Super God Gene 2167-2178

ตอนที่ 2167

 

หานเซิ่นนั่งอยู่บนยานอวกาศที่กำลังเดินทางไปที่แนร์โรว์มูน เขาไม่ได้รับอนุญาตให้นำครึ่งหนึ่งของภูเขามหาสมุทรติดตัวกลับไป แต่ผู้นำของปราสาทนภาอนุญาตให้เขาเก็บหินมหาสมุทรไปได้จำนวนหนึ่ง


 


โดยปกติแล้วหานเซิ่นจะใช้ยานโดยสารสาธารณะ แต่วันนี้เขาใช้ยานบรรทุกสินค้า การขนหินมหาสมุทรทั้งหมดขึ้นไปนั้นใช้เวลาพอสมควร และผู้คนของปราสาทนภาที่ผ่านมาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองหินมหาสมุทรจำนวนมาก


 


โดยปกติแล้วศิษย์ของปราสาทนภาจะนำของไม่กี่ชิ้นติดตัวกลับไปเท่านั้น พวกเขาไม่เคยเห็นศิษย์คนไหนกลับไปพร้อมกับยานบรรทุกสินค้าที่ขนหินมหาสมุทรจนเต็มลำ


 


ถึงหินมหาสมุทรพวกนั้นจะไม่ได้ใกล้เคียงกับครึ่งหนึ่งของภูเขาที่หานเซิ่นผ่า แต่มันก็มากพอที่จะสร้างฐานทัพขึ้นมาใหม่ ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงพึงพอใจแล้ว


 


เรื่องราวที่หานเซิ่นทำลายภูเขามหาสมุทรนั้นแพร่กระจายออกไปทุกซอกทุกมุมของปราสาทนภา ผู้นำปราสาทนภาและผู้อาวุโสได้ทำการสืบหาความจริงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และพวกเขาก็ได้รู้ว่าภูเขามีรอยแตกร้าวอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาจึงได้ข้อสรุปว่าการถล่มไม่ได้เกิดจากพละกำลังของหานเซิ่น แต่หานเซิ่นเพียงแค่ใช้ประโยชน์ต่อข้อบกพร่องของมันที่มีอยู่ก่อนแล้ว


 


แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องราวที่หานเซิ่นผ่าภูเขามหาสมุทรขาดครึ่งก็เป็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลาย และไม่นานมันก็กลายเป็นตำนานของปราสาทนภา


 


ในอนาคตข้างหน้าเมื่อศิษย์คนอื่นต้องไปจากปราสาทนภา พวกเขาก็ต้องมาทิ้งชื่อหรือร่องรอยบนครึ่งหนึ่งของภูเขาที่ลอยอยู่ มันจินตนาการได้ง่ายๆว่าพวกเขาจะต้องถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับภูเขา


 


ซึ่งผู้คนของปราสาทนภาก็สามารถตอบได้อย่างภาคภูมิว่ามีใครคนหนึ่งเคยตัดภูเขามหาสมุทรจนขาดครึ่งได้สำเร็จ หานเซิ่นจะกลายเป็นบางสิ่งที่ถูกจดลงในหนังสือประวัติศาสตร์ของปราสาทนภา


 


หานเซิ่นรู้ดีว่าภูเขามหาสมุทรไม่ได้แตกร้าวตั้งแต่แรก แต่มันถูกผ่าครึ่งเพราะแมลงหินที่อาศัยอยู่ภายใน


 


แต่เนื่องจากในตอนที่ภูเขามหาสมุทรถูกผ่าครึ่ง สถานการณ์นั้นยุ่งเหยิงเกินกว่าสังเกตเห็นแมลงหินตัวนั้น เขาได้พยายามใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อหาตำแหน่งของมัน แต่มันได้หายตัวไปเรียบร้อยแล้ว


 


‘เจ้าแมลงตัวนั้นอยู่ระดับไหนกันแน่ มันเป็นระดับเทพเจ้าอย่างนั้นหรอ?’ ขณะที่หานเซิ่นคิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆเป่าเอ๋อก็เรียกน้ำเต้าของเธอออกมา


 


หานเซิ่นคิดว่านั่นเป็นอะไรที่แปลก เป่าเอ๋อไม่ใช่คนที่จะเรียกน้ำเต้าออกมาอย่างไม่มีเหตุผล แต่เขาไม่รู้เลยว่าทำไมจู่ๆเธอถึงเรียกมันออกมาในตอนนี้


 


ท่ามกลางความสับสนของหานเซิ่น เป่าเอ๋อเขย่าน้ำเต้าของเธอ หลังจากนั้นเธอก็ตบไปที่ก้นของน้ำเต้าและบางสิ่งก็กระเด็นออกมา


 


เมื่อหานเซิ่นเห็นมัน เขาก็ทั้งประหลาดใจและดีใจ แมลงหินที่ดูเหมือนกับตัวไหมกระเด็นออกมาจากน้ำเต้า มันเป็นตัวเดียวกับที่อยู่ภายในภูเขามหาสมุทร


 


“ไม่แปลกใจที่หาเจ้าแมลงหินไม่เจอ เป่าเอ๋อเอามันไปนี่เอง” หานเซิ่นมองดูเป่าเอ๋อจิ้มไปที่ร่างของแมลงหินด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


แมลงหินยกร่างกายของมันขึ้น แต่มันไม่มีแขนขา และนิ้วของเป่าเอ๋อก็ดันมันเคลื่อนที่ไปอย่างต่อเนื่อง มันไม่สามารถต่อต้านแรงผลักจากนิ้วของเธอได้


 


แมลงหินนั้นสร้างภูเขาหินที่ใหญ่โตขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดูไม่ทรงพลังเลยสักนิด ดูแล้วมันมีความแข็งแกร่งไม่ถึงระดับบารอนด้วยซ้ำไป


 


‘ดาวอุปราคามีภูเขาไฟอยู่ บางทีเราควรจะโยนเจ้าตัวนี้ลงไปในนั้นเพื่อดูว่ามันจะสร้างหินมหาสมุทรขึ้นมาได้อีกไหม’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


เป่าเอ๋อยังคงเล่นกับแมลงหินต่อไป ขณะที่เธอทำอย่างนั้น หานเซิ่นก็ไปหาข้อมูลเกี่ยวกับหินมหาสมุทรและแมลงหินที่สร้างพวกมันขึ้นมา


 


สถานที่ที่มีหินมหาสมุทรอยู่มากที่สุดก็คือเพอร์กาทอรี่ร็อกซี มันเป็นซีโน่เจเนอิคสเปชที่ประกอบไปด้วยลาวาเกือบจะทั้งหมด แต่บางครั้งมันจะมีเกาะปรากฏขึ้นมาท่ามกลางลาวา และเกาะพวกนั้นก็ประกอบไปด้วยหินมหาสมุทร


 


แต่เพอร์กาทอรี่ร็อกซีมีซีโน่เจเนอิคธาตุไฟเป็นจำนวนมากที่จำเป็นต้องระมัดระวัง พวกมันหลายตัวเป็นถึงระดับราชัน และยังมีตัวที่เป็นระดับเทพเจ้าอีกด้วย การไปที่นั่นเพื่อเก็บหินมหาสมุทรจึงเป็นงานที่อันตราย จำนวนผู้เสียชีวิตจากการเดินทางไปที่นั่นนั้นสูงมากๆ


 


หานเซิ่นได้เรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับหินมหาสมุทร แต่น่าประหลาดที่เขาไม่สามารถเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าแมลงหินได้เลย ราวกับว่าไม่มีใครคนอื่นที่รู้ว่าหินมหาสมุทรเกิดขึ้นมาได้ยังไง


 


หานเซิ่นหันกลับไปมองเจ้าแมลงหิน หลังจากที่เป่าเอ๋อก่อกวนมันไปสักพัก มันก็หยุดเคลื่อนไหวและแกล้งตายเมื่อมันรู้สึกตัวว่ายิ่งมันขัดขืนมากเท่าไหร่ เป่าเอ๋อก็ดีใจมากเท่านั้น


 


หลังจากที่มันตัดสินใจหยุดเคลื่อนไหว เป่าเอ๋อก็หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว


 


หานเซิ่นสังเกตเจ้าแมลงหินอย่างละเอียด ร่างกายของมันเหมือนกับหินสีเทา พลังชีวิตของมันไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก ดังนั้นหานเซิ่นไม่แน่ใจว่ามันทำลายภูเขามหาสมุทรแบบนั้นได้ยังไง


 


หานเซิ่นปล่อยให้เป่าเอ๋อนำแมลงหินกลับเข้าไปในน้ำเต้า เขาคิดที่จะตรวจดูมันอีกทีหลังจากที่ไปถึงภูเขาไฟ เขาคิดว่าถ้าพามันไปในสภาพแวดล้อมแบบนั้นอาจจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น


 


ยานอวกาศของหานเซิ่นถูกคุ้มกันโดยยอดฝีมือของปราสาทนภาหลายคน ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงกลับไปถึงแนร์โรว์มูนได้อย่างปลอดภัย


 


บนดาวดึกดําบรรพ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายจำนวนมาก มีชายคนหนึ่งยืนถือมีดอยู่ในมือ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เข้ามาขวางทางของเขาถูกฆ่าตายทั้งหมดจนไม่มีเหลือแม้แต่กระดูก เพราะหลังจากที่ฆ่าพวกมันตาย มีดของเขาก็จะดูดกลืนพวกมันทั้งหมดเข้าไป


 


มีดเล่มนั้นดูแปลกประหลาด มันถูกทำขึ้นมาจากกระดูกและรูปร่างของมันก็ดูเหมือนกับกระดูกสันหลังของสิ่งมีชีวิต มีดนั้นหยักเหมือนกับฟันปลาและมีความยาวประมาท 2 เมตร เมื่อชายคนนั้นกวัดแกว่งมัน มันก็ฆ่าสิ่งมีชีวิตต่างๆที่เข้ามา และเนื้อทั้งหมดของพวกมันก็จะถูกดูดกลืนเข้าไปในมีดกระดูก ยิ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นตายไปมากเท่าไหร่ ใบมีดก็เต็มไปด้วยเลือดมากขึ้นเท่านั้น


 


ชายคนที่ถือมีดกระดูกอยู่ในมือก็ดูแปลกประหลาดเช่นเดียวกัน หัวของเขามี 3 ใบหน้าเหมือนกับเดสทรอยเยอร์ แต่เขามีแขนเพียงแค่คู่เดียว และใบหน้าทั้ง 3 ก็ดูแตกต่างไปจากเดสทรอยเยอร์คนอื่นๆ


 


เดสทรอยเยอร์ทั่วๆไปจะมีหัวนกอยู่ตรงกลางพร้อมกับมีใบหน้าของชายและหญิงประกบข้าง แต่ใบหน้าทั้ง 3 ของชายคนนี้เป็นใบหน้าของผู้ชายทั้งหมด ใบหน้าตรงกลางดูไร้อารมณ์ความรู้สึก ใบหน้าด้านซ้ายดูเหมือนกับผี ส่วนใบหน้าด้านขวาดูหล่อเหลา


 


ชายคนนั้นทำการฆ่าฟันต่อไปโดยไม่เบื่อหน่ายหรือรำคาญ ชีวิตนับไม่ถ้วนถูกกลืนกินโดยมีดกระดูกของเขา แต่อารมณ์ความรู้สึกของเขาไม่เปลี่ยนแม้แต่ครั้งเดียว


 


ในขณะที่ชายคนนั้นกำลังฆ่าฟันอยู่ ใบหน้าที่งดงามของเขาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เนื่องจากมียานอวกาศบินผ่านชั้นบรรยากาศและลงมาจอดข้างๆเขา


 


มีหุ่นยนต์ตัวหนึ่งลงมาจากยานและเดินมาตรงหน้าชายคนนั้น


 


“บาร์ มีใครบางคงยินดีจะมอบเงินก้อนโตเพื่อแลกกับการฆ่าศิษย์ของราชินีแห่งมีด เจ้าจะยอมรับสัญญานี้ไหม?” หุ่นยนต์พูดด้วยเสียงอิเล็กทรอนิกส์


 


“เจ้าเองก็รู้กฎ” ชายที่ชื่อบาร์ยังคงฆ่าฟันต่อไปขณะที่พูดออกมา เขาตัดร่างของสิ่งมีชีวิตตรงหน้าจนขาดครึ่ง และมีดที่เหมือนกับฟันก็เริ่มกลืนกินร่างของมันเข้าไป


 


มีดกระดูกดูแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลังจากนั้น สีแดงของมันก็เข้มยิ่งกว่าเดิม


 


“วิดีโอนี่คงจะเพียงพอสินะ ข้ารับประกันว่าเป้าหมายนี้จะคุ้มค่าต่อเวลาของเจ้า” หุ่นยนต์เริ่มแสดงวิดีโอของหานเซิ่น


 


บาร์มองดูมัน และหลังจากผ่านไปช่วงสั้นๆ ดวงตาของเขาก็แว็บขึ้นมา


“ข้าจะรับงานนี้” 

 

 


ตอนที่ 2168

 

หลังจากกลับไปที่แนร์โรว์มูน มันทำให้หานเซิ่นไม่มีเวลาว่างไปอีกหลายวัน และเมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินทางกลับไปที่ดาวอุปราคา


 


ในช่วงที่เขาไม่อยู่นั้น ซีโร่ หานเมิ่งเอ๋อร์ นางฟ้าและอี๋ซาช่วยดูแลฐานทัพแทนเขา ด้วยเหตุนั้นดาวอุปราคาจึงสงบสุขดี


 


นอกจากนั้นซีโร่ นางฟ้าและหานเมิ่งเอ๋อร์ยังเพิ่มระดับขึ้นเป็นมาร์ควิสเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นเป็นเพราะทรัพยากรจำนวนมากที่อยู่บนดาวอุปราคา


 


มันมีซีโน่เจเนอิคจำนวนมากอยู่บนดาวอุปราคา แต่ระดับสูงสุดมีแค่ระดับดยุกเท่านั้นและพวกมันก็มีอยู่จำนวนไม่มากเท่าไร ด้วยเหตุนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะวิวัฒนาการเป็นดยุกได้


 


‘เรามีแค่ดาวอุปราคา ซึ่งมันมีประโยชน์แค่ในการพัฒนาช่วงต้นเท่านั้น ถ้าเราต้องการจะก้าวหน้าต่อไป ดวงดาวนี้ยังไม่เพียงพอ’


หานเซิ่นรู้สึกลำบากใจขึ้นมาเมื่อคิดถึงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดบนดาวอุปราคา


 


และไม่ใช่แค่หานเซิ่นคนเดียวที่ต้องการทรัพยากร คนอื่นๆก็ต้องการเช่นกัน ซึ่งถ้ามันมีทรัพยากรไม่เพียงพอล่ะก็ เขาก็จะไม่พาคนอื่นออกมาจากก็อตแซงชัวรี่อีก


 


ดวงดาวส่วนใหญ่ในจักรวาลจีโนถูกครอบครองหมดแล้ว และความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละฝ่ายก็เป็นอะไรที่ซับซ้อนมากๆ เมื่อใครบางคนได้ครอบครองดินแดนแห่งหนึ่ง มันก็จะดึงดูดความสนใจของหลายๆฝ่าย


 


การไปที่ระบบที่รกร้างก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เพราะที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอาศัยอยู่มากมาย


 


และถึงเขาจะยึดครองดาวดวงหนึ่งมาได้สำเร็จ มันก็อาจจะถูกแย่งชิงไป ถ้าเขาไม่ได้รับการปกป้องจากเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่โต


 


ตอนนี้หานเซิ่นจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่สามารถหาทรัพยากรเพิ่มได้ และทรัพยากรที่มีอยู่บนดาวอุปราคาก็ไม่เพียงพอสำหรับเขา


 


หานเซิ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ แต่เขาก็ไม่สามารถคิดหาทางออกได้


 


หานเซิ่นเอนหลังและกุมขมับของตัวเอง แต่เมื่อหันไปเห็นแมลงหินมหาสมุทรที่เป่าเอ๋อกำลังเล่นอยู่ เขาก็จำได้ว่าต้องการจะทดลองอะไรบางอย่างกับมัน


 


หลังจากนั้นหานเซิ่น เป่าเอ๋อและแมลงหินก็เดินทางไปยังภูเขาไฟที่อยู่ใกล้ๆ


 


แมลงหินมหาสมุทรนั้นแทบไม่มีพลังโจมตีเลยก็ว่าได้ การเก็บมันเอาไว้กับตัวเองจึงเป็นอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเมื่อหานเซิ่นเข้าไปในเขตแดนของภูเขาไฟ เขาก็วางแมลงลงใกล้ๆกับลาวา


 


เมื่อแมลงหินสังเกตเห็นลาวา ดวงตาของมันก็เป็นประกายขึ้นมา ขณะที่พยายามกลิ้งไปข้างหน้า


 


แมลงหินร่วงลงไปในลาวา และไม่นานหลังจากนั้นมันก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นของลาวา หลังจากที่ผ่านไปสักพักลาวาก็ค่อยๆแข็งตัวและกลายเป็นหิน


 


เมื่อหินที่ห่อหุ้มตัวของเจ้าแมลงกลายเป็นสีดำ แมลงหินก็กลิ้งลงไปในลาวาอีกครั้ง มันทำแบบนี้ซ้ำๆจนกระทั่งมันกลายเป็นลูกบอลที่มีขนาดพอๆกับฝ่ามือ


 


แต่หานเซิ่นไม่มีอารมณ์จะมองดูมันมากไปกว่านั้น เพราะด้วยความเร็วของมันแล้ว ใครจะรู้ว่ามันต้องใช้เวลาอีกนานสักแค่ไหนก่อนที่เจ้าแมลงจะสร้างภูเขามหาสมุทรขึ้นมาอีกลูก


 


“รอจนกระทั่งมันใหญ่กว่านี้ซะก่อน ค่อยมาเก็บหินมหาสมุทรไป” หานเซิ่นทิ้งแมลงหินเอาไว้ที่นั่นและกลับไปที่ฐานทัพพร้อมกับเป่าเอ๋อ


 


เมื่อหานเซิ่นกลับไปถึงฐานทัพ เขาก็ตกใจที่เห็นว่าอี๋ซานั่งรอเขาอยู่ในลานกว้าง ทุกคนภายในฐานทัพแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งและเว้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้ราวกับว่ามีคนของราชวงศ์เสด็จมาเยี่ยมเยียน


 


“ราชินีของข้า” หานเซิ่นเข้าไปโค้งคำนับให้กับเธอ ขณะที่จิตใจของเขาพยายามคิดหาคำอธิบายว่าทำไมเธอถึงมาหาเขาที่ดาวอุปราคา


 


อี๋ซามองเป่าเอ๋อที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของหานเซิ่น


“ไปเดินเล่นกับข้า ข้าอยากจะรู้ว่าตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาเจ้าเรียนรู้เกี่ยวกับที่นี่มากแค่ไหนแล้ว”


 


หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘ฉันเพิ่งมาอยู่ที่นี่เมื่อ 2 ก่อน เธอเองน่าจะรู้เกี่ยวกับดาวอุปราคาดียิ่งกว่าที่ฉันรู้’


 


แต่ถึงหานเซิ่นจะคิดแบบนั้น เขาก็ไม่กล้าพูดออกมา เขารีบพาเธอไปเดินทัวร์รอบๆ


 


เมื่อพวกเขาเดินไปถึงทะเลสาบมิร์เรอร์ ขณะที่หานเซิ่นกำลังบรรยายเกี่ยวกับมันให้เธอฟัง จู่ๆอี๋ซาก็พูดแทรกขึ้นมา


“หานเซิ่น เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวของรีเบทอัลฟ่าไหม?”


 


“ข้าเคยได้ยินมาแค่นิดหน่อยเท่านั้น” หานเซิ่นตอบหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ เขาไม่ได้สนใจอะไรในเผ่าพันธุ์รีเบท ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพวกเขา


 


แต่ในช่วงเวลาที่อยู่ในแนร์โรว์มูน เขาก็พอจะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวของรีเบทอัลฟ่าอยู่บ้าง เพราะยังไงซะอัลฟ่าก็เป็นความภาคภูมิของทุกๆเผ่าพันธุ์


 


อี๋ซายังเดินต่อไปขณะที่พูดขึ้นมา “รีเบทเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูงก็จริง แต่เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของจักรวาลจีโนแล้ว พวกเราเป็นแค่เผ่าพันธุ์หน้าใหม่ พวกเรายังต่อกรกับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่เก่าแก่ไม่ได้ มันถือเป็นความโชคดีที่พวกเรามีอัลฟ่านำทางจนมาถึงจุดนี้ได้ เจ้าไม่รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของนางอย่างนั้นหรอ?”


 


“ข้าเคยได้ยินแค่ว่านางมีสายเลือดที่ดียิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ที่เก่าแก่” หานเซิ่นตอบ


 


อี๋ซาหัวเราะ “นั่นเป็นแค่เรื่องที่เผ่าพันธุ์อื่นเล่าต่อกันมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเราก็เริ่มเชื่อพวกมันซะเอง”


 


หลังจากที่หยุดไปชั่วครู่ อี๋ซาก็พูดต่อ “อัลฟ่าของพวกเราเป็นทาสคนหนึ่ง เผ่าพันธุ์เป็นแค่สังคมดั้งเดิม พวกเขาเดินทางออกไปจากดวงดาวดวงหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ วันหนึ่งมีเผ่าพันธุ์ชั้นสูงมาที่ดวงดาวของพวกเราและจับพวกเราไปเป็นทาส หลังจากนั้นอัลฟ่าของพวกเราก็เริ่มท่องเที่ยวไปทั่วกาแล็คซี่เพื่อสะสมวิชาและความแข็งแกร่ง หลังจากที่ผ่านความยากลำบากและทรมานมามากมาย พวกเราก็ได้จุดดวงไฟในจีโนฮอลล์และกลายเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ชั้นสูง แต่เจ้ารู้ไหมว่าหลังจากนั้นนางทำอะไร?”


 


“นางต้องมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะทำเรื่องทั้งหมดนั้นไม่ได้” หานเซิ่นคิดว่าการพูดประจบเป็นอะไรที่ควรจะทำในตอนนี้


 


อี๋ซายิ้มและพูดต่อ “เมื่อก่อนรีเบทก็เป็นแค่เผ่าพันธุ์ธรรมดา และอัลผ่าของพวกเราก็เป็นแค่สามัญชนคนหนึ่ง ในตอนที่นางเริ่มฝึกฝน นางมีแค่ชุดเกราะจีโนเท่านั้น หลังจากนั้นนางได้รับผลไม้ซีโน่เจเนอิคลูกหนึ่งมา ทำให้นางวิวัฒนาการกลายเป็นบารอนได้สำเร็จ พรสวรรค์แบบนั้นถือเป็นสิ่งสามัญทั่วไปในจักรวาลจีโน มันมีผู้คนเป็นล้านๆที่มีพรสวรรค์แบบนั้น”


 


“ถ้าอย่างนั้นนางก็ต้องเป็นคนที่มีความอดทนมากๆสินะ นางต้องมีสติปัญญาและความอดทดเหนือกว่าคนอื่นๆ” หานเซิ่นพูด


 


อี๋ซาส่ายหัว “นางอาจจะเป็นคนที่ฉลาด แต่นางไม่ชอบความยากลำบาก นางชื่นชอบการนอนหลับและการอาบน้ำ นางคิดค้นพลังเขี้ยวขึ้นมาก็เพราะว่านางขี้เกียจจะโจมตีซ้ำครั้งที่ 2”


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะรีเบทอัลฟ่าฟังดูเหมือนกับผู้หญิงธรรมดามากๆ แต่การที่ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งหนีจากการเป็นทาสและจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์ได้สำเร็จเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมากๆ


 


“เจ้าสงสัยว่าทำไมอัลฟ่าของพวกเราถึงแข็งแกร่งได้ด้วยนิสัยแบบนั้นใช่ไหม? เจ้าอยากรู้ว่าทำไมคนที่ขี้เกียจแบบนั้นถึงจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์และทำให้เผ่าพันธุ์รีเบทกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูงได้สินะ?” อี๋ซายิ้มให้กับหานเซิ่น


 


“ข้าสงสัย” หานเซิ่นตอบไปตรงๆ


 


สีหน้าของอี๋ซาดูซับซ้อน “อัลฟ่าของพวกเราไม่ได้ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง นางพึ่งพาเอ็กซ์ตรีมคิง” 

 

 


ตอนที่ 2169

 

“เอ็กซ์ตรีมคิง? เอ็กซ์ตรีมคิงที่เป็นหนึ่งใน 3 เผ่าพันธุ์สูงสุดภายในจีโนฮอลล์น่ะหรอ?” เมื่อหานเซิ่นได้ยินชื่อนั้น เขาก็รู้สึกประหลาดใจ


 


เขาคิดว่าแนร์โรว์มูนพึ่งพาการปกป้องจากปราสาทนภาซะอีก แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด มันก็ดูจะไม่เป็นแบบนั้น


 


อี๋ซาพยักหน้า “มันเป็นเอ็กซ์ตรีมคิงที่จับพวกเราไปเป็นทาส อัลฟ่าของพวกเราถูกเลี้ยงดูโดยสมาชิกที่มีชื่อเสียงของเอ็กซ์ตรีมคิง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นางได้รับทรัพยากรมากมาย”


 


สีหน้าของหานเซิ่นเปลี่ยนไป ปราสาทนภา ดราก้อนและเดสทรอยเยอร์อยู่ในระดับท็อปสิบ ขณะที่เดม่อนและบุดด้าอยู่ในระดับท็อปหนึ่งร้อย


 


แต่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงอยู่ในระดับท็อป 3 ของจีโนฮอลล์ ท็อป 3 นั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ไหนๆ แม้แต่กองกำลังทั้งหมดของปราสาทนภาก็ไม่สามารถท้าทายพวกเขาได้


 


ในจักรวาลจีโนเกือบจะทุกสิ่งทุกอย่างถูกแบ่งระหว่างเผ่าพันธุ์ระดับสูงทั้ง 3 เผ่าพันธุ์อื่นๆเป็นเผ่าพันธุ์ภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์สูงสุดทั้ง 3 ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


 


เอ็กซ์ตรีมคิงเป็นเผ่าพันธุ์อันดับที่ 3 แต่ในตอนนี้เผ่าพันธุ์เอ็กซ์ตรีมคิงเป็นที่รู้จักกันดีที่สุด


 


ส่วน 2 เผ่าพันธุ์ที่เหลือค่อนข้างลึกลับ พวกเขาแทบไม่เคยถูกพบเห็นและไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน 1 ใน 2 เผ่าพันธุ์สูงสุดเป็นเผ่าพันธุ์สันโดษที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร พวกเขาไม่เคยอนุญาตให้คนนอกเข้ามาในหมู่พวกเขา และพวกเขาก็ไม่เคยรับสมาชิกใหม่ ในบางครั้งมันอาจจะมีใครบางคนได้รับอนุญาตให้ร่วมงานกับพวกเขา แต่นั่นเป็นอะไรที่หาได้ยากมากๆ


 


เผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างปราสาทนภามีความเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์อันดับที่หนึ่ง มันถูกเรียกว่าเวรี่ไฮ แต่เวรี่ไฮก็ลึกลับมากเช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นคนของพวกเขาและน้อยคนที่จะติดต่อกับพวกเขาได้


 


มันมีข่าวลือว่าบุดด้ามีความสัมพันธ์บางอย่างกับเวรี่ไฮ แต่จนถึงตอนนี้มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าปากต่อปาก ไม่มีใครที่รู้รายละเอียดถึงข่าวลือนั้น


 


ส่วนเผ่าพันธุ์อย่างดราก้อนและเดสทรอยเยอร์มีความเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์อันดับที่ 2 พวกเขาถูกเรียกว่าแอนเชี่ยนท์ก็อต


 


อี๋ซาและปราสาทนภามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงคิดไปว่ารีเบทเป็นเผ่าพันธุ์ภายใต้ปกครองปราสาทนภา มันเป็นเรื่องแปลกที่ได้พบว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้องกับเอ็กซ์ตรีมคิง


 


อี๋ซาพยักหน้าและพูดต่อ “ในตอนนี้รีเบทถือเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ชั้นสูง พวกเรามีอะไรหลายๆอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากเผ่าอย่างเอ็กซ์ตรีมคิง”


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ อี๋ซาพูดต่อ “ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าก็เพราะว่าเจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าทรัพยากรนั้นสำคัญถึงขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าฝึกวิชาเรื่องราวของยีน สำหรับคนอย่างเจ้าแล้ว ทรัพยากรนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”


 


“ขอบคุณท่านราชินีมากที่บอกข้าในเรื่องนี้” หานเซิ่นโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพ


 


เขารู้ว่าอี๋ซาไม่ได้มาบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับเขาโดยไม่มีเหตุผล เธอต้องมีแผนการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทรัพยากรที่จำเป็น ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่มาที่นี่


 


“ในหนึ่งเดือนข้างหน้า ข้าจะไปหาเอ็กซ์ตรีมคิง” อี๋ซาพูดขึ้นมา


 


หานเซิ่นรู้สึกตกใจ “จริงๆอย่างนั้นหรอ? แล้วเมื่อไหร่กันที่ท่านจะกลับมา?”


 


อี๋ซาไม่ตอบ เธอมองออกไปที่ทะเลสาบมิร์เรอร์ก่อนที่จะพูดขึ้นมา


“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำมาจนถึงตอนนี้จะสูญเปล่า ถ้าข้ากลายเป็นระดับเทพเจ้าไม่ได้ ถ้าข้าไม่วิวัฒนาการ มันก็ไม่สำคัญว่าข้าจะกลับมาหรือไม่ ข้าจะอยู่ที่นั่นไปเรื่อยๆและทำทุกสิ่งทุกอย่าง ตราบใดที่ถนนยังเปิดสำหรับเจ้า เจ้าก็ควรจะก้าวเดินต่อไป”


 


หลังจากนั้นอี๋ซาก็หันหลังและเดินจากไป เธอเมินเฉยต่อหานเซิ่นและหายตัวไปจากดาวอุปราคา


 


หานเซิ่นขมวดคิ้ว อี๋ซาไม่ได้บอกอะไรเขามากนัก แต่หานเซิ่นก็พอจะเข้าใจว่าเธอหมายความว่าอะไร


 


เธอรู้ว่าการเดินทางของเธอเป็นอะไรที่อันตราย และมันก็มีโอกาสที่เธอจะตายได้ แต่มันเป็นความเสี่ยงที่เธอยินดีจะก้าวเดินไปเพื่อโอกาสจะได้เป็นเทพเจ้า


 


ตัวตนของอี๋ซาทำให้หานเซิ่นรู้สึกปลอดภัย ขณะที่เขาอยู่อาศัยภายในแนร์โรว์มูน ในตอนที่เธอยังอยู่ มันไม่มีใครกล้าแตะต้องเขา ของที่เป็นของเขาก็ยังคงเป็นของเขา


 


แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินได้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรถ้าอี๋ซาไม่อยู่แล้ว ถ้าอี๋ซาวิวัฒนาการได้สำเร็จ มันก็จะเป็นอะไรที่วิเศษมากๆ แต่ถ้าเธอทำไม่สำเร็จและข่าวมาถึงหูหานเซิ่น มันก็ถือเป็นอะไรที่เลวร้ายสำหรับหานเซิ่นเช่นกัน


 


อี๋ซามาบอกเรื่องทั้งหมดกับเขา ก็เพราะว่ามันคือตัวเลือกที่เขาจำเป็นต้องเลือก คนเราจำเป็นต้องสูญเสียบางอย่างไปเพื่อให้ได้บางอย่างมา นั่นคือสิ่งที่เธอจะบอก


 


“นี่เธอคิดจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างภายในแนร์โรว์มูนให้กับเราอย่างนั้นหรอ?” จู่ๆหานเซิ่นก็ดีใจขึ้นมา


 


ด้วยชื่อเสียงของอี๋ซา เธอต้องมีทรัพย์สินมากมายภายในแนร์โรว์มูน ถ้าเขาสามารถครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ การพัฒนาสู่ระดับราชันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย


 


แต่หานเซิ่นเป็นศิษย์ของอี๋ซา จากกฎของรีเบทแล้ว เขาไม่ได้มีคุณสมบัติในการรับสมบัติของเธอไปครอบครอง เพราะทรัพย์สินส่วนใหญ่ของอี๋ซาจริงๆแล้วเป็นของรีเบท ด้วยเหตุนั้นถ้าเธอตายไป ทรัพย์สินทั้งหมดก็จะกลับไปเป็นของรีเบท มันมีทรัพย์สินไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เป็นของเธอจริงๆ เขาอาจจะเป็นคนที่ใกล้เคียงที่สุดกับทายาทที่เธอมี แต่นั่นไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก


 


หานเซิ่นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสามารถควบคุมทรัพยากรส่วนตัวของเธอได้หรือไม่ เพราะหลังจากที่เธอตาย รีเบทก็คงจะไม่ยอมปล่อยให้ทรัพย์สมบัติของอี๋ซาตกไปอยู่ในมือของคนนอกคนหนึ่ง


 


แน่นอนว่าก่อนที่อี๋ซาจะเดินทางไปหาเอ็กซ์ตรีมคิง เธอได้วางแผนการสำหรับแนร์โรว์มูนเอาไว้แล้ว แต่หานเซิ่นไม่ได้รับทรัพยากรอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่มีปากเสียงอะไรในเรื่องทั้งหมดนี้


 


แต่มันก็ไม่ใช่ว่าอี๋ซาจะจากไปโดยไม่ทิ้งอะไรให้เขาเลย แต่สิ่งที่อี๋ซามอบให้ทำให้หานเซิ่นรู้สึกสับสน


 


“ผู้พิทักษ์ตำหนักเย็น” หานเซิ่นพึมพำขณะที่จ้องมองแผ่นหยกในมือด้วยความสับสน


 


แผ่นหยกสีขาวมีขนาดพอๆกับฝ่ามือ และดูเหมือนมันจะถูกปั้นขึ้นมาจากน้ำแข็ง คำว่าผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นถูกเขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรสีแดง


 


หานเซิ่นรู้ว่ามันเป็นบัตรประจำตัวหรืออะไรทำนองนั้น อี๋ซายังคงทิ้งโน๊ตไว้ให้กับเขาด้วยเช่นกัน เขาจึงได้รู้ว่ามันเป็นบางสิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้เพื่อเข้าไปในสถานที่ที่ชื่อตำหนักเย็น


 


“ตำหนักเย็นเป็นสถานสำหรับผู้ชายที่เป็นของเล่นของผู้หญิงที่หมดประโยชน์แล้ว?” ขณะที่หานเซิ่นคำนึงถึงความเป็นไปได้นั้น จิตใจของเขาก็นึกไปถึงภาพของชายในชุดที่เปิดเผยกำลังนั่งอยู่รอบๆห้องขณะที่กำลังเช็ดน้ำตาของตัวเอง ซึ่งทำให้หานเซิ่นรู้สึกไม่ดีขึ้นมา


 


“มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้ ฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่อี๋ซาเล่นกับผู้ชายมาก่อน ฉันต้องไปดูตำหนักเย็นด้วยตัวเอง” หานเซิ่นส่ายหัวและพยายามขจัดภาพประหลาดที่เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ออกไป


 


ตำหนักเย็นอยู่บนดวงดาวของอี๋ซา ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงต้องเก็บข้าวของและเดินทางไปที่ดาวเบลด


 


หานเซิ่นอยากจะพาเป่าเอ๋อไปด้วย แต่โน๊ตที่อี๋ซาแนบเอาไว้บอกว่ามีแค่คนที่ถือแผ่นหยกอยู่เท่านั้นที่เข้าไปได้ สิ่งมีชีวิตอื่นจะถูกฆ่าทันทีที่ถูกเห็น


 


นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกสงสัยอย่างมาก จริงๆแล้วตำหนักเย็นมันคืออะไร และทำไมอี๋ซาถึงได้ต้องการให้เขากลายเป็นผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นกันแน่? 

 

 


ตอนที่ 2170

 

“ราชินีแห่งมีดให้หานเซิ่นขึ้นไปเป็นผู้พิทักษ์ตำหนักเย็น นั่นเห็นได้ชัดว่ามันจะช่วยให้เขาได้รับผลประโยชน์ที่ต้องการ” เสียงของราชาไนท์ริเวอร์ดังสนั่นห้องประชุมฟูลมูน


 


“ราชินีแห่งมีดเป็นผู้พิทักษ์ตำหนักเย็น นางถูกเรียกให้ไปที่เอ็กซ์ตรีมคิง อย่างนั้นแล้วมันก็สมเหตุสมผลที่ศิษย์ของนางจะต้องทำหน้าที่แทน” ราชาแบล็คมูนตอบด้วยเสียงที่ดังทัดเทียมกัน


 


“มีเพียงแค่รีเบทที่เก่งกาจที่สุดเท่านั้น ถึงจะได้รับหน้าที่ของผู้พิทักษ์ตำหนักเย็น ถ้าราชินีแห่งมีดทำหน้าที่ต่อไปไม่ได้อีก ราชันอีกคนก็ควรถูกเลือกขึ้นมาแทน การที่ให้มาร์ควิสคนหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม”


ราชาไนท์ริเวอร์หันไปมองราชากงล้อจันทราและพูด “ราชากงล้อจันทรา เจ้าเองก็คิดว่าพวกเราควรจะเลือกราชันคนหนึ่งมาแทนที่หานเซิ่นใช่ไหม?”


 


ราชากงล้อจันทราพูดขึ้นมา “ในตอนนี้ราชินีแห่งมีดยังคงรับหน้าที่ผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นอยู่ มันจะเป็นอะไรที่ไม่สมควร ถ้าพวกเราไปแทรกแซงการตัดสินใจของนาง”


 


“ทำไมมันถึงไม่สมควร? ผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นควรจะเป็นระดับราชัน หานเซิ่นยังเป็นแค่มาร์ควิสเท่านั้น ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นล่ะ? เพื่อปกป้องอนาคตของทั้งเผ่าพันธุ์ คนที่ระดับต่ำกว่าราชันไม่ควรได้รับหน้าที่นั้น” ราชาไนท์ริเวอร์พูด


 


“นั่นก็ฟังดูสมเหตุสมผล” ราชาชาโดว์พูด


 


ราชาฟลาวเวอร์ไม่มีความเห็นอะไร


 


ราชาแบล็คมูนหัวเราะขึ้นมา “ราชาไนท์ริเวอร์ เจ้าจะไม่รีบร้อนเกินไปอย่างนั้นหรอ หานเซิ่นแค่รับหน้าที่แทนราชินีแห่งมีดชั่วคราวเท่านั้น ถ้าเจ้าด่วนใจร้อนไปเปลี่ยนแปลงมัน ในตอนที่นางกลับมา เจ้าจะอธิบายกับนางอย่างไง”


 


“ข้าคือราชาไนท์ริเวอร์ ข้าไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ข้าแค่ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้เผ่ารีเบทเท่านั้น ถึงแม้ราชินีจะมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ข้าก็จะคัดค้านในเรื่องนี้อยู่ดี” ราชาไนท์ริเวอร์พูด


 


“จริงๆอย่างนั้นหรอ? ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่คัดค้านในตอนที่นางเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาตั้งแต่แรกล่ะ?”


ราชาแบล็คมูนพูดด้วยรอยยิ้ม “หรือเจ้าคิดจริงๆว่านางจะไม่มีวันกลับมาจากระบบเคโอติกน่ะ? นั่นคือเหตุผลที่ตอนนี้เจ้ากล้าพูดขึ้นมาใช่ไหม? อย่าลืมไปว่ามันมีโอกาสที่นางจะไม่ตาย และถ้านางกลับมา นางจะกลับมาในฐานะเทพเจ้า ถ้าเกิดนางกลับมาและเห็นว่าศิษย์ของนางถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมล่ะก็ เจ้าก็รู้ว่าสินะว่าด้วยนิสัยของนางแล้ว นางจะทำอะไร”


 


“ข้าก็แค่เป็นห่วงเผ่าพันธุ์รีเบทเท่านั้น” ราชาไนท์ริเวอร์ยังคงโต้เถียง แต่ตอนนี้เสียงของเขาฟังดูอ่อนลงมาก


 


“ถ้าราชินีแห่งมีดเลือกให้หานเซิ่นทำหน้าที่แทนนาง อย่างน้อยๆพวกเราก็ควรให้เขาลองดูก่อน ถ้าเขาทำงานได้ไม่ดี ถึงตอนนั้นค่อยเปลี่ยนก็ได้? แบบนั้นพวกเจ้าคิดว่ายังไง?” ราชากงล้อจันทรามองไปที่ราชาฟลาวเวอร์และคนอื่นๆ


 


ราชาฟลาวเวอร์ยิ้มและพูด “ข้าไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ แต่ถ้าหานเซิ่นล้มเหลวในฐานะผู้พิทักษ์ มันก็จะไม่ใช่ความผิดของข้า”


 


“ข้าเห็นด้วย” ราชาชาโดว์พูด


 


ราชาแบล็คมูนก็ไม่คัดค้านเช่นเดียวกัน


 


สีหน้าของราชาไนท์ริเวอร์นั้นดูมัวหมอง แต่เขาไม่ได้พูดอะไร


 


2 วันหลังจากที่อี๋ซาจากไป หานเซิ่นก็มาที่ดาวเบลด ดยุกวิหคหิมะเป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างในช่วงที่อี๋ซาไม่อยู่ และเธอก็ถูกสั่งให้คอยช่วยเหลือเขา


 


เมื่อหานเซิ่นได้เห็นดยุกวิหคหิมะ เขาก็รู้สึกตกใจ เพราะดยุกวิหคหิมะดูเหมือนกับดยุกวิหคน้ำแข็งไม่มีผิด แม้แต่ใบหน้าของพวกเธอก็ดูเย็นชาเหมือนกัน


 


ดยุกวิหคน้ำแข็งยังคงถูกขังอยู่ในสถานล้างบาปแห่งสรวงสวรรค์ ที่ที่หานเซิ่นยังขังเธอเอาไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับของสถานล้างบาปแห่งสรวงสวรรค์และตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกแพร่งพรายออกไป ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขังเธอเอาไว้ในนั้น


 


ตอนนี้เมื่อดยุกวิหคหิมะมายืนอยู่ต่อหน้า มันก็ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ


 


ดยุกวิหคหิมะเป็นคนที่ความรู้สึกไวต่อเรื่องแบบนี้ และเธอก็สังเกตเห็นถึงความลำบากใจของหานเซิ่น แต่เธอเข้าใจผิดถึงสิ่งที่ทำให้เขาลำบากใจ


 


“หยุดสงสัย ดยุกวิหคน้ำแข็งคือน้องสาวของข้า”


 


“อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะพวกเจ้าถึงได้ดูคล้ายคลึงกันขนาดนี้”


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ถามต่อ “แต่ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนเลย?”


 


“ก่อนที่ราชินีแห่งมีดจะรับเจ้ามาเป็นลูกศิษย์ ข้าได้ถูกส่งไปทำงาน ข้าเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน แน่นอนว่าพวกเราไม่เคยเจอกัน”


ดยุกวิหคหิมะดูเหมือนไม่อยากจะพูดกับหานเซิ่นไปมากกว่านี้ “ตามข้ามา ท่านราชินีบอกให้ข้าพาเจ้าไปที่ตำหนักเย็น”


 


หานเซิ่นสังเกตเห็นความห้วนๆของเธอ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ตามดยุกวิหคหิมะไปจนถึงประตูหลังปราสาท


 


“ตำหนักเย็นไม่ได้อยู่ในปราสาทงั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


“ไม่” ดยุกวิหคหิมะตอบอย่างไร้อารมณ์


 


หานเซิ่นถามเพื่อจะชวนเธอคุย แต่เมื่อเห็นอย่างนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา เขาตามหลังดยุกวิหคหิมะไปจนถึงภูเขาที่อยู่หลังปราสาท


 


ในขณะที่หานเซิ่นกำลังสงสัยว่าตำหนักเย็นอยู่ที่ไหนกันแน่ ดยุกวิหคหิมะก็มาหยุดอยู่ที่ตีนเขา


 


“นั่นคือที่ที่เจ้าจำเป็นต้องเข้าไป ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ ดังนั้นการนำทางของข้าจึงจบเพียงแค่นี้”


ดยุกวิหคหิมะชี้ไปยังน้ำตกบนภูเขาที่ใกล้ๆมีบ้านตั้งอยู่ มันดูจะถูกสร้างขึ้นมาจากก้อนหิน แต่มันเล็กจนน่าประหลาดใจ


 


เมื่อมองดูประตูหินแล้ว มันก็ดูเหมือนว่าหานเซิ่นต้องโค้งตัวครึ่งหนึ่งเพื่อไม่ให้หัวไปโขกกับคานประตู


 


บ้านหินเก่าๆนั้นทำให้หานเซิ่นรู้สึกสับสน “นั่นน่ะหรอตำหนักเย็น?”


 


หานเซิ่นคิดว่ากระท่อมน้อยๆนี้ไม่มีทางเป็นตำหนักเย็นไปได้ แต่ป้ายเหนือบานประตูอ่านได้ว่าตำหนักเย็น


 


“ท่านราชินีสั่งให้เจ้ามาที่นี่ทุกวันที่ 1 และ 15 ของเดือนเพื่อปกป้องทางเข้าของตำหนักเย็น เจ้าจะต้องปกป้องมันตลอด 24 ชั่วโมง และนอกจากเวลานั้นแล้วเจ้าจะทำอะไรก็ได้ แต่ห้ามล้าช้าเมื่อถึงเวลาที่ต้องปกป้องที่นี่เป็นอันขาด” หลังจากนั้นดยุกวิหคหิมะก็หันหลังและเดินจากไป


 


หานเซิ่นไม่มีทางเลือก นอกจากปีนขึ้นน้ำตกไปตามลำพัง น้ำตกนั้นดูงดงามและกว้างมากๆ มันให้ความรู้สึกราวกับว่าทั้งกาแล็กซี่ตกลงมาจากอวกาศด้านบน เสียงของน้ำดังลั่นจนหูอึ้ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ปกคลุมด้วยกลิ่นหอมของทุ้งหญ้า


 


แต่ทว่าเมื่อหานเซิ่นเข้าไปใกล้กับบ้านหิน เขาก็สังเกตได้ว่าอุณหภูมิต่ำลงอย่างมาก มันไม่ได้มีผลกระทบต่อเขา แต่มันก็เป็นอะไรที่เหมาะสมกับชื่อตำหนักเย็น


 


หานเซิ่นมองไปที่บ้านหิน แต่เขาไม่ได้เห็นอะไรที่ผิดปกติ นอกจากอุณหภูมิที่ต่ำแล้ว มันก็ดูเหมือนกับบ้านธรรมดาๆ มันดูเก่าเหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่ แต่นอกจากนั้นแล้วมันก็ดูไม่มีอะไรพิเศษ


 


“ทำไมบ้านหินถึงได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่โดยไม่มีแม้แต่รั้วกั้น? และอะไรกันแน่ที่อยู่ภายใน?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัย


 


แต่วันนี้ไม่ใช่ทั้งวันที่ 1 หรือวันที่ 15 ของเดือน ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะอยู่ที่นี่ เขามองกลับไปในเส้นทางที่เข้ามาเพื่อจดจำมัน หลังจากนั้นเขาก็เตรียมที่จะออกไปจากที่นั่น


 


แต่ในตอนที่เขากำลังจะเดินลงจากภูเขานั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่น่าสะพรึงกลัว ร่างกายของเขาตื่นตัวขึ้นมาขณะที่มองลงไปที่ตีนเขา


 


มีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา ขณะที่มันดูเหมือนว่าเขากำลังเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย พลังที่เขาแบกอยู่นั้นเป็นเหมือนกับคลื่นสึนามี ทุกก้าวของเขารู้สึกน่าเกรงขาม 

 

 


ตอนที่ 2171

 

หานเซิ่นหลี่ตา ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวของคนๆนั้นมากพอที่จะบดขยี้แม้แต่ก้อนหินที่แข็งแกร่งที่สุด


 


ขณะที่คนๆนั้นเดินเข้ามา หานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าเปลี่ยนสีไป ตัวตนของคนๆนั้นกำลังคุกคามเขาซ้ำๆราวกับคลื่นที่ไม่มีวันหยุด


 


“เจ้าเป็นใครกัน?” หานเซิ่นถามออกมาขณะที่มองร่างของคนที่กำลังเดินเข้ามา


 


หานเซิ่นยังคงยืนตรง เขาปักหลักอยู่ที่เดิมราวกับว่าพลังนั้นไม่ได้มีผลกับเขาเลยสักนิดเดียว


 


คนๆนั้นยังคงค่อยๆเดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไร และทุกก้าวของเขาก็ตามมาด้วยเสียงของหินที่แตกเป็นชิ้นๆใต้เท้าของเขา


 


เสียงฝีเท้าที่เบาหวิวดังสนั่นในหูของหานเซิ่น มันส่งผลให้เกิดการระเบิดภายในหัวของหานเซิ่น มันทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงยิ่งไปกว่าเดิม


 


เงานั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าเป็นเหมือนกับระเบิดลูกโซ่ที่ระเบิดในหัวของหานเซิ่นตามกันไปทีละลูก นอกจากนั้นแล้วตัวตนของอีกฝ่ายก็ดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆในทุกก้าว


 


หานเซิ่นมองไปที่ร่างๆนั้นและสังเกตเห็นว่าคนๆนั้นมีความสูงที่ใกล้เคียงกับเขา แต่ในสายตาของหานเซิ่นแล้ว คนๆนั้นดูยิ่งใหญ่กว่าเขามาก เขาความรู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นเทพเจ้าที่ทอดเงาเหนือตัวเขา ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับมดตัวหนึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว


 


หานเซิ่นรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพมายาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นคนๆนี้ก็สามารถใช้พลังได้ถึงระดับที่คนธรรมดาไม่มีทางต่อสู้กับมันได้


 


“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เผ่าพันธุ์รีเบทมียอดฝีมือแบบนี้อยู่?” หานเซิ่นสับสนกับตัวตนของคนๆนี้


 


ร่างกายและตัวตนของคนๆนั้นเป็นอะไรที่น่ากลัวอย่างมาก แต่พลังชีวิตของเขาดูจะไม่ใช่ระดับราชัน อย่างมากเขาก็เป็นแค่ระดับดยุกเท่านั้น แต่หานเซิ่นไม่สามารถนึกถึงใครคนไหนภายในแนร์โรว์มูนที่มีออร่าที่น่ากลัวขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นระดับดยุก


 


คนๆนั้นยังคงเดินตรงเข้ามา แต่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนตัวตนที่น่ากลัวของเขาก็ไม่สามารถข่มขู่ให้หานเซิ่นหวาดกลัวได้ ในที่สุดคนๆนั้นก็หยุดเดินเมื่ออยู่ห่างจากหานเซิ่นไปสิบก้าว เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้นและจ้องมองมาที่เขา


 


ตอนนี้หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายจริงๆแล้วเป็นผู้หญิง เธอสวมใส่ชุดเกราะและหมวกสีดำ ใบหน้าของเธอจะถูกปิดบังด้วยหน้ากากที่เธอสวมอยู่ ยกเว้นดวงตาสีทองที่เปล่งประกายออกมาจากหน้ากาก แต่มันเห็นได้ชัดว่าเธอเป็นผู้หญิง เมื่อดูจากส่วนโค้งของชุดเกราะ


 


เธอสูงพอๆกับหานเซิ่น และขาที่เรียวยาวของเธอดูเป็นอะไรที่น่าดึงดูดอย่างมาก


 


แต่สายตาของหานเซิ่นไม่ได้ถูกดึงดูดไปที่ดวงตาหรือขาของเธอ จริงๆแล้วเขากำลังมองไปที่มือข้างซ้ายของเธอ


 


มือข้างขวาของเธอถูกห่อหุ้มด้วยถุงมือเกราะ แต่ทว่ามือข้างซ้ายของเธอเป็นมือเปล่าๆที่ไม่ได้สวมใส่อะไร ผิวมือของเธอดูขาวบริสุทธิ์ นิ้วมือของเธอดูเรียวยาว และเล็บของเธอก็ละเอียดอ่อนราวกับคริสตัล


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้มองเพื่อชื่นชมความงามของมัน ที่เขามองมันก็เพราะพลังที่หมุนวนอยู่ในฝ่ามือของเธอ มันเป็นพลังที่เขาไม่สามารถหาคำอธิบายได้


 


โดยที่ไม่มีแสงแห่งเทพที่น่าตกใจหรือเปลวไฟที่น่ากลัว จู่ๆมือของเธอก็กุมเป็นหมัดที่สง่างามและชกออกไปใส่หานเซิ่น ดวงตาของหานเซิ่นจับจ้องไปยังหมัดที่กำลังตรงเข้ามาหาเขา


 


ขณะที่หมัดกำลังพุ่งเข้ามาหาหานเซิ่น ร่างกายของเขาก็สั่นไหว แต่เขาไม่ได้สั่นด้วยความกลัว เขาสั่นเนื่องจากเปิดใช้พลังทั้งหมดภายในตัว


 


หลังการสั่นไหว พลังทั้งหมดของหานเซิ่นก็พรั่งพรูขึ้นมา


 


แรงกดดันที่หานเซิ่นรู้สึกจากหมัดที่กำลังเข้ามา ทำให้เขาพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ การยืนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงชุดเกราะสีดำคนนี้ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรง


 


แต่หานเซิ่นไม่มีเจตนาจะหลบหลีก เมื่อหมัดนั้นถูกชกเข้ามา มันก็รู้สึกราวกับว่าทุกซอกทุกมุมเต็มไปด้วยพวกมัน หมัดนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง


 


แต่แน่นอนว่าหานเซิ่นไม่มีแผนจะหนี เขากำมือขวาเป็นกำปั้นและชกหมัดกลับไปใส่อีกฝ่าย


 


เปลวไฟที่นำพาหมัดไปนั้นดูเหมือนกับปีศาจ พวกมันถูกย้อมด้วยพลังเขี้ยวที่น่ากลัว ขณะที่พุ่งตรงไปปะทะกับหมัดของผู้หญิงในชุดเกราะ


 


หมัดของทั้งคู่ปะทะกัน แต่พลังภายในหมัดของหานเซิ่นแตกสลาย และหมัดหยกก็ชนเข้ากับหมัดของหานเซิ่นด้วยแรงมหาศาล


 


ตูม!


 


หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังที่ไร้ขีดจำกัดจากหมัดหยกนั้น มันเป็นเหมือนกับซูเปอร์โนวาที่ปลดปล่อยแรงมหาศาลออกมา จนทำให้หานเซิ่นกระเด็นออกไป


 


หานเซิ่นใช้ขาของตัวเองลากผ่านหินและดินเพื่อพยายามทรงตัว แต่พลังที่ส่งเขากระเด็นออกไปนั้นรุนแรงเกินไป ขาของเขาลากไปกับพื้นเป็นระยะทางไกลหลายร้อยเมตรจนกระทั่งไปชนเข้ากับกำแพงหิน


 


และในขณะที่กำแพงหินถล่มลงมา หานเซิ่นก็ยังคงยืนอยู่ได้ แต่มือขวาของเขาได้รับบาดเจ็บ กระดูกแตกร้าว


 


“เจ้าเป็นใครกัน?” หานเซิ่นถามผู้หญิงในชุดเกราะอีกครั้ง


 


หมัดของผู้หญิงในชุดเกราะเป็นอะไรที่แปลกประหลาด มันหมือนเป็นบางสิ่งที่ไร้เทียมทาน ซึ่งแม้แต่บางคนที่แข็งแกร่งอย่างหานเซิ่นก็ไม่สามารถทนต่อพลังที่มันปลดปล่อยออกมาได้


 


หลังจากที่หานเซิ่นรับหมัดนั้น เขาก็รู้ตัวว่าผู้หญิงที่น่าสะพรึงกลัวคนนี้จริงๆแล้วเป็นเพียงแค่มาร์ควิสคนหนึ่งเหมือนกับเขา


 


ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นประหลาดใจอย่างมาก เพราะด้วยพลังที่เธอมีอยู่ มันก็เป็นไปได้สูงมากที่เธอจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าไผ่เดียวดายซะอีก


 


หานเซิ่นคิดว่าอาจจะต้องตอบโต้ด้วยเบรกซิกซ์สกาย นั่นน่าจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาต่อสู้กับหมัดของเธอได้อย่างมีประสิทธิภาพ


 


“เจ้าทนหมัดเอ็กซ์ตรีมคิงไฟนอลของข้าได้อย่างนั้นหรอ? ไม่แปลกใจเลยที่ผู้คนบอกว่าเก่งกาจทัดเทียมกับไผ่เดียวดาย เจ้าผ่าน”


ดวงตาสีทองของผู้หญิงในชุดเกราะจ้องมาที่หานเซิ่น เสียงของเธอเย็นชา แต่มันก็ยั่วยวนใจมากๆเช่นกัน “ข้าจะมอบโอกาสในการเป็นหนึ่งในอัศวินให้กับเจ้า”


 


“เจ้าเป็นคนของเอ็กซ์ตรีมคิง?” หานเซิ่นมองผู้หญิงในชุดเกราะด้วยความตกใจ


 


“ใช่” ผู้หญิงในชุดเกราะตอบ


 


“นี่เจ้าเดินทางมาถึงที่นี่ก็เพื่อสร้างปัญญากับให้ข้าเนี่ยนะ?” หานเซิ่นถาม


 


ผู้หญิงในชุดเกราะตอบอย่างไร้โทนเสียง “ข้ามาที่นี่ด้วยธุระเกี่ยวกับอี๋ซา ข้ากำลังจะจากไป แต่ข้าได้ยินว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ดังนั้นข้าจึงมาเพื่อดูบุคคลที่ถูกบอกว่าแข็งแกร่งเทียบเท่ากับไผ่เดียวดาย เจ้าจะต้องผ่านอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงอยากยื่นคำเชิญให้กับเจ้า”


 


“ต้องขอโทษด้วย แต่ข้ายังไม่มีแผนที่จะทอดทิ้งแนร์โรว์มูน”


หานเซิ่นยังคงระมัดระวังตัวตลอดขณะที่พูดออกมา เขาเตรียมตัวสำหรับความเป็นไปได้ที่เธออาจจะโจมตีเขาอีกครั้ง


 


แต่ผู้หญิงในชุดเกราะไม่มีแผนจะทำแบบนั้น เมื่อหานเซิ่นปฏิเสธ เธอก็หันหลังและเดินจากไป


 


หานเซิ่นมองดูเธอเดินจากไปขณะที่เส้นผมสีทองยาวปลิวไสวด้านหลังของเธอ แต่ภาพของเธอย้อมไปด้วยความโศกเศร้าราวกับจะบอกหานเซิ่นว่าเขาไม่รู้ตัวว่าเพิ่งจะพลาดอะไรไป


 


‘เป็นผู้หญิงที่ยิ่งยโสอะไรขนาดนี้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง 

 

 


ตอนที่ 2172

 

หลังจากที่เดินทางออกจากดาวเบลด หานเซิ่นก็ไม่ได้เห็นผู้หญิงคนนั้นอีก เขาไปถามแบล็คสตีลเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น และเขาก็ถูกบอกว่าเอ็กซ์ตรีมคิงส่งคนมาที่นี่จริงๆ แต่นอกจากราชากงล้อจันทราและราชาคนอื่นๆแล้ว ไม่มีใครเคยได้พบกับเธอมาก่อน ด้วยเหตุนั้นตัวตนของเธอจึงยังปริศนาสำหรับพวกเขา


 


ตอนนี้หานเซิ่นเริ่มสนใจในเผ่าพันธุ์ที่ชื่อเอ็กซ์ตรีมคิงขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นหมัดที่ผู้หญิงคนนั้นใช้ พวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน แต่หมัดที่เธอปลดปล่อยออกมาเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง หานเซิ่นมีวิชาจีโนอยู่หลายตัว แต่เขาเชื่อว่ามีเพียงแค่วิชาเดียวที่สามารถต่อกรกับเธอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนั่นก็คือเบรกซิกซ์สกาย


 


ส่วนพลังของท่าตบขั้นสุดยอด หานเซิ่นใช้มันได้เฉพาะตอนที่เป็นดอลลาร์เท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะถูกจำได้ เพราะยังไงซะนั่นก็พลังประจำตัวของดอลลาร์


 


แต่หลังจากที่ได้เผชิญหน้ากันครั้งนั้น หานเซิ่นก็ไม่ได้เห็นผู้หญิงจากเอ็กซ์ตรีมคิงอีกเลย บางทีเธออาจจะไปจากแนร์โรว์มูนแล้ว


 


เมื่อใกล้จะถึงวันที่หนึ่งของเดือน หานเซิ่นก็เดินทางไปที่ตำหนักเย็น ถ้าอี๋ซาส่งให้เขามาจัดการเรื่องนี้ เขาก็รู้ว่ามันเป็นบางสิ่งที่สำคัญ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่อยากจะไปสาย


 


หานเซิ่นเลือกนั่งลงบนระเบียงหน้าบ้านหิน บริเวณระเบียงค่อนข้างสะอาดราวกับว่ามีคนมาอยู่บ่อยๆ มันสะอาดกว่าตัวบ้านหินมาก และมันก็เหมือนกับว่าอี๋ซาเองก็นั่งลงตรงนี้เช่นกัน ในตอนที่เธอเป็นคนทำหน้าที่เฝ้าบ้านหินหลังนี้


 


ขณะที่หานเซิ่นนั่งลงบนระเบียงและรอให้ถึงวันใหม่ เขาก็สังเกตไปที่ประตูหิน แต่เขามองไม่เห็นอะไรภายในตัวบ้าน


 


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ และในที่สุดเข็มนาฬิกาก็ชี้ไปที่เลข 12 หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกว่าอุณหภูมิต่ำลงอย่างกะทันหัน


 


หานเซิ่นมองไปที่บ้านหินและสังเกตเห็นว่าลมหนาวออกมาจากตัวบ้าน


 


แต่ไม่ว่าอุณหภูมิจะลดลงมากแค่ไหน มันก็ไม่มีน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนกำแพง และบ้านหินก็ยังดูเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน


 


ขณะที่หานเซิ่นสังเกตด้วยความสงสัย ประตูของบ้านหินก็เปิดออกอย่างไร้เสียงใดๆ มันเผยให้เห็นทางเข้าที่เหมือนกับถ้ำที่มืดสนิท


 


เมื่อหานเซิ่นมองเข้าไปข้างใน เขาก็รู้สึกตัวว่ามันเป็นถ้ำจริงๆ มันมีถ้ำอยู่ภายในบ้านหินและความหนาวเย็นก็ออกมาจากความมืดมิดนั้น


 


ตอนนี้ความหนาวเย็นซัดออกมาจากประตูราวกับคลื่น มันแช่แข็งแม่น้ำและน้ำตกที่อยู่ใกล้ๆในทันที


 


‘นั่นเป็นลมหนาวที่ทรงพลังมาก’ หานเซิ่นตกตะลึง ขณะเดียวกันแผ่นหยกผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นก็เริ่มเรืองแสงออกมา มันปกป้องเขาจากความหนาวเย็น


 


หานเซิ่นอยากจะใช้ลมหนาวเพื่อฝึกวิชากายหยก แต่แผ่นหยกกีดขวางลมหนาวจากการสัมผัสตัวของเขา หานเซิ่นอยากจะโยนแผ่นหยกทิ้งไป แต่จู่ๆก็มีเสียงดังออกมาจากในถ้ำหิน


 


หานเซิ่นหันมองไปถ้ำหิน แต่มันมืดสนิทจนแม้แต่สายตาของหานเซิ่นก็มองอะไรไม่เห็น


 


แต่เขายังคงได้ยินเสียงบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายในความมืด ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานก็มีตัวอะไรบางอย่างออกมาจากความมืด มันมีความสูงเพียงแค่ครึ่งเมตรเท่านั้น


 


หานเซิ่นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ขณะที่พยายามจะคาดเดาว่ามันคืออะไร น่าแปลกที่เจ้าสิ่งนั้นดูเหมือนกับคางคกที่ทำมาจากหยกสีเขียว


 


กลุ่มสัญลักษณ์สีแดงสลักอยู่บนของมัน ร่างกายของมันดูหนาวเย็นมากๆ และเมื่อมันปรากฏตัวออกมา อุณหภูมิก็ต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างรอบๆตัวมันปกคลุมด้วยน้ำแข็งในทันที ทั้งภูเขา แม่น้ำ พืช ต้นไม้และสัตว์ทั้งหมดถูกแช่แข็งไป มันดูเหมือนกับว่าแม้แต่อวกาศและกาลเวลาก็ถูกแช่แข็งเช่นกัน ทั้งโลกเงียบสงัดไปเมื่อเจ้าคางคกปรากฏตัวออกมา แม้แต่สายลมก็หยุดไป


 


ที่หานเซิ่นยังเคลื่อนไหวได้ นั่นเป็นเพราะแผ่นหยกผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นคอยปกป้องเขาจากพลังอันหนาวเย็น


 


หานเซิ่นรู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นมัน “มันเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าหรอเนี่ย? ไม่รู้มาก่อนเลยว่าในแนร์โรว์มูนมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าอยู่ด้วย บางสิ่งที่ทรงพลังถึงขนาดนี้รับใช้แนร์โรว์มูนจริงๆอย่างนั้นหรอ?”


 


ขณะที่หานเซิ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับตัวตนของมัน เจ้าคางคกสีเขียวก็ออกมาบ้านหินอย่างเต็มตัว มันดูเป็นตัวอะไรที่ลื่นไหล ขณะที่มันสไลด์ออกมาจากประตูและหันมามองที่หานเซิ่น แต่เมื่อมันสังเกตเห็นแผ่นหยกผู้พิทักษ์ตำหนักเย็น มันก็เลิกสนใจเขาและเดินออกไปทางน้ำตก


 


หานเซิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ‘โชคดีที่เราไม่ได้โยนแผ่นหยกทิ้งไปซะก่อน ไม่รู้ว่าวิชากายหยกจะต้านทานพลังหนาวเย็นนี้ได้หรือเปล่า และอีกอย่างเจ้าตัวนี้ก็ดูเหมือนจะจดจำแผ่นหินได้ ฉันเดาว่ามันคงจะฆ่าทุกคนที่ไม่มีแผ่นหยกนี้อยู่ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทุกคนจำเป็นต้องมีแผ่นหยกเพื่อมาที่นี่’


 


คางคกหยกกระโดดลงไปในน้ำตก และน้ำแข็งรอบๆตัวของมันก็เริ่มจะละลาย


 


ในชั่วพริบตาก็มีแอ่งน้ำเกิดขึ้นรอบๆตัวเจ้าคางคก แต่น้ำตกยังคงเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นมันจึงไม่มีน้ำไหลลงมา


 


หลังจากนั้นเจ้าคางคกสีเขียวก็ดำลงไปในน้ำและหายตัวไป


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าแอ่งน้ำลึกมากแค่ไหน เขาเห็นแค่หนึ่งร้อยเมตรแรกเท่านั้น เขาไม่รู้ว่ามันมีอะไรอยู่ที่ก้นบึ้ง


 


หลังจากที่เจ้าคางคกดำลงไปในน้ำ มันก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับออกมา หานเซิ่นถูกเลือกให้มาเฝ้าที่นี่ แต่เขาไม่รู้ว่าเจ้าคางคกนั้นจะกลับออกมาเมื่อไหร่


 


‘อี๋ซาต้องการให้เรามาเฝ้าที่นี่ แต่ทำไมกัน เพื่อให้เรามองดูคางคกตัวหนึ่งดำลงไปในน้ำอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดนี้ แต่เขายังหาข้อสรุปที่สมเหตุสมผลไม่ได้


 


“ช่างเถอะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เจ้าคางคกนั้นจะกลับมาออกมา ดังนั้นเราควรจะใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์” หานเซิ่นเริ่มใช้วิชากายหยกและร่างกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง หลังจากนั้นเขาก็วางแผ่นหยกลงข้างๆตัว


 


ทันทีที่หานเซิ่นปล่อยมือจากแผ่นหยก เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่แท้จริงของลมหนาว มันแช่แข็งร่างกายและเลือดของเขาในเวลาอันสั้น


 


หานเซิ่นรู้สึกตกใจกับพลังของมัน กายหยกระดับมาร์ควิสทำให้เขามีความสามารถในการแช่แข็งคนอื่น ด้วยเหตุนั้นการต้านทานต่อความหนาวเย็นของเขาควรจะสูงมากๆ แต่ตอนนี้เขาแทบจะไม่สามารถทนต่อเศษเสี้ยวของพลังอันหนาวเย็นที่เจ้าคางคกปลดปล่อยออกมาได้


 


“สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้านี่น่ากลัวจริงๆ” แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะกลายเป็นน้ำแข็งโดยสมบูรณ์ เขาก็รีบคว้าแผ่นหยกกลับขึ้นมา


 


แต่มันยังมีลมหนาวหลงเหลือในร่างกายของเขา พลังของแผ่นหยกเป็นเหมือนกับโล่ป้องกัน มันไม่สามารถขจัดลมหนาวที่อยู่ภายในตัวของเขาได้


 


หานเซิ่นรู้สึกหนาวมากๆ แขนขาของเขาเริ่มจะรู้สึกชาขึ้นมา เขารีบใช้กายหยกเพื่อขจัดความหนาวเย็นภายในร่างกาย 

 

 


ตอนที่ 2173

 

พลังในการแช่แข็งของคางคกระดับเทพเจ้าตัวนี้เป็นอะไรที่แปลกประหลาด ถึงแม้หานเซิ่นจะพยายามใช้วิชากายหยก แต่เขาก็ไม่สามารถลบล้างมันออกไปจากร่างกายได้


 


ถ้าไม่มีวิชากายหยกช่วยเสริมความทนทานต่อความหนาวเย็น มาร์ควิสคนไหนๆก็คงจะแข็งตายไปหมดแล้ว


 


แม้แต่หานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะหมดสติไป เขาพยายามใช้วิชากายหยกอย่างเต็มที่เพื่อขจัดอากาศอันหนาวเย็นออกไปจากร่างกาย


 


หานเซิ่นใช้วิชากายหยกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะกำจัดอากาศอันหนาวเย็นออกไป กระดูกและกล้ามเนื้อของเขากลายเป็นสิ่งที่โปร่งใสเหมือนกับหยก


 


ขณะที่หานเซิ่นกำลังขจัดพลังอันหนาวเย็นของคางคกออกไปนั้น เขาก็รู้สึกตัวว่าจริงๆแล้วเจ้าคางคกระดับเทพเจ้านั้นน่ากลัวมากแค่ไหน สิ่งที่หานเซิ่นกำลังรับมือเป็นอะไรที่มากกว่าแค่ความหนาวเย็น มันมีพลังธาตุอวกาศและกาลเวลาผสมอยู่ด้วย นี่เป็นพลังที่สามารถแช่แข็งสิ่งต่างๆในการเวลาได้ และถึงแม้นี่เป็นครั้งแรกที่หานเซิ่นเห็นอะไรแบบนี้ แต่เขาก็รู้ทันทีว่าเจ้าคางคกตัวนี้น่าสะพรึงกลัวขนาดไหน


 


หานเซิ่นใช้เวลากว่า 10 ชั่วโมงในการพยายามจะกำจัดลมหนาวของคางคกออกไป แต่เขาก็ยังไม่สามารถสามารถลบล้างพวกมันออกไปได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าดยุกธรรมดาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับหานเซิ่น พวกเขาก็คงจะตายไปแล้ว


 


หลังจากผ่านไป 20 ชั่วโมง ในที่สุดหานเซิ่นก็สามารถลบล้างความหนาวเย็นออกไปได้จนหมด และตลอดช่วงเวลานั้น เขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากสิ่งที่ต้องรับมือ


 


“ขั้นสุดท้ายของพลังน้ำแข็งไม่ใช่ว่าพวกมันหนาวเย็นได้แค่ไหน เราเคยใช้กายหยกเพื่ออัญเชิญโครงกระดูกหยกน้ำแข็ง ตอนนี้เมื่อลองมาคิดดูอีกที นั่นคือวิถีที่แท้จริงของกายหยก การฝึกฝนภายในก็อตแซงชัวรี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของศักยภาพที่แท้จริง มันเป็นเหมือนกับการเตรียมตัวล่วงหน้าเพื่อสิ่งต่างๆจะสำเร็จได้ง่ายขึ้นในอนาคต ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสร้างก็อตแซงชัวรี่ที่พิเศษขนาดนี้ มันยังคงมีปริศนามากเกินไป”


 


สิ่งมีชีวิตภายในก็อตแซงชัวรี่สามารถเก็บสะสมจีโนพ้อยขั้นสุดยอดเพื่อให้ได้รับร่างกายขั้นสุดยอดมา ร่างกายขั้นสุดยอดของหานเซิ่นถูกเรียกว่าราชาสปิริตขั้นสุดยอด ร่างกายขั้นสุดยอดของทุกคนจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งของแต่ละคนก็จะเป็นอะไรที่น่าประทับใจเหมือนกันหมด


 


สิ่งมีชีวิตไหนๆที่ออกมาจากก็อตแซงชัวรี่โดยที่เก็บจีโนพ้อยขั้นสุดยอดจนเต็มจะมีพรสวรรค์ที่สามารถเทียบได้กับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงในจักรวาลจีโน หรืออาจจะเหนือกว่าในบางด้านด้วยซ้ำ


 


“ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เป็นมนุษย์ แต่มอนสเตอร์และสปิริตที่ออกมาจากก็อตแซงชัวรี่ก็มีความแข็งแกร่งที่คล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงในจีโนฮอลล์ มันเป็นอะไรที่น่ากลัวเมื่อคิดถึง ใครก็ตามที่สร้างก็อตแซงชัวรี่ขึ้นมาต้องน่าสะพรึงกลัวมาก”


 


คางคกระดับเทพเจ้าตัวนั้นยังคงไม่กลับออกมา ดังนั้นหานเซิ่นจึงใช้วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงเพื่อมองดูพลังหนาวเย็นของมัน และดูว่าเขาจะสามารถวิเคราะห์อะไรได้บ้าง


 


มันเป็นเรื่องยากที่จะวิเคราะห์พลังของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า การวิเคราะห์จึงเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มันก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ และมันก็ทำให้เขาเข้าใจพลังน้ำแข็งยิ่งกว่าเดิมมาก


 


หลังจากที่ผ่านไป 24 ของวันแรก แอ่งน้ำก็เริ่มกระเพื่อมและคางคกระดับเทพเจ้าก็ออกมาจากแอ่งน้ำ หานเซิ่นมองดูคางคกระดับเทพเจ้าจนกระทั่งมันกลับเข้าไปในถ้ำหิน ก่อนที่เขาจะหันความสนใจกลับไปที่แอ่งน้ำ


 


หานเซิ่นใช้ดวงตาสีม่วงตรวจสอบน้ำของแอ่ง ในนั้นเขาได้เห็นพวกลูกอ๊อดหยกว่ายอยู่ พวกมันมีขนาดพอๆกับกำปั้น และพวกมันก็ว่ายไปรอบๆแอ่งน้ำราวกับมรกต


 


“ทายาทของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า?” หานเซิ่นค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น มันมีลูกอ๊อดหยกอยู่ 30-40 ตัว ซึ่งมันมากกว่าที่หานเซิ่นคาดคิด ถ้าพวกมันเติบโตขึ้น พวกมันทั้งหมดก็คงจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า มันเป็นอะไรที่น่ากลัวเมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น


 


แต่จักรวาลจีโนแตกต่างไปจากก็อตแซงชัวรี่ ทายาทของสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าจะมีเลือดที่ดีกว่า แต่ถ้าพวกมันต้องการกลายเป็นเทพเจ้าเหมือนกัน พวกมันก็ยังต้องเพิ่มระดับขึ้นอย่างช้าๆ การจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาตั้งแต่เกิด เพราะมันยังจำเป็นต้องใช้ความพยายามและโชค


 


เมื่อเจ้าคางคกระดับเทพเจ้ากลับเข้าไปในบ้านหิน ประตูของมันก็ปิดลง ขณะที่พวกลูกอ๊อดหยกยังคงว่ายไปมาในแอ่งน้ำอย่างร่าเริง


 


แม่น้ำและน้ำตกเริ่มจะละลาย หลังจากนั้นไม่นานพวกมันก็กลับมาไหลเวียนตามปกติ


 


ในที่สุดหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่างานของผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นไม่ใช่คอยปกป้องเจ้าคางคก แต่เป็นลูกอ๊อดของเจ้าคางคกต่างหากที่เขาต้องปกป้อง ขณะที่พวกมันกำลังว่ายไปมาภายในน้ำ


 


เมื่อเห็นว่าพวกลูกอ๊อดเริ่มว่ายขึ้นน้ำตกไป หานเซิ่นก็ใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อคอยจับตามองพวกเขา เขาไม่คิดจะปล่อยให้สิ่งมีชีวิตไหนมากินพวกมันได้


 


แต่หานเซิ่นคิดมากเกินไป เพราะทางรีเบทได้สั่งการสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณนี้หมดแล้ว มันไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนอีกที่จะปรากฏตัวขึ้นมา และทำร้ายลูกอ๊อดพวกนั้น


 


การยืนเฝ้าที่นี่ตามลำพังก็เพื่อรับประกันความปลอดภัยของสถานที่แห่งนี้ นอกจากนั้นแล้วมันยังมีผลประโยชน์ให้ได้รับ


 


หลังจากที่เล่นบนผิวน้ำอยู่สักพัก เหล่าลูกอ๊อดก็เริ่มดำลงไปในแอ่งน้ำและหายตัวไป


 


“พลังอันหนาวเย็นคือผลประโยชน์ที่ผู้พิทักษ์จะได้รับอย่างนั้นหรอ? แต่นั่นมันไม่สมเหตุสมผล เพราะมาร์ควิสธรรมดาไม่มีทางทนต่อพวกมันได้ และมันก็ไม่ใช่ว่าขุนนางทุกคนจะฝึกพลังหนาวเย็นเช่นกัน ดังนั้นรางวัลที่แท้จริงไม่น่าจะเป็นสิ่งนั้นไปได้ มันต้องมีอะไรอย่างอื่นที่เรายังหาไม่เจอ” หานเซิ่นตรวจสอบบริเวณรอบๆอยู่สักพัก แต่เขาก็ไม่เจออะไร สุดท้ายแล้วเขาก็ออกจากตำหนักเย็นไป ขณะที่ยังคงสงสัยว่าจะได้รับประโยชน์อะไรกันแน่


 


ครึ่งเดือนต่อมา หานเซิ่นก็กลับมาที่ตำหนักเย็นอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลาเจ้าคางคกระดับเทพเจ้าก็ปรากฏตัวออกมา ครั้งนี้เมื่อมันลงไปในแอ่งน้ำ กลุ่มลูกอ๊อดก็ว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำ หลังจากนั้นพวกมันก็ขึ้นไปบนน้ำตกที่กลายเป็นน้ำแข็ง


 


เหล่าลูกอ๊อดกระดิกหางของพวกมันเพื่อว่ายขึ้นไป และเมื่อพวกมันขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว พวกมันก็ไปล้อมคางคกระดับเทพเจ้าเอาไว้และมองดูพระจันทร์ที่มีอยู่เต็มท้องฟ้าของแนร์โรว์มูน


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เห็นเจ้าคางคกอ้าปากของมัน หลังจากนั้นพระจันทร์หลายต่อหลายดวงก็ออกมาจากปากของมันและลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


เหล่าพระจันทร์ดูเหมือนจะมีสัญลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างส่องสว่างภายใต้แสงของพระจันทร์ และในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้แสงจันทร์ก็ถูกหยุดไป


 


แม้แต่นกที่บินอยู่บนท้องฟ้าก็หยุดเคลื่อนไหวเช่นกัน แต่พวกมันไม่ได้ร่วงลงมา พวกมันแค่ถูกแช่แข็งเอาไว้กลางอากาศ


 


หานเซิ่นมีแผ่นหยกผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถูกแช่แข็งไปด้วย เขายังคงยืนมองดูพระจันทร์เปลี่ยนสัญลักษณ์ของพวกมัน หลังจากนั้นพลังงานภายในร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลง


 


เมื่อพลังงานของหานเซิ่นเริ่มเคลื่อนไหว ลำแสงของพระจันทร์ก็พุ่งทะลุผ่านม่านพลังที่ปกป้องเขาอยู่ มันพุ่งตรงไปที่ร่างกายของเขาเพื่อชำระล้างเซลล์ทั้งหมดของเขาอย่างอ่อนโยน

 

 

 


ตอนที่ 2174

 

ลูกอ๊อดอาบในแสงจันทร์และดูดซับแสงที่ได้รับจากพระจันทร์เข้าไปอย่างมีความสุข


 


ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นจะได้ผลประโยชน์อะไร เมื่อคางคกระดับเทพเจ้าพ่นพระจันทร์ออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกแช่แข็ง แม้แต่แสงก็ยังหยุดนิ่ง เว้นแต่ผู้พิทักษ์ตำหนักเย็นที่ได้รับการปกป้องจากแผ่นหยก มีเพียงแค่ผู้พิทักษ์ตำหนักหยกเท่านั้นที่จะได้รับแสงจันทร์ของพวกมัน


 


แสงจันทร์เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก นั่นเพราะแสงจันทร์ช่วยปรับปรุงยีนและเสริมความแข็งแกร่งของพวกมัน การเติบโตแบบนั้นถือเป็นอะไรที่หาได้ยาก แต่มีประโยชน์อย่างมาก เพราะแม้แต่ราชันก็ยังต้องการเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของยีนตัวเอง


 


แถมมันยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งสำหรับหานเซิ่น เนื่องจากหานเซิ่นฝึกพลังน้ำแข็ง ทำให้เขาสามารถดูดซับลมหนาวของคางคกระดับเทพเจ้าได้ ซึ่งการทำแบบนั้นจะทำให้วิชากายหยกของเขาเพิ่มระดับได้เร็วกว่าเดิม


 


เขาใช้วันแรกของเดือนเพื่อดูดซับพลังหนาวเย็น ขณะที่วันที่ 15 ของเดือนเขาจะอาบในแสงของพระจันทร์ เขาสามารถเพลิดเพลินกับพวกมันทีละอย่างเดือนละหนึ่งครั้ง ส่วนในเวลาว่าง หานเซิ่นจะออกไปล่าซีโน่เจเนอิคระดับดยุก แต่ภายในแนร์โรว์มูน ซีโน่เจเนอิคระดับดยุกเป็นอะไรที่หาได้ยาก นอกจากนั้นพวกมันส่วนใหญ่ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของใครบางคน ซึ่งทำให้หานเซิ่นไม่สามารถไปฆ่าพวกมันได้ตามใจชอบ


 


ดังนั้นหานเซิ่นมีแผนจะออกทำภารกิจ แบบนั้นเขาจะได้ล่าซีโน่เจเนอิคระดับดยุกเพื่อเก็บยีนระดับดยุกที่ต้องการ


 


แต่ทว่าก่อนที่หานเซิ่นจะได้ออกไปทำภารกิจ เขาก็ได้รับข่าวที่น่าตกใจ


 


คนทรยศคนหนึ่งของเดสทรอยเยอร์ได้หนีเข้าไปหลบซ่อนในซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์ ซึ่งเป็นดินแดนของรีเบท


 


ทางเดสทรอยเยอร์ได้ขอให้ทางรีเบทช่วยปิดล้อมซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหนีไปได้


 


แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เผ่าพันธุ์อื่นๆได้ส่งคนของพวกเขาไปที่ซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์ พวกเขาบอกว่าส่งทีมไปเพื่อปกป้องสมาชิกของพวกเขาที่อยู่ในซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์ แต่มันดูเหมือนว่าพวกเขาสนใจในคนทรยศของเดสทรอยเยอร์ซะมากกว่า


 


จากแหล่งข้อมูลภายนอก มันดูเหมือนว่าคนทรยศของเดสทรอยเยอร์คนนี้จะขโมยหนึ่งในสมบัติของพวกเขาไป และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา


 


เนื่องจากซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์เป็นสถานที่ทำธุรกิจแบบเปิด นั่นทำให้มีหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ แต่ถึงจะมีทีมมากมายถูกส่งเข้าไปข้างใน ก็ยังไม่มีใครเจอตัวคนทรยศของเดสทรอยเยอร์ มันดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่


 


หานเซิ่นรู้สึกสนใจในเรื่องนี้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงอ่านข้อมูลทั้งหมดที่มี เขาได้รู้ว่าในตอนนี้ซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์กำลังเป็นสถานที่นิยม ยอดฝีมือจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ทั้งระดับมาร์ควิสและดยุกต่างก็เดินทางไปที่นั่นเพื่อหาตัวคนทรยศของเดสทรอยเยอร์


 


ส่วนยอดฝีมือระดับราชันจำเป็นต้องรออยู่ภายนอก เพราะนั่นเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของการปิดล้อมซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์ รีเบทไม่ต้องการให้ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในซีโน่เจเนอิคสเปช เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ข่าวนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินไป ซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์เป็นของรีเบท ดังนั้นถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมา มันก็เป็นความรับผิดชอบของพวกเขา แต่ยังไงซะมันก็ไม่มียอดฝีมือระดับราชันมาที่นี่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว


 


ในตอนนี้ซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์อนุญาตให้เข้าไปเท่านั้น แต่ไม่อนุญาตให้ใครออกมา เดสทรอยเยอร์ต้องการหาตัวคนทรยศคนนั้นให้ได้ พวกเขาไม่สนใจว่าต้องแลกด้วยอะไร


 


เผ่าพันธุ์อื่นพยายามหาคนทรยศคนนั้นเช่นกัน แต่สิ่งที่เผ่าพันธุ์อื่นต้องการไม่ใช่ตัวคนทรยศ แต่เป็นสิ่งที่คนทรยศคนนั้นขโมยมาจากเดสทรอยเยอร์


 


“นี่เขาขโมยอะไรมาจากเดสทรอยเยอร์กันแน่ ทำไมถึงได้ดึงดูดความสนใจของหลายฝ่ายแบบนี้?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัย เขามีแผนจะไปที่ซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์เพื่อดูด้วยตาตัวเอง


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้สนใจจะตามหาตัวคนทรยศของเดสทรอยเยอร์ หลายฝ่ายได้ทำการค้นหาตัวเขาอยู่ แม้แต่มาร์ควิสและดยุกของแนร์โรว์มูนก็กำลังค้นหาตัวเขาเช่นเดียวกัน หานเซิ่นไปที่นั่นตามลำพัง ดังนั้นโอกาสที่เขาจะหาตัวคนทรยศได้ก่อนคนอื่นแทบจะเป็นศูนย์


 


หานเซิ่นไปที่ซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์ก็เพราะตอนนี้มันเปิดให้เข้าไปได้ หานเซิ่นต้องการจะล่าซีโน่เจเนอิคระดับดยุกที่อาศัยอยู่ภายในนั้นเพื่อเก็บสะสมยีนของพวกมัน


 


หานเซิ่นส่งข้อความไปหาซีโร่ หานเมิ่งเอ๋อ นางฟ้า เป่าเอ๋อและจิ้งจอกสีเงินเพื่อบอกให้ทุกคนไปพบกับเขาที่ซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์


 


แต่ทว่าเมื่อหานเซิ่นไปถึง เขาก็ได้รู้ว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิดเอาไว้ ราชากงล้อจันทราและราชาคนอื่นก็อยู่ที่นั่นด้วย ตอนนี้พวกเขากำลังควบคุมคนที่จะถูกส่งเข้าไปข้างใน


 


เนื่องจากตอนนี้ภายในซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์กำลังตกอยู่ในความโกลาหล ยอดฝีมือระดับมาร์ควิสและดยุกหลายคนที่ถูกส่งเข้าไปเพื่อตามหาคนทรยศของเดสทรอยเยอร์นั้นถูกฆ่าตาย


 


“หานเซิ่น สถานการณ์ในตอนนี้ซับซ้อนเกินไป เจ้าไม่ควรเข้าไปในนั้น ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า พวกเราจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้” ราชาแบล็คมูนที่ยืนเฝ้าทางออกอยู่พยายามโน้มน้าวหานเซิ่น


 


ถึงแม้ยอดฝีมือหลายคนจะถูกขวางทางไม่ให้เข้าไปได้ แต่มันก็ยังมีดยุกที่แข็งแกร่งมากมายเข้าไปข้างใน พวกเขาอยู่ในระดับที่เหนือกว่าหานเซิ่นหนึ่งระดับ ซึ่งมันจะทำให้อันตรายอย่างมากที่มาร์ควิสคนหนึ่งเข้าไปข้างใน


 


หานเซิ่นรู้สึกซาบซึ้งในความเป็นห่วงของราชาแบล็คมูน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพาซีโร่ นางฟ้าและคนอื่นๆเข้าไปข้างในพร้อมกับเขาอยู่ดี


 


เขามีใบเสมาราชาแมลงปีศาจอยู่ ซึ่งแม้แต่ศัตรูระดับราชันก็ไม่สามารถทำให้เขากลัวได้ ดังนั้นระดับดยุกจึงไม่ต้องพูดถึงเลย


 


เขามีใบเสมาราชาแมลงปีศาจอยู่ 4 ดวง และหานเซิ่นเลือกจะเก็บพวกมันดวงหนึ่งเอาไว้กับตัวเอง ส่วนอีก 3 ดวงที่เหลือเขามอบให้กับหานเมิ่งเอ๋อ ซีโร่และนางฟ้า ส่วนเป่าเอ๋อและจิ้งจอกสีเงินอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ดังนั้นพวกเขาสามารถใช้มันร่วมกันได้


 


ซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ดินแดนของมันก็เป็นอะไรที่ซับซ้อน นอกจากมันจะมีดวงดาวถึง 6  ดวงแล้ว มันยังมีดาวเคราะห์น้อยอยู่อีกเป็นจำนวนมาก


 


การจะหามาร์ควิสคนหนึ่งภายในแถบดาวเคราะห์น้อยนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ


 


แถมเรื่องราวของคนทรยศของเดสทรอยเยอร์คนนี้เล่าอีกว่าเขาเก่งมากในเรื่องการมีชีวิตอยู่ในอวกาศ เขาสามารถรอดอยู่ในอวกาศได้หลายปีโดยไม่กินไม่ดื่ม


 


ด้วยเหตุนั้นแต่ละเผ่าพันธุ์จึงแบ่งพื้นที่ค้นหาของตัวเองและค่อยๆปิดล้อมแต่ละพื้นที่ที่คนทรยศอาจจะซ่อนตัวอยู่


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้ไปหาคนทรยศท่ามกลางหมู่ดาวเคราะห์ เขานำพวกพ้องไปที่ดาวดวงหนึ่ง ดาวที่เขาเลือกมีชื่อว่าดาวโซดิ มันมีซีโน่เจเนอิคอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และหลายตัวก็เป็นระดับดยุก นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องการมาที่นี่ตั้งแต่แรก


 


โดยปกติแล้วคนที่เข้ามาล่าซีโน่เจเนอิคบนดาวโซดินั้นต้องจ่ายเงินจำนวนมาก แต่ตอนนี้ด้วยสถานการณ์ที่ตกอยู่ในความโกลาหล ทางรีเบทจึงไม่สามารถเก็บค่าเข้าออกได้อีกต่อไป ตอนนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าออกที่นั่นได้


 


หานเซิ่นจึงพาพวกพ้องของเขาไปที่นั่นด้วยเลยเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย


 


ทันทีที่หานเซิ่นเข้ามาในดาวโซดิ เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น มันมีคนอื่นหลายคนมีแผนจะทำแบบเดียวกับเขา หลายๆคนนั้นแพร่กระจายกันออกไปทั่วดวงดาวโซดิเพื่อล่าเหล่าซีโน่เจเนอิค


 


“นี่มันไร้ยางอาย! พวกเขาใช้ประโยชน์จากสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไง?” หานเซิ่นรู้สึกโกรธจนลืมไปเลยว่าเขาเองก็มาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน


  

 

 


ตอนที่ 2175

 

หานเซิ่นและพวกพ้องเดินทางไปบนดาวโซดิหลายร้อยไมล์ แต่ตลอดระยะทาง พวกเขาไม่สามารถล่าซีโน่เจเนอิคได้แม้แต่ตัวเดียว มันมีดยุกและมาร์ควิสใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อมาชิงทรัพยากรไป หานเซิ่นเห็นดยุกและมาร์ควิสหลายคนฆ่าซีโน่เจเนอิคก่อนที่เขาจะไปถึงพวกมันได้ มันไม่เหลือซีโน่เจเนอิคให้หานเซิ่นฆ่าแม้แต่ตัวเดียว และถ้าหานเซิ่นเข้าไปใกล้ๆคนอื่น พวกเขาก็จะจ้องมาที่หานเซิ่นทันทีราวกับว่าพวกเขาพร้อมจะต่อสู้กับหานเซิ่นถ้ายังก้าวเข้ามาอีกก้าว


 


หานเซิ่นเดินต่อไปข้างหน้าโดยหวังว่าจะขึ้นไปบนภูเขา เมื่อหานเซิ่นไปถึงตีนเขา เขาก็เห็นชิงหลีและรีเบทคนอื่นอีกจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา


“หานเซิ่น เจ้ามาที่นี่เพื่อล่าซีโน่เจเนอิคอย่างนั้นหรอ? ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำแบบนั้นได้”


 


“ข้าแค่มาเดินดูรอบๆเท่านั้น” หานเซิ่นไอกลบเกลื่อน


 


ชิงหลีแบะปากของเธอ “พวกเราเดินไปทั่วภูเขานี้กว่าครึ่งวัน แต่พวกเราก็หาซีโน่เจเนอิคไม่เจอแม้แต่ตัวเดียว เจ้าพวกนั่นฆ่าพวกมันทั้งหมดก่อนที่พวกเราจะมีโอกาส”


 


รีเบทระดับดยุกและมาร์ควิสหลายๆคนดูไม่พอใจ ทุกคนใช้ข้ออ้างในการตามหาตัวคนทรยศเพื่อเข้ามาในซีโน่เจเนอิคสเปชซิกซ์สตาร์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของรีเบท ด้วยเหตุนั้นรีเบทกำลังเป็นฝ่ายที่สูญเสีย


 


ถ้าไม่ใช่เพราะเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังอย่างเดสทรอยเยอร์กดดันพวกเขาอย่างหนักล่ะก็ รีเบทก็ไม่มีทางจะปล่อยให้พวกเขาเข้ามา


 


ขณะที่พวกเขาทั้งคู่กำลังพูดคุยกัน มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา มันเป็นกลุ่มของเดสทรอยเยอร์ที่ส่วนใหญ่เป็นระดับมาร์ควิส แต่หัวหน้าของพวกเขาเป็นระดับดยุก


 


ทีมของเดสทรอยเยอร์มาเพื่อค้นหาตัวคนทรยศ แต่เมื่อพวกเขาเห็นหานเซิ่น พวกเขาก็ดูอาฆาตขึ้นมาทันที


 


นั่นเป็นเพราะเหตุการณ์ภายในเมทัลเวิลด์ หานเซิ่นได้ปกป้องเผ่าอื่นๆเอาไว้ ขณะที่ทางเดสทรอยเยอร์ถูกฆ่าตายทั้งหมด แถมหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเผ่าพันธุ์อื่นๆก็เริ่มเกลียดชังเผ่าเดสทรอยเยอร์ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ชอบหน้าหานเซิ่น


 


แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ทำการโจมตีหานเซิ่น พวกเขาแค่มองหานเซิ่นอย่างไม่พอใจเท่านั้น ตอนนี้พวกเขายังอยู่ในเขตแดนของรีเบท และพวกเขาก็ไม่อวดดีพอจะต่อสู้กับหานเซิ่นในที่แห่งนี้


 


ขณะที่กลุ่มเดสทรอยเยอร์กำลังจากไป ใบหน้าของดยุกที่เป็นหัวหน้าทีมก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาตะโกนขึ้นไปบนภูเขา “บาร์!”


 


หานเซิ่นและคนอื่นๆหันไปมองและสังเกตเห็นชายในชุดเกราะกระดูก คนๆนั้นถือมีดกระดูกที่มีความยาวราวๆ 2 เมตรอยู่ในมือ


 


“นั่นคือหนึ่งในเดสทรอยเยอร์อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่มองบาร์ด้วยสีหน้าที่สงสัย


 


บาร์มี 3 หน้าก็จริง แต่เขาไม่ได้มี 6 แขนเหมือนกับเดสทรอยเยอร์คนอื่นๆ แถมใบหน้าทั้ง 3 ของเขาก็ต่างออกไปอีกด้วย ใบหน้าทั้ง 3 ของเขาเป็นใบหน้าของผู้ชายทั้งหมด


 


สีหน้าของชิงหลีเปลี่ยนไป เธอกระซิบบอกหานเซิ่น “อย่าได้ยั่วยุเขา เขาเป็นเดสทรอยเยอร์วิปลาส”


 


“นั่นหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นกระซิบถาม


 


ชิงหลีรีบอธิบาย “เขาเป็นลูกผสมระหว่างหนึ่งในเดสทรอยเยอร์กับเผ่าพันธุ์อื่น เขามีพรสวรรค์มากๆ แต่เขาก็โหดร้ายมากๆเช่นกัน เดสทรอยเยอร์รักความรุนแรง แต่พวกเขาก็ยังเรียกบาร์ด้วยว่าเป็นคนที่เกิดมาเพื่อการทำลายล้าง”


 


รีเบทระดับดยุกคนหนึ่งรีบบอกกับหานเซิ่น “รีบไปจากที่นี่กันเถอะ พวกเราไม่ควรไปยั่วยุเขา เขาเป็นนักฆ่ารับจ้าง และเขาได้ฆ่าอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์ต่างๆมากมาย ยอดฝีมือหลายคนตายด้วยมือของเขา ถ้าเจ้ายังอยู่ที่นี่ต่อไป เจ้าจะตกอยู่ในอันตราย”


 


หานเซิ่นขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน เขาสังเกตเห็นว่าบาร์ตรงเข้ามาหาเขาเรียบร้อยแล้ว จิตสังหารของบาร์มุ่งเป้ามาที่ตัวของเขา และเขารู้ว่าไม่สามารถหนีไปจากมันได้


 


หานเมิ่งเอ๋อก็รู้สึกว่าบาร์มุ่งเป้าไปที่หานเซิ่นเช่นเดียวกัน เธอก้าวมาข้างหน้าหานเซิ่นและเรียกธนูเทพธิดาแห่งความตายออกมา เธอดึงสายธนูและลูกศรสีดำก็ปรากฏขึ้นมา ปลายลูกธนูเล็งตรงไปที่บาร์


 


“นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรอ? ลดธนูลงเดี๋ยวนี้!” เมื่อเห็นหานเมิ่งเอ๋อยกธนูเล็งไปที่บาร์ ชิงหลีและคนอื่นๆก็เริ่มแตกตื่น


 


คนอย่างบาร์จะลงมือฆ่าฟันคนอื่นอย่างสนุกสนาน ถ้าเกิดเขาอารมณ์ไม่ดี ตอนนี้เมื่อหานเมิ่งเอ๋อเล็งธนูไปที่เขา คนอื่นๆก็คาดคิดว่าเธอกำลังรนหาที่ตาย


 


กลุ่มของเดสทรอยเยอร์ยิ้มอย่างเลือดเย็นให้กับพวกหานเซิ่น และถึงแม้พวกเขาจะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับบาร์ แต่มันก็มีความหวาดกลัวปรากฏอยู่บนใบหน้าของพวกเขา พวกเขาเองก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับบาร์เช่นเดียวกัน และตอนนี้หนึ่งในคนของหานเซิ่นกำลังเล็งธนูไปที่บาร์


 


เหล่าเดสทรอยเยอร์เริ่มถอยออกไปพอสมควรเพื่อจะได้มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสบายใจ มันดูเหมือนว่าการฆ่าฟันกำลังจะเริ่มต้นขึ้น


 


หานเมิ่งเอ๋อไม่ได้ลดธนูของเธอลง เธอแค่มองตรงไปทางบาร์ที่กำลังเข้ามา ขณะที่เธอทำอย่างนั้นธนูของเธอก็กำลังรวบรวมพลังมากขึ้นเรื่อยๆ


 


เธอเป็นเพียงแค่มาร์ควิสคนหนึ่ง ขณะที่บาร์เป็นดยุก แต่บาร์มีจิตมุ่งร้ายต่อหานเซิ่น ดังนั้นเธอไม่คิดจะถอยให้กับเขา


 


“หานเซิ่นบอกให้นางหยุดเดี๋ยวนี้!” รีเบทระดับดยุกคนหนึ่งพูดขึ้นมา


 


“ไม่จำเป็น” หานเซิ่นพูดอย่างสบายใจ


 


เมื่อธนูในมือของหานเมิ่งเอ๋อชาร์จจนเต็มที่แล้ว เธอก็ยิงออกไปใส่บาร์ในทันที


 


ลูกธนูที่ถูกสร้างขึ้นมาจากสร้างควันสีดำหมุนวน และมันกลายเป็นสิ่งที่เกือบจะมองไม่เห็น ขณะที่มันพุ่งเข้าหาบาร์ มันพุ่งไปตรงหน้าบาร์และเตรียมจะเจาะทะลุเข้าไปในหัวใจของเขา


 


ทุกคนรู้สึกตกใจ พวกเขาคิดว่าหานเมิ่งเอ๋อกล้ามากที่ยิงธนูออกไปใส่บาร์


 


รีเบทระดับดยุกไม่กล้าพูดอะไรอีก พวกเขาหวาดกลัวว่าบาร์ ดังนั้นพวกรีเบทจึงถอยห่างออกไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่โดนลูกหลง


 


กลุ่มเดสทรอยเยอร์ก็ถอยห่างออกไปเช่นเดียวกัน พวกเขายังคงยิ้มออกมาอย่างเลือดเย็น ขณะที่มองหานเมิ่งเอ๋อราวกับว่าเธอกำลังจะต้องตาย


 


บาร์ไม่ใช่แค่คนที่โหดร้ายเพียงอย่างเดียว คนอื่นๆอาจจะไม่รู้เกี่ยวกับบาร์มากนัก แต่เหล่าเดสทรอยเยอร์รู้ถึงความน่ากลัวของเขาเป็นอย่างดี


 


บาร์ถูกบอกว่าเป็นคนที่เกิดมาเพื่อการทำลายล้าง เพราะเขาคือเดสทรอยเยอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เดสทรอยเยอร์ทั้งหมดที่เคยมีมา


 


ด้วยพรสวรรค์ที่บาร์มี ถ้าเขาเป็นเดสทรอยเยอร์เลือดบริสุทธิ์ มันก็มีโอกาสสูงที่เขาจะได้เป็นผู้นำคนต่อไปของเผ่าพันธุ์เดสทรอยเยอร์


 


และถึงแม้บาร์จะไม่ได้รับการสนับสนุนอะไรจากเดสทรอยเยอร์มากนัก แต่เขาก็ยังคงเหนือกว่าเดสทรอยเยอร์คนอื่นๆอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเขา ความรักในการฆ่าฟันทำให้เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่าเหล่าราชาของเดสทรอยเยอร์ซะอีก


 


ครั้งหนึ่งบาร์เคยสังหารดราก้อนระดับดยุกคนหนึ่ง ดราก้อนวันนั้นได้พยายามตามล่าตัวเขาเพื่อจะแก้แค้น แต่เขาสามารถหนีไปได้สำเร็จ และในขณะที่หนีเขาก็ได้ฆ่าดราก้อนดยุกและมาร์ควิสไปอีกหลายคน นั่นทำให้เผ่าดราก้อนเสียหน้าอย่างมาก


 


ดราก้อนวันเป็นถึงระดับราชัน แต่เขาไม่สามารถไล่ล่าดยุกคนหนึ่งได้ และบาร์ยังฆ่าดราก้อนไปหลายคน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง


 


บาร์เห็นลูกธนูของหานเมิ่งเอ๋อตรงเข้ามา แต่ความเร็วของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และเขาก็ไม่ได้ใช้มีดกระดูก เขาแค่ยื่นมือออกมาจับลูกธนู 

 

 


ตอนที่ 2176

 

เมื่อมือของบาร์สัมผัสกับหัวลูกธนู สีหน้าของเขาก็ตรึงเครียดขึ้นมา แสงสีดำห่อหุ้มมือของเขา และมันก็ดูเหมือนกับว่าลูกธนูกำลังจะแตกสลาย


 


แต่ลูกธนูดูเหมือนว่าจะคมกว่าที่บาร์คิด และเมื่อลูกธนูสีดำปะทะกับแสงสีดำของบาร์ มันไม่แตกสลาย พลังของบาร์ไม่สามารถหยุดลูกธนูเอาไว้ได้ และลูกธนูก็พุ่งต่อไปที่มือของบาร์ราวกับสายฟ้าสีดำ มันหมุนทะลวงอย่างรวดเร็วราวกับหัวสว่าน


 


แสงสีดำที่ห่อหุ้มมือของบาร์แตกสลาย ขณะที่หัวลูกธนูเจาะทะลวงเข้าไปในมือของบาร์และฉีกผิวหนังกับกระดูกของเขา


 


ลูกธนูพุ่งผ่านมือของบาร์ไป ทำให้ทั้งชิงหลี เดสทรอยเยอร์และรีเบทที่มองดูอยู่รู้สึกไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น พวกเขาจ้องมองลูกธนูที่พุ่งตรงไปที่หัวใจของบาร์


 


บาร์เอี้ยวตัวหลบไปด้านหลังและใช้มีดกระดูกฟันใส่หัวลูกธนูจนเกิดเป็นเสียงดัง แต่ทว่าในที่สุดเขาก็หยุดลูกธนูเอาไว้ได้


 


แต่ทว่าในตอนที่ทุกคนคิดว่ามันจบลงแล้ว พวกเขาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นมา หัวลูกธนูระเบิดและกลายเป็นดวงอาทิตย์สีดำที่กลืนกินร่างของบาร์


 


เมื่อพลังที่น่ากลัวและแสงสีดำอันสว่างไสวหายไปแล้ว ชิงหลีและคนอื่นๆก็มองเห็นว่าชุดเกราะกระดูกที่บาร์สวมใส่อยู่ตอนนี้ได้หายไปแล้ว ร่างกายที่ใหญ่โตของเขาถูกเปิดเผยออกมา


 


แถมร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บหนักอีกด้วย เลือดไหลออกมาทุกหนทุกแห่ง และกระดูกกับอวัยวะภายในของเขาก็เผยออกมาให้เห็นผ่านบาดแผลบนร่างกาย


 


ไม่มีใครเชื่อว่าลูกธนูของมาร์ควิสคนหนึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับบาร์ได้แบบนั้น


 


“นั่นเป็นไปได้ยังไงกัน? นี่คือบาร์นะ” เดสทรอยเยอร์ระดับดยุกตกตะลึง เพราะแม้แต่ดยุกส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำให้บาร์บาดเจ็บแบบนั้นได้


 


ชิงหลีและเหล่ารีเบทก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่ามาร์ควิสคนหนึ่งที่จงรักภักดีต่อหานเซิ่นจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงขนาดนั้น


 


แม้แต่หานเซิ่นเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาไม่ได้คาดคิดว่าหานเมิ่งเอ๋อจะแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น พลังของเธอเทียบได้กับพลังวิชาเบรกซิกซ์สกายของเขาได้เลย


 


‘ถ้าเมิ่งเอ๋อเรียนรู้วิชาเบรกซิกซ์สกายและรวมมันเข้ากับพลังของเธอล่ะก็ เธอจะแข็งแกร่งถึงขนาดไหนกัน?’ หานเซิ่นรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น


 


“นี่มันวิเศษไปเลย!” บาร์ที่ได้รับบาดเจ็บดูตื่นเต้นอย่างมาก ตอนนี้เขาดูเหมือนกับหมาป่าที่กำลังมองเห็นเหยื่อ


 


บาดแผลของบาร์เริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ผิวหนังที่ฉีกขาดบนร่างกายของเขาประสานเข้าด้วยกัน และพลังชีวิตของเขาก็เริ่มปะทุขึ้นมาราวกับภูเขาไฟ


 


แต่หานเมิ่งเอ๋อไม่ได้สะทกสะท้านอะไร เธอเพียงแค่ดึงสายธนู หลังจากนั้นลูกธนูสีดำก็พุ่งผ่านท้องฟ้าตรงไปที่บาร์ มันดูเหมือนกับสายฟ้าสีดำกำลังพุ่งตรงไปที่เขา


 


ความตื่นเต้นอันน่าขนลุกของบาร์ยังไม่หายไป เขาเริ่มจะเต้นระบำขณะที่กวัดแกว่งมีดกระดูกของเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุข ขณะที่พยายามฟันใส่ลูกธนูที่เข้ามา


 


แต่ในตอนที่มีดกระดูกกำลังจะฟันไปถูกหัวลูกธนู ลูกธนูก็เริ่มเคลื่อนไหวราวกับเวทย์มนต์ มันสลายกลายเป็นอากาศธาตุและปรากฏขึ้นอีกครั้งเมื่อมันปักเข้าไปในอกของบาร์เรียบร้อยแล้ว


 


ปลายของลูกธนูที่เป็นเหมือนเพชรเริ่มฉีกเนื้อหนังของบาร์ ลูกธนูสีดำเจาะทะลุอกและเข้าไปในหัวใจของเขา


 


ลูกธนูสีดำหลายดอกพุ่งผ่านท้องฟ้าและตรงเข้าไปหาบาร์อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า บาร์พยายามกวัดแกว่งมีดกระดูกของเขา แต่เขาไม่สามารถป้องกันลูกธนูได้แม้แต่ดอกเดียว


 


ลูกธนูทุกดอกเคลื่อนไหวราวกับเวทย์มนต์ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีดกระดูกของบาร์กำลังจะฟันถูกลูกธนู ลูกธนูก็จะหายไป และเมื่อมันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มันก็เจาะเข้าไปในเนื้อหนังของบาร์เรียบร้อยแล้ว


 


ในเวลาไม่กี่วินาที ร่างกายของบาร์ก็เต็มไปด้วยลูกธนูหลายสิบลูกราวกับว่าเขาเป็นเป้าสำหรับฝึกยิงธนู


 


ชิงหลีและคนอื่นๆจ้องมองด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งเห็น เดสทรอยเยอร์ระดับมาร์ควิสและดยุกต่างก็คิดกับตัวเอง ‘นี่เป็นไปได้ยังไงกัน? นั่นคือบาร์นะ’


 


ตูม!


 


หานเมิ่งเอ๋อยิงลูกธนูออกไปอีกดอก และเมื่อมันปักเข้าไปที่ตัวของบาร์ มันก็ระเบิดออก ลูกธนูที่ปักอยู่ตามร่างกายของบาร์เริ่มระเบิดเป็นดวงอาทิตย์สีดำพร้อมๆกัน


 


ร่างกายของบาร์แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีดกระดูกอันน่ากลัวหลุดออกจากมือของเขาและปักลงบนพื้นเหนือร่างที่แหลกเป็นชิ้นของบาร์


 


นี่เป็นผลลัพธ์ที่น่าตกใจอย่างมาก ชิงหลีและรีเบทคนอื่นๆหยุดนิ่งไปด้วยความตกใจ พวกเขาจ้องมองหานเมิ่งเอ๋อที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าหานเซิ่น ใบหน้าที่งดงามแต่เย็นชาของเธอจะฝังเข้าไปในจิตใจของพวกเขาตลอดไป


 


แต่หานเมิ่งเอ๋อไม่ได้แสดงท่าทางดีใจ เธอขมวดคิ้วและมองไปที่มีดกระดูกของบาร์


 


ทันใดนั้นชิ้นเนื้อที่หลงเหลืออยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว ชิ้นเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยเริ่มถูกดึงเข้าหากัน


 


ไม่นานหลังจากนั้นทั้งกล้ามเนื้อและกระดูกก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ร่างกายของบาร์เริ่มจะประกอบเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา


 


เขาดูเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกฉีกจนขาดเป็นชิ้นๆ แต่หลังจากนั้นมันก็ถูกเย็บกลับเข้าด้วยกัน มันยังคงมีรอยต่อจำนวนมากทั่วร่างกายของเขา และพวกมันก็ดูเหมือนกับตะขาบที่อยู่ใต้ผิวหนังของเขา


 


แต่แผลเป็นหายไปอย่างรวดเร็ว และบาร์ก็กลับมายืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง เขาหยิบมีดกระดูกกลับขึ้นมาและหันไปมองที่หานเมิ่งเอ๋ออย่างรื่นเริง


“ข้าไม่ได้เพลิดเพลินกับการต่อสู้ที่สนุกมาเป็นเวลานานแล้ว เจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้ท้องของข้ากำลังร้องออกมา ความรู้สึกหิวเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษ ตอนนี้เมื่อเจ้าเป็นเหยื่อของข้า บอกชื่อของเจ้ามา แบบนั้นข้าอาจจะจดจำมันได้”


 


ผู้ชมที่ดูอยู่อ้าปากค้าง ร่างกายของบาร์ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แต่หลังจากนั้นมันก็ถูกประกอบขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว แถมตอนนี้พลังของบาร์ก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย


 


“เป็นไปไม่ได้ เดสทรอยเยอร์จะมีพลังในการรักษาตัวเองได้ยังไงกัน? การฟื้นตัวมันรวดเร็วเกินกว่าจะเป็นแค่พลังในการรักษาธรรมดาๆ มันเหมือนกับว่าเขาชุบชีวิตตัวเองขึ้นมาใหม่มากกว่า” ชิงหลีมองไปที่บาร์ด้วยความตกใจ


 


“นั่นคือเหตุผลที่ทำไมให้เขาเป็นบาร์ นี่มันเพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้น” เดสทรอยเยอร์ระดับดยุกหัวเราะ


 


ถึงแม้พลังของหานเมิ่งเอ๋อจะเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ แต่พวกเขาก็ยังมั่นใจว่าบาร์จะเป็นฝ่ายชนะ บาร์อาจจะไม่ใช่เดสทรอยเยอร์เลือดบริสุทธิ์ แต่บาร์เป็นคนที่แข็งแกร่ง

 

 

 


ตอนที่ 2177

 

หานเซิ่นมองดูบาร์ด้วยความประหลาดใจ พลังของหานเมิ่งเอ๋อเป็นที่สุดในบรรดามาร์ควิสทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย เธอทรงพลังไม่ต่างจากในตอนที่หานเซิ่นใช้วิชาเบรกซิกซ์สกาย


 


แต่ถึงจะถูกพลังมหาศาลแบบนั้นเข้าไป บาร์ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างความเร็วจนน่าตกใจ นอกจากนั้นพลังชีวิตภายในร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย นั่นเป็นบางสิ่งที่มากกว่าความสามารถในการรักษาธรรมดาๆ เห็นได้ชัดว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้บาร์มีร่างกายที่แข็งแกร่งและรอดชีวิตจากการไล่ล่าของดราก้อนวันทั้งๆที่เป็นเพียงแค่ดยุกคนหนึ่ง


 


“ดวงตาของเขาดูกระหายเลือดราวกับว่าการฆ่าฟันคือสิ่งเดียวที่เขาต้องการ ตอนนี้ดูเหมือนมันจะไม่มีสิ่งไหนที่เขามองเห็นถ้าไม่ใช่เหยื่อของเขา” หานเซิ่นรู้ว่าชายคนนั้นหลงรักการพรากชีวิตคนอื่น


 


‘ผู้ที่เกิดมาเป็นเครื่องจักรสังหาร’ หานเซิ่นคิด


 


ใบหน้าของบาร์ดูตื่นเต้นจนน่ากลัว มันเป็นภาพที่ค่อนข้างน่าขนลุก เขาเลียริมฝีปากของตัวเองขณะที่จ้องมองหานเมิ่งเอ๋อ เขาเริ่มเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ ขณะที่มีเลือดไหลออกมาจากมีดกระดูกและแพร่กระจายออกไป หลังจากนั้นมันก็เริ่มลุกเป็นเปลวไฟสีดำ มันแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขาและทำให้เขาดูเหมือนกับปีศาจ


 


หานเมิ่งเอ๋อกำลังจะยกธนูขึ้นอีกครั้ง แต่หานเซิ่นหยุดเธอเอาไว้ เขายิ้มและพูด “ให้พ่อจัดการเอง ร่างกายของเขาแปลกประหลาด พ่อคิดว่าพวกเราจำเป็นทำบางสิ่งที่มากกว่าการสร้างความเสียหายธรรมดา”


 


ธนูของหานเมิ่งเอ๋อมีพลังทำลายล้างสูงที่สุดในบรรดามาร์ควิสทั้งหมด แต่ตอนนี้มันไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าบาร์ ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงไม่ต้องให้เธอเสี่ยงทำอะไรมากไปกว่านั้น


 


เมื่อหานเมิ่งเอ๋อผ่อนนิ้วมือของเธอ ธนูก็หายไป หลังจากนั้นเธอก็เดินไปประจำตำแหน่งด้านหลังของหานเซิ่น


 


เมื่อบาร์เห็นหานเซิ่นเข้ามาขวาง ใบหน้าของเขาก็ดูมืดมัว เขาฟันมีดกระดูกเข้าใส่หานเซิ่นพร้อมกับตะโกน


“ไสหัวไปซะ!”


 


เป้าหมายดั้งเดิมของบาร์คือหานเซิ่น แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจว่าหานเมิ่งเอ๋อคือเหยื่อของเขา เขาไม่สนใจหานเซิ่นอีกต่อไป และทั้งหมดที่เขาต้องการจะทำในตอนนี้ก็คือฆ่าหานเมิ่งเอ๋อ เขาดูเหมือนกับว่าคนที่หิวกระหายมาตลอด 3 วัน 3 คืนโดยไม่ได้กินอาหารอะไร และตอนนี้อาหารที่ก็ถูกแย่งไปจากเขา


 


หานเซิ่นดูใจเย็นขณะที่ชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมาและฟันไปใส่บาร์


 


เมื่อมีดของทั้งคู่ปะทะกัน เลือดสีดำและลมปราณสีม่วงก็แตกสลาย ใบมีดปะทะกันด้วยแรงที่มากพอจะฉีกมิติจนขาด มิติรอบๆแตกร้าวจากแรงปะทะราวกับใยแมงมุมจริงๆ


 


“ตายซะ!” ใบหน้าของบาร์ดูตื่นเต้นอย่างน่าเกลียดมากขึ้นๆ ไฟในดวงตาของเขาดูเหมือนจะเป็นของจริงขึ้นมา เขามองไปที่หานเซิ่นและกวัดแกว่งมีดกระดูกอย่างรวดเร็วอีกครั้ง


 


วิชามีดของบาร์นั้นหยาบมากๆ เขาไม่ได้มีทักษะหรือเทคนิคอะไรพิเศษ เขาดูแตกต่างจากนักสู้อย่างไผ่เดียวดายอย่างมาก


 


วิชามีดของเขาทั้งหยาบ ป่าเถื่อนและเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง เขาไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับรายละเอียดยิบย่อย วิชาของเขาเน้นไปที่พละกำลังเพียงอย่างเดียว


 


ในสายตาของหานเซิ่น บาร์เป็นเหมือนคนที่เกิดมาเพื่อทำลายสิ่งต่างๆ มันเหมือนกับว่าเขาไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเองด้วยซ้ำ ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางทางเขา


 


ด้วยเหตุนั้นถึงแม้วิชามีดของเขาจะเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง บาร์ก็ไม่สนใจ เขาไม่แม้แต่จะพยายามแก้ไขมัน เขาแค่ต้องการฆ่าคู่ต่อสู้ที่พบ


 


ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!


 


ใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวของบาร์ตะโกนออกมาซ้ำๆ มีดกระดูกของเขากวัดแกว่งอย่างบ้าคลั่งโดยมีเป้าหมายคือการกลืนกินร่างกายของหานเซิ่น


 


มีดเขี้ยวผีสิงของหานเซิ่นเฉือนไปที่อกของบาร์ รอยตัดลึกปรากฏขึ้นพร้อมกับมีเลือดและลมปราณสีม่วงรั่วไหลออกมาจากรอยแผลนั้น


 


แต่ถึงอย่างนั้นบาร์ก็ไม่สนใจ บาดแผลที่ได้รับไม่ได้ชะลอการจู่โจมของบาร์เลยแม้แต่น้อย จริงๆแล้วมันทำให้เขาดูตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม


 


ถึงแม้จะไม่สามารถรักษาบาดแผลได้เนื่องจากถูกพลังเขี้ยว แต่การโจมตีก็ยังไม่พอจะฉีกร่างกายของเขา ลมปราณสีม่วงยังอยู่ที่เดิมและไม่แพร่ขยายออกไปไหน


 


หานเซิ่นจึงฟันใส่ร่างกายของเขาเป็นอีกสิบแผล แต่พวกมันดูจะไม่ได้ผลดีนัก และมันก็ดูเหมือนว่าบาร์จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ทั้งหมดที่เขาต้องการในตอนนี้ก็คือเห็นหานเซิ่นตาย


 


มีดเขี้ยวผีสิงและมีดกระดูกปะทะกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงแรงที่ถูกส่งเข้ามาสู่ตัวของเขา ทำให้เขาถูกส่งกระเด็นออกไปกว่า 50 เมตร


 


ในเวลาเพียงไม่กี่นาที พละกำลังของบาร์ก็เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และยิ่งไปกว่านั้นมันก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บาดแผลที่ได้รับไม่ได้ทำให้เขาอ่อนแอลง จริงๆแล้วพวกมันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม


 


“หานเซิ่นเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าไผ่เดียวดายเลย ดยุกธรรมดาไม่มีทางเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เขาเลือกศัตรูผิดคน บาร์เป็นเครื่องจักรสังหารอย่างแท้จริง ในระหว่างการต่อสู้ เขาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ราชันอย่างดราก้อนวันก็ฆ่าเขาไม่ได้” เดสทรอยเยอร์ระดับดยุกมองดูหานเซิ่นและยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ


 


ชิงหลีสังเกตสถานการณ์ของหานเซิ่นและรับรู้ว่ามันดูไม่สู้ดีนัก


“ร่างกายของบาร์คืออะไรกันแน่? ทำไมพลังเขี้ยวถึงไม่แพร่กระจายไปทั่วร่างของเขา?”


 


หานเซิ่นเองก็เริ่มเข้าใจว่าบาร์แข็งแกร่งถึงขนาดไหน เขารับรู้ว่ากับศัตรูแบบนั้นความรุนแรงแบบตรงๆไม่เพียงพอจะล้มอีกฝ่ายได้ แม้แต่พลังเขี้ยวของเขาก็ไม่สามารถฉีกร่างกายของบาร์ได้ ซึ่งนั่นบ่งบอกได้ถึงพรสวรรค์ของชายคนนี้ ยิ่งเขาต่อสู้มากเท่าไหร่ เขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น


 


เมื่อเห็นบาร์ยืนถือมีดกระดูกอยู่ตรงหน้าราวกับปีศาจ หานเซิ่นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาหลบมีดกระดูกของบาร์และเก็บมีดเขี้ยวผีสิงไป หลังจากนั้นปืนพกคู่ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา


 


ปัง! ปัง!


 


กระสุน 2 ลูกพุ่งไปที่อกของบาร์ แต่ในตอนนี้กล้ามเนื้อของเขากลายเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งเกินกว่าจะเจาะทะลวงได้ กระสุนนั้นแตกกระจายเมื่อพวกมันปะทะกับแผ่นอกของบาร์


 


แต่กระสุนทั้ง 2 ลูกได้ทิ้งรูปเต่าเอาไว้เบื้องหลัง ซึ่งทำให้บาร์ทรุดลงไปกับพื้นจนเกิดเป็นหลุมลึก ตอนนี้เขาช้าลงไปหลายเท่า


 


ร่างกายของเขาแข็งแกร่งก็จริง แต่เขาไม่ถนัดการรับมือกับพลังที่ส่งผลในทางลบ ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงคิดว่าวิชาเต่าเป็นอะไรที่เหมาะสม


 


เมื่อเห็นความเร็วของบาร์ถูกลดลงไป ชิงหลีก็ดีใจอย่างมาก เธออุทานออกมา


“มันได้ผล! นั่นคงจะเป็นวิชาเต่าที่หานเซิ่นคิดค้นขึ้นมาสินะ นี่มันทรงพลังถึงขนาดที่จัดการกับบาร์ได้เลยหรอเนี่ย”


 


“ถ้าเขาคิดว่าพลังในการปิดผนึกเพียงพอที่จะเอาชนะบาร์ได้ล่ะก็ เขาคิดผิดแล้ว” ดยุกเดสทรอยเยอร์พูดเย้ยหยันด้วยความดูถูก


 


“นี่มันดีมากๆ! ข้าตื่นเต้นไปหมด อาหารเอร็ดอร่อยเยอะไปหมด”


ใบหน้าที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวของบาร์ดูตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆจนเขาดูเหมือนกับคนบ้า ทันใดนั้นใบหน้าเย็นชาที่อยู่ตรงกลางก็เริ่มเคลื่อนไหว ดวงตาของมันเปลี่ยนเป็นสีดำและเรืองแสงออกมา หลังจากนั้นร่างกายของบาร์ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ เขาเป็นเหมือนกับรูปปั้นปีศาจที่ถูกหลอมขึ้นมาจากเหล็กโบราณบางอย่าง


 


ทันใดนั้นวิชาเต่าที่ชะลอความเร็วของเขาจู่ๆก็ไร้ผลไป และเมื่อร่างกายของบาร์กลับเป็นอิสระ เขาก็พุ่งเข้าไปฟันใส่หานเซิ่นด้วยพลังของปีศาจ 

 

 


ตอนที่ 2178

 

 


หานเซิ่นเคลื่อนไหวราวกับเงา ทำให้มีดกระดูกของบาร์ไม่สามารถฟันถูกตัวเขาได้ หานเซิ่นไม่สามารถตอบโต้บาร์แบบตรงๆได้อีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกหลบหลีกแทน


 


“บาร์กำลังแข็งแกร่งขึ้น!” ในที่สุดชิงหลีก็เห็นถึงปัญหาที่หานเซิ่นกำลังเผชิญอยู่ ความแข็งแกร่งของบาร์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ความแข็งแกร่งของหานเซิ่นยังคงเหมือนเดิมและไม่เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว


 


ตอนนี้หานเซิ่นกลายเป็นฝ่ายที่ถูกไล่ต้อน ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือหลบการโจมตีที่เข้ามา เขาไม่สามารถตอบโต้บาร์ได้อีกต่อไป


 


ชิงหลีเริ่มจะรู้สึกกังวลอย่างมากกว่า มันไม่มีขีดจำกัดถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มสูงขึ้นของบาร์ และถ้าเกิดหานเซิ่นหมดแรงขึ้นมา เขาก็อาจะตายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว


 


เดสทรอยเยอร์ระดับดยุกหัวเราะและพูด “บาร์นั้นไร้เทียมทานต่อคนในระดับเดียวกัน แถมหานเซิ่นยังเป็นแค่มาร์ควิสคนหนึ่ง ถึงเขาจะแข็งแกร่งยังไง มาร์ควิสก็ยังเป็นแค่มาร์ควิสอยู่ดี เขาทำให้บาร์โกรธ ดังนั้นความตายก็คือชะตากรรมของเขา”


 


หานเมิ่งเอ๋อ ซีโร่และนางฟ้ามองดูอย่างตั้งใจ จนถึงตอนนี้พวกเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ พวกเธอไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการพูดคุย ดังนั้นมันเลยไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ขณะที่พวกเธอมองสิ่งที่เกิดขึ้น


 


จิ้งจอกสีเงินและอสูรกาแล็กซี่ก็ยืนมองการต่อสู้อย่างเงียบๆเช่นเดียวกัน


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นก็กระโดดขึ้นไปด้านบนและใช้ปลายมีดฟันออกไปข้างหน้า มีดเส้นไหมสีม่วงที่บางอย่างกว่าเส้นผมปรากฏขึ้นมา บาร์ถูกพันอย่างยุ่งเหยิงด้วยมีดเส้นไหม เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป


 


บาร์ยังคงมองหานเซิ่นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ร่างกายเขาเริ่มขยายใหญ่ขึ้น แต่เขาไม่สามารถฉีกมีดเส้นไหมที่อ่อนนุ่มแต่ทนทานได้ มีดเส้นไหมฝังลึกเข้าไปในเนื้อหนังของเขา ทำให้เลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก


 


บาร์หัวเราะออกมา เขาไม่ได้สนใจอะไรบาดแผลที่ได้รับ เขายังคงพยายามต่อสู้กับมีดเส้นไหมของหานเซิ่นด้วยพละกำลัง พร้อมกับหัวเราะออกมา


 


เขาออกแรงมากเกินไป ทำให้มีดเส้นไหมตัดร่างของเขาเป็นชิ้นๆ


 


แต่วินาทีต่อมา แขนขาที่ขาดก็เชื่อมต่ออีกครั้งหนึ่ง บาร์กลับขึ้นมายืนอีกครั้ง และตอนนี้ร่างกายของเขาก็ดูน่ากลัวยิ่งไปกว่าเดิม


 


‘หมอนี่รับมือยากจริงๆ เราทำลายร่างกายของเขาได้ด้วยท่าตบขั้นสุดยอด แต่เราจะใช้มันขณะที่มีคนหลายคนมองดูอยู่ไม่ได้’ หานเซิ่นขมวดคิ้ว


 


บาร์นั้นทรงพลัง และเหล่าเดสทรอยเยอร์ก็บอกว่าเขาคือดยุกที่แข็งแกร่งที่สุด


 


แต่หานเซิ่นไม่เชื่อว่าบาร์จะไร้เทียมทานจริงๆ บางทีบาร์อาจจะเป็นที่สุดของเดสทรอยเยอร์ แต่หานเซิ่นไม่เชื่อว่าอัจฉริยะคนหนึ่งในจักรวาลจีโนจะเอาชนะเขาได้ด้วยพละกำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยังเป็นแค่ระดับดยุก


 


ร่างกายของเผ่าดราก้อนทั้งแข็งแกร่งและทรงพลังโดยเฉพาะอย่างยิ่งดราก้อนระดับราชัน ร่างกายของบาร์อาจจะแข็งแกร่ง แต่มันยังไม่ถึงระดับที่จะทำให้หานเซิ่นกลัวได้ พลังของเขายังคงมีขีดจำกัด และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องหนีจากดราก้อนวัน


 


“ขอบคุณ” บาร์พูด “ขอบคุณเจ้ามากที่ทำให้ข้าได้เพลิดเพลินกับการต่อสู้ที่เอร็ดอร่อยแบบนี้ ในตอนที่ข้าฆ่าเจ้าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของข้า!”


 


บาร์บ้าคลั่ง ทุกการโจมตีของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารที่ไร้ที่สิ้นสุด ทุกการกวัดแกว่งของเขาจะทิ้งรอยมีดขนาดใหญ่เอาไว้ที่พื้น


 


พละกำลังและความเร็วของบาร์เหนือกว่าคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน มันคงจะมีดยุกน้อยคนที่จะต่อสู้กับเขาในตอนนี้ได้


 


“แข็งแกร่งจริงๆ” หานเซิ่นรู้สึกชื่นชมคู่ต่อสู้ของเขา และเขาก็ยอมรับว่าถ้าไม่ใช้ท่าตบขั้นสุดยอด การจะเอาชนะคู่ต่อสู้คนนี้คงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าเขาไม่ได้เป็นระดับดยุก


 


การระเบิดเขาให้เป็นชิ้นๆด้วยวิชาเบรกซิกซ์สกายก็อาจจะไม่ได้ผลเช่นกัน เพราะเขาจะประกอบตัวเองขึ้นมาใหม่และแข็งแกร่งยิ่งไปกว่าเดิม


 


เมื่อดูจากวิธีการที่บาร์แข็งแกร่งขึ้นแล้ว หานเซิ่นก็พอจะคาดเดาได้ว่าบาร์ใช้ความบาดเจ็บของตัวเองเป็นพลัง ด้วยเหตุนั้นยิ่งหานเซิ่นสร้างความเสียดายต่อเขามากเท่าไหร่ เขาก็จะแข็งแกร่งมากเท่านั้น


 


แต่หานเซิ่นก็สามารถบอกได้ว่าพลังที่เพิ่มขึ้นของบาร์ไม่ใช่สิ่งที่ถาวร เพราะถ้ามันถาวรล่ะก็ เขาก็คงจะไม่ได้รับความเสียหายอย่างง่ายดายในตอนแรก


 


ในตอนแรกที่เห็นบาร์ หานเซิ่นสังเกตได้ว่าพลังของเขาไม่ได้สูงไปกว่าดยุกธรรมดาทั่วไป เขาไม่ได้พิเศษไปกว่าคนอื่นๆ


 


แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของบาร์ถือเป็นที่สุดของระดับดยุก ดังนั้นถ้าการต่อสู้ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีก


 


“มันไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะพยายามมากสักแค่ไหน หานเซิ่นก็ต้องตายอยู่ดี” เดสทรอยเยอร์หลายคนยิ้มออกมา ถ้าบาร์ฆ่าหานเซิ่นได้สำเร็จ มันจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับเดสทรอยเยอร์


 


หานเซิ่นไม่สามารถฆ่าศัตรูของเขาได้ และเขาก็ไม่สามารถเสี่ยงทำให้ศัตรูบาดเจ็บมากไปกว่านี้ สถานการณ์ของเขากำลังคับขันอย่างแท้จริง


 


“ตายซะ!” บาร์กวัดแกว่งมีดกระดูกอย่างบ้าคลั่ง มันแบกพละกำลังที่พอจะทำลายภูเขาทั้งลูกได้ มันฟันเข้าไปที่หัวของหานเซิ่น


 


มีดกระดูกของเขาตัดหัวของหานเซิ่นขาดอย่างหมดจด แต่หลังจากนั้นร่างกายของหานเซิ่นก็ระเบิดราวกับลูกโป่งน้ำ ซึ่งมันเป็นร่างโคลนจากวิชาจันทราของหานเซิ่น


 


ตัวจริงของหานเซิ่นตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆบาร์ เขาอยู่ใกล้พอที่จะสัมผัสใบหน้าของบาร์


 


หานเซิ่นยิ้มให้กับบาร์และพูด “เจ้าแข็งแกร่ง แข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผล จนข้าฆ่าเจ้าไม่ได้”


 


“แต่แน่นอนว่าข้าฆ่าเจ้าได้” บาร์กวัดแกว่งมีดกระดูกโดยหวังจะตัดร่างของหานเซิ่นให้ขาดครึ่ง


 


หานเซิ่นเคลื่อนไหวพลิ้วไหวดังสายลม ขณะที่มีดกระดูกของบาร์ตัดผ่านสามลมตามเขาไปติดๆ แต่มันยังคงมีระยะห่างระหว่างมีดกระดูกและหานเซิ่นอยู่ มันมีคลื่นที่มองไม่เห็นช่วยให้หานเซิ่นหลบมีดกระดูกของบาร์


 


“ถึงข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ข้าเอาชนะเจ้าได้!” หานเซิ่นหัวเราะ


 


“ข้าคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว ถ้าเขาฆ่าบาร์ไม่ได้ อย่างนั้นแล้วเขาจะเอาชนะบาร์ได้ยังไง?” เดสทรอยเยอร์ระดับดยุกพูด


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นยกปืนพกที่มีตัวอักษรมนตราสลักอยู่ขึ้นมา เขาเล็งไปที่ร่างกายของบาร์และเหนี่ยวไก


 


ปัง!


 


กระสุนพุ่งออกจากปากกระบอกปืน มันพุ่งไปถูกหน้าผากของบาร์และสลายกลายเป็นผุยผง


 


“พลังนี่อีกแล้วหรอ? ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว และข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง พลังปิดผนึกของเจ้าไม่ได้ผลกับข้า ขณะที่ข้ามีพลังเคออสอยู่”


บาร์มองหานเซิ่นด้วยความดูถูก ก่อนที่เขาจะพยายามใช้มีดกระดูกฟันใส่หานเซิ่นอีกครั้ง


 


แต่หลังจากที่เขายกมีดกระดูกขึ้นมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป แผ่นน้ำแข็งเริ่มก่อตัวขึ้นบนหน้าผากของเขาและแพร่กระจายออกไปทั่วร่าง ก่อนที่เขาจะทำอะไรได้ ร่างกายของเขาก็ถูกแช่แข็งไปอย่างสมบูรณ์ เขากลายเป็นเหมือนกับรูปปั้นน้ำแข็ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)