Super God Gene 2007-2022

 ตอนที่ 2007

 

หินผาน้อย

วัวหินผาตัวนั้นเดินไปเดินมาในหุบเขาราวกับว่ามันเป็นเจ้าของที่นั่น วัวหินผาตัวอื่นจะหลีกทางให้กับมัน หนึ่งในวัวตัวเล็กหลีกทางให้มันช้า เลยถูกเจ้าวัวหินผาตัวนั้นชนกระเด็นออกไป ร่างกายของมันถูกแทงด้วยเขาวัวขนาดใหญ่


 


แต่วัวหินผาตัวเล็กไม่ได้ตอบโต้อะไร มันเพียงแค่ส่งเสียงร้องออกมาและเดินกะเผลกๆออกไป หลังจากนั้นวัวหินผาตัวใหญ่ก็เดินลึกหายเข้าไปในหุบเขา


 


กำแพงของหุบเขาบดบังวิสัยทัศน์ของหานเซิ่น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหาจุดใหม่ที่สังเกตเห็นภายในหุบเขาได้อย่างชัดเจน หานเซิ่นปีนขึ้นไปบนภูเขาที่อยู่ใกล้ๆและใช้เถาวัลย์ในการพลางตัว เมื่อพบจุดเหมาะๆ เขาก็ใช้กล้องของปืนไรเฟิลส่องเข้าไปในหุบเขา


 


มันมีเส้นทางแคบๆที่ข้ามระหว่างหุบเขาใหญ่ไปยังหุบเขาที่เล็กกว่า ซึ่งในหุบเขาที่เล็กกว่านั้นไม่มีวัวหินผาตัวอื่นอยู่ข้างใน หลังจากที่วัวหินผาตัวนั้นเข้าไปข้างในแล้ว มันก็นอนลงที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง แต่ดูไม่เหมือนกับว่ามันกำลังพักผ่อนอยู่


 


เมื่อวัวหินผาตัวนั้นนอนลงที่ใต้ต้นไม้ มันก็จ้องอย่างขะมักเขม้นไปที่อะไรบางอย่าง


 


หานเซิ่นมองไปที่ต้นไม้ แต่เขาไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรที่พิเศษ


 


ลำต้นของต้นไม้ต้นนั้นหนามากๆและมันก็สูงถึง 13 เมตร ยอดสุดของต้นไม้ดูเหมือนกับร่ม แต่เนื่องจากอยู่ไกลเกินไป หานเซิ่นจึงไม่สามารถที่จะสัมผัสถึงพลังชีวิตของต้นไม้ได้


 


“แปลกจริงๆ หุบเขาดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่พิเศษ แล้ววัวหินผาตัวนั้นลบล้างพลังเขี้ยวของเราได้ยังไงกัน? ตัวของมันเองก็ไม่น่าจะมีความสามารถแบบนั้นหรอกใช่ไหม ไม่อย่างนั้นเมื่อวานมันก็คงจะไม่ปล่อยให้ตัวเองได้รับความเสียหายจากพลังเขี้ยวหรอก” หานเซิ่นยังคงเฝ้ามองดูมันต่อไปโดยหวังว่าจะได้รับคำตอบบางอย่าง


 


วัวหินผาตัวนั้นนอนอยู่สักพัก แต่ไม่นานมันก็เริ่มเดินไปเดินมาและมองขึ้นไปบนยอดต้นไม้


 


“มันต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับต้นไม้นี่แน่ๆ?” หานเซิ่นพยายามสังเกตต้นไม้ แต่เขาไม่สามารถบอกอะไรได้


 


หลังจากผ่านไปอีกสักพัก วัวหินผาก็ดูไม่ค่อยพึงพอใจ ขณะที่จ้องขึ้นไปบนยอดของต้นไม้


 


หานเซิ่นลองมองดูดีๆอีกครั้ง และในที่สุดเขาก็สังเกตเห็นรูๆหนึ่งบนลำต้นของต้นไม้ มีบางสิ่งบางอย่างกำลังออกมาจากรูๆนั้น


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันดูเหมือนกับหนู แต่มันยืนด้วย 2 ขาและสวมเสือผ้าที่ทำมาจากใบไม้ และมันยังถือแท่งไม้อยู่ในมือ มันดูน่ากลัวและทำให้หานเซิ่นรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อมองไปที่มัน


 


มันดูชั่วร้าย ดวงตา 3 เหลี่ยมของมันเรืองแสงสีแดงออกมา หลังจากที่เดินออกมาจากรู มันก็ใช้แท่งไม้ในมือฟาดใส่ใบไม้ใกล้ๆ หลังจากนั้นมันก็กระโดดขึ้นไปบนใบไม้และค่อยๆล่อนลงมาที่พื้น


 


วัวหินผาเข้าไปหาสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนกับหนูตัวนั้นและเริ่มแผดเสียงใส่อีกฝ่าย


 


เจ้าตัวนั้นก็แผดเสียงคืนใส่วัวหินผา ดูเหมือนกับว่าพวกมันทั้งคู่กำลังถกเถียงกัน หลังจากผ่านไปสักพัก เจ้าตัวน้อยก็นำหินก้อนหนึ่งออกมาและโยนให้กับวัวหินผา


 


วัวหินผาอ้าปากและกลืนหินก้อนนั้นลงคอไป วัวหินผาไม่แม้แต่จะเสียเวลาเคี้ยว


 


หลังจากที่เจ้าวัวกลืนหินเข้าไปแล้ว ร่างกายของมันก็เริ่มเรืองแสงออกมา หลังจากนั้นมันก็นอนลงไปกับพื้น


 


เจ้าสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนกับหนูมองดูวัวหินผาอยู่สักพัก หลังจากนั้นมันก็กระโดดกลับขึ้นต้นไม้และหายเข้าไปในรูนั้น


 


‘ไม่รู้ว่าเจ้าหนูนั้นเป็นสายพันธุ์แบบไหนกันแน่ แต่มันดูมีสติปัญญาเหนือกว่าซีโน่เจเนอิคทั่วๆไป และหินที่เจ้าวัวกลืนเข้าไปมันคืออะไรกัน? นั่นคือสิ่งที่ลบล้างพลังเขี้ยวอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นสงสัย


 


หลังจากที่ค้นพบเรื่องนี้ หานเซิ่นก็ต้องการจะรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างวัวหินผาและเจ้าหนูตัวนั้น ดังนั้นเขาจึงยังซ่อนตัวอยู่ที่นั่นและคอยจับตาดูต่อไป


 


หลังจากที่วัวหินผาตื่นขึ้นมา สีหน้าของมันก็ดูดีขึ้น มันเดินกลับไปยังหุบเขาใหญ่และส่งเสียงเรียกวัวตัวอื่นๆ วัวหินผาขนาดเล็กพากันนำเนื้อของเหล่าซีโน่เจเนอิคมา และเจ้าวันหินผาตัวใหญ่ก็กินพวกมันในทันที


 


วัวหินผาตัวนั้นจะออกไปนอกหุบเขาเป็นครั้งคราว แต่มันจะกลับมานอนอยู่ใต้ต้นไม้ทุกๆวัน ถ้าเจ้าซีโน่เจเนอิคที่ดูเหมือนกับหนูไม่ออกมา มันก็จะใช้หัวกระแทกใส่ต้นไม้จนกระทั่งกิ่งของต้นไม้เริ่มจะร่วงลงมา เจ้าวัวหินผาจะทำแบบนั้นจนกว่าที่เจ้าหนูจะออกมาและมอบหินน้อยๆให้กับมัน


มันเห็นได้ชัดว่าเจ้าหนูตัวน้อยเกรงกลัววัวหินผา เพราะมันไม่เคยปฏิเสธคำของของวัวหินผาเลย มันจะมอบหินน้อยให้กับเจ้าวัวทุกๆวัน


 


“หินพวกนั้นคืออะไรกัน? และเจ้าหนูไปได้พวกมันมาจากที่ไหน?”

หานเซิ่นอยากจะรู้ความจริง แต่มันมีวัวหินผาจำนวนมากอยู่ในหุบเขา ดังนั้นเขาไม่สามารถจะเข้าไปข้างในได้


 


หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก หานเซิ่นก็คิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้


 


หานเซิ่นรอจนกระทั่งเจ้าวัวหินผาตัวนั้นออกมาจากหุบเขา และเมื่อมันออกมาไกลมากพอ เขาก็ใช้โอกาสนั้นยิงใส่มันขณะที่มันยังไม่ทันตั้งตัว


 


กระสุนพุ่งไปถูกร่างของวัวหินผาและเกิดเป็นสัญลักษณ์เต่าขึ้นมา วัวหินผาโกรธ แต่หานเซิ่นยิงกระสุนใส่มันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมันช้าราวกับเต่า


 


ซึ่งก็เป็นเหมือนกับครั้งที่แล้ว วัวหินผาพยายามวิ่งกลับเข้าไปในหุบเขาพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมา


 


หลังจากผ่านไปไม่นาน พวกวัวหินผาตัวเล็กก็ออกมาตามล่าหานเซิ่น เขาเรียกยมทูตสีแดงออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกมันและล่อพวกมันไปทางอื่น


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็อ้อมผ่านพวกมันและวิ่งเข้าไปในหุบเขา เขาต้องการจะดูว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในรูบนต้นไม้นั้นกันแน่


 


เมื่อหานเซิ่นวิ่งเข้าไปในหุบเขาใหญ่ เขาก็ใช้กล้องของปืนไรเฟิลเล็งไปทางซีโน่เจเนอิคดูเหมือนกับหนูที่กำลังยืนอยู่บนกิ่งของต้นไม้ โดยไม่ลังเล เขาเหนี่ยวไกยิงออกไปทันที


 


หานเซิ่นแค่ต้องการจะหาว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่ากระสุนเพียงนัดเดียวจะระเบิดหัวของเจ้าหนูตัวนั้น


 


“ซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกพบ”


 


“ซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล?” หานเซิ่นประหลาดใจ เนื่องจากเจ้าหนูตัวนั้นดูฉลาดผิดปกติ เขาจึงคิดว่ามันเป็นระดับเดียวกันกับเจ้าวัวหินผา แต่จริงๆแล้วมันเป็นแค่ระดับเอิร์ลเท่านั้น

 

 

 


ตอนที่ 2008

 

รูปปั้นหิน

หานเซิ่นตัดสินใจวิ่งลึกเข้าไปในหุบเขา และไม่นานเขาก็ไปถึงใต้ต้นไม้ของหุบเขาขนาดเล็ก


 


หานเซิ่นกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้และใช้ออร่าศาสตร์เสวียนสแกนดูสิ่งที่อยู่ภายในรู เขาสังเกตเห็นว่าข้างในรูค่อนข้างกว้าง ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ในต้นไม้นั้นกลวงโบ๋


 


แต่ทว่ามันไม่มีพลังชีวิตหรือสมบัติล้ำค่าอะไรให้เห็นเลย


 


แต่หานเซิ่นไม่คิดจะเลิกค้นหาเพียงแค่นั้น เพราะถ้าเจ้าหนูสามารถมอบก้อนหินให้กับเจ้าวัวหินผาได้ทุกๆวัน มันก็ต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง หานเซิ่นใช้มีดเขี้ยวผีสิงตัดเปลือกไม้รอบๆรูให้ใหญ่พอที่จะเข้าไปได้ หลังจากนั้นเขาก็ยื่นหัวเข้าไปข้างใน


 


ภายในต้นไม้นั้นกลวงโบ้มากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ และลำต้นของมันก็กลวงลงไปจนถึงพื้นด้านล่าง ซึ่งมีถ้ำหินอยู่


 


โดยไม่ลังเลหานเซิ่นมุดเข้าไปในต้นไม้และเริ่มปีนลงไปด้านล่าง เขาลงไปในถ้ำหินอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อหานเซิ่นลงมาแล้ว เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในอุโมงค์แห่งหนึ่ง และหลังจากที่เดินไปไม่นานอุโมงค์ก็เปิดกว้างออก และเขาก็ค้นพบถ้ำขนาดใหญ่ มันมีขนาดพอๆกับหลุมหลบภัย


 


หานเซิ่นเดินเข้าไปข้างในและไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอะไร แต่เขาได้พบร่องรอยของเจ้าหนูที่เขาเพิ่งจะฆ่าตายไป


 


ความมืดมิดไม่ได้มีผลอะไรต่อหานเซิ่น เพราะเขาสามารถใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนสแกนทั่วทั้งถ้ำได้


 


ถ้ำแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นถ้ำทั่วๆไป แต่ทางออกของมันดูเหมือนจะมีแค่ทางเดียว ซึ่งก็คือรูของต้นไม้นั่น


 


ที่ใจกลางของถ้ำมีบ่อน้ำที่มีหินย้อยขนาดใหญ่ห้อยอยู่ด้านบน หยดน้ำค่อยๆหยดลงมาจากปลายของหินย้อยจนเกิดเป็นบ่อน้ำที่อยู่ด้านล่าง


 


หานเซิ่นมองลงไปในบ่อน้ำ และเขาก็เห็นหินที่เจ้าหนูมอบให้กับวัวหินผาทุกๆวัน พวกมันมีขนาดเล็กพอๆกับนิ้วมือและมีสีเทา พวกมันจมอยู่ที่ก้นของบ่อน้ำ


 


หานเซิ่นเรียกมนตราออกมาและสั่งให้เธอลงไปเก็บหินขึ้นมา ซึ่งมันไม่ได้มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับเธอ มาตราเอื้อมมือลงไปที่ก้นบ่อน้ำและหยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง


 


“ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ” เสียงประกาศดังขึ้นในหัวของหานเซิ่น


 


“หินพวกนี้คือยีนซีโน่เจเนอิค?” หานเซิ่นลองสัมผัสพวกมันและสังเกตว่าพวกมันเย็นเหมือนกับหินเปียก


 


แต่เสียงประกาศไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่ามันเป็นยีนซีโน่เจเนอิคแบบไหน หานเซิ่นเก็บหินทุกก้อนขึ้นมาและใส่พวกมันเข้าไปในกระเป๋า


 


พวกมันมีอยู่ทั้งหมด 128 ก้อน และเขาก็เก็บเข้ากระเป๋าไปทั้งหมด


 


ก่อนที่จะออกไป หานเซิ่นก็สังเกตในบ่อน้ำอีกครั้งเพื่อดูให้แน่ใจว่ายังมีอะไรหลงเหลืออยู่หรือเปล่า เขาพบก้อนหินก้อนหนึ่งที่ดูแตกต่างไปจากก้อนอื่นๆ


 


หานเซิ่นเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาจากตะไคร่น้ำ และเมื่อยกขึ้นมาพ้นตะไคร่น้ำแล้ว เขาก็เห็นว่ามันคือรูปปั้นมนุษย์ที่สูง 1 ฟุต


 


รูปปั้นมีสีเขียวดำ ดังนั้นเขาไม่สามารถบอกได้ว่าสีดั้งเดิมของมันคือสีอะไรกันแน่ แต่มันเป็นรูปปั้นของมนุษย์ในท่านั่ง


 


หานเซิ่นยังไม่มีเวลาจะมาตรวจสอบมันอย่างละเอียด ดังนั้นเขาจึงเก็บมันเข้ากระเป๋าไป หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจกลับออกไปตามทางที่เข้ามา


 


เมื่อหานเซิ่นออกมาจากรูของต้นไม้ วัวหินผาก็มารอเขาอยู่ที่ด้านนอกแล้ว มันมองมาที่เขาด้วยความโกรธ และด้านหลังของวัวหินผาตัวนั้นก็ยังมีวัวหินผาตัวน้อยตัวอื่นอยู่อีกด้วย


 


หานเซิ่นรู้ว่าใช้เวลาสำรวจด้านล่างนานเกินไป ซึ่งทำให้พวกวัวหินผาสามารถกลับมาได้ทัน


 


ปัง!


วัวหินผากระทืบพื้นเพื่อสร้างคลื่นกระแทกออกมา ขณะเดียวกันพวกวัวหินผาตัวเล็กก็วิ่งเข้ามาหาหานเซิ่น หานเซิ่นรีบกระโดดออกจากต้นไม้ เพราะมันจะเป็นอะไรที่อันตรายถ้าเขากลายเป็นหินอยู่ภายในนั้น


 


แต่ถึงจะกระโดดออกจากรูมา เขาก็รู้ว่าไม่มีเวลาพอที่จะหนีออกจากรัศมีของคลื่นกระแทกได้ทัน และเขาก็คงจะถูกทำให้กลายเป็นหินอยู่ดี


 


กลุ่มของวัวหินผาตัวเล็กไม่ได้รับผลอะไรจากคลื่นกระแทก พวกมันเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นก้อนหินและพุ่งเข้าใส่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นรีบลบล้างร่างกายที่กลายเป็นหิน หลังจากนั้นเขาก็เรียกปีกออกมาด้านหลังหู พวกมันเริ่มกระพือ และทันใดนั้นหานเซิ่นก็พุ่งออกจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว


 


เหล่าวัวหินผาพยายามจะไล่ตามหานเซิ่นไป แต่โชคร้ายที่พวกมันไม่สามารถบินได้ และถึงแม้พวกมันจะแข็งแกร่ง แต่นี้ก็เป็นจุดอ่อนอันใหญ่หลวง พวกมันเป็นซีโน่เจเนอิคที่ไม่รู้วิธีบินขึ้นฟ้า


 


แต่ถึงมันจะทำได้ มันก็ไม่มีทางไล่ตามหานเซิ่นได้ทันอยู่ดี เพราะมันเชื่องช้ากว่าปีกวิญญาณอสูรของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นเรียกมนตราออกมาในร่างของปืนไรเฟิลและใช้มันยิงใส่วัวหินผาขนาดเล็กทีละตัว เพื่อที่จะชะลอความเร็วของพวกมัน


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้ยิงใส่เจ้าวัวหินผาตัวใหญ่ เขาเล็งเป้าไปที่พวกวัวตัวเล็กก่อน ซึ่งในที่สุดพวกมันก็ไม่สามารถไล่ตามหานเซิ่นต่อไปได้


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะเจ้าวัวหินผาตัวใหญ่สามารถดมกลิ่นของก้อนหินที่หานเซิ่นพกพาอยู่ได้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่มันไล่ตามเขาโดยไม่สนใจหันไปมองด้านหลัง แต่ยังไงก็ตาม หานเซิ่นก็ต้องล่อมันออกไปไกล เพื่อที่พวกวัวหินผาตัวเล็กจะได้มาช่วยมันไม่ได้อีก


 


ซึ่งถ้ามันยังมีวัวหินผาตัวเล็กคอยคุ้มกันอยู่ หานเซิ่นก็จะไม่สามารถฆ่ามันได้ แต่ถึงวัวหินผาตัวนี้จะแข็งแกร่ง มันก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่


 


ซีโน่เจเนอิคที่หานเซิ่นบินผ่านไปนั้น เมื่อพวกมันสังเกตเห็นวัวหินผากำลังวิ่งมา มันก็ไม่มีใครเข้ามาขวางทาง


 


หานเซิ่นหนีไปไกลกว่า 100 ไมล์ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าวัวหินผาก็ยังคงไล่ตามหานเซิ่นมา ราวกับว่าหานเซิ่นไปฆ่าภรรยาของมันยังไงอย่างนั้น


 


แต่ในที่สุดก็ดูเหมือนมันจะรู้ตัวว่าลูกน้องของมันหายไปหมดแล้ว มันเริ่มลังเลและสงสัยว่าควรจะตามหานเซิ่นต่อไปดีไหม


 


เมื่อเห็นอย่างนั้นหานเซิ่นก็เขย่าก้อนหินที่อยู่ในกระเป๋าของเขา วัวหินผาคำรามออกมาด้วยความโกรธและไล่ตามเขาต่อไป หานเซิ่นมีแผนที่จะฆ่าวัวหินผาซะที่นี่เลย ถ้าเกิดว่ามันไม่คิดจะไล่ตามเขาต่อ แต่ตอนนี้มันยังไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น


 


“ก้อนหินพวกนี้คือยีนซีโน่เจเนอิคแบบไหนกัน? ทำไมเจ้าวัวหินผาถึงได้ดูต้องการพวกมันมากขนาดนั้น?”


หานเซิ่นประหลาดใจ วัวหินผานั้นไล่ตามหานเซิ่นไปกว่า 300 ไมล์ และเมื่อหานเซิ่นคิดว่าไกลมากพอแล้ว เขาก็หันกลับไปยิงใส่เจ้าวัวหินผาด้วยกระสุนจากพลังเต่า


 


“แกสนุกสนานกับการไล่ล่าฉันมากพอแล้วหรือยัง? ถ้าพอแล้ว ตอนนี้มันก็ถึงตาของฉันบ้าง”


หานเซิ่นหยุดวิ่งหนีและยิงใส่วัวหินผาด้วยปืนไรเฟิล


 


ถึงวัวหินผาจะแข็งแกร่งมากๆ แต่ตอนนี้มันก็เริ่มที่จะเชื่องช้าลงไป คลื่นกระแทกของมันไม่สามารถใช้ป้องกันกระสุนได้เช่นกัน


 


ไม่นานวัวหินผาก็ตกอยู่ในชะตากรรมเหมือนกับก่อนหน้านี้ มันไม่สามารถเดินได้เร็วไปกว่าเต่าตัวหนึ่ง


 


หานเซิ่นชักมีดาออกมาและฟันใส่วัวหินผาด้วยพลังของมีดและดาบ

 

 

 


ตอนที่ 2009

 

วัวหินผาปีศาจ

เคร๊ง!


หลังจากที่ฟันใส่ตัวของวัวหินผาแล้ว หานเซิ่นก็ถอยออกไปก่อนที่ร่างกายของเขาจะกลายเป็นหิน และหลังจากที่หานเซิ่นก็ลบล้างมันแล้ว เขาก็เคลื่อนที่เข้ามาฟันใส่วัวหินผาอีกครั้ง


 


หลังจากที่ทำอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ใบมีดของหานเซิ่นก็ทิ้งรอยแผลจำนวนมากไว้บนตัวของวัวหินผา และพลังเขี้ยวก็เริ่มทำการฉีกบาดแผลของมัน


 


การส่งเสียงกรีดร้องออกมาของเจ้าวัวหินผาไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เพราะพวกวัวหินผาตัวอื่นอยู่ไกลเกินไป พวกมันไม่มีทางจะได้ยินเสียง


 


หานเซิ่นทำการต่อสู้กับเจ้าวัวหินผาตัวเป็นเวลากว่า 30 ชั่วโมง และในที่สุดร่างกายของเจ้าวัวหินผาก็ไม่สามารถทนต่อบาดแผลมากมายได้อีก และมันก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆโดยพลังเขี้ยว


 


“ซีโน่เจเนอิควัวหินผาปีศาจระดับมาร์ควิสกลายพันธุ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูร ยีนซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์ถูกค้นพบ”


 


เสียงประกาศดังขึ้นในหัวของหานเซิ่นและทำให้เขายิ้มออกมา


 


หานเซิ่นเดินเข้าไปหาก้อนหินที่แตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและเริ่มขุดกองก้อนหินนั้น ร่างของวัวหินผาทำมาจากหิน ดังนั้นมันจึงไม่มีเนื้อ แต่ทว่าหลังจากที่ค้นอยู่สักพัก เขาก็พบส่วนที่เป็นหัวใจ มันมีแสงสว่างอยู่ภายใน ซึ่งมันดูเหมือนกับวัวหินผาปีศาจที่เขาเพิ่งจะฆ่าไป


 


“ยีนซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์นี้จะทำให้เราเรียนรู้พลังที่จะทำให้คนอื่นกลายเป็นหินไหมนะ?” หานเซิ่นรู้สึกสนใจในพลังของวัวหินผาอย่างมาก การทำให้คนอื่นกลายเป็นหินได้เพียงแค่กระทืบเท้านั้นถือเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม


 


แต่น่าเสียดายที่มันเป็นยีนซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์ระดับมาร์ควิส ดังนั้นเขาตัวเขาจะต้องเป็นมาร์ควิสซะก่อนถึงจะใช้มันได้ แถมเขายังจะต้องมียีนระดับมาร์ควิสมากพอด้วย


 


แต่มันยังมีของอีกอย่างที่เขาได้รับมา ซึ่งก็คือวิญญาณอสูรของวัวหินผาปีศาจ


 


“วิญญาณอสูรวัวหินผาปีศาจกลายพันธุ์ : เปลี่ยนร่าง”


 


รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหานเซิ่น ตอนนี้เขาสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นวัวหินผาปีศาจได้ เขาอยากรู้ว่ามันจะทำให้เขามีพละกำลังเหมือนกับวัวหินผาปีศาจเลยหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันก็จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเขาอย่างมาก


 


หานเซิ่นลองใช้มันทันที และเมื่อทำอย่างนั้น เขาก็กลายร่างเป็นวัวหินผาปีศาจ เขารู้สึกว่าพละกำลังและความเร็วของตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างมาก


 


แต่น่าเศร้าที่วิญญาณอสูรปีศาจวัวหินผานั้นเพียงแค่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น มันไม่ได้ทำให้เขามีความสามารถอื่นแต่อย่างใด


 


“ดูเหมือนว่าเราคงจะต้องหวังกับยีนกลายพันธุ์ของมัน” หานเซิ่นเรียกวิญญาณอสูรวัวหินผาปีศาจกลับไปและเริ่มทำการล่าซีโน่เจเนอิคต่อ


 


ปราสาทนภากำลังต้อนรับแขกผู้มาเยือน พวกผู้ชายดูแข็งแกร่งและพวกผู้หญิงก็ดูงดงาม พวกเขามีปีกสีขาวที่สง่างาม ซึ่งพวกเขาก็คือเฟเธอร์จากโฮลี่เฮฟเว่น


 


ไม่นานข่าวก็ถูกแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งจักรวาลจีโน ทางเฟเธอร์ได้มาขอสวามิภักดิ์และยอมเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของปราสาทนภา


 


เหล่าราชาของเผ่าเฟเธอร์ได้ส่งทายาทของพวกเขามาฝึกฝนภายในปราสาทนภา แต่ในนัยหนึ่งมันก็เหมือนกับว่าเฟเธอร์หนุ่มสาวเหล่านั้นถูกส่งมาเป็นตัวประกัน แบบนั้นพวกเขาก็จะไม่สามารถทรยศปราสาทนภาได้


 


“แองเกีย จากนี้พวกเราต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรอ? พวกเราจะกลับไปที่โฮลี่เฮฟเว่นไม่ได้อีกแล้วใช่ไหม?” เฟเธอร์หญิงสาวถามเฟเธอร์หนุ่มที่ดูเหมือนกับอะพอลโล


 


เหล่าเฟเธอร์คนอื่นก็หันมามองชายหนุ่มคนนั้นเช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหัวหน้าของเฟเธอร์ที่มาทั้งหมด


 


“ไม่ใช่ พวกเราจะกลับไปที่โฮลี่เฮฟเว่นในสักวันหนึ่ง และโฮลี่เฮฟเว่นก็จะกลายเป็นบ้านของชนเผ่าชั้นสูงอีกครั้ง จนกว่าจะถึงวันนั้นพวกเราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากเผ่านภา” แองเกียยิ้มให้กับหญิงสาวคนนั้น


 


“พวกเราจะได้รับการยอมรับจากพวกเขาได้ยังไง? ก่อนที่พวกเราจะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ พวกเราก็ด้อยกว่าเผ่านภามากพออยู่แล้ว แถมตอนนี้พวกเรายังถูกลดขั้นเป็นเผ่าชั้นต่ำอีก…” หญิงสาวดูกังวล


 


“ไม่มีเผ่าชั้นสูงไหนที่เกิดมาเป็นเผ่าชั้นสูงตั้งแต่แรก พวกเราแค่จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อให้คนอื่นยอมรับเรา ซึ่งไม่ว่าที่ไหนมันก็เป็นแบบนั้น” แองเกียกล่าว


 


เฟเธอร์หนุ่มอีกคนพูดขึ้นมา “แองเกีย บอกพวกเราทีว่าต้องทำยังไง”


 


“มีความอดทด ฝึกฝนอย่างหนักและทำให้พวกเรากลายเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งอีกครั้ง ทำให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาคู่ควร”


แองเกียหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อ “เผ่านภาเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่ง และในหมู่เผ่าพันธุ์ชั้นสูง พวกเขาก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ยอมรับคนนอกมากที่สุด พวกเขาไม่เหมือนกับบุดด้าที่ปฏิบัติกับคนนอกอย่างกับเครื่องมือ นั่นคือเหตุผลที่พวกเราปฏิเสธข้อเสนอของทางบุดด้าและมาที่นี่แทน ที่นี่พวกเราอาจจะได้กลายเป็นศิษย์ของปราสาทนภาเช่นเดียวกับชาวนภาคนอื่นๆ”


 


“เจ้าไม่ต้องห่วง พวกเราทุกคนจะฝึกฝนอย่างหนัก และสักวันหนึ่งเฟเธอร์ก็กลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูงอีกครั้ง” เฟเธอร์หนุ่นคนนั้นสาบาน


 


เฟเธอร์คนอื่นๆก็เห็นด้วย พวกเขาเริ่มดูมีความหวังขึ้นมา


 


การจะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูงนั้นเป็นเรื่องยาก ถ้าเฟเธอร์ไม่มียอดฝีมือระดับเทพเจ้า พวกเขาก็จะไม่สามารถกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูงอีกครั้งได้


 


ในตอนนี้เฟเธอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นเพียงแค่ครึ่งเทพเท่านั้น มันไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่เป็นเทพเจ้าเต็มตัว และตอนนี้เมื่อพวกเขากลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำ การจะกลายทำให้หนึ่งในสมาชิกของพวกเขากลายเป็นระดับเทพเจ้านั้นก็เป็นเรื่องที่ยากขึ้นอย่างมาก


 


“เพียงแค่ฝึกฝนอย่างหนักยังไม่เพียงพอ” แองเกียพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


“ที่นี่พวกเราถือว่าเป็นแค่สามัญชน พวกเราจะไม่ได้สิทธิพิเศษอะไร พวกเราจำเป็นต้องแสดงฝีมือให้เหล่าผู้อาวุโสและผู้นำของปราสาทนภาประทับใจ เพื่อที่พวกเราจะได้รับเราเป็นลูกศิษย์ แบบนั้นพวกเราถึงจะมีโอกาส”


 


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องทำยังไง?” เฟเธอร์สาวมองไปที่แองเกีย


 


“การสอบเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเรา แต่การสอบของปีนี้ได้จบลงไปแล้ว” แองเกียถอนหายใจ


 


“นั่นหมายความว่าพวกเราต้องรอจนกระทั่งถึงปีหน้าอย่างนั้นหรอ?” เฟเธอร์หนุ่มคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าที่ดูเศร้า


 


“บางทีอาจจะไม่ต้องรอถึงขนาดนั้น พวกเราจะได้รับการยอมรับ ถ้าพวกเราเอาชนะคนๆหนึ่งได้” แองเกียพูดขึ้นมา


 


“คนๆนั้นเป็นใครกัน?” เฟเธอร์หนุ่มสาวถามพร้อมๆกัน


 


“นั่นก็คือคริสตัลไลเซอร์ที่ข่งเฟยมอบขนนกเทพเจ้าให้ ลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด”


แองเกียพูดอย่างสงบ “เขาได้รับอันดับที่หนึ่งในการสอบระดับเอิร์ลและเสมอกับไผ่เดียวดายในการประลอง ไผ่เดียวดายถือเป็นตำนานของชาวนภา ถ้าพวกเราเอาชนะคริสตัลไลเซอร์คนนั้นได้ พวกเราก็จะได้รับการยอมรับ”


 


“เขาน่ะหรอ! เขาคือคนของข่งเฟยหนิ? เขาสมควรตาย!” เฟเธอร์คนหนึ่งพูดขึ้นมา


 


“หุบปาก ไม่ว่าเมื่อก่อนเขาจะเป็นใคร ตอนนี้เขาก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของปราสาทนภา พวกเราไม่ควรจะพูดอะไรแบบนั้น” แองเกียต่อว่าเขา


 


เฟเธอร์คนนั้นเคารพแองเกีย ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าและไม่พูดอะไรอีก


 


“แต่เขาถูกเลือกโดยคนทรยศข่งเฟย ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องออมมือให้กับเขา” แองเกียพูดอย่างเลือดเย็น

 

 

 


ตอนที่ 2010

 

การมาของเฟเธอร์

หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน หานเซิ่นก็เดินทางออกจากเกาะแรร์บีสต์และนำแผ่นหินไปคืนให้กับสือเปยเฟิง


 


“ศิษย์น้องหาน ถ้าเจ้าต้องการล่ะก็ เจ้าจะอยู่นานกว่านี้ก็ได้” สือเปยเฟิงมาบอกลาหานเซิ่นที่กำลังจะเดินทางออกจากเกาะ


 


“ไม่เป็นไร ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาข้าได้ประโยชน์มามากแล้ว และถ้ายังอยู่ต่อไปนานกว่านี้ ข้าจะรู้สึกผิดเอา” หานเซิ่นชี้ไปที่นกกระเรียนไร้ขาขณะที่พูด


 


นกกระเรียนไร้ขากำลังแบกยีนซีโน่เจเนอิคจำนวนมากอยู่ และเมื่อสือเปยเฟิงหันไปมอง เขาก็ตกตะลึง เนื่องจากยีนซีโน่เจเนอิคที่อยู่บนหลังของมันนั้นเป็นยีนระดับมาร์ควิสทั้งหมดเลย


 


จากชื่อเสียงของหานเซิ่นแล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะล่าซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสได้ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือเขาสามารถฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสได้เป็นจำนวนมากในเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือน


 


มันทำให้สือเปยเฟิงอยากจะเป็นเพื่อนกับหานเซิ่นมากกว่าเดิม เขายิ้มออกมาและพูด


“ถ้าเจ้ามีความจำเป็นอะไรล่ะก็ มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ตระกูลสือยินดีช่วยเหลือเจ้าเสมอ”


 


“ขอบคุณศิษย์พี่สือมาก” หานเซิ่นโค้งคำนับและไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น


 


นกกระเรียนไร้ขาแบกชิ้นส่วนซีโน่เจเนอิคอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้มันบินได้ค่อนข้างยากลำบาก สือเปยเฟิงเห็นว่ามันไม่มีที่ว่างเหลือให้หานเซิ่นขึ้นไปนั่ง ดังนั้นเขาจึงให้หานเซิ่นยืมสิงโตสี่ปีก หลังจากนั้นสิงโตสี่ปีกและนกกระเรียนไร้ขาก็นำหานเซิ่นและยีนซีโน่เจเนอิคกลับไปที่เกาะของเขา


 


หานเซิ่นได้รับอะไรมากมายในการเดินทางครั้งนี้ นอกจากยีนซีโน่เจเนอิคที่ขนกลับมาแล้ว เขายังได้รับวิญญาณอสูรวัวหินผาปีศาจและก้อนหินน้อยกับรูปปั้นที่อยู่ในบ่อน้ำกลับมาด้วย


 


แต่หานเซิ่นไม่รู้ว่าก้อนหินพวกนี้เป็นยีนซีโน่เจเนอิคแบบไหนกันแน่ เขาคาดเดาว่ามันเป็นระดับมาร์ควิส


 


ส่วนรูปปั้นหิน หานเซิ่นพยายามที่จะทำความสะอาดมัน แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันยังเป็นแค่รูปปั้นสีเทาธรรมดาๆ และมันก็ไม่มีตัวอักษรอะไรสลักไว้เช่นกัน มันดูเหมือนกับรูปปั้นที่ถูกทำขึ้นมาจากสมัยโบราณกาล


 


หานเซิ่นใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อตรวจสอบรูปปั้นหิน แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีความพิเศษยังไง


 


“ศิษย์น้องหาน เจ้ากลับมาแล้ว ข้าคิดถึงเจ้าจริงๆ”


หานเซิ่นเพิ่งจะกลับมาถึงที่เกาะ แต่ก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้ทำอะไร อวี้จิงก็ขี่มังกรสีเขียวเข้ามาที่เกาะ เมื่อเขาเข้ามาในบ้านแล้ว อวี้จิงก็จับมือของหานเซิ่นอย่างหลงใหล


 


“เจ้าต้องการอะไร? อย่าแตะตัวของข้า ข้าไม่ใช่เกย์” หานเซิ่นดึงมือของเขากลับและเช็ดมืดด้วยผ้า


 


หานเซิ่นคิดว่าอวี้จิงกำลังมองเขาอย่างแปลกๆ


 


“เจ้าพูดอะไรของเจ้า? ต่อให้ข้าเป็นเกย์ ข้าก็เลือกชาวนภาอยู่ดี? ข้าจะมาที่นี่เพื่อเจ้าไปทำไมกัน? และอีกอย่างข้าก็ไม่ได้เป็นเกย์” อวี้จิงคิดว่านั่นฟังดูไม่ถูก


 


หลังจากนั้นอวี้จิงก็มองไปรอบๆห้องของหานเซิ่นและพูด


“ศิษย์น้องหาน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้ยีนซีโน่เจเนอิคกลับมาจากเกาะแรร์บีสต์เป็นจำนวนมาก เจ้ามีแผนที่จะขายพวกมันไหม? ถ้าเจ้าขายพวกมันให้กับข้า ข้าจะให้ราคาที่ดีกับเจ้า”


 


หลังจากนั้นอวี้จิงก็เห็นยีนซีโน่เจเนอิคจำนวนมากกองอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง


“นี่มันหางเสือสายลมระดับมาร์ควิส และนี่มันก็คืองวงของช้างโครงกระดูก นี่เป็นยีนซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรอ?”


 


“เกือบทั้งหมด” หานเซิ่นพูด


 


“แข็งแกร่งจริงๆ การฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสในขณะที่ยังเป็นแค่เอิร์ลได้แบบนี้… มันมีน้อยคนมากๆที่จะทำอะไรแบบนี้ได้ เท่าที่ข้ารู้มีเพียงแค่เจ้ากับไผ่เดียวดายเท่านั้นที่ทำได้”


หลังจากนั้นอวี้จิงก็หันกลับมาหาหานเซิ่นและพูดต่อ “เจ้าได้ยินเรื่องที่ทางเฟเธอร์สวามิภักดิ์ต่อปราสาทนภาไหม? ตอนนี้พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ใต้การปกครองของพวกเราแล้ว และพวกเขาก็ได้ส่งขุนนางหลายคนมาทำการฝึกฝนที่นี่”


 


“นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทางเฟเธอร์สูญเสียตำแหน่งในฐานะเผ่าพันธุ์ชั้นสูงไป และตอนนี้พวกเขาก็อ่อนแอลงไปมาก ถ้าพวกเขาไม่หาพันธมิตร พวกเขาก็จะล่มสลายเอาได้ง่ายๆ” หานเซิ่นตอบ


 


อวี้จิงพยักหน้าและพูด “มันไม่ใช่อย่างนั้น ในตอนที่ราชาของพวกเขามาที่นี่ พวกเขาใจกว้างมากๆ ถึงพวกเราไม่จำเป็นจะต้องแสดงความเคารพต่อพวกเขาอีกแล้ว แต่มันก็ไม่มีใครจะปฏิเสธเงินมากมายที่พวกเขาเสนอได้ ดังนั้นพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่นี่ได้อย่างสุขสบาย”


 


หลังจากนั้นอวี้จิงก็ยิ้มและพูดกับหานเซิ่น “เจ้าคุ้นเคยกับเฟเธอร์ที่ชื่อแองเกียไหม?”


 


“ไม่หนิ” หานเซิ่นส่ายหัว ความรู้เกี่ยวกับเฟเธอร์ของเขามีจำกัด


 


“เขาเป็นลูกชายของครึ่งเทพ เขามีพรสวรรค์มากๆและเขาก็ถูกส่งตัวมาที่นี่ด้วย เขาเป็นหัวหน้าของเฟเธอร์ทั้งหมดที่เดินทางมา และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเอิร์ลเหมือนกับเจ้า ช่วงนี้เขากำลังท้าสู้กับศิษย์ระดับเอิร์ลของปราสาทนภา และเขาก็ยังไม่แพ้เลยสักครั้ง วิชาจีโนของเขาดูเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ”


 


“นั่นหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นถาม


 


“ก่อนที่เขาจะต่อสู้ เขาจะเสนอขวดน้ำพุจากโฮลี่เฮฟเว่น ถ้าใครก็ตามที่เป็นระดับเอิร์ลและเอาชนะเขาได้ในด้วยการใช้มีด เขาก็จะมอบมันให้กับคนๆนั้น”


อวี้จิงพูดต่อ “ถึงศิษย์ของปราสาทนภาจะศึกษาการใช้มีดก็จริง แต่พวกเราไม่มีใครที่เชี่ยวชาญมัน พวกเราส่วนใหญ่ใช้ดาบ เจ้าเป็นเพียงแค่คนเดียวในหมู่พวกเราที่ถนัดการใช้มีด มันเห็นได้ชัดว่าเขากำลังยั่วยุเจ้าอยู่ นี่เขากล้าดียังไงกัน?”


 


หลังจากนั้นอวี้จิงก็ยิ้มและพูดต่อ “แต่น้ำพุพวกนั้นเป็นของดีมากๆ ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ มันก็จะชำระล้างบาดแผลของเจ้าให้หายเป็นปลิดทิ้ง มันเป็นสมบัติล้ำค่าของโฮลี่เฮฟเว่น เขาเป็นคนรนหาที่เอง ดังนั้นเจ้าควรจะไปส่งสอนบทเรียนให้กับเขาและเอาน้ำพุนั้นมาเป็นของแถม ซึ่งถ้าเจ้าไม่ต้องการมันล่ะก็ ข้าจะซื้อมันต่อจากเจ้าเอง”


 


“บางทีถ้าข้ามีเวลา แต่ข้าจำเป็นต้องไปฝึกในสถานหยกขาวก่อน”


หานเซิ่นไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนั้น มันยังมีเรื่องอื่นที่เขาจำเป็นต้องทำ


 


วันต่อมา หานเซิ่นไปฝึกในสถานหยกขาว ที่นั่นเขาได้พบกับยวิ๋นซู่อีบนชั้นที่ 4 มันทำให้เขานึกถึงวิชาใต้นภาขึ้นมาได้ เขาจึงเข้าไปพูดกับเธอ


“ข้าได้ทำการศึกษาวิชาใต้นภาดูบ้างแล้ว ถ้าเจ้ามีเวลาล่ะก็ พวกเราจะศึกษามันต่อไปพร้อมๆกัน”

 

 

 


ตอนที่ 2011

 

ทักษะมีดใต้นภา

คำพูดของหานเซิ่น ทำให้ยวิ๋นซู่อีไม่สามารถทำสมาธิเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไปได้เลยในวันนั้น


 


‘นี่เขาต้องการจะเดทกับข้าอย่างนั้นหรอ? ข้าควรจะไปดีไหม? แต่เขามีภรรยาและลูกแล้ว หรือบางทีเขาอาจจะระบุถึงปัญหาของวิชาใต้นภาได้แล้ว…ไม่สิ นี่เรากำลังคิดอะไรอยู่? เขาจะค้นพบวิธีแก้ปัญหาของมันได้ยังไงกัน?’ หัวของยวิ๋นซู่อีสับสนไปหมด และความคิดของเธอก็หมุนวนเป็นวงกลม


 


หลังจากที่ลมปราณหยกปะทุครบ 2 รอบ ยวิ๋นซู่อีก็รีบออกจากสถานหยกขาว แต่เมื่อเธอกลับไปถึงบ้าน จิตใจของเธอก็ยังคงคิดถึงเรื่องที่หานเซิ่นพูด


 


“ไม่ ข้าไม่ควรจะทำแบบนี้! ข้าต้องเผชิญหน้ากับมันตรงๆ ข้าจำเป็นต้องบอกกับเขาและให้มันจบลงซะตอนนี้ ข้าจำเป็นต้องกลับไปเป็นยวิ๋นซู่อีอีกครั้ง”


เธอกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน แต่เธอก็ไม่สามารถนอนหลับได้ ในที่สุดเธอก็ลุกขึ้นมาและเปลี่ยนชุด หลังจากนั้นเธอก็ขี่เสือปีกหยกออกไป


 


ยวิ๋นซู่อีต้องการจะจบความสัมพันธ์ของเธอกับหานเซิ่น แต่เมื่อเธอคิดเกี่ยวกับการทำอย่างนั้น เธอก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา


 


ยวิ๋นซู่อีขี่เสือปีกหยกไปที่เกาะของหานเซิ่น ที่นั่นเธอเห็นเขากำลังฝึกวิชาอยู่ มันคือวิชาใต้นภา


 


เมื่อเสือของยวิ๋นซู่อีบินลงมาบนเกาะ หานเซิ่นก็ลดมีดลงและพูด


“ข้าฝึกฝนวิชาใต้นภามาสักพักหนึ่งแล้ว และข้าก็ยืนยันได้ว่าปัญหาที่เจ้าพบไม่ได้เกิดจากตัวเจ้า แต่ปัญหาของมันอยู่ที่ตัววิชา หลังจากที่ข้าได้ทำการศึกษามันดูแล้ว ข้าก็หาวิธีแก้ปัญหาของมันได้สำเร็จ เจ้าควรจะลองดูว่ามันได้ผลหรือเปล่า”


 


ขณะที่เธอเดินทางมาที่เกาะ เธอย้ำกับตัวเองว่าให้พูดกับหานเซิ่นออกไปอย่างจริงใจ แต่เมื่อเธอมาถึงที่เกาะ เธอก็ไม่สามารถบังคับให้ตัวเองพูดในสิ่งที่คิดออกไปได้


 


แต่ทว่าหลังจากที่ได้ยินคำกล่าวอ้างของหานเซิ่น เธอก็มองไปที่เขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าพบวิธีแก้จริงๆอย่างนั้นหรอ?”


 


“แทนที่จะเรียกว่าข้าแก้ปัญหาของมัน มันเหมือนกับว่าข้าใช้บางส่วนของวิชาอื่นเข้ามาแทนที่ซะมากกว่า ข้ายังไม่ได้ปรับปรุงรายละเอียดของมัน แต่มันไม่อันตรายอะไรถ้าเจ้าอยากจะลองดู” หานเซิ่นพูด


 


“เจ้าคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีไม่เชื่อว่าหานเซิ่นจะแก้ไขปัญหาของมันได้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงอยากรู้


 


อัจฉริยะหลายต่อหลายคนของปราสาทนภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาของมันได้ แต่หานเซิ่นเพิ่งจะฝึกมันได้เพียงแค่เดือนเดียว การที่เขาสามารถแก้ไขปัญหาของมันได้ในเวลาอันสั้นเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ


 


“ให้ข้าแสดงมันให้เจ้าดู” หานเซิ่นเดินออกไปยังพื้นที่โล่งและชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมา หลังจากนั้นเขาก็เริ่มใช้วิชาใต้นภาฉบับปรับปรุง


 


ยวิ๋นซู่อีดูสับสนเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ดูตกตะลึง


 


ก่อนหน้านี้เธอมีแผนที่จะใช้วิชามีดเพื่อใกล้ชิดกับหานเซิ่น ดังนั้นเธอจึงได้ศึกษามันอย่างจริงจัง อีกอย่างหนึ่งวิชาใต้นภานั้นดั้งเดิมก็ถูกคิดค้นขึ้นโดยตระกูลยวิ๋น ดังนั้นวิชาฉบับที่อยู่กับตระกูลของเธอจึงแตกต่างจากที่อยู่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์


 


ตัววิชานั้นเหมือนกัน แต่ของตระกูลยวิ๋นจะมีคำอธิบายและคำชี้แนะเขียนเอาไว้ด้วย ซึ่งพวกมันเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ ด้วยเหตุนั้นถึงแม้ยวิ๋นซู่อีจะไม่ได้ฝึกมันเป็นเวลานานแล้ว แต่คำอธิบายและคำชี้แนะที่เขียนเอาไว้ก็ช่วยให้เธอเข้าใจมันได้ง่ายขึ้น ส่วนหานเซิ่นฝึกมันด้วยตัวเองโดยไม่ได้รับคำอธิบายหรือคำชี้แนะใดๆ


 


ขณะที่ยวิ๋นซู่อีมองดูวิชาใต้นภาของหานเซิ่น เธอก็อ้าปากค้าง


 


‘ปัญหาของวิชาใต้นภาถูกแก้ไขแล้ว เขาทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?’ ยวิ๋นซู่อีอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก


 


‘นี่เขาฝึกตำราไร้อักษรอย่างนั้นหรอ? แต่นั่นไม่น่าเป็นไปได้ คนนอกจะเรียนรู้มนตร์สัจธรรมได้ยังไงกัน? ตำราไร้อักษรเป็นความลับของชาวนภา มีเพียงแค่ชาวนภาเท่านั้นที่ฝึกมันได้’ ยวิ๋นซู่อีมองดูหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน


 


“เจ้าคิดยังไง? เจ้าคิดว่าปัญหาของมันถูกแก้ไขแล้วหรือยัง?” หานเซิ่นถามขณะที่เก็บมีดกลับไป


 


ในที่สุดยวิ๋นซู่อีก็รู้สึกตัวขึ้นมา เธอมองหานเซิ่นอยู่สักพักและพูดขึ้นมา


“หานเซิ่น เจ้าพอจะบอกข้าได้ไหมว่าเจ้าทำแบบนั้นได้ยังไง?”


 


หานเซิ่นได้เตรียมคำอธิบายเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว


“ในตอนที่ข้าเดินบนถนนสู่ท้องฟ้า ความรู้สึกจากตัวอักษรของปราสาทนภาได้เข้ามาในจิตใจของข้า พวกมันมาจากตำราไร้อักษร และวิชาใต้นภาก็มาจากตำราไร้อักษรเช่นกัน ดังนั้นพวกมันมีบางอย่างที่เหมือนกันอยู่ ข้าได้ผสมมันเข้าด้วยกันในระหว่างการค้นคว้า แต่ข้าไม่แน่ใจว่ามันได้ผลหรือเปล่า เจ้าคิดว่ายังไง?”


 


ยวิ๋นซู่อีหลบสายตาของเขาและพูดออกมาเบาๆ “ข้าไม่แน่ใจ เจ้าช่วยสอนมันให้กับข้าได้ไหม? เพื่อที่ข้าจะได้เข้าใจมากขึ้น”


 


“แน่นอน” หานเซิ่นพยักหน้าและพูดต่อ “แต่วิธีของข้ามันยุ่งยากนิดหน่อย เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความรู้ตัวอักษรของปราสาทนภาเพื่อที่จะใช้วิธีนี้”


 


ยวิ๋นซู่อีดูผิดหวัง เธอส่ายหัว “ข้าเติบโตในปราสาทนภา และข้าก็เคยอ่านตัวอักษรนั่นหลายต่อหลายครั้ง แต่ข้าไม่เคยได้รับความรู้อะไรที่เจ้าพูดถึงเลย บางทีมันอาจจะเป็นเพราะข้าเคยชินกับมัน แต่ข้าไม่เคยรู้สึกอะไรในตอนที่อ่านตัวอักษรพวกนั้นเลย”


 


“ไม่ต้องกังวล ข้ายังมีอีกวิธีหนึ่ง ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ประสบกับความรู้สึกของวิชาใต้นภา” หานเซิ่นยิ้ม


 


“ทำยังไง?” ยวิ๋นซู่อีถาม


 


“ข้าจะใช้วิชาใต้นภาต่อสู้กับเจ้า แบบนั้นเจ้าจะได้รู้สึกถึงวิชามีดของข้า” หานเซิ่นพูด


 


“มันจะได้ผลอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


“ต้องลองดู และพวกเราจะได้เห็นเอง” หานเซิ่นนำมีดหยกสำหรับฝึกออกมา 2 เล่มและส่งเล่มหนึ่งให้กับยวิ๋นซู่อี


 


เขาแค่จะช่วยยวิ๋นซู่อีฝึก ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มีดเขี้ยวผีสิง


 


ยวิ๋นซู่อีฝึกฝนกับหานเซิ่นและพยายามที่จะรู้สึกถึงวิชามีดของเขา เธอไม่รู้ว่าทำผิดพลาดหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังถูกจี้ด้วยมีดที่มองไม่เห็น มันดูเหมือนกับว่าเธอไม่สามารถที่จะหนีจากมันได้


 


‘เราคิดมากเกินไป เขาแก้ไขปัญหาของวิชาใต้นภาได้แล้วจริงๆ แต่มันเพิ่งจะผ่านไปแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ทำไมเขาถึงได้ฝึกวิชาใต้นภาจนเชี่ยวชาญขนาดนี้แล้ว’ ความคิดมากมายหมุนเวียนในหัวของเธอ


 


ตลอดหลายวันต่อมา ยวิ๋นซู่อีจะมาฝึกฝนร่วมกับหานเซิ่น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างยวิ๋นซู่อีไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่หานเซิ่นสามารถแก้ไขวิชาใต้นภาได้แล้ว เธอแค่หวังว่าจะฝึกฝนกับหานเซิ่นแบบนี้ในทุกๆวัน


 


ด้วยความช่วยเหลือของหานเซิ่น ยวิ๋นซู่อีก็ฝึกวิชาใต้นภาฉบับปรับปรุงระดับเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว

 

 

 


ตอนที่ 2012

 

กายหยกพัฒนา

พวกเฟเธอร์ต้องการจะใช้หานเซิ่นเพื่อเพิ่มชื่อเสียงของพวกเขา แต่หานเซิ่นเมินเฉยต่อพวกเขาและเลือกที่จะฝึกวิชาจีโนอยู่ที่เกาะแทน


 


เนื่องจากพรสวรรค์ของหานเซิ่นค่อนข้างดี เขาจึงฝึกฝนวิชาใต้นภาได้อย่างราบรื่น แต่ในตอนที่ฝึกร่วมกับยวิ๋นซู่อี เขาก็พยายามระงับมันเอาไว้


 


ที่เขายังคงฝึกฝนร่วมกับเธอ นั่นก็เพราะเธอสามารถเป็นพยานให้กับเขาได้ ถ้าเกิดมีใครสงสัยถึงความสามารถในการเรียนรู้และการแก้ไขวิชาใต้นภา เธอก็สามารถพูดสนับสนุนเขาได้


 


ตอนนี้หลังจากที่อยู่ในปราสาทนภาเป็นเวลา 3 เดือน ในที่สุดวิชากายหยกของหานเซิ่นก็เพิ่มระดับขึ้น พลังประหลาดไหลเวียนภายในกระดูกและเนื้อหนังของเขา การเพิ่มระดับขึ้นสู่ระดับเอิร์ลหมายถึงการสร้างจิตวิญญาณขึ้นมา


 


พลังของกายหยกเป็นธาตุแสง ขณะที่พลังของมันเพิ่มขึ้น แสงหยกก็ทอดเงามาที่ตัวของเขาตลอดเวลา มันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ


 


แต่ที่แปลกที่สุดก็คือแสงที่สวยงาม มันดูเหมือนกับแฟรี่ที่เยือกเย็น และผิวของเธอก็ส่องสว่างราวกับหยก วิชากายหยกของหานเซิ่นพัฒนาไปเป็นระดับเอิร์ลได้สำเร็จ และมันทำให้หานเซิ่นแข็งแกร่งขึ้นมาก


 


คนอื่นๆที่พัฒนาสู่ระดับเอิร์ลจะได้รับพละกำลังเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ทว่าหานเซิ่นวิวัฒนาการเป็นระดับเอิร์ลถึง 3 ครั้ง นั่นหมายความว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าคนอื่นถึง 3 เท่า ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้เทียบเท่ากับมาร์ควิสคนหนึ่ง


 


หลังจากที่กายหยกวิวัฒนาการไปยังระดับเอิร์ลได้สำเร็จ หานเซิ่นก็เริ่มทุ่มทุกอย่างไปกับการฝึกวิชาโลหิตชีพจร


 


เขาเคยใช้ลมปราณหยกเพื่อฝึกโลหิตชีพจร แต่ผลของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก มันไม่ได้เข้ากับลมปราณหยกได้เป็นอย่างดีเหมือนกับวิชากายหยก


 


เมื่อยวิ๋นซู่อีพัฒนาเป็นระดับเอิร์ล เธอก็เริ่มฝึกฟีโนมีนอน มันเป็นวิชาที่ต่ำกว่าตำราไร้อักษรเพียงแค่ระดับเดียว มันเป็นวิชาที่ทรงพลัง อีกอย่างยวิ๋นซู่อีก็ตัดสินใจเลิกใช้ดาบและหันมาฝึกฝนการใช้มีดแทน ด้วยวิชาใต้นภาที่เธอฝึก การใช้ดาบไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมกับเธออีกต่อไป


 


“ดูเหมือนว่าเราควรจะหามีดดีๆสักเล่ม” ตัวของยวิ๋นซู่อีเองยังไม่แน่ใจเต็มที่ว่าเธอควรจะทอดทิ้งดาบดีหรือเปล่า เพราะเธอไม่เคยเป็นเจ้าของมีดสักเล่มมาก่อน


 


ถ้าเธอตัดสินใจจะเอาดีทางด้านการใช้มีด เธอก็ต้องหามีดสักเล่มที่เหมาะสมกับตัวเธอ


 


“ซู่อี ทำไมจู่ๆเจ้าถึงได้หันมาใช้มีด?” ยวิ๋นซู่ซางถามขณะที่ติดตามเธอไปที่คลังแสง


 


“ข้าเรียนรู้วิชามีดใหม่มา ดังนั้นข้าคิดว่าควรจะลองหันมาใช้มีดดู” ยวิ๋นซู่อีพูดขณะที่มองดูมีดในคลังแสง


 


“เจ้าจะลองฝึกวิชามีดก็ได้ แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่เจ้าทำไม่ได้?” ยวิ๋นซู่ซางดูจริงจัง


 


“นี่พี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร?” ยวิ๋นซู่อีดูตื่นตระหนกเล็กน้อย


 


ยวิ๋นซู่ซางถอนหายใจและพูด “เจ้าก็รู้ว่าพี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร เจ้ารู้ว่าหานเซิ่นไม่ใช่ตัวเลือก ดังนั้นทำไมเจ้าถึงยังไปใกล้ชิดกับเขาอีก?”


 


“นี่พี่กำลังคิดอะไร? เขามีภรรยาและลูกแล้ว! ข้าจะไปทำอะไรได้? ข้าก็แค่ฝึกวิชามีดร่วมกับเขาเท่านั้น” ยวิ๋นซู่อีอธิบาย


 


“ถ้าแค่นั้นก็ไม่เป็นไร” ยวิ๋นซู่ซางไม่อยากจะก้าวก่ายเรื่องของยวิ๋นซู่อีไปมากกว่านี้


 


ยวิ๋นซู่ซางยิ้มและพูดต่อ “ถ้าเจ้าฝึกฝนวิชามีด เจ้าคงจะต้องการเข้าร่วมงานประลองมีดบนเกาะเมฆาสินะ”


 


“งานประลองมีดอะไร? พวกเรามีงานแบบนั้นด้วยอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีถามด้วยความประหลาดใจ


 


ยวิ๋นซู่ซางพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว พวกเฟเธอร์เป็นคนจัดมันขึ้นมา พวกเขาต้องการใช้หานเซิ่นในการเพิ่มชื่อเสียงของตัวเอง แต่หานเซิ่นยังคงไม่สนใจอะไรพวกเขา”


 


“พวกเขาประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว พวกเขาคิดจริงๆหรือว่าจะต่อสู้กับหานเซิ่นได้” ยวิ๋นซู่อีพูดเย้ยหยัน


 


เมื่อยวิ๋นซู่ซางเห็นความมั่นใจในตัวหานเซิ่นของยวิ๋นซู่อี เธอก็รู้สึกกังวลขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมัน


 


หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ ยวิ๋นซู่ซางก็พูด “คนที่ต้องการจะท้าสู้กับหานเซิ่นมีชื่อว่าแองเกีย เขาไม่ใช่คนโง่ เจ้าไม่ควรประมาทเขา”


 


“เฟเธอร์กลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำไป และพวกเขาก็ถูกลดระดับลงขั้นหนึ่งด้วยเหตุนั้น แองเกียนั้นเดิมเป็นเอิร์ล แต่ถูกลดระดับลงหนึ่งขั้นเลยกลายเป็นไวเคานต์ นั่นทำให้แองเกียโกรธอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงลงไปในสระแห่งการเกิดใหม่ ร่างกายของเขากลับกลายเป็นศูนย์และตอนนี้เขาก็วิวัฒนาการกลับมาเป็นเอิร์ลได้อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้แองเกียจึงแข็งแกร่งกว่าเอิร์ลทั่วๆไป นอกจากนั้นเขายังฝึกวิชาที่ยากที่สุดของเฟเธอร์ เฮฟเว่นเฟเธอร์ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเรียนรู้มันได้ ถึงมันไม่ได้ทรงพลังจนเกินไป แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนที่แข็งแกร่ง”


 


“แองเกียคนนี้ฟังดูจะแข็งแกร่ง สระแห่งการเกิดใหม่เป็นอะไรที่อันตราย เขาถือว่าโชคดีมากๆ” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


ยวิ๋นซู่ซางพยักหน้าและพูด “เขาลบล้างวิชาทั้งหมดในสระแห่งการเกิดใหม่ แต่พรสวรรค์ของเขายังคงอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะเรียนรู้เฮฟเว่นเฟเธอร์ไม่ได้ เขาไม่ใช่คนธรรมดาๆ และเขาก็เป็นคนที่ทะเยอทะยาน เขาเป็นบุคคลที่น่ากลัวคนหนึ่ง”


 


“ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอ่อนแอกว่าหานเซิ่นอยู่ดี” ยวิ๋นซู่อีพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ยวิ๋นซู่ซางไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่มองน้องสาวด้วยบางสิ่งที่ดูคล้ายกับรอยยิ้ม


 


ยวิ๋นซู่อีหน้าแดงและพูดต่อ “นี่ข้าพูดไม่ถูกอย่างนั้นหรอ? หานเซิ่นต่อสู้กับไผ่เดียวดายได้ แองเกียคนนั้นก็ไม่เท่าไหร่ ข้าไม่คิดว่าเขาจะเอาชนะข้าได้ด้วยซ้ำ”


 


“ดังนั้นเจ้าจะเข้าร่วมงานประลองมีดในวันพรุ่งนี้สินะ?” ยวิ๋นซู่ซางยิ้ม


 


“แน่นอน! ทำไมข้าถึงจะไม่เข้าร่วม?” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


ในคลังแสงมีอาวุธอยู่หลายชนิด แต่ส่วนใหญ่มันเต็มไปด้วยดาบ ยวิ๋นซู่อีเลือกมีดน้ำแข็งระดับมาร์ควิสมา มันยังมีมีดระดับดยุกบางเล่มให้เลือก แต่ถึงจะเป็นระดับที่สูงกว่า มันก็ไม่ได้ดีไปกว่ามีดน้ำแข็งเล่มนี้


 


หลังจากที่เดินทางกลับ เธอก็ใช้มีดน้ำแข็งฝึกฝนวิชาใต้นภา ซึ่งมันได้ผลดีกว่าตอนที่เธอฝึกโดยใช้มีดหยกสำหรับฝึกซ้อมธรรมดาๆ


 


“การจะฝึกวิชามีด มันจำเป็นต้องใช้มีดที่ดีจริงๆด้วย” ยวิ๋นซู่อีสัมผัสใบมีดของมีดน้ำแข็งด้วยท่าทางร่าเริง


 


วันต่อมา ยวิ๋นซู่ซางพายวิ๋นซู่อีไปเข้าร่วมการประลองมีดบนเกาะเมฆา ระหว่างทางยวิ๋นซู่ซางก็นึกเรื่องที่เธออยากจะถามขึ้นมาได้


“เกือบลืมไปเลย นี่พวกเจ้าฝึกวิชามีดแบบไหนอยู่อย่างนั้นหรอ?”


 


“พวกเราฝึกวิชามีดใต้นภาของตระกูลยวิ๋น หานเซิ่นเลือกวิชาใต้นภาเป็นรางวัลที่ได้รับอันดับที่หนึ่ง ดังนั้นข้าจึงเรียนรู้มันจากเขา” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


ยวิ๋นซู่ซางไม่ได้พูดอะไร แต่เธอคิดกับตัวเอง ‘เขาจะทำอะไรกับวิชาใต้นภาได้? วิชานั้นมันไร้ประโยชน์และมีข้อบกพร่องอยู่’

 

 

 


ตอนที่ 2013

 

มีดขนนกโลหิต

เหล่าเฟเธอร์ที่อาศัยอยู่บนเกาะเมฆานั้นกำลังยุ่งกับการจัดเตรียมงานประลองมีด


 


“แองเกีย เจ้าคิดว่าหานเซิ่นจะมาไหม?” เฟเธอร์สาวที่ชื่ออันหลิงซินถามขึ้นมา


 


ก่อนที่แองเกียจะตอบ เฟเธอร์ที่ชื่อแอนดรูว์ก็พูดขึ้นมา


“ข้าคิดว่าเขาเกรงกลัวแองเกีย นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่ยอมปรากฏตัวออกมา ข้าเดิมพันว่าเขาจะไม่มา ในตอนที่ได้ยินถึงสิ่งที่เขาทำ ข้าก็คิดว่าเขาจะแข็งแกร่งซะอีก ข้าไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นคนที่ขี้ขลาดตาขาวขนาดนี้ และผู้คนยังจะเรียกเขาว่าเป็นปรมาจารย์แห่งมีดและดาบอีกอย่างนั้นหรอ!”


 


แองเกียจ้องไปที่แอนดรูว์และพูด “หุบปาก! เมื่อไหร่กันที่เจ้าจะเลิกทำตัวโง่เง่าและระวังคำพูดของตัวเอง ปรมาจารย์แห่งมีดและดาบนั้นรวมถึงไผ่เดียวดายด้วย มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าศิษย์ชาวนภามาได้ยินสิ่งที่เจ้าเพิ่งจะพูด?”


 


“โทษที” แอนดรูว์ขอโทษ


 


แองเกียส่ายหัว แอนดรูว์เป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นการจะเปลี่ยนเขาจึงเป็นเรื่องยาก


 


หลังจากความเงียบชั่วครู่ แองเกียก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ถึงหานเซิ่นจะไม่มาก็ไม่เป็นไร ผู้คนจะคิดว่าเขาหวาดกลัวพวกเรา ซึ่งมันยังคงเป็นผลดีต่อพวกเรา”


 


แต่อันหลิงซินรู้สึกกังวล “ตั้งแต่ที่พวกเรามาที่นี่ พวกเราได้ยินแต่เรื่องราวของหานเซิ่น ผู้คนที่นี่ต่างก็นับถือเขาและบอกว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่ง”


 


“แล้วยังไง? เขาไม่มีทางเอาชนะแองเกียได้” แอนดรูว์มั่นใจในความสามารถของแองเกียอย่างมาก


 


แองเกียพูด “อย่าได้กังวล ข้ามีประสบการณ์ของการเกิดใหม่ และข้าก็ฝึกเฮฟเว่นเฟเธอร์กับมีดพิพากษา ข้าไม่ได้อ่อนแอ และถึงแม้ข้าจะเกิดแพ้ขึ้นมา ด้วยชื่อเสียงของหานเซิ่นก็ยังนับว่าเป็นชัยชนะอยู่ดี เพียงแค่ข้าสู้กับเขา เช่นเดียวกับที่เขาต่อสู้กับไผ่เดียวดาย ถ้าเขาไม่ได้ต่อสู้กับไผ่เดียวดาย เขาก็จะไม่ได้รับชื่อเสียงอย่างที่มีอยู่ในขณะนี้ พวกเราจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้ ถ้าเขามาต่อสู้กับข้า มันจะถือเป็นเป็นชัยชนะของเรา ไม่ว่าผลจะออกมายังไง”


 


หลังจากนั้นแองเกียก็ยิ้มออกมา “ไปเตรียมทุกอย่างให้พร้อม แขกจะมาถึงในเร็วๆนี้ ไม่ว่าหานเซิ่นจะปรากฏตัวหรือไม่ พวกเราก็จำเป็นต้องทำให้งานในครั้งนี้ดูดีที่สุด”


 


ยวิ๋นซู่ซางและยวิ๋นซู่อีมาถึงที่เกาะเมฆา มันมีคนที่พวกเขาคุ้นเคยอยู่ที่นี่ด้วย อย่างเช่นกระเรียนพันขน


 


“ศิษย์พี่กระเรียน!” ยวิ๋นซู่ซางดึงยวิ๋นซู่อีไปนั่งข้างๆเขา


 


“พวกเจ้ารู้ไหมว่าตอนนี้หานเซิ่นอยู่ที่ไหน? เขาจะมาเข้าร่วมงานประลองมีดในครั้งนี้หรือเปล่า?” กระเรียนพันขนถามทั้ง 2 คน แต่เขามองไปที่ยวิ๋นซู่อี


 


ยวิ๋นซู่อีตอบ “หานเซิ่นไปที่ถ้ำเสวียนเยวี๋ยน และเขาก็ยังไม่กลับออกมา เขาคงจะไม่ได้มาเข้าร่วมงานประลองมีดนี้”


 


“มันถือเป็นเรื่องที่ดีที่เขาจะไม่มาเข้าร่วม” กระเรียนพันขนพยักหน้า


 


“ทำไม?” ยวิ๋นซู่อีไม่เข้าใจ


 


กระเรียนพันขนลดระดับเสียงลงและพูด “ด้วยชื่อเสียงของหานเซิ่น แองเกียจะเป็นฝ่ายเดียวที่ได้รับผลประโยชน์ถ้าพวกเขาต่อสู้กัน ไม่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะหรือแพ้ก็ตาม”


 


ยวิ๋นซู่อีไม่ได้โง่ เธอเข้าใจว่ากระเรียนพันขนหมายความว่ายังไง ดังนั้นเธอจึงพยักหน้า


 


ศิษย์ของปราสาทมากมายเดินทางมาเข้าร่วมงาน ระดับที่สูงที่สุดของคนที่มาคือระดับเอิร์ล ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่มาที่นี่เพื่อจะได้เห็นมีดขนนกโลหิต


 


มีดขนนกโลหิตเป็นสิ่งที่เฟเธอร์ระดับเทพเจ้าใช้ขนของตัวเองในการหลอมเป็นอาวุธ มันคือสมบัติอันล้ำค่าของเผ่าพันธุ์เฟเธอร์ ซึ่งแม้แต่คนส่วนใหญ่ของพวกเขาเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นมัน และสำหรับคนนอกแล้วโอกาสที่จะได้เห็นมันก็น้อยลงไปอีก


 


การที่แองเกียนำมีดมาที่นี่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ผู้อาวุโสหลายคนอยากจะเห็นมัน ดังนั้นพวกเขาจึงส่งลูกศิษย์มาเป็นตัวแทน


 


แองเกียเริ่มด้วยการพูดเปิดงานประลอง เฟเธอร์เป็นเผ่าพันธุ์ที่สง่างาม และแองเกียก็เป็นนักพูดที่เก่ง บรรยากาศจึงเป็นไปอย่างรื่นรมย์


 


แองเกียไม่เสียเวลาพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรมากนัก เขานำเสนอมีดเฟเธอร์ตั้งแต่เริ่ม


 


ทุกคนจับจ้องไปที่กล่องสี่เหลี่ยมบนเวที


 


แองเกียพูดขึ้นมา “มีดขนนกโลหิตนั้นอยู่มาตั้งแต่หลายพันศตวรรษก่อน พวกเรายังหาฝักที่คู่ควรกับมันไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงเก็บมันเอาไว้ในกล่องใบนี้ ข้าต้องอภัยในเรื่องนี้”


 


หลังจากนั้นแองเกียก็เปิดกล่องอย่างนุ่นนวล ยวิ๋นซู่อีและคนอื่นๆจับจ้องไปที่กล่องใบนั้น ภายในมันมีอาวุธรูปร่างเหมือนขนนกสีขาวยาว 3 ฟุตอยู่


 


มันมีรอยเลือดอยู่บนใบมีดขนนก มันตัดกันกับสีขาวของตัวมีด


 


แองเกียเริ่มอธิบาย “นี่คือมีดที่ผู้ก่อตั้งของพวกเราสร้างขึ้นมาโดยใช้ขนนกระดับเทพเจ้าของเขา ผู้ก่อตั้งของพวกเราใช้มีดซึ่งยังไม่สมบูรณ์สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่ง ซีโน่เจเนอิคระดับเพทเจ้าตัวนั้นหนีไปได้ แต่มีดขนนกก็ได้ดื่มเลือดของมัน นั่นคือที่มาของรอยเลือดนี้ ซึ่งทำให้ผู้ก่อตั้งของพวกเราตั้งชื่อมันว่ามีดขนนกโลหิต”


 


ความตื่นเต้นของผู้ชมเริ่มพุ่งสูงขึ้น พวกเขาอยากจะสัมผัสกับมีดขนนกโลหิตเล่มนั้นเพื่อที่จะตัดสินด้วยตัวเองว่ามีดเล่มนั้นเป็นของแท้หรือของปลอม


 


แองเกียรู้ว่าผู้ชมต้องการจะเห็นมัน ดังนั้นเขาจึงหยิบมันออกมาจากกล่องและส่งให้กับศิษย์ของปราสาทนภาที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะได้ส่งต่อๆกันไป


 


กระเรียนพันขน ยวิ๋นซู่ซางและยวิ๋นซู่อีต่างก็ได้สังเกตมีดขนนกโลหิต ซึ่งพวกเขาก็มีความเห็นตรงกันว่ามันเป็นมีดที่ดี


 


แต่มันมีข่าวลือบอกว่ามีดเล่มนี้เป็นอาวุธระดับเทพเจ้า ถึงแม้มันดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น


 


ผู้ชมแต่ละคนต่างก็เอยชื่นชมมัน และเมื่อมันถูกส่งกลับคืนให้กับแองเกีย ผู้ชมคนหนึ่งก็ถามขึ้นมา “ถ้านี่เป็นอาวุธระดับเทพเจ้า ทำไมมันถึงไม่แสดงพลังอะไรออกมา?”


 


แองเกียยิ้มและพูด “ท่านผู้นี้มีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่งนัก ทุกคนในที่นี้คงจะคิดว่าอาวุธที่ทำมาจากขนนกของเฟเธอร์ระดับเทพเจ้าก็ควรจะเป็นระดับเทพเจ้าเช่นกัน ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งจะเล่าประวัติของมันให้ทุกคนได้ทราบกัน ในตอนที่มีดเล่มนี้ถูกฟันใส่ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า พลังของเลือดซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าตัวนั้นที่กระเด็นมาถูกกับมีดเล่มนี้ไม่อาจจะเข้ากันได้ มันจึงทำให้มีดเล่มนี้กลายเป็นอาวุธระดับราชันแทน”


 


“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ผู้ชมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่น่าเสียดาย


 


อาวุธระดับราชันเป็นอะไรที่ทรงพลัง แต่พวกมันไม่สามารถเทียบกับอาวุธระดับเทพเจ้าได้


 


“ที่พวกเราจัดงานนี้ขึ้นมาก็เพื่อที่จะหาเจ้านายที่คู่ควรกับมีดเล่มนี้ ใครก็ตามที่เอาชนะข้าได้ในการประลองมีด คนๆนั้นก็จะได้เป็นเจ้านายของมัน” หลังจากที่แองเกียพูดอย่างนั้น ผู้ชมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

 

 

 


ตอนที่ 2014

 

แผนของแองเกีย

แองเกียและพวกพ้องของเขามาที่ปราสาท นั่นเพราะมันเป็นสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องทำ และอนาคตของเผ่าพันธุ์เฟเธอร์ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา


 


พวกเขาต้องการจะผูกมิตรกับคนของปราสาทนภา และในตอนที่พวกเขาถูกส่งมานั้น พวกเขาก็ได้นำสมบัติติดมาด้วยเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีดขนนกโลหิตก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


แต่มันไม่ใช่ว่าพวกเขาจะแจกจ่ายให้กับชาวนภาคนไหนก็ได้ และพวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าพวกผู้อาวุโสของประสาทนภาจะมีปฏิกิริยายังไง เมื่อพวกเขาทำการแจกจ่ายสมบัติพวกนี้ ถ้าสมบัติล้ำค่าถูกเอาไปเฉยๆ มันก็จะไม่ได้ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ของพวกเขาเท่าไหร่นัก


 


ที่แองเกียพูดข้อเสนอแบบนั้นออกไป นั้นเป็นเพราะว่าหานเซิ่นไม่ได้เข้ามาร่วมงานในครั้งนี้ เมื่อเขานำมีดขนนกโลหิตออกมาแสดงแล้ว เขาก็ไม่มีแผนที่จะเก็บมันกลับไป


 


จากแขกทุกคนที่มาเข้าร่วมงานในครั้งนี้ หนึ่งในพวกเขาเป็นบุตรชายของผู้อาวุโสสาม เขาคือเอิร์ลที่มีชื่อว่าวินด์ไนน์ทีน ผู้อาวุโสสามนั้นใช้มีด ดังนั้นลูกชายของเขาจึงใช้มีดเช่นเดียวกัน


 


ผู้อาวุโสสามเป็นคนที่รับผิดชอบเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับทางเฟเธอร์ ดังนั้นทางเฟเธอร์จึงมีแผนที่จะมอบมีดขนนกโลหิตให้กับเขา


 


แต่ถ้าพวกเขานำมันไปให้กับผู้อาวุโสสามเฉยๆ มันก็อาจจะไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรมากนัก เขาเป็นถึงผู้อาวุโสของปราสาทนภา ดังนั้นเขาก็คงจะไม่ได้ขาดแคลนอาวุธระดับราชัน แต่ถ้าวินด์ไนน์ทีนสามารถชนะการประลองและได้รับมีดขนนกโลหิตเป็นรางวัล มันก็จะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย การได้รับมีดไปในฐานะรางวัลชนะเลิศยังไงก็เป็นอะไรที่น่าจดจำมากกว่า


 


แองเกียไม่สามารถให้มีดกับวินด์ไนน์ทีนตรงๆได้ แต่ถ้าวินด์ไนน์ทีนเชื่อว่าเขาได้รับมีดเป็นรางวัลด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง ทางเฟเธอร์ก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร มันจึงใช้เวลาสักพักก่อนที่ทางเฟเธอร์จะคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้


 


แองเกียต้องชนะในรอบอื่นๆก่อนแล้วค่อยไปแพ้ให้กับวินด์ไนน์ทีน แบบนั้นวินด์ไนน์ทีนก็จะรู้ว่าเขาได้รับของขวัญที่เตรียมมาเพื่อเขาจริงๆ


 


“แองเกีย นี่เจ้าพูดจริงๆใช่ไหม?” ชายหัววัวที่ดูแข็งแกร่งถามขึ้นมาด้วยสายตาที่เบิกกว้าง


 


แองเกียยิ้มและพูด “แน่นอน ถ้าใครก็ตามในที่นี่เอาชนะข้าได้ มีดขนนกโลหิตเล่มนี้ก็จะตกเป็นของคนๆนั้น นั่นรวมถึงศิษย์พี่คาวด้วย”


 


“ดี! ถ้าอย่างนั้นพวกเรายังจะรออะไรกันอีก? ข้าคือคนที่เก่งกาจที่สุดในเรื่องการใช้มีด พวกเรามาประลองวิชามีดกันเป็นยังไง?” ชายหัววัวพูดพร้อมกับยืนขึ้น


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญศิษย์พี่คาวขึ้นมาบนเวที” แองเกียยิ้มและชี้มือไปที่สนามประลอง


 


ชายวัวหัวนั้นแข็งแกร่ง และเขาก็เป็นหนึ่งในคนนอกที่ถูกส่งมาฝึกฝนภายในปราสาทนภา เขาเชี่ยวชาญด้านการใช้มีดและค่อนข้างเป็นที่รู้จักดีในหมู่ศิษย์ของปราสาทนภา


 


ชื่อของเขาคือสตรองคาว เขาเป็นหนึ่งในคนที่แองเกียจ้างมา แบบนั้นก่อนที่เขาจะต่อสู้กับวินด์ไนน์ทีน เขาก็จะสามารถแสดงถึงพลังของตัวเองก่อนได้


 


แองเกียไม่รังเกลียดอะไรที่จะพ่ายแพ้และมอบมีดขนนกโลหิตเป็นของรางวัล แต่เขาต้องการทำให้เฟเธอร์มีชื่อเสียงไปพร้อมๆกัน


 


ทุกคนมองแองเกียและสตรองคาวเดินขึ้นไปบนสนามประลอง


 


สตรองคาวนั้นสูงถึง 3 เมตร และเขาก็ถือมีดขนาดใหญ่ยักษ์ ซึ่งมันสูงยิ่งกว่าตัวของเขาซะอีก มันดูน่ากลัวอย่างมาก


 


“ข้าจะเริ่มแล้วนะ” สตรองคาวพูดอย่างเรียบง่ายและฟันเข้าใส่แองเกีย


 


มีดยักษ์เล่มนั้นมีพลังของธาตุสายฟ้า มีดแสงกลายเป็นสายฟ้ารูปร่างวัวพุ่งออกไปหาแองเกีย


 


วัวสายฟ้าคำรามออกมาขณะที่พุ่งเข้าหาแองเกีย และนั่นก็เป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสตรองคาว มันทรงพลังอย่างมาก ซึ่งยอดฝีมือในระดับเดียวกันจะไม่กล้าป้องกันการโจมตีแบบนี้


 


ตอนนี้ทุกคงจับจ้องไปที่แองเกียและสงสัยว่าเขาจะตอบสนองยังไง


 


ปีกสีขาวของแองเกียยังคงหุบอยู่บนหลังของเขา มันเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีแผนที่จะหลบหลีก เขากำลังถือมีดหยกระดับเอิร์ลธรรมดาๆอยู่ในมือ มันถูกสร้างขึ้นมาจากวิญญาณหยกเสวียน ดังนั้นมันไม่ได้มีอะไรพิเศษ


 


แองเกียยิ้มออกมา เขาฟันมีดหยกใส่วัวสายฟ้าของสตรองคาว มีดหยกของเขาเรืองแสงสีทองออกมา มันเหมือนกับแสงจากสรวงสวรรค์


 


วัวสายฟ้าถูกตัดขาดเป็น 2 ส่วนด้วยแสงสีทองของแองเกีย และแสงสีทองไม่ได้หยุดแค่นั้น มันพุ่งต่อไปและตัดมีดยักษ์ของสตรองคาวจนหักครึ่ง แสงทองพุ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าของสตรองคาวก่อนที่มันจะสลายไป


 


ทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น พวกเขาสามารถบอกได้ทันทีว่าแองเกียออมมือให้กับสตรองคาว และถ้าเขาต้องการละก็ แสงสีทองก็สามารถพุ่งผ่านใบหน้าของสตรองคาวไป


 


สตรองคาวไม่ถือว่าเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์สูงที่สุด แต่เขาก็เป็นหนึ่งในเอิร์ลที่แข็งแกร่งที่สุดของปราสาทนภา วัวสายฟ้าคำรามออกมา แต่มีดแสงของแองเกียเพิ่งจะตัดผ่านมันได้อย่างง่ายดาย มันเห็นได้ชัดว่าแองเกียเป็นเอิร์ลระดับสูงสุด


 


“วิชามีดพิพากษาของเฟเธอร์เป็นวิชาจีโนที่ทรงพลังอย่างมาก มันถูกกล่าวขานว่าตัดผ่านได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าเพิ่งจะได้เห็นกับตาตัวเองก็วันนี้เนี่ยแหละ” กระเรียนพันขนอธิบายสิ่งที่พวกเขาพึ่งจะได้เห็นกับยวิ๋นซู่ซาง


 


“ศิษย์พี่กระเรียนคิดว่าจะเอาชนะเขาได้ไหม?” ยวิ๋นซู่ซางขมวดคิ้ว


 


“ข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่ถนัดในการใช้มีด และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาประลองกัน ดังนั้นมันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ที่ข้าจะเข้าร่วมด้วย” กระเรียนพันขนส่ายหัวของเขา


 


เมื่อเห็นสตรองคาวพ่ายแพ้ ผู้ชมคนอื่นๆก็ดูลังเลขึ้นมา แองเกียเคยประลองมาหลายครั้งแล้วก่อนที่จะถึงวันนี้ แต่เขาไม่เคยแสดงความแข็งแกร่งระดับนี้ออกมาก่อนเลย


 


ศิษย์ที่ถนัดในวิชามีดต้องการจะลองดู ถึงพวกเขาจะไม่ได้พ่ายแพ้อย่างราบคาบเหมือนกับสตรองคาว แต่ทุกคนก็ถูกไล่ต้อนโดยแองเกีย


 


การประลองในหลายๆรอบต่อมาไม่มีใครสามารถเอาชนะแองเกียได้ และผู้คนก็เริ่มที่จะมองเขาต่างไปจากเดิม


 


มันมีผู้คนไม่มากในปราสาทนภาที่ใช้มีดหรือฝึกฝนวิชามีด นักสู้ที่ขึ้นไปสู้กับแองเกียจึงไม่ใช่เอิร์ลที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นความจริงที่เขาเอาชนะได้อย่างต่อเนื่องก็มากพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของเขา


 


ไม่มีใครกล้าท้าเขาต่อสู้อีก และนั่นก็รวมถึงวินด์ไนน์ทีนด้วย เมื่อแองเกียรู้ว่าวินด์ไนน์ทีนไม่คิดว่าจะเข้ามาต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงเดินลงจากสนามประลองและพูด


“ปราสาทนภาเป็นบ้านของเผ่าพันธุ์ชั้นสูงตั้งแต่สมัยโบราณกาล ยีนและวิชาจีโนของที่นี่เหนือกว่าของเฟเธอร์มากนัก ข้ามาที่นี่ด้วยความหวังที่จะได้เรียนรู้ และวันนี้ข้าก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ข้าดีใจอย่างมาก”


 


“ข้าได้ยินมาว่าหานเซิ่นและวินด์ไนน์ทีนคือเอิร์ลที่เก่งกาจที่สุดเมื่อพูดถึงวิชามีด แต่ดูเหมือนว่าศิษย์พี่หานจะยุ่งอยู่ หรือเลือกที่จะหลีกเลี่ยงข้า นั่นเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังยิ่งนัก โชคดีที่ศิษย์พี่วินด์อยู่ที่นี่ ศิษย์พี่วินย์จะช่วยชี้แนะให้กับข้าหน่อยได้ไหม?”


แองเกียพูดอย่างดูมีมารยาท แต่ทุกคนรู้ว่าเขาแค่จะเย้ยหยันหานเซิ่น เขาพยายามจะบอกว่าหานเซิ่นหวาดกลัวที่จะต่อสู้กับเขา


 


แองเกียไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ยวิ๋นซู่อีคิดว่านี่จะทำลายภาพลักษณ์ของหานเซิ่น ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกโกรธขึ้นมาเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น


 


“หานเซิ่นไม่ได้มา แต่ข้าเรียนรู้วิชามีดมาจากเขา! ดังนั้นข้าจะเป็นคนต่อสู้กับเจ้าเอง” ยวิ๋นซู่อีที่สวมชุดสีขาวเดินตรงลงไปที่สนามประลอง


 

 

 


ตอนที่ 2015

 

ใต้นภาแนวใหม่

กระเรียนพันขนและยวิ๋นซู่ซางรู้สึกตกตะลึง แต่มันสายเกินไปที่พวกเขาจะหยุดเธอเอาไว้


 


แองเกียเป็นเอิร์ลระดับสูงสุดที่แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่คิดว่าจะเอาชนะได้ ส่วนยวิ๋นซู่อีเพิ่งจะวิวัฒนาการมาเป็นเอิร์ลได้ไม่นาน ดังนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเป็นฝ่ายชนะ


 


โชคดีที่ที่นี่คือปราสาทนภา ดังนั้นถึงเธอจะพ่ายแพ้ ชีวิตของเธอก็จะไม่ตกอยู่ในอันตรายอะไร


 


ยวิ๋นซู่ซางรู้สึกแย่ เธอรู้ว่ายวิ๋นซู่อีไม่สามารถทนฟังแองเกียพูดเหยียดหยามหานเซิ่นได้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เธอก้าวออกไป


 


แองเกียมองไปยังหญิงสาวที่เดินเข้ามา เขาดูประหลาดใจ เขายิ้มออกมาและพูด “ศิษย์พี่ยวิ๋นเพิ่งจะวิวัฒนาการมาเป็นเอิร์ลได้ไม่นาน และถ้าข้าจำไม่ผิด ตระกูลยวิ๋นนั้นเชี่ยวชาญเรื่องการใช้ดาบ ข้าจะรู้สึกแย่ถ้าข้าต้องเอาชนะศิษย์พี่ยวิ๋น”


 


“วิชาดาบของตระกูลยวิ๋นนั้นยอดเยี่ยม ดังนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจอะไร ถ้าข้าใช้ดาบเพื่อเอาชนะเจ้า แต่ทว่าข้าได้เรียนรู้วิชามีดวิชาหนึ่งมาจากหานเซิ่น ข้าเดิมพันว่ามันมากพอที่จะจัดการกับเจ้าแล้ว” ยวิ๋นซู่อีพูดพร้อมกับดึงมีดน้ำแข็งของเธอออกมา


 


แองเกียขมวดคิ้ว เขารู้ว่ายวิ๋นซู่อีเป็นลูกสาวของยวิ๋นฉางคง และมันจะเป็นเรื่องแย่ ถ้าเกิดเขาไปละเมิดเธอเข้า แต่ทางเฟเธอร์เตรียมมีดขนนกโลหิตเพื่อผู้อาวุโสสาม ดังนั้นเขาไม่สามารถมอบมันให้กับยวิ๋นซู่อีได้ อีกอย่างยวิ๋นซู่อีก็เพิ่งจะวิวัฒนาการเป็นเอิร์ล ดังนั้นถ้าเขาแพ้ให้กับเธอ มันก็จะทำลายเชื่อเสียงของเขา


 


แองเกียพยายามคิดหาทางออก แต่ยวิ๋นซู่อีชักมีดของเธอออกมาแล้ว ดังนั้นแองเกียจึงต้องคิดแผนการใหม่ขึ้นมาซะเดี๋ยวนั้น


 


“ถ้านี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่ยวิ๋นต้องการ ข้าก็จะตอบรับความต้องการของศิษย์พี่ เชิญชี้แนะด้วย” แองเกียชักมีดหยกออกมาพร้อมกับยิ้มให้กับเธอ


 


แองเกียมีแผนที่จะป้องกันการโจมตีไปเรื่อยๆ และทำให้เธอรู้สึกถึงความต่างชั้นกัน แต่ถ้าเธอยังปฏิเสธที่จะเลิกรา เขาก็จะขอยอมแพ้ แบบนั้นผู้คนก็จะคิดว่าเขาเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ต้องการทำลายผู้หญิง


 


ยวิ๋นซู่อีโค้งคำนับ หลังจากนั้นเธอก็ฟันออกไปด้วยมีดน้ำแข็ง ซึ่งวิชาที่เธอใช้ก็คือวิชาใต้นภา


 


ยวิ๋นซู่อีไม่สามารถทนเห็นแองเกียเย้ยหยันหานเซิ่นได้ แต่เธอรู้ดีว่าตัวเธอเองยังไม่ได้ฝึกวิชาใต้นภาจนเชี่ยวชาญ


 


เพราะยังไงซะนอกจากหานเซิ่นแล้ว มันก็ไม่มีใครที่ใช้วิชาใต้นภาในการต่อสู้ ดังนั้นประสบการณ์ทั้งหมดของเธอจึงมาจากหานเซิ่นเพียงคนเดียว หานเซิ่นบอกกับเธอว่าเธอฝึกมันจนสำเร็จแล้ว และทั้งหมดที่เธอต้องทำก็คือหมั่นฝึกฝนเป็นประจำ เธอจึงยังไม่รู้ว่าจะสามารถใช้มันได้ดีแค่ไหนถ้าเกิดต้องใช้มันในการต่อสู้จริงๆ


 


เมื่อยวิ๋นซู่อีจู่โจม สีหน้าของแองเกียก็เปลี่ยนไป แผนการที่เขาคิดขึ้นมาหายไปราวกับควัน เมื่อเขาเห็นหญิงสาวที่ดูเหมือนกับหมาป่ากระหายเลือด เขาดูตรึงเครียดขึ้นมาในทันที


 


มันเป็นเพียงแค่การฟันเพียงครั้งเดียว แต่แองเกียก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอันตรายในทันที


 


แองเกียเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง เขาเริ่มใช้มีดพิพากษาเพื่อตอบโต้ ซึ่งเขาดูจริงจังต่างจากตอนที่ต่อสู้กับสตรองคาว


 


หลังจากการฟันออกไปในครั้งแรก ยวิ๋นซู่อีก็ยังคงเคลื่อนไหวต่อ ก่อนที่มีดแสงจะไปถึงตัวศัตรู เธอก็ฟันออกไปอีก 2 ครั้ง


 


แองเกียใช้วิชามีดของเขาเพื่อตอบโต้พร้อมกับถอยหลังออกไป


 


กระเรียนพันขนและยวิ๋นซู่ซางตกตะลึง พวกเขาเคยเห็นวิชาใต้นภามาก่อน เพราะมันเป็นวิชาที่ตระกูลยวิ๋นคิดค้นขึ้นมา แต่พวกเขารู้ว่ามันมีข้อบกพร่องร้ายแรงอยู่ และถ้าคู่ต่อสู้อ่านข้อบกพร่องของวิชานี้ออก มันก็จะนำไปสู่ช่องโหว่และความตายของผู้ใช้


 


แต่วิชาใต้นภาของยวิ๋นซู่อีดูเหมือนจะแตกต่างออกไป ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเปลี่ยนไปยังไง แต่มันเห็นได้ชัดว่าข้อบกพร่องร้ายแรงของวิชาได้หายไปแล้วภายใต้การใช้ของยวิ๋นซู่อี


 


“วิชาใต้นภามันทรงพลังขนาดไหนกัน?”


 


ในตอนแรกยวิ๋นซู่อีรู้สึกกังวล และการเคลื่อนไหวของเธอก็ไม่เป็นธรรมชาติ แต่ไม่นานเธอก็สังเกตเห็นว่าหลังจากที่ใช้วิชาออกไป แองเกียก็เคลื่อนไหวตามการชักจูงของเธอ มันเหมือนกับตอนที่เธอฝึกฝน และตอนนี้เธอก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมา


 


ยวิ๋นซู่อีจำได้ว่าหานเซิ่นเคยพูดกับเธอว่านอกจากคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งกว่าเธอมากแล้ว ตราบใดที่เธอเป็นฝ่ายได้โจมตีก่อน มันก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะเธอได้ การฟันในครั้งแรกไม่ใช่การฟันออกไปสุ่มๆ มันตรงไปที่จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ และนั่นก็คือการเริ่มต้นของวิชาใต้นภา


 


หลังจากที่คู่ต่อสู้ป้องกันการฟันในครั้งแรก การฟันครั้งต่อไปของวิชาใต้นภาก็จะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นเหมือนกับการล็อคเป้าไปยังคู่ต่อสู้ที่ถูกกักขังอยู่


 


นอกซะจากคู่ต่อสู้จะมองเห็นโชคชะตา ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางหนีออกไปจากการชักนำของวิชาใต้นภาได้ พวกเขาจะกลายเป็นเหมือนกับหุ่นเชิดที่เคลื่อนไหวไปตามกระแสของวิชาใต้นภา จนกระทั่งพวกเขาจนมุมในที่สุด


 


ยวิ๋นซู่อียังไม่เคยใช้มันต่อสู้กับใครคนอื่นนอกจากหานเซิ่น และเธอก็รู้ดีว่าจิตแห่งมีดของหานเซิ่นอยู่ห่างจากระดับเทพเจ้าออกไปเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น


 


ความกดดันในตอนที่เธอต่อสู้กับหานเซิ่นนั้นมันคนละเรื่องกับตอนที่ต่อสู้กับแองเกีย เธอเคยชินกับความแข็งแกร่งของหานเซิ่น ซึ่งมันทำให้การรับมือกับแองเกียเป็นอะไรที่ง่ายเมื่อเทียบกันแล้ว


 


กระเรียนพันคนและผู้ชมคนอื่นๆมองดูยวิ๋นซู่อีอย่างตกตะลึง ขณะที่เธอกวัดแกว่งมีดน้ำแข็งของเธอ สีหน้าของเธอไร้ซึ่งความกังวล ซึ่งต่างจากแองเกียที่ตอนนี้ดูย่ำแย่อย่างมาก หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลลงมา ขณะที่เขาพยายามหลบหลีกการโจมตีของเธอที่โหมกระหน่ำเข้ามา


 


ตอนนี้แองเกียเป็นเหมือนกับหุ่นเชิด เขาไม่ได้ใช้วิชามีดอะไรออกมาอีกแล้ว ทุกครั้งที่เขาพยายามจะใช้มัน ยวิ๋นซู่อีก็จะขัดขวางเขาเอาไว้ด้วยการโจมตีที่ตรงเข้าไปยังจุดอ่อนของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ


 


แองเกียเตรียมใจที่จะใช้วิชาเพื่อทำให้พวกเขาทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากนั้นเขาก็สังเกตว่าไม่สามารถทำได้ ยวิ๋นซู่อีจะฟันเข้ามาก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้ใช้อะไรเพื่อตอบโต้ เขาเริ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกชักนำด้วยใยที่มองไม่เห็น และมันก็กำลังรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเริ่มอยากที่จะกระอักเลือดออกมา


 


ถ้าแองเกียเป็นคนอย่างไผ่เดียวดายที่สามารถลดมีดลงต่อหน้าโชคชะตาได้ แองเกียก็อาจจะหนีจากวิชาใต้นภาได้ แต่เขาไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น


 


ผู้ชมทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่ายวิ๋นซู่อีจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ แม้แต่กระเรียนพันขนกับยวิ๋นซู่ซางก็ยังไม่อยากจะเชื่อ


 


“นั่นเป็นไปได้ยังไงกัน? วิชาใต้นภาของนางไม่มีข้อบกพร่อง!” กระเรียนพันขนพึมพำกับตัวเอง


 


มันเป็นอะไรที่น่าตกใจ เมื่อได้เห็นวิชาใต้นภาฉบับปรับปรุงถูกใช้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่เป็นสิ่งที่จะทำให้แม้แต่ผู้อาวุโสหรือผู้นำของปราสาทนภาต่างก็ตกตะลึง

 

 

 


ตอนที่ 2016

 

ได้รับมีดขนนกโลหิต

“หานเซิ่น!” จู่ๆยวิ๋นซู่ซางก็พูดขึ้นมา


 


“หานเซิ่น? เจ้าหมายความว่ายังไง? เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับหานเซิ่นอย่างนั้นหรอ?” กระเรียนพันขนหันไปมองยวิ๋นซู่ซางด้วยความสับสน


 


“ศิษย์พี่ลืมไปแล้วอย่างนั้นหรอ? หานเซิ่นได้อันดับที่หนึ่งในการสอบ และเขาก็เลือกรับวิชาใต้นภามาเป็นรางวัล” ยวิ๋นซู่ซางดูแปลกๆขณะที่พูดออกมา


 


“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาเลือกอะไร? เขาเป็นคนที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง และข้าก็ไม่ได้ถามอะไรเขา?”


กระเรียนพันขนมองไปที่ยวิ๋นซู่ซางและถาม “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขาเลือกวิชาใต้นภา?”


 


ยวิ๋นซู่ซางยิ้มแห้งๆออกมาและเล่าถึงสถานการณ์ระหว่างหานเซิ่นกับยวิ๋นซู่อีให้เขาฟัง


 


เมื่อเธอเล่าเรื่องจนจบ ดวงตาของกระเรียนพันขนก็เบิกกว้าง


“นี่เจ้าจะบอกว่าหานเซิ่นเลือกวิชาใต้นภาเพื่อยวิ๋นซู่อีอย่างนั้นหรอ? และเขาก็ยังแก้ไขข้อบกพร่องของมันได้ด้วยเวลาอันสั้นอีก? ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสอนวิชาใต้นภาฉบับปรับปรุงให้กับนาง? เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้จริงๆอย่างนั้นหรอ?”


 


“ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อดูจากสิ่งที่นางกำลังทำอยู่ในตอนนี้ มันก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าวิชาใต้นภาของนางไม่มีข้อบกพร่องอะไร” ยวิ๋นซู่ซางพูด


 


“ถ้านี่เป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าหานเซิ่นทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อปราสาทนภาอย่างมาก เขาแก้ปัญหาที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล เขาเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย และเขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตข้างหน้า” กระเรียนพันขนชื่นชมเขา


 


“ตอนนี้มันยังยากที่จะบอกได้ จำเอาไว้ว่าคู่ต่อสู้ของยวิ๋นซู่อียังเป็นแค่แองเกีย ถ้านางต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้ พวกเราอาจจะได้เห็นปัญหาบางอย่างในวิชาฉบับปรับปรุงของหานเซิ่น”


ยวิ๋นซู่ซางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “เมื่องานนี้จบลงแล้ว พวกเราจะต้องพายวิ๋นซู่อีกลับไปหาท่านพ่อ”


 


ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน แองเกียก็กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก


 


แองเกียนั้นแข็งแกร่งกว่ายวิ๋นซู่อีมาก ถ้ายวิ๋นซู่อีแข็งแกร่งเท่ากับมนุษย์ธรรมดาทั่วๆไป แองเกียก็เป็นเหมือนกับฉลามตัวใหญ่ เขาสามารถฆ่ายวิ๋นซู่อีได้อย่างง่ายดาย


 


แต่ในตอนนี้แองเกียเป็นเหมือนกับฉลามที่มาติดเบ็ด ยวิ๋นซู่อีจะหย่อนสายเบ็ดเมื่อไหร่ก็ตามที่อีกฝ่ายพยายามดิ้นรน ด้วยเหตุนั้นแองเกียจึงไม่สามารถใช้พละกำลังหนีไปได้


 


แต่ทว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่แองเกียผ่อนแรง เขาก็จะถูกดึงกลับมา ตะขอนั้นฝังลึกเข้าไปในตัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาไม่สามารถหลุดพ้นจากการรัดกุมของวิชาใต้นภาได้


 


“ข้าพ่ายแพ้แล้ว ศิษย์พี่ยวิ๋นแข็งแกร่งมากจริงๆ นี่คงจะต้องเป็นเทคนิคของตระกูลยวิ๋นที่มีชื่อว่าวิชาใต้นภา มันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์และมันจะต้องเป็นหนึ่งในวิชามีดที่ดีสุดอย่างไม่ต้องสงสัย”


แองเกียนั้นชาญฉลาด เขารู้ว่าตัวเองกำลังจะจนมุม ดังนั้นถึงจะดิ้นรนต่อไปมันก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถหนีพ้นจากวิชาใต้นภาได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเลือกที่จะยอมแพ้และรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเอาไว้


 


เขาพูดออกไปว่าวิชาใต้นภามาจากตระกูลยวิ๋นและเขาก็ยอมรับว่าเขาพ่ายแพ้ต่อมัน แต่เขาไม่ได้พูดถึงความจริงที่ว่าเธอเรียนรู้มันมาจากหานเซิ่นเลยสักนิดเดียว


 


ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่เคยได้เห็นวิชาใต้นภามาก่อน และพวกเขาก็เพิ่งจะได้รู้ว่ามันคืออะไรหลังจากที่แองเกียพูดขึ้นมา


 


ยวิ๋นซู่อีเก็บมีดน้ำแข็งกลับเข้าฝักและพูด “วิชาใต้นภาเป็นวิชาที่มีข้อบกพร่องร้ายแรงตั้งแต่สมัยอดีต ซึ่งทำให้มันใช้งานในการต่อสู้จริงไม่ได้ แต่วิชาใต้นภาที่ข้าใช้นั้นเป็นวิชาใต้นภาที่ถูกหานเซิ่นปรับปรุงขึ้นมา ข้าเรียนรู้มันได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก และถ้าให้ข้าประมาณ ข้าก็ฝึกมันได้ราวๆ 10 เปอร์เซ็นต์ของหานเซิ่นเท่านั้น”


 


หลังจากที่ได้ยินอย่างนั้น ศิษย์ของปราสาทนภาทั้งหมดก็รู้สึกตกใจ อัจฉริยะมากมายของปราสาทนภาเคยพยายามที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของวิชาใต้นภา แต่ก็ไม่มีใครแก้ไขข้อบกพร่องสุดท้ายของมันได้ มันยากที่จะเชื่อว่าหานเซิ่นสามารถแก้ไขมันได้สำเร็จ


 


สีหน้าของแองเกียเปลี่ยนไปเป็นสีเขียว ตอนนี้แม้แต่คนที่ชาญฉลาดอย่างเขาก็คิดอะไรไม่ออก


 


“ตอนนี้ข้าเอามีดขนนกโลหิตไปได้แล้วสินะ?” ยวิ๋นซู่อีพูดขณะที่มองไปที่แองเกีย


 


ยวิ๋นซู่อีโกรธที่แองเกียเย้ยหยันหานเซิ่น ดังนั้นเธอไม่คิดที่จะมีมารยาทอะไรกับเขา


 


“แน่นอนอยู่แล้ว วิชามีดของศิษย์พี่ยวิ๋นแข็งแกร่ง ดังนั้นมีดเล่มนี้ก็ควรที่จะตกเป็นของศิษย์พี่ยวิ๋น” แองเกียฝืนยิ้มออกมาและส่งกล่องให้กับยวิ๋นซู่อี


 


“ขอบคุณ” ยวิ๋นซู่อีรับกล่องมาและเดินลงจากสนามประลองไป


 


ยวิ๋นซู่ซางและกระเรียนพันขนรีบเข้าไปหาเธอ ยวิ๋นซู่ซางถามขึ้นมา


“ซู่อี ที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรอ? เรื่องที่ข้อบกพร่องของวิชาใต้นภาถูกแก้ไขแล้วน่ะ”


 


“แน่นอนว่ามันเป็นความจริง” ยวิ๋นซู่อีพยักหน้า


 


“ไปกันเถอะ พวกเราต้องไปพบท่านพ่อ”


ยวิ๋นซู่ซางลากยวิ๋นซู่อีออกไป พวกเขาทั้ง 3 คนเดินทางออกจากเกาะเมฆาไปพร้อมๆกัน ข่าวเรื่องที่ข้อบกพร่องของวิชาใต้นภาถูกแก้ไขแล้วเป็นอะไรที่สำคัญเกินไป และเธอไม่สามารถรอจนกระทั่งงานจบลงได้


 


นอกจากนั้นยวิ๋นซู่อีก็ได้รับมีดขนนกโลหิตมาแล้ว ดังนั้นยังไงซะงานก็จะจบลงในอีกไม่นาน


 


คนอื่นๆก็เริ่มที่จะจากไปเช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็อยากจะรู้ว่าข้อบกพร่องของวิชาใต้นภาถูกแก้ไขแล้วจริงๆหรือเปล่า ถ้านั่นเป็นความจริง ปราสาทนภาก็จะมีวิชามีดที่สุดยอดเป็นของตัวเอง


 


แองเกียและเฟเธอร์คนอื่นๆดูสิ้นหวัง ไม่มีใครอยากจะพูดอะไรออกมา


 


พวกเขาต้องการจะใช้หานเซิ่นเพื่อทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง แต่แองเกียกลับพ่ายแพ้ให้กับคนที่เรียนรู้วิชามาจากหานเซิ่นแทน พวกเขาทุกคนรู้สึกเสียใจ นี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าการพ่ายแพ้ให้กับหานเซิ่นตรงๆซะอีก


 


พวกเขาจะไม่ได้รับชื่อเสียงอะไรจากงานในครั้งนี้ และพวกเขาก็ไม่ได้มอบมีดขนนกโลหิตให้กับผู้อาวุโสสามตามที่วางแผนเอาไว้ และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือยวิ๋นซู่อีเอามีดเล่มนั้นไปโดยไม่ได้มีความรู้สึกประทับใจในตัวพวกเขาเลย ความล้มเหลวในครั้งนี้จะนำไปสู่การสูญเสียชื่อเสียง


 


นอกจากเรื่องที่แองเกียพ่ายแพ้ให้กับยวิ๋นซู่อีที่เรียนรู้วิชามาจากหานเซิ่นแล้ว เขาก็ยังได้พูดเย้ยหยันหานเซิ่นไปหลายครั้ง ซึ่งมันฟังดูน่าขำสิ้นดี


 


เขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบ และทำให้เหล่าเฟเธอร์เต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อระบายความโกรธได้เช่นกัน ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือกล้ำกลืนมันเข้าไป


 


“ไม่อยากเชื่อเลยว่าหานเซิ่นจะวางแผนการแบบนั้นเอาไว้ ข้าประมาทเขาเกินไป ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่แค่นักสู้ที่มีฝีมือดีเพียงอย่างเดียว” แองเกียกัดฟันของตัวเอง


 


เขาคิดว่าหานเซิ่นวางแผนการที่จะใช้ยวิ๋นซู่อีมาต่อสู้แทน แต่แน่นอนว่าเขาคิดมากไปเอง หานเซิ่นไม่เคยมีความคิดที่จะมาจัดการกับแองเกียเลย


 


ยวิ๋นซู่ซางพายวิ๋นซู่อีไปพบกับยวิ๋นฉางคง และพวกเธอก็บอกเขาถึงเรื่องที่หานเซิ่นสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของวิชาใต้นภาได้สำเร็จ


 


“เป็นความจริงอย่างนั้นหรอ? ซู่อี ไหนเจ้าลองแสดงมันให้พ่อดูหน่อย”


ยวิ๋นฉางคงไม่เชื่อว่าหานเซิ่นจะสามารถแก้ไขข้อบกพร่องของวิชาใต้นภาได้จริงๆ


 


เพราะยอดฝีมือมากมายเคยพยายามที่จะแก้ไขมัน แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ล้มเหลว หานเซิ่นไม่ควรที่จะสามารถแก้ไขมันได้ในเวลาเพียงแค่เดือนเดียว ถึงแม้เขาจะเป็นอัจฉริยะก็ตาม แต่เมื่อยวิ๋นฉางคงได้เห็นการแสดงวิชาของยวิ๋นซู่อี เขาก็อ้าปากค้าง

 

 

 


ตอนที่ 2017

 

รางวัลจากผู้นำของปราสาทนภา

ยวิ๋นฉางคงเป็นผู้นำของตระกูลยวิ๋นและเป็นผู้อาวุโสสิบของปราสาทนภา ดังนั้นเขาจึงรู้ถึงวิชาใต้นภาเป็นอย่างดี


 


เมื่อยวิ๋นซู่อีแสดงมันออกมา เขาก็สังเกตได้ในทันทีว่ามันแตกต่างจากวิชาใต้นภาฉบับดั้งเดิม และความแตกต่างก็แก้ไขข้อบกพร่องที่ครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ ตอนนี้วิชาใต้นภาของยวิ๋นซู่อีไม่มีข้อบกพร่องอะไรอีกแล้ว และมันก็เป็นวิชาที่สามารถนำไปใช้ในการต่อสู้จริงได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


“ซู่อี ลูกไปเรียนมันมาจากหานเซิ่นจริงๆอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นฉางคงรีบถามขึ้นมา หลังจากที่ยวิ๋นซู่อีแสดงวิชาเสร็จแล้ว


 


“ใช่แล้ว เขาสอนมันให้กับลูกตั้งแต่ก่อนที่ลูกจะกลายเป็นเอิร์ลซะอีก” ยวิ๋นซู่อีพยักหน้า


 


“ท่านพ่อ นี้หมายความว่าวิชาใต้นภาฉบับปรับปรุงใช้งานได้จริงๆอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่ซางถาม


 


“ใช่ ดูเหมือนว่ามันจะใช้งานได้จริงๆ แต่มันมีอย่างหนึ่งที่พ่อไม่เข้าใจ ทำไมวิชามีดของลูกถึงปลดปล่อยความรู้สึกของตำราไร้อักษรออกมา?” ยวิ๋นฉางคงถาม


 


ยวิ๋นซู่อีรีบอธิบายว่าหานเซิ่นได้ใช้จิตแห่งมีดของเขาเพื่อทำให้เธอสามารถรู้สึกถึงมันได้


 


เมื่อยวิ๋นฉางคงได้ยินอย่างนั้น เขาก็ยิ้มแห้งๆออกมา “หานเซิ่นคนนี้เป็นอัจฉริยะจริงๆ เขาปรับปรุงวิชาใต้นภาด้วยตัวเองและยังใช้ความรู้สึกเป็นตัวชี้นำเพื่อสอนให้กับคนอื่น เขาแก้ไขข้อบกพร่องของวิชาใต้นภา และทำให้มันใช้งานในการต่อสู้จริงๆได้ เขาทำให้สิ่งที่ซับซ้อนเป็นเรื่องง่ายขึ้นมา”


 


ยวิ๋นฉางคงคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะพูดต่อ “ครั้งหนึ่งผู้อาวุโสคนหนึ่งเคยคิดที่จะทำแบบเดียวกันนี้ แต่มันยังคงมีข้อบกพร่องเยอะเกินกว่าที่จะใช้จริงได้ แต่ดูเหมือนว่าหานเซิ่นจะทำมันได้สำเร็จ นี่จำเป็นต้องใช้การสังเกตที่เฉียบแหลมและความเข้าใจในตัววิชาอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่เขาทำกับวิชามีดนี้เป็นสิ่งที่มีแต่ปรมาจารย์เท่านั้นที่จะทำได้ แน่นอนว่าถ้าเขาเป็นคนที่ทำทั้งหมดนี้จริงๆ”


 


ยวิ๋นฉางคงหยุดพูดและพายวิ๋นซู่อีไปเข้าพบผู้นำของปราสาทนภา


 


ข่าวเรื่องวิชาใต้นภาถูกแพร่สะพัดออกไปราวกับไฟป่า ตอนนี้ฐานะของวิชาใต้นภาเปลี่ยนไปแล้ว มันกลายเป็นวิชาของปราสาทนภาอย่างเป็นทางการ และมันก็มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อปราสาทนภา


 


ชื่อของหานเซิ่นถูกแพร่สะพัดออกไปอย่างกว้างขวาง ส่วนแองเกียก็กลายเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ เมื่อไหร่ก็ตามที่ชื่อของเขาถูกพูดถึง มันก็จะเป็นชื่อของคนที่ถูกลองวิชา


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้รู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้ เขายังคงออกล่าอยู่ในถ้ำเสวียนเยวี๋ยนจนกระทั่งถึงวันที่สถานหยกขาวจะเปิดขึ้นอีกครั้ง หานเซิ่นกลับมาที่เกาะของเขา ก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังสถานหยกขาว ซึ่งที่นั่นเขาได้พบกับกระเรียนพันขน


 


“ศิษย์น้องหาน ท่านผู้นำต้องการให้เจ้าไปเข้าพบ เจ้ารีบไปเตรียมตัวและพวกเราจะได้ไปกันเดี๋ยวนี้เลย” กระเรียนพันขนยิ้มให้กับหานเซิ่น


 


“ท่านผู้นำต้องการอะไรจากข้าอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจ


 


ผู้นำของปราสาทนภาเป็นคนที่ค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นเขาไม่มีทางเรียกหานเซิ่นไปพบโดยไม่มีเหตุผล


 


“นี่เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรอ? วิชาใต้นภาที่เจ้าปรับปรุงได้รับการยอมรับจากท่านผู้นำ มันถูกเก็บเข้าไปในหอสมุดของปราสาทนภา และในฐานะผู้ปรับปรุงมัน เจ้าจะได้รับรางวัล นั่นคือเหตุผลที่ท่านผู้นำเรียกเจ้าไปพบ” กระเรียนพันขนยิ้ม


 


หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในช่วงที่เขาไม่อยู่


 


หานเซิ่นติดตามกระเรียนพันขนไปที่ปราสาท และครั้งนี้เมื่อเขาเดินไปบนถนนสู่ท้องฟ้า เขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร มันเป็นเพียงแค่ครั้งแรกที่ก้าวขึ้นมาเท่านั้นที่เขาจะรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน


 


ภายในปราสาท ศิษย์ของปราสาทนภาหลายๆคนมองมาที่หานเซิ่นอย่างแปลกๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม


 


นี่เป็นครั้งแรกที่หานเซิ่นจะได้เห็นผู้นำของปราสาทนภา ครั้งก่อนเขาหมดสติไป เขาจึงไม่แน่ใจว่าผู้นำของปราสาทนภามีหน้าตาเป็นยังไงกันแน่


 


แต่ปรากฏว่าผู้นำของปราสาทนภาดูธรรมดาๆ เขาดูเหมือนกับชายวัยกลางคนทั่วๆไป เขาไม่ได้ดูน่าเกรงขามหรือศักดิ์สิทธิ์อะไร เขาดูเหมือนกับคนปกติทั่วๆไป


 


หานเซิ่นเดินเข้าไปและโค้งคำนับให้กับเขา ผู้นำของปราสาทมองหานเซิ่นด้วยความสนใจและยิ้มออกมา


“เงยหน้าขึ้นได้ เจ้าดูดีขึ้นกว่าครั้งก่อนที่ข้าได้เห็นเจ้า”


 


“ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านผู้นำต้องเห็นอะไรแบบนั้น” หานเซิ่นรู้สึกเขินอาย มันดูแย่ที่กระเรียนพันขนต้องแบกเขาขึ้นมา


 


ผู้นำของปราสาทนภาพูดต่อ “เจ้าไม่ใช่คนไร้ความสามารถ เจ้าปรับปรุงวิชาใต้นภาได้สำเร็จ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายต้องการจะทำ ถ้าเจ้าเป็นคนที่ไร้ความสามารถแล้ว ผู้อาวุโสของพวกเราจะเป็นอะไร?”


 


“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” หานเซิ่นก้มตัว


 


ผู้นำของปราสาทนภาหัวเราะและพูดต่อ “มันไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องมีมารยาท อี๋ซาอาจารย์ของเจ้านั้น นางไม่เคยทำตัวมีมารยาทต่อหน้าใคร แต่ข้าก็ชอบที่นางเป็นแบบนั้น”


 


หานเซิ่นไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอี๋ซาถูกยกย่องถึงขนาดนั้นภายในปราสาทนภา มันดูเหมือนว่าผู้นำของปราสาทนภาจะคิดถึงเธออยู่


 


‘หรือว่าตาแกนี่จะหลงรักลูกศิษย์ของตัวเองอย่างนั้นหรอ? นั่นคือเหตุผลที่เขาคิดถึงเธอมากอย่างนั้นใช่ไหม?’ หานเซิ่นสงสัย


 


สีหน้าของผู้นำปราสาทนภาเปลี่ยนไป เขาดีดนิ้วและทันใดนั้น หานเซิ่นก็รู้สึกหนังอึ้ง เขาเกือบที่จะล้มลงไปกับพื้น


 


“เจ้าเด็กน้อย! เจ้าดูเป็นคนมีมารยาท แต่เจ้ากำลังคิดบางสิ่งที่โสมมในจิตใจ” ผู้นำของปราสาทนภามองไปที่หานเซิ่นขณะที่พูดออกมา


 


ทันใดนั้นหานเซิ่นเหงื่อตก ผู้นำของปราสาทนภาสามารถอ่านจิตใจของเขาได้ ซึ่งมันเป็นพลังที่น่ากลัวอย่างมาก


 


“ข้าต้องขออภัยด้วย!” หานเซิ่นรีบพูดออกมาจากใจจริง


 


ผู้นำของปราสาทนภาหัวเราะและพูดต่อ “อี๋ซามักจะขึ้นเสียงกับข้าอยู่เสมอ แต่นางเป็นคนตรงไปตรงมา ต่างจากเจ้าที่เก็บความคิดจริงๆเอาไว้ในจิตใจอย่างลับๆ”


 


‘หมอนี่ชอบให้ขึ้นเสียงใส่อย่างนั้นหรอ เขาคงจะต้องเป็นมาโซคิสม์แน่ๆเลย’ หานเซิ่นอดไม่ได้ที่จะคิด


 


แต่ทันทีที่ความคิดแบบนั้นผุดขึ้นมาในจิตใจ เขาก็รู้ว่าเพิ่งจะทำในสิ่งที่เลวร้ายไป


 


ผู้นำของปราสาทนภายิ้มให้กับหานเซิ่น และแรงกดดันก็หล่นลงใส่ตัวของหานเซิ่นมากขึ้นกว่าเดิม หานเซิ่นพยายามดิ้นรนเพื่อไม่ให้ตัวเองทรุดลงไป


 


“ครั้งนี้ข้าทำผิดไปแล้วจริงๆ!” หานเซิ่นตะโกนด้วยสีหน้าที่ขื่นขม


 


ผู้นำของปราสาทนภายิ้มและพูดต่อ “ไม่เป็นไร เจ้าเป็นลูกศิษย์ของอี๋ซา และเจ้าก็ทำประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้กับปราสาทนภา วิชาใต้นภาที่เจ้าปรับปรุงนั้นยอดเยี่ยม บอกข้ามาว่าเจ้าอยากจะได้อะไร”


 


“มันเป็นเกียรติมากแล้วที่ได้ช่วยเหลือท่าน ข้าไม่กล้าพอที่จะขออะไรเป็นรางวัล” หานเซิ่นรีบพูด


 


“เจ้าไม่ได้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนแบบนั้น ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแสแสร้ง”


ผู้นำของปราสาทนภายิ้ม “เอาอย่างนี้เป็นไง? อี๋ซาเคยป้อนอาหารม้า ดังนั้นเจ้าก็ควรจะป้อนอาหารม้าเช่นกัน นั่นจะเป็นรางวัลสำหรับการที่เจ้าช่วยปรับปรุงวิชาใต้นภา”


 


“ขอบคุณท่านมาก” หานเซิ่นบังคับจิตใจของเขาไม่ให้คิดอะไรอย่างอื่น

 

 

 


ตอนที่ 2018

 

กุญแจหัวใจนภา

“เจ้าไปได้แล้ว” ผู้นำของปราสาทนภาโบกมือเพื่อบอกให้หานเซิ่นออกไปได้


 


หานเซิ่นไอออกมา “ท่านผู้นำแข็งแกร่งมากๆ เพียงแค่ท่านดีดนิ้วมันก็ทำให้ข้าเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ นั่นมันสุดยอดจริงๆ”


ขาของหานเซิ่นไม่ขยับ เขารู้สึกราวกับว่ากำลังแบกภูเขาทั้งโลกเอาไว้


 


ผู้นำปราสาทนภาหลี่ตาและมองไปที่หานเซิ่น “นี่เป็นรางวัลสำหรับเจ้า ถ้าเจ้ายังไม่ออกไป เจ้าก็จะมอบรางวัลให้กับเจ้ามากกว่านี้”


 


หานเซิ่นหันหลังและโดนโซเซออกไป เขาสาบานกับพระเจ้าว่าจะไม่มาพบกับชายคนนี้อีก


 


‘เวรเอ้ย! นี่มันรางวัลอะไรกัน? ฉันทำประโยชน์ให้กับเขา ฉันจะไม่ว่าอะไรถ้าพวกเขาไม่ต้องการให้รางวัลกับฉัน แต่นี่ฉันต้องไปให้อาหารม้าเนียนะ?’ หลังจากที่หานเซิ่นออกจากปราสาท เขาก็สบถซ้ำๆในหัวใจของเขา


 


การเดินออกมาจากปราสาทนภา ทำให้หานเซิ่นเหงื่อท่วมตัว เขาไม่รู้ว่าตัวเองถูกวิชาจีโนแบบไหนเข้า แต่มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังแบกรับน้ำหนักอันมหาศาลเอาไว้บนหลัง เขาสามารถที่จะทนต่อมันได้ แต่เขาไม่สามารถวิ่งได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือการเดิน


 


“มันคืออะไร? ท่านผู้นำมอบรางวัลอะไรให้กับเจ้าอย่างนั้นหรอ?” กระเรียนพันขนรีบเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นหานเซิ่นเดินออกมา


 


“อย่าพูดถึงมันเลย ในตอนที่อาจารย์ของข้าอยู่ในปราสาทนภา นางได้ไปละเมิดท่านผู้นำเอาไว้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นคิดว่ามันต้องเป็นเพราะอี๋ซาที่ทำให้เขาถูกปฏิบัติแบบนี้


 


“ทำไมเจ้าถึงถามอย่างนั้น? ท่านผู้นำนั้นรักนางมากที่สุด ท่านถึงกับรับนางเป็นลูกศิษย์ และทุกคนก็รู้ถึงเรื่องนั้นดี” กระเรียนพันขนพูด


 


“นั่นมันน่าแปลก ถ้าอาจารย์ของข้าเป็นที่รักมากขนาดนั้น ทำไมท่านผู้นำถึงไม่มอบรางวัลอะไรให้กับข้าเลย? แถมเขายังใช้วิชาจีโนประหลาดที่ทำให้ร่างกายของข้าหนักอึ้งอีก และตอนนี้เขาก็ต้องการให้ข้าไปป้อนอาหารให้กับม้า”


หานเซิ่นขมวดคิ้วและพูดต่อ “หรือบางที ท่านผู้นำจะโกรธที่ท่านรับข้าไปเป็นลูกศิษย์ไม่ได้?”


 


“เกิดอะไรขึ้น?” กระเรียนพันขนถาม


 


หานเซิ่นอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น และเมื่อกระเรียนพันขนได้ยินเรื่องราวทั้งหมด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขามองหานเซิ่นราวกับว่าเพิ่งจะเห็นผี


 


“เจ้าไม่คิดว่านี่มันมากเกินไปหน่อยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพูดและคิดกับตัวเอง ‘เราแค่บ่นอยู่ในใจเท่านั้น ทำไมเขาต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย?’


 


กระเรียนพันขนมองหานเซิ่นด้วยสายตาแปลกๆ “เจ้าน่ะโชคดี วิชาจีโนที่ท่านผู้นำใช้ใส่เจ้าคือกุญแจหัวใจนภา มันเป็นส่วนหนึ่งของตำราไร้อักษร แม้แต่ระดับราชันก็แทบจะใช้มันไม่ได้ และบ่อยครั้งพวกเขาจะสร้างความเสียหายต่อร่างกาย ถ้าพวกเขาไม่ได้มีสายเลือดที่ถูกต้อง พวกเขาก็ไม่คิดแม้แต่จะลองใช้มัน มันยากที่จะหาคนที่รู้เกี่ยวกับตำราไร้อักษร ท่านผู้นำใช้มันกับเจ้าถึง 2 ครั้ง ซึ่งแม้แต่ไผ่เดียวดายก็ไม่ได้รับอะไรแบบนี้”


 


หานเซิ่นถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “เจ้าพูดจริงอย่างนั้นหรอ?”


 


“แน่นอนอยู่แล้ว กุญแจหัวใจนภาไม่ใช่ความลับอะไร มันจะล็อคร่างกายของเจ้า และเจ้าก็ต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อปลดล็อคมัน ซึ่งเมื่อเจ้าทำได้สำเร็จ พละกำลังและลมปราณของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้น เจ้าก็รู้ว่ารากฐานสำคัญแค่ไหน เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้และมันก็ไม่ได้ส่งเสียต่อการฝึกวิชาของเจ้าอีกด้วย ผู้คนมากมายอยากจะได้รับมัน เจ้าได้รับมันถึง 2 ครั้ง แต่เจ้ากลับบ่นออกมา มันทำให้ข้าอยากจะชกเจ้าจริงๆ” กระเรียนพันขนดูอิจฉา


 


หานเซิ่นมองเขาอย่างแปลกๆและพูด “แล้วเรื่องที่ข้าต้องไปป้อนอาหารให้กับม้าล่ะ? นั่นไม่มีทางจะเป็นเรื่องดีไปได้”


 


“ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ม้าที่เจ้าต้องไปป้อนอาหารให้ก็คือดรีมบีสต์ แต่ข้าไม่อาจจะบอกได้ว่านั่นเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย” กระเรียนพันขนพูดหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่


 


ในขณะที่พวกเขาพูดคุยกันก็มีชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนกับพ่อบ้านเดินเข้ามา เขาโค้งคำนับให้กับหานเซิ่นและพูด


“หานเซิ่น ท่านผู้นำได้สั่งให้ข้าพาเจ้าไปที่เกาะความฝัน เจ้าต้องทำงานให้กับครีมบีสต์เป็นเวลา 3 เดือน เจ้าจะเดินทางไปในตอนนี้หรือต้องการจะกลับไปเก็บของก่อน?”


 


“ข้าไปพรุ่งนี้ได้ไหม?” หานเซิ่นถาม


 


“แน่นอน ข้าจะไปรับเจ้าในวันพรุ่งนี้” ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ขอบคุณมาก” หานเซิ่นหันกลับไปหากระเรียนพันขนและพูด


“กระเรียนพันขน เจ้าช่วยพาข้ากลับไปส่งที่เกาะได้ไหม ด้วยน้ำหนักของข้าตอนนี้ นกกระเรียนไร้ขาคงจะแบกข้ากลับไปไม่ได้แน่”


 


กระเรียนพันขนหัวเราะและพูดออกมา “อย่าได้กังวล กุญแจหัวใจนภาจะส่งผลต่อร่างกายของเจ้าเท่านั้น มันไม่ได้เพิ่มน้ำหนักของตัวเจ้า ดังนั้นสัตว์ขี่ของเจ้าจะไม่ได้ผลอะไรจากมัน”


 


หานเซิ่นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปีนขึ้นไปบนหลังนกกระเรียนไร้ขาด้วยร่างกายที่หนักอึ้ง แต่กระเรียนไร้ขาดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไร และมันก็สามารถบินขึ้นได้เหมือนปกติ


 


นกกระเรียนไร้ขาได้กินเนื้อของซีโน่เจเนอิคชั้นสูงจำนวนมาก ตอนนี้มันจึงแข็งแกร่งและบินได้เร็วขึ้นกว่าตอนแรก


 


แต่ความเร็วของมันเพิ่มขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น และปีกของมันก็ยังคงบาดเจ็บ ดังนั้นมันไม่สามารถบินเป็นเส้นตรงได้


 


เมื่อหานเซิ่นกลับไปถึงเกาะ เขาก็ใช้พลังทุกอย่างที่มีเพื่อจะปลดล็อคกุญแจหัวใจนภา ซึ่งนอกจากการใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดแล้ว เขาได้ลองใช้ทุกอย่างที่มีแล้ว แต่ก็ล้มเหลว


 


หานเซิ่นจึงล้มเลิกความคิดนั้นไปและเริ่มเก็บข้าวของ วันต่อมาพ่อบ้านก็มาพาตัวเขาไปยังเกาะความฝัน


 


หานเซิ่นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับดรีมบีสต์มากนัก เขารู้แค่ว่ามันเป็นซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า และไผ่เดียวดายก็ถูกลงโทษด้วยฝันร้ายของซีโน่เจเนอิคตัวนี้


 


‘เจ้าแก่นั้นคิดจะให้ดรีมบีสต์มอบฝันร้ายหมื่นปีให้กับเราอย่างนั้นหรอ? ฉันไม่ต้องการประสบการณ์อะไรพวกนั้น ชีวิตของฉันเป็นเรื่องราวที่มีความสุข มันไม่จำเป็นต้องมีโศกนาฏกรรม’ หานเซิ่นคิดด้วยความหวาดกลัว


 


ไผ่เดียวดายใช้เวลาเป็น 10 ปีกว่าที่เขาจะตื่นขึ้นมาได้ ถึงแม้หานเซิ่นจะแข็งแกร่งกว่าเขาในตอนนั้น มันก็คงจะต้องใช้เวลาหลายปีอยู่ดี ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นหลิงเอ๋อก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเธอเป็นใครและนั่นจะเป็นอะไรที่น่าเศร้า


 


“ไม่ได้! เราจะมีฝันร้ายไม่ได้ เราจำเป็นต้องไปคุยกับเจ้าแก่นั่นอีกครั้ง” หานเซิ่นหันกลับและต้องการจะจากไป


 


แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงที่เคร่งขรึมดังมาจากด้านหลังของเขา “ใครบอกว่าเจ้าจะไปจากที่นี่ได้?”


 


ร่างกายของหานเซิ่นแข็งทื่อ เขาค่อยๆหันกลับไปอย่างช้าๆ และที่กลางทะเลสาบที่ใสเหมือนกับกระจก มันมีสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนกับม้ายูนิคอร์นสีขาวโผล่ขึ้นมา


 


มันอาจจะเป็นซีโน่เจเนอิคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่หานเซิ่นเคยเห็น ซึ่งเมื่อเขามองไปในดวงตาของมัน เขาก็รู้สึกหนาวขึ้นมา การมองไปที่ซีโน่เจเนอิคตัวนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีเลยสักนิดเดียว


 


มันกำลังยิ้มออกมา แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มของมันก็ทำให้เขาขนลุก


 


“ท่านดรีมบีสต์… ท่านผู้นำส่งข้ามาที่นี่เพื่อตรวจดูว่าท่านต้องการอะไรหรือเปล่า ถ้ามันมีอะไรที่ท่านต้องการล่ะก็ ข้าจะไปรายงานต่อท่านผู้นำและนำสิ่งนั้นมาที่นี่” หานเซิ่นรีบพูดขึ้นมา


 


“มันมีบางสิ่งที่ข้าต้องการ เข้ามานี่สิ” ดรีมบีสต์ก้าวขึ้นมาบนพื้นหญ้าพร้อมกับยิ้มให้หานเซิ่น

 

 

 


ตอนที่ 2019

 

สัมผัสหินอัญมณี

“ท่านดรีมบีสต์ต้องการสิ่งใดอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นไม่คิดว่ารอยยิ้มของมันดูเป็นมิตรนัก


 


ดรีมบีสต์ไม่ได้พูดอะไร แต่มีแสงวาบขึ้นมาจากดวงตาสีฟ้าของมัน ทันใดนั้นร่างกายที่หนักอึ้งของหานเซิ่นก็เริ่มบินออกไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น


 


หานเซิ่นบินเข้าไปและร่วงลงในทะเลสาบ โดยปกติแล้วการร่วงลงในทะเลสาบไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาหนักอึ้ง ทำให้เขาไม่สามารถขึ้นจากน้ำได้ เขาไม่สามารถลอยตัวได้ด้วยซ้ำ


 


ดรีมบีสต์เข้ามาหาหานเซิ่นที่กำลังดิ้นรนและหัวเราะออกมา


“เลิกแสแสร้งได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าใช้ชีวิตในน้ำได้ มันมีหินอัญมณีชิ้นหนึ่งอยู่ใต้พื้นทราย มันคืออาหารของข้า เจ้าลงไปในน้ำและนำมันขึ้นมาให้กับข้า ข้าจำเป็นต้องกินพวกมัน 10 ชิ้นต่อวัน ถ้าเจ้านำพวกมันขึ้นมาไม่ครบ ข้าจะมอบฝันร้ายให้กับเจ้า”


 


“และอีกอย่างหนึ่ง ข้ารักในความสะอาด บางคนอาจจะพูดว่าข้ารักความสะอาดมากจนเกินไป ดังนั้นอย่าได้ทำให้น้ำสกปรก ถ้าเจ้าทำแบบนั้น ข้าจะมอบฝันร้ายหนึ่งร้อยความฝันให้กับเจ้า” ครีมบีสต์พูด


 


หลังจากที่หานเซิ่นได้ยินแบบนั้น เขาก็หยุดแกล้งทำเป็นดิ้นรนและรีบดำลงไปในน้ำในทันที


 


เขาสามารถหายใจใต้น้ำได้ เขาแค่ต้องการจะได้รับคะแนนความสงสาร แต่น่าเสียดายที่มันใช้ไม่ได้ผลกับดรีมบีสต์


 


ทะเลสาบของดรีมบีสต์นั้นใสสะอาดและสามารถมองเห็นก้นบึ้งได้อย่างง่ายดาย หานเซิ่นคาดเดาว่ามันลึกประมาณ 10 เมตร


 


แต่น่าแปลกที่หานเซิ่นไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆอยู่ในน้ำ มันไม่มีแม้แต่พวกสาหร่าย ในทะเลสาบนั้นใสสะอาดราวกับหินอัญมณีที่ถูกเจียระไนมาเป็นอย่างดี


 


เมื่อหานเซิ่นไปถึงก้นทะเลสาบและเท้าของเขาสัมผัสกับพื้นทราย เม็ดทรายก็กระเด็นและฟุ้งขึ้นมาเหมือนกับหมอก


 


“นี่คือวันแรกของเจ้า ดังนั้นข้าจะแค่ตักเตือน ถ้าเจ้าแตะทรายอีกแม้แต่เม็ดเดียวล่ะก็ ข้าจะส่งเจ้าเข้าไปดินแดนแห่งความฝัน” เสียงของดรีมบีสต์ดังเข้ามาในหูของหานเซิ่น


 


“ถ้าท่านไม่ให้ข้าเหยียบบนพื้นทราย แล้วข้าจะหาหินอัญมณีได้ยังไงกัน?” หานเซิ่นรีบถาม


 


“นั่นเป็นปัญหาของเจ้า ไม่ใช่ของข้า” ดรีมบีสต์พูด


 


หานเซิ่นรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะขัดขืน ดังนั้นเขาจึงยกขาขึ้นจากก้นของทะเลสาบ เม็ดทรายนั้นเบามากๆและคลื่นน้ำเพียงเล็กน้อยก็มากพอที่จะทำให้ทรายฟุ้งขึ้นมาเหมือนกับหมอง


 


หานเซิ่นพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายไปสัมผัสกับพื้นทราย และนั่นคือวิธีที่เขาจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ทรายฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง


 


โดยปกติแล้วนั่นจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับหานเซิ่น แต่ตอนนี้หานเซิ่นมีกุญแจหัวใจนภาล็อคตัวของเขาอยู่ ภายใต้น้ำหนักอันมหาศาล การลอยตัวในสภาพนั้นจึงเป็นเรื่องยาก และทำให้ทำให้ร่างกายของเขาได้รับความเจ็บปวด


 


หานเซิ่นใช้พลังทุกอย่างเพื่อช่วยสนับสนุนร่างกาย เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะจมไปที่ก้นทะเลสาบแล้ว


 


แต่การพยายามลอยตัวอยู่อย่างนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และเขายังต้องพยายามมองหาหินอัญมณีอีก พื้นทรายนั้นเรียบสนิทและไม่มีร่องรอยหรือก้อนหินอะไรเลย หานเซิ่นมองหาอยู่สักพัก แต่เขาก็ไม่เจออะไรที่ดูจะเป็นหินอัญมณีไปได้


 


จากที่ดรีมบีสต์พูด หินอัญมณีจะซ่อนอยู่ภายใต้พื้นทราย ดังนั้นเขาต้องเก็บพวกมันขึ้นมาจากพื้นทราย


 


แต่หานเซิ่นไม่รู้ว่าหินอัญมณีซ่อนอยู่ไหนกันแน่ เขาใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อสแกนรอบๆ แต่มันก็ไม่มีอะไรให้เห็น


 


“อย่างน้อยวันนี้เราก็ฝ่าฝืนกฎได้” หานเซิ่นใช้มือขุดพื้นทราย และหลังจากที่ขุดอยู่สักพัก เขาก็พบหินอัญมณีทรงกลมที่ใสสะอาด


 


“ท่านดรีมบีสต์ นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการใช่หรือไม่?” หานเซิ่นถามขณะที่ถือหินอัญมณีอยู่ในมือ


 


“ใช่ ข้าจะกินมัน 10 ชิ้นต่อวัน ถ้าเจ้าขาดแม้แต่ชิ้นเดียว เจ้าก็จะมีฝันร้ายไปตลอดการ และเมื่อกี๊เจ้ายังจงใจทำลายพื้นทราย ดังนั้นข้าจะลงโทษเจ้าโดยการให้เจ้าทำงานต่ออีกหนึ่งเดือน” เสียงของดรีมบีสต์ดังขึ้นในหูของเขา


 


หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ แต่มันเป็นความผิดของเขาที่ฝ่าฝืนกฎ


 


ในพื้นทรายมีหินอัญมณีอยู่จริงๆ แต่การจะหาพวกมันโดยไม่สัมผัสพื้นทรายเลยเป็นเรื่องที่ยากมากๆ


 


แต่หานเซิ่นได้เรียนรู้วิชาที่อ่อนโยนมาจากราชากงล้อจันทรา เขาสามารถส่งพลังเข้าไปในน้ำโดยไม่ทำให้ผิวน้ำกระเพื่อม ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะยากเกินไปที่จะไม่ทำให้ทรายฟุ้งขึ้นมา


 


หานเซิ่นใช้วิชาจันทราที่อ่อนโยนในการมองหาหินอัญมณีที่อยู่ในพื้นทรายอย่างระมัดระวัง


 


ร่างกายของหานเซิ่นยังคงถูกล็อคด้วยกุญแจหัวใจนภา แต่เวลาอยู่ในน้ำเขาต้องบังคับให้หัวอยู่ข้างล่างและเท้าอยู่ข้างบน และใช้พลังที่อ่อนโยนเพื่อเก็บหินอัญมณีขึ้นมา เขาต้องอยู่ในท่านั้นวันละเป็น 10 ชั่วโมงติดต่อกันกว่าที่จะหาหินอัญมณีได้ครบ


 


เมื่อหานเซิ่นขึ้นมาจากทะเลสาบ เขาก็ไม่ต้องการจะเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว


 


“เจ้าดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ ดูเหมือนว่าถ้าข้าต้องการจะกินมากขึ้น มันก็ควรที่จะไม่เป็นไร” ดรีมบีสต์ที่นอนพักอยู่ใต้ต้นไม้ยิ้มให้กับหานเซิ่นขณะที่พูดออกมา


 


หานเซิ่นไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะบ่นอะไร เขาแค่นอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้าใกล้ๆกับทะเลสาบ


 


หานเซิ่นรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแรงไปหมดราวกับว่าร่างกายของเขาไร้ซึ่งกระดูก


 


ชีวิตที่น่าเศร้าของหานเซิ่นเริ่มตั้งแต่วันนั้น ทุกๆวันเขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในทะเลสาบเพื่อมองหาหินอัญมณี และเมื่อไหร่ก็ตามที่เขามีเวลาเหลือ เขาก็จะนอนพัก เขาไม่มีเวลาฝึกวิชาเลยแม้แต่น้อย


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าทำไมผู้นำของปราสาทนภาถึงต้องการให้เขามาที่นี่ แต่มันเกี่ยวข้องกับอี๋ซา ดังนั้นมันไม่น่าจะเป็นสิ่งที่มีผลร้ายต่อเขา


 


และอีกอย่างผู้นำของปราสาทนภาก็ใช้พลังชีวิตของตัวเองเพื่อมอบกุญแจหัวใจนภาให้กับหานเซิ่นถึง 2 ครั้ง ซึ่งถ้าเขาต้องการจะทำร้ายหานเซิ่นจริง เขาก็คงจะไม่ทำอะไรแบบนั้น


 


หานเซิ่นตั้งใจทำงานอย่างหนักในทะเลสาบ แต่ดรีมบีสต์ดูเหมือนจะไม่ชอบเขาขึ้นมาเลยสักนิดเดียว ถ้าเขาตื่นสาย มันก็จะเตะเขาลงไปในน้ำ


 


และดรีมบีสต์ก็มักจะพูดเสมอว่าหินอัญมณีสดๆเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมอย่างโน้นอย่างนี้ ดังนั้นหานเซิ่นไม่สามารถจะเก็บพวกมันขึ้นมาเผื่อวันต่อๆไปได้


 


‘เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันกลายเป็นเทพเจ้าและแข็งแกร่งกว่าแกเมื่อไหร่ล่ะก็ ฉันจะให้แกตามหาหินอัญมณีบ้าง ฉันจะมัดขาของแกและให้แกเลียพื้นทรายด้วยลิ้น’ หานเซิ่นคิดกับตัวเองอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“เป็นความคิดที่ดีหนิ จากวันนี้ไปข้าจะให้เจ้าใช้ลิ้นของตัวเองเพื่อตามหาหินอัญมณี แต่ถ้าลิ้นของเจ้าสัมผัสกับหินอัญมณีล่ะก็ ข้าจะตัดมันออก” ดรีมบีสต์พูดด้วยโทนเสียงที่ไร้ซึ้งอารมณ์ใดๆ


 


หานเซิ่นรู้สึกหนาวขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้สึกสิ้นหวังและคิดกับตัวเอง


‘เวรจริงๆ! เจ้านี่ก็อ่านจิตใจได้ด้วยอย่างนั้นหรอ?’


 

 

 


ตอนที่ 2020

 

เลือดกลายพันธุ์

หานเซิ่นอยากจะเป็นบ้า เขาต้องขุดผ่านพื้นทรายด้วยลิ้น แถมดรีมบีสต์ยังสามารถอ่านจิตใจของเขาได้อีก ซึ่งเป็นอะไรที่น่ารำคาญ


 


หานเซิ่นพยายามคิดหาหนทางที่จะป้องกันความสามารถในการอ่านจิตใจ แต่มันไม่มีอะไรที่ได้ผลเลย


 


หานเซิ่นยอมเสี่ยงถูกลงโทษเพื่อทดสอบหลายๆวิธี แต่ไม่นานเขาก็สังเกตได้ว่าความสามารถในการอ่านจิตใจของดรีมบีสต์ไม่ได้แม่นยำเท่าไรนัก ดรีมบีสต์แค่รู้ถึงใจความหลักของสิ่งที่หานเซิ่นกำลังคิดอยู่เท่านั้น หลังจากนั้นมันก็คาดเดาส่วนที่เหลือเอง


 


นั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เพราะถ้าดรีมบีสต์สามารถอ่านจิตใจของเขาได้ทั้งหมด ความลับหลายๆอย่างก็คงจะถูกเปิดเผย


 


แต่ทว่าการทดสอบทั้งหมดนี้ก็ทำให้หานเซิ่นถูกลงโทษหลายต่อหลายครั้ง ระยะเวลาที่เขาต้องทำงานให้กับดรีมบีสต์ตอนนี้เพิ่มเป็น 13 เดือน


 


หลังจากผ่านไปครึ่งเดือนที่ทำงานอย่างหนัก ในที่สุดหานเซิ่นก็ได้รับโอกาสให้พบกับใครสักคน


 


เมื่อหานเซิ่นได้เห็นยวิ๋นซู่อี เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกขังคุกมาเป็นสิบปี และเขาก็เกือบจะร้องไห้ออกมาเมื่อมีใครสักคนมาเยี่ยม


 


“หานเซิ่น? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?” ยวิ๋นซู่อีมองหานเซิ่นอย่างสับสน


 


“ข้าไม่เป็นอะไร แค่ทรายเข้าตาเท่านั้นเอง” หานเซิ่นพยายามทำตัวเหมือนกับลูกผู้ชาย


 


ในบางครั้งหานเซิ่นจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง


 


“เอิ่ม… นางมาหาข้าด้วยเรื่องอะไร?” หานเซิ่นถามยวิ๋นซู่อี หลังจากที่ควบคุมตัวเองได้แล้ว


 


ยวิ๋นซู่อีนำกล่องๆหนึ่งออกมา เธอเปิดมันออกและส่งให้กับหานเซิ่น


“ข้าใช้วิชามีดที่เจ้าสอนให้เอาชนะแองเกียและได้รับมีดขนนกโลหิตเล่มนี้มา ครึ่งหนึ่งของมันเป็นของเจ้า ดังนั้นข้าจึงนำมันมาที่นี่เพื่อให้เจ้าเห็นมัน”


 


“เจ้าเป็นคนที่ชนะเขาได้ ดังนั้นมันควรจะเป็นของของเจ้า อีกอย่างข้าก็มีมีดเขี้ยวผีสิงอยู่แล้ว” หานเซิ่นพูด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงรับมีดมาดู


 


“เจ้าพูดถูก เจ้าเป็นเจ้าของมีดเล่มนี้ครึ่งหนึ่ง แต่ข้าจะเป็นคนที่ใช้มัน” ยวิ๋นซู่อีพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา


 


“มีดเล่มนี้ไม่เลวเลย” หานเซิ่นพลิกมีดไปมาและพูดต่อ


“มันเป็นมีดที่ดี แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่แข็งแกร่งเหมือนกับมีดเขี้ยวผีสิง และพลังของมันก็ไม่เข้ากับวิชามีดเขี้ยวดาบ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นอะไรที่เหมาะสมมากสำหรับวิชาใต้นภา”


 


หานเซิ่นลูบผิวของใบมีด หลังจากนั้นบางสิ่งบางอย่างก็เผาปลายนิ้วมือของเขา เขาสะดุ้งและดึงมือกลับ จากนั้นเขาก็สังเกตไปที่ใบมีดอย่างละเอียด


 


นิ้วมือของเขาถูกเผาไหม้โดยรอยเลือดบนตัวมีด รอยเลือดสีแดงที่อยู่บนตัวมีดนั้นตัดกับใบมีดที่มีสีขาวอย่างชัดเจน


 


ยวิ๋นซู่อีอธิบาย “มีดขนนกโลหิตนั้นถูกทำขึ้นมาจากขนนกของเฟเธอร์ระดับเทพเจ้า แต่ก่อนที่มันจะเสร็จสมบูรณ์ มีซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าตัวหนึ่งพยายามจะขโมยมันไป ซีโน่เจเนอิคถูกฟันจนได้รับบาดเจ็บ และเลือดของมันก็แปดเปื้อนมีดเล่มนี้ ด้วยเหตุนี้มีดเล่มนี้จึงเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าไม่ได้ และกลายเป็นแค่อาวุธระดับราชัน”


 


“แม้แต่เฟเธอร์ระดับเทพเจ้าก็เช็ดเลือดของมันออกไปไม่ได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นยื่นนิ้วมือไปสัมผัสกับรอยเลือด


 


“ถ้ามันถูกเช็ดออกได้ มันก็คงจะไม่อยู่บนตัวมีดมาจนถึงทุกวันนี้ และข้าก็ไม่คิดว่าทางเพเธอร์จะยินดีที่มอบของแบบนั้นให้กับพวกเรา” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


หานเซิ่นพยักหน้า เมื่อนิ้วมือของเขาสัมผัสกับรอยเลือด ปลายนิ้วของเขาก็รู้สึกเหมือนกับถูกเผาอีกครั้ง ซึ่งเลือดที่ตกผนึกอยู่ในร่างกายของเขาก็เริ่มที่จะละลายเพื่อตอบสนองต่อความร้อนนั้น


 


หานเซิ่นกดนิ้วมือลงบนรอยเลือดพร้อมกับใช้วิชาโลหิตชีพจร หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าลมปราณของรอยเลือดเริ่มที่จะไหลเข้ามาในร่างกายของเขา


 


เมื่อเลือดของหานเซิ่นสัมผัสกับลมปราณโลหิต มันก็เหมือนกับไฟที่มาเจอกับน้ำมัน มันเริ่มลุกไหม้ขึ้นมา


 


หานเซิ่นทั้งรู้สึกแปลกใจและดีใจ ลมปราณของรอยเลือดเพียงแค่นิดเดียวก็สามารถทำให้เลือดในตัวของเขาเดือดขึ้นมาได้ ถ้าเขาดูดซับรอยเลือดบนมีดเล่มนี้ไปได้ทั้งหมด วิชาโลหิตชีพจรของเขาก็อาจจะพัฒนาไปสู่ระดับเอิร์ล


 


“มันมีอะไรอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีเห็นหานเซิ่นยืนนิ่งไป เธอจึงรู้สึกกังวลขึ้นมา


 


หานเซิ่นลังเล เขาไม่แน่ใจว่าควรจะบอกกับเธออย่างไงดี


 


แต่เมื่อเห็นใบหน้าของหานเซิ่น ยวิ๋นซู่อีก็พูด


“ถ้าเจ้าต้องการอะไรล่ะก็ เจ้าบอกข้าได้เลย ข้าจะช่วยเหลือเจ้าทุกเรื่อง ถ้ามันเป็นเรื่องที่ข้าทำได้”


 


หานเซิ่นยังคงลังเลและพูดขึ้นมา “ซู่อี ข้าขอเล่นกับมีดเล่มนี้ต่ออีกสักหน่อยจะได้ไหม?”


 


“ข้าคิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรซะอีก เจ้าเป็นเจ้าของมีดเล่มนี้เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเจ้าเอามันไปได้” ยวิ๋นซู่อีพูดกับเขาอย่างไม่ลังเล


 


หานเซิ่นดีใจ เขานำมีดเขี้ยวผีสิงออกมาและส่งมันให้กับยวิ๋นซู่อี


“ข้าขอเก็บมีดขนนกโลหิตของเจ้าเอาไว้สักพัก ในช่วงนั้นเจ้าก็เอามีดเขี้ยวผีสิงนี่ไปใช้ก่อน”


 


ยวิ๋นซู่อีหน้าแดง เธอดูเหมือนจะกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็ยังรับมีดไป “โอเค ข้าจะใช้มีดเล่มนี่ไปก่อนสำหรับตอนนี้”


 


หานเซิ่นอยากจะพูดคุยกับยวิ๋นซู่อีมากกว่านี้ แต่ดรีมบีสต์เตือนเขาเอาไว้ว่าจำเป็นต้องเก็บหินอัญมณีของวันนี้ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องทุกข์ทรมานกับฝันร้ายไปตลอดกาล


 


หานเซิ่นบอกลายวิ๋นซู่อีและกลับลงไปในน้ำเพื่อเก็บหินอัญมณี


 


ซึ่งการทำแบบนั้นทำให้เขาคิดค้นวิชาหนึ่งขึ้นมา มันมีชื่อว่าลิ้นดาบ มันไม่ได้ทรงพลังอะไร แต่มันเป็นพลังที่อ่อนโยนอย่างมาก เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่สามารถใช้ลิ้นขุดเอาหินอัญมณีขึ้นมาจากพื้นทรายได้


 


หลังจากที่หานเซิ่นหาหินอัญมณีได้ครบสิบชิ้นแล้ว เขาก็ยังไม่ปล่อยให้ตัวเองพักผ่อนในทันที


 


เขานำมีดขนนกโลหิตออกมาจากกล่องและวางมันลงบนตัก หลังจากนั้นเขาก็สัมผัสรอยเลือดและเริ่มใช้วิชาโลหิตชีพจร เขารู้สึกได้ถึงลมปราณโลหิตที่ค่อยๆไหลออกมาจากใบมีด


 


แต่มันเป็นอะไรที่เชื่องช้ามากๆ หานเซิ่นจึงต้องคิดหาวิธีใหม่ หลังจากนั้นเขาก็หยดเลือดของเขาลงบนรอยเลือดบนตัวมีดแทน ไม่นานเลือดตกผนึกของเขาก็ละลายเข้าไปในรอยเลือดบนตัวมีด


 


หลังจากนั้นเขาก็ใช้วิชาโลหิตชีพจร ครั้งนี้ลมปราณโลหิตระเบิดออกมาจากรอยเลือดบนตัวมีดและไหลเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว และเมื่อพวกมันเข้าไปเลือดที่ตกผนึกในตัวของเขาก็เริ่มเดือดขึ้นมา


 


หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังระเหยกลายเป็นไอน้ำ มันใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมงก่อนที่เขาจะสามารถดูดซับลมปราณหยกพวกนั้นได้


 


‘นี่มันน่ากลัวจริงๆ ลมปราณโลหิตเพียงแค่นิดเดียวก็ยังทรงพลังถึงขนาดนี้ บางทีมันอาจจะทำให้วิชาโลหิตชีพจรของเรากลายเป็นระดับเอิร์ลได้จริงๆ’ หานเซิ่นดีใจ


 


หลังจากนั้นก่อนที่จะกลับไปทำงาน หานเซิ่นก็หยดเลือดของเขาลงบนรอยเลือดอีกครั้ง และหลังจากที่ทำงานเสร็จ เขาก็จะมาดูดซับลมปราณโลหิตเข้าไป รอยเลือดที่อยู่บนมีดขนนกโลหิตนั้นมีพลังงานมหาศาล และหานเซิ่นก็สามารถดูดซับพลังงานของมันได้เป็นเวลานาน

 

 

 


ตอนที่ 2021

 

ความฝัน

ความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ตอนนี้หานเซิ่นอยู่บนเกาะความฝันมาได้ 3 เดือนแล้ว และเขาก็เริ่มที่จะเคยชินกับการที่มีกุญแจหัวใจนภาล็อคร่างกายเอาไว้


 


นอกจากการเคลื่อนไหวที่ช้าลงแล้ว เขาสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป


 


ตอนนี้ความเชี่ยวชาญในการขุดหาหินอัญมณีของหานเซิ่นเพิ่มสูงขึ้นมาก เขาสามารถหาหินอัญมณีสิบชิ้นได้ในเวลา 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น


 


แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หานเซิ่นมีความสุขที่สุดก็คือเรื่องที่วิชาโลหิตชีพจรพัฒนาไปเป็นระดับเอิร์ลได้สำเร็จ และตอนนี้รอยเลือดบนมีดขนนกโลหิตก็จางลงไปอย่างมาก


 


หานเซิ่นมีแผนที่จะดูดซับรอยเลือดที่ติดอยู่บนตัวมีดเข้าไปทั้งหมด เลือดนั้นสร้างความเสียหายต่อมีดขนนกโลหิต ดังนั้นถ้าหานเซิ่นดูดซับพวกมันทั้งหมดไปได้ บางทีมันอาจจะมีโอกาสทำให้มีดกลายเป็นมีดระดับเทพเจ้าอีกครั้ง หานเซิ่นเชื่อว่ายวิ๋นซู่อีคงจะไม่รังเกลียดในเรื่องนั้น


 


ดรีมบีสต์ไม่ค่อยพอใจที่เห็นหานเซิ่นมีเวลาว่างมาก ดังนั้นมันจึงเริ่มที่จะเรียกร้องหินอัญมณีเพิ่มขึ้นอีก มันต้องการทำให้แน่ใจว่าหานเซิ่นจะทำงานอยู่ใต้น้ำเป็นเวลาสิบชั่วโมงทุกๆวัน


 


และเนื่องจากมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อ ดังนั้นหานเซิ่นจึงฝึกฝนวิชาลิ้นดาบไปด้วย ถึงมันจะไม่ได้ทรงพลังอะไรมาก แต่ตอนนี้ลิ้นของเขาสามารถที่จะปล่อยพลังลมปราณออกมาเพื่อฆ่าศัตรูได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร


 


แต่จนถึงตอนนี้หานเซิ่นยังไม่สามารถปลดล็อคกุญแจหัวใจนภาได้สักอัน บางทีเขาอาจจะทำไม่ถูกวิธีหรือมันมีปัญหาขัดข้องบางอย่าง ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจ


 


หานเซิ่นจึงไปถามกระเรียนพันขนในตอนที่เขามาเยี่ยมที่เกาะ แต่กุญแจหัวใจนภาเป็นสิ่งที่หาได้ยาก และกระเรียนพันขนก็ไม่เคยประสบด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้อะไรมากนัก


 


แต่กระเรียนพันขนรับปากว่าจะช่วยหาข้อมูลมาให้ มันมีศิษย์ของปราสาทนภาคนหนึ่งที่เคยได้รับกุญแจหัวใจนภา และเขาก็ใช้เวลากว่า 3 ปีก่อนที่จะปลดล็อคมันได้ แต่คนๆนั้นถูกล็อคเพียงแค่อันเดียวเท่านั้น


 


แต่หานเซิ่นถูกล็อคถึง 2 อัน ดังนั้นกระเรียนพันขนจึงไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่กันที่เขาจะปลดล็อคพวกมันได้


 


แต่ยิ่งเวลาผ่านไป หานเซิ่นก็เคยชินกับกุญแจหัวใจนภามากขึ้น พวกมันแทบจะไม่ทรงผลอะไรต่อชีวิตประจำวันของเขาอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถปลดล็อคพวกมันได้


 


หลังจากที่ผ่านไปครึ่งปี หานเซิ่นก็เริ่มจะคิดถึงครอบครัว เขาคิดถึงจีเหยียนหรัน หานหลิงเอ๋อหรือแม้แต่เสี่ยวฮวาที่ถูกแมวเก้าชีวิตพาตัวไป


 


“หานเซิ่นเป็นยังไงบ้าง?” ในปราสาท ผู้นำของปราสาทนภาถามดรีมบีสต์


 


“ก็ไม่เลว กุญแจหัวใจนภาดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรกับเขาอีกแล้ว” ดรีมบีสต์ตอบ


 


“ก็ไม่เลวอย่างนั้นหรอ? จากปากของเจ้า นั่นถือเป็นคำชมที่ยิ่งใหญ่มาก!” ผู้นำของปราสาทนภาหัวเราะ


 


ดรีมบีสต์ยิ้มออกมาและพูดต่อ “เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการให้หานเซิ่นไปที่ซีโน่เจเนอิคสเปซเทพโบราณ ไม่ใช่ไผ่เดียวดาย?”


 


ผู้นำของปราสาทนภาพูด “เจ้าก็รู้ถึงสถานการณ์ของไผ่เดียวดาย เขากลายเป็นมาร์ควิสเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีความหมายอะไรที่จะส่งเขาไปที่นั่น และมันก็อันตรายเกินกว่าที่จะส่งศิษย์คนอื่นๆเข้าไป”


 


หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ ผู้นำของปราสาทนภาก็พูดต่อ


“ข้าได้ให้สัญญากับอี๋ซาว่าจะทำให้หานเซิ่นกลายเป็นมาร์ควิส ไผ่เดียวดายไม่มีความจำเป็นต้องไปที่นั่นอีกแล้ว ซึ่งตัวเลือกต่อไปที่ดีที่สุดก็คือเขา”


 


ดรีมบีสต์พยักหน้าและพูด “เขาเกือบจะสำเร็จแล้ว เขาคงจะเก่งขึ้นกว่านี้ไม่ได้อีกบนเกาะความฝัน ดังนั้นข้าคิดว่าตอนนี้ควรจะปล่อยเขาไปได้แล้ว”


 


“แต่มันควรจะเป็นเวลาหนึ่งปี และนี่นั่นมันเพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เจ้าคงจะไม่ปล่อยให้อีกครึ่งปีเสียไปเปล่าๆหรอกใช่ไหม?” ผู้นำของปราสาทนภายิ้ม


 


“เจ้ารู้เรื่องที่เขาได้รับมีดขนนกโลหิตใช่ไหม?” ดรีมบีสต์ถาม


 


ผู้นำของปราสานภาพยักหน้า เขามองไปที่ดรีมบีสต์ด้วยความสงสัยว่าทำไมมันถึงพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา


 


“เขากำลังดูดซับเลือดของซีโน่เจเนอิคบนมีดเล่มนั้น และมันก็ได้ผล บางทีในอีกไม่กี่เดือน เลือดซีโน่เจเนอิคบนมีดเล่มนั้นก็จะถูกดูดซับไปจนหมด” ดรีมบีสต์พูด


 


“นั่นเป็นความจริงอย่างนั้นหรอ?” ผู้นำของปราสาทนภาดูประหลาดใจอย่างมาก


 


“เฟเธอร์พยายามใช้วิธีต่างๆมากมายเพื่อจะลบล้างรอยเลือดนั้นออกไป แต่ก็ไม่มีวิธีไหนที่ได้ผล ตอนนี้หานเซิ่นกลับกำลังดูดซับมันเข้าไป? ถ้าพวกเขารู้ถึงเรื่องนี้เข้าล่ะก็ พวกเขาก็คงจะรู้สึกโกรธมากๆ” ดรีมบีสต์หัวเราะขณะที่พูดออกมา


 


“ถ้าเขาดูดซับเลือดซีโน่เจเนอิคออกมาได้ มีดขนนกโลหิตนั่นก็อาจจะกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าอีกครั้ง แต่มันจำเป็นต้องถูกตีขึ้นใหม่อีกครั้ง พวกเราควรจะจัดเตรียมในเรื่องนี้ เพื่อที่พวกเราจะได้มีอาวุธระดับเทพเจ้าของปราสาทนภาอีกชิ้นหนึ่ง นั่นคือทั้งหมดที่ข้าจะทำได้?” ผู้นำของปราสาทนภาหัวเราะ


 


“เมื่อไหร่กันที่เจ้านั่นจะกลับมา” จู่ๆดรีมบีสต์ก็ถามขึ้นมา


 


สีหน้าของปราสาทนภาดูลำบากใจ


 


ดรีมบีสต์พูดต่อเสียงแข็ง “ตำแหน่งผู้อาวุโสของปราสาทนภาไม่ควรจะถูกปล่อยว่างไว้เป็นเวลานาน ถ้าเขาไม่กลับมาจริงๆ พวกเราก็ต้องเตรียมแผนการบางอย่างเอาไว้”


 


ผู้นำของปราสาทนภาคิดอยู่ชั่วครู่ “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในเรื่องนี้ เจ้านั่นไม่มีทางถูกฆ่าตายง่ายๆ บางทีมันอาจจะเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่าง แต่เขาจะกลับมา”


 


“ข้าก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ดรีมบีสต์พูดก่อนที่จะเดินออกไปจากปราสาท


 


“มันยังเหลือเวลาอีกครึ่งปี ถ้าเจ้ามีเวลา สอนเขาในสิ่งที่จะทำให้เขาเอารอดในซีโน่เจเนอิคสเปซเทพโบราณได้” ผู้นำของปราสาทนภาพูดกับดรีมบีสต์


 


“เขาไม่ใช่ศิษย์ของปราสาทนภา ทำไมข้าต้องทำอะไรแบบนั้น?” หลังจากที่พูดอย่างนั้น ดรีมบีสต์ก็เดินออกไป


 


เมื่อหานเซิ่นเก็บหินอัญมณีของวันนี้ได้ครบ เขาก็นำมันมาวางลงบนใบไม้ข้างๆดรีมบีสต์ หลังจากนั้นเขาก็กลับจะไปดูดซับเลือดซีโน่เจเนอิคบนมีดขนนกโลหิตต่อ แต่จู่ๆดรีมบีสต์ก็พูดขึ้นมา


“จากนี้ต่อไปเจ้าไม่ต้องขุดเอาหินอัญมณีขึ้นมาอีกแล้ว”


 


หานเซิ่นดีใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ท่านจะยอมปล่อยข้าไปแล้วอย่างนั้นใช่ไหม?”


 


“ยอมปล่อยเจ้าไป? นั่นเป็นไปไม่ได้” ดรีมบีสต์ยิ้มและมองไปที่ดวงตาของหานเซิ่น หานเซิ่นกำลังที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่การมองเห็นของเขาเริ่มที่จะเบลอๆไป


 


ภาพตรงหน้าของหานเซิ่นเริ่มเปลี่ยนไป และทันใดนั้นเขาก็ไปอยู่ในเมืองล้างแห่งหนึ่ง เขาตะโกนออกมา


“ท่านดรีมบีสต์ ไหนท่านบอกว่าถ้าข้าทำงานได้สำเร็จ ท่านจะไม่ส่งข้าเข้าไปในความฝันไง”


 


“ข้าแค่สัญญาว่าจะไม่ส่งเจ้าเข้าไปในความฝันอันน่าเศร้าเท่านั้น” เสียงของดรีมบีสต์ดังขึ้นในอากาศ


 


“ถ้าอย่างนั้นนี่เป็นความฝันแบบไหนกัน?” หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“มันคือฝันร้าย” เสียงของดรีมบีสต์จางหายไป


 


หานเซิ่นต้องการจะถามอะไรอย่างอื่นอีก แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคำรามดังมาจากซากปรักหักพัง ซีโน่เจเนอิคหลายตัวเริ่มปีนออกมาจากซากปรักหักพักและวิ่งเข้ามาหาหานเซิ่น


 


หานเซิ่นสังเกตว่ารอบๆตัวของเขานั้นมีซีโน่เจเนอิคอยู่เต็มไปหมด มันกำลังวิ่งเข้ามาหาเขาจากรอบด้าน แม้แต่บนท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยพวกมัน


 


‘เวรเอ้ย! นี่เป็นแค่ความฝันเท่านั้น เราจะตื่นขึ้นเมื่อเราตาย’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


“ถ้าเจ้าตายในความฝันนี้ ร่างกายของเจ้าจะยังคงอยู่ดี แต่จิตใจของเจ้าจะสูญสิ้น ซึ่งเจ้าอาจจะตกอยู่ในสภาพผัก” เสียงของดรีมบีสต์ดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

 


ตอนที่ 2022

 

จิตใจที่เข้มแข็ง

ภายในห้องเก็บของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง หวี่เสียวเหม่ยกำลังอยู่ในท่าทางแปลกประหลาด เธอเหงื่อท่วมตัวและผิวของเธอก็แดงไปหมด


 


“ฉันทำมันได้” หวี่เสียวเหม่ยนอนหายใจพะงาบๆอยู่บนพื้น


 


เธอรู้สึกราวกับว่ากระดูกกำลังจะแหลกสลาย กล้ามเนื้อของเธอปวดไปหมด ถ้าเธอขยับตัว เธอก็จะรู้สึกเหมือนกับว่าถูกทิ่มแทงด้วยเข็ม


 


หลังจากที่เธอเซ็นสัญญากับเป่าเอ๋อ ชีวิตที่น่าเศร้าของเธอก็เริ่มต้นขึ้น เธอต้องทำทุกอย่างที่เป่าเอ๋อบอกให้ทำ


 


เป่าเอ๋อบอกเธอว่านี่คือวิชาจีโนที่ทรงพลัง แต่เธอรู้สึกว่ามันเป็นการทรมานมากกว่า มันเป็นกระบวนการที่เจ็บปวดอย่างมาก


 


“ไม่เป็นอะไร ถ้าครูไม่ต้องการที่จะฝึกมัน เรื่องหนี้ของคุณครูนั้น”


เป่าเอ๋อกำลังนั่งอยู่บนกองไม้และโบกใบสัญญาไปมา


 


เมื่อหวี่เสียวเหม่ยเห็นกระดาษพวกนั้น เธอก็กัดฟันและทนฝึกวิชาจีโนต่อไป


 


จนถึงตอนนี้เธอเป็นหนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และหนี้ของเธอในตอนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะจ่ายคืนได้ในหลายชั่วชีวิต


 


หวี่เสียวเหม่ยเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถทนต่อสิ่งยั่วยวนที่เป่าเอ๋อเป็นคนเสนอขึ้นมา เธอถูกดึงดูดด้วยชุดและเครื่องประดับอันหรูหรา ดังนั้นเธอจึงเซ็นสัญญาไปหลายฉบับ ซึ่งพวกมันทั้งหมดต่างก็เป็นสัญญาที่ไม่ยุติธรรม


 


และเนื่องจากยังไงเธอก็ไม่สามารถจ่ายคืนได้อยู่แล้ว เธอจึงเซ็นสัญญาเพื่อติดหนี้มากขึ้น


 


“พอแค่นี้ก่อน พวกเราค่อยมาฝึกต่อในวันพรุ่งนี้”


เป่าเอ๋อสังเกตเวลา หลังจากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องเก็บของไป


 


“เด็กเวร” หวี่เสียวเหม่ยนอนแน่นิ่งไปกับพื้น



 


ตอนนี้หานเซิ่นเองก็เศร้าใจไม่ต่างอะไรไปจากหวี่เสียวเหม่ย เขากำลังต่อสู้กับซีโน่เจเนอิคชนิดต่างๆในความฝันที่ถูกส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซีโน่เจเนอิคนั้นหลั่งไหลกันเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด และมันก็ไม่มีสถานที่ให้เขาหลบซ่อนตัวได้เช่นเดียวกัน ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือฆ่าพวกมัน


 


แต่เนื่องจากเขากำลังอยู่ในความฝัน เขาจึงเหนื่อยล้าแค่ทางจิตใจเท่านั้น ร่างกายของเขาไม่มีวันเหนื่อย และเขาก็ต่อสู้ได้อย่างไม่ต้องหยุดพัก


 


แต่ทว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือกุญแจหัวในนภายังคงทำงานภายในความฝัน มันทำให้เขารู้สึกหดหู่


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าตัวเองต่อสู้มาเป็นเวลานานแค่ไหนแล้ว และตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะเบื่อเต็มทน


 


พวกซีโน่เจเนอิคนั้นทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา ซึ่งหลายๆตัวหานเซิ่นไม่เคยเห็นมาก่อน และซีโน่เจเนอิคทั้งหมดยังมีพลังที่แตกต่างกันออกไป พวกมันจึงให้รู้สึกเหมือนของจริงในสายตาของหานเซิ่น ทุกอย่างดูสมจริงจนยากที่จะบอกได้ว่าเขาอยู่ในความฝันจริงๆหรือเปล่า หานเซิ่นใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อต่อสู้กับพวกมัน และเขาก็เฉียดความตายหลายต่อหลายครั้ง


 


ดรีมบีสต์มองดูหานเซิ่นด้วยสีหน้าแปลกๆ ดรีมบีสต์บอกกับหานเซิ่นว่าเขาจะกลายเป็นผักถ้าเกิดตายในความฝัน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องโกหก มันสามารถทำให้จิตใจของหานเซิ่นตายไปได้จริงๆถ้ามันต้องการ


 


แต่ดรีมบีสต์ไม่ได้มีแผนที่จะฆ่าหานเซิ่น มันทำแบบนั้นก็เพื่อให้หานเซิ่นต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ มันต้องการดูว่าหานเซิ่นจะเอาตัวรอดได้นานสักแค่ไหน


 


แต่ความสามารถของหานเซิ่นเหนือกว่าที่มันคิดเอาไว้มาก ในตอนแรกมันคิดว่าหานเซิ่นคงจะเอาตัวรอดได้เพียงแค่หนึ่งเดือน แต่ตอนนี้หานเซิ่นต่อสู้อยู่ในความฝันอย่างไม่หยุดมาเป็นเวลา 4 เดือนแล้ว


 


มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่หานเซิ่นสามารถฆ่าซีโน่เจเนอิคเหล่านั้นได้ เพราะพวกมันถูกตั้งให้อยู่ในระดับเดียวกับหานเซิ่น แม้แต่ซีโน่เจเนอิคระดับสูงก็ถูกลดพลังให้ทัดเทียมกับพลังของหานเซิ่น


 


ดรีมบีสต์ทำแบบนี้ก็เพื่อให้หานเซิ่นได้เรียนรู้เกี่ยวกับซีโน่เจเนอิคชนิดต่างๆ


 


แต่ท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือด หานเซิ่นไม่พลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว จิตใจของเขาไม่เคยเสียสมาธิ ซึ่งมันยากที่จะหาเอิร์ลที่มีจิตใจเข็มแข็งแบบนั้นได้อีก


 


‘เจ้านี่ต้องมีประสบการณ์อะไรบางอย่างมาก่อนแน่ ไม่อย่างนั้นเขาจะมีจิตใจที่เทียบกับไผ่เดียวดายได้ยังไงกัน?’ ดรีมบีสต์คิด


 


แต่ทว่าจิตใจของหานเซิ่นกำลังอ่อนลงเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยังไม่พลาดเลยสักครั้ง ดรีมบีสต์รู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้มันน่ากลัวขนาดไหน แต่หานเซิ่นก็ยังคงไม่คิดที่จะยอมแพ้


 


สำหรับดรีมบีสต์ หานเซิ่นนั้นเจิดจรัสเหมือนกับอัญมณี


 


ดรีมบีสต์ถอนหายใจออกมา หลังจากนั้นมันก็ดึงหานเซิ่นกลับออกมาจากความฝัน


 


ดรีมบีสต์ไม่ได้ต้องการจะฆ่าหานเซิ่น ถ้าเหตุการณ์แบบนั้นยังคงดำเนินต่อไป จิตวิญญาณของหานเซิ่นก็อาจจะเหนื่อยล้าจนเกินไป และถ้าเป็นอย่างนั้นหานเซิ่นก็อาจจะตายไปจริงๆไม่ใช่แค่ตายภายในความฝัน


 


หานเซิ่นร่วงลงบนพื้น เขารู้สึกราวกับว่าสมองกำลังจะระเบิด นั่นเป็นสภาพของคนที่จิตใจเหนื่อยล้ามากเกินไป


 


ดรีมบีสต์ส่งหานเซิ่นกลับไปที่เกาะของเขา และหลังจากที่พักผ่อนอยู่หลายวัน หานเซิ่นก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ


 


เมื่อหานเซิ่นฟื้นตัวแล้ว จิตใจของเขาก็กระจ่างแจ้งขึ้นมา ประสาทสัมผัสของเขาเฉียบแหลมขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่ทำให้หานเซิ่นดีใจที่สุดก็คือตอนนี้เขากลับมาเป็นอิสระแล้ว


 


หานเซิ่นรู้ว่าดรีมบีสต์แค่จะช่วยเขาฝึกเท่านั้น แต่เขาก็ชื่นชอบความรู้สึกอิสรภาพมากกว่า


 


เมื่อหานเซิ่นตื่นขึ้นมา เขาก็ให้บับเบิลลอกเลียนแบบเขาและนอนลงบนเตียง หลังจากนั้นเขาก็แอบกลับเข้าไปในสหพันธ์ เขาอุ้มหลิงเอ๋อขึ้นมาและหอมแก้มของเธอ หลังจากนั้นเขาก็อุ้มจีเหยียนหรันต่อ หานเซิ่นคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา


 


ไม่มีใครมายุ่งอะไรกับหานเซิ่นอีก และเขาก็ใช้เวลาหนึ่งเดือนต่อมาไปกับการพักผ่อน เขาเกือบจะลืมไปเลยว่ากุญแจหัวใจนภายังคงล็อคร่างกายของเขาอยู่


 


วันเวลาที่มีความสุขผ่านพ้นไป แต่หลังจากที่ผ่านไปอีก 2 เดือน กระเรียนพันขนก็มาหาหานเซิ่นที่เกาะ


 


“ซีโน่เจเนอิคสเปชเทพโบราณ? นั่นคือสถานที่แบบไหนกัน?”


หานเซิ่นถามกระเรียนพันขนด้วยความสับสน เขาไม่รู้ว่าทำไมผู้นำของปราสาทนภาถึงต้องการส่งเขาไปที่นั่น


 


กระเรียนพันขนดูกังวล “ซีโน่เจเนอิคสเปชเทพโบราณคือซีโน่เจเนอิคสเปชถัดจากระดับบารอน พวกเราไม่ได้เป็นเจ้าของมัน แต่ทุกครั้งที่มันเปิด มันจะมีตำแหน่งว่างให้พวกเราหนึ่งที่ ข้าไม่คาดคิดว่าท่านผู้นำจะเลือกเจ้า”


 


“การไปที่นั่นมีประโยชน์อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


“แน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้าต้องขอเตือนเอาไว้ว่ามันเป็นอะไรที่อันตราย แม้แต่เอิร์ลระดับสุดยอดหรือมาร์ควิสก็อาจจะไม่รอดชีวิตออกกลับออกมา” กระเรียนพันขนพูด


 


“มันอันตรายยังไง?” หานเซิ่นรู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเป็นกังวล เขาไม่ได้เกรงกลัวอันตราย และถ้าผู้นำปราสาทนภาต้องการให้เขาไปที่นั่น มันก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้


 


“ซีโน่เจเนอิคในซีโน่เจเนอิคสเปชเทพโบราณนั้นเป็นอันตราย แต่ข้าไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนัก เพราะข้าไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน แต่อาจารย์ของข้าบอกว่ามันไม่ได้มีแค่ซีโน่เจเนอิคที่เจ้าต้องระวัง มันยังมียอดฝีมือจากเผ่าพันธุ์อื่นเข้าไปที่นั่นพร้อมกับเจ้าด้วย” กระเรียนพันขนอธิบาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)