“ดูเหมือนเจ้าจะไปละเมิดคนอื่นเข้าสินะ พวกเขาได้มาอยู่ด้านนอกปราสาทเรียบร้อยแล้ว และพวกเขาก็ค่อนข้างแข็งแกร่งกันทั้งนั้น”


 


“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ท่านจะเมินเฉยต่อคนพวกนั้นก็ได้ เพราะยังไงซะพวกเขาก็พังการป้องกันของที่นี่เข้ามาไม่ได้ คนสวย พวกเราควรจะเริ่มเกมส์จูบของพวกเรากันต่อดีไหม?” หานเซิ่นพูดพร้อมกับไอกลบเกลื่อน


 


“ในตอนนี้ข้าอยากจะเล่นบางสิ่งที่ตื่นเต้นยิ่งกว่า”

ราชินีจิ้งจอกสะบัดมือของเธอ หลังจากนั้นพลังที่มองไม่เห็นก็เข้ามารัดตัวหานเซิ่นกับอสูรกาแล็กซี่ราวกับเชือก เธอแขวนพวกเขากับหนึ่งในคานของปราสาทโดยการห้อยหัวลงมา


 


ราชินีจิ้งจอกหยิบแส้ขึ้นมาและเดินเข้ามาหาหานเซิ่นที่ถูกแขวนอยู่ เธอลูบแก้มของหานเซิ่นและยิ้ม

“ก่อนหน้านี้เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจอย่างมาก ข้าควรจะตอบแทนเจ้ายังไงดี?”


 


หลังจากนั้นราชินีจิ้งจอกก็ยกแส้ของเธอขึ้นมา หานเซิ่นรีบพูดขอร้อง

“อย่าทำข้าเลย พวกเราควรจะพูดกันดีๆ”


 


“ในตอนนี้ข้าอยากจะทำแบบนี้เท่านั้น ข้าไม่อยากจะพูดคุย!” ใบหน้าของราชินีจิ้งจอกดูเย็นชา


 


เธอเคยเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในจักรวาลจีโน เธอเคยถูกรู้จักในฐานะผู้เจรจาที่เก่งกาจ และแม้แต่การเจรจากับยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่ทำให้เธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เธอเกลียดชังหานเซิ่นอย่างที่สุด และตอนนี้เธอก็อยากจะสั่งสอนบทเรียนให้กับเขาเหนือสิ่งอื่นใด


 


ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ราชินีจิ้งจอกก็ยกแส้ในมือขึ้น เธอต้องการจะมอบบทเรียนที่ไม่มีวันลืมให้กับเขาเพื่อระบายความโกรธของเธอ


 


“คนสวย! พวกเรามาทำข้อตกลงกัน ข้าจะช่วยท่านออกไปจากที่นี่ แบบนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเราจะต้องบาดหมางอะไรกัน” หานเซิ่นรีบพูด


 


ราชินีจิ้งจอกแปลกใจ ถ้าหานเซิ่นเสนอข้อตกลงนี้ขึ้นมาก่อนหน้านี้เธอคงจะไม่สนใจ แต่เขาเพิ่งจะพิสูจน์ความสามารถโดยการหนีออกไปจากปราสาท ตอนนี้เธอเริ่มจะเชื่อเขา


 


“เจ้ายังคิดจะเล่นลูกไม้กับข้าอีกอย่างนั้นหรอ?” ราชินีจิ้งจอกยิ้ม แต่ดวงตาของเธอเย็นชาอย่างน่ากลัว


 


“ถ้าข้าโกหกท่านล่ะก็ ก็ขอให้ข้าตกนรก” หานเซิ่นสาบานอย่างลนลาน


 


ราชินีจิ้งจอกยังคงยิ้มออกมา เธอลูบแก้มของหานเซิ่นและพูด

“เป็นน้องชายที่ดีอะไรอย่างนี้ เจ้ามักจะทำให้ข้าประหลาดใจอยู่เสมอ ข้าจะปล่อยให้เจ้าตายไปได้ยังไง?”


 


หลังจากนั้นรอยยิ้มของราชินีจิ้งจอกก็เปลี่ยนเป็นอะไรที่ดูโหดร้าย และเธอก็ใช้แส้ฟาดใส่หานเซิ่น


 


แส้หนามฟาดผ่านกางเกงของหานเซิ่นไป มันไปถูกกำแพงที่อยู่ด้านหลังของหานเซิ่นและที่ร่างกายท่อนล่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง


 


“ถ้าเจ้าหลอกข้าอีกครั้งล่ะก็ ข้าจะจับเจ้าทำหมัน”

ราชินีจิ้งจอกพูดอย่างเย็นชา หลังจากนั้นเธอก็กลับไปนอนลงบนเตียงหยกและมองมาที่หานเซิ่น “บอกข้ามาว่าเจ้าจะช่วยข้าออกไปได้ยังไง?”



 


“ที่นี่คือที่ไหนกัน?” เอ็ดเวิร์ดมองกำแพงด้วยความสงสัย


 


พวกเขาไล่ตามหานเซิ่นต่อไปด้วยการทำลายกำแพงหินที่ขวางทาง แต่เมื่อไปถึงจุดนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถทำลายกำแพงหินตรงหน้าได้อีก


 


แม้แต่พลังของราชาอัศวินไอซ์บลูก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆต่อกำแพงหินได้


 


เอ็ดเวิร์ดเริ่มจะทำลายหินรอบๆ และไม่นานพวกเขาก็รู้ตัวว่าตรงหน้าพวกเขาคือปราสาทหินที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งแม้แต่พลังของพวกเขารวมกันก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้


 


“ข้าเชื่อว่าหานเซิ่นซ่อนอยู่ในปราสาทหินนี้ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พลังของข้าบอกถึงที่อยู่ของเขาไม่ได้” กุนซือไวท์พูดขณะมองไปที่ปราสาทหิน


 


“กุนซือไวท์ มันมีหนทางไหนไหมที่พวกเราจะเข้าไปในปราสาทหินนี่ได้?” เอ็ดเวิร์ดถามอย่างมีมารยาท


 


“ข้าไม่ถนัดเรื่องอะไรแบบนี้” กุนซือไวท์ส่ายหัวของเขา


 


“ข้าไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนสร้างปราสาทหินนี้ขึ้นมา แต่ถ้าพลังของพวกเรารวมกันก็ยังไม่พอที่จะทำอะไรมันได้ แบบนั้นคนที่สร้างมันขึ้นมาก็ต้องเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า” ราชาอัศวินไอซ์บลูพูด


 


“การใช้กำลังพังปราสาทเข้าไปนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าพวกเราลองขุดให้ทั่วปราสาทหิน บางทีพวกเราอาจจะหาทางเข้าได้” เอ็ดเวิร์ดพูด


 


พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าพวกเขาอยากจะหาทางเข้าไป พวกเขาก็ต้องขุดทั่วทั้งปราสาท


 


หานเซิ่นเข้าออกจากปราสาทไปตามเส้นท่อโลหะที่เป็นเส้นทางไหลเข้าออกของน้ำ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทางเข้าหลักอยู่ที่ไหนเช่นกัน 

 

 


ตอนที่ 2260

 

“ขุนพลโกสต์โบนนั้นเหลี่ยมจัด เขารวมร่างกายของท่านเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับโครงสร้างของที่นี้ ถ้าจะทำลายการป้องกันของปราสาท ข้าก็ต้องทำลายร่างกายของท่านด้วยเช่นกัน การทำลายพลังป้องกันอาจจะฆ่าท่าน” หานเซิ่นมองไปที่ราชินีจิ้งจอกอย่างจริงจัง


 


“ว่าต่อไป” เมื่อราชินีจิ้งจอกได้ยินหานเซิ่นพูดแบบนี้ เธอก็เชื่อเขายิ่งกว่าเดิม


 


ถ้าร่างกายของเธอเป็นหนึ่งเดียวกับปราสาทจริง อย่างนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องระมัดระวังอย่างมากถ้าจะหนีออกไป ความผิดพลาดเพียงแค่นิดเดียวนั้นอาจจะหมายถึงความตายของเธอ


 


“พี่สาวสุดสวย พวกเราค่อยพูดกันต่ออย่าง…มีอิสระจะได้ไหม?”

หานเซิ่นถามขณะมองเชือกที่รัดเขาอยู่


 


ราชินีจิ้งจอกสะบัดมือและปล่อยหานเซิ่นลงมา


 


อสูรกาแล็กซี่ยังคงห้อยกลับหัวกลับหางด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง มันดูเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะร้องไห้


 


“เอิ่ม ถ้าอสูรกาแล็กซี่ทำอะไรผิด ข้าจะลงโทษเขา ได้โปรดปล่อยเขาไปเถอะ พี่สาวคนสวย” หานเซิ่นรีบพูด


 


ราชินีจิ้งจอกกรอกตาของเธอ แต่เธอก็ตอบรับคำขอของหานเซิ่นและปล่อยอสูรกาแล็กซี่ลงมา


 


เมื่ออสูรกาแล็กซี่เป็นอิสระ มันก็วิ่งไปหลบด้านหลังหานเซิ่น มันดูหวาดกลัวต่อราชินีจิ้งจอกอย่างเห็นได้ชัด


 


หานเซิ่นถอนหายใจและพูด “การจะออกไปจากที่นี่โดยไม่ทำให้ท่านได้รับบาดเจ็บนั้นเป็นเรื่องยาก แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ทำลายการป้องกันของปราสาทโดยที่ไม่นำภัยมาสู่ตัวท่านไม่ได้”


 


“เลิกพูดจาอ้อมค้อมได้แล้ว” ราชินีจิ้งจอกพูดอย่างรำคาญ


 


หานเซิ่นยิ้ม “โชคดีที่ข้าถนัดในเรื่องแบบนั้น ข้ามั่นใจว่าจะพาท่านออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย แต่ข้าเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง และข้ายังอ่อนแอ กระบวนการทั้งหมดเป็นอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อน และมันคงจะไม่สำเร็จในเวลาอันสั้น”


 


เมื่อเห็นราชินีจิ้งจอกนิ่งเงียบไม่พูดอะไร หานเซิ่นก็พูดต่อ

“แต่ถ้าท่านยินดีจะร่วมมือกับข้า ข้าเชื่อว่ามันจะใช้เวลาเร็วขึ้น”


 


“เจ้าจะขอให้ข้าทำอะไร?” ราชินีจิ้งจอกมองหานเซิ่นอย่างไม่เชื่อใจ


 


“ท่านเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ดังนั้นท่านก็คงจะควบคุมมันได้เล็กน้อยใช่ไหม? ท่านควรจะเริ่มจากส่วนที่ท่านควบคุมได้ พวกเราจะใช้จุดอ่อนนั้นเพื่อดึงท่านออกมาจากแกนหลักของมัน ถ้าพวกเราแยกท่านออกจากโครงสร้างหลักได้สำเร็จ หลังจากนั้นแม้แต่พลังของท่านก็ทำลายการป้องกันของปราสาทได้” หานเซิ่นพูด


 


“แน่นอน” ราชินีจิ้งจอกพูด


 


“แต่มันมีอย่างหนึ่งที่ข้าจำเป็นต้องขอพึ่งท่าน” หานเซิ่นพูดเสริม


 


ราชินีจิ้งจอกรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการอะไร ดังนั้นเธอจึงบอกเขาไปตรงๆ

“ถ้าเจ้าช่วยข้าออกไปได้ ข้าจะช่วยเจ้ากำจัดพวกคนที่ดักรอเจ้าอยู่ด้านนอก”


 


“ขอบคุณพี่สาวคนสวยมากๆ” หานเซิ่นดูดีใจ แต่จริงๆแล้วเขาไม่มั่นใจในแผนการนัก


 


หานเซิ่นขอให้ราชินีจิ้งจอกทำการยึดส่วนที่มีพลังป้องกันหละหลวมของปราสาทต่อไปเพื่อถ่วงเวลาเธอเอาไว้ มันจะทำให้หานเซิ่นมีโอกาสทำความเข้าใจกับพลังป้องกันของปราสาทในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


 


หานเซิ่นมอบงานให้ราชินีจิ้งจอกไปทำเพื่อทำให้เธอยุ่งๆ แต่จริงๆแล้วการจะพาเธอออกไปจากคุกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเหตุนั้นเขาจึงคิดแผนการเพื่อใช้ดึงดูดความสนใจของเธอ


 


ตอนนี้หานเซิ่นยังปลอดภัยอยู่ แต่เขาต้องคิดหาหนทางที่จะหนีไปจากที่นี่ เขาถูกล้อมด้วยศัตรูที่น่าสะพรึงกลัว ถ้าเขาเป็นยอดฝีมือระดับราชันบางทีเขาอาจจะฝ่าออกไปได้ แต่สำหรับตอนนี้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้


 


‘แผ่นหินนี้เกี่ยวโยงกับโบราณวัตถุของผู้นำของเซเคร็ด บางทีมันอาจจะมีประโยชน์ในตอนที่เราไปชิงตัวเสี่ยวฮวากลับคืนมา เราจะปล่อยให้มันไปตกอยู่ในมือของเอ็ดเวิร์ดไม่ได้’ หานเซิ่นตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะแสวงหาโบราณวัตถุของผู้นำของเซเคร็ดไม่ว่าจะยังไงก็ตาม


 


แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถออกไปได้ และเขาก็ยังไม่รู้ว่าอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน


 


“พี่สาวคนสวย ทำไมขุนพลโกสต์โบนถึงได้สร้างปราสาทที่นี่? มันมีเหตุผลอะไรหรือเปล่า?” หานเซิ่นหวังจะได้รับข้อมูลบางอย่างที่บ่งบอกว่าอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน


 


ราชิจีจิ้งจอกเป็นภรรยาของขุนนางโกสต์โบน ดังนั้นมันมีโอกาสที่เธอจะรู้อะไรบางอย่าง


 


ราชินีจิ้งจอกยักไหล่ “ข้ารู้แค่ว่าเขาทำความผิดพลาดบางอย่าง ผู้นำของเซเคร็ดจึงส่งเขามาสำรวจที่นี่ แต่ข้าไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น”


 


“นั่นหมายความว่ามันความขัดแย้งบางอย่างระหว่างพวกเขาอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสัมผัสได้ยินความกังวลจากคำพูดของเธอ


 


ราชินีจิ้งจอกถูกขังอยู่มาเป็นเวลานาน และดูเหมือนเธอจะชอบที่มีใครบางคนที่สามารถพูดคุยด้วยได้ ดังนั้นเธอจึงพูดต่อ

“ขุนพลโกสต์โบนเป็นคนที่จงรักภักดีต่อผู้นำของเซเคร็ดอย่างมาก เขาเป็นเหมือนกับผู้ขวาของผู้นำของเซเคร็ดเลยก็ว่าได้ แบบนั้นเขาจะทำผิดพลาดถึงขนาดที่ถูกบังคับให้มาในที่แบบนี้ได้ยังไง? เบื้องหลังจะต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ขุนพลโกสต์โบนเป็นชายเงียบๆ เขาไม่เคยบอกข้าว่าเขามาทำอะไรที่นี่”


 


หานเซิ่นไม่สามารถบอกได้ว่าราชินีจิ้งจอกไม่รู้เรื่องจริงๆหรือว่าเธอแค่แสแสร้งกันแน่ เขาคิดอยู่ชั่วครู่และพูดขึ้นมา

“ข้าพบสถานที่แห่งหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเมืองโกสต์โบนภายในทะเลทราย นั่นคือที่ที่เขาอาศัยอยู่อย่างนั้นหรอ?”


 


ราชินีจิ้งจอกขมวดคิ้ว “หลังจากที่ขุนพลโกสต์โบนมาอาศัยอยู่ที่นี่ เขาไม่ได้สร้างที่พักเอาไว้ที่ไหน ทำไมมันถึงมีเมืองโกสต์โบนอยู่ได้? บอกข้ามาว่าที่นั่นดูเป็นยังไง”


 


หานเซิ่นบอกเธอเกี่ยวกับเมืองที่เขาค้นพบ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่มันตกอยู่ในสภาพที่เละเทะ


 


เมื่อราชินีจิ้งจอกได้ยินคำบรรยายของหานเซิ่น สีหน้าของเธอก็ดูจะเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย หลังจากผ่านไปสักพักเธอก็พูดขึ้นมา

“อย่างนี้นี่เอง… ข้าเข้าใจแล้ว…”


 


“ท่านกำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


ราชินีจิ้งจอกยิ้ม “ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ เมืองที่เจ้าพบ จริงๆแล้วมันคือที่พักของผู้นำของเซเคร็ด เมืองโกสต์โบนเป็นเพียงแค่ด่านหน้าเท่านั้น ไม่แปลกใจเลยที่เขาไปที่นั่น”


 


“ที่นั่นคืออะไรอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นรู้สึกดีใจ ในที่สุดเขาก็ได้รับคำตอบของปริศนานี้


 


ราชินีจิ้งจอกครุ่นคิดและพูดขึ้นว่า “เจ้าบอกข้าว่าเซเคร็ดถูกทำลายไปเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นเรื่องนั้นมันไม่ได้สำคัญอีกต่อไป ถ้าผู้นำของเซเคร็ดยังอยู่ ข้าก็คงจะไม่กล้าพูดเกี่ยวกับมัน”


 


หลังจากหยุดไปนาน เธอก็พูดต่อ “ผู้นำของเซเคร็ดได้นำกองกำลังของเซเคร็ดไปเอาชนะทุกสิ่งมีชีวิต และเขาก็เกือบที่จะเป็นราชาของทั้งจักรวาลจีโน แต่ทุกสิ่งมีชีวิตมีอายุขัยของตัวเอง และกฎนั้นก็มีผลต่อคนที่แข็งแกร่งอย่างผู้นำของเซเคร็ดเช่นกัน ไม่มีใครต่อต้านกาลเวลาได้และความตายก็จะมาถึงพวกเราสักวันหนึ่ง แต่ชายผู้คนนั้นไม่อยากจะตายเหมือนกับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงแสวงหาชีวิตที่เป็นอมตะ”


 


“ในการแสวงหาความเป็นอมตะ ผู้นำของเซเคร็ดได้ทำการทดลองหลายอย่าง มันมีอย่างน้อยๆก็หนึ่งร้อยการทดลอง ข้าเป็นภรรยาของโกสต์โบนและโกสต์โบนก็คือคนที่ผู้นำของเซเคร็ดเชื่อใจมากที่สุด ข้าจึงได้รู้จากโกสต์โบนบ้างนิดหน่อย ข้ารู้แค่ว่าผู้นำของเซเคร็ดนั้นทะเยอทะยาน พวกเขาตรวจสอบสถานที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นหายนะบนดาวหยวนลี่ สิ่งประหลาดในหุบเขาบูรี่ดราก้อน สปิริตศักดิ์สิทธิ์ในก็อตแซงชัวรี่และกึ่งเทพของอวกาศ พวกเขาค้นหากุญแจของความเป็นอมตะทั้งหมดก็เพื่อผู้นำของเซเคร็ด” ราชินีจิ้งจอกพูด


 


“สปิริตศักดิ์สิทธิ์ในก็อตแซงชัวรี่? นั่นคืออะไรอย่างนั้นหรอ?”

หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัว แต่เขาบังคับตัวเองให้ดูเหมือนแค่เขาอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น


 


“ข้าไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมาก เพราะมันเป็นแค่สิ่งที่ข้าเคยได้ยินจากโกสต์โบนเท่านั้น ในเซเคร็ดมันมีซีโน่เจเนอิคสเปชประหลาดอยู่หนึ่งแห่ง มันมีชื่อเรียกว่าก็อตแซงชัวรี่ ผู้นำของเซเคร็ดพยายามจะศึกษาเกี่ยวกับสปิริตที่ไม่ตายซึ่งอยู่ที่นั่น” ราชินีจิ้งจอกพูดหลังจากที่ครุ่นคิด


 


“สปิริต?” หัวใจของหานเซิ่นเต้นรัว

 

 

 


ตอนที่ 2261

 

‘ถ้าก็อตแซงชัวรี่ที่ราชินีจิ้งจอกพูดถึงคือก็อตแซงชัวรี่ที่เราจากมาล่ะก็ อย่างนั้นแล้วสปิริตที่ไม่มีวันตายก็อาจจะเป็นสปิริตที่เราคุ้นเคย มีเพียงแค่สปิริตในก็อตแซงที่มีชีวิตเป็นอมตะ ถ้าพวกเขาถูกฆ่า พวกเขาก็จะเกิดใหม่ขึ้นมาจากสปิริตสโตน ตราบใดที่สปิริตสโตนยังอยู่ พวกเขาจะไม่มีวันตาย’ หานเซิ่นเชื่อว่านั่นคือสปิริตที่ผู้นำของเซเคร็ดทำการศึกษา


 


เมื่อหานเซิ่นคำนึงถึงเรื่องนี้ เขาก็คิดว่ามันมีความเป็นไปได้อยู่ 2 อย่างด้วยกัน หนึ่งคือผู้นำของเซเคร็ดเพียงแค่ศึกษาเกี่ยวกับวิธีที่สปิริตมีชีวิตเป็นอมตะ ส่วนอีกความเป็นไปได้คือสปิริตนั้นคือผลการทดลองของผู้นำเซเคร็ด


 


แต่ไม่ว่าคำอธิบายไหนจะเป็นความจริง สุดท้ายแล้วการศึกษาของผู้นำเซเคร็ดก็ล้มเหลว ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่ตาย


 


เซี่ยชิงเป็นหนึ่งในสปิริตที่อยู่มานานที่สุด ภายในก็อตแซงชัวรี่นั้นเขาจะไม่มีวันตาย


 


ครั้งหนึ่งหานเซิ่นเคยถามเซี่ยชิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเขาบอกว่าเมื่อสปิริตวิวัฒนาการออกมายังสหพันธ์ดวงดาว การเชื่อมต่อของเขากับสปิริตสโตนก็ถูกตัดขาด เซี่ยชิงเชื่อว่าถ้าเขาตายในตอนนี้ เขาจะไม่สามารถกลับไปมีชีวิตใหม่อีกครั้งได้


 


หานเซิ่นอยากจะถามราชินีจิ้งจอกเกี่ยวกับก็อตแซงชัวรี่เพิ่มเติม แต่นั่นคือทั้งหมดที่เธอรู้ สิ่งที่เธอรู้ส่วนใหญ่คือสิ่งที่เธอบังเอิญได้ยินมาจากขุนพลโกสต์โบน


 


หานเซิ่นรู้สึกเสียใจที่ฆ่าขุนพลโกสต์โบนไปง่ายๆแบบนั้น


 


แต่พลังของคริสตัลสีดำอยู่เหนือการควบคุมของหานเซิ่น ขุนพลโกสต์โบนทำอะไรบุ่มบ่ามเอง และเมื่อพิจารณาดูดีๆแล้ว หานเซิ่นก็ไม่ใช่คนที่ผิด


 


พวกเขาตกสู่ความเงียบสักพัก ก่อนที่ราชินีจิ้งจอกจะพูดขึ้นมา

“ข้าเดาว่าเมืองโกสต์โบนที่เจ้าเห็นคือที่พำนักของผู้นำเซเคร็ด และที่เมืองแห่งนั้นถูกตั้งชื่อว่าเมืองโกสต์โบนก็เพื่อปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริงของมัน”


 


“ที่พำนักที่ว่านั่นจริงๆแล้วมันคืออะไรกัน?”

หานเซิ่นได้ยินเธอพูดหลายครั้ง แต่เขายังไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วมันหมายถึงอะไรกัน


 


ราชินีจิ้งจอกตอบอย่างช้าๆ “ไอเดียของมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อน เพราะมันใช้ต้องในหลากหลายสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ง่ายๆก็คือผู้นำของเซเคร็ดพบหนทางที่เขาอาจจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ แต่เขายังคงใช้มันไม่ได้ มันเป็นบางสิ่งที่จำเป็นต้องใช้เวลา”


 


“แต่ข้าไม่เห็นอะไรพิเศษในเมืองนั่นเลย” หานเซิ่นพูด


 


ราชินีจิ้งจอกยิ้มและพูด “มันเป็นโปรเจคลับของผู้นำเซเคร็ด เจ้าคิดว่ามันจะเป็นอะไรที่หาเจอง่ายๆหรือยังไง? เมืองนั้นคงจะเป็นแค่ฉากหน้าเท่านั้น มันอาจจะมีสิ่งของบางอย่างที่ทำให้เจ้าเข้าไปสู่ที่นั่นได้ เจ้าอาจจะต้องค้นหาเมืองนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง”


 


‘สิ่งที่ราชินีจิ้งจอกพูดไม่ตรงกับที่ขุนพบโกสต์โบนบอกเรา เขาบอกว่าอนุสรณ์สถานศักดิ์สิทธิ์นั้นตั้งอยู่ที่อื่น’

หานเซิ่นคิด หลังจากนั้นเขาก็ถามขึ้นมา “ข้าเห็นรูปปั้นของขุนพลโกสต์โบนอยู่ที่นั่นด้วย แต่มันเป็นเพียงแค่รูปปั้นยามเฝ้าประตูเท่านั้น และมันมีรูปปั้นของอีกคนหนึ่งอยู่ข้างใน นั่นคือผู้นำของเซเคร็ดอย่างนั้นหรอ?”


 


หานเซิ่นบรรยายเกี่ยวกับรูปปั้นของจักรพรรดิมนุษย์ หลังจากนั้นเขาก็รอคอยคำตอบของราชินีจิ้งจอก


 


ราชินีจิ้งจอกส่ายหัว “บอกตามตรง ข้าไม่เคยเห็นผู้นำของเซเคร็ด ข้ากลัวว่าแม้แต่ขุนพลทั้งสิบก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เห็นว่าผู้นำของเซเคร็ดมีรูปลักษณ์เป็นยังไงกันแน่”


 


“นั่นเป็นไปได้ยังไงกัน?” หานเซิ่นมองไปที่ราชินีจิ้งจอกอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


“จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผู้นำของเซเคร็ดนั้นสวมใส่ชุดเกราะที่ปกปิดใบหน้าอยู่เสมอ ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าผู้นำของเซเคร็ดเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือรูปร่างของเขาไม่ได้แตกต่างไปจากเจ้าหรือข้า แต่ยังไงซะนั่นก็เป็นเพียงแค่รูปร่างที่มองได้ผ่านชุดเกราะเท่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเขา มันไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป ถ้าเขาจะเปลี่ยนร่างกายหรือแม้แต่ยีนของตัวเอง” ราชินีจิ้งจอกพูด


 


ราชินีจิ้งจอกจะไม่สามารถบอกอะไรเขาได้มาก ถึงแม้เธออยากจะพูดคุยต่อไป แต่เธอก็ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านั้น เธอทำได้แค่บอกต่อถึงสิ่งที่เธอเคยได้ยินมาจากขุนพลโกสต์โบนเท่านั้น


 


หานเซิ่นตรวจสอบโซ่ที่ล่ามตัวราชินีจิ้งจอกอยู่ เมื่อเขาจำเป็นต้องพักเบรก เขาก็จะไปที่ไวท์โบนโลล์เพื่อฝึกฝน เขาจะวิชาเรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับพลังโกสต์โบนเข้าไป


 


หานเซิ่นเลือกที่จะฝึกศาสตร์ตงเสวียนที่หลังสุด  เพราะเรื่องราวของยีนจำเป็นต้องใช้ปัจจัยภายนอกที่ไม่ใช่พลังของตัวเขาเอง และนั่นก็คือสิ่งที่เขากำลังมีอยู่ในตอนนี้


 


เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นกลับเข้ามา เจ้ากิเลนโลหิตก็ออกมาจากภูเขาดอกบัวในทันที มันนำลูกแพร์โลหิตออกมาให้กับหานเซิ่น


 


หานเซิ่นพยายามจะผูกมิตรกับเจ้ากิเลนโลหิต เพราะมันไม่ได้มีจิตมุ่งร้ายต่อเขาเลยสักนิดเดียว และนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกดีใจ

‘บางทีเราอาจจะทำให้เจ้าตัวนี้เชื่องได้จริงๆ ถ้าเรามีนักสู้ระดับราชันอยู่ข้างกายล่ะก็ บางทีเราอาจจะต่อกรกับศัตรูอย่างเอ็ดเวิร์ดได้’


 


หานเซิ่นพยายามจะสัมผัสตัวกิเลนโลหิต และเมื่อเขาทำแบบนั้นเจ้ากิเลนโลหิตก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงเขา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เก็บเนื้อเก็บตัวอย่างมาก ซึ่งทำให้การผูกมิตรกับมันเป็นเรื่องยาก



 


ขณะเดียวกันในที่สุดเอ็ดเวิร์ดและคนอื่นๆก็พบประตูของปราสาท แต่ทว่าพวกเขายังไม่สามารถเปิดมันได้


 


“ทำไมมันถึงมีปราสาทอยู่ที่นี่? นี่ผู้นำของเซเคร็ดทิ้งมันเอาไว้อย่างนั้นหรอ?” อัศวินไอซ์บลูระดับราชันถามขึ้นมา


 


“เมื่อดูจากสถาปัตยกรรมของที่นี่แล้ว ข้าไม่คิดว่ามันเป็นของผู้นำเซเคร็ด ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็ สไตล์ของที่นี่ดูคล้ายคลึงกับงานฝีมือของขุนพลโกสต์โบน” กุนซือไวท์พูด


 


“ใครจะเป็นคนสร้างปราสาทนี้ขึ้นมาก็ช่าง พวกเราต้องหาทางเปิดมันออกให้ได้ พวกเขาจะไปที่อนุสรณ์สถานไม่ได้ถ้าไม่มีโบราณวัตถุที่หานเซิ่นเอาไป” เอ็ดเวิร์ดหันไปมองที่กุนซือไวท์

“กุนซือไวท์ ท่านเชี่ยวชาญในการคลายการป้องกันของสิ่งที่ต่างๆ ท่านไม่มีหนทางที่จะเปิดประตูของปราสาทนี้เลยอย่างนั้นหรอ?”


 


“กำแพงของปราสาทนี้พิเศษมากๆ ข้าไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน การจะทำลายเข้าไปอาจจะต้องใช้เวลาหลายทศวรรษ!” กุนซือไวท์พูด


 


“นั่นมันนานเกินไป มันไม่มีหนทางอื่นอยู่เลยหรอ?” ราชาอัศวินไอซ์บลูถาม


 


กุนซือไวท์ลูบคางของเขาขณะที่ครุ่นคิด “หนทางที่ดีที่สุดที่จะเข้าไปข้างในก็คือใช้กำลังเพื่อเปิดส่วนหนึ่งของสิ่งก่อสร้าง ถ้าพวกเราทุกคนรวมพลังกันนั่นก็อาจจะได้ผล แต่ก่อนอื่นพวกเราต้องเตรียมการบางอย่างซะก่อน และสำหรับเรื่องนั้นข้าจำเป็นต้องพึ่งความร่วมมือของทุกคนในที่นี้”


 


“พวกเราจะฟังที่ท่านบอก” เอ็ดเวิร์ดและราชาอัศวินไอซ์บลูพยักหน้า


 


“ข้าจำเป็นต้องใช้บางสิ่งที่ไม่มีอยู่ในฐานทัพ ดังนั้นข้าต้องไปที่อื่นเพื่อเอาพวกมันมา มันคงจะใช้เวลาประมาทหนึ่งเดือน ในช่วงนั้นข้าอยากจะให้พวกเจ้าคอยเฝ้าอยู่ที่นี่” กุนซือไวท์พูด


 


หลังจากนั้นกุนซือไวท์ก็พาครามจากไป ขณะที่ราชาอัศวินไอซ์บลูและเอ็ดเวิร์ดคอยเฝ้าปราสาทอย่างใกล้ชิด



 


ขณะที่หานเซิ่นกำลังพูดคุยกับราชินีจิ้งจอก สมาธิของเขาก็กำลังจดจ่ออยู่กับโครงสร้างของปราสาท และเกือบจะคาดไม่ถึงเขาก็พบหนทางที่จะช่วยราชินีจิ้งจอกออกไป


 


แต่จริงๆแล้วหานเซิ่นไม่อยากจะช่วยเหลือราชินีจิ้งจอก เพราะมันมีแต่จะนำภัยมาสู่ตัวเขา ใครจะรู้ว่าเธออาจจะจู่โจมหานเซิ่นในจังหวะที่เธอเป็นอิสระแล้ว?


 


จิ้งจอกเปลี่ยนร่างไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่เป็นมิตรที่สุด และที่เธอพูดคุยกับหานเซิ่นมากขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะเธอถูกขังอยู่ที่นี่ตามลำพังมาเป็นเวลานานและเธอรู้สึกเบื่อเท่านั้น ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเธอได้รับอิสรภาพกลับคืนมา?


 


หานเซิ่นรู้ว่าจิ้งจอกเปลี่ยนร่างที่งดงามได้ทำให้หลายเผ่าพันธุ์ต้องล่มสลาย ซึ่งนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่หานเซิ่นไม่อยากจะผูกมิตรกับราชินีจิ้งจอก

 

 

 


ตอนที่ 2262

 

หานเซิ่นใช้เวลาอยู่ในไวท์โบนเฮลล์อีก 2 สัปดาห์ เจ้ากิเลนโลหิตนั้นออกมาจากเขาเพื่อดูดซับพลังทุกๆวัน และในช่วงเวลานั้นหานเซิ่นก็ได้มีโอกาสจะผูกมิตรกับมัน


 


ในตอนแรกกิเลนโลหิตนั้นดูเหมือนกับอสูรที่โหดร้าย แต่มันไม่ได้แสดงจิตมุ่งร้ายต่อหานเซิ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทำให้เขารู้สึกสงสัย เขาคิดว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะเจ้ากิเลนโลหิตได้ลิ้มรสชาติเลือดของเขา


 


แต่นั่นเป็นอะไรที่จะเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เจ้ากิเลนโลหิตได้กินเลือดเก่าของหานเซิ่นเข้าไปขณะที่เขากำลังวิวัฒนาการ แต่เขาไม่มีแผนจะป้อนเลือดของตัวเองให้กับมันอีก


 


หลังจากที่วิชาโลหิตชีพจรกลายเป็นระดับดยุก หานเซิ่นก็ยังคงหยดเลือดของตัวเองลงบนบลัดสกอร์เปี้ยนเจดดรัมอยู่เรื่อยๆ และในที่สุดเขาก็สามารถใช้บลัดสกอร์เปี้ยนเจดดรัมได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือของเป่าเอ๋อ นั่นทำให้อะไรหลายๆอย่างง่ายขึ้นมาก


 


วันนั้นหลังจากที่กิเลนโลหิตดูดซับพลังจากกระดูกและเลือดเข้าไป มันก็คำรามใส่หานเซิ่น หลังจากนั้นมันก็กลับไปที่ภูเขาดอกบัว เมื่อมันเห็นว่าหานเซิ่นยังไม่เคลื่อนไหว เจ้ากิเลนโลหิตก็หันมาคำรามใส่เขาอีกครั้ง


 


หานเซิ่นรู้ว่าเจ้ากิเลนโลหิตกำลังเชิญเขาไปที่ภูเขาโลหิต หานเซิ่นจึงรีบตามมันไป ถ้าเขาถูกเชิญให้เข้าไปในที่อยู่อาศัยของกิเลนโลหิต นั่นก็บ่งบอกว่าเจ้ากิเลนโลหิตเริ่มจะเชื่อใจเขาแล้ว


 


หานเซิ่นตามกิเลนโลหิตไปที่ยอดของภูเขาดอกบัว สายฝนเลือดส่วนใหญ่ถูกดูดซับไปหมดแล้ว แต่มีบางส่วนที่ไหลไปรวมกันเป็นบ่อน้ำเล็กๆ มีเถาวัลย์พันกันอีรุงตุงนังรอบบ่อเลือด และหานเซิ่นก็เห็นว่าลูกแพร์โลหิตนั้นห้อยลงมาจากพวกมัน


 


เจ้ากิเลนโลหิตกระโดดลงไปในบ่อเลือดและส่งเสียงร้องใส่หานเซิ่นอีกครั้งเพื่อเชิญหานเซิ่นลงมาด้วยกัน


 


ครั้งนี้หานเซิ่นลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่เขาก็ยังตามกิเลนโลหิตลงไป จากประสมการณ์กับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ เขาเรียนรู้ว่าการอาบน้ำกับสัตว์เลี้ยงถือเป็นวิธีที่ดีที่จะเสริมความผูกพันระหว่างพวกเขา


 


หานเซิ่นมีแผนที่จะเริ่มขัดเกล็ดของกิเลนโลหิต แต่เจ้ากิเลนโลหิตกลัทำอย่างอื่นแทน มันกดหัวของตัวเองลงไปในน้ำและดำลึกลงไป


 


หานเซิ่งมองตามเจ้ากิเลนโลหิตไปด้วยความประหลาดใจ ตอนนี้มันเห็นได้ชัดว่าเจ้ากิเลนโลหิตไม่ได้เชิญเขามาที่นี่เพื่ออาบน้ำด้วยกัน เขารีบใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อตามกิเลนโลหิตไป


 


หลังจากที่เห็นว่าหานเซิ่นกำลังตามมา เจ้ากิเลนโลหิตก็ดำลึกลงไปอีก


 


บ่อเลือดนั้นมีความลึกเพียงแค่หนึ่งพันเมตรเท่านั้น


 


พวกเขาไปถึงก้นของบ่อได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเจ้ากิเลนโลหิตก็หายตัวเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่งที่ถูกขุดผ่านกระดูกขาว


 


หานเซิ่นตามหลังมันไปติดๆ เขาไม่รู้ว่าเจ้ากิเลนโลหิตนั้นต้องการอะไรกันแน่


 


เจ้ากิเลนโลหิตนำทางต่อไปเรื่อยๆ มันว่ายไปตามอุโมงค์กระดูกขาวและไม่นานก็โผล่ขึ้นจากเลือด


 


เมื่อหัวของหานเซิ่นโผล่ขึ้นมาด้วยบน หานเซิ่นก็สังเกตเห็นว่าตัวเองมาโผล่ยังถ้ำกระดูกขาวใหญ่แห่งหนึ่ง ต่อหน้าของเขานั้นมีศพของซีโน่เจเนอิคสีดำตัวใหญ่ยักษ์อยู่


 


กิเลนสีดำตัวใหญ่โตราวกับภูเขา แต่ทว่าหัวของมันถูกทำลายและท้องของมันก็ถูกผ่าเปิดออก ในตอนนี้ร่างกายอาจจะยังไม่เน่าเปื่อย แต่อากาศก็ทำให้มันแห้งเหี่ยวราวกับเปลือกไม้


 


‘นี่คงจะเป็นแม่ของเจ้ากิเลนโลหิต แต่มันดูไม่เหมือนกับเจ้ากิเลนโลหิตเท่าไหร่นัก บางทีการดูดซับพลังจากกระดูกและเลือดเข้าไปจะทำให้ยีนของมันเกิดความเปลี่ยนแปลง’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


กิเลนโลหิตกระดูดขึ้นไปบนร่างของกิเลนสีดำที่ตัวใหญ่ราวกับภูเขา หลังจากนั้นมันก็ส่งเสียงร้องใส่หานเซิ่นราวกับมันกำลังบอกให้เขารีบตามขึ้นมา


 


หานเซิ่นบินขึ้นไปในอากาศ แต่เขาไม่กล้าจะเหยียบเท้าลงบนร่างของกิเลนสีดำ ถึงแม้เจ้ากิเลนโลหิตจะเรียกเขาขึ้นมา แต่การเหยียบศพแม่ของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม


 


เมื่อหานเซิ่นเห็นศพจากด้านบน เขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่แวววาวอยู่ในร่างของกิเลนสีดำ มันคืออาวุธที่ปักลึกเข้าไปในหลังของกิเลนสีดำ


 


หานเซิ่นมองเห็นอาวุธนั้นไม่ชัด เพราะมันมีเพียงแค่ด้ามจับเท่านั้นที่โผล่ออกมา ในขณะที่ส่วนที่เหลือของอาวุธฝังลึกเข้าไปในศพของกิเลนสีดำ


 


ราชินีจิ้งจอกบอกว่ากิเลนโลหิตกำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์ที่ไร้ชื่อ แต่เมื่อได้มาเห็นร่างของกิเลนสีดำตัวนี้ หานเซิ่นก็ไม่คิดว่านั่นเป็นความจริง


 


สิ่งมีชีวิตอื่นเน่าเปื่อยจนเหลือแต่กระดูก แม้แต่กระดูกของสิ่งมีชีวิตหลายตัวก็สลายจนเหลือแค่ผุยผง แต่ร่างของกิเลนสีดำยังคงดูสมบูรณ์ซะส่วนใหญ่ แค่เรื่องนี้ก็บ่งบอกว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษ


 


หานเซิ่นตรวจดูอาวุธนั่นอย่างระมัดระวัง ด้ามจับนั้นยาวแค่ 2 ฟุตเท่านั้น ซึ่งมันเล็กเกินกว่าที่จะเป็นดาบใหญ่ แต่สำหรับดาบสั้นด้ามจับนั่นก็ดูจะเป็นอะไรที่ยาวเกินไป


 


ด้ามจับนั้นเป็นเครื่องเงินที่ดูแวววาว และมันมีสัญลักษณ์แปลกๆสลักเอาไว้ หานเซิ่นไม่แน่ใจว่าสัญลักษณ์นั่นหมายถึงอะไร แต่เขาก็คิดว่ามันอาจจะเป็นแค่การตกแต่งที่ไม่ได้มีความหมายอะไร


 


แต่ที่หานเซิ่นมั่นใจก็คืออาวุธนั่นไม่ได้เป็นของขุนพลโกสต์โบน เพราะว่ามันขาดออร่าที่ขุนพลโกสต์โบนมีติดตัวไป


 


กิเลนโลหิตส่งเสียงเห่าใส่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นขมวดคิ้วอย่างไม่แน่ใจว่าเจ้ากิเลนโลหิตต้องการอะไร


 


เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นไม่เข้าใจ เจ้ากิเลนโลหิตก็พยายามจะจับด้ามของอาวุธด้วยอุ้งเท้าของมัน แต่เมื่อมันสัมผัสกับด้ามจับสีเงิน สายฟ้าสีเงินก็ปะทุขึ้นมาและช็อตใส่กิเลนโลหิต ในช่วงพริบตาร่างของเจ้ากิเลนโลหิตก็ถูกช็อตไฟฟ้าและกระเด็นออกไป


 


หานเซิ่นตกตะลึง เจ้ากิเลนโลหิตถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งของมันเทียบได้กับซีโน่เจเนอิคครึ่งเทพ ถ้าแม้แต่มันยังถูกส่งกระเด็นออกไป อย่างนั้นแล้วพลังของอาวุธก็ต้องเป็นอะไรที่ยากจะหยั่งถึง


 


เจ้ากิเลนโลหิตพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้น มันดูจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ขาของมันสั่นเล็กน้อยจากการถูกไฟฟ้าช็อต


 


เจ้ากิเลนโลหิตกระโดดกลับขึ้นมาบนร่างของกิเลนสีดำ หลังจากนั้นมันก็ส่งเสียงเห่าใส่หานเซิ่นอีกครั้ง


 


ตอนนี้หานเซิ่นรู้แล้วว่ามันต้องการอะไร “นายอยากให้ฉันเอาอาวุธนั่นออกมาอย่างนั้นหรอ?”


 


เจ้ากิเลนโลหิตพยักหน้าก่อนที่จะส่งเสียงเห่าใส่หานเซิ่นอีก


 


หานเซิ่นรู้สึกไม่ค่อยดีกับเรื่องนี้ เพราะแม้แต่เจ้ากิเลนโลหิตที่แข็งแกร่งก็ยังถูกช็อตกระเด็นออกไปเลย หานเซิ่นเป็นแค่ดยุกคนหนึ่ง ดังนั้นมันมีโอกาสที่สายฟ้าของอาวุธจะฆ่าเขา ถ้าเขาสัมผัสมัน


 


หานเซิ่นกัดฟันและเดินเข้าไปใกล้อาวุธที่ปักอยู่บนหลังของกิเลนสีดำ เขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถดึงมันออกมาได้ แต่ถ้าเขาไม่ลองดูล่ะก็ เวลาทั้งหมดที่เขาใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเจ้ากิเลนโลหิตก็จะเสียเปล่า


 


‘ถึงแม้มันจะไม่สำเร็จ เราก็ต้องลองดู การถูกช็อตยังไงก็ยังดีกว่าการทำให้เจ้ากิเลนโลหิตโมโห’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง เขาเรียกชุดเกราะกุ้งมังกรกาแลกติกระดับราชันออกมา


 


เมื่อลงมายืนอยู่บนหลังของกิเลนสีดำ หานเซิ่นก็จ้องมองไปที่ด้ามจับสีเงิน หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปมองกิเลนโลหิต เจ้ากิเลนโลหิตนั้นดูตื่นเต้นอย่างมาก หานเซิ่นหายใจเข้าลึกๆและค่อยๆเอื้อมมือออกไปหาด้ามจับสีเงินนั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)