Super God Gene 2070-2073

ตอนที่ 2070

 

ยอดเมฆสายรุ้ง

‘พวกมันเป็นวิญญาณหยกที่เกิดขึ้นจากลมปราณหยกเหมือนๆกัน แต่ทำไมพวกมันถึงแตกต่างกันขนาดนี้ เราจำเป็นต้องเก็บลูกแก้ววิญญาณแฟรี่หยกมาเพิ่มเพื่อพัฒนาวิชากายหยกไปสู่ระดับต่อไป’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


หานเซิ่นเดินทางไปที่ยอดเมฆสายรุ้งพร้อมกับไผ่เดียวดาย ในระหว่างทางหานเซิ่นพยายามจะดูดซับลูกแก้ววิญญาณเสือหยกเข้าไป แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา หลังจากที่ใช้มัน เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกส่งเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง มันใช้ความพยายามอย่างมากกว่าที่เขาจะดูดซับมันเข้าไปได้


 


หลังจากที่กลืนลูกแก้ววิญญาณเสือหยกเข้าไปแล้ว ผลลัพธ์ก็เหมือนกับตอนที่เขาดูดซับลูกแก้ววิญญาณแฟรี่หยก เว้นก็แต่วิญญาณแฟรี่หยกมอบพลังให้กับเขามากกว่า


 


ลูกแก้ววิญญาณแฟรี่หยกทำให้แสงเทพของวิชากายหยกแข็งแกร่งขึ้น ส่วนลูกแก้ววิญญาณเสือหยกไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรแบบนั้น


 


ยอดเมฆสายรุ้งเป็นเกาะที่ถูกสร้างขึ้นจากก้อนเมฆ ก้อนเมฆเหล่านั้นเป็นของแข็งที่สัมผัสได้ และไม่ว่าจะเป็นภูเขาหรือป่าไม้ก็เป็นก้อนเมฆทั้งหมด


 


มันมีสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่บนเกาะแห่งนั้น และพวกมันก็เป็นก้อนเมฆเหมือนกันหมด การไปที่นั่นเหมือนกับการเข้าไปในดินแดนแห่งมาร์ชแมลโลว์


 


“ดูเหมือนว่าจะมีคลาวด์บีสต์อยู่ที่นี่มากมาย แต่ตัวไหนกันที่เจ้าพูดถึง?”


หานเซิ่นเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเป็นก้อนเมฆหลายตัว แต่เขาสังเกตเห็นว่าพวกมันทั้งหมดดูค่อนข้างเชื่อง


 


“ไผ่เดียวดายและหานเซิ่น! พวกเจ้าทั้งคู่ก็มาที่นี่เพื่อล่าคลาวด์บีสต์ด้วยอย่างนั้นหรอ?”


ก่อนที่ไผ่เดียวดายจะได้ตอบหานเซิ่นก็มีใครบางคนวิ่งเข้ามาหาพวกเขา ดูเหมือนไผ่เดียวดายไม่คิดจะตอบอะไรกลับไป ส่วนหานเซิ่นก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคนๆนี้เป็นใครกันแน่


 


“ข้าเพิ่งอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ดังนั้นข้าไม่รู้จักคนมากนัก เจ้าเป็นใครกัน?” หานเซิ่นพูด


 


ชายคนนั้นไม่ใช่คนเผ่าพันธุ์นภา เขามีหัวของเสือขาวและชุดเกราะที่ทำมาจากขนสัตว์ เขาดูเหมือนกับคนเผ่าพันธุ์เทโก้ แต่หานเซิ่นไม่เคยเจอเขามาก่อน


 


แต่ถ้าเขามาที่นี่ได้ เขาก็ต้องเป็นอาจารย์ระดับมาร์ควิส และถึงเขาจะไม่ใช่หนึ่งในเผ่าพันธุ์นภา แต่เขาก็ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง


 


ชายคนนั้นตอบ “ชื่อของข้าคือไวท์เรียล เจ้าอาจจะไม่รู้จักข้า เพราะข้าทำงานอยู่ในสวนวิถีนภา และข้าก็แทบจะไม่ได้ออกมา”


 


“เจ้าทำงานอยู่ในสวนวิถีนภา!” เมื่อหานเซิ่นได้ยินว่าชายคนนั้นทำงานอยู่ในสวนวิถีนภา เขาก็รู้สึกแปลกใจ


 


สวนวิถีนภาเป็นสถานที่หวงห้าม ศิษย์ส่วนใหญ่ของปราสาทนภาไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ แต่คนคนนี้เป็นคนนอกคนหนึ่ง


 


หานเซิ่นรู้ว่าสวนวิถีนภามีเทคโนโลยีในการวิจัยขั้นสูง วิชาจีโนหลายวิชาต่างก็ถูกคิดค้นและปรับแต่งภายในนั้น ไวท์เรียลดูจะแข็งแกร่งมากๆ แต่งานที่เขาทำกลับเป็นสิ่งที่พึ่งพาจิตใจที่อดทนมากกว่า หานเซิ่นจึงเตือนตัวเองว่าไม่ควรตัดสินหนังสือจากหน้าปก


 


ไวท์เรียลมองมาที่หานเซิ่น “หานเซิ่น ข้านับถือเจ้าอย่างมาก วิชาใต้นภาฉบับปรับปรุงของเจ้าถืองานชิ้นเอกสำหรับสวนวิถีนภา อัจฉริยะอย่างเจ้าควรจะไปเยือนสถานที่อย่างสวนวิถีนภาสักครั้ง”


 


“คำชมนั้นมากเกินไปสำหรับข้า ข้าแค่โชคดีในการปรับแต่งมันเท่านั้นเอง ข้าไม่คิดว่าจะทำแบบนั้นได้อีก” หานเซิ่นตอบ


 


ถ้าวิชาใต้นภาไม่ได้เป็นวิชาที่เขาถนัด เขาก็ไม่มีทางจะปรับแต่งมันจนสมบูรณ์ได้แบบนั้น


 


“เจ้าเป็นอัจฉริยะ ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องถ่อมตัว จริงๆแล้วข้ามีคำถามหนึ่งอยากจะถามเจ้ามาสักพักหนึ่งแล้ว แต่พวกเราไม่มีโอกาสได้พบกันเลย วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่พระเจ้ามอบให้กับข้า และข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยเหลือข้าได้” หลังจากนั้นไวท์เรียลก็โค้งคำนับหานเซิ่น


 


หานเซิ่นรู้ได้ถึงความจริงใจของชายคนนี้ เขาจึงไม่อยากปฏิเสธ


 


“เจ้าถามข้าได้ทุกเรื่องที่เจ้าต้องการ แต่ข้าไม่ได้เป็นอัจฉริยะอะไร ข้ากลัวว่าอาจจะช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้” หานเซิ่นพูด


 


ไวท์เรียลรู้สึกปลาบปลื้ม เขารีบนำโทรศัพท์ออกมาและแสดงข้อมูลเกี่ยวกับวิชาจีโนตัวหนึ่งให้หานเซิ่นดู หลังจากนั้นเขาก็เริ่มอธิบายอย่างละเอียด


 


วิชาจีโนนั้นดูซับซ้อน และมันจะใช้เวลาสักพักกว่าที่ไวท์เรียลจะอธิบายได้หมด หานเซิ่นจึงหันไปมองไผ่เดียวดาย


 


ไผ่เดียวดายนั่งลงและพูด “ข้าไม่มีปัญหาเรื่องเวลา”


 


เมื่อได้ยินอย่างนั้นหานเซิ่นก็หันความสนใจกลับมาที่ไวท์เรียล ไม่นานเขาก็เข้าใจถึงปัญหาของวิชาที่ไวท์เรียลกำลังวิจัยอยู่


 


ไวท์เรียลกำลังวิจัยวิชาจีโนที่มีชื่อว่าเอคโค่ ชื่อของมันอาจจะฟังดูไร้ประโยชน์ แต่ทว่าหลังจากที่หานเซิ่นได้รู้ถึงจุดประสงค์เบื้องหลังของมัน เขาก็รู้สึกประหลาดใจ


 


เอคโค่ไม่ใช่วิชาจีโนที่ใช้พลังเสียงเพื่อสำรวจเส้นทางเหมือนอย่างที่ค้างคาวทำ แต่มันเป็นวิชาจีโนที่ใช้พลังเสียงเพื่อโจมตี


 


พลังเสียงจะสะท้อนไปเรื่อยๆเพื่อสร้างพลังทำลายอย่างไม่จำกัด แนวคิดของวิชาฟังดูดี แต่การจะสะท้อนพลังเสียงเป็นเรื่องยาก เพราะยังไงซะในการต่อสู้จริง เราก็จะไม่ได้จะอยู่ในพื้นที่ปิดเสมอไป วิชาจีโนที่จำเป็นต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งที่ยากจะนำไปใช้ในสถานการณ์จริง


 


ไวท์เรียลวิจัยมันจนเกือบจะสมบูรณ์แบบ ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เขาสามารถเพิ่มพลังของพลังเสียงได้อย่างไม่จำกัด แต่ในการต่อสู้จริงๆ เขาไม่สามารถแบกโกดังติดตัวไปไหนมาไหนได้


 


ถ้าเขาจำเป็นต้องขังคู่ต่อสู้ในพื้นที่ปิดก่อนที่จะใช้มัน วิชาจีโนนี้ก็จะเป็นอะไรที่พึ่งพาไม่ได้ ไวท์เรียลพยายามวิจัยเพื่อแก้ไขเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้


 


หานเซิ่นคิดอยู่สักพัก แต่เขาก็คิดไม่ออกเช่นกัน วิชาเอคโค่มีปัญหาที่ชัดเจน ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่จะปรังแต่งเพื่อแก้ไขได้


 


ปลาต้องว่ายในน้ำ และนกต้องบินบนอากาศ วิชาเอคโค่ก็จำเป็นต้องพึ่งสภาพแวดล้อมพิเศษเพื่อใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าไปเปลี่ยนอะไรมันมากเกินไป วิชาเอคโค่ก็คงจะไม่ใช่เอคโค่อีกต่อไป


 


“ไวท์เรียล ข้าไม่คิดว่าจะช่วยเหลืออะไรเจ้าได้ ถ้าเจ้าต้องการจะใช้เอคโค่ในการต่อสู้จริงๆ มันก็ต้องเป็นสภาพแวดล้อมปิดเท่านั้น นอกซะจากว่าเจ้าจะมีระฆังเพื่อกักขังคู่ต่อสู้ ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะมีหนทางอื่นที่จะใช้วิชานี้” หานเซิ่นพูด


 


เมื่อไวท์เรียลได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย


“เดี๋ยวก่อนนะ ที่เจ้าพูดมันสมเหตุสมผล ข้าจำเป็นต้องมีระฆังขนาดใหญ่เพื่อขังคู่ต่อสู้ แบบนั้นสภาพแวดล้อมก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ด้วยการใช้ระฆัง พลังเสียงของเอคโค่ก็จะสะท้อนไปมาภายในนั้นได้ มันจะโจมตีไปเรื่อยๆไม่หยุด”


 


ไวท์เรียลพูดต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งทำให้หานเซิ่นสับสน ถึงแม้หานเซิ่นจะเคยเรียนรู้การวิจัยวิชาจีโนมาก่อน แต่วิธีการของเขาแตกต่างไปจากไวท์เรียล


 


หานเซิ่นไม่คิดว่าการใช้ระฆังเป็นความคิดที่ดี ใครมันจะโง่พอที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกขังอยู่ภายในระฆัง และคนที่โง่พอจะถูกขังก็คงไม่จำเป็นต้องพึ่งใช้วิชาเอคโค่นี้เพื่อฆ่าหรอก

 

 

 


ตอนที่ 2071

 

คลาวด์บีสต์สีแดง

หลังจากที่ไวท์เรียลจากไปแล้ว หานเซิ่นและไผ่เดียวดายก็เริ่มออกเดินทางต่อ


 


“นี่คือจุดสูงสุดของยอดเมฆสายรุ้ง คลาวด์บีสต์ตัวนั้นหาตัวได้ยาก” ไผ่เดียวดายนั่งลง


 


หานเซิ่นนั่งลงข้างๆไผ่เดียวดายและมองลงไปที่ก้อนเมฆด้านล่าง


 


คลาวด์บีสต์สีขาวตัวหนึ่งที่ดูเหมือนกับยูนิคอร์นกำลังวิ่งไปมารอบๆก้อนเมฆด้านล่าง มันยังมีคลาวด์บีสต์อีกตัวที่ดูเหมือนกับฟินิกซ์บินไปมาบนท้องฟ้าด้วย หานเซิ่นไม่สามารถบอกได้ว่าคลาวด์บีสต์ตัวไหนกันแน่ที่ไผ่เดียวดายต้องการจับมาเป็นสัตว์ขี่


 


“เมื่อเจ้าได้เห็นมัน เจ้าจะได้รู้เอง” ไผ่เดียวดายพูด


 


“เจ้าไม่บุกเข้าไปในที่อยู่อาศัยของมันอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


“คลาวด์บีสต์ตัวนี้ไม่มีบ้านและเร่ร่อนไปเรื่อยๆ แถมมันยังรวดเร็วเกินไปที่จะไล่ตามได้ทัน แม้แต่ดยุกก็ไม่อาจจะจับตัวมันได้ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราต้องรอ”


ไผ่เดียวดายทำตัวผ่อนคลายและวางดาบหยกลงบนตัก


 


“ดาบหยกนั่นสำคัญต่อเจ้าอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัยว่าทำไมไผ่เดียวดายถึงยังใช้ดาบหยกที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับฝึกฝน ทั้งๆเขาที่สามารถใช้ดาบเล่มไหนก็ได้แม้แต่เล่มที่เป็นระดับราชัน


 


ไผ่เดียวดายไม่ตอบ เขามองไปที่ทะเลก้อนเมฆตรงหน้า


 


หานเซิ่นปล่อยให้เรื่อยนั้นตกไป แต่เมื่อเขาคิดว่าการพูดคุยจบลงไปแล้ว ไผ่เดียวดายก็พูดขึ้นมา


“เจ้าเชื่อไหมว่ามันมีเทพเจ้าที่แท้จริงคอยเฝ้าดูโลกใบนี้อยู่?”


 


“มันก็ขึ้นอยู่กับคำนิยามของเจ้าว่าเทพที่แท้จริงคืออะไร บางคนนั้นถือว่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าเป็นเทพเจ้าคนหนึ่ง” หานเซิ่นพูด


 


“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้ากำลังพูดถึงเทพเจ้าที่ทำให้คำอธิษฐานของผู้คนเป็นจริง” ไผ่เดียวดายพูด


 


หานเซิ่นแปลกใจ จากที่เขารู้มา เทพเจ้าแบบนั้นไม่มีอะไรนอกจากเรื่องที่เลวร้าย ทั้งเรื่องเทพเจ้าที่ถูกพบโดยทีมเจ็ดไปจนถึงเทพนภาบนดาวอุปราคา พวกเขาต่างก็เลวร้ายในสายตาของหานเซิ่น


 


‘นี่ไผ่เดียวดายต้องการทำการอธิษฐานต่อเทพเจ้าอย่างนั้นหรอ?’


หานเซิ่นมองไปที่ไผ่เดียวดายอยู่สักครู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นมา “บางทีอาจจะมี แต่ข้าไม่ชอบเทพเจ้าแบบนั้น”


 


“ทำไมกัน?” ไผ่เดียวดายถาม


 


“ข้าเคยมีสหายหลายคนที่ทำการอธิษฐานต่อเทพเจ้าแบบที่เจ้าพูดถึง แต่เรื่องราวของพวกเขาต่างก็จบไม่สวย”


หานเซิ่นตอบอย่างง่ายๆ เขาไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากไปกว่านั้น


 


ไผ่เดียวดายมองหานเซิ่นอยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปทางเหล่าก้อนเมฆและพูดต่อ


“น้องสาวของข้าเคยอธิษฐานต่อเทพเจ้าแบบนั้น”


 


เมื่อหานเซิ่นได้ยินแบบนั้น เขาก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง


“อะไรนะ? น้องสาวของเจ้าทำการอธิษฐานต่อเทพเจ้าอย่างนั้นหรอ? เทพเจ้านั่นเป็นใครกัน? และมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?”


 


ไผ่เดียวดายมองไปที่ก้อนเมฆและตอบอย่างสงบนิ่ง


“ในตอนที่ยังเด็กมีบางสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับข้า เพื่อนหักหลังข้า และข้าก็ถูกทอดทิ้งโดยคนรัก ข้ากลายเป็นคนที่ไร้ค่า น้องสาวของข้าได้อธิษฐานขอให้ข้ายืนหยัดกลับขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่านางอธิษฐานต่อเทพเจ้าไหน แต่ข้าเห็นเขามาเอาตัวน้องสายของข้าไป หลังจากนั้นข้าก็ถูกลงโทษด้วยฝันร้าย”


 


“เจ้าเห็นเขาอย่างนั้นหรอ? เขามีหน้าตาเป็นยังไง?” หานเซิ่นถามขึ้นมาในทันที


 


“ข้าไม่เห็นใบหน้าของเขา เขาจับมือน้องสาวของข้าและดึงตัวนางเข้าไปในความมืด ข้าพยายามจะตามไป แต่ก็ล้มเหลว ในตอนที่น้องสาวของข้าถูกดึงเข้าไปในความมืด นางดูหวาดกลัวและพยายามที่จะตะโกนอะไรบางอย่างออกมา แต่ข้าไม่ได้ยินเสียงของนางได้ ข้านั้นไร้ความสามารถ ทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือมองดูสิ่งเกิดขึ้น”


 


ไผ่เดียวดายหยุดชั่วขณะ และเมื่อเขาพูดอีกครั้ง เสียงของเขาก็ยังคงดูสงบนิ่งเช่นเคย


 


“ชายคนนั้นยิ้มให้กับข้า แต่ข้าไม่เห็นใบหน้าของเขา รอยยิ้มนั้นฝังลึกในจิตใจของข้า ข้าเห็นมันซ้ำๆในฝันร้าย และนั่นเป็นเป็นความทรงจำเดียวของเขาที่ข้ามี แต่ถ้าวันหนึ่งข้าได้พบกับเขา ข้าจะจดจำเขาได้จากรอยยิ้มที่เขาทิ้งเอาไว้”


 


หานเซิ่นรู้สึกเจ็บปวดขณะที่ได้ยินเรื่องราวของไผ่เดียวดาย ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมชายคนนี้ถึงสามารถทนต่อฝันร้ายนับไม่ถ้วนได้ บางทีหัวใจของเขาอาจจะเสียหายอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่สามารถถูกทำลายไปมากกว่านี้ได้อีก


 


ไผ่เดียวดายพูดต่อ “ไม่ว่าเขาจะเป็นเทพเจ้าจริงๆหรือไม่ ข้าก็ต้องตามหาน้องสาวของข้า ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็ฆ่าเทพเจ้าคนนี้ให้ได้”


 


“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะฆ่าเทพเจ้าคนนั้นร่วมกับเจ้า” หานเซิ่นตอบ เขาพบว่าตัวเองมีเป้าหมายที่เหมือนกันกับไผ่เดียวดาย


 


หานเซิ่นเองก็ต้องการจะตามหาเทพเจ้าคนหนึ่ง แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเทพเจ้าคนเดียวกับที่ไผ่เดียวดายกำลังตามหาอยู่หรือเปล่า


 


ไผ่เดียวดายไม่ได้ตอบอะไร เขาแค่มองออกไปยังทะเลเมฆที่ดูเงียบสงบ แต่ทันใดนั้นก็มีแสงส่องสว่างมาที่ก้อนเมฆ หลังจากนั้นก็มีเมฆสีแดงมุ่งหน้ามาทางพวกเขา มันรวดเร็วราวกับเจ็ทและทิ้งควันสีแดงเอาไว้ตามเส้นทาง


 


ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าทำไมไผ่เดียวดายถึงบอกเขาว่าจะรู้เองเมื่อได้เห็นมัน คลาวด์บีสต์ตัวนั้นมีสีแดงที่สว่างไสวเป็นเอกลักษณ์ รูปร่างของมันเป็นเหมือนกับก้อนเมฆปกติ แต่สีของมันทำให้มันดูต่างออกไป


 


ไม่นานคลาวด์บีสต์ก็มาถึงยอด เมื่อคลาวด์บีสต์ตัวอื่นมองเห็นมัน คลาวด์บีสต์ตัวอื่นๆก็ถอยออกไป


 


คลาวด์บีสต์ตัวนั้นเดินไปรอบๆยอดเขาและทิ้งควันสีแดงเอาไว้เบื้องหลัง มันเห็นไผ่เดียวดายและหานเซิ่น แต่มันไม่ได้พยายามจะหลีกเลี่ยงพวกเขาแม้แต่น้อย


 


“ใครที่จับมันได้ก็เป็นเจ้าของมัน” ไผ่เดียวดายกำดาบหยกในมือและยืนขึ้น เขาเทเลพอร์ตไปตรงหน้าคลาวด์บีสต์และใช้ดาบหยกฟันใส่มัน


 


ไม่ว่าหานเซิ่นจะได้เห็นมันสักกี่ครั้ง การฟันของไผ่เดียวดายก็ยังคงน่าทึ่งไม่เปลี่ยนแปลง ถึงมันจะดูเรียบง่าย แต่มันก็ลึกซึ้ง แถมมันยังรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่ออีกด้วย


 


แม้แต่หานเซิ่นเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถฟันออกไปได้รวดเร็วแบบนั้นหรือเปล่า


 


แต่คลาวด์บีสต์ตัวนั้นปลดปล่อยลำแสงสีแดงออกมาราวกับจรวด และควันสีแดงก็ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลังราวกับเป็นควันจากท่อไอเสีย ทันใดนั้นมันก็หายตัวไปจากสายตาของหานเซิ่น และการโจมตีของไผ่เดียวดายก็พลาดเป้า


 


“เร็วอะไรขนาดนี้!” หานเซิ่นตกตะลึง คลาวด์บีสต์สีแดงตัวนั้นไม่ได้เทเลพอร์ต แต่มันเคลื่อนไหวได้เร็วพอที่จะดูเหมือนกับว่ามันเทเลพอร์ตได้เลย

 

 

 


ตอนที่ 2072

 

คลาวด์บีสต์สีแดงจอมอวดดี

ไผ่เดียวดายไล่ตามคลาวด์บีสต์สีแดงไปและฟันใส่มันอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่คลาวด์บีสต์สีแดงก็ยังคงหลบดาบของไผ่เดียวดายได้ทุกครั้ง


 


“ข้าจะช่วยด้วย!” หานเซิ่นกวัดแกว่งมีดใส่คลาวด์บีสต์และเรียกปีกออกมาบนหูเพื่อเพิ่มความเร็ว


 


แต่คลาวด์บีสต์สีแดงก็ยังคงเร็วกว่าหานเซิ่น เมื่อเห็นอย่างนั้นหานเซิ่นก็ประเมินความเร็วของมันและฟันไปข้างหน้าแทน มันไม่สำคัญว่าคลาวด์บีสต์สีแดงจะรวดเร็วสักแค่ไหน ถ้าการโจมตีของเขาสามารถไปดักเส้นทางการเคลื่อนไหวของมันได้


 


แต่แทนที่จะเดินหน้าไปด้วยความเร็วเท่าเดิม คลาวด์บีสต์กลับชะลอความเร็วลง ทำให้การโจมตีของหานเซิ่นพลาดเป้าไป


 


“เจ้าตัวน้อยนี่เหลี่ยมจัดจริงๆ” หานเซิ่นขมวดคิ้ว แต่เขายังคงกวัดแกว่งมีดต่อไป


 


ไผ่เดียวดายและหานเซิ่นยังจู่โจมไม่ถูกตัวคลาวด์บีสต์สีแดงเลยสักครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นคลาวด์บีสต์ก็ไม่สามารถหนีไปได้ เพราะมันถูกบังคับให้หลบหลีกการโจมตีของพวกเขา


 


“ตอนนี้แหละ!” หานเซิ่นคำนวณถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดและกวัดแกว่งมีดขนนกโลหิตอย่างกับคนบ้า เขาสร้างตาข่ายด้วยมีดเส้นไหมเพื่อขังมันเอาไว้


 


แต่คลาวด์บีสต์สีแดงไม่หยุดเคลื่อนไหว ความเร็วของมันเหมือนกับการเทเลพอร์ต มีดเส้นไหมของเขาไม่สามารถสัมผัสตัวของมันได้


 


เมื่อเห็นคลาวด์บีสต์เร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง หานเซิ่นก็ได้รู้ถึงอะไรบางอย่าง คลาวด์บีสต์ตัวนี้ไม่ได้ใช้การระเบิดความเร็วเพื่อพยายามจะหนี แต่คลาวด์บีสต์ตัวนี้สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแบบนั้นอยู่แล้ว ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลที่คลาวด์บีสต์ตัวนี้ไม่หวาดกลัวที่จะเข้ามาใกล้พวกเขา


 


คลาวด์บีสต์เคลื่อนไหวไปมาราวกับจรวดที่ทิ้งหมอกควันสีแดงเอาไว้เบื้องหลัง ไม่นานมันก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าคลาวด์บีสต์นั้นใช้ควันสีแดงเพื่อเขียนคำว่าโง่


 


“ว้าว เจ้าตัวนี้มันมีสติปัญญาด้วยหรอเนี่ย” ดวงตาของหานเซิ่นเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ


 


“มันเป็นแค่มาร์ควิสตัวหนึ่ง แต่ก่อนที่ชาวนภาจะมาอยู่ที่นี่ มันก็อาศัยอยู่บนยอดเมฆสายรุ้งเรียบร้อยแล้ว และหลังจากที่เวลาผ่านมาอย่างยาวนาน สติปัญญาและพลังของมันก็ได้ก้าวข้ามคลาวด์บีสต์ตัวอื่นๆ แต่มาร์ควิสเป็นระดับสูงสุดแล้วที่มันจะวิวัฒนาการไปถึงได้ ถ้าไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอ ซึ่งถ้ามันทำได้ล่ะก็ มันก็จะแข็งแกร่งกว่านี้มาก” ไผ่เดียวดายพูด


 


“อย่าได้กังวล เมื่อพวกเราจับมันได้แล้ว พวกเราจะพามันไปเดินเล่นและเพิ่มระดับของมันขึ้น” หานเซิ่นพูดขณะที่มองไปที่คลาวด์บีสต์สีแดง


 


คลาวด์บีสต์พุ่งไปในท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง และหมอกควันสีแดงที่มันปล่อยออกมาก็สะกดเป็นคำว่าโง่เง่าขึ้นมา หลังจากนั้นร่างเมฆสีแดงก็ก่อตัวเป็นอีโมจิราวกับว่ามันกำลังมองดูพวกเขาด้วยความดูถูก


 


หลังจากนั้นร่างเมฆสีแดงก็เริ่มบิดเบี้ยวและก่อตัวเป็นมือสีแดงที่ยกนิ้วกลางให้กับหานเซิ่น


 


“ไอ้เวรนี่มันจะมากเกินไปแล้ว!” หานเซิ่นเรียกปีกมังกรออกมาด้านหลังและบินเข้าไปหาคลาวด์บีสต์ตัวนั้นด้วยความเร็วสูง


 


ขณะที่คลาวด์บีสต์เร่งความเร็วขึ้นเพื่อหลบหลีกมีดลมปราณ หานเซิ่นก็กระพือปีกและไปปรากฏตัวเหนือหัวเจ้าคลาวด์บีสต์สีแดง


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ฟันลงมาขณะที่พูด “ไอ้บ้า ไหนลองอวดดีอีกครั้งสิ”


 


เจ้าคลาวด์บีสต์หลบได้อย่างเฉียวฉิว มีดของหานเซิ่นอยู่ห่างจากหัวของคลาวด์บีสต์เพียงแค่เส้นผมเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วเจ้าคลาวด์บีสต์ก็เร่งความเร็งและทิ้งระยะห่างจากพวกเขาไปได้อีกครั้ง


 


หานเซิ่นมองดูคลาวด์บีสต์ตัวนั้นวิ่งหนีไป หลังจากนั้นร่างก้อนเมฆของมันก็บิดเบือนเป็นอีโมจิสีหน้ายิ้มเยาะใส่เขา


 


หานเซิ่นยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายขณะที่กวัดแกว่งมีดขนนกโลหิต มีดเส้นไหมที่มองไม่เห็นพันเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นตาข่าย


 


เมื่อคลาวด์บีสต์ถูกมีดเส้นไหมของหานเซิ่น เมฆรอบๆตัวของมันก็ถูกตัดขาดราวกับเป็นเต้าหู้ แต่หานเซิ่นควบคุมมีดเส้นไหมเป็นอย่างดี เพราะเขาไม่มีแผนที่จะฆ่ามัน


 


“ตอนนี้แกยังจะกล้าอวดดีอีกไหม?” หานเซิ่นตะโกนใส่คลาวด์บีสต์สีแดง


 


แต่ทันใดนั้นเจ้าคลาวด์บีสต์ก็เร่งความเร็วขึ้นอีกและพุ่งผ่านมีดเส้นไหมของหานเซิ่นไป ขณะที่ตัวถูกตัดเป็นชิ้นๆด้วยมีดเส้นไหมบางๆ


 


หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาแค่ต้องการจะสั่งสอนบทเรียนให้กับมันเท่านั้น เขาไม่ได้ต้องการจะฆ่ามัน


 


มีดเส้นไหมตัดร่างของคลาวด์บีสต์สีแดงเป็นเส้นๆเหมือนกับริบบิ้น แต่ริบบิ้นเหล่านั้นก็กลับมารวมตัวกันเป็นก้อนเมฆก้อนหนึ่ง หลังจากนั้นมันก็ก่อตัวเป็นรูปร่างของนิ้วโป้งที่กดลง


 


‘คลาวด์บีสต์ตัวนี้แข็งแกร่งจริงๆ’ หานเซิ่นคิด


 


มันรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ และร่างกายของมันก็สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้หลังจากที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ หานเซิ่นจึงไม่แน่ใจว่าควรจะจับซีโน่เจเนอิคแบบนั้นได้ยังไง


 


ไผ่เดียวดายเองก็พยายามจับมันหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาเองก็ล้มเหลวทุกครั้งเช่นเดียวกัน พวกเขาเป็น 2 มาร์ควิสที่รวดเร็วที่สุดแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถไล่จับคลาวด์บีสต์สีแดงตัวนี้ได้


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะใช้การเทเลพอร์ตเพื่อไปถึงตัวเจ้าคลาวด์บีสต์และโจมตีใส่มัน แต่มันก็ยังคงหลบมีดลมปราณของเขาได้อยู่ดี ยิ่งพวกเขาพยายามจับตัวมันมากเท่าไหร่ พวกเขาก็รู้สึกนับถือมันมากขึ้นเท่านั้น แม้แต่ดยุกคนหนึ่งก็ไม่สามารถรับมือกับซีโน่เจเนอิคตัวนี้ได้


 


ถึงแม้พวกเขาจะโจมตีถูกร่างก้อนเมฆของเจ้าคลาวด์บีสต์ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ร่างกายของมันเป็นเหมือนกับน้ำ หลังจากที่ส่วนหนึ่งถูกตัดออกไป มันก็สามารถประสานเข้าด้วยกันใหม่ได้


 


ไผ่เดียวดายหมุนดาบหยกจนกลายเป็นบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับพายุทอร์นาโด วังวนหยกที่เกิดขึ้นพยายามจะดูดเจ้าคลาวด์บีสต์สีแดงเข้าไปข้างใน


 


แต่เจ้าคลาวด์บีสต์นั้นสามารถเร่งความเร็วขึ้นเพื่อหนีออกจากแรงดูดจากวังวนได้อย่างง่ายดาย


 


ไผ่เดียวดายไม่สามารถทำอะไรต่อเจ้าคลาวด์บีสต์สีแดงได้ และเขาก็พ่ายแพ้ให้กับมันเช่นเดียวกับหานเซิ่น


 


“ไม่แปลกใจเลยที่มันรอดมาได้ยาวนานขนาดนี้ เจ้านี่มันแข็งแกร่งจริงๆ!” ไผ่เดียวดายพูด


 


“แข็งแกร่งจริงๆนั่นแหละ แต่ดูเหมือนมันจะโจมตีกลับไม่ได้” หานเซิ่นพูด


 


พวกเขาไม่มีหวังจะจับตัวคลาวด์บีสต์ตัวนี้ได้ ดังนั้นไผ่เดียวดายจึงล้มเลิกเรื่องนี้ไปก่อนและพูด


“ข้าจะไปจับคลาวด์บีสต์ระดับมาร์ควิสแทน แล้วเจ้าล่ะ?”


 


“ข้ามีนกกระเรียนไร้ขาอยู่แล้ว ข้าไม่ต้องการเปลี่ยนไปใช้สัตว์ขี่ตัวอื่น”


หานเซิ่นส่ายหัว นอกซะจากเขาจะได้ซีโน่เจเนอิคที่พิเศษอย่างคลาวด์บีสต์สีแดงตัวนั้น เขาก็ไม่คิดจะไปจับซีโน่เจเนอิคตัวไหนมาเป็นสัตว์ขี่อีก เพราะยังไงซะเขาก็รวดเร็วยิ่งกว่าซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสทั่วไป ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะไปจับซีโน่เจเนอิคธรรมดาตัวหนึ่งมา เพียงแค่นกกระเรียนไร้ขาก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว


 


ไผ่เดียวดายจับนกเมฆระดับมาร์ควิสตัวหนึ่งมา มันไม่ได้ความพยายามอะไรมากนัก เพราะซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสช้ากว่าไผ่เดียวดาย ดังนั้นเขาจึงจับมันได้อย่างง่ายดาย


 


เมื่อหานเซิ่นและไผ่เดียวดายกำลังจะเดินทางกลับ เจ้าคลาวด์บีสต์สีแดงก็บินมาตรงหน้าพวกเขาและใช้หมอกควันสะกดเป็นคำพูด


“โง่เง่า! โง่เง่า! มาจับข้าให้ได้สิ”


 


‘ไอ้เวรเอ๊ย ฉันจะต้องจับตัวแกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เรียกตัวเองว่าหานเซิ่นอีก‘


หานเซิ่นรู้สึกโกรธ แต่เขาไม่ได้หันกลับไปไล่ตามมัน เขารู้ว่าในตอนนี้ไม่สามารถจับคลาวด์บีสต์ตัวนี้ได้ แต่เขาเชื่อว่าจะหาหนทางได้ในที่สุด

 

 

 


ตอนที่ 2073

 

ความเป็นไปได้ของมีดขนนกโลหิต

หลังจากกลับไปที่เกาะ หานเซิ่นก็คิดหาวิธีที่จะจับคลาวด์บีสต์สีแดงตัวนั้นอยู่เป็นเวลานาน มันมีความเป็นไปได้ที่พลังในการทำให้ศัตรูกลายเป็นหินอาจจะได้ผลกับคลาวด์บีสต์ตัวนั้น


 


แต่คลื่นกระแทกของเขาคงจะไล่ตามความเร็วของเจ้าคลาวด์บีสต์สีแดงไม่ทัน และถึงหานเซิ่นจะเทเลพอร์ตไปอยู่ข้างๆมัน เจ้าคลาวด์บีสต์ก็ตอบสนองได้เร็วพอที่จะหลีกเลี่ยงคลื่นกระแทกของเขาได้


 


แถมพลังก็เป็นสิ่งที่เขาได้รับจากการดูดซับยีนซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์เข้าไป ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจำเป็นต้องทำตามหลักการของมันอย่างเข้มงวด เขาไม่สามารถใช้มันร่วมกับมีดเส้นไหมได้


 


หานเซิ่นหมกมุ่นกับการคิดหาหนทางที่จะจับคลาวด์บีสต์จอมอวดดีตัวนั้น


 


พลังเต่าเองก็ไม่ได้ผลเช่นกัน หานเซิ่นเคยลองใช้ดูแล้ว แต่เมื่อรูปเต่าปรากฏขึ้นบนร่างก้อนเมฆของมัน มันก็แค่ต้องปล่อยเมฆส่วนนั้นออกไป ซึ่งพลังเต่าก็จะหลุดออกไปด้วย


 


‘ถ้ากายหยกของเรามีพลังในการแช่แข็ง และเราใส่พลังเข้าไปในมีดเส้นไหม เราก็อาจจะจับตัวของมันขณะเป็นก้อนน้ำแข็งได้ แต่ถึงแสงเทพของกายหยกจะมีพลังธาตุน้ำแข็งอยู่ มันกลับไม่มีพลังในการแช่แข็งนี่สิ’ หานเซิ่นเริ่มที่จะรู้สึกท้อแท้


 


เขายังไม่สามารถคิดหาหนทางที่จะจับตัวของคลาวด์บีสต์สีแดงตัวนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอจนกระทั่งคิดหาวิธีอะไรดีๆได้


 


วันต่อมา หานเซิ่นเดินทางไปเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสสิบ หานเซิ่นไม่ได้ไปหาเขาโดยเฉพาะ แต่หานเซิ่นไปที่นั่นเพื่อพบกับยวิ๋นซู่อี


 


เขาดูดซับรอยเลือดบนใบมีดเข้าไปทั้งหมดแล้ว ทำให้มันกลับคืนสภาพเดิม ตอนนี้มันกลายเป็นสมบัติระดับครึ่งเทพ ซึ่งถ้าสกัดอีกหน่อยมันก็อาจจะกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าเต็มตัว


 


หานเซิ่นต้องการแลกเปลี่ยนมีดขนนกโลหิตกับมีดเขี้ยวผีสิง ด้วยเหตุนั้นเขาจึงต้องการไปคุยกับยวิ๋นซู่อี


 


แต่เมื่อหานเซิ่นลองคิดดูอีกที ถึงแม้ยวิ๋นซู่อีจะเป็นเจ้าของมีดเล่มนี้ แต่เขาก็ควรจะไปพูดกับยวิ๋นฉางคงพ่อของเธอด้วย เพราะถ้ายวิ๋นฉางคงไม่สามารถสกัดให้มันกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าเต็มตัว บางทีเขาอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากผู้นำของปราสาทนภา


 


เมื่อหานเซิ่นไปถึงเกาะของตระกูลยวิ๋น ทั้งยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางก็อยู่ที่นั่นทั้งคู่ ส่วนกระเรียนพันขนออกไปล่าซีโน่เจเนอิคและยังไม่กลับมา


 


“ซู่อี ขอบคุณเจ้ามากที่ให้ข้ายืมมีดขนนกโลหิต ข้านำมันมาคืนให้กับเจ้า แต่ว่ามันมีเรื่องบางอย่างที่ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้า”


หานเซิ่นนำมีดออกมาแสดงต่อหน้ายวิ๋นซู่อี “ข้าได้ดูดซับเลือดซีโน่เจเนอิคบนมีดเข้าไป ขอโทษด้วยที่ข้าไม่ได้บอกให้เจ้ารู้เร็วกว่านี้”


 


ทั้งยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางต่างก็ตกตะลึง มีดขนนกโลหิตมีชื่อเสียงก็เพราะรอยเลือดที่ขัดขวางมันจากการกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้า ถ้าหานเซิ่นลบล้างรอยเลือดออกไปแล้วจริงๆ มันก็มีโอกาสที่มีดจะกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าอีกครั้ง


 


ยวิ๋นซู่อีรับมีดกลับมาและตรวจดูอย่างละเอียด รอยเลือดหายไปแล้วจริงๆ และใบมีดก็ดูสะอาดเหมือนกับขนนกที่มันเงา


 


“เจ้าทำแบบนั้นได้ยังไง?” ยวิ๋นซู่อีถามหานเซิ่นด้วยความแปลกใจ


 


เฟเธอร์ใช้ทุกวิธีเพื่อจะลบล้างรอยเลือดออกไปจากมีด แต่ความพยายามทุกครั้งของพวกเขาก็จบลงด้วยความล้มเหลว ถ้าพวกเขารู้ว่าการลบรอยเลือดออกเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ พวกเขาก็คงจะไม่มอบมีดเล่มนี้ให้คนอื่นแน่ หานเซิ่นดูเหมือนจะมีพลังแค่ระดับมาร์ควิสเท่านั้น ดังนั้นเธอไม่รู้เลยว่าเขาทำแบบนี้ได้ยังไง


 


“เลือดบนมีดเล่มนี้เข้ากันได้ดีกับวิชาจีโนของข้า ดังนั้นข้าจึงดูดซับมันเข้าไปได้” หานเซิ่นอธิบาย


 


“ถ้าพวกเฟเธอร์รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะก็ พวกเขาคงจะโกรธมาก” ยวิ๋นซู่ซางพูดและถอนหายใจออกมา


 


“ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดวง” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ยวิ๋นซู่อีนำมีดเขี้ยวผีสิงออกมาจากเอวและส่งมันคืนให้กับหานเซิ่น แต่นิ้วของเธอจับมันค้างเอาไว้สักพักก่อนที่จะปล่อยมือจากมัน ดูเหมือนว่าเธอจะคิดถึงมัน


“ข้าเพิ่งใช้มันได้เพียงไม่นาน ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าต้องคืนมันกลับไปแล้ว”


 


“แต่ตอนนี้เจ้ามีขนนกโลหิต ซึ่งมันเหนือกว่ามีดเขี้ยวผีสิงนี่ซะอีก” หานเซิ่นพูดขณะที่รับมีดเขี้ยวผีสิงกลับมา


 


มีดขนนกโลหิตนั้นแข็งแกร่ง แต่หานเซิ่นถนัดใช้มีดเขี้ยวผีสิงมากกว่า เพราะมันเข้ากันได้ดีกับความสามารถของเขา


 


“มันแตกต่างกัน” ยวิ๋นซู่อีส่ายหัว แต่เธอไม่ได้พูดอะไรอีก เธอดูจะไม่ดีใจเกี่ยวกับศักยภาพของมีดขนนกโลหิตเท่าไร


 


เป็นอย่างที่หานเซิ่นคาดคิด ยวิ๋นฉางคงนำมีดขนนกโลหิตไปหาผู้นำของปราสาทนภา และผู้นำก็ส่งมันต่อไปให้คนในสวนวิถีนภา โดยหวังจะพัฒนามันสู่ระดับเทพเจ้าอีกครั้ง


 


ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งปราสาทนภา ซึ่งผลการทดสอบของสวนวิถีนภามีโอกาสกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ที่มันจะกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าอีกครั้ง


 


ผู้คนในปราสาทนภาต่างก็ตื่นเต้นกับข่าวนี้ อาวุธระดับเทพเจ้าถือว่าหาได้ยาก และในรอบพันปีอาจจะไม่มีอาวุธระดับราชันใหม่เกิดขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ


 


แต่แองเกียและเฟเธอร์คนอื่นๆที่อยู่ในปราสาทนภาดูจะไม่ดีใจกับข่าวนี้เท่าไหร่นัก


 


“หานเซิ่นอีกแล้ว!” แองเกียโกรธ


 


ทุกๆเผ่าพันธุ์ต่างก็รักษาอาวุธระดับเทพเจ้าของตัวเองอย่างหวงแหน มีดเล่มนี้ควรจะเป็นสมบัติอันล้ำค่าของเผ่าเฟเธอร์ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสมบัติของปราสาทนภา เฟเธอร์ในโฮลี่เฮฟเว่นเองก็ได้ยินถึงข่าวนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาต่างรู้สึกแย่


 


หานเซิ่นมีโอกาสจะกลับเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่อีกครั้ง ที่นั่นเขารีบเข้าไปกอดภรรยาและลูกสาวที่น่ารักของเขา


 


“พ่อ กอดหนูด้วย” เป่าเอ๋อเดินเข้ามาและมองไปที่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นอุ้มเด็ก 2 คนในมือแต่ละข้าง เขารู้สึกมีความสุข และมันจะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบถ้าเสี่ยวฮวาอยู่ที่นี่ด้วย


 


วันต่อมา หานเซิ่นเตรียมตัวกลับไปที่ปราสาทนภา แต่ในขณะที่เขากำลังจะไป เป่าเอ๋อก็กระโดดขึ้นมาบนแขนของเขาและพูด


“พ่อ หนูอยากจะไปกับพ่อด้วย”


 


“หนูยังจำเป็นต้องไปโรงเรียน พ่อจะพาหนูไปเมื่อหนูโตแล้ว” หานเซิ่นพูด


 


“ถ้าพ่อไม่พาหนูไป อย่างนั้นหนูก็จะหาทางไปด้วยตัวเอง” เป่าเอ๋อพูดอย่างไม่มีสัมมาคารวะ ซึ่งทำให้หานเซิ่นประหลาดใจ


 


“หนูมีทางที่จะไปที่นั่นอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม เป่าเอ๋อไม่ใช่เด็กธรรมดา ดังนั้นมีโอกาสที่เธอจะพบหนทางไปที่นั่น


 


“หนูจะไม่บอกพ่อ ถ้าพ่อไม่คิดที่จะพาหนูไปด้วย หนูก็จะไปที่นั่นด้วยตัวเอง” เป่าเอ๋อพูด


 


“เป่าเอ๋อ มันไม่ใช่ว่าพ่อไม่อยากจะพาหนูไปด้วย แต่พ่อยังพาหนูไปไม่ได้จริงๆ รอพ่ออีกสักหน่อย เมื่อพ่อกลับไปที่ดาวอุปราคาแล้ว พ่อจะกลับมาพาหนูไปที่นั่น ตกลงไหม?”


หานเซิ่นพูด เขาไม่ต้องการให้เธอทำอะไรบ้าบิ่น


 


ในตอนนี้หานเซิ่นไม่สามารถพาเธอไปได้ เพราะปราสาทนภาไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป ถ้ามีใครคนอื่นมาเห็นเธอเข้า มันก็ยากที่เขาจะอธิบายได้


 


“ก็ได้ แต่พ่อห้ามโกหกหนู ถ้าพ่อโกหกล่ะก็ หนูจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง” เป่าเอ๋อยื่นนิ้วของเธอออกมาเพื่อทำสัญญา


 


“พ่อให้สัญญา พ่อจะกลับมาพาหนูไปในทันที เมื่อพ่อกลับไปที่ดาวอุปราคา” หานเซิ่นพูดอย่างจริงจัง


 


เป่าเอ๋อเชื่อหานเซิ่น หลังจากนั้นเธอก็กระโดดลงจากแขนของเขา


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เป่าเอ๋อ สิ่งของที่หนูดูดเข้าไปในน้ำเต้านั่น หนูปล่อยมันออกมาได้ไหม?”


 


“ก็ได้อยู่” เป่าเอ๋อกระพริบตา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)