Super God Gene 2135-2146

ตอนที่ 2135

 

ขณะที่ดวงตานภาปลดปล่อยพลังออกมามากขึ้น มันก็ทำให้หานเซิ่นตกอยู่ภายใต้แรงกดดันยิ่งกว่าเดิม และถึงตอนนี้หานเซิ่นจะยังทนต่อมันได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทนไปได้ตลอด มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่มือของเขาจะไม่สามารถทนต่อไปได้อีก เพราะยังไงตอนนี้พวกมันก็ฉีกขาดจนถึงกระดูกแล้ว


 


เนตรมารดูตื่นเต้นขึ้นมา แสงสีม่วงในดวงตานภาของเขาเรืองแสงออกมา ขณะที่ความเร็วและพลังของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ผู้ชมสามารถบอกได้ว่าดอลลาร์ดูไม่สู้ดีนัก ทั้งพลังและความเร็วของเขาต่ำกว่าคู่ต่อสู้ และถึงวิชาที่เขามีจะทำให้เขาสามารถเทียบชั้นกับเนตรมารได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่มันก็มีโอกาสสูงที่ร่างกายของเขาจะได้รับความเสียหายมากเกินไป


 


“ถึงเวลาที่ผู้ชนะจะถูกตัดสินแล้ว” หนึ่งในยอดฝีมือที่ชมการต่อสู้อยู่ถอนหายใจ


 


“ความสามารถของดอลลาร์ไม่ได้ด้อยไปกว่าเนตรมารเลย แต่เขาเป็นแค่มาร์ควิสคนหนึ่ง ขณะที่เนตรมารเป็นสัตว์ประหลาดที่ไปเกิดใหม่ได้เรื่อยๆ ความจริงแล้วเขาไม่ควรได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมแข่งขันกับมาร์ควิสคนอื่นด้วยซ้ำ นี่มันไม่ยุติธรรม”


 


“ดอลลาร์ควรจะภาคภูมิใจในตัวเอง เขาต่อสู้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว”


 


ขุนนางหลายคนต่างคิดว่าเป็นอะไรที่น่าเสียดาย มันเป็นเรื่องปกติที่คนส่วนใหญ่จะเห็นใจฝ่ายที่เป็นรอง ด้วยเหตุนั้นการต่อสู้ระหว่างดอลลาร์และเนตรมาร พวกเขาจึงเลือกเชียร์ข้างดอลลาร์ เพราะเขาเป็นคนที่อ่อนแอกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ นั่นทำให้ขุนนางหลายคนเลือกที่จะสนับสนุนข้างดอลลาร์


 


แต่สถานการณ์ตอนนี้มันเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ดอลลาร์จะเป็นอัจฉริยะในการต่อสู้ แต่ร่างกายของเขาก็ยังอ่อนแอกว่าสัตว์ประหลาดที่ชื่อเนตรมาร


 


ในการต่อสู้ที่ตัดสินกันที่ความแข็งแกร่งของร่างกาย ดอลลาร์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้


 


ขณะที่ทุกคนถอนหายใจอย่างหม่นหมอง เนตรมารก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับหานเซิ่น


 


ความกังวลผลักดันให้เขาต้องการฆ่าหานเซิ่นยิ่งกว่าเดิม เขาต้องการจะปิดชีวิตหานเซิ่นให้เร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้หลุดพ้นจากความกลัวนี้ไป


 


หานเซิ่นถูกไล่ต้อน และหมัดของเขาก็เต็มไปด้วยเลือด กระดูกมือของเขาพร้อมที่จะถูกทำลาย


 


แต่ภายในหานเซิ่นรู้สึกต่างออกไป จริงๆแล้วเขากำลังตื่นเต้น ศาสตร์ตงเสวียนของเขากำลังถึงขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงสุดท้าย การเพิ่มระดับขึ้นสู่ระดับมาร์ควิสจะเสร็จสิ้นในอีกไม่ช้า


 


“แปลกจริงๆ” ภายในปราสาท ผู้นำของปราสาทนภากำลังมองดูการต่อสู้ของหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ประหลาด


 


“มีอะไรแปลก?” ผู้หญิงที่สวมหน้ากากสีดำถามขึ้นมา


 


“ดอลลาร์กำลังอยู่ระหว่างการวิวัฒนาการ” ผู้นำของปราสาทนภาพูด


 


“วิวัฒนาการ? ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ที่จะเพิ่มระดับขึ้นภายในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน ถึงแม้เขาจะกลายเป็นดยุกได้สำเร็จ เขาก็จะถูกยับยั้งโดยบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนอยู่ดี เขาจะพัฒนาไปสู่ระดับต่อไปได้ก็ต่อเมื่อออกมาจากบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนแล้วเท่านั้น เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงได้ประหลาดใจกับมัน” ผู้หญิงหน้ากากสีดำขมวดคิ้ว


 


ผู้นำของปราสาทนภาส่ายหัว “สิ่งที่แปลกก็คือ ข้าไม่คิดว่าเขากำลังวิวัฒนาการกลายเป็นดยุก”


 


ผู้หญิงสวมหน้ากากดูตกใจ “เจ้าหมายความว่าดอลลาร์มีพรสวรรค์ 2 อย่างงั้นหรอ? นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าเขามีอาวุธจีโน 2 อย่าง และอีกอย่างหนึ่งกำลังพัฒนาจากระดับเอิร์ลสู่ระดับมาร์ควิชอย่างนั้นหรอ?”


 


ผู้นำของปราสาทนภาพยักหน้าและพูด “ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”


 


ผู้หญิงสวมหน้ากากตกตะลึง “พรสวรรค์ 2 อย่าง? และเพียงแค่หนึ่งอย่างเขาก็ต่อสู้กับเนตรมารได้ถึงขนาดนี่? นี่เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่เกิดใหม่ได้เหมือนกันหรือยังไง?”


 


ผู้นำของปราสาทนภาไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่มองการต่อสู้ต่อไปอย่างเงียบๆ


 


ขุนนางส่วนใหญ่ไม่สังเกตเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มีเพียงแค่ยอดฝีมืออย่างผู้นำปราสาทนภาเท่านั้นที่เข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้


 


“น่าสนใจดีหนิ เขามีถึงพรสวรรค์ถึง 2 อย่าง” อี๋ซานั่งอยู่บนบัลลังก์ของเธอ ขณะที่กำลังดื่มไวน์และมองดูการต่อสู้ของดอลลาร์


 


เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าขมวดคิ้วและพูดกับตัวเอง “พรสวรรค์ 2 อย่าง และหนึ่งในวิชาของเขาก็แข็งแกร่งถึงขนาดนี้? มนุษย์นี่คืออะไรกันแน่? มันไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นมาใหม่หรอกใช่ไหม?”


 


ตอนนี้ทุกคนกำลังจดจ่อไปที่การต่อสู้ ขุนนางส่วนใหญ่คิดว่าการต่อสู้ถูกตัดสินเรียบร้อยแล้ว และมีเพียงยอดฝีมือไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น


 


สีหน้าของเนตรมารเริ่มดูไม่สู้ดี เขามองเห็นถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหานเซิ่น แต่มันก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำเพื่อหยุดมันได้


 


ตูม!


 


ท่ามกลางการต่อสู้ที่บ้าคลั่ง ร่างกายของหานเซิ่นมีพลังปะทุออกมาออกมาอย่างกะทันหัน ผู้ชมมองไม่เห็นพลังนั้น แต่พวกเขาเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของหานเซิ่น


 


หลังจากนั้นใบหน้าของหานเซิ่นก็เต็มไปด้วยความโล่งใจ ร่างกายทั้งร่างของเขาเรืองแสงออกมาราวกับว่าเขาเพิ่งจะได้เกิดใหม่


 


ทันใดนั้นการโจมตีของเนตรมารก็ดูอ่อนแอลงไป ซึ่งมันให้ความรู้สึกราวกับว่าพายุฝนที่รุนแรงโหมกระหน่ำใส่หานเซิ่นกลายเป็นเพียงแค่หยดน้ำไม่กี่หยด ทันใดนั้นหานเซิ่นก็หยุดเคลื่อนไหวและยืนนิ่งไป


 


พลังชีวิตของหานเซิ่นถูกซ่อนเอาไว้ แต่ตอนนี้เมื่อมันถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มกำลัง มันก็ทำให้เนตรมารสะดุ้งไป และสัญชาติญาณก็บอกให้เขารู้ว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย


 


“นี่มันอะไรกัน? ดอลลาร์วิวัฒนาการอย่างนั้นหรอ? ข้าคิดว่าผู้เข้าแข่งขันจะเพิ่มระดับขึ้นภายในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนไม่ได้หนิน่า?”


 


“มันไม่มีทางที่เขาจะพัฒนาไปสู่ระดับใหม่ได้ บัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนจะยับยั้งเรื่องนั้นเอาไว้”


 


“แต่มันเห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งจะเพิ่มระดับขึ้น นี่ดอลลาร์ขี้โกงอย่างนั้นหรอ? เขาเพิ่มระดับขึ้นภายในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนได้ยังไงกัน?”


 


“ว้าว! เขาได้รับความโปรดปรานจากบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนอย่างนั่นหรอ? นี่เขาได้รับสิทธิ์พิเศษให้เพิ่มระดับขึ้นภายในได้หรือยังไงกัน? แบบนั้นถึงเขาจะชนะ เขาก็ชนะในฐานะดยุก เขาไม่ควรจะได้มงกุฎของมาร์ควิสไปครอบครอง”


 


“นั่นมันขี้โกง!”


 


ผู้ชมทั้งหมดรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ได้เห็น พวกเขาไม่แน่ใจว่าควรจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ดี เพราะการเพิ่มระดับขึ้นภายในสิ่งมีชีวิตจีโนไม่ควรจะเกิดขึ้นได้


 


“ไม่ใช่ เขาไม่ได้กลายเป็นดยุก มันเป็นพรสวรรค์ที่ 2 เขามีพรสวรรค์ที่ 2 และที่เพิ่มระดับขึ้นก็คืออีกพรสวรรค์หนึ่งของเขา”


 


“ว้าว จริงหรอเนี่ย? ดอลลาร์มี 2 พรสวรรค์งั้นหรอ? และนี่เขาต่อสู้กับเนตรมารด้วยใช้เพียงแค่พรสวรรค์เพียงมาโดยตลอดอย่างนั้นหรอ?”


 


“บ้า! บ้า! โลกนี้มันบ้าเกินไปแล้ว!


 


ความจริงที่ดอลลาร์มีพรสวรรค์ 2 อย่างทำให้ผู้ชมตกตะลึง พรสวรรค์อีกอย่างหนึ่งของเขาเพิ่งจะเพิ่มระดับขึ้นในตอนนี้ และเหล่าขุนนางทั้งหลายก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรจะพูดอะไรดี


 


ตูม!


 


ทันใดนั้นออร่าศาสตร์ตงเสวียนก็ย่อเล็กลงไป ทั้งโลกดูแปลกไปในสายตาของหานเซิ่น และในวินาทีต่อมา เขาก็ยกนิ้วมือของเขาขึ้น


 


เนตรมารคำรามและพุ่งไปข้างหน้า เปลวไฟสีม่วงของเขาลุกไหม้อย่างบ้าคลั่ง และเขาพยายามจะรวบรวมพลังให้ได้มากที่สุด แต่เมื่อเนตรมารเข้าใกล้หานเซิ่น จู่ๆหานเซิ่นก็หายตัวไป


 


ในจังหวะนั้นหานเซิ่นเคลื่อนที่ผ่านเนตรมารไป เขาไปปรากฏตัวด้านหลังอีกฝ่าย โดยที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ


 


เนตรมารยืนอึ้งขณะที่หันหลังให้กับหานเซิ่น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง


 


ชุดเกราะสีม่วงขาวของเขาแตกกระจาย ในเวลาเสี้ยววินาที มันก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผง และเมื่อหมวกของเนตรมารหายไปแล้ว ใบหน้าที่แท้จริงของเขาก็ถูกเปิดเผยออกมา 

 

 


ตอนที่ 2136

 

“ไผ่เดียวดาย!” ใบหน้าของผู้นำปราสาทนภาซีดไป


 


และมันก็ไม่ใช่แค่ผู้นำของปราสาทนภาคนเดียวที่รู้สึกแบบนั้น ทุกคนที่มองดูการต่อสู้อยู่ตกตะลึง ภายใต้ชุดเกราะสีม่วงขาวไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นไผ่เดียวดายของปราสาทนภา


 


คนคนหนึ่งไม่สามารถเข้าร่วมบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน 2 ตัวตนได้ ไผ่เดียวดายถูกเห็นว่าเข้าร่วมแข่งขันเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาไม่มีทางปลอมตัวเป็นเนตรมารได้


 


หลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่ ทุกคนก็เริ่มรู้สึกตัวว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


ผู้นำปราสาทนภามีปฏิกิริยาเร็วที่สุด เขาทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างความรุนแรงจนมันสลายมันกลายเป็นผุยผง เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ


“เนตรมาร! ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร สำหรับกรรมในครั้งนี้ ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้!”


 


มันมีไม่กี่อย่างเท่านั้นที่จะทำให้ผู้นำปราสาทนภามีท่าทางแบบนี้ และไผ่เดียวดายก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


ตอนนี้หานเซิ่นรู้แล้วว่าทำไมการมองไปที่เนตรมารถึงทำให้เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคย นั่นเป็นเพราะคู่ต่อสู้ของเขาคือไผ่เดียวดาย


 


“ไม่ใช่ มันเป็นแค่ร่างของไผ่เดียวดายเท่านั้น”


 


“ไม่แปลกใจเลยที่ไผ่เดียวดายไม่ได้ปรากฏตัวในการต่อสู้”


หานเซิ่นจ้องไปยังเนตรมารที่ตอนนี้สวมใบหน้าของใครบางคนที่เขาคุ้นเคย


 


เนตรมารจ้องไปที่หานเซิ่น ดวงตาของเขาเปล่งรัศมีที่ชั่วร้ายออกมา เปลวไฟสีม่วงเริ่มลุกโชติช่วงออกมาจากร่างของเขา


 


“ดี ดีมากๆ เจ้ากดดันข้าได้ถึงขนาดนี้ เจ้าเป็นคนเดียวที่ทำแบบนี้กับข้าได้ในรอบหนึ่งล้านปี!” เนตรมารเปล่งเสียงออกมาผ่านช่องว่างของฟันที่กัดอยู่ ท่าทางที่เขาพูดออกมานั้นทำให้ผู้ชมรู้สึกหนาว


 


มันเป็นเวลากว่าหนึ่งล้านปีแล้วที่เนตรมารไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นความตาย ถ้าเขาไม่ใช้พลังต้องห้ามเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีก่อนหน้านี้ เขาก็คงจะกลายเป็นผุยผงไปพร้อมกับชุดเกราะแล้ว


 


ในดวงตานภาของเนตรมาร รูม่านตาที่ดูเหมือนกับดอกไม้เริ่มจะเหี่ยวเฉา บางสิ่งกำลังรั่วไหลออกมาและว่ายวนในดวงตาของเขา และเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงนั้น มันก็ทำให้ร่างกายของเขาเริ่มมีควันสีม่วงรั่วไหลออกมา


 


“ใครสักคนจะต้องมาปราบเจ้าในที่สุด ฉะนั้นแล้วทำใจให้เคยชินกับมันซะ” หานเซิ่นพูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึม


 


ก่อนหน้านี้เขารู้สึกแย่ที่ไม่สามารถฆ่าเนตรมารได้สำเร็จ แต่ในตอนนี้เขารู้สึกดีใจที่ทำไม่สำเร็จ ถ้าการโจมตีของเขาฆ่าเนตรมารไปล่ะก็ ร่างกายของไผ่เดียวดายก็จะถูกทำลายไปด้วย


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่จากความรู้สึกเขาคิดว่านั่นเป็นร่างของไผ่เดียวดายจริงๆ


 


“เจ้าพูดถูก มันจะเกิดขึ้นในที่สุด แต่เจ้ากับข้ามันแตกต่างกัน เจ้าจะไม่มีโอกาสที่ 2 หรือ 3 เพราะเจ้าจะตายในเพียงแค่ครั้งเดียว” เนตรมารพูด หลังจากนั้นรูม่านตาทั้ง 4 ของเขาก็แตกกระจาย


 


พลังมหาศาลทะลักออกมาจากดวงตาของเขาและเปลี่ยนดวงตานภาของเขาเป็นคริสตัลสีม่วง พวกมันเป็นเหมือนกับอัญมณีสีม่วงที่แวววาว


 


รอยอักขระสีม่วงจำนวนมากเขียนตัวเองบนร่างกายของเนตรมาร หลังจากนั้นพวกเขาก็จุดตัวเองลุกเป็นไฟ ดอกไม้สีม่วงตามร่างกายของเขาเริ่มที่จะกลายเป็นจริง มันเปลี่ยนจากกระดูกไปเป็นพืชจริงๆ กลีบดอกไม้แพร่ไปตามร่างกายของเขาและเชื่อมต่อกันเป็นชุดเกราะชุดใหม่


 


เนตรมารคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นแสงสีม่วงก็ถูกวาดมาเชื่อมต่อกันเป็นปีกผีเสื้อสีม่วงคู่หนึ่ง บนแต่ละปีกมีสัญลักษณ์รูปดวงตาอยู่ และพวกมันก็กำลังเรืองแสงสีม่วงออกมา


 


เมื่อชุดเกราะดอกไม้และปีกฝีเสื้อปรากฏขึ้นมา พลังของเนตรมารก็เพิ่มขึ้นไปอีก มันยากที่จะบอกได้ว่าเขาแข็งแกร่งถึงขนาดไหนแล้ว


 


“ผีเสื้อเนตรม่วง!” ผู้อาวุโสหลายคนที่ดูการต่อสู้อยู่อดไม่ได้ที่จะอุทานชื่อนั้นออกมา


 


“เนตรมารจริงๆแล้วก็คือผีเสื้อเนตรม่วงหรอเนี่ย? เจ้านั่น” ในมุมมืดของเซเคร็ด เฒ่าอินทรีมองไปที่เนตรมารพร้อมกับกัดฟัน


 


“นี่เขายังไม่ตายหรอเนี่ย?” อาเหมยขมวดคิ้ว


 


ภายในปราสาทนภา ผู้หญิงสวมหน้ากากก็อุทานออกมาเช่นกัน


“หนึ่งในสิบขุนพลของเซเคร็ด ผีเสื้อเนตรม่วง! นี่เขาคือเนตรมารอย่างนั้นหรอ? มิน่าล่ะเขาถึงไปเกิดใหม่ได้นับครั้งไม่ถ้วน”


 


ผู้นำของปราสาทนภายังคงโกรธ “ถึงแม้เขาจะเป็นหัวหน้าของเซเคร็ดมาเกิดใหม่ แต่เขาใช้มืออันสกปรกมาแตะต้องลูกศิษย์ของข้า ด้วยความผิดนั้นข้าจะฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง”


 


บนดาวของบุดด้า เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าตกตะลึงเช่นกัน


“ขุนพลของเซเคร็ดผีเสื้อเนตรม่วงยังไม่ตายหรอเนี่ย? นี่มันเป็นอะไรที่น่าสนใจ”


 


“ผีเสื้อเนตรม่วงเก็บตัวในรังไหมเพียงเพื่อจะกลายเป็นผีเสื้อ มันเป็นเพราะเรื่องนี้เขาถึงเหมือนกับเป็นอมตะ แต่ทุกครั้งที่เขากำเนิดใหม่ เขาจะต้องเสร็จสิ้นขั้นตอนสุดท้าย และทุกๆครั้งเขาก็ไปไม่ได้ไกลกลายกว่าการกลายเป็นเทพเจ้า”


ในหลุมดำแห่งหนึ่ง เดม่อนคนหนึ่งหัวเราะกับตัวเอง เขามองไปที่เนตรมารด้วยความดูถูก


 


ยอดฝีมือทั่วจักรวาลต่างมองไปที่ร่างจริงของเนตรมารด้วยความคิดที่แตกต่างกันออกไป


 


ร่างกายเนตรมารกำลังเปลี่ยนแปลงไป เขามองไปที่คู่ต่อสู้และพูดด้วยความโกรธ


“ข้าต้องการหาร่างกายที่แข็งแกร่งก่อนจะกลายเป็นผีเสื้อ แต่เป็นเพราะเจ้า ข้าต้องมาเสียร่างผีเสื้อกับภาชนะนี้ นอกจากนั้นตอนนี้ข้าก็หาภาชนะใหม่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่นั่นไม่เป็นไร ข้ายังคิดว่าร่างนี้เพียงพอ เมื่อข้ารวมและดูดซับมันได้อย่างสมบูรณ์แล้วล่ะก็ ข้าก็จะฆ่าเจ้า”


 


ขณะที่เนตรมารกำลังพูด สัญลักษณ์รูปดวงตาสีม่วงก็ส่องสว่างออกมา แสงสว่างสาดส่องไปทั่วบริเวณด้วยลำแสงที่เจิดจ้า มันดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยง แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็รวบรวมพลังเพื่อป้องกันมันอยู่ดี แต่มันก็ไม่มีอะไรที่ได้ผล


 


หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าร่างกายถูกล่าม เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป เขาทำไม่ได้แม้แต่จะปิดเปลือกตาตัวเอง


 


หานเซิ่นมีร่างกายที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าพันธุ์ดราก้อนเลย และพลังในการปิดผนึกก็ไม่ได้ผลกับเขา แต่ถึงอย่างนั้นแสงสว่างจากลวดลายรูปดวงตาก็ทรงพลังพอที่จะเจาะทะลุการป้องกันและปิดผนึกการเคลื่อนไหวของเขา


 


หานเซิ่นอยากจะใช้พลังของตัวเองเพื่อหนีไป แต่การทำแบบนั้นเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ และเขาก็ไม่สามารถทำลายมันได้เช่นกัน


 


“เนตรแสงสีม่วงไม่ใช่แค่เทคนิคในการปิดผนึกธรรมดาๆ ถึงแม้คนที่ถูกล่ามจะเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า มันก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะได้ ซึ่งดอลลาร์เป็นแค่มาร์ควิสคนหนึ่ง มันจึงไม่มีแม้แต่ความหวังที่เขาจะฉีกกระดาษเพื่อหนีไปได้อีกแล้ว” ผู้นำปราสาทนภาจ้องไปที่ผีเสื้อเนตรม่วงพร้อมกับคิดหาหนทางที่จะฆ่าผีเสื้อเนตรม่วงไปอย่างถาวร


 


เนตรมารมองหานเซิ่นอย่างเลือดเย็นและเริ่มกระพือปีกสีม่วงเพื่อบินเข้าไปหาหานเซิ่น “ข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจที่ได้เกิดมา”


 


เมื่อเนตรมารบินเข้าไปมา หานเซิ่นก็ยังคงถูกผนึกอยู่ เขาเริ่มคิดกับตัวเอง


‘ดูเหมือนตัวเลือกเดียวของเราในตอนนี้ก็คือใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด แต่ถึงจะทำแบบนั้นได้ เราก็ช่วยไผ่เดียวดายไม่ได้อยู่ดี’


 


ในจังหวะที่หานเซิ่นกำลังจะใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด ทันใดนั้นเขาสังเกตก็เห็นว่าเนตรมารหยุดชะงักไป และดวงตาคริสตัลสีม่วงบนหน้าผากของเนตรมารก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา 

 

 


ตอนที่ 2137

 

“บ้าเอ้ย! ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย?” ใบหน้าของเนตรมารบิดเบี้ยว และร่างกายของเขาก็หยุดนิ่งไปอย่างสมบูรณ์ ขณะที่เขาลอยตัวอยู่ในอากาศ เขายกมือขึ้นมาสัมผัสกับดวงตาดวงที่ 3 แต่ไม่ว่าเขาจะกดมันหนักสักแค่ไหน เลือดก็ไม่ยอมหยุดไหลออกมา


 


สีแดงเริ่มแพร่ขยายในดวงตานั้น ซึ่งมันขัดกับสีม่วงที่เป็นสีประจำของเนตรมาร


 


ปัง!


 


เนตรมารร่วงลงมาจากท้องฟ้า และเมื่อเขากระแทกกับพื้นเข่าของเขาก็จมลงไปในทะเลทราย ทำให้หานเซิ่นกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง


 


“นั่นต้องเป็นไผ่เดียวดายแน่ๆ! จิตใจของเขายังไม่ถูกทำลาย!” ผู้หญิงสวมหน้ากากตะโกนขึ้นมา


 


“ฮ่าๆๆ! เยี่ยม! นี้สิลูกศิษย์ของข้า!” ผู้นำของปราสาทนภาหัวเราะออกมา


 


“จิตใจของไผ่เดียวดายยังคงอยู่ในร่างกายนั้นอย่างนั้นรึ? แม้แต่สัตว์ประหลาดจากสมัยดึกดําบรรพ์อย่างผีเสื้อเนตรม่วงก็กลืนกินจิตใจของเขาไม่ได้หรอเนี่ย?” เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าดูตกตะลึงกับเรื่องนั้น


 


ผู้คนของปราสาทนภาต่างก็รู้สึกดีใจ ทันใดนั้นยวิ๋นซู่ซางก็ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมา “โอ้ไม่นะ!”


 


“พี่มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรอ? จิตใจของศิษย์พี่ไผ่เดียวดายยังคงอยู่ นั่นควรจะเป็นเรื่องที่ดีหนิ?” ยวิ๋นซู่อีหันไปมองยวิ๋นซู่ซางด้วยความสับสน


 


ยวิ๋นซู่ซางขมวดคิ้วด้วยความกังวล “มันเป็นเรื่องดีที่จิตใจของไผ่เดียวดายยังคงอยู่ แต่เนตรมารกำลังอยู่ในระหว่างการต่อสู้ ซึ่งถ้าดอลลาร์ลงมือฆ่าเนตรมารในตอนนี้ เขาก็จะฆ่าไผ่เดียวดายไปด้วย”


 


ก่อนที่เธอจะพูดจบ ทุกคนก็เข้าใจว่าเธอกำลังจะบอกอะไร ซึ่งนั่นทำให้ความดีใจของพวกเขาเปลี่ยนเป็นความกลัว


 


ก่อนหน้านี้ดอลลาร์เป็นฝ่ายที่เสียการควบคุมร่างกายไป และถ้าเกิดไผ่เดียวดายไม่ปรากฏขึ้น เนตรมารก็คงจะกำจัดดอลลาร์ไปแล้ว


 


แต่ตอนนี้ดอลลาร์เป็นอิสระอีกครั้ง และเนตรมารเป็นฝ่ายที่สูญเสียการควบคุมร่างกายตัวเองไป นี่จึงเป็นโอกาสดีที่เขาจะกำจัดเนตรมารไปให้พ้นทาง ดอลลาร์เพิ่งจะหนีความตายมาได้อย่างหวุดหวิด ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลที่เขาต้องลังเลในการปิดฉากการต่อสู้อย่างเด็ดขาด


 


นั่นทำให้ทุกคนในปราสาทนภาเป็นกังวล พวกเขากลัวว่าดอลลาร์จะฆ่าเนตรมาร ซึ่งจะทำให้ไผ่เดียวดายตายไปพร้อมๆกัน


 


และมันไม่ใช่แค่ผู้คนของปราสาทนภาเท่านั้นที่รู้สึกแบบนั้น ผู้ชมคนอื่นๆก็เข้าใจเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าดอลลาร์ลงมือล่ะก็ เหตุการณ์ทั้งหมดก็จะไปสู่จุดสิ้นสุด


 


เนตรมารกำลังถูกรบกวนโดยจิตใจของไผ่เดียวดาย ในตอนนี้เขาจึงไม่มีสมาธิพอที่จะตอบโต้ดอลลาร์ได้ ดังนั้นนี่เป็นโอกาสดีที่ดอลลาร์จะฆ่าเนตรมาร


 


ดอลลาร์และเนตรมารอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ฟุต แต่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป พวกเขาเพียงแค่รู้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของดอลลาร์


 


แต่ดอลลาร์ยังคงไม่เคลื่อนไหว เขาเพียงแค่จ้องเนตรมารที่กำลังคุกเข่าอยู่ มันดูเหมือนกับว่าเขาไม่คิดจะโจมตีเนตรมารที่ไร้การป้องกัน


 


“ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ ยอมแพ้ซะเถอะ!” ดวงตาของเนตรมารเรืองแสงสีม่วงออกมา


 


แต่ทว่าวินาทีต่อมา ดวงตานภาของเนตรมารก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นเสียงของไผ่เดียวดายก็ขึ้นมา


“ข้ารอคอยเวลานี้อยู่เป็นเวลานาน และในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจที่จะรวมเข้ากับร่างกายของข้าอย่างเต็มที่ ตอนนี้มันไม่มีที่ไหนให้เจ้าหนีไปได้อีกแล้ว”


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าจะต่อสู้กับข้าได้อย่างนั้นหรอ?” ดวงตานภาเปลี่ยนเป็นสีม่วง และเมื่อเป็นอย่างนั้นเสียงของเนตรมารก็ดังขึ้นมา


 


ดวงตานภาเปลี่ยนไปมาระหว่างสีม่วงและแดง จิตใจของเนตรมารและไผ่เดียวดายกำลังต่อสู้กัน มันดูเป็นอะไรที่ดุเดือด ขณะที่การควบคุมร่างกายสับเปลี่ยนไปมาระหว่างทั้งคู่


 


ผู้คนในปราสาทนภารู้สึกดีใจที่เห็นว่าดอลลาร์ไม่ได้คิดจะฆ่าเนตรมารหรือไผ่เดียวดาย


 


“ดอลลาร์คนนั้นไม่ใช่คนเลว” ผู้นำของปราสาทนภาพูด


 


“นี่ดอลลาร์บ้าไปแล้วหรอ? ทำไมเขาถึงไม่กำจัดเนตรมารซะตอนนี้ในขณะยังมีโอกาส?” ใครบางคนพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“บางทีเขาอาจกลัวว่าทางปราสาทนภาจะตามล่าเขา ถ้าเขาทำแบบนั้น”


 


“นั่นมันก็จริง มันไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องละเมิดปราสาทนภาเพียงเพื่อชื่อเสียง”


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน การต่อสู้ระหว่างไผ่เดียวดายและเนตรมารก็ยังคงดำเนินต่อไป


 


“แน่นอนว่าข้าจะสู้กับเจ้า ตอนนี้ข้าก็กำลังสู้กับเจ้าอยู่” เสียงของไผ่เดียวดายดังขึ้นอีกครั้ง


 


“ข้ามีชีวิตมากว่าล้านปี และในแต่ละชีวิต ข้าก็กลายเป็นเทพเจ้าทุกครั้ง จิตใจของข้าแข็งแกร่งกว่าที่คนที่เพิ่งจะใช้ชีวิตไม่กี่สิบปี มันไร้ประโยชน์ที่จะพยายามต่อสู้กับข้า!” เนตรมารตะโกน


 


สีแดงเข้าปกคลุมดวงตานภาอีกครั้ง หลังจากนั้นไผ่เดียวดายก็พูดอย่างสงบ “เจ้าแข็งแกร่งและเคยกลายเป็นเทพเจ้ามาก่อน แต่เจ้ามักจะได้รับชัยชนะอยู่เสมอใช่ไหม? เจ้าไม่เคยมีประสบการณ์ว่าการถูกบดขยี้นั้นเป็นยังไง เจ้าไม่รู้จักความพ่ายแพ้ คนอย่างเจ้าไม่รู้ว่าการสูญเสียความหวังทั้งหมดนั้นเป็นยังไง”


 


“ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ นั่นก็เพราะว่าข้าจะได้รับชัยชนะอยู่เสมอ” เนตรมารเปล่งเสียงดัง


 


“ทำไมเจ้าถึงไม่ลองยอมแพ้ดูบ้าง? แบบนั้นเจ้าจะได้รู้สึกถึงความขื่นขมของความผิดหวัง”


ดวงตานภาเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง เมื่อไผ่เดียวดายควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกครั้ง นิ้วมือของเขาก็เปลี่ยนเป็นดาบ หลังจากนั้นเขาก็ใช้มันแทงเข้าไปที่หน้าผากของตัวเอง


 


จิตแห่งดาบสัมผัสกับหน้าผากและเข้าไปในร่างกายของเขา


 


“ดาบวิญญาณ!” หานเซิ่นแปลกใจเมื่อได้เห็นนิ้วมือของไผ่เดียวดาย เขารู้ว่าไผ่เดียวดายกำลังพยายามทำอะไร


 


จิตใจของเขาไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะเนตรมารได้ แต่ไผ่เดียวดายเคยประสบกับความเศร้าโศกหลายต่อหลายครั้งในฝันร้ายของเขา


 


ตอนนี้เนตรมารและไผ่เดียวดายรวมเข้าด้วยกัน ดังนั้นเมื่ออารมณ์ที่ถูกรวมกันถูกปลดปล่อยออกมา เนตรมารจะประสบกับความโศกเศร้าที่เอ่อล้นออกมาด้วยเช่นกัน


 


ไผ่เดียวดายเคยประสบกับมันมานักต่อนัก ขณะที่เนตรมารไม่เคยได้ประสบกับอะไรแบบนี้มาก่อน ถึงเขาจะแข็งแกร่งระดับเทพเจ้า แต่ด้วยอารมณ์ในทางลบที่เอ่อล้นออกมา มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะคงสติอยู่ได้


 


นี่เป็นสิ่งที่ไผ่เดียวดายรอคอย ที่จนถึงตอนนี้เขาไม่ได้พยายามต่อสู้กับเนตรมาร นั่นเป็นเพราะเนตรมารยังไม่ได้รวมเข้ากับร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์


 


แต่ในที่สุดโอกาสที่ไผ่เดียวดายรอคอยก็มาถึง ตอนนี้มันเป็นโอกาสที่เขาจะได้แก้แค้น


 


ดาบวิญญาณปลดปล่อยอารมณ์ที่เศร้าโศกออกมา เนตรมารและไผ่เดียวดายจมลงภายใต้ความโศกเศร้าที่เข้าครอบงำ ทำให้ตอนนี้ไผ่เดียวดายกลายเป็นคนที่เข้าควบคุมร่างกาย


 


“เพลิดเพลินกับประสบการณ์ของความล้มเหลวและความสิ้นหวังซะเถอะ!” ไผ่เดียวดายพูด


 


“เป็นไปไม่ได้! อ้า!” เนตรมารกรีดร้องออกมา อารมณ์ในทางลบกำลังกัดกินจิตใจของเขา


 


หานเซิ่นเองก็เคยประสบกับมันมาก่อนครั้งหนึ่ง และในช่วงเวลาแค่สั้นๆเขาก็เกือบที่จะสูญเสียความเป็นตัวเองให้กับพวกมัน แต่ในตอนนี้เนตรมารเข้าสิงร่างกายของไผ่เดียวดาย ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาก็คือไผ่เดียวดายเช่นกัน ทำให้เขาต้องรับอารมณ์ทั้งหมดที่ไผ่เดียวดายแบกรักเอาไว้ ความสิ้นหวังนับไม่ถ้วนถูกกดลงบนไหล่ของเนตรมาร มันเป็นสิ่งที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ยากจะแบกรับพวกมันทั้งหมดเอาไว้ได้


 


ดวงตานภามีเลือดไหลออกมา สีหน้าของเขาดูตกใจและโศกเศร้า และยิ่งไปกว่านั้นมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง 

 

 


ตอนที่ 2138

 

หานเซิ่นถอนหายใจออกมา เมื่อเห็นดาบวิญญาณกระตุ้นอารมณ์ในด้านลบทั้งหมดออกมา


 


ภายใต้ความโศกเศร้าทั้งหมดไผ่เดียวดายยังคงสติตัวเองเอาได้ แต่เนตรมารไม่สามารถทำได้ นั่นหมายความว่าเนตรมารจะต้องพยายามต่อสู้กับทั้งจิตใจของไผ่เดียวดายและอารมณ์ทางลบในเวลาเดียวกัน


 


เนตรมารไม่เคยมีประสบกับความโศกเศร้าและความล้มเหลวมาก่อน ตอนนี้เมื่อเนตรมารต้องต่อสู้กับอารมณ์ความรู้สึกที่กำลังบดขยี้จิตใจของเขา เขาก็ไม่มีกำลังเหลือพอที่จะต่อสู้กับจิตใจของไผ่เดียวดาย ด้วยเหตุนั้นเขาจึงจบสิ้นแล้ว


 


“มันจบลงแบบนี้ได้ยังไงกัน?” เนตรมารกรีดร้อง แสงสีม่วงในดวงตาของเขาเริ่มริบหรี่ลง เขาคงจะหนีไปแล้วถ้าสามารถทำได้ แต่ตอนนี้เมื่อเขารวมเข้ากับร่างกายของไผ่เดียวดาย มันก็ไม่มีที่ไหนให้เขาหนีไปได้อีก


 


ถ้าเขาออกจากร่างกายไผ่เดียวดายไปตอนนี้ จิตใจเป็นอย่างเดียวที่เขาจะเอาติดตัวไปได้ แต่วิชาจีโนทั้งหมดที่เขาสั่งสมมาเป็นล้านปีจะถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง


 


“ไม่! ไม่!” เนตรมารดูสิ้นหวัง และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาดูหวาดกลัว ขณะที่แสงสีม่วงของเขาเริ่มจะมัวลงไป


 


ปีกฝีเสื้อสีม่วงด้านหลังไผ่เดียวดายก็เริ่มจางหายไปเช่นกัน ดอกไม้ชุดเกราะก็เริ่มจะเหี่ยวเฉาและร่วงหลน ซึ่งในขณะที่ดอกไม้และปีกค่อยๆหายไป ร่างที่แท้จริงของไผ่เดียวดายก็มองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นๆ


 


ทันใดนั้นดวงตานภาของไผ่เดียวดายแว็บด้วยแสงสีม่วง แสงนั้นปรากฏออกมาในรูปร่างของผีเสื้อ มันกระพือปีกและพยายามที่จะบินหนีไป


 


หานเซิ่นชกหมัดของเขาออกไป แต่พลังของเขาไม่สามารถสัมผัสผีเสื้อสีม่วงนั่นได้ เพราะร่างของมันเป็นเหมือนกับเงา


 


“อย่าให้ข้าได้เจอพวกเจ้าอีกครั้ง ถ้าข้าเจอพวกเจ้าล่ะก็ ข้าจะทรมานพวกเจ้าจนตาย!”


ผีเสื้อสีม่วงพูดด้วยเสียงของเนตรมาร มันฟังดูขื่นขมและโกรธ มันกระพือปีกและบินตรงไปหากระดาษ


 


ปัง!


 


เมื่อเห็นว่าผีเสื้อสีม่วงตัวนั้นเกือบจะไปถึงกระดาษ หานเซิ่นก็ใช้ท่าตบขั้นสุดยอดใส่มัน ซึ่งลูกตบนั้นก็เปลี่ยนผีเสื้อกลายเป็นผุยผง


 


“ซีโน่เจเนอิคผีเสื้อเนตรม่วงระดับเทพเจ้าถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูร”


 


หานเซิ่นไม่ได้คิดว่าเสียงประกาศจะดังขึ้นเมื่อผีเสื้อถูกทำลาย เพราะที่เขาทำลายไปเป็นเพียงแค่จิตใจของผีเสื้อเนตรม่วงที่กำลังพยายามจะหนีไป แต่มันสมเหตุสมผลที่เขาไม่ได้รับยีนซีโน่เจเนอิค เพราะเนื่องจากการตัดสินใจรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของไผ่เดียวดาย ผีเสื้อเนตรม่วงจึงต้องทอดทิ้งยีนของเขาไป


 


แต่ที่ทำให้หานเซิ่นประหลาดใจที่สุดก็คือเรื่องที่เขาได้รับวิญญาณอสูรระดับเทพเจ้า ถึงผีเสื้อเนตรม่วงจะกลายเป็นเทพเจ้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ในชีวิตนี้เนตรมารเพิ่งวิวัฒนาการถึงระดับมาร์คริสเท่านั้น ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงไม่เคยคาดฝันว่าจะได้รับวิญญาณอสูรระดับเทพเจ้า


 


แต่หานเซิ่นพลาดเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งไป เมื่อผีเสื้อเนตรม่วงสิงร่างกายของคนอื่น มันจะวางเมล็ดพันธุ์แห่งพลังเอาไว้ ด้วยการใช้จิตใจระดับเทพเจ้าและเมล็ดพันธุ์แห่งพลัง เนตรมารจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาชนะจนกลายเป็นเทพเจ้าในที่สุด หลังจากนั้นเมื่อเขากลายเป็นเทพเจ้า พลังนั้นก็จะไปเสริมพลังให้กับจิตใจและเมล็ดพันธุ์ของเขาในวัฏจักรชีวิตต่อไป


 


เนตรมารจะกำเนิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในทุกครั้งเขาจะทำให้เมล็ดพันธุ์แข็งแกร่งขึ้น เขาจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆเพื่อสำเร็จขั้นตอนสุดท้ายของการวิวัฒนาการ


 


แต่จนถึงตอนนี้เขายังไปไม่ถึงขั้นสุดท้าย ระดับเทพเจ้าคือขั้นสูงสุดแล้วที่เขาจะไปถึงได้


 


ตอนนี้ชุดเกราะดอกไม้ของไผ่เดียวดายตายไปทั้งหมดแล้ว และสีดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างถาวร หลังจากนั้นชุดเกราะสีม่วงขาวก็เริ่มเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับไผ่เดียวดาย ปีกผีเสื้อสีม่วงก็เริ่มจะกางออกเช่นกัน นี่ดูแตกต่างไปจากชุดเกราะจีโนอันเก่าของเขา ซึ่งมันเป็นผลมาจากการที่เขารวมเป็นหนึ่งเดียวกับผีเสื้อเนตรม่วง


 


“ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องรอ” ไผ่เดียวดายพูดอย่างสงบขณะที่มองไปที่ดอลลาร์


 


กระดาษของเนตรมารหายไป และถูกแทนที่ด้วยกระดาษใหม่ที่เป็นชื่อไผ่เดียวดาย


 


“ขุนพลของเซเคร็ด ผีเสื้อเนตรม่วงถูกฆ่าตายหรอเนี่ย!”


 


“มันน่าเสียดายที่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนหนึ่งต้องหายไปตลอดกาล”


 


“ผีเสื้อเนตรม่วงถูกมาร์ควิสทั้ง 2 ฆ่า!”


 


“ฮ่าๆ! เขาควรจะตายไปตั้งนานแล้ว”


 


“แต่ดอลลาร์ปฏิบัติตัวน่ายกย่อง เขาไม่ได้ฉวยโอกาสโจมตีเพื่อชัยชนะง่ายๆ เขาจะกำจัดไผ่เดียวดายและเนตรมารไปพร้อมๆกันเลยก็ได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น”


 


“ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะยังดำเนินต่อไป ดอลลาร์ดูแข็งแกร่ง แต่ไผ่เดียวดายแข็งแกร่งกว่าอย่างแน่นอน เขาทำลายจิตใจของผีเสื้อเนตรม่วงได้ ดังนั้นจิตใจของเขาก็ต้องอยู่ในระดับเทพเจ้าเช่นกัน”


 


หานเซิ่นมองไปที่ไผ่เดียวดายอย่างมีความสุข แต่เขายังคงสงบจิตใจและพูด “ข้ารอต่อได้ ถ้านั่นคือสิ่งที่จำเป็น”


 


“เจ้าเริ่มได้เลย ข้าไม่จำเป็นต้องพัก” ไผ่เดียวดายส่ายหัวของเขา


 


มันเหมือนกับว่าการต่อสู้ยังไม่เริ่ม และทุกอย่างก็ถูกรีเซ็ต


 


ไผ่เดียวดายกระพือปีกผีเสื้อและพูด “เมื่อข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับผีเสื้อเนตรม่วง ซึ่งนอกจากปีกนี่แล้ว ข้ายังมีแสงเทพสีม่วงของเขาอีก”


 


“นั่นไม่เป็นไร เชิญใช้มันตามสบาย” หานเซิ่นพูด


 


ไผ่เดียวดายพยักหน้า หลังจากนั้นสัญลักษณ์รูปดวงตาก็เริ่มเรืองแสงขึ้นจากปีกผีเสื้อของเขา แสงนั้นแพร่ขยายออกไปจนกระทั่งมันระเบิดออกและพุ่งเข้าไปหาหานเซิ่น


 


“ไผ่เดียวดายแข็งแกร่งมากๆ และตอนนี้เขาก็มีแสงเทพของผีเสื้อเนตรม่วงอีก ข้าคิดว่าดอลลาร์ไม่มีโอกาสชนะแล้ว เขาหยิ่งยโสเกินไป เขาจึงสมควรโดนแล้ว”


 


“เจ้าไม่รู้อะไร! นั่นแสดงให้เห็นว่าดอลลาร์มีจิตใจของนักสู้”


 


“ชัยชนะเท่านั้นที่ทำให้คนๆหนึ่งเป็นยอดฝีมือ ผู้แพ้ก็เป็นเพียงแค่หมูตัวหนึ่ง”


 


“ดอลลาร์เพิ่งจะไว้ชีวิตเขาแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับต้องการต่อสู้กับดอลลาร์เนี่ยนะ”


 


“ชัยชนะคือสิ่งเดียวที่สำคัญ ดอลลาร์โง่เองที่ไม่ปิดฉากเขาซะ พวกเจ้าจะโทษไผ่เดียวดายในเรื่องนี้ไม่ได้”


 


“ถ้าดอลลาร์ทำลายแสงเทพของผีเสื้อเนตรม่วงไม่ได้ เขาก็จะพ่ายแพ้”


 


“ดอลลาร์เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะทำผิดพลาดแบบนี้”


 


“คนที่แข็งแกร่งอย่างเขาไม่ควรจะทำพลาดแบบนั้น เขาต้องมีวิธีการที่จะรับมือกับแสงเทพของผีเสื้อเนตรม่วงอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะลงมือไปแล้วในตอนที่ยังมีโอกาส?”


 


“ถ้าเขาป้องกันตัวเองจากมันได้ แบบนั้นแล้วทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเนตรมารเป็นเวลานานล่ะ? ข้าเดาว่าเขาคิดว่าไผ่เดียวดายหรือเนตรมารจะได้รับบาดเจ็บหลังจากที่ได้สติกลับมา แต่เปล่าเลยนอกจากไผ่เดียวดายจะไม่ได้รับบาดเจ็บแล้ว เขายังได้รับพลังจากผีเสื้อเนตรม่วงอีกด้วย” 

 

 


ตอนที่ 2139

 

หานเซิ่นถูกรัดด้วยแสงสีม่วงที่สาดส่องมารอบตัวเขา และมันก็เป็นเหมือนกับก่อนหน้านี้ เขาไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อได้แม้แต่น้อย แต่เนื่องจากไผ่เดียวดายใช้แสงเทพในฐานะมาร์ควิสคนหนึ่ง หานเซิ่นจึงไม่คิดว่าอีกฝ่ายใช้มันได้เป็นเวลานาน


 


แต่ถึงแม้ไผ่เดียวดายจะใช้มันได้เพียงแค่หนึ่งวินาที นั่นก็มากพอแล้วที่เขาจะเอาชนะหานเซิ่นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว


 


หานเซิ่นพยายามจะดิ้นรนเพื่อหลุดออกจากการรัดกุมของแสงนั่น แต่ความพยายามทั้งหมดของเขาล้มเหลว


 


‘เราจำเป็นต้องวิเคราะห์แสงแห่งการปิดผนึกของผีเสื้อเนตรม่วงนั่น เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องพึ่งร่างเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดทุกครั้ง’


หานเซิ่นคิด หลังจากนั้นจิตใจของเขาก็นึกไปถึงวิญญาณอสูรที่เพิ่งจะได้มา เขาตัดสินใจตรวจเช็คมันดู


 


วิญญาณอสูรผีเสื้อเนตรม่วงระดับเทพเจ้า : สเปกทาเคิลส์


 


‘แว่นสเปกทาเคิลส์? แบบที่ใช้ใส่เวลาออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดขณะที่เตรียมจะเรียกวิญญาณอสูรออกมา


 


แต่เมื่อลองคิดดูอีกที หานเซิ่นก็เกิดลังเลขึ้นมา เนื่องจากมันเป็นวิญญาณอสูรระดับเทพเจ้าดวงเดียวที่เขามี ซึ่งถ้าเขาใช้มันในฐานะดอลลาร์ เขาก็จะไม่สามารถใช้มันได้อีกเมื่ออยู่ในฐานะหานเซิ่น ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่อยากจะเปิดเผยมันต่อสาธารณชน


 


“แสงเทพเนตรม่วงนั้นค่อนข้างทรงพลัง แต่ในฐานะมาร์ควิส ข้าคงจะใช้มันเป็นเวลานานไม่ได้” ไผ่เดียวดายมองไปที่หานเซิ่น แต่เขายังคงไม่เคลื่อนไหว


 


“ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามัวเสียเวลาเลย” หานเซิ่นตอบ ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ห่อหุ้มร่างกายของเขาและเปลี่ยนชุดเกราะสีทองของเขาให้โปร่งใส หลังจากนั้นเขาก็เริ่มก้าวเท้าผ่านแสงเทพเนตรม่วงไปราวกับว่ามันไม่มีผลอะไรต่อเขา


 


“แสงเทพเนตรม่วงไม่ได้ผล?” ผู้ชมอึ้งไป


 


ผีเสื้อเนตรม่วงเป็นหนึ่งในสิบขุนพลของเซเคร็ด พลังของเขาอยู่ในหมู่ยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลจีโน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยแสงเทพสีม่วงของเขา มันอาจจะเป็นพลังปิดผนึกที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาลแห่งนี้เลยก็เป็นได้ ถ้าเกิดไม่มีหนทางที่จะป้องกันหรือหลีกเสี่ยงแสงนั้น ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า พวกเขาก็จะถูกจำกัดการเคลื่อนไหวในทันที


 


ถึงแม้ไผ่เดียวดายจะยังเป็นเพียงแค่มาร์ควิส แต่ถ้าคู่ต่อสู้อยู่ในระดับเดียวกัน มันก็ไม่ควรจะเป็นปัญหาอะไรสำหรับเขา


 


แต่ดอลลาร์สามารถทำลายแสงเทพเนตรม่วงได้อย่างง่ายดาย การได้เห็นอะไรแบบนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ


 


“พลังนั่น! นั่นคือดอลลาร์ตัวจริง!” เมื่อได้เห็นหานเซิ่นใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด อี๋ซาก็โมโหขึ้นมา


 


เมื่อหานเซิ่นเข้าสู่โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด ร่างกายของเขาก็ปลดปล่อยพลังชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดออกมา


 


ภายใต้แสงเทพเนตรม่วง หานเซิ่นชี้ไปที่ไผ่เดียวดาย พลังมหาศาลถูกรวบรวมไปที่ปลายนิ้วของเขา


 


ขณะเดียวกันไผ่เดียวดายก็เปิดดวงตานภาของเขาออก หลังจากนั้นเลือดก็ชำระล้างร่างกายของเขาราวกับคลื่นของมหาสมุทร มันย้อมทั้งร่างกายของเขาให้เปียกโชก ซึ่งรวมถึงชุดเกราะและปีกสีม่วงของเขาด้วย ตอนนี้ทั้งร่างกายของเขามีสีม่วงแดงราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่ในแสงสีเลือด


 


ไผ่เดียวดายยกนิ้วขึ้นเช่นเดียวกันและชี้มันไปที่หานเซิ่นเหมือนกับดาบ ร่างกายของเขามีสีม่วงแดง แต่ดาบลมปราณของเขาไร้สีสัน ถ้าดาบลมปราณของเขาไม่ได้อยู่ภายใต้แสงสีม่วงแดง ดาบลมปราณที่ใสเหมือนกับคริสตัลก็คงจะล่องหนโดยสมบูรณ์ต่อสายตาผู้คน


 


“วิถีนภาไร้สิ้นสุดจากตำราไร้อักษร” ผู้นำปราสาทนภาอึ้งเมื่อได้เห็นดาบลมปราณบนนิ้วมือของไผ่เดียวดาย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ขณะที่จ้องไปที่มัน


 


“ไม่มีทาง เจ้าแน่ใจหรือว่านั่นใช่วิถีนภาไร้สิ้นสุดจริงๆ? นี่เขาเริ่มฝึกมันมานานเท่าไหร่แล้ว?” ผู้หญิงที่สวมหน้ากากสีดำไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น


 


ผู้นำปราสาทนภาหัวเราะและพูด “ฮ่าๆ แน่นอนว่าข้าแน่ใจ เขาเป็นลูกศิษย์ของข้า เขาได้เริ่มฝึกวิถีนภาไร้สิ้นสุดจากตำราไร้อักษรตั้งแต่ที่เขากลายเป็นมาร์ควิส เขาเป็นศิษย์ที่ดี และข้าบอกเจ้าแล้วยังไงว่ามันไม่มีใครในจักรวาลแห่งนี้ที่จะแข็งแกร่งไปกว่าเขา”


 


“เขาเรียนรู้วิถีนภาไร้สิ้นสุดตั้งแต่อายุแค่นี้ ปราสาทนภานั้นโชคดีจริงๆ” เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าพึมพำกับตัวเอง สีหน้าของเขาดูไม่ดีเลยสักนิด


 


“ปราสาทนภาจะโชคดีเกินไปแล้ว” คนเก่าคนแก่หลายคนเมื่อเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกโมโหด้วยความอิจฉา


 


ตำราไร้อักษรเป็นอะไรที่ยากจะเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหาก็เพียงพอที่จะทำให้ศิษย์คนหนึ่งสามารถครองโลกได้ แต่การเรียนรู้วิถีนภาไร้สิ้นสุดเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า มันมีชาวนภาเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียนรู้ตำราไร้อักษรได้ และมันมีคนน้อยยิ่งกว่าที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีนภาไร้สิ้นสุด แถมในบรรดาไม่กี่คนที่เรียนรู้มันได้สำเร็จ พวกเขาก็เรียนรู้มันในตอนที่เป็นระดับราชัน


 


แม้แต่ผู้นำปราสาทนภาเองก็เรียนรู้วิถีนภาไร้สิ้นสุดในตอนที่เขาเป็นดยุก และเพียงแค่นั้นผู้คนก็เชื่อว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่สุดที่เคยมีมา


 


แต่ตอนนี้ไผ่เดียวดายเรียนรู้วิถีนภาไร้สิ้นสุดตั้งแต่ที่ยังเป็นแค่มาร์ควิส ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกฝ่ายจะอิจฉาปราสาทนภาที่มีอัจริยะอย่างไผ่เดียวดาย


 


ทั้งหานเซิ่นและไผ่เดียวดายรวบรวมพลังไปที่ปลายนิ้วของตัวเอง พลังสีแดงและพลังสีฟ้าเป็นเหมือนกับเทพเจ้า 2 คนที่ลุกโชติช่วงด้วยความโกรธ แม้แต่จะมองพวกเขาก็เป็นอะไรที่น่ากลัว


 


เมื่อพลังของทั้ง 2 ถึงจุดสูงสุด พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว


 


หานเซิ่นดูเหมือนกับเทพเจ้าที่ชี้นิ้วออกไป มันไม่ใช่เทคนิคที่งดงามอะไร มันเป็นอะไรที่เรียบง่าย แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นอะไรที่ร้ายแรง


 


ไผ่เดียวดายแทงนิ้วมือของเขาออกไปข้างหน้าและปลดปล่อยดาบลมปราณไปหาหานเซิ่นเช่นเดียวกัน


 


พลังทั้ง 2 พุ่งเข้าหากัน และเมื่อพวกมันมาประจบกัน ผู้ชมก็ได้ยินเสียงที่เหมือนกับไข่กำลังแตกร้าว ชุดเกราะของไผ่เดียวดายแตกสลายเป็นผุยผง แต่ดอลลาร์ไม่เป็นอะไร


 


“ข้าแพ้แล้ว ขอบคุณที่ชี้แนะ” ไผ่เดียวดายโค้งคำนับหานเซิ่นอย่างจริงจัง หลังจากนั้นเขาก็ฉีกกระดาษและหายตัวไปจากบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน


 


“เป็นไปไม่ได้! วิถีนภาไร้สิ้นสุดจะแพ้ได้ยังไง? นั่นมันคือแก่นแท้ของวิถีนภา ผู้ใช้จะเดินทางข้ามกาลเวลาด้วยมัน ดังนั้นเขาจะพ่ายแพ้ได้ยังไง?” ผู้นำปราสาทนภาจ้องไปที่บัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนอย่างตกตะลึง เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งจะได้เห็น


 


เขารู้ดีว่าวิถีนภาไร้สิ้นสุดทรงพลังขนาดไหน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาตกใจอย่างที่สุด


 


“วิถีนภาไร้สิ้นสุดพ่ายแพ้” ยอดฝีมือที่เก่าแก่ตกใจเช่นเดียวกัน พวกเขาจ้องไปที่ร่างสีทองภายในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนด้วยความตกตะลึง


 


“มนุษย์ ดอลลาร์” สายตานับไม่ถ้วนนั้นจ้องไปที่คำ 2 คำนั้น ผู้ชมเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งความอิจฉา ความชื่นชม ความหวาดกลัว


 


ตูม!


 


ดอลลาร์หายตัวไปจากสายตา หลังจากนั้นภาพวิดีโอการต่อสู้ของดอลลาร์ก็ถูกแสดงบนบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน ยอดฝีมือทุกคนมองดูการต่อสู้อย่างตั้งใจ การต่อสู้แต่ละรอบถูกฉายติดต่อกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงรอบสุดท้ายที่เขาขึ้นสู่อันดับที่หนึ่ง


 


ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าผู้ชนะเลิศระดับมาร์ควิสจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ชื่อดอลลาร์ ขุนนางทุกคนมองดูผลการต่อสู้รอบสุดท้ายอย่างไม่แน่ใจว่าควรจะตอบสนองยังไงดี 

 

 


ตอนที่ 2140

 

การต่อสู้ของดอลลาร์ถูกแสดงไปทั่วทั้งจักรวาล และตอนนี้ภาพของร่างกายสีทองอร่ามก็มีปฏิกิริยาที่แตกต่างไปจากเดิม เขาขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่งของระดับมาร์ควิสและพิสูจน์ว่าเขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด


 


วิดีโอหยุดในจังหวะที่ดอลลาร์และไผ่เดียวดายกำลังปะทะกันด้วยดัชนีของพวกเขา หลังจากนั้นต่อหน้าทุกคน วิดีโอก็แตกสลายและตัดภาพไปที่ร่างกายที่ถูกซูมเข้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งร่างกายนั้นเป็นสิ่งเดียวในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโน


 


สิบนาทีหลังจากนั้นร่างกายสีทองก็หายลับไป และชื่อของดอลลาร์ก็ปรากฏในจุดสูงสุดของตารางจัดอันดับ


 


มาร์ควิสอันดับที่หนึ่ง : ดอลลาร์ เผ่ามนุษย์


 


จากทุกระดับ การต่อสู้รอบสุดท้ายของระดับมาร์ควิสยาวนานที่สุด ด้วยเหตุนั้นอันดับอื่นจึงถูกตัดสินเรียบร้อยแล้ว สิ่งมีชีวิตที่ได้รับอันดับที่หนึ่งในระดับมาร์ควิสนั้นก็คือเสี่ยวฮวา นี่เป็นครั้งแรกที่หานเซิ่นได้เห็นเสี่ยวฮวา


 


ไผ่เดียวดายพบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่ข้างริมลำธารแห่งหนึ่ง เด็กสาวกำลังจ้องมาที่เขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน


 


“เจ้าเป็นใครกัน?” ไผ่เดียวดายถามเด็กผู้หญิง


 


“ข้าคือดอกไม้” เด็กผู้หญิงตอบ


 


“ดอกไม้อะไร?” ไผ่เดียวดายถาม


 


“ผีเสื้อจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีดอกไม้ ซึ่งข้าคือดอกไม้นั้น” เด็กผู้หญิงตอบ


 


ไผ่เดียวดายพยักหน้า และดูเหมือนเขาจะเข้าใจ เขามองไปที่เด็กผู้หญิงแค่ช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวจากไป


 


“ทำไมเจ้าถึงไม่ฆ่าข้า? เจ้าควรจะเกลียดชังข้าไม่ใช่หรอ?” เด็กผู้หญิงถามไผ่เดียวดายขณะที่อยู่ภายใต้เงาของเขา


 


“ตั้งแต่ที่เด็กสาวคนหนึ่งจากข้าไป ข้าก็สาบานเอาไว้ว่าจะไม่หลั่งเลือดของเด็กผู้หญิงอีก” ไผ่เดียวดายพูดอย่างเย็นชาและเดินออกไปโดยไม่หันกลับไปมอง


 


“ถ้าเจ้าไม่ฆ่าข้าซะตอนนี้ ข้าจะเป็นคนที่ฆ่าเจ้า” มือของเด็กสาวเปลี่ยนเป็นสีแดง และเธอก็พุ่งเข้าไปหาไผ่เดียวดายจากด้านหลัง


 


ปัง!


 


เมื่อหมัดของเธอสัมผัสกับแผ่นหลังของไผ่เดียวดาย และมันก็ทิ้งรอยกำปั้นสีแดงเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นไผ่เดียวดายก็ทำเหมือนกับว่าไม่สังเกตเห็นสิ่งที่เธอทำ


 


นั่นทำให้เด็กสาวโกรธยิ่งกว่าเดิม เธอตะโกนใส่ไผ่เดียวดาย


“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ามันโง่เขลาที่ไม่ฆ่าข้าซะตอนนี้? สักวันหนึ่งข้าจะล้างแค้นให้กับเนตรมาร เจ้าจะต้องเสียใจกับเรื่องนี้!”


 


“สิ่งเดียวที่ทำให้ข้าเสียใจก็คือเวลาที่ข้าไม่ใช่ตัวของตัวเอง”


ไผ่เดียวดายโบกมือราวกับว่าเขากำลังบอกลา “ถ้าการล้างแค้นข้าคือสิ่งที่เจ้าแสวงหา ข้าก็ขอแนะนำจากใจจริงให้เจ้าฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ยังมีโอกาสที่จะได้ชำระแค้น”


 


เด็กผู้หญิงจ้องมองแผ่นหลังของไผ่เดียวดายจนกระทั่งเขาหายไปจากสายตา


 


หลังจากที่การต่อสู้ภายในบัญชีสิ่งมีชีวิตจีโนจบลง หานเซิ่นก็เดินทางกลับไปที่ปราสาทนภา


 


ผู้นำปราสาทนภาดีใจที่เห็นหานเซิ่นกลับมาอย่างปลอดภัย และในระหว่างการพบกัน หานเซิ่นก็ใช้โอกาสนั้นเพื่อถามเกี่ยวกับเซเคร็ด


 


“ท่านผู้นำ ข้าได้ยินมาว่าผีเสื้อเนตรม่วงมาจากเซเคร็ด ท่านจะช่วยบอกข้าเกี่ยวกับเซเคร็ดหน่อยได้ไหม?” หานเซิ่นทำเหมือนกับว่าเขาถามเรื่องนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น เขาไม่ต้องการเสี่ยงให้ผู้นำปราสาทนภาอ่านความคิดที่แท้จริงของเขาได้


 


ผู้นำปราสาทนภาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมา


“ครั้งหนึ่งเซเคร็ดเคยยิ่งใหญ่ในจักรวาลแห่งนี้ พวกเขาครองอันดับสูงที่สุดภายในจีโนฮอลล์ แต่พวกเขาล่มสลายมาเป็นเวลายาวนานแล้ว ทำให้มันไม่ค่อนมีข้อมูลเกี่ยวกับเซเคร็ดมากนัก แม้แต่ข้าเองก็ไม่เคยสงสัยมาก่อนเลยว่าขุนพลของพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่”


 


“ขุนพลทั้งสิบของเซเคร็ดเป็นเทพเจ้ากันหมดเลยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นแกล้งทำเป็นว่าเรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจ


 


“ใช่แล้ว พวกเขาทั้งหมดเป็นเทพเจ้า และมันก็ไม่ใช่แค่พวกเขาสิบคนเท่านั้นที่เป็นเทพเจ้า แต่ขุนพลทั้งสิบคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา” ผู้นำของปราสาทนภาพูด


 


หานเซิ่นประหลาดใจกับเรื่องนี้ “ถ้าพวกเขายิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นแล้ว ทำไมพวกเขาถึงได้ล่มสลาย? ใครกันที่ทำแบบนั้นกับพวกเขา?”


 


“ไม่มีใครรู้ คำตอบเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสมากมายกำลังตามหาเช่นกัน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามสักแค่ไหน พวกเขาก็หาคำอธิบายไม่ได้ ถ้าพวกเขาได้รู้ความจริง บางทีมันก็คงจะไม่เป็นระบบที่รกร้างว่างเปล่าแบบนั้น” ผู้นำปราสาทนภาถอนหายใจออกมา


 


“เซเคร็ดอยู่ในระบบที่รกร้าง?” หานเซิ่นแปลกใจ


 


“ระบบที่รกร้างทั้งหมดคือดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเซเคร็ด”


ผู้นำปราสาทนภาพูดพร้อมกับพยักหน้า “ไวเคานต์ที่ได้รับอันดับหนึ่งนั้นอาจจะเป็นทายาทของเซเคร็ดอย่างแท้จริง ถ้าเจ้ามีโอกาสได้เจอกับเขาล่ะก็ ระวังตัวให้ดี ถึงเขาอาจจะยังไม่ใช่มาร์ควิส แต่พวกเราไม่รู้ว่าพวกเขามีคนที่แข็งแกร่งแบบนั้นอยู่อีกเท่าไหร่ พวกเราทุกคนจึงต้องระมัดระวังให้ดี”


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็กลับไปที่เกาะของตัวเองและเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น


 


‘ระบบที่รกร้างเคยเป็นของเซเคร็ดอย่างนั้นหรอ? นั่นหมายความว่าเสี่ยวฮวาต้องอยู่ที่นั่น ทางเข้าสู่ก็อตแซงชัวรี่ก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน แมวเก้าชีวิตเกี่ยวข้องกับเซเคร็ด นอกจากนั้นเขายังเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่ได้ นั่นหมายความว่าเซเคร็ดมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับก็อตแซงชัวรี่อย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ แต่เขาไม่สามารถหาข้อสรุปอะไรได้


 


เบาะแสอย่างเดียวที่เขามีตอนนี้ก็คือตำแหน่งที่ตั้งของเซเคร็ด แต่การจะเข้าไปในนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเขายังไม่ถึงระดับเทพเจ้า


 


ทางเข้าก็อตแซงชัวรี่อยู่ที่ไหนสักแห่งในระบบรกร้าง ดังนั้นหานเซิ่นจึงพยายามรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนแห่งนั้นให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ไหนก็พูดเหมือนๆกันว่าถ้าไม่ใช่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็อย่าได้คิดเข้าไปในนั้น แม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันก็อาจจะพบกับความตายถ้าเข้าไปในที่แบบนั้น


 


ถ้าดินแดนแห่งนั้นไม่ได้น่าสะพรึงกลัว คริสตัลไลเซอร์ก็คงจะออกมาที่จักรวาลจีโนได้เป็นเวลานานแล้ว และพวกเขาก็คงจะไม่ตายหลังที่ออกมาจากก็อตแซงชัวรี่ แม้แต่หานเซิ่นเองก็ต้องล้มเลิกความคิดที่จะสร้างเส้นทางออกจากก็อตแซงชัวรี่ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเสี่ยวฮวาจะอยู่ในดินแดนที่อันตรายแบบนั้น


 


‘ใครสน! ถึงมันจะอยู่ในระบบที่รกร้างแล้วยังไง? ไม่มีใครหยุดฉันจากการตามหาลูกชายได้!’ หานเซิ่นคิดขณะที่เดินทางไปที่สถานหยกขาว


 


แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเป็นราชันให้ได้ซะก่อนเป็นอย่างน้อย ถึงจะคิดเกี่ยวกับการไปยังดินแดนแห่งนั้น ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้สำหรับเขาก็คือการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น


 


เมื่อไปถึงสถานหยกขาว หานเซิ่นก็เข้าไปในหอคอยที่ 2 และขึ้นไปยังชั้นที่ 7 ซึ่งเขาได้พบกับไผ่เดียวดายที่นั่น เขายิ้มออกมาและพูด


“น่าเสียดายที่เจ้าเอาอันดับหนึ่งมาไม่ได้”


 


ไผ่เดียวดายตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “มันน่าเสียดาย แต่มันก็ผลักดันให้ข้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไป”


 


“เจ้าน่าเบื่อไปแล้ว เจ้าให้สัญญาที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นหน่อยได้ไหม? อย่างเช่นบอกว่าเจ้าจะเอาชนะดอลลาร์ให้ได้” หานเซิ่นยิ้ม


 


“ข้าคิดว่าการเอาชนะเจ้าให้ได้ก่อนอาจจะมีประโยชน์ต่อเรื่องนั้น หลังจากที่สถานหยกขาวปิดตัวลงแล้ว สนใจมาประลองกับข้าไหม?” ไผ่เดียวดายมองมาที่หานเซิ่น


 


“ข้ามีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องไปทำ บางทีครั้งหน้า?”


หานเซิ่นไม่สนใจจะต่อสู้กับไผ่เดียวดายในตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายมีแสงเทพเนตรม่วง ซึ่งถ้าไม่ใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด มันก็ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะไผ่เดียวดายได้ 

 

 


ตอนที่ 2141

 

เมื่อสถานหยกขาวปิดลงแล้ว หานเซิ่นก็เดินทางไปที่เกาะความฝันเพื่อรับตัวเป่าเอ๋อ ก่อนที่หานเซิ่นจะเดินทางไปที่โฮลี่เฮฟเว่น เขาได้ส่งเป่าเอ๋อไปที่เกาะความฝัน ภายใต้การปกป้องของดรีมบีสต์ เขามั่นใจว่ามันจะไม่มีอะไรมารบกวนเธอ


 


“พ่อ!” เป่าเอ๋อกระโดดเข้าหาหานเซิ่นในทันทีที่ได้เห็นเขา


 


หลังจากที่ขอบคุณดรีมบีสต์ที่ช่วยคุ้มครองเป่าเอ๋อ หานเซิ่นก็พาเป่าเอ๋อกลับไปที่เกาะของเขา


 


“อี๋ซาเคยบอกเอาไว้ว่าปราสาทนภาจะช่วยให้เราไปถึงระดับมาร์ควิส แต่มันเป็นเรื่องยากอย่างมากในการจะพัฒนาเรื่องราวของยีนขึ้นไปสู่ระดับมาร์ควิส และหลังจากที่กลายเป็นมาร์ควิสได้แล้ว เราจะไปหาทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อพัฒนาไปสู่ระดับดยุกและราชันต่อได้ยังไง?”


เรื่องราวของยีนเริ่มทำให้หานเซิ่นปวดหัว มันใช้ทรัพยากรมากเกินไป นอกจากนั้นเขายังไม่ได้เห็นพลังที่มันจะมอบให้กับเขา


 


ขณะที่หานเซิ่นกำลังอยู่ท่ามกลางการวางแผนอนาคต เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อเขามาจากด้านนอก พี่น้องยวิ๋นและกระเรียนพันขนแวะมาเยี่ยมเขา


 


หานเซิ่นจึงเชิญพวกเขามานั่งที่โต๊ะใกล้ๆกับต้นไม้แก่


 


“ที่จริงแล้วข้ากำลังจะแวะไปหาพวกเจ้าอยู่เลย” หานเซิ่นพูดขณะที่เริ่มเสิร์ฟน้ำชา


 


ยวิ๋นซู่อียิ้มและพูด “พวกเราไม่ได้มาที่นี่ด้วยความตั้งใจของพวกเราเอง พวกเรามาที่นี่เพื่อนำคำพูดของท่านพ่อมาบอกกับเจ้า เจ้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว”


 


“เหลือเวลาไม่มากอะไร?” หานเซิ่นประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน


 


“เวลาที่เจ้าต้องสอนในสนามฝึก” ยวิ๋นซู่ซางยิ้ม


 


“โอ้! นี่ข้าลืมไปซะสนิทเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะไปที่นั่นตั้งแต่เช้าตรู่เลย”


หานเซิ่นจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาตั้งใจจะไปทำการสอน แต่เกิดเหตุการณ์ที่เหนือการควบคุมซะก่อน ทำให้เขาต้องไปจากปราสาทนภา


 


“ศิษย์น้องหาน เจ้าคิดจะสอนเรื่องอะไรอย่างนั้นหรอ?” กระเรียนพันขนถาม


 


“ข้าคิดจะสอนวิชาผนึกมาร” หานเซิ่นพูด


 


“เจ้าจะพูดเกี่ยวกับวิชาผนึกมารอย่างนั้นหรอ?” กระเรียนพันขนและคนอื่นๆดูแปลกใจที่ได้ยินแบบนั้น


 


“นั่นเป็นความคิดที่แย่อย่างนั้นหรอ? หรือว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ได้รับอนุญาตให้พูด?” หานเซิ่นถามด้วยสีหน้าที่สับสน


 


“แน่นอนว่าเจ้าพูดเกี่ยวกับมันได้ แต่ว่า”


กระเรียนพันขนเงียบไป ราวกับว่าเขาไม่ต้องการจะพูดอะไรบางสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของหานเซิ่น


 


ยวิ๋นซู่อีจึงแทนเขา “แต่วิชาผนึกมารเป็นอะไรที่สอนยาก นอกจากนั้นมันมีอาจารย์คนหนึ่งที่พูดเกี่ยวกับวิชาผนึกมารอยู่แล้ว แถมเขายังเก่งกาจในวิชานั้นมากๆอีกด้วย”


 


“เขาเป็นยอดฝีมือระดับราชันอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


“ไม่ใช่ เขาเป็นดยุกจากรุยบีสต์ เขามีพรสวรรค์ในพลังผนึกมาร ด้วยเหตุนั้นวิชาผนึกมารของเขาจึงเหนือกว่าคนอื่น และพวกผู้อาวุโสก็มักจะให้เขาเป็นคนพูดถึงเรื่องวิชาผนึกมาร” กระเรียนพันขนพูด


 


“ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดเรื่องอื่นล่ะกัน” หานเซิ่นรู้สึกลำบากใจขึ้นมา เขาไม่มีวิชาอื่นที่จะใช้สอนได้


 


หานเซิ่นมีวิชาจีโนหลายตัว แต่พวกมันทั้งหมดเป็นความลับ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่าควรจะพูดเรื่องอะไรดี


 


“ศิษย์น้องหาน พวกเราจะไปเข้าร่วมบทเรียนของเจ้าในวันพรุ่งนี้”


ก่อนที่กระเรียนพันขนและคนอื่นจะจากไป พวกเขาได้วางแผนว่าจะไปพบกับหานเซิ่นที่สนามฝึกในวันถัดไป


 


แต่หานเซิ่นยังคงไม่รู้ว่าควรจะสอนเรื่องอะไรดี เขามีแผนจะถามไปศิษย์ของปราสาทนภาที่มาฟังว่าพวกเขาอยากจะฟังเรื่องอะไร


 


เมื่อบรรดาศิษย์ของปราสาทนภาได้ยินว่าหานเซิ่นจะมาทำการสอน ผู้คนมากมายก็ตั้งใจจะไปที่สนามฝึก แม้แต่เฟเธอร์อย่างแองเกียก็ยังตัดสินใจจะมาฟัง พวกเขาอยากรู้ว่าหานเซิ่นจะมาสอนเรื่องอะไร


 


หานเซิ่นพาเป่าเอ๋อขึ้นไปบนเวทีร่วมกับเขา และเมื่อเขาเห็นผู้คนมากมายด้านล่าง เขาก็รู้สึกแปลกใจ ผู้ชมที่มานั้นเยอะจนที่นั่งไม่พอ ทำให้หลายคนจำเป็นต้องยืนฟัง


 


หานเซิ่นและไผ่เดียวดายถูกพูดถึงในฐานะปรมาจารย์แห่งมีดและดาบ ศิษย์ของปราสาทนภาจึงสนใจในวิชาจีโนของหานเซิ่นเป็นอย่างมาก และมันไม่ใช่แค่คนระดับต่ำเท่านั้นที่มาฟังหานเซิ่น ในวันนี้แม้แต่มาร์ควิสก็มาเข้าฟังด้วยเช่นกัน


 


กระเรียนพันขนและพี่น้องยวิ๋นหาที่นั่งแถวหน้า หานเซิ่นพยักหน้าให้กับพวกเขาเพื่อทักทาย เนื่องจากเขาเป็นอาจารย์บนเวที ดังนั้นมันไม่เหมาะสมที่เขาจะไปพูดทักทายกับเพื่อนๆ


 


“ศิษย์น้องหาน เจ้าจะสอนเรื่องอะไรอย่างนั้นหรอ?” อวี้จิงตะโกนขึ้นมาจากแถวหน้า


 


“ทุกคนอยากจะฟังเรื่องอะไรกัน? ถ้ามันมีเรื่องที่ทุกคนสนใจล่ะก็ ข้าจะรับฟังคำขอของทุกคน” หานเซิ่นถาม เขาหวังว่าใครสักคนในบรรดาผู้ชมจะมีความคิดดีๆ


 


“วิชาดาบ! พวกเราอยากฟังเกี่ยวกับวิชาดาบ!”


 


“ใครต้องการวิชาดาบ? ศิษย์น้องหานควรจะสอนวิชามีดต่างหาก”


 


“ทำไมไม่พูดทั้ง 2 อย่างพร้อมกันเลย เพราะศิษย์น้องหานถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์แห่งมีดและดาบ”


 


ผู้ชมเริ่มโต้เถียงกัน แต่ละคนก็มีความคิดของตัวเอง ซึ่งมันทำให้หานเซิ่นไม่สามารถตัดสินใจได้เลยแม้แต่นิดเดียว


 


“ข้ามีข้อเสนอข้อหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้ เจ้าคิดว่าจะสอนวิชาผนึกมารให้กับพวกเราได้ไหม?” เสียงของอวี้จิงดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงตะโกนของเขาดึงดูดความสนใจของทุกคน


 


“มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฟังเรื่องนั้น? พวกเราเคยฟังมันมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่มันเป็นอะไรที่ฝึกยากเกินไป” ผู้ชมหลายคนเริ่มโต้เถียงกันอีกครั้ง


 


มันมีผู้คนมากมายที่อยากจะฝึกวิชาผนึกมาร แต่ทว่ามันเป็นอะไรที่ยากเกินไป เนื่องจากมันเป็นวิชาจีโนที่ขึ้นชื่อเรื่องความนานในการเรียนรู้ ดังนั้นการสอนเกี่ยวกับมันจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก


 


“วิชาผนึกมารเป็นข้อเสนอที่ดี” ขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันนั้นก็มีเสียงดังก้องผ่านอากาศเข้ามา


 


มันไม่ได้ดังอะไร แต่ทุกคนสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน นอกจากนั้นมันยังเป็นเสียงที่คุ้นเคย


 


ทุกคนหันไปทางเสียงนั้นและเห็นว่าคนที่พูดขึ้นมาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นไผ่เดียวดายที่กำลังยืนอยู่ที่มุมๆหนึ่ง


 


อวี้จิงดูค่อนข้างอับอาบที่ทุกคนปฏิเสธข้อเสนอของเขาไป แต่ตอนนี้เขาตื่นเต้นอย่างมาก


“ดูสิ! แม้แต่ศิษย์พี่ไผ่เดียวดายก็อยากจะฟังเกี่ยวกับวิชาผนึกมาร เพราะอย่างนั้นข้าจึงอยากให้ศิษย์น้องหานช่วยสอนวิชาผนึกมารให้กับพวกเรา”


 


“มาคิดดูอีกที วิชาผนึกมารก็ฟังดูไม่เลว”


 


“ข้าเคยได้ฟังการบรรยายเกี่ยวกับวิชาผนึกมารมาหลายครั้งแล้ว แต่ถ้ามันมาจากศิษย์น้องหานล่ะก็ มันต้องเป็นอะไรที่พิเศษ พวกเราควรจะลองฟังศิษย์น้องหานพูดเกี่ยวกับวิชาผนึกมารดู”


 


“แม้แต่ศิษย์พี่ไผ่เดียวดายก็ยังอยากจะฟังเกี่ยวกับวิชาผนึกมารจากศิษย์น้องหาน ดังนั้นมันต้องแตกต่างจากการบรรยายของคนอื่นอย่างแน่นอน”


 


ตอนนี้ผู้ชมที่ถกเถียงกันจู่ๆก็หันมาเข้าข้างกัน พวกเขาจะฟังหานเซิ่นพูดเกี่ยวกับวิชาผนึกมาร


 


นั่นเป็นเพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นจากฝันร้าย ไผ่เดียวดายก็ไม่เคยมาที่สนามฝึกเพื่อฟังบรรยายมาก่อน ตอนนี้เมื่อไผ่เดียวดายต้องการจะฟังหานเซิ่นพูดเกี่ยวกับวิชาผนึกมาร ทุกคนจึงคิดว่าวิชาผนึกมารของหานเซิ่นต้องเป็นอะไรที่พิเศษ


 


เมื่อเห็นว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกัน หานเซิ่นก็เลยตอบตกลง


“โอเค ข้าจะสอนเรื่องวิชาผนึกมาร แต่ความเชี่ยวชาญในวิชาผนึกมารของข้าไม่ใช่อะไรที่พิเศษ แค่ฟังและอย่าได้ไปคิดอะไรมันจริงจังเกินไป ที่ข้ากำลังจะพูดเป็นเพียงแค่คำแนะนำเท่านั้น” 

 

 


ตอนที่ 2142

 

“วิชาผนึกมาร? นี่มันเป็นทั้งวิชาที่ดีและแย่ที่สุด” หัวหน้าของสวนวิถีนภาหลี่ตาขณะที่มองไปยังสนามฝึก


 


“ทำไมเจ้าถึงพูดอย่างนั้น?” ไวท์เรียลถาม


 


หัวหน้าสวนวิถีนภายิ้มและพูด “วิชาผนึกมารเป็นอะไรที่ยาก มันคำพูดถึง 3 สิบล้านคำในตำรา มันจะใช้เวลาเป็นปีๆเพื่อเข้าใจหนึ่งย่อหน้า ผู้คนที่ได้ฝึกมันอาจจะสอนมันได้ก็จริง แต่มันเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเนื้อหาจำนวนมาก การพูดเกี่ยวกับย่อหน้าหนึ่งนั้นแทบจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรใคร และแบบนั้นผู้ชมก็จะไม่ได้เรียนรู้อะไรจากมัน“


 


หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เขาก็พูดต่อ “แม้แต่ดยุกจตุฤดูจากรุยบีสต์ที่มีพรสวรรค์และใช้เวลาเรียนรู้มันมาเป็นร้อยๆปี แต่เขาก็ยังฝึกได้แค่ขั้นที่ 8 เท่านั้น ท่านผู้นำเป็นเพียงแค่คนเดียวที่ฝึกทั้ง 11 ขั้นได้สำเร็จ”


 


“มีเพียงแค่ท่านผู้นำคนเดียวที่ฝึกมันสำเร็จ? นี่มันไม่มีคนอื่นอีกเลยอย่างนั้นหรอ?” ไวท์เรียลถาม


 


“มันมีคนอื่นอยู่ แต่มันมีจำนวนน้อย นอกจากท่านผู้นำแล้ว มันก็มีผู้อาวุโสหนึ่งอีกแค่คนเดียว แต่ว่าเขาได้หายตัวไปเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” หัวหน้าของสวนวิถีนภาพูด


 


เมื่อได้ยินว่าหานเซิ่นถูกบังคับให้สอนวิชาผนึกมาร กระเรียนพันขนและพี่น้องยวิ๋นก็ดูกังวลขึ้นมา


 


พวกเขาเพิ่งจะเตือนหานเซิ่นว่าไม่ให้ทำแบบนั้น เนื่องจากดยุกจตุฤดูจะเป็นคนสอนมันอยู่ทุกเดือน และจากตารางเวลาของเขาแล้ว เขาจะสอนอีกครั้งในวันถัดไป


 


ถ้าหานเซิ่นบรรยายเกี่ยวกับวิชาผนึกมารได้แย่ และหลังจากนั้นดยุกจตุฤดูสอนมันได้ดีในวันต่อไป ผู้คนก็จะพูดกันว่าดยุกดยุกจตุฤดูนั้นเหนือกว่า ถึงโดยรวมแล้วมันจะไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของหานเซิ่นเสียหายอะไรมาก แต่มันก็ทำให้เขาดูแย่อยู่ดี


 


แต่ถ้าหานเซิ่นบรรยายได้เป็นอย่างดีถึงขนาดที่ทำให้ดยุกจตุฤดูต้องอับอาบ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเช่นกัน


 


ด้วยเหตุนั้นมันไม่สำคัญว่าหานเซิ่นจะสอนวิชาผนึกมารได้ดีหรือไม่ เพราะยังไงซะมันก็ไม่ดีต่อหานเซิ่น นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเตือนหานเซิ่นว่าให้หลีกเลี่ยงการบรรยายเกี่ยวกับวิชาผนึกมาร


 


แต่ตอนนี้เมื่ออวี้จิงและไผ่เดียวดายเสนอมันขึ้นมา หานเซิ่นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำขอ


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับมันมากนัก เพราะยังไงซะเขาก็ไม่รู้ว่าจะสอนอะไรอยู่ดี และอย่างน้อยเขาก็ได้เตรียมเกี่ยวกับวิชาผนึกมารมาบ้าง ดังนั้นเขาจึงทำตามคำขอไปอย่างขาดความกระตือรือร้น


 


แต่ทว่าวิชาผนึกมารที่หานเซิ่นได้เรียนรู้แตกต่างจากที่ศิษย์ของปราสาทนภาคนอื่นถูกสอน เพราะโดยปกติแล้วมีเพียงแค่ราชันเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิ์ให้ไปที่ถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อน ก่อนหน้านั้นการเรียนรู้ของพวกเขาจะมาจากหน้าหนังสือเท่านั้น


 


แต่หานเซิ่นได้เรียนรู้มาจากมนต์สังหารยีนดั้งเดิมทั้ง 72 มันทำให้เขาถูกปูพื้นฐานที่จะนำไปพัฒนาต่อ และเนื่องจากผู้ชมเรียนรู้วิชาผนึกมารในวิธีการที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ความเห็นต่อการฝึกมันก็จะต่างไปด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงไม่มีแผนที่จะบรรยายเกี่ยวกับวิธีการฝึกแบบธรรมดาๆ เขามีอีกหนทางหนึ่งที่จะบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


“ถ้าทุกคนอยากจะได้ยินเกี่ยวกับวิชาผนึกมาร ข้าก็จะบรรยายเกี่ยวกับมันและบอกเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเอง ในวันนี้ข้าจะพูดถึงเรื่องของหมัดดาราทอง หนึ่งใน 72 หมัดผนึกมาร” หานเซิ่นพูด


 


“ศิษย์น้องหาน หมัดผนึกมารคืออะไร? พวกเราไม่เคยได้ยินอะไรแบบนั้นในการเรียนรู้วิชาผนึกมาร” อวี้จิงถาม คำพูดเปิดของหานเซิ่นทำให้ผู้ชมรู้สึกอยากรู้อยากเห็น


 


วิชาผนึกมารเป็นวิชาจีโนที่ซับซ้อนอย่างมาก และพลังของมันก็เป็นเอกลักษณ์มากอีกด้วย พลังที่เป็นเชื้อเพลิงของมันออกมาจากภายใน แต่มันไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับศักยภาพของร่างกายจริงๆของผู้ฝึก


 


พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ วิชาผนึกมารในนัยหนึ่งคล้ายคลึงกับแสงเทพเนตรม่วง มันเป็นพลังพิเศษที่ใช้ได้โดยไม่พึ่งพาปัจจัยภายนอก


 


แต่หานเซิ่นได้เรียนรู้มาจากมนต์สังหารยีนดั้งเดิม เขาจึงรู้เกี่ยวกับวิธีใช้วิชามากกว่าทางทฤษฎี ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงไม่คิดจะเสียเวลาพูดเกี่ยวกับองค์ประกอบแต่ละอย่างของวิชา แต่เริ่มที่ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเลย ซึ่งในที่นี้ก็คือหมัด เพื่อให้ผู้ชมได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาผ่านความรู้สึกที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป


 


หานเซิ่นคิดว่ารายละเอียดนั้นเหล่าผู้ชมสามารถไปเรียนรู้มันจากอาจารย์คนอื่นๆได้ เขาจึงไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้นและเริ่มพูดเกี่ยวกับหมัดที่ได้มาจากมนต์สังหารยีนดั้งเดิม และโดยผ่านหมัดๆนั้น ผู้ชมก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิชาในภาพรวม


 


ผู้คนทั่วๆไปอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องนี้ แต่ถ้าพวกเขาฝึกวิชาผนึกมารและสามารจับสัมผัสหมัดของหานเซิ่นได้ พวกเขาก็จะได้เข้าใจความหมายของมนต์สังหารยีนดั้งเดิม


 


การฝึกฝนทำให้เราชำนาญ ยิ่งทำบางสิ่งซ้ำมากเท่าไหร่ เราก็จะทำสิ่งนั้นๆได้ดียิ่งขึ้น หานเซิ่นเข้าใจในวิธีพื้นฐานข้อนี้ดี


 


แต่วิธีพื้นฐานแบบนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนอย่างดยุกจตุฤดูที่มีเวลาทั้งชีวิตในการเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาผนึกมาร ถ้าพวกเขาอยากจะเรียนรู้มันอย่างถูกต้อง วิธีการแบบดยุกจตุฤดูก็อาจจะใช้เวลาของพวกเขาทั้งชีวิต


 


แต่วิธีการของหานเซิ่นเป็นวิธีสำหรับคนที่ไม่มีเวลามากนัก


 


ถ้าศิษย์ของปราสาทนภาที่เข้ามาฟังต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาผนึกมาร การเรียนรู้หมัดผนึกมารก็ถือเป็นเรื่องดี ในพวกเขาไม่มีใครที่ได้เรียนรู้จากมนต์สังหารยีนดั้งเดิมมาก่อน แต่ถ้าพวกเขาวิเคราะห์และฝึกฝนมันผ่านความรู้สึกจากหมัดของหานเซิ่น ขั้นตอนทั้งหมดก็จะรวดเร็วขึ้นมาก


 


แต่สิ่งที่แย่ที่สุดเกี่ยวกับวิธีการนี้ก็คือพวกเขาจะจำกัดตัวเองเท่าหานเซิ่น ถึงแม้พวกเขาจะเรียนรู้วิชาได้ดีเป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็สามารถดีได้เท่ากับหานเซิ่นเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถไปไกลกว่านั้นได้


 


แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว แค่นั้นก็ถือว่ามากพอแล้ว วิชาผนึกมารของหานเซิ่นในตอนนี้อยู่ที่ขั้นที่ 8 ดังนั้นถ้าพวกเขาฝึกหมัดของหานเซิ่นได้สำเร็จ พวกเขาก็จะเทียบได้กับวิชาผนึกมารขั้นที่ 8 ของดยุกจตุฤดูที่ใช้เวลาฝึกหลายศตวรรษ


 


“หมัดผนึกมารเป็นวิชาที่ข้าได้เรียนรู้มาจากวิชาผนึกมาร วิชาผนึกมารโดยภาพรวมแล้วเป็นอะไรที่ใหญ่เกินไปที่จะสอน ดังนั้นข้าจะสอนทุกท่านเกี่ยวกับเทคนิคอย่างเฉพาะเจาะจง หวังว่านี่จะช่วยทุกท่านในการฝึกฝนวิชาผนึกมารในภายภาคหน้า” หานเซิ่นพูด


 


ทุกคนรู้สึกสนใจขึ้นมา พวกเขาไม่เคยได้ฟังบรรยายเกี่ยวกับวิชาผนึกมารแบบหานเซิ่นมาก่อน มันเหมือนกับการที่พวกเขามีบทเรียนทางเคมี แต่หัวข้อของมันเป็นเรื่องหมัด ทั้ง 2 สิ่งดูไม่สมเหตุสมผลเมื่อรวมเข้าด้วยกัน และมันก็ดูจะไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างหัวข้อทั้ง 2 นั่นทำให้ทุกคนรู้สึกอยากรู้อยากเห็น


 


“ถ้าไม่มีคำถามอะไรแล้ว ข้าจะเริ่มสอนเทคนิคแรก ชื่อของมันคือหมัดดาราทอง และมันมาจากหนึ่งใน 72 หมัดผนึกมาร” หานเซิ่นเริ่มสอนเทคนิคแรก


 


หานเซิ่นต้องการสอนวิชาดาบ แต่ศิษย์ส่วนใหญ่ของปราสาทนภานั้นใช้ดาบ ด้วยเหตุนั้นปราสาทนภาจึงเต็มไปด้วยวิชาดาบอยู่แล้ว เขาจึงตัดสินใจสอนวิชาหมัดแทน 

 

 


ตอนที่ 2143

 

ดยุกจตุฤดูไปที่สนามฝึกเหมือนกับทุกที และเมื่อไปถึงเขาก็เริ่มเตรียมตัวที่จะทำการสอนวิชาผนึกมารเหมือนกับทุกครั้ง แต่หลังจากที่รอคอยอยู่สักพัก เขาก็สังเกตเห็นว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มาเข้าฟัง นี่ทำให้เขาขมวดคิ้ว เพราะโดยปกติแล้วที่นั่งกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของสนามฝึกจะเต็ม


 


เพราะยังไงซะมันก็มีศิษย์ของปราสาทนภามากมายที่เรียนรู้เกี่ยวกับวิชาผนึกมาร และเมื่อพวกเขามีปัญหากับวิชา หลายๆคนก็จะมาเข้าฟังการบรรยายของดยุกจตุฤดู นี่เป็นครั้งแรกที่มีที่นั่งว่างเยอะขนาดนี้


 


“ลู่อัน ทำไมพวกเจ้าถึงมากันไม่กี่คน? ฉวี่เฮ่าล่ะ เขาไม่มาอย่างนั้นหรอ?” ดยุกจตุฤดูถาม ขณะที่เขามองไปยังผู้ชมที่มา


 


ลู่อันและฉวี่เฮ่านั้นมุ่งเน้นในการฝึกวิชาผนึกมารมากกว่าใครในปราสาทนภา และพวกเขาก็จะมาเข้าฟังการบรรยายของดยุกจตุฤดูอยู่เสมอ


 


“พวกเขา…กำลังเข้าฟังการบรรยายของอาจารย์คนอื่น…” ลู่อันพูดอย่างลังเล


 


“อาจารย์คนไหนอย่างนั้นหรอ?” ดยุกจตุฤดูมุ่งเน้นไปที่การฝึกวิชาผนึกมารโดยไม่สนใจอะไรอย่างอื่น ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจการบรรยายของอาจารย์คนอื่นๆ


 


“พวกเขา…ไปฟังการบรรยายของหานเซิ่น” ลู่อันตอบ


 


“หานเซิ่น? เขาสอนเรื่องอะไรอย่างนั้นหรอ?” ดยุกจตุฤดูถามด้วยความสงสัย แม้แต่เขาที่ไม่สนใจข่าวสารก็ยังเคยได้ยินชื่อของหานเซิ่นมาก่อน


 


“เขา…สอน…” ลู่อันพูดตะกุกตะกัก


 


“ปากของเจ้าเป็นอะไรหรือยังไง? ทำไมถึงถึงพูดตะกุกตะกักแบบนั้น? เขาสอนเรื่องอะไรกัน?” ดยุกจตุฤดูขมวดคิ้ว


 


“เขากำลังสอนวิชาผนึกมาร” ในที่สุดลู่อันก็พูดออกมา


 


“วิชาผนึกมาร?” ดยุกจตุฤดูขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สีหน้าของเขาก็กลับเป็นปกติ


 


หานเซิ่นเพิ่งเข้ามาในปราสาทนภามาได้ไม่นาน และถึงเขาจะเริ่มเรียนรู้วิชาผนึกมารในทันทีที่มาถึง มันก็ไม่มีทางที่เขาจะเรียนรู้เกี่ยวกับมันได้มากนัก


 


ด้วยเหตุนั้นถ้าศิษย์ของปราสาทนภาเลือกจะฟังหานเซิ่น ดยุกจตุฤดูก็สรุปได้ว่านั่นเป็นเพราะหานเซิ่นเป็นคนดังของปราสาทนภา ดยุกจตุฤดูคิดว่าหลังจากที่ศิษย์ของปราสาทนภาได้ฟังคำบรรยายของหานเซิ่นสัก 1-2 ครั้งแล้ว พวกเขาก็จะรับรู้ว่าการบรรยายของใครเหนือกว่ากัน และกลับมาฟังการบรรยายของเขาในที่สุด


 


“เข้าใจแล้ว งั้นพวกเรามาเริ่มกันเลย วันนี้พวกเราจะพูดกันถึงทฤษฎีของวิชาผนึกมาร…” ดยุกจตุฤดูเริ่มการบรรยายของเขา


 


ดยุกจตุฤดูคิดว่าหลังจากผ่านไปสัก 2-3 วันศิษย์ของปราสาทนภาก็จะกลับมาหาเขา แต่หลังจากผ่านไปหลายต่อหลายวัน มันก็ยังไม่มีใครกลับมาฟังการบรรยายของเขา ความจริงแล้วมันมีคนมาฟังการบรรยายของเขาน้อยลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายนอกจากศิษย์ที่เขาสอนเป็นการส่วนตัวแล้ว คนอื่นก็หายไปจนหมด


 


ดยุกจตุฤดูเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ตอนนี้มันมีผู้ชมเพียงแค่หยิบมือที่มานั่งอยู่หน้าเวที นั่นทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและพูดขึ้นมา


“วันนี้ข้าของดการสอน พวกเราไปฟังการบรรยายของเขาหานเซิ่นและดูสิว่าอะไรกันที่ดึงดูดให้ทุกคนไปที่นั่น”


 


ดยุกจตุฤดูลงจากเวทีและตรงไปที่การบรรยายของหานเซิ่น ลู่อันและคนอื่นๆก็ตามเขาไปจากด้านหลัง


 


ไม่นานหลังจากนั้น ดยุกจตุฤดูก็มาถึงสนามฝึกของหานเซิ่น เมื่อเขาเดินเข้าไปข้างใน ดยุกจตุฤดูก็ขมวดคิ้วและหันไปถามลู่อัน


“ลู่อัน นี่เขากำลังบรรยายเกี่ยวกับวิชาผนึกมารจริงๆอย่างนั้นหรอ?”


 


มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ดยุกจตุฤดูจะถามออกมาแบบนั้น เพราะในสนามฝึกทุกคนกำลังพับแขนเสื้อของพวกเขาขึ้น และดูเหมือนว่าจะกำลังฝึกชกหมัดกันอยู่


 


“เอิ่ม… เขากำลังสอนวิชาผนึกมารอยู่จริงๆ หานเซิ่นบอกว่านี่คือหมัดผนึกมาร ทุกคนจะเรียนรู้วิชาผนึกมารได้ดียิ่งขึ้นถ้าเรียนการชกหมัด” ลู่อันอธิบาย


 


“ไร้สาระสิ้นดี การชกหมัดจะไปมีความเกี่ยวข้องอะไรกับวิชาผนึกมารได้ยังไง?” ดยุกจตุฤดูขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรหุนหันพลันแล่น ดังนั้นเขาจึงมีแผนที่จะฟังหานเซิ่นดูก่อนเพื่อคิดหาหนทางที่ชาญฉลาดในการโต้กลับ


 


ดยุกจตุฤดูได้ทำการวิจัยและศึกษาวิชาผนึกมารมาหลายศตวรรษ เขาเป็นคนที่มีความอดทนสูงมากๆ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทำอะไรที่หุนหันพลันแล่น เขาหาที่นั่งลงและฟังการบรรยายของหานเซิ่น


 


ศิษย์ของปราสาทนภาที่ฝึกฝนวิชาผนึกมารทุกคนรู้ว่าดยุกจตุฤดูเป็นใคร เมื่อทุกคนเห็นว่าเขานั่งลงและฟังบรรยายของหานเซิ่นอย่างเงียบๆ พวกเขาก็รู้ว่ากำลังจะมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้น


 


“ดยุกจตุฤดูมาที่นี่! หานเซิ่นแย่แน่!”


 


“จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”


 


“บางทีอาจจะไม่ พวกเขาอาจจะแค่โต้เถียงกันแค่นั่น”


 


“บอกตามตรง ดยุกจตุฤดูเป็นคนที่ระดับสูงมากๆ แต่ถ้าข้าจะเรียนรู้ การทำตามวิธีการของหานเซิ่นเป็นอะไรที่ง่ายกว่า”


 


“ใช่แล้ว วิธีการสอนของหานเซิ่นเป็นอะไรที่แปลกใหม่ แถมมันก็เป็นอะไรที่ง่ายในการเรียนรู้และนำไปใช้จริง”


 


“เจ้าพูดถูก หลังจากที่เรียนรู้หมัดผนึกมารจากเขา ข้าก็เห็นถึงสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน”


 


ศิษย์ของปราสาทนภาพูดกันเบาๆในหมู่ของพวกเขา แต่ด้วยพลังที่ดยุกจตุฤดูมี เขาสามารถได้ยินเสียงได้ชัดเจน


 


มันทำให้เขาขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม เขาคิดกับตัวเอง ‘การฝึกหมัดจะเชื่อมโยงไปหาวิชาผนึกมารได้จริงๆอย่างนั้นหรอ?’


 


หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่นาที หานเซิ่นก็มาถึงและเริ่มสอนบทเรียนของเขา


 


หานเซิ่นไม่ได้รู้ว่าดยุกจตุฤดูก็มานั่งฟังด้วยเช่นกัน จนถึงตอนนี้เขาเคยชินกับการบรรยายแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้จับตามองทุกคนที่มาเข้าฟัง แต่ทว่าเขาอนุญาตให้ผู้ชมถามได้ทุกเรื่อง หลังจากที่การบรรยายจบลงแล้ว


 


“วันนี้พวกเราจะพูดถึงหมัดดาวหมีของหมัดผนึกมารทั้ง 72”


หานเซิ่นเริ่มด้วยการพูดแทนที่จะเป็นการแสดง นั่นไม่ใช่เพราะมันเป็นความลับอะไร แต่เพราะมันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ที่จะแสดงตั้งแต่แรก


 


ผู้ฝึกจะต้องทำมันด้วยตัวเอง และหานเซิ่นจะแสดงให้พวกเขาดู ถ้าพวกเขาเจอเข้ากับปัญหา การแสดงวิชาหมัดให้กับคนอื่นๆ ขณะที่พวกเขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อนเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ แบบนั้นมันจะเป็นเหมือนกับการแสดงให้ดูเท่านั้น


 


ดยุกจตุฤดูต้องการจะโต้เถียงหานเซิ่นในทันทีที่เริ่มการบรรยาย แต่หลังจากที่ดยุกจตุฤดูฟังไปได้สักพัก เขาก็อ้าปากค้างไป


 


วิชาหมัดของหานเซิ่นนั้นเรียบง่าย แต่มันมีความหมายของวิชาผนึกมารแฝงอยู่ภายใน และมันก็ฟังดูสมเหตุสมผลอีกด้วย นั่นทำให้หลังการบรรยายจบลง เขาก็ไม่ได้ทำการโต้เถียงอะไร


 


ตลอดหลายวันต่อมา ดยุกจตุฤดูเข้าฟังการบรรยายของหานเซิ่น และเมื่อการบรรยายจบ ดยุกจตุฤดูก็ไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งวันสุดท้ายของการบรรยาย เมื่อหานเซิ่นเดินขึ้นมาบนเวที ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร ดยุกจตุฤดูก็ลุกขึ้นมา


 


ผู้ชมทั้งหมดประหลาดใจและรู้ว่าในที่สุดมันก็จะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น 

 

 


ตอนที่ 2144

 

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ดยุกจตุฤดูมาเข้าฟังการบรรยายของหานเซิ่นทุกวัน และในแต่ละครั้งเขาจะเลือกนั่งใกล้กับเวทีขึ้นเรื่อยๆ และในวันนี้เขาก็นั่งที่แถวหน้าสุด


 


เมื่อดยุกจตุฤดูยืนขึ้น ทุกคนก็หันมองไปที่เขา


 


กระเรียนพันขนและพี่น้องยวิ๋นรู้สึกกังวลขึ้นมา พวกเขาหวังว่ามันจะไม่มีเรื่องแย่ๆอะไรเกิดขึ้น


 


หานเซิ่นสังเกตเห็นถึงการมาของดยุกจตุฤดูตั้งแต่ 2 วันก่อนแล้ว แต่หานเซิ่นไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับเขา แต่ตอนนี้เมื่อดยุกจตุฤดูลุกขึ้นมา หานเซิ่นก็ให้ความสนใจทั้งหมดไปที่เขา


 


“อาจารย์หาน ข้าได้ฟังบทเรียนของเจ้าเรื่องหมัดผนึกมารตลอดหลายวันที่ผ่านมา และข้าต้องขอสารภาพว่าข้าได้เรียนรู้อะไรมากมาย แต่ถึงจะพูดแบบนั้นข้าก็ยังมีคำถามเกี่ยวกับบทเรียนของเจ้าอยู่ เจ้าจะช่วยแสดงหมัดหนึ่งให้ข้าดูหน่อยได้ไหม แบบนั้นบางทีข้าอาจจะได้รับคำตอบของคำถามนั้น” ดยุกจตุฤดูพูดด้วยความจริงใจ


 


หลังจากนั้นทุกคนก็ดูเหมือนกับว่าถูกแช่แข็งอยู่กับที่ กระเรียนพันขนและพี่น้องยวิ๋นจ้องไปที่ดยุกจตุฤดูราวกับว่าพวกเขาเพิ่งจะเห็นผี


 


ดยุกจตุฤดูไม่เพียงแค่ไม่เย้ยหยันหานเซิ่นเท่านั้น แต่เขากำลังเรียกหานเซิ่นว่าอาจารย์อีกต่างหาก นั่นหมายความว่าเขาเห็นหานเซิ่นเป็นอาจารย์คนหนึ่งเช่นเดียวกับตัวเอง


 


เนื่องจากดยุกจตุฤดูระดับสูงกว่าหานเซิ่น ดังนั้นโดยปกติแล้วเขาสามารถเรียกหานเซิ่นด้วยชื่อเต็มแทนที่จะเรียกตำแหน่ง การเรียกหานเซิ่นว่าอาจารย์นั้นแสดงให้เห็นว่าเขานับถือและยอมรับในตัวหานเซิ่น


 


ศิษย์ของปราสาทนภาหลายคนรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังฝันไป เมื่อได้เห็นดยุกจตุฤดูพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ เพราะด้วยตำแหน่งและชื่อเสียงของดยุกจตุฤดู มันไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องเรียกหานเซิ่นแบบนั้น


 


หลังจากที่ดยุกจตุฤดูกลับจากฟังการบรรยายของหานเซิ่นในทุกวัน เขาก็เริ่มทำการฝึกในทันทีที่ถึงบ้าน และเนื่องจากว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาผนึกมาร นั่นทำให้เขาสามารถมองลึกเข้าไปในแก่นแท้ของหมัดผนึกมารได้


 


หลังจากการฝึกหลายต่อหลายวัน ดยุกจตุฤดูก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกนับถือหานเซิ่นจากใจจริง


 


และเนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่หานเซิ่นจะทำการบรรยาย เขาจึงห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะขอให้หานเซิ่นช่วยแสดงหมัดให้ดู เขาต้องการรู้ถึงความรู้สึกของหมัดผนึกมารจากหานเซิ่นโดยตรง


 


“ท่านสุภาพเกินไปแล้ว ถ้าท่านสนใจในพรสวรรค์ห่วยๆของข้าล่ะก็ ข้าจะแสดงพวกมันเพื่อท่าน ถ้าข้ายังพัฒนาต่อได้ ได้โปรดช่วยชี้แนะด้วย”


ยังไงซะหานเซิ่นก็มีแผนจะแสดงมันในวันสุดท้ายอยู่แล้ว


 


ดยุกจตุฤดูดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น เขาพูดขึ้นมา “อย่าพูดแบบนั้น ข้าแค่อยากจะเรียนรู้จากอาจารย์หานจริงๆ ข้าไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรอย่างอื่น”


 


หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่พยักหน้าและเริ่มการบรรยาย


“ตลอดการบรรยายที่ผ่านมา ข้าได้สอนไปทั้งหมด 6 หมัด วันนี้ข้าจะแสดงพวกมันทั้งหมดให้ทุกท่านได้เห็น บางทีพวกมันอาจจะช่วยเหลือทุกท่านได้ในอนาคตข้างหน้า”


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เริ่มแสดงหมัดของเขา


 


หมัดผนึกมารของหานเซิ่นเกิดมาจากมนต์สังหารยีนดั้งเดิมทั้ง 72 แต่ละหมัดของหานเซิ่นจะแฝงความหมายของมนต์สังหารยีนดั้งเดิมเอาไว้ ขณะที่หานเซิ่นแสดงทั้ง 6 หมัด มันก็รู้สึกราวกับว่ามนต์สังหารยีนดั้งเดิมมีชีวิตขึ้นมา มันทำให้ผู้ชมรู้สึกหนาวสั่นและหวาดกลัว ความรู้สึกนั้นก่อกวนภายในจิตใจของพวกเขา


 


เมื่อไหร่ก็ตามที่หานเซิ่นชกหมัดออกไป เขาก็เป็นเหมือนกับอสูรร้าย หนึ่งวิชา หนึ่งความหมาย หานเซิ่นแสดงวิชาหมัด 6 วิชาให้กับพวกเขา และมันก็เหมือนกับอสูรที่น่ากลัว 6 ตัวพยายามจะกลืนกินโลกใบนี้


 


ศิษย์ของปราสาทนภาที่มาเข้าฟังกระวนกระวายด้วยความตื่นเต้น ในเวลาที่หานเซิ่นแสดงเสร็จ ดยุกจตุฤดูดูเหมือนกับว่าเขากำลังมึนเมา เขาแข็งทื่อไปเหมือนกับว่าเขาจมอยู่ในความรู้สึกของวิชาหมัด


 


“วิชาหมัดทั้ง 6 ของอาจารย์หานนั้นจะช่วยให้ข้าประหยัดเวลาในการฝึกไปถึง 60 ปี ข้าช่างเป็นคนที่โชคดีจริงๆ!” ดยุกจตุฤดูโค้งคำนับหานเซิ่น


 


“ดยุกจตุฤดู ท่านชมเกินไปแล้ว!” หานเซิ่นโค้งคำนับกลับ


 


หลังจากนั้นหมัดผนึกมารก็กลายเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงทั่วทั้งปราสาทนภา มันถูกนำเข้าไปในสวนวิถีนภาและกลายเป็นหนึ่งในวิชาที่จำเป็นต้องฝึก


 


ชื่อเสียงของหานเซิ่นเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม และนอกจากนั้นเขายังได้รับรางวัลอย่างงามจากหมัดผนึกมารที่เขาคิดค้นขึ้นมา


 


หลังจากนั้นดยุกจตุฤดูก็มักจะแวะไปหาหานเซิ่นเพื่อถามเกี่ยวกับวิชาผนึกมารอยู่เป็นประจำ หานเซิ่นสอนหมัดผนึกมารทั้ง 72 ให้กับดยุกจตุฤดู และเขาก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิชาผนึกมารจากดยุกจตุฤดูด้วยเช่นกัน


 


หมัดผนึกมารของหานเซิ่นเป็นวิธีที่ประหยัดเวลาอย่างมาก มันทำให้ศิษย์ของปราสาทนภาสามารถเรียนรู้วิชาผนึกมารได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าใครคนหนึ่งต้องการฝึกมันจนเชี่ยวชาญนั้น พวกเขาจำเป็นต้องมีประสบการณ์อย่างดยุกจตุฤดู


 


หานเซิ่นได้เรียนรู้อะไรมากมายจากดยุกจตุฤดู และมันก็ทำให้เขารู้สึกนับถือชายคนนี้ขึ้นมา ดยุกจตุฤดูเองก็นับถือหมัดผนึกมารของหานเซิ่นเช่นกัน ในช่วงนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาบรรยายเกี่ยวกับวิชาผนึกมาร เขาก็เริ่มใช้หมัดผนึกมารเพื่อทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น


 


“นี่หานเซิ่นเคยทำอะไรที่ธรรมดาบ้างไหมนะ? เขามหัศจรรย์ในทุกอย่างที่เขาทำ” ผู้นำปราสาทนภาพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“มีเพียงแค่ราชันเท่านั้นที่จะเข้าไปในถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อน และในตอนที่พวกเขาเข้าไปนั้น เป้าหมายของพวกเขาก็คือการกลายเป็นครึ่งเทพด้วยมนต์สังหารยีนดั้งเดิมทั้ง 72 ไม่มีใครคิดจะนำมันมาประยุกต์ใช้เป็นวิชาหมัดอย่างหานเซิ่น มีเพียงแค่หานเซิ่นเท่านั้นที่จะทำแบบนั้นได้ เขาทำให้วิชาผนึกมารกลายเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ทุกคนไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานในการเรียนรู้มันอีกต่อไป และถึงแม้มันจะเหมือนการทำอะไรลวกๆ แต่มันก็เป็นวิธีการที่ดีอย่างปฏิเสธไม่ได้”


ผู้หญิงหน้ากากสีดำพูดต่อ “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อไผ่เดียวดายได้เห็นหมัดผนึกมารของหานเซิ่น เขาได้ขอไปที่ถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อน นั่นเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ”


 


ผู้นำปราสาทนภาพยักหน้าและพูด “ไผ่เดียวดายเพิ่งจะเข้าไปในนั้นได้แค่ครึ่งเดือน ข้าคิดว่าเขาคงจะไม่กลับมาอีกหนึ่งปี แต่มันยังมีปัญหาเรื่องเมทัลเวิลด์อีก”


 


ผู้หญิงสวมหน้ากากยิ้มแห้งๆออกมา “ถ้าพวกเรารู้ก่อนว่าจะมีการค้นพบเมทัลเวิลด์ พวกเราก็คงจะไม่อนุญาตให้ไผ่เดียวดายเข้าไปในถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อนแบบนั้น ตอนนี้เมื่อเขาเข้าไปแล้ว มันก็ไม่เหมาะสมที่จะไปรบกวนและส่งเขาไปที่เมทัลเวิลด์”


 


“แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีมาร์ควิสคนอื่น นอกจากไผ่เดียวดายที่จะทำงานนี้ให้กับพวกเราได้” ผู้นำปราสาทนภาพูด


 


ผู้หญิงสวมหน้ากากหัวเราะและพูด “ถ้าหานเซิ่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ไผ่เดียวดายเข้าไปในถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อน อย่างนั้นแล้วหานเซิ่นก็ควรจะรับหน้าที่นี้แทนไผ่เดียวดาย พวกเราควรให้เขาไปที่เมทัลเวิลด์”


 


“นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี หานเซิ่นยังไม่ใช่มาร์ควิส” ผู้นำปราสาทนภาพูดพร้อมกับส่ายหัวของเขา


 


“เขาฆ่าดราก้อนไนน์ได้ไม่ใช่หรอ? อย่างนั้นแล้วเขาก็เหมือนมาร์ควิสคนหนึ่ง และอีกอย่างเขาก็จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี” ผู้หญิงสวมหน้ากากหัวเราะอีกครั้ง 

 

 


ตอนที่ 2145

 

หานเซิ่นคิดว่าจะมีเวลาว่างหลังจากที่ทำการบรรยายเสร็จแล้ว แต่เขาถูกเรียกตัวไปเข้าพบโดยเหล่าผู้อาวุโส ที่นั่นเขาได้รับมอบหมายให้นำทีมไปออกสำรวจซีโน่เจเนอิคสเปชที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ เขาได้รับคำสั่งให้สำรวจที่นั่นและหาทรัพยากรกลับมาถ้าเป็นไปได้


 


เนื่องจากซีโน่เจเนอิคสเปชเมทัลเวิลด์มีแค่คนที่อยู่ในระดับมาร์ควิสหรือต่ำกว่าเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ ด้วยเหตุนั้นไผ่เดียวดายจึงเป็นคนที่ถูกเลือกให้นำทีมไปที่นั่น แต่เนื่องจากตอนนี้ไผ่เดียวดายกำลังฝึกอยู่ภายในถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อน ทำให้ผู้อาวุโสเลือกหานเซิ่นแทน ข้อมูลเกี่ยวกับซีโน่เจเนอิคสเปชที่หานเซิ่นได้รับมีเพียงแค่ข้อมูลผิวเผิน และชื่อเมทัลเวิลด์ก็เป็นแค่ชื่อชั่วคราวเท่านั้น หานเซิ่นยังได้รู้อีกว่ามันไม่ได้แค่เผ่านภาที่ค้นพบถึงการมีอยู่ของมัน ดังนั้นทีมจากเผ่าพันธุ์อื่นจึงถูกส่งไปสำรวจที่นั่นล่วงหน้าแล้ว


 


จากข้อมูลที่เขาได้รับ มันมีทีมของทั้งดราก้อน เดม่อน เดสทรอยเยอร์หรือแม้แต่บุดด้า พวกเขาทั้งหมดอยู่ในเมทัลเวิลด์ และตอนนี้ทางปราสาทนภาก็ส่งทีมสำรวจไปร่วมด้วยเช่นกัน มันจึงเป็นไปได้สูงที่มันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อน


 


หานเซิ่นไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก ก่อนที่ผู้อาวุโสของปราสาทนภาจะพาพวกเขาเดินทางไป มันมีศิษย์ของปราสาทนภาระดับมาร์ควิสหนึ่งร้อยคนติดตามไปด้วยเช่นกัน


 


การเดินทางไปที่เมทัลเวิลด์ถูกควบคุมโดยผู้อาวุโส แต่หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเมทัลเวิลด์ มาร์ควิสทุกคนจะรับคำสั่งจากหานเซิ่น


 


และถึงหานเซิ่นจะเป็นแค่เอิร์ลคนหนึ่ง แต่เขาก็เป็นที่นับถือโดยผู้คนในปราสาทนภา ด้วยเหตุนั้นมันจึงไม่มีใครคัดค้านที่หานเซิ่นได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้า


 


ก่อนที่จะเข้าไปในเมทัลเวิลด์ ผู้อาวุโสได้มอบข้อมูลเกี่ยวกับมาร์ควิสใต้บังคับบัญชาให้กับหานเซิ่น หลายคนในหมู่พวกเขาถูกทำเครื่องหมายเอาไว้เพื่อบอกว่าพวกเขามีพลังพิเศษอะไร


 


หานเซิ่นนำมาร์ควิสหนึ่งร้อยคนเข้าไปในเมทัลเวิลด์ ซีโน่เจเนอิคสเปชนี้เป็นดวงดาวที่มีพลังประหลาดแผ่รังสีออกมา พลังนั้นป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าระดับมาร์ควิสเข้าไปข้างใน


 


สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับเมทัลเวิลด์คือมันเป็นดวงดาวที่มีคุณสมบัติแม่เหล็กพิเศษอยู่ วัตถุโลหะจะถูกดูดเข้ามาที่ดวงดาวแห่งนี้ ด้วยเหตุนั้นเครื่องมือที่ทำจากโลหะจึงไม่สามารถใช้งานได้


 


เมื่อมองดวงดาวจากภายนอกจะเห็นแต่พายุแม่เหล็กอันบ้าคลั่งที่ปกคลุมทั้งดวงดาว แต่เมื่อหานเซิ่นและคนอื่นผ่านเข้าไปข้างในแล้ว ภาพของดวงดาวที่เต็มไปด้วยสีสันก็ปรากฏขึ้นให้เห็น


 


แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้มากพอที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมที่นี่ถึงได้ถูกเรียกว่าเมทัลเวิลด์ ทั้งภูเขาและพืชในที่แห่งนี้ต่างเป็นโลหะทั้งหมด


 


การได้เห็นภูมิประเทศทั้งหมดทำขึ้นมาจากโลหะเป็นอะไรที่แปลกเล็กน้อย แต่ที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือการที่สิ่งมีชีวิตหรือพืชก็เป็นโลหะเช่นกัน


 


“ศิษย์พี่อวี้เอียะ พวกเราจะเริ่มสำรวจจากที่ไหนก่อนดี?” หานเซิ่นถามอย่างมีมารยาท


 


อวี้เอียะถูกนับถือในบรรดามาร์ควิสของปราสาทนภา และเขาก็เป็นรองแค่ไผ่เดียวดายเท่านั้น เขาถือเป็นพวกพ้องที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ของหานเซิ่นเลยก็ว่าได้ แถมเขาก็มักจะเป็นคนนำทีมสำรวจซีโน่เจเนอิคสเปชที่ถูกค้นพบใหม่อยู่บ่อยๆเช่นกัน เขาจึงมีประสบการณ์ในเรื่องนี้


 


อวี้เอียะมองไปที่ผิวของดวงดาว หลังจากนั้นเขาก็หันมาพูดกับหานเซิ่น


“พวกเราไม่รู้ว่าศูนย์บัญชาการของเผ่าพันธุ์อื่นตั้งอยู่ที่ไหน แต่พวกเขาต้องเห็นพวกเราขณะที่เดินทางเข้ามา ดังนั้นการสำรวจดวงดาวจึงยังไม่ใช่เป้าหมายหลักของพวกเรา ในตอนนี้การหาเผ่าพันธุ์อื่นหรือบริเวณที่ปลอดภัยเพื่อจัดตั้งศูนย์บัญชาการถือเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า”


 


“ศิษย์พี่อวี้เอียะพูดถูก! ข้าไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี พวกเราควรจะตั้งแค้มป์กันที่ไหนดี? ศิษย์พี่อวี้เอียะคิดว่าที่ไหนเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับพวกเรา?” หานเซิ่นถาม


 


เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นสนใจในความเห็นของคนอื่นจริงๆ อวี้เอียะก็ชี้ไปที่มาร์ควิสคนหนึ่งและพูดกับหานเซิ่น “เจ้าอาจจะต้องไปถามศิษย์น้องยวิ๋นอี้ เขาถนัดในเรื่องแบบนี้”


 


“ศิษย์พี่ยวิ๋นอี้คิดยังไง?” หานเซิ่นรู้ว่าเรื่องพวกนี้ควรจะให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนจัดการ ทางปราสาทนภาอาจจะให้เขาเป็นคนนำทีมก็จริง แต่การเป็นผู้นำหมายถึงการใช้กองกำลังที่เขามีอย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว มันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะเรียนรู้ถึงจุดเด่นของสมาชิกแต่ละคน เพื่อที่เขาจะได้จัดสรรงานให้สมาชิกทุกคนได้อย่างเหมาะสม


 


มันยังมีปัจจัยหลายอย่างที่เขาไม่รู้ เขาอาจจะหนีไปได้ถ้าเกิดเจอเข้ากับปัญหา แต่เขาไม่สามารถกลับไปโดยที่ทิ้งให้มาร์ควิสทั้งร้อยคนนั้นตายกันหมด แถมมันยังมีอันตรายจากเผ่าพันธุ์อื่นอีกด้วย ซึ่งฝ่ายอื่นๆมาถึงที่นี่สักพักหนึ่งแล้ว ทำให้ทีมของหานเซิ่นเสียเปรียบกว่ากลุ่มอื่นๆ


 


ขณะที่หานเซิ่นเริ่มจัดสรรหน้าที่ให้กับสมาชิกแต่ละคน เขาก็ได้รับรู้ว่ามันมีอัจฉริยะมากมายภายในปราสาทนภา แต่ละคนมีเรื่องที่ตัวเองถนัด พวกเขาจัดตั้งแค้มป์บนเมทัลเวิลด์และเริ่มสำรวจบริเวณรอบๆอย่างรวดเร็ว พวกเขายังจัดตั้งระบบเตือนภัยขึ้นมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ


 


แต่ที่ทำให้หานเซิ่นประหลาดใจมากที่สุดคือการอุทิศตนของทีม พวกเขาทุกคนออกค้นหาและสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างในระยะหนึ่งร้อยไมล์อย่างไม่ย่อท้อ แต่ทว่านอกจากสัตว์และพืชโลหะแล้ว มันไม่มีร่องรอยของซีโน่เจเนอิคอยู่เลย พวกเขาไม่เห็นมาร์ควิสที่ถูกส่งมาจากเผ่าพันธุ์อื่นเช่นกัน


 


มันไม่มีกลางวันกลางคืนบนดวงดาวแห่งนี้ และสภาพแวดล้อมก็ไม่เป็นมิตรต่อการใช้ชีวิตมากนัก แต่ทีมของปราสาทนภาที่ถูกส่งมานั้นเป็นมาร์ควิสทั้งหมด ดังนั้นสภาพแวดล้อมที่แย่จึงไม่ได้ส่งผลต่อพวกเขา


 


พายุแม่เหล็กบนท้องฟ้ายังคงบ้าคลั่งต่อไป สายฟ้าแว็บไปมาบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้บนผิวของดวงดาวสว่างไสวยิ่งไปกว่าดวงอาทิตย์ทั่วๆไป


 


ขณะหานเซิ่น อวี้เอียะและมาร์ควิสคนอื่นๆกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับการขยายพื้นที่สำรวจ ทันใดนั้นพายุแม่เหล็กเปลี่ยนสีไป พายุแม่เหล็กสีฟ้าเปลี่ยนไปเป็นเฉดสีชมพูที่สวยงาม


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงกึกก้องเริ่มดังเข้ามาในหูของพวกเขา ป่าโลหะที่อยู่ใกล้เคียงเริ่มจะสั่นไหวราวกับว่ามันกำลังประสบกับแผ่นดินไหว


 


ไม่นานหลังจากนั้นแรดโลหะที่สูงกว่าสิบเมตรก็ปรากฏตัวออกมาจากป่าโลหะ และมันไม่ใช่แค่ตัวเดียวเท่านั้น มันยังมีอีกหลายตัวตามมาจากด้านหลัง ไม่นานมันก็มีแรดโลหะเป็นพันๆตัววิ่งออกมาจากป่าและมุ่งหน้าไปที่แม่น้ำ


 


หานเซิ่นดีใจที่ฟังยวิ๋นอี้และหลีกเลี่ยงการตั้งแค้มป์ใกล้แม่น้ำ เพราะในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย การต่อสู้กับพวกมันดูไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก


 


ยวิ๋นอี้มองไปที่แรดโลหะและพูด “พวกมันเป็นเหมือนกับก้อนโลหะที่มีชีวิต เมื่อดูจากพลังชีวิตของพวกมันแล้ว พวกมันน่าจะมีพละกำลังในระดับมาร์ควิสเป็นอย่างน้อย ข้าไม่รู้ว่าพวกมันเป็นซีโน่เจเนอิคหรือไม่ แต่พวกมันดูไม่ฉลาดเท่าไหร่”


 


“แปลกจริงๆ พวกเราไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนในการสำรวจ พวกมันมาจากที่ไหนกันแน่?” ไวท์เรียลขมวดคิ้วด้วยความสับสน 

 

 


ตอนที่ 2146

 

ฝูงแรดโลหะเคลื่อนที่ไปที่ริมฝั่งแม่น้ำ และในที่สุดพวกมันก็พากันเดินลงไปเล่นในน้ำที่ดูเหมือนกับปรอท


 


พวกมันมีร่างกายโลหะที่ใหญ่โตเหมือนกับเหล็กทื่อ ด้วยเหตุนั้นร่างกายของพวกมันจึงตัดกับแม่น้ำสีเงินที่เปล่งประกาย


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าของเหลวสีเงินในแม่น้ำคืออะไรกันแน่ แต่มันต้องไม่ใช่น้ำอย่างแน่นอน แต่เหล่าแรดโลหะสามารถดื่มของเหลวสีเงินเข้าไปได้อย่างอิสระ ดังนั้นมันมีโอกาสที่ของเหลวจะไร้พิษภัย


 


ขณะที่เหล่าแรดกำลังดื่มและเล่นกันอยู่นั้น มันก็มีเสียงดังมาจากป่า หลังจากนั้นมอนสเตอร์โลหะก็ออกมาจากป่า พวกมันทั้งหมดมุ่งตรงไปที่แม่น้ำและดื่มของเหลวสีเงินเข้าไป


 


มันมีทั้งงูโลหะที่มีความยาวอย่างน้อยหนึ่งร้อยเมตร สิงโตสีเงินหรือแม้แต่ตะขาบที่ดูเหมือนจะมีขาที่ไม่จำกัด มันมีมอนสเตอร์โลหะหลากหลายชนิดมุ่งตรงไปที่แม่น้ำด้วยความกระหาย


 


มอนสเตอร์โลหะหลายตัวดูน่ากลัวอย่างมาก พวกมันดูเหมือนจะเป็นระดับดยุกหรือราชัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างพวกมันดูจะไม่มีความปรปักษ์ต่อกัน แม้แต่มอนสเตอร์โลหะระดับต่ำหลายตัวก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อดื่มของเหลวสีเงินพร้อมกับมอนสเตอร์โลหะที่แข็งแกร่ง


 


“มอนสเตอร์โลหะพวกนี้ดูจะเป็นมิตรดีนะ” ไวท์เรียลพูดขึ้นมา


 


“บางทีอาจจะไม่” อวี้เอียะอัญเชิญซีโน่เจเนอิคที่ดูเหมือนกับนกพิราบออกมา และให้มันบินออกไปทางแม่น้ำ นกซีโน่เจเนอิคนั้นดูยังไงก็ไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นของเมทัลเวิลด์


 


ทันใดนั้นก็มีร่างกายสีทองแดงบินข้ามท้องฟ้ามา มันมีรูปร่างเหมือนกับแมลงปอ แต่ทั้งตัวของมันเป็นทองแดงโดยสมบูรณ์ ร่างกายของมันยาวกว่า 5 เมตร ดวงตาและขากรรไกรที่ปูดขึ้นมานั้นทำให้มันดูน่าเกลียดน่ากลัว


 


ร่างกายสีทองแดงบินผ่านแม่น้ำและตรงเข้าไปฉีกร่างของนกซีโน่เจเนอิคที่อวี้เอียะเรียกออกมา มันกลืนกินนกเข้าไปทั้งตัวจนไม่เหลือแม้แต่ขนนก


 


ทุกคนอึ้งไป อวี้เอียะพูดขึ้นมา “ดูเหมือนพวกมันจะเป็นมิตรกับมอนสเตอร์ท้องถิ่นของเมทัลเวิลด์เท่านั้น คนนอกจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่เหมือนกัน”


 


หานเซิ่นพยักหน้า ตอนนี้เขารู้สึกนับถือยวิ๋นอี้จริงๆ มอนสเตอร์พวกนั้นข้ามภูเขาผ่านป่าเพื่อมายังบริเวณแห่งนี้ แต่ในจุดที่ยวิ๋นอี้เลือกให้ตั้งค่ายนั้นปราศจากสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นของเมทัลเวิลด์


 


และถึงจะมีมอนสเตอร์เข้ามาใกล้เขตปลอดภัยของพวกเขา พวกเขาก็สามารถถอยเข้าไปในถ้ำเพื่อซ่อนตัวได้ มันเป็นจุดที่ดีที่จะจัดตั้งค่าย


 


เนื่องจากมันมีมอนสเตอร์โลหะที่ทรงพลังอยู่มากเกินไป หานเซิ่นจึงจัดเวรยามค่อยเฝ้าระวัง และห้ามไม่ให้ใครออกไปข้างนอกในตอนนี้


 


หลังจากผ่านไปสิบชั่วโมง บริเวณแม่น้ำก็ยังเต็มไปด้วยมอนสเตอร์โลหะ เมื่อมอนสเตอร์ตัวเก่าจากไป ตัวใหม่ก็เข้ามา มันดูเหมือนกับว่านี่อาจจะเป็นแม่น้ำแห่งเดียวบนดวงดาวนี้ และด้วยเหตุนั้นทุกสิ่งชีวิตจะต้องแวะมาเพื่อดื่มมัน


 


“กัปตันหาน ออกมาดูนี่เร็วเข้า” ขณะที่หานเซิ่นกำลังพักผ่อน อวี้เอียะก็มาเรียกเขาอย่างกะทันหัน


 


หานเซิ่นลุกขึ้นและตามอวี้เอียะไปที่ปากถ้ำ เมื่อมองออกไปข้างนอก เขาก็สังเกตเห็นว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ใกล้ๆกับแม่น้ำเริ่มจะดูแปลกไป พวกมันเริ่มถอยห่างจากของเหลวสีเงิน ราวกับว่าพวกมันหวาดกลัวอะไรบางอย่าง


 


หานเซิ่นรอคอยและมองดูต่อไปสักพัก จนกระทั่งในที่สุดก็มีอสูรโลหะสีขาวตัวหนึ่งเดินเข้ามาที่แม่น้ำ เมื่อมอนสเตอร์ตัวอื่นๆเห็นอสูรตัวนั้นเดินเข้ามาใกล้ ทุกตัวก็จะหลีกทาง ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปขวางทางของมัน


 


หานเซิ่นสังเกตอสูรโลหะสีขาวตัวนั้น มันไม่ได้ตัวใหญ่อะไรมากและยาวเพียงแค่ประมาท 2 เมตรเท่านั้น ร่างของมันสีขาวเผือกและดูเหมือนกับช้างแมมมอธ


 


แมมมอธโลหะเดินตรงเข้าไปที่แม่น้ำและเริ่มดูดของเหลวสีขาวด้วยงวงของมัน มอนสเตอร์โลหะตัวอื่นๆถอยออกห่างและคอยจับตามองไปที่แมมมอธตัวนั้น ดูเหมือนกับว่ามอนสเตอร์ตัวอื่นจะไม่กล้าดื่มของเหลวสีเงินนั้น ขณะที่เจ้าแมมมอธยังอยู่ที่นี่


 


พวกมันรอจนกระทั่งแมมมอธดื่มจนอิ่มและออกไปจากบริเวณ เมื่อมันจากไปแล้ว มอนสเตอร์ตัวอื่นก็กลับมาที่แม่น้ำและเริ่มดื่มของเหลวสีเงินเข้าไป


 


เมื่อเห็นแมมมอธตัวนั้นเดินกลับเข้าไปในป่า หานเซิ่นและอวี้เอียะก็มองหน้ากัน ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา ในตอนที่แมมมอธตัวนั้นปรากฏตัวออกมา พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ พวกเขาไม่อยากให้เจ้าตัวนั้นหาพวกเขาเจอ


 


แมมมอธตัวนั้นทรงพลังอย่างมาก และมาร์ควิสคนหนึ่งไม่มีทางจะรับมือกับศัตรูแบบนั้นได้


 


“ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เข้าข้างพวกเราเท่าไหร่นัก มันมีแค่มาร์ควิสเท่านั้นที่จะเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ แต่มอนสเตอร์บางตัวที่นี่กลับมีระดับราชัน ความผิดพลาดเพียงแค่เล็กน้อยอาจจะทำให้พวกเราทั้งหมดถูกฆ่าตายได้เลย” อวี้เอียะพูด


 


ยวิ๋นอี้พยักหน้าและพูด “ทีมสำรวจของเผ่าพันธุ์อื่นก็อาจจะกำลังซ่อนตัวอยู่เช่นกัน ดังนั้นในตอนนี้มันไม่มีความจำเป็นที่พวกเราต้องรีบ ดูเหมือนว่ามอนสเตอร์โลหะพวกนั้นจะออกมาเฉพาะตอนที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีชมพู บางทีเมื่อพายุแม่เหล็กเปลี่ยนกลับเป็นสีฟ้า พวกมันทั้งหมดก็จะหายไป”


 


หานเซิ่นและคนอื่นๆคิดว่านั่นสมเหตุสมผล มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องรีบร้อน พวกเขาสามารถใช้เวลาเพื่อทำความเข้าใจซีโน่เจเนอิคสเปชแห่งนี้


 


พวกเขาคอยจับตาดูแม่น้ำนั้นต่อไป และตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาก็ได้เห็นมอนสเตอร์โลหะหลากหลายชนิดมาที่นี่เพื่อดื่มของเหลวสีเงินจากแม่น้ำ


 


มันยังมีมอนสเตอร์ที่น่ากลัวอย่างแมมมอธตัวอื่นๆอยู่อีกด้วย ซึ่งมันทำให้ทีมของหานเซิ่นค่อนข้างเป็นกังวล


 


หลังจากผ่านไป 80 ชั่วโมง มอนสเตอร์โลหะที่แวะมาที่แม่น้ำก็ค่อยๆลดจำนวนลงไป และไม่นานหลังจากนั้นพายุแม่เหล็กก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง อีกหนึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็ดูจะกลับมาปกติอีกครั้ง


 


เมื่อทีมของหานเซิ่นสรุปได้ว่าไม่มีมอนสเตอร์โลหะเดินทางมาที่แม่น้ำอีกแล้ว หานเซิ่นก็ส่งคนออกไปเพื่อสำรวจบริเวณรอบๆ


 


ผลที่ออกมาเป็นอย่างที่คาดคิดเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจอยู่ดี ตอนนี้มอนสเตอร์โลหะที่ปรากฏตัวใกล้ๆกับแม่น้ำหายไปหมดแล้ว ราวกับว่าพวกมันสลายกลายเป็นอากาศธาตุ


 


“นี่พวกมันล่องหนได้อย่างนั้นหรอ? หรือว่าบางทีพวกมันอาจจะกำลังซ่อนตัวอยู่ใต้ดินที่ไหนสักแห่ง?” ไวท์เรียลถามด้วยสีหน้าแปลกๆ


 


อวี้เอียะไม่ได้พูดอะไร พวกเขากำลังครุ่นคิดอยู่ เมทัลเวิลด์นั้นแปลกประหลาดเกินไป และพวกเขาก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปอะไรได้จนกว่าจะรู้อะไรมากกว่านี้


 


ขณะที่หานเซิ่นและคนอื่นๆกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็มีใครบางคนเข้ามาหาพวกเขาจากทางภูเขา เมื่อคนๆนั้นเข้ามาถึงบริเวณของพวกหานเซิ่น เขาก็ส่งเสียงเรียก


 


“ข้าคือข่านจากเผ่าเดม่อน กลุ่มของพวกเจ้ามาจากปราสาทนภาใช่ไหม?”


 


หานเซิ่นมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง แต่คนเดียวที่เขามองเห็นก็คือข่าน ดังนั้นเขาจึงก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อพูดกับข่าน


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”


 


“หานเซิ่น เจ้าคือหัวหน้าของทีมสำรวจนี้อย่างนั้นหรอ? นั่นเยี่ยมไปเลย ไหนๆพวกเราก็รู้จักกันมาก่อนแล้ว ทำไมพวกเราไม่มาร่วมมือกันล่ะ” ข่านหัวเราะ


 


“ข้าไม่เห็นจำได้ว่าพวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน” หานเซิ่นตอบอย่างเย็นชา


 


“บอกตามตรง ข้าก็จำไม่ได้ว่าเราสนิทสนมกัน แต่ตอนนี้ดราก้อน บุดด้าและเดสทรอยเยอร์ได้ร่วมมือกันแล้ว ดังนั้นถ้าพวกเราไม่สร้างพันธมิตรขึ้นมาบ้าง พวกเราก็จะเสียเปรียบพวกเขา” ข่านพูด


 


“ทำไมข้าถึงต้องเชื่อเจ้าด้วย?” หานเซิ่นพูด


 


“พวกเรามาถึงที่นี่ก่อนหน้าพวกเจ้านานแล้ว ข้าคิดว่าพวกเจ้าอาจจะสนใจในข้อมูลที่ข้ามีอยู่” ข่านยิ้ม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)