Super God Gene 2147-2154

ตอนที่ 2147

 

หานเซิ่นปล่อยให้ข่านเข้ามาในค่ายเพื่อพูดคุยกันต่อ ข่านเริ่มพูดทันที


“พวกเจ้าอาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ข้ากำลังจะบอก แต่พวกเราทั้งหมดถูกขังอยู่ในโลกแห่งนี้”


 


“เจ้าหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“ตั้งแต่ที่พวกเจ้าเข้ามาในเมทัลเวิลด์ พวกเจ้าได้ลองติดต่อโลกภายนอกหรือยัง?” ข่านพูด


 


หานเซิ่นและอวี้เอียะมองหน้ากัน หลังจากนั้นก็หันกลับไปมองข่านโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป


 


ข่านถอนหายใจและพูดต่อ “มันเป็นเรื่องดีที่พวกเจ้ายังไม่ได้ทำการติดต่อ ข้าขอแนะนำว่าอย่าได้ลองทำอะไรแบบนั้น มาร์ควิสเผ่าเดม่อน 2 คนเคยพยายามที่จะออกไป แต่ในระหว่างที่พวกเขาพยายามทำแบบนั้น พวกเขาก็ถูกฆ่าตาย เหตุการณ์แบบเดียวกันก็เกิดขึ้นกับทางบุดด้า ดราก้อนและเดสทรอยเยอร์เช่นกัน ไม่มีใครจะออกไปจากดาวดวงนี้ได้ ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อล่ะก็ พวกเจ้าก็ลองดูได้ แต่อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนล่ะกัน”


 


“คนที่พยายามจะออกไปถูกฆ่าตายยังไง?” ยวิ๋นอี้ถาม


 


“พวกเขาตกลงมาตาย” ข่านพูด


 


“ตกลงมาตาย?” หานเซิ่นและคนอื่นขมวดคิ้ว


 


“พวกเจ้าเคยเล่นกับยางรัดไหม? ยิ่งพวกเจ้าดึงมันไกลมากเท่าไหร่ แรงที่ต้องใช้ก็มากขึ้นเท่านั้น ในตอนที่พวกเจ้าเข้ามาในดวงดาวนี้ ร่างกายของพวกเจ้าก็ตกอยู่ภายใต้กฎของมัน ถ้าพวกเจ้าพยายามจะบินขึ้นไป พวกเจ้าก็จะรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่พยายามลากตัวเจ้าลงมา ซึ่งยิ่งพวกเจ้าบินสูงขึ้นเท่าไหร่ ความรุนแรงของพวกมันก็มากขึ้นเท่านั้น จนที่สุดแล้วแม้แต่มาร์ควิสที่แข็งแกร่งก็จะถูกดึงกลับลงมาสู่ความตาย” ข่านพูด


 


“สิ่งที่เจ้าพูดถึงมันก็เป็นแค่แรงโน้มถ่วงไม่ใช่หรอ? ทำไมเจ้าต้องทำให้มันดูซับซ้อนด้วย?” ไวท์เรียลพูด


 


ข่านสายหัว “มันไม่ใช่แรงโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วงนั้นจะอ่อนแอลง ถ้าพวกเราออกห่างจากดวงดาว แต่แรงนี้จะเพิ่มขึ้นตามระยะห่างจากพื้นผิว และเมื่อพวกเจ้าทนต่อมันไม่ไหวและถูกลากกลับลงมา พวกเจ้าก็จะชนเข้ากับพื้นด้วยความรุนแรงที่ไม่มีร่างของมาร์ควิสคนไหนจะทนได้”


 


“เจ้าต้องบินสูงสักแค่ไหนก่อนจะสัมผัสได้ถึงพลังนี้?” หานเซิ่นถาม


 


“หนึ่งหมื่นเมตร” ข่านตอบอย่างรวดเร็ว


 


“อเด” อวี้เอียะหันไปมองมาอสูรมาร์ควิสที่แข็งแกร่งตัวหนึ่ง


 


มาร์ควิสที่ดูเหมือนกับสิงโตตัวนั้นตอบสนองด้วยการกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


เมื่อมันผ่านระดับหนึ่งหมื่นเมตรแล้ว มาร์คริสสิงโตก็เริ่มช้าลงราวกับว่ากำลังคลาน


 


มันยังคงบินสูงขึ้นไป แต่ด้วยความเร็วที่ต่ำมาก หลังจากผ่านไปสักพัก เมื่อไปถึงที่ความสูง 13,000 เมตรแล้ว มันก็หยุดไปอย่างสมบูรณ์


 


“อเด กลับมา!” อวี้เอียะตะโกน


 


อเดเริ่มทำตามคำสั่ง แต่ก่อนที่มันจะหันกลับมา พลังอันน่ากลัวก็ผลักมันลงมาสู่พื้นด้วยความเร็วสูง


 


ปัง!


 


ร่างของอเดเป็นเหมือนกับลูกอุกกาบาตที่กำลังตกลงมา มันชนเข้ากับพื้นโลหะด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ หานเซิ่นวิ่งเข้าไปหามันในทันที และสังเกตเห็นว่าร่างกายของอเดเละเทะราวกับเค้กที่บดขยี้


 


อเดคำรามและแสงศักดิ์สิทธิ์เข้าปกคลุมร่างกายของมัน หลังจากนั้นมันก็กลับสู่สภาพปกติ


 


“ตอนนี้พวกเจ้าอยากจะร่วมมือแล้วใช่ไหม?” ข่านยิ้ม


 


พวกเขากลับเข้ามาในค่ายและเริ่มพูดคุยกันถึงข้อตกลงของการร่วมมือ


 


ในขณะเดียวกันข่านก็อธิบายถึงสิ่งที่พวกเขาได้รู้เกี่ยวกับดาวดวงนี้ เดม่อนและบุดด้าเป็นเผ่าแรกที่ค้นพบเมทัลเวิลด์ การต่อสู้หนึ่งได้ดึงดูดให้พวกเขาไปในบริเวณที่ไม่ค่อยมีใครเดินทางผ่าน และขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป พวกเขาก็มาเจอกับดาวดวงนี้เข้า


 


ทั้ง 2 เผ่าพันธุ์ส่งคนของตัวเองไปสำรวจเมทัลเวิลด์ แต่ด้วยเหตุบางอย่าง ข่าวเรื่องดวงดาวนี้ก็รั่วไหลออกไปยังเผ่าพันธุ์อื่นๆ ซึ่งทำให้ดราก้อน เดสทรอยเยอร์และปราสาทนภาส่งคนของพวกเขามาด้วย


 


หลังจากที่เหล่ามาร์ควิสถูกส่งมาเหยียบลงบนผิวของดวงดาว พวกเขาก็ได้รู้ว่าที่นี่น่ากลัวถึงขนาดไหน และหลังนั้นพวกเขาก็ยังค้นพบอีกว่าไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้


 


ดราก้อน เดสทรอยเยอร์และบุดด้าจึงเริ่มสร้างพันธมิตรกัน พวกเขาฆ่าเดม่อนเกือบทั้งหมดที่ข่านพามาที่ดวงดาวแห่งนี้ ดังนั้นเมื่อข่านสังเกตเห็นคนของปราสาทนภา เขาก็มาหาด้วยความหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือ


 


อวี้เอียะมองไปที่ข่านและพูด “ข่าวเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ถูกปล่อยออกไปเพราะพวกเจ้าพบอะไรบางอย่างผิดปกติใช่ไหม? พวกเจ้าล่อเผ่าพันธุ์อื่นมาที่นี่ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทางดราก้อนและเดสทรอยเยอร์จับมือกับทางบุดด้าเพื่อกำจัดพวกเจ้า ที่ข้าพูดถูกใช่ไหม?”


 


ข่านถอนหายใจและพูด “ข้าติดแหง็กอยู่ที่นี่มาโดยตลอด แล้วแบบนั้นข้าจะติดต่อกับโลกภายนอกได้ยังไง ข้าไม่รู้ว่าเป็นเผ่าเดม่อนจริงๆหรือเปล่าที่ปล่อยข่าวออกไป”


 


หลังจากนั้นข่านก็หัวเราะและพูดต่อ “แต่ถึงแม้พวกเราจะเป็นคนที่ปล่อยข่าวออกไปจริงๆ มันก็ไม่ควรจะส่งผลกระทบอะไรต่อการร่วมมือกันของพวกเรา”


 


“ทำไมพวกเราถึงต้องเข้าร่วมมือกับเจ้าด้วย? ในเมื่อเผ่าดราก้อนดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า” หานเซิ่นถามอย่างสงบ


 


ดูเหมือนข่านรู้อยู่แล้วว่าหานเซิ่นจะพูดแบบนี้ เขายิ้มออกมาและพูด


“เมื่อพวกเขาสร้างพันธมิตรขึ้นมาแล้ว มันก็ทำให้พวกเขาถือไพ่เหนือกว่า ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจะไม่แบ่งปันข้อมูลอะไรกับพวกเจ้า พวกเขาต้องการเก็บผลประโยชน์เอาไว้เป็นของตัวเองเท่านั้น”


 


“ผลประโยชน์อะไร?” หานเซิ่นถาม


 


ถ้าเผ่าพันธุ์อื่นติดอยู่ที่นี่เหมือนกัน ตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขาก็ควรจะเป็นการร่วมมือกันเพื่อหาทางออกไปจากที่นี่ แต่พวกเขากลับร่วมมือกันโจมตีเผ่าเดม่อนแทน ด้วยเหตุนั้นมันดูเหมือนว่ามีเรื่องบางอย่างที่ข่านยังไม่เปิดเผยออกมา


 


“2 ทีมแรกที่เดินทางมาที่นี่ได้ค้นพบโบราณสถานแห่งหนึ่ง ซึ่งมันอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยยอดฝีมือระดับเทพเจ้า ตอนนี้ทั้ง 3 เผ่าพันธุ์กำลังเฝ้ามันเอาไว้ ถ้าพวกเราร่วมมือกันล่ะก็ พวกเราก็อาจจะเอาชนะพวกเขาและชิงสมบัติมาเป็นของพวกเราได้ ปราสาทนภาแข็งแกร่งก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเจ้าก็ต่อสู้กับ 3 เผ่าพันธุ์ไม่ได้” ข่านพูดอย่างมั่นใจ


 


ข่านบอกข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานนั้นเพิ่มเติม และหานเซิ่นก็ส่งใครบางคนออกไปเพื่อยืนยันความจริงของเรื่องราว


 


แต่ข่านยังคงไม่ยอมบอกข้อมูลทั้งหมด เขายิ้มและพูด


“พวกเราเดม่อนและบุดด้าค้นพบโบราณสถานในเวลาเดียวกัน พวกเรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับมันเท่ากับที่พวกเขารู้ อย่างนั้นแล้วมันก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรที่พวกเราจะร่วมมือกันใช่ไหม?”


 


หานเซิ่นและอวี้เอียะทำการปรึกษากัน พวกเขาทั้งคู่เห็นตรงกันว่าการสร้างพันธมิตรกับเดม่อนเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นหานเซิ่นจึงให้ยวิ๋นอี้และอวี้เอียะจัดการเรื่องรายละเอียดต่างๆของการร่วมมือกัน


 


“พวกเราควรเคลื่อนไหวในตอนที่พายุแม่เหล็กยังเป็นสีฟ้า และเมื่อพวกเราเข้าไปในโบราณสถานได้แล้ว พวกเราก็จะปลอดภัยและไม่ถูกมอนสเตอร์พวกนั้นโจมตี” ข่านอธิบาย


 


ข่านมีความลับหลายอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ของเขาเป็นเรื่องจริง และมันก็ช่วยประหยัดเวลาให้พวกหานเซิ่นได้มาก และถ้าทางดราก้อนโจมตีพวกเขาขณะที่อยู่ในโบราณสถาน การร่วมมือกับเดม่อนก็จะช่วยปกป้องชีวิตของพวกเขา


 


หลังจากที่ยืนยันเวลาที่พายุแม่เหล็กจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าและตำแหน่งของโบราณสถานได้แล้ว พวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง ในระหว่างทางเดม่อนคนอื่นที่เหลือรอดอยู่ก็มาสมทบกับพวกเขา


 


ทางเดม่อนอยู่ในสภาพที่เลวร้ายกว่าที่หานเซิ่นจินตนาการเอาไว้มาก นอกจากข่านแล้ว มันก็เหลือมาร์ควิสอีกแค่ 20 คนเท่านั้น แถมพวกเขาทั้งหมดยังได้รับบาดเจ็บ 

 

 


ตอนที่ 2148

 

เมืองขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่บนภูเขาโลหะลูกหนึ่ง ซึ่งเมืองนั้นก็ทำขึ้นมาจากโลหะสีดำเช่นเดียวกับภูเขา ทำให้มันดูเหมือนกับเป็นเมืองที่ถูกแกะสลักจากภูเขาแทนที่จะถูกสร้างขึ้นมา


 


เมื่อมองจากระยะไกล ตัวเมืองและภูเขาจะกลมกลืนกันจนแยกไม่ออก


 


ยอดโลหะแหลม 2 ข้างที่สูงกว่าหนึ่งพันเมตร ก่อตัวเป็นประตูทางเข้าขนาดมหึมา ประตู 2 บานที่ใหญ่โตนั้นทำให้ผู้คนที่เดินผ่านเข้าไปรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นมดตัวหนึ่ง


 


จากระยะไกล หานเซิ่นมองเห็นข้อความบนประตูที่อ่านได้ว่าเมืองเมทัลไจแอนท์ก็อต มันถูกเขียนเอาไว้ด้วยภาษาที่หานเซิ่นเคยเห็นในจักรวาลจีโน


 


เมื่อเห็นเมืองขนาดใหญ่ยักษ์กำลังหมอบอยู่บนภูเขาราวกับอสูร หานเซิ่นก็ขมวดคิ้วและพูด “เมืองนี้มีขนาดใหญ่จริงๆ แม้แต่เผ่าพันธุ์ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นก็ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากมายขนาดนี้”


 


“นานมาแล้วไจแอนท์เป็นหนึ่งในสิบเผ่าพันธุ์ชั้นสูง พวกเขาอยู่ในกลุ่มที่ถูกเรียกว่าเบรกสกาย เบรกสกายนั้นมีปัญหาในการสืบสายพันธุ์และประชากรของพวกเขาก็ลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งพวกเขาสูญพันธุ์ เว้นแต่ไม่กี่คนที่เลือกผสมพันธุ์กับสายพันธุ์อื่น พวกเราเชื่อว่าเมืองๆนี้คือที่อยู่อาศัยของยอดฝีมือระดับเทพเจ้าของเบรกสกาย” ข่านพูด


 


หลังจากหยุดชั่วครู่ ข่านก็พูดต่อ “หลังจากที่เข้าไปในเมือง พวกเราขุดพบข้อความที่กล่าวถึงเบรกสกาย รอยแกะสลักนั้นเปิดเผยว่าที่นี่คือเมืองของเบรกสกาย แต่ในช่วงหนึ่ง มันเกิดการต่อสู้ที่ทำให้เมืองแห่งนี้ไปสู่ความล่มสลาย แต่ที่แปลกก็คือว่าในตอนที่พวกเราเข้าไปสำรวจในเมืองนั้น พวกเราไม่พบเศษร่างหรือศพของพวกเขาเลย”


 


เนื่องจากประตูหลักปิดสนิทและไม่มีใครสามารถเปิดมันได้ ข่านจึงพาพวกเขาไปทางด้านซ้ายของตัวเมืองที่มีรอยแตกของกำแพงอยู่ ซึ่งถ้ากำแพงไม่แตกเป็นรูล่ะก็ พวกเขาก็คงจะเข้าไปข้างในไม่ได้


 


เนื่องจากเข้าไปทางด้านบนเต็มไปด้วยอันตราย เพราะใครก็ตามที่สร้างเมืองนี้ขึ้นมาจะต้องเตรียมระบบป้องกันเรื่องนั้นเอาไว้แล้ว


 


เมื่อพวกเขารอดผ่านกำแพงเข้าไปข้างใน หานเซิ่นก็สังเกตเห็นค่ายตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นของบุดด้า ดราก้อนและเดสทรอยเยอร์


 


แต่มันน่าแปลกที่ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนส่งคนมาคอยเฝ้ารูบนกำแพงเมืองเลย จริงๆแล้วมันไม่มีวี่แววใครอยู่แถวๆนี้เลยด้วยซ้ำ


 


“น่าแปลกจริงๆ ดูเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้วอย่างไงอย่างงั้น หรือว่าบางทีนี่อาจจะเป็นกับดัก?” ไวท์เรียลมองไปที่ค่ายข้างหน้าอย่างเป็นกังวล


 


ข้าวของต่างๆกระจัดกระจายไปทั่ว แต่มันไม่ได้มีรองรอยการต่อสู้เกิดขึ้น มันดูเหมือนกับว่าพวกเขาหลบหนีไปจากที่นี่อย่างรีบร้อน


 


“นี่ไม่ใช่กับดัก มันไม่มีใครอยู่ที่นี่จริงๆ” อวี้เอียะพูด


 


หานเซิ่นพาทีมของเขาเดินไปสำรวจรอบๆ และเมื่อแน่ใจว่าทีมจากเผ่าพันธุ์อื่นไม่อยู่ที่นี่แล้วจริงๆ พวกเขาก็เริ่มเก็บเสบียงและข้าวของที่ถูกทิ้งเอาไว้ พวกเขาพบว่าภายในค่ายยังมีจีโนฟลูอิดทั้งเอาไว้อีกด้วย


 


“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหนีไปจากที่นี่อย่างเร่งรีบ พวกเขาไม่แม้แต่จะเก็บจีโนฟลูอิดพวกนี้ไปด้วย” หานเซิ่นหันมามองข่าน


 


ข่านเข้าใจหานเซิ่น “บางทีพวกเขาอาจจะพบอะไรบางอย่างภายในโบราณสถานนี้ ทำให้พวกเขาตื่นเต้นเกินไปจนเก็บข้าวของติดตัวไปด้วย?”


 


“บางทีมันอาจจะไม่ใช่ว่าพวกเขาค้นพบอะไรบางอย่าง บางทีมันอาจจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นทำให้พวกเขาต้องรีบหนีไป” อวี้เอียะพูด


 


“นั่นก็เป็นไปได้ แต่พวกเราไม่เห็นร่องรอยของการต่อสู้เลยนี่สิ” ข่านครุ่นคิดอีกครั้ง หลังจากนั้นจู่ๆเขาก็หยุดชะงักไป


 


มันไม่ใช่แค่ข่านเท่านั้น ทุกคนหน้าซีดไป ขณะที่พวกเขามองไปที่ด้านนอกของตัวเมือง


 


ดวงตาสีแดงมากมายนับไม่ถ้วนลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า เมื่อดวงตาที่เรืองแสงนั้นเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ มันก็เผยให้เห็นมอนสเตอร์ที่มีร่างทองแดงเหมือนกับแมลงปอ


 


ฝูงแมลงปอเริ่มพากันบินเข้ามาในรูของกำแพง


 


“เกิดอะไรขึ้น? นี่มันเป็นเวลาที่พายุแม่เหล็กเป็นสีฟ้า! แล้วทำไมมอนสเตอร์โลหะพวกนั้นถึงได้ปรากฏตัวมาในเวลาแบบนี้?” อวี้เอียะหันไปมองข่าน


 


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราไม่เคยเห็นซีโน่เจเนอิคโลหะตอนที่พายุแม่เหล็กเป็นสีฟ้ามาก่อน และแม้แต่ตอนที่พายุแม่เหล็กเปลี่ยนเป็นสีแดง พวกมันก็ไม่เคยเข้ามาในตัวเมือง นี่ดูท่าไม่ดีแล้ว พวกเราควรจะรีบหนีไปจากที่นี่” ข่านพูด หลังจากนั้นเขาก็นำทีมพวกเดม่อนเข้าไปในโบราณสถาน


 


หานเซิ่นและอวี้เอียะมองหน้ากัน พวกเขาตัดสินใจพาคนของปราสาทนภาเข้าไปในโบราณสถานเช่นเดียวกัน


 


แมลงปอพวกนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับมาร์ควิส และจำนวนของพวกมันก็เยอะเกินไป ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะต่อสู้กับพวกมันโดยไม่เกิดการสูญเสีย


 


มาร์ควิสของปราสาทนภาและเดม่อนตรงเข้าไปหลบภายในโบราณสถานร่วมกัน ข่านที่อยู่ด้านหน้าสุดตะโกน ขณะที่วิ่งไปข้างหน้า


“มันมีปราสาทอยู่ข้างหน้า พวกเราจะเข้าไปหลบในนั้น”


 


หานเซิ่นเห็นสิ่งก่อสร้างที่ข่านพูดถึงก่อนหน้านั้นแล้ว ปราสาทนั้นใหญ่โตเหมือนกับภูเขาลูกหนึ่ง มันใหญ่ซะจนหานเซิ่นคิดว่าแม้แต่คนที่ตาบอดก็มองเห็นมันได้ แต่ประตูของปราสาทปิดสนิท และเขาไม่รู้ว่าจะเปิดมันได้ยังไง


 


“ข้าเคยมาที่นี่ มันมีช่องว่างอยู่ที่กำแพงของปราสาท พวกเราควรจะรอดผ่านมันเข้าไปและใช้สร้างสิ่งกรีดขวางทางเข้าจากภายใน แบบนั้นการจะรับมือกับพวกมันก็จะเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามาก” ข่านพูดขณะที่วิ่งไปอีกด้านหนึ่งของปราสาท


 


หานเซิ่นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆตลอดเหตุการณ์ทั้งหมดนี่ แต่เขาก็พาศิษย์ของปราสาทนภาตามหลังข่านไป ไม่นานเขาก็เห็นรูตรงหน้า มันมีรูปร่างเหมือนกับกำปั้น ราวกับว่ามันเกิดขึ้นจากการถูกชกด้วยหมัด


 


ซีโน่เจเนอิคโลหะไล่ตามมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาไม่มีเวลาจะลังเลขณะที่รีบสไลด์ผ่านกำแพงเข้าไป หานเซิ่นและอวี้เอียะเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปในปราสาทนั้น ซีโน่เจเนอิคโลหะที่เหมือนกับแมลงปอก็บินเข้าหาพวกเขาจากด้านหลัง


 


มาร์ควิสที่เฝ้าทางเข้าอยู่ปลดปล่อยแสงเทพของพวกเขาเพื่อฆ่าซีโน่เจเนอิคโลหะ 2 ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด


 


หลังจากนั้นมาร์ควิสเดม่อนคนหนึ่งก็เรียกโล่ขนาดใหญ่ออกมาเพื่อขวางทางเข้าเอาไว้


 


ซีโน่เจเนอิคโลหะพุ่งชนใส่โล่ซ้ำๆอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ว่ามันจะพยายามสักแค่ไหน มันก็ไม่สามารถผ่านโล่นั้นมาได้


 


หานเซิ่นรีบมองไปรอบๆปราสาท แต่ก่อนที่เขาจะสังเกตภายในห้องได้อย่างละเอียด ความสนใจของเขาก็ถูกดึงดูดไปยังร่างกายที่นอนอยู่บนพื้น มันเป็นซากศพของทั้งดราก้อนและบุดด้า พวกเขาถูกฆ่าอย่างโหดร้าย


 


เกล็ดและผิวหนังถูกถลกออกจากร่างกาย แต่น่าแปลกที่เนื้อภายในของพวกเขาถูกเหลือทิ้งเอาไว้ เลือดกระจัดกระจายไปทั่ว ภาพที่ได้เห็นนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกขนลุกขึ้นมา แม้แต่หานเซิ่นที่เคยเห็นเลือดมานักต่อนักก็ยังรู้สึกแย่

 

 

 


ตอนที่ 2149

 

“เจ้าจำบุดด้าและดราก้อน 2 คนนี้ได้ไหม?” หานเซิ่นถามข่าน พวกเขาทั้งคู่สั่งให้ทีมของตัวเองถอยออกห่างจากศพ


 


ข่านตรวจสอบศพอยู่ครู่หนึ่งและพูดขึ้นมา “ข้าคิดว่าบุดด้าคนนี้คือมาร์ควิสกราส เขาเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ตรงที่ขาข้างซ้ายจะสั้นกว่าขาข้างขวา ส่วนร่างของดราก้อนคนนี้ ข้าเชื่อว่าเขาคือดราก้อนวันฮันเดรดทเวนตี้ทรี เพราะปีกของเขาไม่กว้างเท่ามาตรฐานของดราก้อน พวกเขาทั้งคู่ยังสบายดีในครั้งล่าสุดที่ข้าได้เห็นพวกเขา ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นกับพวกเขา มันก็คงจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้”


 


หานเซิ่นหันไปมองที่อวี้เอียะ อวี้เอียะมองไปที่ศพทั้ง 2 ก่อนที่จะพูดขึ้นมา


“นอกจากผิวหนังและเกล็ดของพวกเขาถูกถลกออกไปแล้ว มันก็ดูจะไม่มีบาดแผลอะไรอีก ทั้งกล้ามเนื้อและโครงกระดูกของพวกเขายังอยู่ดีทุกอย่าง แต่ทว่า…”


 


อวี้เอียะจับคางของเขาขณะที่ครุ่นคิด “พวกเขาทั้ง 2 แข็งแกร่งเกินกว่าที่จะถูกฆ่าด้วยการถลกหนัง ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจะต้องถูกโจมตีจากภายในหรืออะไรทำนองนั้น”


 


“เจ้าจะบอกว่ามันเกิดจากพลังบางอย่างที่ทะลุผ่านการป้องกันของร่างกายและสร้างความเสียหายที่ภายในอย่างนั้นหรอ? ข้ารู้เกี่ยวกับหมัดหยินหยาง แต่เมื่อดูจากศพของพวกเขาแล้ว ข้าไม่คิดว่าพวกเขาถูกฆ่าด้วยพลังแบบนั้น เพราะกระดูกและกล้ามเนื้อของพวกเขาไม่ได้รับความเสียหายเลย”


ไวท์เรียลพูดขณะที่ตรวจสอบศพอย่างระมัดระวัง ซึ่งหมัดหยินหยางนั้นจะทำให้กล้ามเนื้อภายในของพวกเขาได้รับความเสียหาย


 


อวี้เอียะครุ่นคิดอีกครั้งและพูด “ถ้ามันไม่ได้เกิดจากวิชาจีโนอย่างหมัดหยินหยาง มันก็คงจะเป็นบางสิ่งที่รุกรานร่างกายของพวกเขาจากภายใน อย่างเช่นแมลงตัวเล็กๆ”


 


“นั่นก็อาจจะเป็นไปได้” ไวท์เรียลพยักหน้า


 


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจำเป็นตรวจสอบภายในร่างกายของพวกเขา”


ข่านส่งสัญญาณบอกมาร์ควิสเดม่อนคนหนึ่ง คนๆนั้นชักมีดออกมาและเดินเข้าไปหาศพของบุดด้า


 


แต่อวี้เอียะหยุดมาร์ควิสเดม่อนคนนั้นเอาไว้ “ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรไปแตะต้องศพของพวกเขา”


 


“แล้วถ้าเกิดมีอะไรอยู่ข้างในจริงๆล่ะ? พวกเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อเหมือนทั้ง 2 คนนี้หรอกหรอ” ข่านพูด


 


“ถ้ามันมีอะไรอยู่ภายในร่างกายของพวกเขาจริงๆ มันก็จะไม่มีอันตรายอะไร ตราบใดที่มันยังอยู่ภายในศพ แต่ถ้าพวกเราไปตัดร่างของพวกเขาและปล่อยให้มันออกมาภายนอก แบบนั้นจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเรา ข้าคิดว่าพวกเราควรจะปิดผนึกศพพวกนี้ซะ” อวี้เอียะพูด


 


“ข้าไม่เห็นด้วย” ข่านคัดค้าน “หานเซิ่น เจ้าคิดว่ายังไง?”


 


“ทำอย่างที่อวี้เอียะพูด” หานเซิ่นตอบ


 


“ก็ได้ ถ้านั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้า พวกเราก็จะทำตาม แต่คนของข้าไม่ถนัดการใช้พลังปิดผนึก” ข่านพูด


 


หานเซิ่นพยักหน้า อวี้เอียะก็เรียกมาร์ควิสของปราสาทนภาคนหนึ่งที่ถนัดพลังปิดผนึกมาและให้เขาสร้างพลังเพื่อคอบศพทั้ง 2 เอาไว้


 


หานเซิ่นมองไปรอบๆห้องและเห็นประตูบานหนึ่งที่เปิดออกไปสู่อุโมงค์ยาว แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันนำไปที่ไหน


 


“ยวิ๋นอี้ เจ้าจะวิเคราะห์เกี่ยวกับโครงสร้างของปราสาทนี้ได้ไหม?” หานเซิ่นหันไปถามยวิ๋นอี้


 


“ตอนนี้ยังเป็นเรื่องยาก ข้าจำเป็นต้องได้เห็นภายในของปราสาทมากกว่านี้ก่อน ถึงจะระบุโครงสร้างของมันได้”


 


“อวี้เอียะ เจ้าและคนอื่นๆเฝ้าที่นี่เอาไว้ ข้าจะไปดูรอบๆกับยวิ๋นอี้” หานเซิ่นพูด


 


“นั่นมันอันตรายเกินไป เจ้าควรให้ข้าไปด้วยอีกคน” อวี้เอียะพูด


 


หานเซิ่นปฏิเสธที่จะให้อวี้เอียะไปด้วย เขามั่นใจในใบเสมาราชาแมลงปีศาจ ถึงเขาจะไปเจอกับศัตรูระดับราชัน เขาก็จะไม่เป็นอะไร


 


“ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” ข่านพูด


 


“เอางั้นก็ได้” หานเซิ่นพยักหน้าให้กับเขา


 


แต่ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในอุโมงค์ มาร์ควิสที่กำลังขวางทางเข้าเอาไว้ก็ตะโกนขึ้นมา “มันมีซีโน่เจเนอิคระดับสูงกว่ามาร์ควิสกำลังโจมตีใส่โล่ของข้าอยู่! ข้าคงจะขวางมันเอาไว้ได้อีกไม่นาน”


 


“ทุกคนรีบหนีเข้าไปในอุโมงค์เร็วเข้า” ข่านรีบออกคำสั่ง


 


ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเดินหน้าต่อไป เมื่อทุกคนเข้าไปในห้องโถงเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็รีบปิดประตู หลังจากนั้นพวกเขาก็จึงใช้พลังในการปิดผนึกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับประตูอีกชั้นหนึ่ง


 


อุโมงค์ที่พวกเขาเข้าไปมีหลากหลายเส้นทาง ซึ่งเส้นทางแต่ละเส้นนั้นนำไปสู่ปราสาท พวกเขาเลือกเส้นทางด้านขวาที่ดูเหมือนจะใกล้ที่สุด ปราสาทที่ใหญ่ยักษ์ดูสะอาดมากๆ และมันมีรูปปั้นโลหะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้า มันเป็นรูปปั้นของไจแอนท์ที่ดูแตกต่างออกไปเล็กน้อย


 


เมื่อพวกเขาเข้าไปข้างใน พวกเขาก็พบศพของดราก้อนและบุดด้าอีกจำนวนมาก


 


“นี่มันแปลกจริงๆ ข้าคิดว่ามันเป็นพันธมิตรระหว่าง 3 เผ่าพันธุ์ซะอีก แต่ทำไมพวกเราเห็นแค่ศพของพวกดราก้อนและบุดด้าล่ะ? ร่างกายของเดสทรอยเยอร์อยู่ที่ไหน? พวกเขาเป็นแค่เผ่าพันธุ์เดียวที่หนีรอดไปได้อย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นอี้พูดด้วยสีหน้าสับสน


 


“มันแปลกจริงๆนั่นแหละ” ข่านพยักหน้าเห็นด้วย เขาเดินไปรอบๆสิ่งก่อสร้าง ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ข้างๆรูปปั้นรูปหนึ่ง หานเซิ่นมองไปที่รูปปั้นนั้นและสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง


 


ขณะที่หานเซิ่นสังเกตรูปปั้นอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง ทันใดนั้นปากของรูปปั้นก็เปิดออกและเผยให้เห็นดวงตาสีแดงที่เหมือนกับดวงไฟ


 


“ตั้งค่ายกล!” หานเซิ่นออกคำสั่ง อวี้เอียะปลดปล่อยพลังของเขาออกมา ดาบแสงบินออกจากร่างกายของเขาและไปอยู่เหนือหัวของสมาชิกปราสาทนภาแต่ละคน


 


ทุกคนยืนนั่งและปล่อยให้ดาบแสงสัมผัสกับหัวของพวกเขา หลังจากนั้นเครื่องหมายก็ปรากฏขึ้นบนหัวของทุกคน ซึ่งทำให้ความคิดของอวี้เอียะสามารถถ่ายทอดไปสู่ทุกคนผ่านเครื่องหมายรูปดาบนั่น


 


ทันทีที่พวกเขาจัดตั้งค่ายกลตามคำสั่งของอวี้เอียะ บางสิ่งบางอย่างก็ออกมาจากรูปปั้น มันเป็นแมงมุมโลหะที่มีสีขาวดำ ดวงตาของมันดูเหมือนกับก้อนทองแดง


 


แมงมุงโลหะไม่รอช้าและวิ่งเข้าหาพวกเขาทันที ขณะที่ด้านหลังของมันมีแมงมุมหลั่งไหลออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 


ข่านสั่งให้พวกเดม่อนต่อสู้เช่นกัน แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีความสามารถในการถ่ายทอดความคิดเหมือนกับอวี้เอียะ พวกเขาจึงไม่ได้ประสานงานกันดีเหมือนกับทางปราสาทนภา


 


หานเซิ่นและคนอื่นๆฟังคำสั่งจากอวี้เอียะ ขณะที่พวกเขาต่อสู้กับพวกแมงมุม ไม่นานพวกเขาก็ฆ่าแมงมุมได้เป็นฝูง


 


เมื่อหานเซิ่นเห็นพลังของอวี้เอียะ มันก็ทำให้เขานึกถึงหนิงเยวี่ย หนิงเยวี่ยนั้นเป็นผู้บัญชาการที่ยอดเยี่ยม และจิตใจของเขาก็แข็งแกร่งอยู่เสมอ ด้วยการที่มีคนแบบนั้นอยู่ด้วย ทุกคนในทีมของหานเซิ่นก็สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่


 


“ซีโน่เจเนอิคแมงมุมผู้พิทักษ์ระดับมาร์ควิสถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”


 


หลังจากที่หานเซิ่นฆ่าหนึ่งในแมงมุมโลหะ ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาออกจากภายในรูปปั้น หลังจากนั้นแมงมุมสีแดงก็เริ่มคืบคลานออกมาจากปากของรูปปั้น 

 

 


ตอนที่ 2150

 

แมงมุมผู้พิทักษ์ดูเหมือนจะพ่นใยไม่ได้ แต่ปลายเท้าของมันแต่ละข้างนั้นแหลมคมยิ่งกว่ามีดไหนๆ แม้แต่ชุดเกราะของนักสู้ระดับดยุกก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากอุ้งเท้าของพวกมันได้


 


เมื่อแมงมุมสีแดงออกมาจากปากของรูปปั้น มันก็บินเข้ามาหาผู้บุกรุกในทันที พร้อมกับกวัดแกว่งขาทั้ง 6 ที่เหมือนกับใบมีดเข้าใส่ศัตรู


 


อวี้เอียะสั่งให้ทุกคนถอยออกไป และเมื่อหลบจากการโจมตีของเจ้าแมงมุมพ้นแล้ว พวกเขาก็ค่อยๆโอบล้อมมันเข้ามา พวกเขายกดาบขึ้นและโจมตีใส่แมงมุมอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่มันไม่ได้ผลอะไร เพราะดาบของพวกเขาเด้งออก พวกมันไม่แม้แต่จะทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้บนร่างกายของแมงมุมสีแดง


 


“เจ้าตัวใหญ่นั้นต้องเป็นระดับดยุกแน่ๆ!” ยวิ๋นอี้ตะโกน


 


อวี้เอียะพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากนั้นเขาก็ดึงดาบออกมาและออกคำสั่งให้ทุกคนจู่โจมไปที่จุดเดียวกัน พลังของพวกเขาทุกคนพุ่งเข้าไปหาแมงมุมสีแดงราวกับแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เป้าหมายที่พวกเขาเล็งก็คือปากของมัน ไม่นานพวกเขาก็ทำลายขากรรไกรของมันได้สำเร็จ พร้อมกับทำให้เจ้าแมงมุมร่วงลงมาบนพื้น


 


หลังจากที่โจมตีอีกหลายครั้ง พวกหานเซิ่นก็สามารถปิดชีวิตของแมงมุมที่ชั่วร้ายตัวนั้นได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่หานเซิ่นไม่ได้เป็นคนปิดชีวิตของมัน


 


หลังจากที่แมงมุมสีแดงตายไป มันก็ไม่มีแมงมุมตัวอื่นออกมาจากปากของรูปปั้นอีก หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็จัดการกับแมงมุมทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว


 


ไม่มีใครจากปราสาทนภาที่ได้รับบาดเจ็บ แต่เดม่อนหลายคนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ นอกจากนั้นมันยังเป็นทางปราสาทนภาที่เป็นคนจัดการกับแมงมุมสีแดง


 


‘ดูเหมือนว่าเราควรจะรีบพาหนิงเยวี่ยมาที่นี่ เขาคงจะช่วยได้มากเลย’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


“แปลกจริงๆ ด้วยพลังของทั้ง 3 เผ่าพันธุ์ การรับมือกับแมงมุมพวกนี้ก็ควรจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร แบบนั้นแล้วทำไมถึงมีศพของบุดด้าและดราก้อนมากมายอยู่ที่นี่ แถมระหว่างทางที่พวกเราเข้ามาก็ไม่มีซากศพของพวกแมงมุมเลยแม้แต่ตัวเดียว!” ยวิ๋นอี้มองไปที่ร่างของแมงมุมและขมวดคิ้ว


 


“มันเป็นเพราะพวกเราไม่ได้แตะต้องพวกแมงมุม” มีเสียงดังขึ้นมา หลังจากนั้นดราก้อนและบุดด้าหลายคนก็เดินออกมา แต่ทว่ามันไม่มีวี่แววของเดสทรอยเยอร์


 


จู่ๆสถานการณ์ก็ตึงเครียดขึ้นมา ศิษย์ของปราสาทนภาตั้งท่าเตรียมต่อสู้ แต่พวกเขาสังเกตเห็นว่าคนของบุดด้าและดราก้อนได้รับบาดเจ็บ มันดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมา


 


“อย่ากังวลไป ในตอนนี้พวกเราไม่ใช่ศัตรูของพวกเจ้า” ดราก้อนไนน์พูดขึ้นมา


 


“ดราก้อนเอท พวกเจ้าหมายความว่ายังไง?” ข่านมองไม่เห็นดราก้อนไนน์ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงถามดราก้อนเอท


 


ดราก้อนเอทพูดอย่างสงบ “เดสทรอยเยอร์หลอกพวกเรา พวกเขาคุ้นเคยกับที่นี่อยู่แล้ว และพวกเขาก็รู้ถึงความลับของมัน พวกเขาจงใจหลอกพวกเราไปยังส่วนที่เป็นอันตราย ทำให้พวกเราหลายคนถูกฆ่า หลังจากนั้นพวกเขาก็หายเข้าไปในปราสาท พวกเราไม่รู้ว่าพวกเขาพยายามจะทำอะไรกันแน่”


 


“อมิตตาพุทธ! ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังวางแผนอยู่คืออะไร มันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเรา ดูเหมือนทางเดสทรอยเยอร์ไม่อยากให้คนอื่นรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่” บุดด้ามาร์ควิสคนหนึ่งพูด


 


“เจ้ากำลังจะบอกว่าเมืองแห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับเดสทรอยเยอร์อย่างนั้นหรอ? ข้าคิดว่าเบรกสกายคือประชากรดั้งเดิมของที่นี่ซะอีก” ข่านพูดอย่างคลางแคลงใจ


 


“เมื่อพวกเขาไปที่ด้านหลังของปราสาท พวกเราไปเจอกับรูปปั้นที่มี 3 หัวและ 6 แขน มันดูเหมือนกับเผ่าเดสทรอยเยอร์ไม่มีผิด ถ้าสมมติฐานของพวกเราถูกต้องล่ะก็ ครั้งหนึ่งเดสทรอยเยอร์อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของเบรกสกาย” ดราก้อนเอทพูด


 


“ถ้านั่นเป็นความจริง พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง เดสทรอยเยอร์พยายามจะฆ่าพวกเราทั้งหมดเพื่อเก็บความลับเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาคงจะไม่ปล่อยให้พวกเราหนีรอดไปได้แน่” ยวิ๋นอี้พูด


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง “พวกเจ้าเข้าใจถูกแล้ว! อย่าแม้แต่จะคิดหนีไป ไหนๆตอนนี้พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ แบบนั้นแล้วทำไมไม่ตายอยู่ที่นี่เลย?”


 


เสียงนั้นทำให้ทุกคนตกใจ พวกเขามองไปรอบๆอยู่เป็นนาทีก่อนที่จะรู้ตัวว่าจริงๆแล้วมันดังมาจากรูปปั้น


 


ขณะที่รูปปั้นโลหะพูด ร่างกายของมันก็เริ่มเคลื่อนไหว รูปปั้นที่ก่อนหน้านี้อยู่ในท่านั่ง ตอนนี้ยืนขึ้นมา ส่วนบนของรูปปั้นทะลุเพดานขึ้นไป มันชกหมัดลงมาพร้อมกับทำลายหลังคาด้านบน


 


เมื่อเห็นรูปปั้นชกหมัดลงมาหาพวกเขา ทุกคนก็เคลื่อนที่เพื่อหลบหลีกมัน แต่หมัดไม่ใช่ภัยอย่างเดียวที่พวกเขาต้องกังวล เพราะเมื่อหลังคาด้านบนถูกทำลาย พวกซีโน่เจเนอิคที่ดูเหมือนกับแมลงปอก็เริ่มบินผ่านช่องว่างบนเพดานลงมา


 


ภายในปราสาทตกอยู่ในความโกลาหล รูปปั้นโลหะชกใส่หลังคาอีกหลายครั้ง และทำให้ทั้งปราสาทเกือบจะพังยับเยิน


 


หานเซิ่นและคนอื่นๆพยายามโจมตีใส่รูปปั้นโลหะ แต่การโจมตีของเขาแทบจะไม่ทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้เลย พวกเขาจึงตัดสินหนีออกไปทางช่องว่างที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้มันมีซีโน่เจเนอิคจำนวนมากโบยบิยอยู่บนอากาศ ทำให้การหนีของพวกเขาเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก


 


ขณะที่พวกเขาพยายามจะหนีไป มันก็เกิดระเบิดขึ้นรอบๆ รูปปั้นไจแอนท์โลหะลุกขึ้นมาจากสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลายและหันมาทางพวกเขา หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าหนึ่งในรูปปั้นโลหะสูงอย่างน้อยหนึ่งพันเมตร มันมี 3 หัวและ 6 แขน ซึ่งมันดูเหมือนกับเดสทรอยเยอร์ไม่มีผิด


 


ตอนนี้ทั้ง 4 เผ่าพันธุ์พยายามวิ่งหนีเอาตัวรอด ซีโน่เจเนอิคโลหะนับไม่ถ้วนไล่ล่าพวกเขาอย่างไม่ลดละ แถมเหล่ารูปปั้นโลหะก็น่ากลัวเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือได้ ความแข็งแกร่งของพวกมันสามารถเทียบได้กับระดับราชัน


 


รูปปั้นโลหะที่ไล่หานเซิ่นอยู่อ้าปากกว้างและพ่นไฟออกมาราวเพลิงจากขุมนรก


 


ไม่ไกลออกไปมีไจแอนท์สีฟ้าที่ดูชั่วร้ายอยู่ แสงเทพส่องสว่างออกจากอกของมัน หลังจากนั้นมันก็ปลดปล่อยลำแสงที่ยาวกว่า 50 เมตรออกมา


 


ไจแอนท์ตัวอื่นๆก็ปลดปล่อยพลังของตัวเองออกมาเช่นกัน ดวงตาของพวกมันเรืองแสงสีแดงและตรงเข้าไปหาหานเซิ่นกับคนอื่น


 


ทั้ง 4 เผ่าพันธุ์เริ่มรู้สึกสิ้นหวัง ถึงมันจะมีมาร์ควิสหลายคนที่แข็งแกร่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็เป็นแค่มาร์ควิส พวกเขาไม่สามารถต่อสู้กับรูปปั้นไจแอนท์โลหะได้


 


แถมมันยังมีซีโน่เจเนอิคแมลงปออีกจำนวนมาก และพวกเขาก็ไม่สามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้ด้วย


 


“ทุกคนมาอยู่ใกล้ๆ ข้า!” หานเซิ่นรู้ตัวว่าพวกเขาไม่มีหวังจะต่อสู้กับพวกมันได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงรีบให้ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนมารวมตัวกันรอบๆเขา อวี้เอียะส่งคำสั่งของหานเซิ่นไปสู่สมาชิกทุกคนผ่านเครื่องหมายดาบ


 


ศิษย์ของปราสาทนภารีบพากันมารวมตัวรอบๆหานเซิ่น เมื่อข่านเห็นอย่างนั้น เขาก็พาเดม่อนที่เหลือรอดอยู่ไปหาหานเซิ่นด้วยเช่นกัน


 


ทางดราก้อนและบุดด้าก็ทำแบบเดียวกัน พวกเขาบีบค่ายกลของตัวเองลงเรื่อยๆเพื่อจัดการกับซีโน่เจเนอิคแมลงปอที่เข้ามาใกล้ แต่พลังที่เหมือนกับเปลวไฟจากขุมนรกไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะป้องกันได้ ด้วยเหตุนั้นการหนีไปจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


 


ตูม!


 


เปลวไฟของรูปปั้นโลหะพุ่งเข้ามาหาพวกเขาเหมือนกับลำแสง แต่มันไม่ได้เผาผลาญพวกเขา จู่ๆก็มีใบเสมาสีปรากฏขึ้นมาและป้องกันทุกคนจากเปลวไฟที่น่าสะพรึงกลัว


 


เปลวไฟของรูปปั้นถูกปลดปล่อยเข้าไปใส่ใบเสมาของหานเซิ่นอย่างเต็มกำลัง แต่มันก็ไม่ได้ผล พวกมันไม่สามารถทำลายใบเสมาได้


 


รูปปั้นโลหะหลายสิบตัวล้อมพวกเขาเอาไว้ พวกมันวนเวียนรอบๆใบเสมาราวกับปีศาจที่หิวกระหาย 

 

 


ตอนที่ 2151

 

“หานเซิ่น ข้าเคยได้ยินชื่อของเจ้ามาก่อน แต่ข้าไม่ได้คาดคิดว่าจะได้เห็นเจ้าที่นี่”


รูปปั้น 3 หัว 6 แขนเดินมาตรงหน้าใบเสมา หัวนกที่อยู่ตรงกลางนั้นจ้องมาที่หานเซิ่น สายตาของมันเหมือนกับปีศาจที่กำลังจ้องมองทารกที่ไร้การป้องกัน


 


สำหรับหานเซิ่นและคนอื่นๆแล้ว ความแข็งแกร่งของรูปปั้นโลหะนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป ตอนนี้พวกเขาถูกล้อมอย่างสมบูรณ์ และแน่นอนว่ามันยังมีซีโน่เจเนอิคที่เหมือนกับแมลงปอบินอยู่เต็มท้องฟ้า ตอนนี้สถานการณ์เป็นอะไรที่ดูสิ้นหวัง


 


“เจ้าเป็นใคร?” หานเซิ่นถามขณะที่เงยหน้ามองรูปปั้นไจแอนท์ 3 หัว 6 แขน


 


“ชื่อของข้าคือคลีนส์มันเผ่าเดสทรอยเยอร์” รูปปั้นตอบ


 


“ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเดสทรอยเยอร์จะเป็นส่วนหนึ่งของเบรกสกาย” หานเซิ่นพูด


 


คลีนส์มันหัวเราะและพูด “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เดสทรอยเยอร์ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของเบรกสกาย พวกเราเป็นราชวงศ์ของเบรกสกาย พวกไจแอนท์หน้าโง่ก็เป็นแค่ทาสที่มีสายเลือดของพวกเราปะปนอยู่ พวกเราคือเบรกสกายที่แท้จริง”


 


“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นที่อยู่อาศัยของเบรกสกายระดับเทพเจ้าสินะ?” หานเซิ่นถาม


 


คลีนส์มันหัวเราะ “ข้ารู้ว่าเจ้าแค่พยายามจะถ่วงเวลา แต่นั่นไม่เป็นไร เดสทรอยเยอร์จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ พวกเจ้าไม่มีทางจะหนีไปได้”


 


หลังจากที่หยุดไปชั่วครู่ คลีนส์มันก็พูดต่อ “นี่เป็นที่อยู่ของเบรกสกายระดับเทพเจ้า แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของมันหายตัวไปเป็นเวลานานแล้ว รูปปั้นเบรกสกายที่เขาทิ้งเอาไว้นั้นเพียงพอที่จะทำให้พวกเราครอบครองทั้งเมทัลเวิลด์ เนื่องจากผู้คนที่เหนือกว่าระดับมาร์ควิสเข้ามาในนี้ไม่ได้ ดังนั้นมันไม่มีใครจะต่อต้านพวกเราได้ ที่นี่จะกลายเป็นซีโน่เจเนอิคสเปชของเดสทรอยเยอร์ และสำหรับพวกเจ้าแล้ว…”


 


คลีนส์มันจ้องไปที่พวกเขาแต่ละคน “ถ้าพวกเจ้ายอมแพ้แต่โดยดี เดสทรอยเยอร์จะต้อนรับพวกเจ้าเป็นสมาชิกทางสังคมของเมทัลเวิลด์”


 


“คลีนส์มัน ข้ากลัวว่าตัวเองจะไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนกับเจ้า” หานเซิ่นพูด


 


“เจ้าหมายความว่ายังไง?” ใบหน้าผู้หญิงที่อยู่ด้านขวาหันมาหาเขา


 


หานเซิ่นมองไปรอบๆและพูด “ข้าได้ยินมาว่าก่อนที่เจ้าจะเข้ามาในเมืองแห่งนี้ ที่นี่ก็เป็นสนามต่อสู้อยู่ก่อนแล้ว”


 


“แล้วมันยังไง? แน่นอนอยู่แล้วว่ามันเคยมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นโบราณสถานได้ยังไง?” ใบหน้าผู้หญิงพูด


 


หานเซิ่นหัวเราะและพูด “ถ้าพลังของเมทัลเวิลด์แข็งแกร่งพอที่จะทำให้คนนอกผ่านเข้ามาไม่ได้ และมีเพียงแค่มาร์ควิสเท่านั้นที่เข้ามาได้ นั่นก็หมายความว่าพลังจากภายนอกจะไม่ส่งผลต่อสถานที่แห่งนี้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วทำไมถึงได้มีการต่อสู้ที่อันตรายพอทีจะทำให้ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าหนีไปจากที่นี่ล่ะ?”


 


คลีนส์มันขมวดคิ้ว หลังจากนั้นใบหน้าผู้ชายของรูปปั้นก็พูดขึ้นมา


“บางทีเขาอาจจะบุกผ่าพลังของเมทัลเวิลด์เข้ามาข้างใน?”


 


“บุกผ่าพลังป้องกันที่แม้แต่ยอดฝีมือของทั้ง 5 เผ่าพันธุ์ยังทำไม่ได้น่ะหรอ? ถ้ามียอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่ทำแบบนั้นได้อยู่จริงๆ เจ้าคิดว่าเบรกสกายจะหนีจากสิ่งมีชีวิตแบบนั้นได้อย่างนั้นหรอ? และถึงพวกเขาจะหนีไปได้จริง แล้วทำไมยอดฝีมือคนนั้นถึงไม่ได้ครอบครองเมทัลเวิลด์ไปเป็นของตัวเองล่ะ?” หานเซิ่นพูดต่อ


 


“เจ้าหมายความว่ายังไง?” ใบหน้าผู้หญิงถามอีกครั้ง


 


“ถ้าการสันนิษฐานของข้าถูกต้อง เบรกสกายไม่ได้ทอดทิ้งที่นี่เพราะศัตรูจากภายนอก แต่ภัยร้ายแรงที่สุดของพวกเขามาจากภายในดาวดวงนี้”


 


“เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่?” รูปปั้นด้านข้างของคลีนส์มันดูรำคาญ


 


หานเซิ่นหัวเราะและพูด “พลังที่เป็นภัยต่อเบรกสกายนั้น ถ้ามันยังอยู่ในดาวดวงนี้จริงๆล่ะก็ ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นภัยต่อใครคนอื่น นอกจากเบรกสกาย ถ้าข้าเป็นเจ้าล่ะก็ ข้าจะไม่อวดดีแบบนั้น ถ้าเป็นข้า ข้าจะคิดหาทางหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพราะมันมีโอกาสสูงที่พวกเจ้าจะถูกฆ่าก่อนพวกเราซะอีก”


 


“ไร้สาระ! ถ้ามันยังมีอะไรแบบนั้นอยู่จริงๆ ทำไมมันถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเรา? หานเซิ่น ข้านับถือในสติปัญญาของเจ้า ด้วยเหตุนั้นข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ยอมแพ้ซะ และข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป” หัวนกยิ้มอย่างชั่วร้าย


 


หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่ให้ความสนใจกับวิธีที่จะรอดไปจากสถานการณ์ในตอนนี้ แต่สิ่งที่เขาบอกกับคลีนส์มันไม่ใช่แค่การล่อหลอก ถ้าพลังที่เป็นภัยต่อยอดฝีมือระดับเทพเจ้ามาจากดาวดวงนี้จริงๆ มันก็ไม่มีทางจะหายไปง่ายๆแบบนั้น และมันก็อาจจะยังอยู่ที่ไหนสักแห่งบนดาวดวงนี้


 


“ถ้าเจ้าอยากจะตายล่ะก็ ข้าก็จะทำให้เจ้าได้สมหวัง” คลีนส์มันสั่งให้รูปปั้นเบรกสกายเริ่มโจมตีใส่ใบเสมาอีกครั้ง


 


รูปปั้นเบรกสกายปลดปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมาเพื่อทำลายใบเสมาราชาแมลงปีศาจของหานเซิ่น ใบเสมาสีฟ้าเริ่มสั่นสะเทือนและมันดูพร้อมที่จะแตกสลายทุกเมื่อ


 


หานเซิ่นคิดว่าสถานการณ์กำลังคับขัน รูปปั้นเบรกสกายแต่ละรูปนั้นมีพลังระดับราชัน ถ้าหานเซิ่นย่อขนาดของใบเสมาราชาแมลงปีศาจเพื่อป้องกันตัวเองแค่คนเดียว ความแข็งแกร่งของมันก็มากพอที่จะป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายได้ แม้แต่ราชันสิบคนโจมตีพร้อมๆกัน พวกเขาก็ไม่สามารถเจาะทะลุการป้องกันของมันได้ แต่ตอนนี้หานเซิ่นขยายใบเสมาราชาแมลงปีศาจเพื่อป้องกันศิษย์ของปราสาทนภาหนึ่งร้อยคนและยังคนของเผ่าเดม่อน บุดด้าและดราก้อนอีก นั่นทำให้ความแข็งแกร่งของมันลดลงอย่างมากและไม่สามารถทนต่อการโจมตีของรูปปั้นนับสิบได้


 


เมื่อเห็นว่าใบเสมาเริ่มสั่นสะเทือน พวกเขาก็รู้ว่ามันกำลังจะพังทลายในเร็วๆนี้ ทุกคนเริ่มจะหนีออกไปจากใบเสมา หานเซิ่นรู้ว่าถึงจะเตะพวกเดม่อน บุดด้าและดราก้อนออกไป ใบเสมาราชาแมลงปีศาจของเขาก็ไม่เพียงพอที่จะป้องกันคนของปราสาทนภาอยู่ดี


 


“หานเซิ่น ปล่อยพวกเราออกไป! แบบนั้นบางคนอาจจะรอดไปได้” ดราก้อนเอทตะโกนเมื่อรู้ว่าใบเสมากำลังจะพังทลาย


 


“อมิตตาพุทธ! พวกเราต้องสู้” มาร์ควิสบุดด้าพูด


 


ข่านขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เขารู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้คับขันอย่างมาก


 


หานเซิ่นอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะพูด พื้นดินก็เริ่มสั่นไหวราวกับแผ่นดินไหวลูกใหญ่กำลังมา หลังจากนั้นมันก็มีหลุมขนาดมหึมาเกิดขึ้นภายในเมือง พื้นผิวโลหะเริ่มจะร่วงลงไปในหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง เสียงระเบิดดังออกมาจากหลุมนั้น ซึ่งบ่งบอกว่ามีบางสิ่งที่ใหญ่โตกำลังออกมา


 


รูปปั้นเบรกสกายทั้งหมดหยุดโจมตีหานเซิ่นและหันความสนใจไปที่หลุมไร้ก้น


 


ซีโน่เจเนอิคแมลงปอต่างพากันบินหนีไปอย่างแตกตื่น ถ้ามันมีพลังที่ทำให้ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าทอดทิ้งดวงดาวของตัวเองไปจริงๆ มันก็คงจะฆ่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางของมัน


 


‘ไม่มีทาง! เราเดาถูกหรอเนี่ย?’ หานเซิ่นยิ้มแห้งๆออกมา


 


รูปปั้นเบรกสกายที่ถูกสั่งโดยคลีนส์ก้าวถอยออกไป พวกมันจ้องมองไปที่หลุมขนาดใหญ่ยักษ์

 

 

 


ตอนที่ 2152

 

พวกเขารออยู่สักพัก แต่มันก็ยังไม่มีอะไรออกมาจากหลุมนั่น และยิ่งเวลาผ่านไป ความถี่ของเสียงระเบิดแต่ละครั้งก็ห่างจากกันไปเรื่อยๆ


 


ขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองด้วยความสับสน สายตาของเขาก็เหลือบไปมองที่ด้านข้างของหลุม มันมีอุ้งมือสีขาวพร้อมกับกรงเล็บโลหะยื่นออกมาจากหลุม กรงเล็บนั้นดูแหลมคม แต่อุ้งมือมีขนาดพอๆกับมือของเด็กทารกเท่านั้น


 


อุ้งมือน้อยๆคำไปรอบๆเพื่อสัมผัสพื้น เมื่อมันจับขอบหลุมและเริ่มจะดึงตัวเองขึ้นมา ใบหน้าโลหะสีขาวก็เผยให้เห็น ดวงตาของมันกลมโต


 


เมื่อมันโผล่ออกมาจากหลุมแล้ว ทุกคนก็มองเห็นมันอย่างชัดเจน มันเป็นอสูรสีขาวตัวน้อยที่ดูคล้ายคลึงกับตัวนิ่ม ตัวของมันยาวไม่เกินหนึ่งเมตร ซึ่งเมื่อเทียบกับรูปปั้นโลหะแล้ว อสูรโลหะสีขาวตัวนั้นก็ดูเหมือนกับมดตัวหนึ่ง


 


หลังจากที่อสูรตัวน้อยขึ้นมาบนพื้น ร่างกายอันจ้ำม่ำของมันก็เริ่มต้วมเตี้ยมเข้ามาหาพวกเขา มันไม่ได้รวดเร็วอะไร และหางกับตูดของมันก็ส่ายไปมาเหมือนกับก้นของทารก


 


หานเซิ่นมองไปที่อสูรตัวนั้นด้วยท่าทางสับสน มันอาจจะดูเหมือนกับตัวนิ่ม แต่มันไม่ใช่ตัวนิ่มซะทีเดียว หานเซิ่นนึกถึงสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ดูคล้ายคลึงมันยิ่งกว่านั้น


 


“ตัวกินโลหะ!” หานเซิ่นจดจำตัวกินโลหะได้ มอนสเตอร์ตัวนี้มีขนาดเล็กกว่าตัวกินโลหะ แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้ว มันก็ดูเหมือนกันไม่มีผิด


 


‘เมื่อคำนึงเรื่องที่ทั้งดวงดาวเป็นโลหะทั้งหมด นี่ก็อาจจะเป็นตัวกินโลหะจริงๆ แต่เมื่อดูจากขนาดตัว มันเป็นแค่ทารกเท่านั้น หรือว่าบางทีมันอาจจะมีตัวผู้ใหญ่ซ่อนอยู่ในหลุมนั่นอีก?’ หานเซิ่นคิดด้วยความกังวล


 


ถึงแม้สิ่งมีชีวิตตัวนี้จะไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกับที่หานเซิ่นเคยเจอในก็อตแซงชัวรี่ แต่มันต้องเป็นชนิดเดียวกันอย่างแน่นอน อสูรตัวน้อยดูท่าทางมั่นใจ ขณะที่เดินต้วมเตี้ยมเข้าไปหาหนึ่งในรูปปั้นโลหะ


 


“จับมัน!” คลีนส์มันตะโกนบอกพวกพ้อง เขามีความคิดที่คล้ายคลึงกับหานเซิ่น ถ้าอสูรตัวนั้นเป็นบางสิ่งที่อันตรายจริงๆแล้วล่ะก็ เขาก็อยากจะจับตัวของมันเอาไว้โดยเร็วที่สุด


 


เดสทรอยเยอร์ที่ควบคุมรูปปั้นโลหะรีบบังคับรูปปั้นโลหะเข้าไปจับตัวอสูรตัวน้อยในทันที


 


อสูรตัวนั้นมีขนาดเล็กและเชื่องช้าอย่างมาก และในขณะที่มือขนาดใหญ่เอื้อมเข้ามาจับอสูรตัวน้อย มันก็จ้องมองไปที่มืออย่างทำอะไรไม่ถูก


 


แต่เมื่อมือขนาดใหญ่เข้ามาถึง อสูรตัวน้อยก็อ้าปากของมันออก ในจังหวะเดียวกันดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้าง ไม่เว้นแม้แต่หานเซิ่น เขาเคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมามากมายในชีวิต และเขาก็เคยสิ่งมีชีวิตหนึ่งกินกลืนสิ่งมีชีวิตอื่นมาก่อน แต่เขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่ทำอะไรแบบนี้มาก่อน


 


อสูรน้อยมีขนาดตัวที่เล็กมากๆ แต่เมื่อมันอ้าปาก หัวของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างน่าตกใจ ทั้งตัวของอสูรน้อยนั้นเปลี่ยนกลายเป็นปากโลหะขนาดมหึมา ลำคอของมันดูเหมือนกับเหวลึกอันมืดมิด รูปปั้นโลหะนั้นสูงหลายร้อยเมตร แต่มอนสเตอร์ตัวน้อยก็สามารถกลืนกินรูปปั้นโลหะเข้าไปในคำเดียว


 


มันเป็นภาพที่น่าขนลุก มันน่าตกใจยิ่งกว่าการที่มดตัวหนึ่งกินช้างซะอีก


 


แต่มันก็เกิดขึ้นจริง รูปปั้นโลหะนั้นหายเข้าไปในปากพร้อมกับเดสทรอยเยอร์ที่บังคับมันอยู่


 


หลังจากนั้นมอนสเตอร์โลหะตัวน้อยก็เรอออกมาอย่างมีความสุข ทุกคนที่อยู่ที่นี้รู้สึกหนาวขึ้นมาทันที แม้แต่เดสทรอยเยอร์ที่ควบคุมรูปปั้นโลหะอยู่ก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว


 


อสูรตัวน้อยเลียริมฝีปากด้วยลิ้นยาวๆของมัน หลังจากนั้นมันก็หันไปหารูปปั้นโลหะที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะกระโดดออกไปข้างหน้า


 


“ฆ่ามัน!” คลีนส์มันตะโกน เขาควบคุมรูปปั้น 3 หัว 6 แขนและใช้หมัดปล่อยปลดลำแสงใส่อสูรตัวน้อย รูปปั้นโลหะรูปอื่นๆก็เคลื่อนที่เข้าไปจู่โจมมอนสเตอร์ตัวน้อยเช่นกัน คลื่นไฟและน้ำแข็งถูกยิงออกไปจากรูปปั้นโลหะเพื่อจัดการกับอสูรตัวน้อย


 


ทันใดนั้นร่างกายของมอนสเตอร์ตัวน้อยก็ห่อหุ้มด้วยโล่โปร่งใส เมื่อโล่นั้นปรากฏขึ้นมา การโจมตีที่เข้ามาก็ถูกลบล้างไปอย่างสมบูรณ์ พวกมันไม่แม้แต่จะทำให้โล่ที่โปร่งใสสั่นไหวได้


 


“ตัวกินโลหะ มันคือตัวกินโลหะ” เมื่อหานเซิ่นเห็นโล่ป้องกัน เขาก็มั่นใจว่ามอนสเตอร์ตัวนี้คือตัวกินโลหะ พลังที่พวกมันมีคล้ายคลึงกันเกินไป


 


ตัวกินโลหะของก็อตแซงชัวรี่ก็สร้างโล่ป้องกันแบบเดียวกันได้ ถึงโล่ป้องกันของตัวกินโลหะที่หานเซิ่นเคยเจอจะอ่อนแอกว่านี้มาก แต่ความคล้ายคลึงกันระหว่างพวกมันเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด


 


อสูรตัวน้อยวิ่งเข้าไปหารูปปั้นที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งการเคลื่อนไหวที่ดูเชื่องช้าก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลายเป็นอะไรที่ดูน่ากลัว เมื่อมันอ้าปากขึ้นอีกครั้ง มันก็กลืนกินรูปปั้นโลหะเข้าไปทั้งตัว


 


มันยากที่จะจินตนาการได้ว่ามอนสเตอร์ตัวน้อยแบบนั้นกลืนกินรูปปั้นโลหะที่ใหญ่โตเหมือนกับภูเขาได้ยังไง


 


มาร์ควิสทุกคนมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความหวาดกลัว รูปปั้นโลหะมีความแข็งแกร่งระดับราชัน แต่พวกมันกำลังถูกกินเข้าไปทีละตัวๆ และถึงแม้มอนสเตอร์ตัวนั้นจะมีขนาดเล็ก แต่มันก็ต้องเป็นระดับเทพเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย


 


“วิ่ง!” หานเซิ่นตะโกนขณะที่ปิดใช้งานใบเสมา หลังจากนั้นมาร์ควิสทั้งหมดก็รีบพากันหนีออกไปจากเมือง


 


ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตแบบนั้น มาร์ควิสอย่างพวกเขาไม่มีโอกาสจะทำอะไรได้ ตัวเลือกเดียวของพวกเขาก็คือการหนีไปจากที่นี่ พวกเขาได้แต่หวังว่าอสูรน้อยตัวนั้นจะสนใจแต่รูปปั้นเบรกสกาย นั่นเป็นโอกาสเดียวที่เหล่ามาร์ควิสจะหนีไปได้


 


ขณะที่หานเซิ่นวิ่งหนีไป เขาหันกลับไปมองและสังเกตเห็นว่าอสูรตัวน้อยเคลื่อนไหวระหว่างพวกรูปปั้นโลหะ รูปปั้นโลหะถูกกลืนกินตามกันไปติดๆโดยไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย


 


ถึงแม้รูปปั้นโลหะจะตัวใหญ่โตเหมือนกับภูเขา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามอนสเตอร์โลหะตัวนั้น พวกมันก็เป็นเหมือนกับเด็ก เพียงแค่คำเดียวก็เพียงพอที่จะกลืนกินพวกมันแต่ละตัวเข้าไป


 


หานเซิ่นได้แต่หวังว่ามอนสเตอร์โลหะตัวน้อยจะไม่สนใจสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและอ่อนแออย่างสมาชิกในทีมของเขา ถ้ามันอยากจะลองลิ้มรสพวกเขาล่ะก็ มันก็เป็นจุดจบของพวกเขา


 


คลีนส์มันและพวกพ้องตกตะลึง ตอนนี้พวกเขารู้สึกตัวว่าสิ่งที่หานเซิ่นพูดเป็นความจริง เบรกสกายระดับเทพเจ้าอาจจะหวาดกลัวต่อสิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้จริงๆ


 


และถ้ามันทำให้ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าหนีไปด้วยความหวาดกลัวได้ ใครจะรู้ว่ามันยังมีความสามารถอะไรซ่อนอยู่อีก


 


ด้วยเหตุนั้นคลีนส์มันจึงหันหลังและวิ่งหนีไปอย่างไม่ลังเล เขายังตะโกนบอกให้เดสทรอยเยอร์คนอื่นทำเหมือนกัน แต่ว่ามันสายเกินไปแล้ว มันใช้เวลาเพียงไม่นานก่อนที่มอนสเตอร์ตัวน้อยจะกลืนกินรูปปั้นโลหะที่เหลืออยู่ไปจนหมด

 

 

 


ตอนที่ 2153

 

 


คลีนส์มันนั้นชาญฉลาด เขารีบออกมาจากรูปปั้นเบรกสกายเพื่อหนีไป แต่เมื่อรูปปั้นโลหะของเขาถูกกลืนกินเข้าไป ลิ้นของอสูรตัวน้อยก็ยื่นออกมารัดตัวของคลีนส์มันที่กำลังอยู่กลางอากาศ หลังจากนั้นมันก็ลากเขาเข้าไปในปากของมัน คลีนส์มันไม่มีโอกาสแม้แต่จะกรีดร้องออกมา


 


หานเซิ่นคิดว่ารูปปั้นเบรกสกายจะถ่วงเวลาอสูรโลหะได้มากพอให้พวกเขาหนีออกไปจากเมืองได้ แต่เมื่อเขาหันกลับไปมองด้านหลัง เขาก็สังเกตเห็นว่าพวกมันทั้งหมดถูกกินไปหมดแล้ว


 


สีหน้าของหานเซิ่นหม่นหมอง เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าตอนนี้อสูรโลหะตัวน้อยหันมามองทางพวกเขา


 


ในตอนแรกร่างกายของมอนสเตอร์ตัวนั้นค่อนข้างจ้ำม่ำ แต่ตอนนี้มันดูเหมือนกับปีศาจที่กระหายเลือด เมื่อมันหันมาทางพวกเขา ทุกคนก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา


 


“กระจายตัวกันออกไป!” ข่านตะโกน ก่อนที่จะหันหนีไปในทิศทางหนึ่ง


 


เผ่าพันธุ์อื่นๆก็รู้สึกตัวว่าการกระจายตัวกันออกไปเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะถ้าพวกเขาวิ่งหนีไปด้วยกัน อสูรตัวน้อยก็จะกลืนกินพวกเขาทั้งหมดเข้าไปได้ในคำเดียว การกระจายตัวกันออกไปมีโอกาสทำให้พวกเขาบางส่วนหนีรอดไปได้


 


อวี้เอียะใช้เครื่องหมายดาบเพื่อแจ้งให้ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนกระจายกันออกไป พวกเขาแบ่งกันออกไปเป็นสิบทีม


 


ทีมของหานเซิ่นมี 9 คน และเมื่อเขาหันกลับไปมอง สีหน้าของเขาก็มืดมน อสูรตัวน้อยกำลังส่ายก้นและวิ่งตรงมาทางทีมของพวกเขา


 


“เวรเอ๊ย! ทำไมเราถึงได้โชคร้ายขนาดนี้! มันมีมาร์ควิสตั้งมากมาย แต่ทำไมมันถึงต้องเลือกพวกเราด้วย?” หานเซิ่นรู้สึกว่าตัวเองดวงซวย


 


อสูรตัวน้อยสามารถกลืนกินเบรกสกายเข้าไปราวกับว่าขนมขบเคี้ยว ดังนั้นหานเซิ่นไม่คิดว่าใบเสมาราชาแมลงปีศาจจะทำอะไรเพื่อหยุดมันได้


 


“แยกกันออกไป!” หานเซิ่นไม่มีทางเลือก นอกจากสลายทีม เขาต้องการทำให้แน่ใจว่าคนของเขาจะรอดชีวิตไปได้มากที่สุด


 


แต่อสูรโลหะดูเหมือนกำลังเล่นกับพวกเขา เพราะมันไม่ได้ไล่ตามพวกเขาด้วยความเร็วสูงสุด ไม่อย่างนั้นมันก็คงไล่ตามพวกเขาทันแล้ว


 


ศิษย์ของปราสาทนภารับคำสั่งและแยกย้ายกันออกไปคนละทาง แต่เมื่อหานเซิ่นหันกลับไปมองตัวกินโลหะอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็ซีดไป เนื่องจากมอนสเตอร์ตัวน้อยยังคงไล่ตามเขามาอยู่


 


“ครั้งต่อไป ฉันจะไม่ร่วมมือกับใครทั้งนั้น! นี่มันโชคร้ายจริงๆ มันมีผู้คนอยู่ที่นี่ตั้งหลายร้อยคน และฉันก็ไม่ใช่คนที่ตัวใหญ่หรืองดงามที่สุด ดังนั้นทำไมมันดึงได้เลือกไล่ล่าฉันด้วย?” หานเซิ่นให้เป่าเอ๋อปล่อยคลาวด์บีสต์สีแดงออกมา หลังจากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปขี่หลังของมัน


 


หางของคลาวด์บีสต์สีแดงเป็นเหมือนไอพ่น ขณะที่มันพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่าดยุกส่วนใหญ่


 


แต่ถึงแบบนั้นอสูรตัวน้อยก็สามารถไล่ตามได้อย่างง่ายดาย และมันก็เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ


 


“ทำไมแกถึงไม่ไปตามคนที่ช้ากว่า? ทำไมต้องเป็นฉันด้วย!” ในตอนนี้หานเซิ่นรู้สึกหดหู่อย่างมาก


 


ขณะที่อสูรตัวน้อยเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดี โชคดีที่อสูรตัวน้อยดูเหมือนจะไม่ได้เร่งรีบกินเขา มันดูเหมือนกับแมวที่กำลังพยายามไล่จับหนู


 


แต่เมื่อมันเห็นว่าหานเซิ่นใกล้จะหนีออกไปจากเมืองไจแอนท์เมทัลก็อตได้แล้ว อสูรตัวน้อยก็ตัดสินใจเร่งความเร็วขึ้น


 


มันอ้าปากที่น่าสะพรึงกลัวขึ้น และมันไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้เพื่อกลืนกินหานเซิ่น เพราะลิ้นของมันสามารถจับตัวของเขาได้อย่างง่ายดาย


 


เคร๊ง!


 


หานเซิ่นตัวสินใจเรียกใบเสมาราชาแมลงปีศาจออกมาเพื่อป้องกันลิ้นของอสูรตัวน้อย โชคดีที่อสูรตัวน้อยเลือกใช้ลิ้นในการโจมตี เพราะใบเสมาของเขาเพียงแค่สั่นสะเทือนและส่งเสียงแตกร้าวเท่านั้น แต่มันก็ดูพร้อมที่จะแตกกระจายได้ทุกเมื่อ


 


หานเซิ่นรู้สึกหนาวขึ้นมา และเนื่องจากอสูรตัวน้อยไม่สามารถจับตัวของหานเซิ่นได้ด้วยลิ้น มันก็ขยายปากออกเป็นวงกว้าง


 


หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยปากนั้น เขาลบเครื่องหมายดาบของอวี้เอียะทิ้งไปและใช้วิชาโลหิตชีพจร ในขณะเดียวกันเป่าเอ๋อก็ดูดคลาวด์บีสต์สีแดงกลับเข้าไปในน้ำเต้า หลังจากนั้นพวกเขาก็เทเลพอร์ตกลับเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่


 


หานเซิ่นปรากฏตัวในบ้านที่สหพันธ์ดวงดาว เขาลูบหัวเป่าเอ๋อที่อยู่บนไหล่และถอนหายใจออกมา


 


“โชคดีที่เอาตัวรอดมาได้ แต่ถ้าเรายังออกจากเมทัลเวิลด์ไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรือว่าบางทีเราควรจะออกไปโดยใช้ประตูของก็อตแซงชัวรี่? แต่ถ้าแบบนั้นเราก็จะไปอยู่ในระบบที่รกร้างว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยอันตราย”


 


หานเซิ่นรู้ว่านั่นเป็นตัวเลือกที่เลวร้ายยิ่งไปกว่าการกลับไปที่เมทัลเวิลด์ซะอีก เมทัลเวิลด์มีศัตรูที่น่ากลัวแค่ตัวเดียว แต่ภายในระบบที่รกร้างว่างเปล่ามีศัตรูที่น่ากลัวเยอะกว่านั้นมาก


 


“เราคงจะต้องรออีกสักพัก หวังว่าในตอนที่เรากลับไป มอนสเตอร์นั่นจะเบื่อและกลับลงไปในหลุมที่มันออกมาแล้ว” หานเซิ่นพยายามปลอมตัวเอง


 


แต่หลังจากนั้นหานเซิ่นก็คิดได้ ‘มอนสเตอร์ตัวนั้นเป็นชนิดเดียวกันกับตัวกินโลหะ แบบนั้นพวกมันจะสื่อสารกันได้ไหมนะ? ถ้าเราจะพาตัวกินโลหะไปเพื่อต่อรองกับมัน บางทีมันอาจจะยอมปล่อยพวกเราไป’


 


หลังจากที่คิดได้แบบนั้น หานเซิ่นก็พาเป่าเอ๋อไปหาตัวกินโลหะ


 


ตัวกินโลหะนั้นอาศัยอยู่ในโกดังล้างแห่งหนึ่งที่หานเซิ่นซื้อเอาไว้ เขาก็อยากจะพามันไปอยู่ด้วย แต่เจ้าตัวน้อยอยากจะอยู่ร่วมกับโลหะ หานเซิ่นจำเป็นต้องซื้อเหล็กมาใส่ในโกดังอยู่เสมอๆ และนอกจากโลหะที่เจ้าตัวกินโลหะทำเป็นบ้านของมันแล้ว มันก็กินโลหะอื่นที่เหลือจนหมด


 


โชคดีที่หานเซิ่นร่ำรวยมากๆ ไม่อย่างนั้นตัวกินโลหะแค่ตัวเดียวก็สามารถทำให้ครอบครัวธรรมดาถังแตกได้เลย ตัวกินโลหะได้ฝึกวิชาคอนซูมที่หานเซิ่นนำกลับมา ทำให้ตอนนี้ร่างกายโลหะของมันเปลี่ยนเป็นสีดำ


 


ในตอนนี้ตัวกินโลหะกำลังนอนอยู่บนเตียงเหล็ก มันเหมือนกับมังกรที่หลบไหลบนอยู่กองทรัพย์สมบัติ


 


มันไม่ได้ตัวใหญ่อะไร มันมีความยาวเพียงแค่ 2 เมตรเท่านั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะมันฝึกวิชาคอนซูม ทำให้ตัวของมันเล็กกว่าที่ควรจะเป็น


 


เมื่อหานเซิ่นเข้าไปในโกดัง ตัวกินโลหะก็ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล มันวิ่งเข้ามาและใช้ลิ้นเลียขาของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นลูบหัวของตัวกินโลหะด้วยความรู้สึกผิด หลังจากที่เขาลักพาตัวมันมา มันก็สูญเสียการติดต่อกับตัวอื่นๆในสายพันธุ์ หลังจากนั้นเขาก็นำมันออกมายังสหพันธ์อีก เขาจึงรู้ว่าเจ้าตัวกินโลหะไม่มีวันได้เห็นเพื่อนๆของมันอีก แถมหานเซิ่นยังไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกับมัน ดังนั้นถ้ามันต้องการจะพูดคุย มันก็ทำได้แค่หาสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยอยู่รอบๆโกดังเท่านั้น


 


แต่ตัวกินโลหะมีบุคลิกที่เงียบขรึม และมันก็ชอบใช้เวลานอนหลับบนแผ่นเหล็กมากกว่า มันไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นมากนัก


 


เมื่อหานเซิ่นสังเกตมันดูดีๆแล้ว เขาก็พบว่านอกจากสีและขนาดตัว พวกมันก็เหมือนกันมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์


 


‘ถ้าเราหนีออกจากเมทัลเวิลด์ไม่ได้จริงๆ เราจะพาตัวกินโลหะไปพูดกับอสูรโลหะน้อยตัวนั้น มันยังไม่ได้สร้างชุดเกราะจีโน ดังนั้นถ้าสถานการณ์ดูไม่ดี เราก็จะพามันกลับเข้ามาในก็อตแซงชัวรี่ได้เสมอ มันไม่มีความจำเป็นที่เราต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของมันที่นั่น’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


หานเซิ่นคิดจะพาตัวกินโลหะไปเดินเล่นก่อน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ชอบทำอะไรแบบนั้น มันกลับไปนอนต่อบนแผ่นเหล็ก


 


หานเซิ่นแวะไปดูสิ่งมีชีวิตอื่นรอบๆโกดังและตรวจเช็คสิ่งต่างๆที่เขาเก็บสะสมเอาไว้ เขาพบว่าหนึ่งในสิ่งของสำคัญที่เขาเก็บเอาไว้ได้หายไป ซึ่งมันก็คือร่างของเรเวนอาทิตย์ 

 

 


ตอนที่ 2154

 

“มันหายไปได้ยังไง?” หานเซิ่นพึมพำด้วยความสับสน


 


เรเวนอาทิตย์นั้นถึงจะเป็นแค่ทารก แต่มันก็เป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าจากจักรวาลจีโน ยีนระดับเทพเจ้าของมันเสถียรอย่างมาก ถึงขนาดที่หานเซิ่นไม่สามารถดูดซับเข้าไปได้ ดังนั้นมันไร้ประโยชน์ที่ใครในสหพันธ์จะขโมยมันไป


 


นอกจากนั้นที่นี่ก็เป็นสถานที่ของหานเซิ่น มันมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอาศัยอยู่ที่นี่มากมาย ซึ่งพวกมันแต่ละตัวสามารถยึดครองทั้งสหพันธ์ได้เลยถ้าต้องการ แบบนั้นใครมันจะกล้ามาขโมยของไป?


 


หานเซิ่นไม่ได้ลืมว่าเอาร่างของมันไปวางไว้ที่ไหน แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะถูกขโมยไปเช่นกัน แถมมันก็ใหญ่เกินกว่าจะถูกเคลื่อนย้ายไปง่ายๆ


 


ในตอนแรกที่หานเซิ่นนำร่างของเรเวนอาทิตย์มานั้น เขาไม่สามารถดูดซับมันได้ ดังนั้นเขาจึงเก็บมันเอาไว้ในโกดังเพื่อความปลอดภัย และตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้เหลียวมองมันแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


 


หานเซิ่นใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อสแกนบริเวณรอบๆ แต่มันไม่มีร่องรอยร่างของเรเวนอาทิตย์อยู่เลย ร่างกายของมันเป็นของแข็ง ด้วยเหตุนั้นมันควรจะทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้บ้าง


 


โชคดีที่ภายในโกดังติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้ หานเซิ่นจึงตรงไปที่ห้องควบคุมเพื่อดูวิดีโอที่กล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ แต่ทันใดนั้นเป่าเอ๋อก็กระโดดลงจากไหล่ของหานเซิ่นและวิ่งไปยังมุมๆหนึ่งของโกดัง


 


หานเซิ่นเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเป่าเอ๋อพบอะไรบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงตามหลังเธอไป เป่าเอ๋อไปหยุดอยู่ตรงหน้ากล่องไม้กล่องหนึ่ง เธอปีนขึ้นไปบนกล่องและมองเข้าไปข้างใน


 


หานเซิ่นจำได้ว่ากล่องนั้นเก็บถังไวน์ที่จีเหยียนหรันซื้อมา พวกมันถูกผลิตบนดวงดาวไร่องุ่นที่มีชื่อเสียง แต่เนื่องจากวัตถุดิบไม่สามารถหาได้อีกแล้ว การผลิตไวน์จึงถูกหยุดอย่างถาวร


 


จีเหยียนหรันได้พยายามเก็บสะสมมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด พวกเขาไม่ได้ดื่มด้วยกันบ่อยมักนัก ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บพวกมันเอาไว้ในโกดัง การที่กล่องถูกเปิดออกเป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่ามีใครบางคนมาที่นี่


 


นอกจากนั้นกล่องอื่นๆก็ถูกเปิดออกด้วยเช่นกัน


 


“มันมีหัวขโมยบุกเข้ามาจริงๆหรอเนีย?”  หานเซิ่นเดินเข้าไปหาเป่าเอ๋อและตรวจเช็คภายในกล่อง


 


หานเซิ่นเห็นถังไวน์สีดำถูกเปิดออกเช่นกัน แถมไวน์ที่ถูกเก็บเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็แห้งเหือด แต่เมื่อหานเซิ่นมองไปข้างใน เขาก็ได้เห็นสิ่งสุดท้ายที่คาดคิดว่าจะได้เห็น


 


มันไม่มีไวน์เหลือแม้แต่หยดเดียว แต่ที่ก้นถังมีไข่ขนาดพอๆกับกำบั้นอยู่ เปลือกของมันเป็นสีแดง มันดูงดงามอย่างมาก


 


หานเซิ่นใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อสแกนมัน และเขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่คุ้นเคย เขาสามารถบอกได้ว่ามันเป็นสิ่งเดียวกับนกสีแดงตัวน้อยที่เคยติดตามเป่าเอ๋อ


 


หลังจากที่คิดอย่างนั้น หานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าไม่ได้เห็นนกน้อยมานานแล้ว เขายุ่งเกินไปและนกน้อยก็มักจะตามเป่าเอ๋อไปไหนมา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับมันมาก


 


หานเซิ่นเก็บไข่ขึ้นมาจากถังที่ว่างเปล่า หลังจากนั้นเขาก็ตรวจสอบมันอย่างละเอียด เขาสามารถบอกได้ว่าพลังชีวิตของมันเป็นของนกสีแดงตัวน้อยจริงๆ


 


“แปลกจริงๆ ทำไมมันถึงมาอยู่ในนี้ได้? และทำไมมันถึงได้กลายเป็นไข่?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัย หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองเป่าเอ๋อ


 


เป่าเอ๋อส่ายหัวเพื่อบอกว่าเธอไม่รู้เช่นกัน


 


นกน้อยตัวนี้มีประวัติที่แปลกประหลาด ในตอนที่พวกเขาพบมันครั้งแรก มันว่ายอยู่ในบ่อน้ำในร่างปลา แต่เมื่อมันออกจากผิวน้ำ มันก็กลายเป็นนกสีแดงตัวน้อย มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด


 


แต่เนื่องจากนกน้อยสีแดงไม่มีพลังในการโจมตีใดๆ หานเซิ่นจึงเลิกให้ความสนใจมัน และเขาก็ให้เป่าเอ๋อเก็บมันไปในฐานะสัตว์เลี้ยง


 


แต่ตอนนี้เมื่อนกสีแดงตัวน้อยเข้ามาอยู่ในโกดัง ดูเหมือนมันจะดื่มไวน์ทั้งถังเข้าไปและเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นไข่ เรื่องทั้งหมดเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลกประหลาด


 


หานเซิ่นนำไข่ไปที่ห้องควบคุมและเริ่มย้อนดูวีดีโอจากกล้องวงจรปิดเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


หลังจากผ่านไปสักพัก หานเซิ่นก็เห็นว่าเมื่อราวๆ 2 ปีก่อน หลังจากที่เขานำร่างของเรเวนอาทิตย์มาเก็บไว้ในโกดัง นกสีแดงตัวก็บินเข้ามาและเริ่มกินมัน


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะดูดซับร่างของเรเวนอาทิตย์ไม่ได้ แต่ดูเหมือนนกน้อยสีแดงจะกินมันได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่มันกินได้แค่ทีละนิดๆเท่านั้น และหลังจากที่กัดแทะทีละนิดละหน่อย ในที่สุดร่างทั้งร่างของเรเวนอาทิตย์ก็ถูกมันกินจนหมด


 


ขณะที่มันกินร่างของเรเวนอาทิตย์ ร่างกายของมันก็ค่อยๆเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และหลังจากที่มันกินร่างของเรเวนอาทิตย์เข้าไปจนหมด ร่างกายของมันก็กลายเป็นคริสตัลสีแดงที่ลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ


 


หลังจากที่นกสีแดงตัวน้อยกินร่างของเรเวนอาทิตย์เข้าไปจนหมด มันก็บินไปที่ถังไวน์และเปิดผามันออก หลังจากนั้นมันก็กระโดดลงไปในไวน์พร้อมกับเปลี่ยนร่างเป็นปลาสีแดง ไฟที่ห่อหุ้มตัวของมันดับไป แต่ความร้อนของมันก็ทำให้ไวน์ที่อยู่ภายในระเหย ซึ่งในเวลาเพียงไม่กี่นาทีไวน์ภายในถังก็แห้งเหือดไปจนหมด


 


หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นนกน้อยสีแดงอีกครั้ง ก่อนที่จะทำแบบเดียวกันนี้กับถังไวน์อื่นๆ


 


แต่หลังจากที่นกสีแดงตัวน้อยไปถึงถังไวน์ถังสุดท้าย มันก็หายเข้าไปและไม่กลับออกมาจนกระทั่งหานเซิ่นมาเจอกับมันเข้า


 


“ว้าว! เจ้าตัวนี้มันคืออะไรกันแน่?” หานเซิ่นมองไปที่ไข่ในมือด้วยความแปลกใจ


 


หานเซิ่นไม่สามารถดูดซับร่างกายระดับเทพเจ้าของเรเวนอาทิตย์ได้ ดังนั้นมันยากที่จะจินตนาการได้ว่านกสีแดงตัวน้อยทำแบบนั้นได้ยังไง


 


“ช่างเถอะ ยังไงซะเราก็กินร่างกายนั้นไม่ได้อยู่แล้ว แต่หวังว่ามันจะกลายไปเป็นสิ่งที่มีประโยชน์” สุดท้ายแล้วหานเซิ่นก็ตัดสินใจนำไข่กลับไปวางที่เดิม


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าจะทำให้เจ้าตัวน้อยฝักออกมาได้ยังไง แต่ถ้ามันเลือกเข้าไปอยู่ในถังไวน์ด้วยตัวเอง อย่างนั้นแล้วนั่นก็คงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


 


หานเซิ่นพักอยู่ที่บ้านต่ออีกหลายวัน เขารู้สึกกังวลเกี่ยวกับพวกอวี้เอียะอยู่ แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้ เขาได้แต่หวังว่าคนอื่นๆจะหนีออกไปเมืองไจแอนท์เมทัลก็อตได้อย่างปลอดภัย


 


หานเซิ่นอุ้มหานหลิงเอ๋ออยู่ในอ้อมแขน ขณะที่เป่าเอ๋อนั่งอยู่ข้างๆ พวกเขาทั้ง 3 คนกำลังนั่งดูหนังและกินขนม หานหลิงเอ๋อกำลังดูดขวดนมเหมือนกับที่เป่าเอ๋อเคยทำในตอนที่เธอเด็กกว่านี้


 


เมื่อจีเหยียนหรันกลับมาจากบริษัท เธอก็เห็นหานเซิ่นและเป่าเอ๋อกำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา หานหลิงเอ๋อนอนอยู่บนตัวของหานเซิ่นโดยที่มีจุกนมอยู่ในปาก ขนมและของเล่นนั้นกระจัดกระจายไปทั่ว


 


“นี่หรอวิธีที่นายเลือกเป็นพ่อน่ะ?” จีเหยียนหรันบ่น แต่เธอก็ยิ้มออกมา เธอไม่ได้ปลุกพวกเขาเช่นกัน เธอนำผ้าห่มมาคลุมพวกเขา


 


4 วันต่อมา หานเซิ่นกลับไปยังโกดังที่ตัวกินโลหะอาศัยอยู่ ตอนนี้เขามีแผนที่จะพาตัวกินโลหะไปด้วย เขาหวังจะให้มันเจรจากับอสูรโลหะตัวน้อยถ้าเกิดเขาต้องเจอกับมันอีกครั้ง


 


ก่อนจะกลับเข้าไป หานเซิ่นเรียกปีกมังกรที่หลังและหูออกมาเตรียมไว้เพื่อความปลอดภัย แบบนั้นเมื่อมันไม่ได้ผล เขาจะได้เทเลพอร์ตถอยออกห่างจากอสูรโลหะตัวน้อยและหนีกลับมาในก็อตแซงชัวรี่อีกครั้ง การมีชีวิตต่อไปนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)