Super God Gene 1995-2006
ตอนที่ 1995
เจ้าทำแบบนั้นได้ไหม?
หานเซิ่นถอนหายใจ ขณะที่พยายามคิดหาวิชาที่จะเอาชนะไผ่เดียวดาย เขาเชี่ยวชาญหลายวิชา แต่เมื่อเทียบกับไผ่เดียวดายแล้ว วิชาของเขาก็ถือว่าน้อยนิด
ไผ่เดียวดายสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อฝึกฝนวิชาจนเชี่ยวชาญในหนึ่งความฝัน แต่ทว่าหานเซิ่นเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เขายังมีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาไม่สามารถจะเทียบชั้นกับไผ่เดียวดายได้
ถ้าพวกเขายังแข่งขันกันแบบนี้ต่อไป หานเซิ่นก็จะไม่มีวิชาเหลือให้ใช้อีก ดังนั้นเขาจำเป็นต้องรีบจบการต่อสู้นี้
‘เราจะเอาชนะไผ่เดียวดายได้ยังไง?’ หานเซิ่นสงสัย แต่หลังจากนั้นความคิดอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของเขา
หานเซิ่นกวัดแกว่งมีดเขี้ยวผีสิง แต่มันไม่ได้ตรงเข้าไปหาไผ่เดียวดาย เขาฟันใส่หินที่อยู่บนพื้นและตัดเป็นสี่เหลี่ยมมุมฉากที่ยาวสิบเมตร จากนั้นเขาก็วางมันลงบนพื้น
ผู้ชมรู้สึกสงสัยและไม่แน่ใจว่าหานเซิ่นกำลังทำอะไร
หานเซิ่นชกด้านหนึ่งของก้อนหิน หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับไผ่เดียวดาย “เจ้าทำแบบนั้นได้ไหม?”
ทุกคนคิดว่าที่หานเซิ่นพูดฟังดูแปลกๆ นั่นเพราะว่าเมื่อหานเซิ่นชกใส่ก้อนหิน มันไม่มีร่องรอยอะไรถูกทิ้งเอาไว้เลย พวกเขาจึงไม่รู้ว่าหานเซิ่นหมายความว่ายังไง
ไผ่เดียวดายใช้มือเป็นเหมือนกับมีดและฟันใส่ก้อนหินจนขาดครึ่ง
หลังจากนั้นผู้คนก็รู้สึกตัวว่าภายในก้อนหินมีรอยหมัดของหานเซิ่นอยู่ มันถูกเห็นได้ชัดเจนหลังจากที่ไผ่เดียวดายฝ่าก้อนหินเปิดออก ซึ่งที่ใจกลางของก้อนหินมีรูที่พอดีกับหมัดของหานเซิ่นอยู่
“เป็นพลังหยินที่ทรงพลงมากๆ เขาชกใส่ก้อนหินที่ยาวสิบเมตรโดยไม่ทำให้มันได้รับความเสียหาย ด้วยพลังหยินนี้ ชุดเกราะก็เป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา” บางคนในฝูงชนพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
ไผ่เดียวดายไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ชกใส่ก้อนหินที่ถูกตัดครึ่ง และมันก็เป็นเหมือนกับหานเซิ่น ซึ่งก้อนหินดูจะไม่ได้รับความเสียดายใดๆ
หานเซิ่นใช้มีดตัดครึ่งก้อนหินและพบว่าด้านในมีรอยหมัดอยู่ แม้แต่ตำแหน่งก็ยังเหมือนกับกับของเขา
“ยอดเยี่ยม” หานเซิ่นพูดชม หานเซิ่นต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะฝึกคลื่นหยินหยางจนใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ แต่ไผ่เดียวดายก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเขาเลย
ไผ่เดียวดายพูดอย่างไร้อารมณ์ “ในชีวิตที่ 731 ข้าเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอ แต่ข้าเกิดในครอบครัวนักมวย ข้าถูกรังแก แต่ข้าก็สร้างวิชาหมัดที่ใช้พลังหยินขึ้นมาได้สำเร็จ มันไม่ได้ทรงพลังอะไรมาก แต่มันทำร้ายคนอื่นจากภายใน ข้าฆ่าผู้คนที่รังแกข้าและกลายเป็นตัวร้ายที่มีชื่อเสียง แต่สุดท้ายข้าก็ถูกพิษเข้า และในที่สุดข้าก็หมดลมหายใจ”
ไผ่เดียวดายพูดออกมาอย่างสงบราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผู้ชมรู้สึกเศร้าใจที่ได้ยินเรื่องพวกนั้น
“ถึงตาของเจ้าแล้ว” หานเซิ่นพูด เขารู้สึกโศกเศร้าที่ได้ยินเกี่ยวกับความฝันของไผ่เดียวดาย
ไผ่เดียวดายหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมาและแทงมันลงไปในพื้นเหมือนกับแผ่นศิลาจารึก ทำปล่อยให้ส่วนหนึ่งของหินตั้งสูงขึ้นมา 7-8 เมตร
หานเซิ่นมองดูไผ่เดียวดายอย่างไม่แน่ใจว่าเขากำลังจะทำอะไร ถ้าพวกเขาจะประลองด้านการเขียนเพื่อแข่งขันกันที่จิตใจ หานเซิ่นก็สามารถใช้จิตแห่งมีดได้ ดังนั้นเขาจะไม่แพ้
ซึ่งไผ่เดียวดายเองก็รู้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นหานเซิ่นไม่คิดว่านี่จะเป็นแค่การแข่งขันการเขียนธรรมดาๆ
ไผ่เดียวดายมองไปที่ก้อนหิน แต่เขาไม่ได้ชักดาบออกมา เขาถอยออกไป 10 เมตรและพูด “ดาบของข้าจะตีฝ่าทั้ง 9 ขั้น เจ้าล่ะทำได้ไหม?”
ผู้ชมที่มองดูอยู่รู้สึกสับสน พวกเขาไม่รู้ว่านั่นหมายความว่ายังไง นอกจากนั้นเขาเพียงแค่พูดออกมาและไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น
ยวิ๋นซู่อีเองก็สับสนเช่นกัน ในจังหวะที่เธอกำลังจะถาม มันก็มีการระเบิดเกิดขึ้นมา หลังจากนั้นตัวอักษร ‘ข้าต้องการจะตีฝ่าทั้ง 9 ขั้น’ ก็ปรากฏอยู่บนแผ่นหิน ราวกับว่ามันถูกสลักด้วยอาวุธ
“พลังเสียงไม่ใช่พลังที่หายากอะไร แต่ไผ่เดียวดายเขียนตัวอักษรที่ทรงพลังได้ด้วยการใช้พวกมัน คงจะไม่มีใครคนอื่นทำได้เหมือนกับเขาแล้ว” ดยุกคนหนึ่งรู้สึกตกตะลึง
“ไผ่เดียวดายได้เก็บสะสมวิชาและประสบการณ์มาจากความฝัน คนธรรมนั้นคงจะดีใจมากแล้ว ถ้าเชี่ยวชาญในสักวิชาหนึ่งได้ หานเซิ่นฝึกวิชามีดและพลังหยินจนถึงขั้นสูงสุดตั้งแต่ที่ยังหนุ่ม ซึ่งถือว่าหาได้ยากมากๆแล้ว มันไม่มีทางที่เขาจะเชี่ยวชาญพลังเสียงเช่นเดียวกัน”
“ข้ากลัวว่าหานเซิ่นจะแข่งขันในเรื่องนี้กับไผ่เดียวดายไม่ได้”
“มันไม่มีใครจะเทียบชั้นกับไผ่เดียวดายได้ ถึงแม้หานเซิ่นจะแข็งแกร่งก็ตาม แต่การจะแข่งขันกับไผ่เดียวดายนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ขณะที่ผู้ชมกำลังตกตะลึงกับพลังเสียงของไผ่เดียวดาย หานเซิ่นก็ยิ้มออกมาและถาม “ชีวิตไหนกันที่เจ้าเรียนรู้วิชานี้?”
สีหน้าของไผ่เดียวดายไม่เปลี่ยนแปลง เขาพูดออกมาอย่างสงบ
“มันเป็นชีวิตที่ 3754 ในชีวิตนั้นข้าเป็นนักดนตรีที่ฆ่าผู้อื่นด้วยเสียงเพลง ข้าถูกขังอยู่ในหุบเขาและถูกฆ่าด้วยเสียงสะท้อนของพลังเสียงตัวเอง”
หานเซิ่นส่ายหัวและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินไปที่อีกด้านของก้อนหินและทำเช่นเดียวกับที่ไผ่เดียวดายทำ เขายืนห่างจากแผ่นหินไปสิบเมตรและสูดหายใจเข้าลึกๆ
“หานเซิ่นจะทำได้ไหม?” ยวิ๋นซู่อีเป็นกังวล เธอรู้ว่าไม่สามารถมีความสัมพันธ์แบบรักใคร่กับหานเซิ่นได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธออยากจะเห็นหานเซิ่นล้มเหลว
ยวิ๋นซู่ซางยิ้มแห้งๆออกมา “พี่คงจะบอกไม่ได้ แต่มันมีคนไม่มากนักที่จะฝึกพลังเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝึกจนถึงขั้นนี้ พวกเราไม่เคยเห็นหานเซิ่นใช้วิชาที่เกี่ยวข้องกับพลังเสียงมาก่อนเลย นี่อาจจะเป็นเรื่องแย่สำหรับเขา”
ตอนนี้ยวิ๋นซู่อีรู้สึกกังวลยิ่งกว่าเดิม เธอต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่เธอจะได้พูด หานเซิ่นก็เริ่มพูดออกมาอีกครั้ง
“การนั่งในหมู่เมฆาจะโดดเดี่ยวและเหน็บหนาว” หานเซิ่นพูด เขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับมันมากนัก เขาแค่ต้องการจะปลอบโยนไผ่เดียวดาย
ไผ่เดียวดายทุกข์ทรมานกับฝันร้ายเป็นหมื่นๆครึ่ง ถึงแม้เขาจะได้กลายเป็นอัจฉริยะในที่สุด หานเซิ่นก็รู้ว่าเขาคงจะต้องโศกเศร้าและโดดเดียว ไม่มีใครรู้ว่ามันยากขนาดไหนกว่าที่เขาจะมาถึงจุดนี้ได้
หลังจากที่หานเซิ่นพูดออกมา แผ่นหินก็ระเบิดออก คำเหล่านั้นปรากฏขึ้นบนแผ่นหิน ในสายตาคนนอกมันเหมือนกับแรงกดดันที่หนักอึ้ง ผู้ชมรู้สึกหดหู่และเสียใจราวกับหัวใจของพวกเขากำลังจมลงไปในอก
ตอนที่ 1996
หนึ่งดาบปลุกปีศาจ
“ว้าว! หมอนี่มีพลังเสียงที่ทรงพลังด้วยหรอเนี่ย?” ผู้ชมต่างก็อ้าปากค้าง
ยวิ๋นซู่อีดีใจอย่างมาก เธอหันไปหายวิ๋นฉางคงและถาม
“ท่านพ่อ นี่หมายความว่าหานเซิ่นผ่านการทดสอบของไผ่เดียวดายใช่ไหม?”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น” ยวิ๋นฉางคงมองไปยังตัวอักษรที่หานเซิ่นเขียน แต่เนื่องจากเขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องพลังเสียง เขาจึงไม่สามารถตัดสินอย่างแม่นยำได้
“มันถึงตาของเจ้าแล้ว” ไผ่เดียวดายมองคำที่หานเซิ่นเขียน เขาดูประหลาดใจอยู่ชั่วขณะ แต่ใบหน้าของเขาก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
หานเซิ่นรู้สึกดีใจ เขาได้เรียนรู้วิชาดาบหกวิถีมาจากจักรพรรดิหกวิถี และในหมู่พวกมันก็มีดาบเสียงอยู่ มันเป็นอะไรที่โชคดี ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะเป็นฝ่ายแพ้ไปแล้ว
วิชาดาบของหกวิถีนั้นแข็งแกร่ง พวกมันไม่ได้แย่ไปกว่าวิชาที่ถูกฝึกในจักรวาลจีโนเลย ถ้าหกวิถีเกิดในที่แห่งนี้ เขาก็คงจะนักดาบที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแน่นอน
เมื่อคิดเกี่ยวกับวิชาดาบของหกวิถี หานเซิ่นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
‘ดาบจิตวิญญาณของหกวิถีจะกระตุ้นเศร้าหมองและทำลายจิตใจของคู่ต่อสู้ มันจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในความเศร้าโศก ซึ่งไผ่เดียวดายนั้นประสบอะไรมามาก ดังนั้นเขาจะต้องเคยรู้สึกโศกเศร้ามาก่อน ยิ่งคนๆนั้นเศร้าหมองมากเท่าไหร่ มันก็จะมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น บางทีมันอาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้เราชนะได้’
หานเซิ่นมองไปที่ไผ่เดียวดายและยิ้มออกมา “ข้ามีวิชาดาบอยู่วิชาหนึ่ง เจ้าอยากจะดูมันไหม?”
“เชิญ” ไผ่เดียวดายตอบ
หานเซิ่นเริ่มเคลื่อนไหว ในตอนที่เขาเรียนรู้วิชาดาบของหกวิถี เขาได้ฝึกวิถีดาบหัวใจก่อน นั่นทำให้เขาเคยชินกับวิถีดาบหัวใจอย่างมาก วิถีอื่นนั้นๆไม่สามารถเทียบได้กับความเชี่ยวชาญของเขาในวิถีนี้
หานเซิ่นประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นเขาก็ชี้มันออกไปที่หน้าผากของไผ่เดียวดาย
ไผ่เดียวดายไม่ได้หลบ เขายืนอย่างสงบนิ่งและมองดูการแสดงของหานเซิ่น แต่เมื่อนิ้วมือของหานเซิ่นปล่อยดาบแสงมาสู่หน้าผากของเขา สีหน้าของไผ่เดียวดายก็เปลี่ยนไป
เหล่าราชันของปราสาทสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของไผ่เดียวดาย มันทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าวิชาดาบที่หานเซิ่นใช้มีความพิเศษยังไง ถึงได้ทำให้สีหน้าของไผ่เดียวดายเปลี่ยนแปลงไปแบบนั้น
ในสายตาของคนทั่วๆไปหรือแม้แต่ราชันเอง พวกเขาก็คิดว่ามันเป็นแค่การโจมตีธรรมดาที่ดูจะไม่ได้มีอะไรพิเศษ
“นี่คืออะไร? มันมีความแตกต่างอะไรอย่างนั้นหรอ? ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีพลังพิเศษอะไรอยู่ในดาบแสงที่หานเซิ่นปล่อยออกมาเลย”
“ถ้าเจ้าเห็นมัน เจ้าก็คงจะกลายเป็นไผ่เดียวดายอีกคนแล้ว”
วินาทีต่อมา นิ้วมือของหานเซิ่นก็ไปอยู่บนหน้าผากของไผ่เดียวดาย หลังจากนั้นเขาก็ดึงมือกลับและถอยออกมายืนที่จุดเดิม
สีหน้าของไผ่เดียวดายดูย่ำแย่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงราวกับว่าเขาพยายามจะควบคุมตัวเองเอาไว้ แต่พลังอันน่ากลัวในตัวของเขากำลังหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ พลังในร่างกายของเขาเป็นเหมือนกับอสูรที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ในตัวของเขา ถึงแม้เขาจะปล่อยมันเล็ดลอดออกมาเพียงแค่นิดเดียว แต่มันก็เป็นอะไรที่ดูน่าสะพรึงกลัว
“โอ้ ไม่นะ! การโจมตีของหานเซิ่นปลุกปีศาจในตัวของไผ่เดียวดาย” ยวิ๋นฉางคงหน้าถอดสีไป
“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีและคนอื่นไม่เข้าใจ พวกเขาจึงหันไปหายวิ๋นฉางคง
ยวิ๋นฉางคงมีสีหน้าที่ซับซ้อน เขาอธิบาย “จิตใจที่ถูกทรมานของไผ่เดียวดายกำลังเจ็บปวดขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้เขาจะผ่านพ้นฝันร้ายเป็นหมื่นครั้งมาได้ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง แต่มันก็ไม่มีวันที่จิตใจของเขาจะรู้สึกสงบสุข มันเหมือนกับตอนที่เกิดน้ำท่วมและจำเป็นต้องสร้างเขื่อนขึ้นมาเพื่อหยุดการไหลของน้ำเอาไว้”
“น้ำทั้งหมดยังคงถูกกักเก็บอยู่ที่เดิมและไม่ได้หายไปไหน ยิ่งเขาพยายามหยุดความคิดเหล่านั้นมากเท่าไหร่ ความโศกเศร้าที่เขาจะรู้สึกก็มากขึ้นเท่านั้น ลองจินตนาการถึงความน่ากลัวในการมีชีวิตที่เลวร้ายเป็นหมื่นชีวิตอยู่ในจิตใจดู”
“แต่ที่สุดแล้วเขาก็อดทดต่อฝันร้ายทั้งหมื่นและรอดจากความเศร้าโศกมาได้ แต่วิชาดาบของหานเซิ่นดูเหมือนจะไปกระตุ้นความเศร้าหมองของเขาให้แสดงออกมา อารมณ์ที่ถูกเก็บเอาไว้เป็นเวลาหมื่นๆปีจะถูกระเบิดออกมา มันน่ากลัวยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้สึกในชีวิต อารมณ์ที่ถูกปลดปล่อยออกมานี้อาจจะทำลายจิตใจของเขาได้เลย ซึ่งไผ่เดียวดายอาจจะ…” ยวิ๋นฉางคงหยุดพูด เขาดูกังวล
ไผ่เดียวดายหายใจออกมาราวกับอสูรร้าย พร้อมกับมีเส้นเลือดสีเขียวนูนขึ้นมา เขาสูญเสียความสงบก่อนหน้านี้ไปจนหมด เขาดูเหมือนกับปีศาจที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากกรงขัง เพียงแค่มองก็ทำให้ผู้ชมหลายๆคนรู้สึกหวาดกลัวแล้ว
ไผ่เดียวดายคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า อารมณ์ที่ถูกเก็บเอาไว้ในตัวของเขาระเบิดออกมา
มันปกคลุมสนามประลองด้วยความรู้สึกที่น่ากลัวจนยากจะบรรยายได้ แม้แต่ศิษย์ของปราสาทนภาที่อยู่บนอัฒจันทร์ก็สามารถรู้สึกถึงมันได้ คนที่มีจิตใจอ่อนแอเริ่มที่จะร้องไห้ออกมา พวกเขารู้สึกสิ้นหวังและอยากตาย
บารอนหลายคนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พวกเขาชักดาบออกมาและชี้ไปที่คอของตัวเอง พวกเขารู้สึกกับว่ามันไม่มีความหวังอีก และที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ความโศกเศร้าเท่านั้น พวกเขารู้สึกราวกับว่าไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมอีกแล้ว และความตายก็คือสิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการ
ทันใดนั้นก็มีพลังบางประหลาดพุ่งออกมาจากปราสาทและเข้าปกคลุมสนามประลอง มันแยกไผ่เดียวดายออกจากโลกภายนอก
ผู้ชมที่กำลังจะเฉือนคอตัวเองตื่นจากหมดสะกด พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจากสิ่งที่เกิดขึ้น
ในสนามประลองไผ่เดียวดายจ้องมองหานเซิ่นด้วยใบหน้าที่ดูน่ากลัว
หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายจะหนักอึ้งถึงขนาดนี้ มันเกินความคาดหมายของเขามาก และเขาก็รู้สึกเสียใจที่ทำอย่างนั้นไป ถ้าไผ่เดียวดายไม่สามารถทนต่อมันได้และพยายามฆ่าตัวตาย ถึงแม้ยอดฝีมือของปราสาทนภาจะสามารถช่วยเขาเอาไว้ได้ เขาก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยจิตใจที่แตกสลาย
หานเซิ่นต้องการจะชนะก็จริง แต่เขาไม่ได้ต้องการที่จะทำลายไผ่เดียวดายแบบนั้น
แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว อารมณ์ที่ถูกกักเก็บเอาไว้ของไผ่เดียวดายถูกปลดปล่อยออกมา ซึ่งแม้แต่หานเซิ่นก็ไม่สามารถหยุดมันเอาไว้ได้
“พ่อ มันกำลังเกิดอะไรขึ้น” ยวิ๋นซู่ซางถามด้วยเสียงที่สั่น
สีหน้าของยวิ๋นฉางคงดูหม่นหมอง เขาพูดขึ้นอย่างช้าๆ
“พรสวรรค์ของหานเซิ่นน่ากลัวเกินไป เขากระตุ้นความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายออกมาอย่างสมบูรณ์ มันทำให้ปีศาจของไผ่เดียวดายถูกปลุกขึ้นมา นี่มันจะนำไปสู่ความเป็นไปได้ 2 อย่าง หนึ่งเขาเอาชนะปีศาจในจิตใจของตัวเองได้และได้สติกลับคืนมา อีกอย่างหนึ่งก็คือเขาพ่ายแพ้ให้กับมัน ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาอาจจะพยายามฆ่าตัวตายหรือแม้แต่ฆ่าผู้อื่น”
“ไผ่เดียวดายจะเอาชนะปีศาจในตัวของเขาได้ไหม?” กระเรียนพันขนถาม
“ยาก!” ยวิ๋นฉางคงพูดออกมาแค่คำเดียว
ตอนที่ 1997
สู้กับข้า
ครั้งนี้หานเซิ่นรับรู้ความจริงว่าได้ทำบางสิ่งที่ทำร้ายผู้อื่นโดยที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาได้ไปทำลายเขื่อนที่กักเก็บความเจ็บปวดเป็นหมื่นๆชีวิตของไผ่เดียวดายไปแล้ว
คนที่อยู่นอกสนามประลองนั้นได้รับการปกป้องจากยอดฝีมือ ขณะที่ภายในสนามประลองก็มีเพียงแค่ไผ่เดียวดายและหานเซิ่นเท่านั้นที่ยืนต้านคลื่นความเจ็บปวดอยู่ ความรู้สึกของไผ่เดียวดายถาโถมเข้ามาที่หานเซิ่น
หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าชีวิตเป็นสีเทา สิ้นหวัง เจ็บปวด โศกเศร้าและเต็มไปด้วยความเสียใจ ความรู้สึกทั้งหมดเข้ามาหาเขาพร้อมๆกัน และไม่ว่าจิตใจของเขาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถต้านพวกมันเอาไว้ได้ทั้งหมด
เจ้าสาวที่งดงามเดินออกมาจากรถม้าสีแดง เธอกำลังจะแต่งงานกับชายรูปหล่อ แต่ในระหว่างพิธี กลุ่มโจรได้บุกเข้ามา ดาบแสงแว๊บวับและเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว เสียงหัวเราะดังขึ้นในอากาศและเจ้าสาวผู้งดงามก็ถูกข่มขืนจนตายต่อหน้าสามีของเธอ
ในชีวิตนี้ไผ่เดียวดายตายโดยที่ดวงตายังไม่ถูกปิด
ในป่าแห่งหนึ่ง แม่เสือกำลังเล่นกับลูก 2 ตัวของมัน แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นมา แม่เสือถูกยิงด้วยยาระงับประสาท ทำไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เธอมองดูลูกทั้ง 2 ตัวถูกถลกหนังและถูกย่างเป็นอาหาร ดวงตาของแม่เสือร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด
ในชีวิตนี้ไผ่เดียวดายหวังที่จะตาย
บนท้องฟ้า นักดาบคนหนึ่งกำลังต่อสู้กับศัตรูจำนวนมาก เขาฆ่าศัตรูไปหลายคน แต่เขาได้รับบาดเจ็บ เขาหมดเรี่ยวแรงและล้มลงไปในที่สุด
ชายวัยกลางคนจับหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้ขณะที่มองไปที่นักดาบคนนั้นอย่างดูถูก “ไผ่เดียวดาย เจ้าตายไปซะเถอะ ข้าจะเล่นกับผู้หญิงของเจ้าและช่วยดูแลบ้านของเจ้าเอง แต่บางทีข้าอาจจะฆ่าลูกชายของเจ้า”
นักดาบคำรามด้วยความโกรธ แต่ความตายไม่ใช่สิ่งที่เขาจะหนีได้ เขาตายภายใต้เท้าของชายคนนั้นโดยไม่มีแรงแม้แต่จะดึงเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
ในทุกความฝันนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ทุกๆชีวิตของของเขาต่างก็มีจุดจบที่แสนเศร้า
ความสิ้นหวังของไผ่เดียวดายทำให้หานเซิ่นอยากจะเป็นบ้า ความรู้สึกของไผ่เดียวดายถาโถมเข้ามาใส่หานเซิ่น ขณะที่เขาได้เห็นสิ่งที่ไผ่เดียวดายต้องประสบด้วยตาตัวเอง
ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้มีประสบการณ์ในฝันทั้งหมดของไผ่เดียวดาย แต่เขาก็ได้เห็นภาพที่เศร้าที่สุดในความทรงจำของไผ่เดียวดาย พวกมันถูกส่งตรงเข้ามาในจิตใจของหานเซิ่น ทำให้หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ตรงนั้นด้วย
หานเซิ่นต้องการจะใช้จิตใจที่แข็งแกร่งเอาชนะความเศร้าหมอง แต่มันน่ากลัวเกินไป ซึ่งเขาไม่สามารถต้านพวกมันเอาไว้ได้ เขาถูกบังคับให้ประสบเรื่องราวที่แสนเศร้าของไผ่เดียวดาย พวกมันทำให้เขารู้สึกอยากจะตาย
หานเซิ่นพยายามตั้งสมาธิเพื่อต่อต้านความรู้สึกอันโศกเศร้าของไผ่เดียวดาย
ภายในสนามประลองไผ่เดียวดายและหานเซิ่นยังคงยืนต่อหน้ากัน ไผ่เดียวดายดูเหมือนกับปีศาจ ขณะที่หานเซิ่นหลับตาของเขาลงด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว
ความเงียบสงัดในตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่เขากำลังต่อสู้กัน ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวของไผ่เดียวดายกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ไผ่เดียวดายดูสิ้นหวังราวกับว่าเขาต้องการจะนำหายนะมาสู่ทุกสิ่งทุกอย่าง มือของเขาขยับไปหาดาบหยกที่ห้อยอยู่ที่เอว
“โอ้ไม่นะ! ไผ่เดียวดายคงจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” ยวิ๋นฉางคงพูดด้วยสีหน้าที่ดูย่ำแย่
เหล่าผู้อาวุโสของปราสาทนภามารวมตัวที่สนามประลอง พวกเขาจ้องมองไปที่ไผ่เดียวดายด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ความโศกเศร้าและโดดเดี่ยวหลายพันปีเป็นสิ่งที่แม้แต่ราชันก็ไม่สามารถทนได้ แม้แต่ผู้นำของปราสาทนภาเองก็ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์เช่นนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่มองเท่านั้น
ถ้าหัวใจของคนๆนั้นเจ็บปวด เขาก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง ถ้าไผ่เดียวดายไม่สามารถทำได้ แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้
สถานการณ์ของหานเซิ่นเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าไผ่เดียวดาย ตอนนี้จิตใจของเขากำลังถูกกลืนกินโดยความว่างเปล่าที่แพร่เข้ามาในตัวของเขา
ไม่ว่าคนๆหนึ่งจะมีจิตใจแข็งแกร่งสักแค่ไหน ทุกคนก็มีความรู้สึกอยู่ ชีวิตที่หานเซิ่นได้เห็น แม้แต่พระเจ้าก็ต้องร้องไห้ ซึ่งหานเซิ่นนั้นเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง
ดวงตาของหานเซิ่นเริ่มจะหมดชีวิตชีวา และร่างกายของเขาก็ให้รู้สึกเหมือนกับซากศพ
“แย่แล้ว หานเซิ่นกำลังถูกกลืนกินโดยปีศาจในจิตใจของไผ่เดียวดาย”
กระเรียนพันขนสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติ เขาจึงหันไปพูดกับยวิ๋นฉางคง “ท่านอาจารย์ พวกเราควรจะพาหานเซิ่นออกมาไหม?”
“ตอนนี้เราจะพาหานเซิ่นออกมาไม่ได้ เขาคือคนที่กระตุ้นความเศร้าโศกของไผ่เดียวดาย ตัวตนของเขากำลังช่วยเหลือไผ่เดียวดายอยู่ และเขาก็ยังต้องการจะชนะ ถ้าหานเซิ่นถูกพาตัวออกมา ไผ่เดียวดายก็จะสูญเสียจุดประสงค์ทั้งหมดของเขาไป และมันจะไม่มีความหวังอะไรอีก” ยวิ๋นฉางคงส่ายหัวและพูด
ดวงตาของไผ่เดียวดายดูอาฆาต ใบหน้าของเขาดูเหมือนกับปีศาจ ลมหายใจของเขาเหมือนกับอสูรร้าย เส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นมาตามผิวหนังของเขา เขาค่อยๆดึงดาบหยกออกมาอย่างช้าๆ
ในปราสาทนภา ผู้หญิงคนหนึ่งขมวดคิ้ว
“ท่านผู้นำ ไผ่เดียวดายไม่อาจจะควบคุมปีศาจของเขาได้ ท่านไม่คิดจะเข้าไปช่วยเขาอย่างนั้นหรอ?”
ผู้นำของปราสาทนภาส่ายหัว “ถ้าพวกเราเข้าไปก้าวก่ายในตอนนี้ พวกเราก็ช่วยได้แค่ศพของเขาเท่านั้น เขาจำเป็นต้องช่วยเหลือตัวเอง”
“ปีศาจอยู่ในหัวใจของเขา แล้วเขาจะช่วยเหลือตัวเองได้ยังไงกัน?” ผู้หญิงคนนั้นพูด
“ถ้าจิตใจของเขายังคงศรัทธาอยู่ เขาก็ยังมีโอกาสจะรอดชีวิตไปได้” ผู้นำของปราสาทนภาพูด
“เขาจะหาความศรัทธานั่นได้จากไหน?” ผู้หญิงคนนั้นถาม
ผู้นำของปราสาทนภาไม่ได้ตอบอะไร เขาแค่มองไปที่สนามประลอง
ไผ่เดียวดายชักดาบหยกของเขาออกมา มันเป็นดาบที่สะอาดไร้ซึ่งรอยขีดข่วนหรือแม้แต่ฝุ่นละออง แต่ดาบหยกนั้นปลดปล่อยออร่าที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ราวกับว่ามันถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟจากนรก
หลังจากนั้นภายใต้น้ำหนักของความเศร้าโศก ร่างกายของไผ่เดียวดายก็ลุกไหม้ในเปลวไฟสีดำ มันเป็นไฟที่ดูสยดสยอง
ไผ่เดียวดายยกดาบหยกขึ้นและเริ่มเดินเข้าไปหาหานเซิ่นอย่างช้าๆ ขณะที่เดินไปนั้นปากของเขาขยับ แต่เขาพูดเสียงเบาเกินกว่าที่คนอื่นจะได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“ไผ่เดียวดายตกอยู่ภายใต้การควบคุมของปีศาจในหัวใจแล้วอย่างนั้นหรอ?” กระเรียนพันขนถาม
ยอดฝีมือและผู้อาวุโสต่างก็คิดว่าไผ่เดียวดายถูกควบคุมโดยปีศาจในหัวใจ และมันก็ต้องการจะปลดปล่อยความโกรธกับหานเซิ่น
ศิษย์ของปราสาทนภาเห็นไผ่เดียวดายเดินเข้าไปหาหานเซิ่น ตอนนี้ไผ่เดียวดายนั้นดูเหมือนกับปีศาจกินคน
หานเซิ่นยังคงยืนนิ่งและหลับตาอยู่ มันเหมือนกับว่าเขาไม่รู้ว่าไผ่เดียวดายเดินเข้ามา หน้าของเขาซีดเผือกและตัวตนของเขาก็อ่อนลงอย่างรวดเร็ว
ฝันร้ายทั้งหมดถาโถมเข้ามาในหัวของเขาอย่างไม่หยุด ถึงแม้พวกมันจะไม่จริงสำหรับเขา เพราะมันเป็นฝันของไผ่เดียวดาย แต่พวกมันก็ฝังลึกเข้าไปในหัวใจของเขา
ไผ่เดียวดายเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหานเซิ่น จากนั้นเขาก็ยกดาบขึ้นและฟันใส่หานเซิ่น
ยวิ๋นซู่อีกรีดร้องออกมา
ยวิ๋นฉางคงและผู้อาวุโสคนอื่นๆกำลังลังเลว่าควรจะเข้าไปช่วยหานเซิ่นดีไหม
แต่ดาบของไผ่เดียวดายไปไม่ถึงตัวของหานเซิ่น ปลายดาบชี้ไปที่จมูกของหานเซิ่น หลังจากนั้นเขาก็คำรามออกมาราวกับสัตว์ประหลาด
“สู้กับข้า!”
“เขายังไม่แพ้!” เมื่อผู้ชมเห็นอย่างนั้น พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้น
หานเซิ่นลืมตาขึ้นและชักมีดเขี้ยวผีสิงของเขาออกมา
ตอนที่ 1998
การต่อสู้ระหว่างมีดและดาบ
เสียงการปะทะกันของมีดและดาบดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทคนิคที่หานเซิ่นและไผ่เดียวดายใช้เป็นอะไรที่เรียบง่าย แต่พวกมันก็เป็นอะไรที่ร้ายแรงเช่นกัน
การต่อสู้ก่อนหน้านี้เป็นอะไรที่น่าทึ่งก็จริง แต่มันไม่ใช่การต่อสู้จริงๆ พวกเขาเพียงแค่ประลองวิชากันเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กันจริงๆ การเคลื่อนไหวของพวกเขาเรียบง่ายและชัดเจน มันไม่ได้มีท่วงท่าอะไรที่พิเศษ แต่ทุกการโจมตีเป็นอะไรที่น่ากลัวอย่างมาก การพลาดเพียงแค่นิดเดียวนั้นหมายถึงความเป็นความตาย
เคร๊ง! เคร๊ง! เคร๊ง!
มีดและดาบยังคงปะทะกันอย่างต่อเนื่อง จิตแห่งดาบและจิตแห่งมีดของนักสู้ทั้ง 2 ปกคลุมทั่วสนามประลอง
จิตใจของพวกเขาทั้งคู่กำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป และทันใดนั้นพวกมันก็พัฒนาสู่การต่อสู้ระดับราชัน พวกเขาเป็นเหมือนกับม้าคลั่งที่ไม่สามารถหยุดวิ่งได้
“จิตใจของพวกเขากำลังแข็งแกร่งขึ้น นี่มันขี้โกงชัดๆ นี่พวกเขากำลังจะพัฒนาสู่ระดับเทพเจ้า ขณะที่พวกเขายังเป็นแค่ระดับเอิร์ลอย่างนั้นหรอ?”
“ที่จิตใจของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น มันเป็นเพราะความโศกเศร้าผลักดันพวกเขาไปข้างหน้า พวกเขาไม่อาจจะหนีผลกระทบของมันที่มีตัวพวกเขาได้”
“ถ้าพวกเขาเป็นแค่เอิร์ล แล้วทำไมการต่อสู้ของพวกเขาถึงได้เหนือกว่าระดับของพวกเขามากนัก?”
“น่าเสียดาย ถ้าพวกเขายังต่อสู้ต่อไป มันจะไม่มีผู้ชนะ แต่มันจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายที่เหลือรอด”
“แต่ถ้าพวกเขาไม่ต่อสู้ มันก็จะเกิดโศกนาฏกรรมอยู่ดี สำหรับตอนนี้ไผ่เดียวดายยังมีศรัทธาอยู่ แต่ถ้าพวกเขาหยุดต่อสู้กัน ไผ่เดียวดายก็จะถูกความโศกเศร้ากลืนกิน”
“หลังจากที่การต่อสู้ครั้งนี้จบลง มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะดำเนินการสอบต่อไป มันไม่มีใครในระดับเอิร์ลอีกแล้วที่จะต่อกรกับพวกเขาได้”
ยวิ๋นซู่อีรู้สึกหวาดกลัว เธอจับไหล่ของยวิ๋นซู่ซาง หัวใจของเธอเต้นรัวเช่นเดียวกับเสียงปะทะกันของมีดและดาบ สีหน้าของเธอดูซีดเซียว
ยวิ๋นซู่ซางช่วยพยุงเธอเอาไว้
“ท่าอาจารย์ ถ้าพวกเขายังต่อสู้กันต่อไป ความโศกเศร้าก็จะส่งผลต่อพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราควรจะหยุดพวกเขาไหม?”
กระเรียนพันขนเห็นว่าสถานการณ์ของพวกเขาทั้ง 2 เป็นอะไรที่ย่ำแย่
ยวิ๋นฉางคงส่ายหัว “มันสายเกินไปแล้วที่พวกเขาจะถอย ถ้าพวกเราทำอย่างนั้นพวกเขาจะต้องตาย สำหรับตอนนี้พวกเขาทำได้แต่เดินหน้าต่อไปเท่านั้น พวกเขากำลังเดินหน้าสู่ขุมนรก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป พวกเขาจำเป็นต้องรอดจากการปลดปล่อย แบบนั้นพวกเขาก็ยังมีโอกาสอยู่”
“รอดจากการปลดปล่อย?” ยวิ๋นซู่อีรีบถามขึ้นมา
ยวิ๋นฉางคงถอนหายใจและพูด “ความโศกเศร้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พวกเขาต่อสู้กัน แต่มันก็เป็นการปลดปล่อยพลังงานด้านลบออกมาด้วยเช่นกัน ไผ่เดียวดายเก็บกดมาเป็นเวลายาวนาน ตอนนี้ถ้าเขาปลดปล่อยพวกมันทั้งหมดออกมาได้ มันก็มีหวังที่เขาจะรอด ถึงมันจะเป็นเรื่องยาก แต่มันไม่มีอะไรอย่างอื่นที่เขาจะทำได้อีกแล้ว”
“แล้วหานเซิ่นล่ะ? เขาจำเป็นต้องปลดปล่อยพลังงานด้านลบออกมาไหม?” ยวิ๋นซู่อีถาม
ยวิ๋นฉางคงส่ายหัว “สำหรับเขามันกลับกัน เขาไม่จำเป็นต้องปลดปล่อยอะไร ตอนนี้เขาถูกความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายเข้าครอบงำ ดังนั้นหานเซิ่นต้องต่อสู้เพื่อป้องกันไม่ให้ความรู้สึกของไผ่เดียวดายทำลายจิตใจของเขา ตอนนี้เขากำลังต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง”
“สถานการณ์นี้จะจบยังไงมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวหานเซิ่น ถ้าเขาพ่ายแพ้ให้กับปีศาจในหัวใจของไผ่เดียวดาย ไผ่เดียวดายก็จะสูญเสียจุดประสงค์ของตัวเองและพ่ายแพ้ให้กับปีศาจเช่นเดียวกัน และถึงแม้หานเซิ่นจะต่อต้านปีศาจนั้นได้ ถ้าหานเซิ่นเกิดพ่ายแพ้ต่อไผ่เดียวดาย ผลลัทธ์ก็จะออกมาเหมือนเดิม ดังนั้นหานเซิ่นจะพ่ายแพ้ต่อตัวเองหรือไผ่เดียวดายไม่ได้เด็ดขาด”
เมื่อได้ยินยวิ๋นฉางคงพูดอย่างนั้น ยวิ๋นซู่อีก็กังวลมากขึ้นกว่าเดิม
จิตใจของทั้ง 2 นั้นแข็งแกร่งมาก และถึงจะมีม่านพลังระดับราชันครอบเอาไว้ มันก็ยังคงรั่วไหลออกมาอยู่ดี ศิษย์ของปราสาทนภาหลายคนได้รับผลกระทบ พวกเขาต้องการที่จะตายหรือทำลายอะไรสักอย่าง
มันมีก้อนเมฆก้อนหนึ่งลอยอยู่เหนือสนามประลอง ภายในก้อนเมฆสีขาวนั้นมีอสูรตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ก้อนเมฆนั่นเริ่มแพร่ขยายออกราวกับน้ำและเข้าปกคลุมทั้งสนามประลอง เพื่อที่ผู้ชมจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร
อสูรตัวนั้นคือดรีมบีสต์ เมื่อเห็นความรู้สึกของหานเซิ่นและไผ่เดียวดายกำลังพัฒนาเหนือกว่าระดับของราชัน และเหล่าราชันไม่สามารถจะต้านความรู้สึกที่ออกมาจากพวกเขาทั้ง 2 ได้อีก ดรีมบีสต์จึงออกมาช่วยกักเก็บอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาทั้งคู่ มันทำให้แน่ใจว่าความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายจะไม่รั่วไหลออกไปส่งผลกระทบต่อศิษย์ของปราสาทนภาที่อยู่รอบๆ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเก็บความเศร้าโศกแบบนั้นและเดินหน้าต่อไปได้
มีดของหานเซิ่นเคลื่อนไหวอย่างบ้าระห่ำ และจิตแห่งมีดของเขากำลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของเขาเป็นเหมือนกับอสูรที่สามารถฉีกมิติจนขาดสะบั้น
หานเซิ่นได้รับจิตแห่งมีดระดับเทพเจ้ามาจากฝักมีดที่เจอในสุสานปีศาจ แต่มันไม่ได้เป็นของของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะใช้พลังของมันได้จนถึงขีดสุด
แต่ตอนนี้ภายใต้การถูกกลืนกินจากความโศกเศร้าของไผ่เดียวดาย หานเซิ่นก็ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาต่อกรกับคู่ต่อสู้ตรงหน้า มันทำให้เขาเข้าใจจิตแห่งมีดของวิชามีดเขี้ยวดาบมากขึ้นกว่าเดิม มันกำลังปรับตัวเข้ากับหานเซิ่น แต่ก่อนจิตแห่งมีดก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้มันกำลังกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสัญชาตญาณของเขา
จิตแห่งมีดของวิชามีดเขี้ยวดาบนั้นจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การทำลายล้างอันบ้าคลั่งของมันก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปภายใต้ความเศร้าโศกของไผ่เดียวดาย
เมื่อหานเซิ่นผสานเข้ากับจิตแห่งมีดของวิชามีดเขี้ยวดาบ มีดเขี้ยวผีสิงของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
ที่มีดเขี้ยวผีสิงติดตามหานเซิ่นนั่นเป็นเพราะจิตแห่งมีดระดับเทพเจ้าที่เขามีอยู่ มันไม่ใช่เพราะตัวหานเซิ่นเอง และด้วยความสามารถในการใช้จิตแห่งมีดระดับเทพเจ้าที่ถูกจำกัด เขาจึงไม่สามารถจะปลดล็อคพลังที่แท้จริงของมีดเขี้ยวผีสิงได้
แต่เมื่อหานเซิ่นรวมเป็นหนึ่งกับจิตแห่งมีดระดับเทพเจ้า พลังที่แท้จริงของมีดเขี้ยวผีสิงก็ตื่นขึ้นมา
ตูม!
หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่หลั่งไหลออกมาจากมีดเขี้ยวผีสิง แต่ในขณะเดียวกันรอยบนหน้าผากของไผ่เดียวดายก็เริ่มเปิดออก ดวงตัวอีกดวงเปิดขึ้นบนหน้าผากของไผ่เดียวดายและเริ่มมีเลือดไหลออกมาจากดวงตานั้น
หานเซิ่นเคยเห็นดวงตาดวงที่ 3 ของกระเรียนพันขนมาก่อน ซึ่งมันกระจ่างใส แต่ของไผ่เดียวดายนั้นต่างออกไป
ดวงตาดวงที่ 3 ของไผ่เดียวดายเต็มไปด้วยจิตสังหาร เพียงแค่มองมันก็มากพอที่จะทำให้วิญญาณของคนๆนั้นสั่นกลัว
เมื่อดวงตาดวงที่ 3 ของไผ่เดียวดายเปิดออก พลังของเขาก็เพิ่มขึ้น และด้วยความเร็วกับพละกำลังที่น่าเหลือเชื่อ เขาก็เทเลพอร์ตมาตรงหน้าหานเซิ่น
ตอนที่ 1999
ปีศาจบดบังท้องฟ้า
หานเซิ่นฟันใส่ไผ่เดียวดาย แต่ไผ่เดียวดายไม่ได้คิดที่จะหลบ เขายื่นมือออกมาเพื่อจับใบมีดของมีดเขี้ยวดาบ มีเลือดไหลออกมาจากมือของเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยมือจากมัน
หานเซิ่นพยายามที่จะดึงมันกลับมา แต่เขาไม่สามารถดึงมีดเขี้ยวผีสิงออกมาจากกำมือของไผ่เดียวดายได้ เมื่อไผ่เดียวดายเปิดดวงตานภาของเขา ตอนนี้เขาก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก
ก่อนที่หานเซิ่นจะได้ทำอะไรต่อไป ดวงตานภาของไผ่เดียวดายก็ปล่อยแสงสีแดงออกมา
หานเซิ่นต้องการจะใช้มือข้างซ้ายป้องกันแสงสีแดง แต่มืออีกข้างของไผ่เดียวดายกำลังใช้ดาบหยกฟันเข้ามา
มันไม่มีอะไรที่หานเซิ่นจะทำได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วและปล่อยมือออกจากมีดเขี้ยวผีสิงเพื่อหลบแสงสีแดงและดาบหยก เมื่อหานเซิ่นโยกหลบการโจมตีของไผ่เดียวดายแล้ว เขาก็ชกใส่ข้อมือของคู่ต่อสู้และทำให้ดาบหยกหลุดจากมือของไผ่เดียวดาย หลังจากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปเพื่อคว้ามัน
ยวิ๋นฉางคงและผู้อาวุโสคนอื่นพูดออกมาอย่างพร้อมเพียง “โอ้ ไม่นะ!”
“มีอะไรอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีถามด้วยสีหน้าที่ดูกังวล
ยวิ๋นฉางคงขมวดคิ้ว “ไผ่เดียวดายกำลังถูกกลืนกินโดยปีศาจในหัวใจ เขาต้องการจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งมีดเขี้ยวผีสิงของหานเซิ่นก็เป็นมีดที่ชั่วร้ายและต้องการจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเช่นกัน เมื่อมันไปอยู่ในมือของไผ่เดียวดาย มันก็ทำให้ปีศาจในหัวใจของเขาเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม”
ยวิ๋นฉางคงยิ้มแห้งๆออกมา “ส่วนดาบหยกของไผ่เดียวดายนั้นไม่ใช่อาวุธศักดิ์สิทธิ์อะไร มันเป็นแค่ดาบธรรมที่ใช้สำหรับฝึกเท่านั้น นอกจากความทนทานของมันแล้ว มันก็เป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ หานเซิ่นแลกเปลี่ยนอาวุธระดับราชันที่เข้ากับวิชามีดเขี้ยวดาบกับดาบสำหรับฝึกธรรมดาๆ นอกจากนั้นไผ่เดียวดายก็เปิดดวงตานภาของเขา พ่อไม่คิดว่าหานเซิ่นจะทนการจู่โจมของไผ่เดียวดายไปได้นานกว่านี้?”
“เป็นไปได้ยังไงกัน… นั่นมันดาบหยกของไผ่เดียวดาย ทำไมมันถึงเป็นแค่ดาบสำหรับฝึกธรรมดาๆได้?” ยวิ๋นซู่อีและคนอื่นๆดูแปลกใจ
ยวิ๋นฉางคงถอนหายใจออกมาและไม่ได้อธิบายอะไรอีก
หลังจากที่ไผ่เดียวดายจับมีดเขี้ยวผีสิง มันก็กระตุ้นจิตสังหารในตัวของเขา ตอนนี้เขาดูเหมือนกับปีศาจที่ต้องการจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้
ตูม!
เขาฟันใส่หานเซิ่น มีดแสงที่พุ่งออกมาดูเหมือนกับปีศาจที่เข้ามากลืนกินหานเซิ่น มันดูเหมือนกับวิชามีดเขี้ยวดาบที่ขาดพลังเขี้ยว แต่มันมีพลังของมีดเขี้ยวผีสิงที่รวมกับพลังจากความโศกเศร้าที่ระเบิดออกมาจากตัวของไผ่เดียวดาย มันทรงพลังยิ่งกว่าตอนที่หานเซิ่นใช้ซะอีก
“ท่านผู้นำ ท่านจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยจริงๆหรอ? หานเซิ่นไม่มีทางจะป้องกันการโจมตีแบบนั้นได้ พวกเขาทั้งคู่จะถูกทำลาย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
ผู้นำของปราสาทนภาหลี่ตาและพูดขึ้นมา “มันไม่มีอะไรต้องรีบร้อน”
ผู้หญิงคนนั้นดูเสียใจและพูด “ไผ่เดียวดายเป็นลูกศิษย์ของท่าน ส่วนหานเซิ่นก็เป็นลูกศิษย์ของอี๋ซา ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ต้องไปแจ้งอี๋ซาด้วยตัวเอง แต่ท่านจะทำอะไรก็ได้ เนื่องจากท่านไม่หวาดกลัวนาง”
ในสนามประลอง หานเซิ่นกำลังถือดาบหยกอยู่ในมือและปลดปล่อยจิตแห่งดาบออกมา วิชาที่เขาใช้คือวิชาที่ไผ่เดียวดายใช้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้อาวุธถูกสลับเจ้าของและวิชาที่ใช้ก็ถูกสลับเช่นกัน แต่การต่อสู้ก็ยังคงดำเนินต่อไป
“ว้าว ศิษย์พี่ไผ่เดียวดายใช้มีดได้ และหานเซิ่นก็ใช้ดาบได้เช่นเดียวกัน? นี่มันประหลาดมากๆ มันไม่มีทางที่เขาจะเป็นเหมือนกับศิษย์พี่ไผ่เดียวดายที่มีประสบการณ์จากฝันร้ายหรอกใช่ไหม?”
“เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ต่อสู้กับไผ่เดียวดายแบบนี้ได้”
แม้แต่ราชันอย่างยวิ๋นฉางคงก็ยังประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะสามารถฝึกฝนวิชาดาบถึงขั้นที่สามารถต่อกรกับไผ่เดียวดายได้ นอกจากนั้นวิชาดาบของเขาน่ากลัวยิ่งกว่าวิชามีดซะอีก โชคร้ายที่เขายังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดี
ไผ่เดียวดายนั้นมีดวงตานภาและมีดเขี้ยวผีสิง ซึ่งนั่นทำให้ร่างกายระดับเอิร์ลของหานเซิ่นดูด้อยกว่ามาก
แถมหานเซิ่นยังคงต้องระมัดระวัง เขารู้ว่าไม่สามารถจะใช้โหมดราชันสปิริตขั้นสุดยอดที่นี่ได้ และเขาก็ไม่สามารถใช้วิชาดาบของตัวเองได้เช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาใช้วิชาดาบของไผ่เดียวดายในการต่อสู้
หานเซิ่นใช้งานเครื่องหมายมดราชินีและเรียกรองเท้าเขี้ยวกระต่ายกับถุงมือมิงค์หมอกแดงออกมา เมื่อทำอย่างนั้นหานเซิ่นก็แก้ไขสถานการณ์ที่คับขันได้สำเร็จ
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปและมันเป็นอะไรที่น่าทึ่ง ทุกคนจ้องไปที่หานเซิ่นและไผ่เดียวดายอย่างไม่ต้องการที่จะคาดสายตาแม้แต่นิดเดียว
ร่างกายของไผ่เดียวดายแข็งแกร่งขึ้นจากดวงตานภา และพลังของมีดเขี้ยวผีสิงก็ถูกปลุกขึ้นด้วยความโศกเศร้าของเขา ทุกการโจมตีนั้นเต็มไปด้วยพลังที่มากพอจะทำลายมิติ
ในขณะที่ทางด้านของหานเซิ่นไม่ได้ใช้พลังอะไรมาก แต่วิชาดาบของเขาไร้ที่ติ เมื่อเขาเคลื่อนไหว ดาบหยกในมือของเขาก็เป็นเหมือนกับดอกบัว เขาไม่ได้ตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ
ทันใดนั้นไผ่เดียวดายก็ถอยออกไปและทิ้งระยะห่างจากหานเซิ่น ดวงตาดวงที่ 3 ของเขาจ้องมองมาที่หานเซิ่น มันดูเหมือนกับดวงตาของปีศาจ
หานเซิ่นมองกลับไปที่ไผ่เดียวดาย แต่เขาไม่ได้รู้สึกดีใจอะไร เขากำลังรู้สึกกดดัน
ไผ่เดียวดายถือมีดเขี้ยวผีสิงอยู่ในมือ ตัวตนที่ดูเหมือนกับปีศาจของเขาดูเหมือนกับว่ากำลังจะลุกเป็นไฟ ทันใดนั้นเขาก็สร้างไฟที่ลุกโชติช่วงขึ้นไปสู่ท้องฟ้าออกมา
“เพิ่มระดับขึ้น?” ยวิ๋นฉางคงและคนอื่นตกตะลึง
ศิษย์ของปราสาทนภาทุกคนเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ในท่ามกลางเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ไผ่เดียวดายได้พัฒนาเป็นระดับมาร์ควิส
ดวงตานภาของเขาเป็นสีแดงราวกับทะเลเลือด เมื่อไผ่เดียวดายเพิ่มระดับขึ้น ทะเลสีแดงในดวงตานภาของเขาก็ดูล้ำลึกขึ้นเช่นกัน พลังอันน่ากลัวถูกปลดปล่อยออกมาจากดวงตานั้น และทำให้ร่างกายของไผ่เดียวดายแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
มีดเขี้ยวผีสิงในมือของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน มีดกำลังลุกเป็นไฟราวกับปีศาจกำลังคำรามออกมา
การพัฒนาไปสู่ระดับมาร์ควิสของไผ่เดียวดายทำลายสมดุลของการต่อสู้ พลังอันไร้ที่สิ้นสุดหลั่งไหลเข้าไปในมีดและทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น เปลวไฟของมีดนั้นเป็นเหมือนกับของปีศาจและมันก็ครอบงำทั้งสนามประลอง
ตอนนี้หานเซิ่นตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ไม่สามารถแม้แต่จะปลดปล่อยพลังของเขาออกมาได้
สถานที่แห่งนั้นเงียบสงัดไป มีเพียงแค่เสียงจากมีดที่ลุกโชติช่วงเท่านั้นที่ยังคงดังขึ้นมาราวกับกองไฟ
ตอนที่ 2000
ศาสตร์ตงเสวียนสำแดงฤทธิ์
ไฟของมีดเขี้ยวผีสิงดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆจนไผ่เดียวดายเองก็เกือบที่จะควบคุมมันเอาไว้ไม่อยู่ เขากำลังสร้างการโจมตีที่รุนแรงที่สุดเพื่อจบการต่อสู้ครั้งนี้
สนามประลองที่พังพินาศกำลังสั่นสะเทือนด้วยพลังอันมหาศาลของเปลวไฟที่น่ากลัวของมีดเขี้ยวผีสิง พื้นที่พวกเขายืนอยู่เริ่มจะยุบตัวลงไป
แต่ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันแบบนั้น มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ในตอนที่คนอย่างหานเซิ่นตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่คับขัน เขามักจะแสดงความสามารถได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
การเผชิญหน้ากับไผ่เดียวดายที่เพิ่งจะวิวัฒนาการเป็นมาร์ควิสนั้นเพิ่มความอยากชนะของหานเซิ่น มันทำให้พลังในด้านลบที่กำลังกลืนกินเขาอยู่มีผลน้อยลง
ชุดเกราะมนตราเรืองแสงสีขาวออกมา ผิวและกระดูกของหานเซิ่นเปลี่ยนไฟเป็นสีของหยก เลือดในตัวของเขากำลังเดือดขึ้นมา
หานเซิ่นยกดาบหยกในมือขึ้นตรงหน้า ดาบหยกนั้นขาดพลังพิเศษ แต่มันแทบจะไม่มีร่องรอยแตกร้าวอะไรเลยหลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือด ซึ่งแสดงให้ถึงความทนทานของมัน
หานเซิ่นลูบใบมีดของดาบหยกและใส่พลังของตัวเองเข้าไป มันหลับใหลอยู่ภายในดาบและรอคอยที่จะถูกปลดปล่อยออกมา
เมื่อเห็นท่าทางของหานเซิ่น ยวิ๋นซู่อีก็จับไหล่ของยวิ๋นซู่ซางและถาม
“นี่หานเซิ่นตั้งใจจะรับการโจมตีครั้งต่อไปอย่างนั้นหรอ?”
“ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น” ยวิ๋นซู่ซางก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมหานเซิ่นถึงทำแบบนั้น ถ้าพวกเขาทั้งคู่เป็นมาร์ควิสเหมือนกัน หานเซิ่นก็อาจจะมีโอกาสอยู่ แต่ทว่าตอนนี้พวกเขาแตกต่างกันอยู่ขั้นหนึ่ง มันจึงไม่มีทางที่หานเซิ่นจะรับการโจมตีเต็มกำลังของไผ่เดียวดายได้
“เขาไม่มีทางเลือกนอกจากรับการโจมตีครั้งนี้” ยวิ๋นฉางคงพูด
“ทำไมกัน?” ยวิ๋นซู่อีถามด้วยสีหน้าสับสน
“สนามประลองนั้นแคบเกินไป และตราบใดที่หานเซิ่นยังอยู่ในสนามประลอง เขาก็ไม่มีทางจะหลบมันได้พ้น ดังนั้นเขาจะต้องใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อรับมัน” ยวิ๋นฉางคงพูด
“เขาจะป้องกันการโจมตีแบบนั้นไหม? มันมีความแตกต่างกันถึงหนึ่งขั้นระหว่างเอิร์ลและมาร์ควิส” เสียงของยวิ๋นซู่อีสั่นไหว เธอดูกังวลอย่างมาก
“เขาจะป้องกันมันได้” ก่อนที่ยวิ๋นฉางคงจะตอบ ก็มีใครบางคนเดินเข้ามาและตอบคำถามแทนเขา
ยวิ๋นซู่อีหันไปตามหาเสียงที่ดังขึ้นมาและเห็นชายคนหนึ่ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขาดูกังวลยิ่งกว่านักสู้ในสนามประลองซะอีก
“อวี้จิง เจ้ารู้ได้ยังไงว่าหานเซิ่นจะรับการโจมตีครั้งนี้ได้น่ะ?” กระเรียนพันขนถามอวี้จิง
“ยาเฟิงโฮ่ว ข้าได้มอบยาเฟิงโฮ่วให้กับเขา ถ้าเขาใช้มัน เขาก็จะใช้พลังของมาร์ควิสได้ชั่วคราว ดังนั้นเขาจะรับการโจมตีครั้งนี้ได้และเขาจะเป็นฝ่ายชนะ” อวี้จิงดูเหมือนกับว่าเขากำลังพูดกับตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
“ยาเฟิงโฮ่ว?” ยวิ๋นซู่ซางและคนอื่นดูแปลกใจ “ทำไมเจ้าถึงได้มอบยาเฟิงโฮ่วให้กับเขากัน?”
“ข้าเดิมพันทรัพย์สินทุกอย่างที่มีว่าเขาจะเป็นฝ่ายชนะ เขาจะต้องชนะ ไม่อย่างนั้นข้าก็จะหมดเนื้อหมดตัว” อวี้จิงกำหมัดแน่นจนเล็บของเขาจิกเข้าไปในผิวหนัง
ถ้าคู่ต่อสู้ของหานเซิ่นไม่ใช่ไผ่เดียวดาย อวี้จิงก็คงจะไม่เข้าตาจนแบบนี้ ตอนนี้ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาขึ้นอยู่กับผลของการประลองครั้งนี้
“มันถือเป็นเรื่องดีที่เขามียาเฟิงโฮ่ว ถ้าเป็นอย่างนั้นหานเซิ่นก็จะเป็นฝ่ายชนะได้” ยวิ๋นซู่อีดูดีใจอย่างมากเมื่อได้ยินว่าหานเซิ่นยังมีโอกาสอยู่
ยวิ๋นฉางคงถอนหายใจและพูด “เขาจะมีโอกาส ถ้าเขากินมันเข้าไปตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว”
“มันจะสายเกินไปได้ยังไง?” อวี้จิงพูด ความกลัวที่จะหมดเนื้อหมดตัวของเขาทำให้เขาพูดออกมาอย่างค่อนข้างเสียมารยาท
แต่ยวิ๋นฉางคงไม่ได้ติดใจอะไร เขาพูดออกมาอย่างใจเย็น
“จิตแห่งมีดของไผ่เดียวดายนั้นล็อคเป้าไปที่หานเซิ่นเรียบร้อยแล้ว การเคลื่อนไหวเพียงแค่นิดเดียวจะทำให้ไผ่เดียวดายโจมตีออกมา และเจ้าคิดว่าเขาจะมีเวลาพอที่จะกินยาเข้าไปอย่างนั้นหรอ?”
อวี้จิงดูเหมือนกับว่าเขาถูกไฟฟ้าช็อค เขาตัวแข็งทื่อไป
ยวิ๋นซู่อีที่เพิ่งจะรู้สึกดีใจขึ้นมา ตอนนี้เธอกลับมากังวลอีกครั้ง
“พวกเราจะทำยังไงดี? พวกเราจะปล่อยให้ไผ่เดียวดายฆ่าหานเซิ่นอย่างนั้นหรอ?”
“ท่านผู้นำไม่มีทางจะนิ่งเฉยและปล่อยให้หานเซิ่นถูกฆ่าแน่ แต่ถ้าเขาเข้ามาหยุดไผ่เดียวดายในตอนนี้ จิตใจของไผ่เดียวดายก็จะถูกทำลาย” ยวิ๋นฉางคงพูดด้วยความเสียใจ
ในสนามประลอง พลังของมีดเขี้ยวผีสิงยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นยังคงยกดาบหยดเอาไว้ตรงหน้า เขาดูเหมือนกับขุนเขาที่ไม่มีวันสั่นคลอน
พลังงานอันน่าพิศวงอย่างหนึ่งเริ่มไหวเวียนในร่างกายของหานเซิ่น มันคือพลังของศาสตร์ตงเสวียน ภายใต้แรงกดดันของคู่ต่อสู้ ในที่สุดศาสตร์ตงเสวียนของเขาก็พัฒนาสู่ระดับเอิร์ล ออร่าศาสตร์ตงเสวียนห่อหุ้มหานเซิ่นด้วยพลังมหาศาล
ถึงแม้มันจะไม่มากพอที่จะต่อสู้กับจิตแห่งมีดของไผ่เดียวดาย แต่พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาก็ทำให้ดวงตาของหานเซิ่นกระจ่างขึ้น
ในตอนนี้จิตแห่งมีดและความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายเป็นสิ่งที่หานเซิ่นสามารถมองเห็นได้ในรูปแบบห่วงโซ่โครงสร้างลำดับ พวกมันเป็นเหมือนกับใยแมงมุมที่อยู่รอบๆตัวของเขา
เมื่อออร่าศาสตร์ตงเสวียนของเขาทรงพลังขึ้น ห่วงโซ่โครงสร้างลำดับก็สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น รายละเอียดเล็กน้อยที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนตอนนี้กระจ่างแจ้งอยู่ตรงหน้าของเขา
ตูม!
พลังของศาสตร์ตงเสวียนระเบิดในร่างของหานเซิ่น มันเจาะเข้าไปในทุกเซลล์ในร่างกายของเขา
พลังนั้นทำลายความรู้สึกที่ล่ามตัวหานเซิ่นเอาไว้ ภายใต้ความโศกเศร้าและจิตแห่งมีดของไผ่เดียวดาย ในที่สุดหานเซิ่นก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา เขารู้สึกราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับเปลวไฟและสายลม แต่พวกมันแค่กำลังบ้าคลั่งอยู่รอบๆตัวของเขาแทนที่จะส่งผลต่อตัวเขา
แรงกดดันทั้งหมดหายไปอย่างปลิดทิ้ง และไม่ว่าพวกมันจะทรงพลังยังไง ในสายตาของหานเซิ่นพวกมันก็เป็นแค่ห่วงโซ่โครงสร้างลำดับ
พลังที่แตกต่างกันหลายอย่างกำลังไหลเวียนในตัวของหานเซิ่นและมันก็ถูกส่งเข้าไปในดาบหยก ดาบหยกเริ่มจะส่องแสงสว่างไสวออกมา
จิตแห่งมีดของวิชามีดเขี้ยวดายเริ่มที่จะผสานเข้ากับจิตแห่งดาบของหานเซิ่น ซึ่งพวกมันเข้ากันได้เป็นอย่างดี แสงจากดาบหยกเริ่มที่จะดับเปลวไฟของมีดเขี้ยวผีสิงรอบๆตัวของเขา
หานเซิ่นยืนถือดาบอยู่ตรงหน้าอย่างเงียบสงบ เขาดูเหมือนกับเทพเจ้าที่ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ และไม่ว่าไผ่เดียวดายหรือมีดเขี้ยวผีสิงจะเพิ่มพลังขึ้นสักแค่ไหน มันก็ไม่สามารถจะข่มพลังของหานเซิ่นได้
ตอนที่ 2001
จุดจบของการต่อสู้
ศิษย์ของปราสาทนภาอ้าปากค้าง ขณะที่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น พลังของหานเซิ่นดูเหมือนจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับของไผ่เดียวดาย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้รู้สึกราวกับว่าพวกเขาทั้งคู่นั้นเท่าเทียมกัน
เหล่าราชันสังเกตกระแสพลังของหานเซิ่น และพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นมัน พวกเขารู้สึกเช่นเดียวกับศิษย์ของปราสาทนภา แต่พวกเขาสามารถเข้าใจได้มากกว่า
หานเซิ่นไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับไผ่เดียวดายที่ตอนนี้กลายเป็นมาร์ควิส แต่ดูเหมือนว่ากระแสพลังของเขาไม่ได้ถูกข่มและมันก็กำลังทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ
ถึงแม้จิตแห่งมีดของไผ่เดียวดายจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่หานเซิ่นก็ไม่ได้ถูกบดขยี้ภายใต้ความหนักหน่วงของมัน
พวกเขาทั้งคู่กำลังปลดปล่อยพลังเข้มข้นที่น่าสะพรึงกลัวออกมา และมันเห็นได้ชัดเจนในสายตาของทุกคน ผู้ชมที่มองดูการต่อสู้อยู่ไม่สามารถมองเห็นหานเซิ่นและไผ่เดียวดายได้อีกต่อไป มันเห็นเพียงแค่ปีศาจที่ชั่วร้ายกำลังตัวสู้กับเงาหยกสีขาว เมื่อพลังทั้ง 2 ปะทะกัน มันก็เหมือนกับกลางวันและกลางคืน ไม่มีฝ่ายไหนที่ได้เปรียบและก็ไม่มีฝ่ายไหนที่คิดจะถอย
ตูม!
พลังของพวกเขาทั้งคู่ถูกปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดสุด ซึ่งในตอนนี้แม้แต่ดรีมบีสต์ก็ไม่สามารถต้านพลังของพวกเขาทั้ง 2 ได้อีกต่อไป พลังของพวกเขารั่วไหลออกมา และทำให้ศิษย์ของปราสาทนภาหลายคนรู้สึกราวกับว่าหัวของพวกเขากำลังจะระเบิด
ไผ่เดียวดายคำราม เขายกมีดเขี้ยวผีสิงขึ้นเหนือหัวด้วย 2 มือ และเตรียมที่จะฟันลงมาใส่หานเซิ่นด้วยพลังทั้งหมด
ยวิ๋นฉางคงและผู้อาวุโสคนอื่นๆดูตรึงเครียด พวกเขารู้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม แต่มันไม่มีหนทางให้ถอยกลับแล้ว
ผู้นำของปราสาทนภาถอนหายใจ เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์และเตรียมตัวที่จะเข้าไปหยุดเอาไว้
หานเซิ่นชี้ดาบหยกออกไปที่ไผ่เดียวดาย เขาดูไม่หวาดกลัวเลยสักนิดเดียว
ร่างกายของไผ่เดียวดายและมีดเขี้ยวผีสิงรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เปลวไฟที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของเขาปะทุขึ้นมาราวกับภูเขาไฟและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในจังหวะที่ทุกคนคิดว่าไผ่เดียวดายกำลังจะฟันลงมา มีดเขี้ยวผีสิงก็ยืนนิ่งไป ไผ่เดียวดายมองไปที่ดาบในมือของหานเซิ่นและสีหน้าของ
เขาก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าซับซ้อน
บนทุ่งหญ้าอันเขียวขจี เด็กสาวตัวน้อยผมหางม้าที่อายุเพียง 9 ขวบกำลังถือดาบหยกอยู่ในมือ เธอกำลังฝึกการใช้ดาบอยู่และมันเห็นได้ชัดว่าเธอยังเป็นแค่มือใหม่ เธอพลาดตีหัวของตัวเองและล้มลงไปบนพื้น หลังจากนั้นเธอก็โยนดาบทิ้งไปและเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา
“หว่านเอ๋อร์ ทำไมน้องถึงได้ร้องไห้?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามด้วยรอยยิ้ม เขาย่อตัวลงข้างๆเธอและลูบหัวของเธอด้วยมือที่อ่อนโยน
“พี่ชาย น้องจะไม่ฝึกใช้ดาบอีกต่อไปแล้ว ดาบโง่นี้มันเพิ่งจะรังแกน้อง!” หว่านเอ๋อร์พูดขณะที่เช็ดน้ำตาของเธอ
“ดาบมันจะไปรังแกน้องได้ยังไง? ดาบน้อยนี้เป็นสิ่งที่จงรักภักดีที่สุด ถ้าน้องปฏิบัติกับมันอย่างดี มันก็จะดีต่อน้องเป็นการตอบแทน” ชายหนุ่มพูดขณะที่เก็บดาบหยกขึ้นมา
หว่านเอ๋อร์แบะปากและพูด “น้องก็ดีกับมันแล้ว น้องเช็ดมันจนสะอาด แถมยังทำให้มันมีกลิ่นหอมอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่เชื่อฟังน้องอยู่ดี มันเป็นอะไรที่น่ารำคาญที่สุด!”
ชายหนุ่มหัวเราะ เขาหยิบดาบหยกขึ้นมาและลองกวัดแกว่งมัน ดาบหยกนั้นเบาหวิวในมือของเขาและว่องไวราวกับมังกรที่กำลังเต้นระบำ
“หว่านเอ๋อร์ การปฏิบัติกับมันเป็นอย่างดีคือการเข้าใจมัน เพียงแค่เช็ดมันให้สะอาดนั้นยังไม่พอ” ชายหนุ่มพูดและส่งดาบหยกคืนให้กับเด็กสาว หลังจากนั้นเขาก็ลูบหัวของเธอ
“น้องไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว น้องเกลียดมัน มันไม่เชื่อฟังน้องเลยสักนิด มันฟังแต่พี่ชายคนเดียว” หว่านเอ๋อร์ดูโกรธ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูมีความสุข
ในสวนแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังก้มลงอยู่ข้างๆสระน้ำและอ้วกออกมาอย่างต่อเนื่อง
“พี่ชาย ทำไมพี่ถึงได้ดื่มมากขนาดนั้น?” หญิงสาวผมหางม้าเดินออกมาจากบ้าน เธอวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มและพยายามจะช่วยเขา
“ไม่ต้องมาสนใจเรื่องของพี่” ชายหนุ่มพึมพา
“พี่ชาย ความล้มเหลวนั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุด น้องรู้ว่าพี่เก่งกาจ และน้องก็รู้ว่าพี่จะชนะได้ พี่อย่าเพิ่งยอมแพ้” หญิงสาวพูดจากใจจริงขณะที่พยุงชายหนุ่มขึ้นมา
ชายหนุ่มล้มลงไปกับพื้นและสลบไป หญิงสาวพยายามดึงเขาขึ้นมา แต่เขาหนักเกินไป เธอวิ่งเข้าไปในบ้านและเอาผ้าห่มออกมาคลุมตัวของเขา หลังจากนั้นเธอก็นั่งลงข้างๆเขาและอธิษฐานต่อดวงดาว
“ถ้ามันมีพระเจ้าอยู่จริงๆล่ะก็ ข้าหวังว่าท่านจะช่วยพี่ชายของข้าและชี้นำหนทางให้กับเขา ข้ายินดีจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น”
ภายใต้เสียงจันทร์ชายหนุ่มนอนน้ำตาไหลออกมาอยู่กับพื้น
“หว่านเอ๋อร์” ไผ่เดียวดายมองดาบหยกและขยับปากของเขา เขาไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา แต่ดูเหมือนกับว่าเขากำลังคิดอะไรหลายๆอย่าง
“ข้าจะตายไม่ได้… ข้าจะตายไม่ได้… ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่ดวงวิญญาณที่ร่อแร่… ข้าก็ต้องเดินหน้าต่อไป…” ไผ่เดียวดายกัดฟัน ดวงตาของเขาดูเด็ดเดี่ยว
“ไผ่เดียวดายดูเหมือนจะกำลังตื่นขึ้นมา” ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆผู้นำของปราสาทนภาดูประหลาดใจ
ยวิ๋นฉางคงและเหล่าผู้อาวุโสเองก็ดูดีใจเช่นกัน แต่มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น
ปีศาจฝังลึกอยู่ในหัวใจของไผ่เดียวดาย ซึ่งแม้แต่เหล่าราชันก็ไม่สามารถขจัดมันไปได้ มันถือเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ที่ไผ่เดียวดายได้สติกลับมาแบบนี้ แต่มันไม่มีหนทางที่เขาจะกำราบความต้องการจะทำลายล้างทุกสิ่งของปีศาจในหัวใจได้
หานเซิ่นมองไปที่ไผ่เดียวดายอย่างประหลาดใจ ไผ่เดียวดายรู้สึกตัวขึ้นในจังหวะสุดท้าย เขายังไม่ยอมแพ้ให้กับปีศาจในหัวใจ
ร่างกายของไผ่เดียวดายกำลังสั่นไหว เขาประสบกับความเจ็บปวดที่ไม่สามารถจะบรรยายออกมาได้ ความเศร้าโศกที่น่ากลัวและจิตแห่งมีดจางหายกลับเข้าไปในตัวของเขา
ทุกคนดูดีใจที่เห็นว่าไผ่เดียวดายผลักดันปีศาจกลับเข้าไปในตัวของเขาได้สำเร็จ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าไผ่เดียวดายสามารถทำอย่างนั้นได้ยังไง
หานเซิ่นลดดาบหยกลงพร้อมกับมองไปที่ไผ่เดียวดาย พลังอันชั่วร้ายไม่ได้ปกคลุมสนามประลองอีกแล้ว
ไผ่เดียวดายโยนมีดเขี้ยวผีสิงกลับคืนไปให้หานเซิ่นและพูด
“ข้ากลายเป็นมาร์ควิสแล้ว ข้าไม่ควรที่จะต่อสู้ต่อไป เจ้าเป็นฝ่ายชนะในรอบนี้”
หานเซิ่นรับมีดเขี้ยวผีสิงมาและโยนดาบหยกไปให้กับเขา
ไผ่เดียวดายรับดาบหยกและเก็บมันเข้าไปในฝักดาบ ดาบเล่มนั้นเป็นของที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับเขา
เมื่อเห็นไผ่เดียวดายเดินจากไป หานเซิ่นก็พูดกับตัวเอง “ถึงแม้ปีศาจจะเข้าครองร่างกายของเขา แต่หัวใจของเขายังมีนางฟ้าอยู่ เขาเป็นชายที่ประหลาดจริงๆ”
ไม่มีใครคาดคิดว่าการต่อสู้จะจบลงแบบนี้ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความตื่นเต้นของการประลองในภาพรวม
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน ถึงแม้การต่อสู้จะจบลงแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนั้น
ตอนที่ 2002
เกาะแรร์บิสต์
หลังจากการต่อสู้นั้น ศิษย์ของปราสาทนภาต่างก็ถกเถียงกันว่าระหว่างหานเซิ่นกับไผ่เดียวดายใครแข็งแกร่งกว่ากัน แต่มันก็ไม่เคยที่จะได้รับคำตอบ
ไผ่เดียวดายกลายเป็นมาร์ควิสเรียบร้อยแล้ว ส่วนหานเซิ่นยังเป็นในระดับเอิร์ลอยู่ ดังนั้นถ้าพวกเขาจะประลองกันอีกครั้ง มันก็คงจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้แน่ แต่ทว่าความสามารถที่หานเซิ่นแสดงออกมา ทำให้เขาได้รับความนับถือโดยศิษย์ของปราสาทนภาอย่างทั่วกัน
ในรอบต่อๆมาของการสอบ หานเซิ่นสามารถเอาชนะได้ทุกนัดและได้รับอันดับที่หนึ่งอย่างไม่ยากเย็นอะไร เขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยือนตำหนักศักดิ์สิทธิ์ได้ และที่นั่นเขาก็พบวิชามีดใต้นภาที่กำลังตามหาอยู่
เขายังได้รับยาเฟิงโฮ่วและสมบัติระดับมาร์ควิสเป็นรางวัลอีกด้วย
หานเซิ่นกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในปราสาทนภา แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรเรื่องพวกนั้น เขาใช้เวลาไปกับการฝึกวิชามีดอยู่ที่เกาะของเขา
อวี้จิงรู้สึกหยิ่งผยองอย่างมากในตอนที่เดินไปรับเงินเดิมพัน เขาพูดพร้อมกับยิ้มเยาะออกมา “ข้านำสัญญามาแล้ว พวกเจ้าเตรียมทรัพย์สินที่เดิมพันกันเอาไว้แล้วหรือยัง?”
หนึ่งในพวกเขายิ้มออกมาและสั่งให้สาวใช้มอบกล่องๆหนึ่งให้กับอวี้จิง เขายิ้มและพูด “พวกเราเป็นฝ่ายแพ้ มันเป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ และมันก็คุ้นค่าต่อทรัพย์สินพวกนี้ ของที่เจ้าสมควรจะได้รับอยู่ข้างในหมดแล้ว”
“ขอบคุณ” อวี้จิงรับกล่องมาด้วยสีหน้าที่ดูพึงพอใจ
ยวิ๋นซู่อีไม่ได้ไปหาหานเซิ่นเป็นเวลาหลายวัน เธอรู้ว่ามันไม่มีความหวังระหว่างพวกเขา 2 คน แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะหยุดคิดถึงเขาได้
หลังจากที่หานเซิ่นได้รับวิชาใต้นภามา เขาก็รีบเรียนรู้มันในทันที ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้ ด้วยการใช้หมากล้อมสวรรค์และศาสตร์ตงเสวียน มันก็เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะฝึกฝนมัน เขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วัน
“วิชามีดนี่มีข้อบกพร่องอยู่จริงๆด้วย มันไม่ใช่เพราะยวิ๋นซู่อีใช้ผิดแต่อย่างใด” หลังจากที่หานเซิ่นฝึกมันด้วยตัวเอง เขาก็ค้นพบถึงปัญหาของมัน
แต่ด้วยการใช้หมากล้อมสวรรค์และศาสตร์ตงเสวียน หานเซิ่นก็สามารถหาทางแก้ไขปัญหาของมันได้
‘ถ้าผู้คนรู้ว่าเรามีวิชามีดนี้อยู่ ในตอนที่เราใช้ศาสตร์ตงเสวียนและหมากล้อมสวรรค์ คนก็จะเชื่อว่าเรากำลังใช้วิชาใต้นภานี้ ถ้าเราระมัดระวังล่ะก็ อี๋ซาก็จะไม่คิดว่าเราคือดอลลาร์’ นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้หานเซิ่นต้องการวิชานี้มากถึงขนาดนั้น
ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่สามารถใช้ศาสตร์ตงเสวียนและหมากล้อมสวรรค์ได้ ซึ่งมันจะทำให้เขาอ่อนแอลงมาก
หานเซิ่นไม่ได้ไปหายวิ๋นซู่อี และเขาก็ไม่ได้มีแผนที่จะไปหาเธอเช่นกัน แต่ถ้าเกิดได้พบกับเธอโดนบังเอิญ เขาก็จะแสดงวิชาใต้นภาฉบับปรับปรุงให้เธอดู
หานเซิ่นไปที่สถานหยกขาว แต่เขาไม่เห็นยวิ๋นซู่อีอยู่บนชั้นที่ 4 ดังนั้นเขาจึงเดินต่อขึ้นไปบนชั้นที่ 7 และดูดซับลมปราณหยกที่นั่น
“ศิษย์น้องหาน ช่วงนี้เจ้าเป็นยังไงบ้าง?” ขณะที่หานเซิ่นกำลังนั่งอยู่ข้างต้นไม้แก่บนเกาะของเขา อวี้จิงก็มาเยือนที่เกาะของเขา
ตอนนี้อวี้จิงดูเหมือนกับเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง นกกระเรียนหยกรัตติกาลที่เขาเคยใช้ตอนนี้หายไปแล้ว และตอนนี้เขาก็หันมาขี่มังกรตัวสีเขียวแทน
ชุดเกราะที่เขาสวมใส่ก็ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นชุดเกราะที่ดูหรูหรา แถมตัวเขาก็ตกแต่งไปด้วยเพชรพลอย
“ก็ไม่เลย เจ้าต้องการอะไรหรือเปล่า?” หานเซิ่นเงยหน้าขึ้นและถามอวี้จิง
“ศิษย์น้องหาน ข้าได้มอบยาเฟิงโฮ่วให้กับเจ้าไป แต่เจ้าไม่ได้ใช้พวกมันในการสอบ” อวี้จิงยิ้ม
“เจ้าให้พวกมันกับข้าเป็นของขวัญ แต่ตอนนี้เจ้าต้องการพวกมันคืนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพูดอย่างขาดความกระตือรือร้น
“แน่นอนว่าไม่ใช่อย่างนั้น ยาพวกนั้นเป็นของเจ้า ทำไมข้าจะต้องการพวกมันคืน? ข้าแค่จะมาบอกเจ้าว่ามีคนอยากจะขอซื้อพวกมัน ในตอนที่เจ้าได้อันดับที่หนึ่ง เจ้าก็ได้รับพวกมันมาเพิ่มอีก บางทีเจ้าอาจจะอยากขายบางส่วน? ราคาซื้อนั้นสูงมากๆ” อวี้จิงอธิบายและทำท่าทางด้วยมือของเขา
“ข้าไม่ขาย” หานเซิ่นพูดและกลับไปอ่านข้อมูลต่อ
อวี้จิงเหลือบมองและเห็นว่าหานเซิ่นพยายามจะเรียนรู้เกี่ยวกับประชากรของซีโน่เจเนอิคในปราสาทนภา เขาจึงยิ้มออกมาและพูด
“อ้า ศิษย์น้องหานต้องการจะล่าซีโน่เจเนอิคอย่างนั้นหรอ? ข้ามีสถานที่ดีๆจะแนะนำ เจ้าสนใจไหม?”
“โอ้ ไหนลองบอกมา” หานเซิ่นเงยหน้าขึ้นมา
หานเซิ่นพยายามหาสถานที่สำหรับล่าซีโน่เจเนอิคมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เจอสถานที่ที่จะสามารถล่าซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลจำนวนมากได้ในเวลาสั้นๆ
ทุกสถานที่ต่างก็มีข้อเสียบางอย่าง อย่างเกาะโอลด์ไนท์เป็นเกาะที่กว้างเกินไป เมื่อเทียบกับประชากรซีโน่เจเนอิคที่อยู่บนนั้นแล้ว มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลเป็นกลุ่มได้ ส่วนซีโน่เจเนอิคในถ้ำเสวียนเยวี๋ยนก็ซ่อนตัวเป็นอย่างดี ซึ่งโดยปกติแล้วพวกเขาก็รอให้พวกมันออกมาซะมากกว่า
ทุกสถานที่นั้นมีข้อเสียอยู่ และมันไม่มีที่ไหนที่จะทำให้เขาหาซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลกลุ่มใหญ่ได้เลย
“ข้าเคยเห็นแผ่นพับนี้มาก่อน” อวี้จิงพูด “นี่เป็นสิ่งที่ถูกแจกจ่ายให้กับศิษย์ของปราสาทนภาทุกๆคน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีจุดดีๆระบุเอาไว้ ข้ารู้ว่ามันมีเกาะส่วนตัวหนึ่งที่มีซีโน่เจเนอิคอาศัยอยู่จำนวนมาก และพวกมันส่วนใหญ่ก็เป็นระดับเอิร์ลอีกด้วย”
“ถ้ามันเป็นเกาะส่วนตัว แล้วข้าจะเข้าไปได้ยังไง?” หานเซิ่นถาม
อวี้จิงหัวเราะและพูดต่อ “ในอดีตเจ้าอาจจะเข้าไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าคือหานเซิ่น ในตอนนี้มันไม่มีใครในปราสาทนภาที่ไม่รู้จักชื่อนี่? การเป็นปรมาจารย์แห่งมีดและดาบนั้นไม่ใช่เรื่องตลก”
“เดี๋ยวก่อนนะ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ข้าได้รับสมญานามนี้?” หานเซิ่นคิดว่ามันฟังดูค่อนข้างล้าสมัย
“ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าไม่ใช่ปรมาจารย์แห่งมีดและดาบโดยตัวของเจ้าเอง” อวี้จิงพูด
หานเซิ่นไม่เข้าใจ ดังนั้นเขาจึงรอให้อวี้จิงอธิบายต่อ
เมื่ออวี้จิงเห็นว่าหานเซิ่นยังคงสับสน เขาก็พูดต่อ “มันจะเป็นอย่างนั้นก็ต่อเมื่อเจ้าและไผ่เดียวดายอยู่ด้วยกัน เจ้าก็รู้ว่าไผ่เดียวดายมีชื่อเสียงมากแค่ไหนในที่แห่งนี้ ถ้าศิษย์ของปราสาทนภาคนอื่นยกย่องเจ้าเทียบเท่ากับไผ่เดียวดาย เจ้าก็ควรจะรู้ว่าชื่อเสียงของเจ้าสูงแค่ไหนแล้วในตอนนี้”
“ถ้าอย่างนั้นใครคือปรมาจารย์แห่งมีดหรือดาบกันล่ะ?” หานเซิ่นถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่ทั้งคู่ เจ้าไม่อาจแยกพวกมันได้ เจ้าทั้งคู่คือปรมาจารย์แห่งมีดและดาบ มันไม่มีปรมาจารย์แห่งมีด และมันก็ไม่มีปรมาจารย์แห่งดาบ”
หลังจากนั้นอวี้จิงก็เปลี่ยนโทนเสียงของเขา “เกาะที่ข้าบอกเจ้าคือเกาะแรร์บิสต์ เกาะแห่งนั้นเป็นของผู้อาวุโสสอง เขาหวงแหนมันอย่างมาก แม้แต่ลูกศิษย์ของเขาก็ไปที่นั่นไม่ได้ มีเพียงแค่คนในสายเลือดของเขาเท่านั้นที่จะเข้าไปล่าที่นั่นได้ ผู้อาวุโสสองมีลูกชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่าสือเปยเฟิง และเขาก็นับถือเจ้าอย่างมาก เขาอยากจะเชิญเจ้าไปล่าที่นั่น”
“มันจะมีอะไรที่ดีๆแบบนั้นอยู่ด้วยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นมองอวี้จิงอย่างไม่อยากเชื่อ
“แต่มันมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง เขาต้องการให้เจ้าช่วยเขาจับซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่ง” ในที่สุดอวี้จิงก็อธิบายถึงจุดประสงค์ของเรื่องทั้งหมด
เกาะแรร์บิสต์เป็นสถานที่ที่พิเศษ ถึงมันจะดูเหมือนเกาะๆเดียว แต่ถ้าอยู่ในระดับที่ต่างกัน ในตอนที่เข้าไปก็จะถูกเทเลพอร์ตไปยังสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป
มีเพียงแค่คนที่อยู่ระดับเดียวกันเท่านั้นที่จะถูกส่งไปในจุดๆเดียวกัน
สือเปยเฟิงต้องการที่จะจับตัวซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลตัวหนึ่งมาเป็นสัตว์ขี่ แต่ซีโน่เจเนอิคตัวนั้นเป็นอะไรที่พิเศษ เขาเคยพยายามรวบรวมทีมเพื่อจะจับมันอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงต้องการความช่วยเหลือจากหานเซิ่น
ตอนที่ 2003
กิเลนคริสตัล
ด้านนอกของเกาะแรร์บิสต์ ศิษย์ของปราสาทนภาสิบกว่าคนกำลังยืนอยู่ที่ทางเข้าด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
ศิษย์ชาวนภาคนหนึ่งพูดกับสือเปยเฟิงด้วยโทนเสียงที่รังเกียจ
“ศิษย์พี่สือ หานเซิ่นมันจะโอหังเกินไปแล้ว เขาปล่อยให้พวกเรารออยู่ที่นี่เป็นเวลานาน มันเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นว่าคำเชิญของพวกเราเป็นเรื่องสำคัญ นี่เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
สือเปยเฟิงมองชายคนนั้นอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าต่อสู้กับศิษย์พี่ไผ่เดียวดายได้อย่างเขาล่ะก็ ข้าก็ยินดีที่จะรอเจ้านานแบบนี้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ก็หุบปากไปซะ”
หลังจากที่ได้ยินสือเปยเฟิงพูดแบบนั้น ศิษย์ชาวนภาคนหนึ่งก็รู้สึกหนาวขึ้นมา เขาหันหน้าหนีและไม่พูดอะไรอีก
พวกเขารอต่ออีกครึ่งชั่วโมง และในที่สุดนกกระเรียนหยกรัตติกาลไร้ขาก็มาถึง ชายในชุดเกราะสีขาวลอยลงมาตรงหน้าของสือเปยเฟิง
“ศิษย์น้องหาน ขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกเรา” สือเปยเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มและโค้งคำนับหานเซิ่น
คนอื่นมองมาที่หานเซิ่น แต่ในสายตาของพวกเขา หานเซิ่นดูไม่เหมือนยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเท่าไรนัก
“ไม่มีปัญหา ข้ารับเงินของเจ้า ดังนั้นเจ้าก็ถือเป็นนายจ้างของข้า นี่จึงเป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำให้กับเจ้า” หานเซิ่นยิ้ม
สือเปยเฟิงพยักหน้าและพูด “ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ ข้าจะบอกรายละเอียดในระหว่างการเดินทาง”
สือเปยเฟิงรู้สึกซาบซึ้งที่หานเซิ่นพูดออกมาแบบนั้น เขาไม่ได้รังเกลียดการจ่ายเงินจำนวนมาก แต่เขารังเกลียดคนที่รับเงิน แต่ไม่ยอมทำงานที่ได้รับมอบหมาย ถึงค่าตัวของหานเซิ่นจะแพง แต่ถ้าเขาทำงานได้สำเร็จ มันก็เป็นอะไรที่คุ้มค่า
หานเซิ่นตามสือเปยเฟิงไปที่เกาะแรร์บิสต์ และสือเปยเฟิงก็อธิบายเกี่ยวกับงาน สือเปยเฟิงต้องการให้หานเซิ่นจับตัวซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลกลายพันธุ์ มันมีชื่อว่ากิเลนคริสตัล มันอาศัยอยู่ที่ทะเลสาบบิโบ้และเป็นซีโน่เจเนอิคธาตุน้ำ
กิเลนคริสตัลสามารถบิน วิ่งและว่ายได้ด้วยความเร็วสูง เกล็ดของมันนั้นแข็งมากๆ สือเปยเฟิงต้องใช้อาวุธระดับราชันถึงจะทำความเสียหายต่อเกล็ดของมันได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลที่ลึกเกินกว่าชั้นผิวของมันได้
แถมกิเลนคริสตัลก็เคลื่อนไหวรวดเร็ว และมันมักจะวิ่งหนีไปเมื่อตกอยู่ในอันตราย ซึ่งเมื่อมันหนีลงไปในทะเลสาบ การล่าตัวมันก็จะเป็นเรื่องยาก
สือเปยเฟิงเคยพาคนมาที่นี่หลายต่อหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจับตัวของกิเลนคริสตัลได้ ดังนั้นสุดท้ายแล้วมันไม่มีอะไรที่พวกเขาจะทำได้
เมื่อหานเซิ่นได้ยินเรื่องที่สือเปยเฟิงเล่า เขาก็คิดกับตัวเอง ‘ซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์? มันควรจะนำไปกินสิ จะนำไปเป็นสัตว์ขี่ให้เสียเปล่าทำไม?’
ถ้าคนอื่นได้ยินสิ่งที่หานเซิ่นกำลังคิด พวกเขาก็คงจะคิดว่าหานเซิ่นเป็นบ้า ซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์เป็นอะไรที่หาได้ยากมากๆ ซึ่งสำหรับผู้คนของจักรวาลจีโน การกินพวกมันเข้าไปเป็นอะไรที่เสียเปล่า
“ข้าต้องช่วยเจ้าจับตัวกิเลนคริสตัวนี้กลับไป และเจ้าจะมอบสิทธิ์ในการล่าซีโน่เจเนอิคบนเกาะนี้ให้กับข้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน ข้าเข้าใจถูกใช่ไหม?” หานเซิ่นถามสือเปยเฟิง
สือเปยเฟิงส่งแผ่นศิลาแผ่นหนึ่งให้กับหานเซิ่นและพูด “นี่เป็นสัญญา เจ้าจะเข้ามาที่นี่ได้ด้วยสิ่งนี้ ซึ่งไม่ว่าเจ้าจะทำงานสำเร็จหรือไม่ เจ้าก็จะกลับมาที่นี่ได้เสมอ”
หานเซิ่นรับแผ่นศิลามาและพูด “นั่นเยี่ยมไปเลย หลังจากที่ข้าจับกิเลนคริสตัลนี้แล้ว ข้าจะคืนมันให้กับเจ้าในหนึ่งเดือน”
เกาะแรร์บิสต์นั้นใหญ่ยิ่งกว่าเกาะโอลด์ไนท์ และมันก็มีซีโน่เจเนอิคอาศัยอยู่เยอะกว่ามาก ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางไป หานเซิ่นก็สังเกตเห็นซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลมากมาย
แต่สือเปยเฟิงกำลังเร่งรีบที่จะจับตัวกิเลนคริสตัล ดังนั้นเขาจึงไม่มัวมาสนใจเสียเวลากับซีโน่เจเนอิคตัวอื่น
ทะเลสาบบิโบ้มีความกว้าง 800 ไมล์ และมันก็มีซีโน่เจเนอิคหลายชนิดอาศัยอยู่ในนั้น ในบางครั้งพวกเขาก็เห็นมังกรน้ำมาเล่นอยู่บนชายฝั่งของทะเลสาบ
“การมีพ่อแม่ที่ดีเป็นอะไรที่สำคัญจริงๆ ซีโน่เจเนอิคของที่นี่มีระดับที่สูงและจำนวนเยอะกว่ามาก เมื่อเทียบกับถ้ำเสวียนเยวี๋ยนและเกาะโอลด์ไนท์แล้ว” หานเซิ่นถอนหายใจ
สือเปยเฟิงบอกคนของเขาให้ตั้งแค้มป์อยู่ที่ใกล้ๆกับทะเลสาบ จากนั้นพวกเขาก็รอให้กิเลนคริสตัลปรากฏตัวออกมา
“กิเลนคริสตัลนั้นมักจะอาศัยอยู่ใต้น้ำเกือบตลอด แต่ใต้ผิวน้ำของทะเลสาบมีซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสอาศัยอยู่ด้วย ดังนั้นการต่อสู้ใต้น้ำจึงไม่ใช่ความคิดที่ดี พวกเราจำเป็นต้องรอให้มันออกจากทะเลสาบ ในอีก 2-3 วันกิเลนคริสตัลต้องปรากฏตัวออกมาอย่างแน่นอน มันจะออกมาเพื่อกินดอกไม้สีเขียวที่นี้” สือเปยเฟิงชี้ไปที่ดอกไม้สีเขียวขณะที่พูด
หานเซิ่นพยักหน้ารับทราบ
“ศิษย์น้องหาน เจ้ามีแผนที่จะจับตัวของมันยังไง? เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราไหม?” สือเปยเฟิงถาม
“เจ้าเตรียมกรงสำหรับขังกิเลนคริสตัลเอาไว้ได้เลย ข้าจะจัดการที่เหลือเอง”
หานเซิ่นพูดขณะที่ยืนขึ้นและมองไปรอบๆ “แต่ก่อนที่กิเลนคริสตัลจะปรากฏตัวออกมา ข้าขอเดินดูรอบๆทะเลสาบสักหน่อย ข้าชอบชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม”
หลังจากที่หานเซิ่นเดินออกไปแล้ว หนึ่งในคนของสือเปยเฟิงก็พูดขึ้นมา
“ศิษย์พี่สือ นี่หานเซิ่นจะไม่ประมาทไปอย่างนั้นหรอ? กิเลยคริสตัลนั้นแข็งแกร่งมากๆ และถ้าพวกเราพลาดโอกาสนี้ไปล่ะก็ พวกเราก็ต้องรออีกหนึ่งเดือน”
“ที่เขาพูดออกมาแบบนั้นก็เพราะเขาทำได้” สือเปยเฟิงพูด
หานเซิ่นเดินเลาะขอบทะเลสาบไปหลายสิบไมล์และเขาก็พบซีโน่เจเนอิคหลายตัว พวกมันแตกต่างจากซีโน่เจเนอิคที่อยู่บนเกาะโอลด์ไนท์ ซีโน่เจเนอิคทุกตัวที่เขาเห็นดูจะเป็นสายพันธุ์ที่หายาก
ทันใดนั้นหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงน้ำดังออกมาจากทะเลสาบ เขาหันไปมองและเห็นมังกรสีขาวโผล่ออกมาจากน้ำครึ่งตัว มันพ่นหมอกออกมา
“ซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสกลายพันธุ์หายากอีกหนึ่งตัว” หานเซิ่นมองดูมันอยู่สักพักก่อนที่จะกลับไปที่แคมป์
สือเปยเฟิงเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี หานเซิ่นพูดคุยกับเขาและพบว่าเขารู้อะไรหลายๆเรื่อง เขามักจะหาเรื่องสนุกมาพูดเสมอ ทำให้การสนทนาไม่เป็นอะไรที่น่าเบื่อ
หลังจากที่รอเพียงแค่วันเดียว พวกเขาก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวในทะเลสาบ มีบางอย่างที่มีขนาดพอๆกับช้างออกมาจากน้ำ มันคือกิเลนที่มีเกล็ดเหมือนกับหยก เขาของกิเลนตัวนั้นระยิบระยับเหมือนกับดวงดาว
กิเลนคริสตัลออกมาจากที่ริมทะเลสาบและเริ่มกินดอกไม้สีเขียว
ผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้หยุดหายใจ พวกเขาไม่ต้องการจะทำให้กิเลนตื่นตัวขึ้นมา
หานเซิ่นรู้ความแข็งแกร่งของกิเลยคริสตัลจากสือเปยเฟิง มันเป็นซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์ ซึ่งทำให้ความเร็วของมันเหนือกว่าซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลทั่วๆไปและเกล็ดของมันก็ทนทานกว่าปกติ ซึ่งเมื่อเทียบกับซีโน่เจเนอิคตัวอื่นในระดับเดียวกันแล้ว มันถือว่าแข็งแกร่งกว่ามาก แต่สำหรับหานเซิ่นแล้ว การจัดการกับมันไม่ใช่เรื่องยากอะไร
รองเท้าเขี้ยวกระต่ายปรากฏขึ้นใต้เท้าของหานเซิ่น เขาวิ่งออกไปหากิเลนคริสตัลด้วยความเร็วสูง ซึ่งทำให้มันตื่นตกใจ มันพ่นน้ำออกมาใส่หานเซิ่นและพยายามจะหนีกลับเข้าไปในทะเลสาบ
หานเซิ่นยื่นมือที่เรืองแสงเหมือนกับหยกออกมาและตบใส่หลังของกิเลนคริสตัล สัญลักษณ์รูปเต่าปรากฏขึ้นบนตัวของกิเลนและลดความเร็วของมันลงอย่างมาก
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ลากตัวกิเลนคริสตัลที่ตอนนี้ช้าเหมือนกับเต่าไปให้กับสือเปยเฟิง
ตอนที่ 2004
วัวหินผา
คนของสือเปยเฟิงยังทำอะไรไม่ถูก พวกเขายังคงจ้องมองไปที่กิเลนคริสตัลด้วยความตกใจ
กิเลนคริสตัลพยายามจะดันตัวเองขึ้นจากพื้น มันต้องการจะบินหนีไป แต่ไม่นานมันก็ร่วงกลับลงมาอีกครั้ง
หานเซิ่นลูบหัวของกิเลนคริสตัลที่ตอนนี้เคลื่อนไหวเชื่องช้าเหมือนกับเต่าจริงๆ เขายกมันขึ้นและโยนมันเข้าไปในกรง
“มิสเตอร์สือ ภารกิจของข้าเสร็จสิ้นแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน ข้าจะคืนแผ่นหินให้ในอีก 1 เดือน” หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ขึ้นขี่นกกระเรียนไร้ขาและบินจากไป
ก่อนที่พวกเขาจะตื่นจากอาการตกตะลึง หานเซิ่นก็จากไปแล้ว พวกเขามองไปที่กิเลนคริสตัลในกรงขังด้วยความสับสน
บางคนถอนหายใจออกมาและพูด “เมื่อเขาต่อสู้กับไผ่เดียวดาย มันก็เป็นการต่อสู้ที่ยอมรับได้ แต่เมื่อเขาต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับเอิร์ลธรรมดา ไม่มีทางที่พวกมันจะมีโอกาสสู้กับเขาได้เลย แม้แต่ซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลกลายพันธุ์ก็ยังถูกจับตัวได้ง่ายๆ? เขาแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ”
สือเปยเฟิงหันมามองคนของเขาด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉยและพูด
“ความแข็งแกร่งของยอดฝีมือที่ต่อสู้กับไผ่เดียวดายได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะหยั่งถึงได้”
หานเซิ่นขี่นกกระเรียนไร้ขาออกไปยังภูเขา แต่ก่อนที่จะไปถึงภูเขา เขาก็เห็นนกตัวหนึ่งบินออกมาจากก้อนเมฆบนท้องฟ้า มันเป็นนกตัวใหญ่สีดำที่มีความยาวกว่าสิบเมตร
หานเซิ่นชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมาและฟันออกไปด้วยมีดสายลม ทำให้ร่างของนกตัวนั้นขาดครึ่งในพริบตา
“ซีโน่เจเนอิคนกขนดำระดับเอิร์ลถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกพบ”
เกาะแรร์บีสต์เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับหานเซิ่น มันมีซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลอยู่เต็มไปหมด และในเวลาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ หานเซิ่นก็สามารถเก็บรวบรวมยีนระดับเอิร์ลได้ครบหนึ่งร้อย
นกกระเรียนไร้ขาก็ได้กินเนื้อของซีโน่เจเนอิคจำนวนมากเช่นกัน และหานเซิ่นก็มอบพลังงานของเขาให้กับบับเบิล ทำให้มันพัฒนาไปสู่ระดับไวเคานต์
แต่บับเบิลก็ยังไม่มีประโยชน์อะไร มันสามารถทำให้ตัวเองดูเหมือนกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆได้ แต่มันไม่สามารถใช้พลังของสิ่งมีชีวิตที่มันลอกเลียนแบบได้
“มันยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะครบหนึ่งเดือน ดังนั้นถ้ากลับไปตอนนี้มันก็เป็นอะไรที่เสียเปล่า ทำไมเราไม่ใช้โอกาสนี้ล่าซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสไปด้วยเลย? แบบนั้นเราก็จะไม่ต้องออกมาล่าพวกมันอีกในตอนที่เรากลายเป็นมาร์ควิสแล้ว” หานเซิ่นเริ่มออกตามหาร่องรอยของซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิส
หลังจากที่ศาสตร์ตงเสวียนเพิ่มระดับขึ้น ท่าตบขั้นสุดยอดของเขาก็ทรงพลังขึ้นกว่าเดิม แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นศาสตร์ตงเสวียนในตอนนี้ทำให้เขาสามารถมองเห็นโครงสร้างลำดับ
หานเซิ่นสามารถใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อมองเห็นโครงสร้างลำดับและทำลายสสารที่อยู่ตรงกลาง การทำอย่างนั้นจะทำให้ห่วงโซ่โครงสร้างลำดับได้รับความเสียหายและพังทลาย
แน่นอนว่าพลังของหานเซิ่นในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำลายพวกมันได้ ซึ่งถ้าเขาทำแบบนั้นไม่ได้ ท่าตบขั้นสุดยอดก็ยังเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์
แต่นอกจากการมองเห็นโครงสร้างลำดับแล้ว ตอนนี้ศาสตร์ตงเสวียนก็ยังทำให้เขาสามารถรวมกระแสพลัง 2 อย่างเป็นหนึ่งเดียวกันได้ มันคือเหตุผลที่ทำให้หานเซิ่นสามารถใช้พลังดาบและมีดพร้อมๆกัน การทำแบบนั้นทำให้การโจมตีของเขาทรงพลังขึ้นอย่างมาก
ด้วยพลังของหานเซิ่นในตอนนี้การต่อสู้กับซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป
แต่ไม่ใช่ว่าทุกวิชาจะทรงพลังยิ่งขึ้นเมื่อนำมารวมกัน พลังบางอย่างนั้นอาจจะมีผลข้างเคียงอยู่ ดังนั้นหานเซิ่นจำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อทดสอบมัน เขาต้องการจะหาดูว่าสามารถรวมพลังแบบไหนเข้าด้วยกันได้บ้าง
แต่สำหรับตอนนี้การรวมวิชาที่ทรงพลังที่สุดของเขาก็คือวิชามีดเขี้ยวดาบและวิชาดาบของไผ่เดียวดาย หลังจากที่หานเซิ่นลองรวมวิชามีดเขี้ยวดาบกับวิชาดาบคู่ของเขา ผลที่ออกมาก็ค่อนข้างแย่ และพลังที่ได้ออกมานั้นก็อ่อนแอยิ่งกว่าเดิม
มันไม่ได้มีซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสอยู่ในบริเวณนี้มากนัก บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าที่นี่เป็นเขตแดนของซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล หานเซิ่นมองหาอยู่ครึ่งวันกว่าที่เขาจะพบซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสตัวหนึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้
ซีโน่เจเนอิคที่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ดูเหมือนกับวัวที่มีความสูงกว่า 3 เมตร หลังของมันมีหนามแหลมอยู่ ซึ่งดูเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่ากลัว
หานเซิ่นวิ่งเข้าไปหามันพร้อมกับชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมา เขาฟันใส่หัวของซีโน่เจเนอิคตัวนั้นทันทีเพื่อไม่เปิดโอกาสให้มันได้ตั้งตัว
รองเท้าเขี้ยวกระต่ายช่วยเสริมความเร็วให้กับเขา และมีดเขี้ยวผีสิงก็ถูกเสริมด้วยพลังของมีดและดาบ แต่เขาไม่ได้คิดจะใช้ท่าตบขั้นสุดยอด เพราะการทำลายโครงสร้างลำดับจะส่งผลทำให้ร่างกายของมันแหลกสลาย รวมถึงยีนซีโน่เจเนอิคด้วย ซึ่งนั่นจะเป็นอะไรที่เสียเปล่า
ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้ใช้ท่าตบขั้นสุดยอด และใช้เพียงแค่พลังของวิชามีดและดาบ เขาก็ยังสามารถตัดหัวของซีโน่เจเนอิคจนขาดได้
หัววัวขนาดใหญ่กลิ้งไปกับพื้น และร่างที่ไร้หัวของมันก็มีเลือดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ
“ซีโน่เจเนอิควัวหินผาระดับมาร์ควิสถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”
หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ เขาคิดว่าเกาะแรร์บีสต์นั้นเป็นโชคร้ายสำหรับเขา เพราะตั้งแต่ที่มาถึงเขายังไม่ได้วิญญาณอสูรเลยสักดวง ทั้งที่เขาฆ่าซีโน่เจเนอิคไปเป็นจำนวนมาก
หานเซิ่นใช้มีดเขี้ยวผีสิงตัดร่างของวัวหินผาและพบหัวใจที่ดูเหมือนกับก้อนหินอยู่ภายใน มันง่ายที่จะคาดเดาว่านั่นคือยีนซีโน่เจเนอิค
แต่ในขณะที่หานเซิ่นกำลังจะหยิบหัวใจหินออกมา เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เขามองไปด้านหลังและเห็นวัวหินผาตัวสีเทากำลังจ้องมาที่เขาด้วยดวงตาสีแดงของมัน
วัวหินผาตัวนี้ดูเหมือนกับตัวที่เขาฆ่า แต่มันมีขนาดใหญ่กว่า และมันก็ดูน่ากลัวมากกว่าเช่นกัน
“มอ!” ก่อนที่หานเซิ่นจะได้ทำอะไรต่อ วัวก็กระทืบเท้าของมันลงบนพื้น ทำให้เกิดเป็นคลื่นกระแทกเหมือนกับการกระเพื่อมของน้ำ
หานเซิ่นใช้มีดเขี้ยวผีสิงฟันใส่คลื่นกระแทกที่พุ่งเข้ามา
มีดสายลมของมีดเขี้ยวผีสิงตัดผ่านคลื่นกระแทกไป แต่คลื่นกระแทกนั้นเป็นเหมือนกับเวทย์มนต์ เมื่อมันสัมผัสกับนิ้วของหานเซิ่น เขาก็สังเกตเห็นว่าชุดเกราะบริเวณนิ้วของเขาถูกเปลี่ยนเป็นหินสีเทา
วัวหินผาคำรามและลดตัวของมัน เขาของมันชี้ไปที่หานเซิ่นขณะที่มันเริ่มวิ่งออกมาข้างหน้าราวกับรถไฟ พื้นดินสั่นสะเทือนจากอุ้งเท้าของมัน
หานเซิ่นใช้พลัง แต่เขาไม่สามารถลบล้างผลของคลื่นกระแทกที่ทำให้นิ้วมือกลายเป็นหินได้ เขารู้สึกตกใจเมื่อเห็นอย่างนั้น เขารีบเรียกยมทูตสีแดงออกมาด้านข้างของวัวหินผาและให้มันฟันใส่คอของวัว
ตอนที่ 2005
หาวิธีแก้
ยมทูตสีแดงฟันเคียวไปที่คอของวัวหินผา แต่มันทำได้แค่ทิ้งรอยขีดข่วนบางๆเอาไว้เท่านั้น
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะพวกมันทั้งคู่มีพลังแตกต่างกันอยู่ถึงหนึ่งระดับ
แต่หลังจากโดนโจมตีใส่ วัวหินผาก็โกรธขึ้นมา มันหันไปหายมทูตสีแดงและกระทืบเท้าของมันอีกครั้งเพื่อสร้างคลื่นกระแทก
ยมทูตสีแดงกลายเป็นหินกลางอากาศ มันร่วงลงมาที่พื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆราวกับรูปปั้น
“ว้าว! พลังในการทำให้กลายเป็นหินของเจ้าตัวนี้มีประสิทธิภาพขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรอ มันถึงขนาดจัดการกับยมทูตสีแดงที่เป็นเพียงแค่หมอกควันได้เลย โชคดีที่มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากวิชาจีโนเท่านั้น” หานเซิ่นตกตะลึง
หานเซิ่นรวบรวมพลังงานในร่างกายเพื่อสร้างยมทูตสีแดงขึ้นมาอีกครั้ง และใช้มันโจมตีใส่วัวหินผา หานเซิ่นต้องการจะใช้มันซื้อเวลา
หานเซิ่นลองใช้เรื่องราวของยีน ศาสตร์ตงเสวียน กายหยกและโลหิตชีพจน แต่ไม่มีวิชาไหนที่สามารถแก้นิ้วมือที่กลายเป็นหินของเขาได้เลย
“เราควรจะใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดดีไหม?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่ามีวิชากลายเป็นหินอยู่ ถึงมันจะแตกต่างจากพลังของวัวหินผาเล็กน้อยที่ แต่บางทีมันอาจจะได้ผล
หานเซิ่นใช้วิชากลายเป็นหินเพื่อทำให้ร่างกายของตัวเองกลายเป็นหิน หลังจากนั้นเขาก็คืนสภาพร่างกายกลับเป็นเหมือนเดิม เมื่อทำอย่างนั้นเขาก็พบว่านิ้วที่ถูกพลังของวัวทำให้กลายเป็นหินนั้นกลับคืนสภาพเดิมแล้วเช่นเดียวกัน
“ไม่คิดเลยว่าวิชากลายเป็นหินจะมีประโยชน์อย่างนี้ด้วย” หานเซิ่นยิ้ม
ขณะเดียวกันวัวหินผาก็เพิ่งจะทำลายยมทูตสีแดงอีกตัวไป มันหันกลับมาหาหานเซิ่นและกระทืบเท้าเพื่อสร้างคลื่นกระแทกอีกครั้ง
หานเซิ่นชักมีดของเขาออกมาและฟันใส่วัวหินผา พลังของมีดและดาบรวมกันเป็นหนึ่งเดียวและพุ่งออกไปหาวัวหินผา
ตูม!
วัวหินผาโซเซถอยหลังไปพร้อมกับรอยแผลลึกยาวบนตัวของมัน และเขาของมันก็ถูกฟันจนหัก
วัวหินผาสะบัดหัวของมันและลุกกลับขึ้นมา มันยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีหานเซิ่น มันส่งเสียงคำรามและวิ่งเข้าใส่หานเซิ่นอีกครั้ง
หานเซิ่นลบล้างร่างกายส่วนที่กลายเป็นหินและฟันใส่วัวหินผาอีกครั้ง แต่การโจมตีของเขาไม่ได้มีประสิทธิภาพอะไรมากนัก
การโจมตีของหานเซิ่นแค่ทำให้วัวหินผาโซเซถอยหลังไปเล็กน้อยเท่านั้น แถมในตอนที่เขาโจมตี เขาก็จะถูกคลื่นกระแทกของวัวหินผาทำให้กลายเป็นหินอีก
การกระทืบเท้าเพื่อสร้างคลื่นกระแทกของวัวหินผาเป็นการโจมตีแบบวงกว้าง มันไม่สำคัญว่าหานเซิ่นจะโจมตีจากทางไหน เพราะเขาจะกลายเป็นหินทุกครั้ง
ขณะที่วัวหินผาวิ่งเข้ามาหาเขาอีกครั้ง หานเซิ่นก็ตัดสินใจไม่ฟันออกไปในครั้งนี้ เขาจะใช้วิชาเต่าแทน ในตอนที่วัวหินผาจะใช้คลื่นกระแทกอีกครั้ง เขาก็ใช้วิชาเต่าใส่หัวของมัน
สัญลักษณ์เต่าปรากฏขึ้นบนหัวของวัว หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘ไม่สำคัญว่าแกจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน วิชาเต่านั้นจะเปลี่ยนให้แกกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เฉื่อยชา’
แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะสามารถโจมตีมันอีกครั้งได้ วัวหินผาก็กระทืบเท้าเพื่อสร้างคลื่นกระแทกอีกครั้ง
ครั้งนี้มันรุนแรงยิ่งกว่าการโจมตีของวัวหินผาครั้งก่อนๆ หานเซิ่นลบล้างร่างกายที่กลายเป็นหิน แต่หลังจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าตัวเองช้าลงไป เมื่อเขาก้มหัวก็สังเกตเห็นว่าตอนนี้มีสัญลักษณ์เต่าติดอยู่บนตัวของเขาแทน
“อะไรเนี่ย! วัวหินผานี้สะท้อนวิชาจีโนอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นตกใจ วัวหินผากระทืบเท้าซ้ำๆและสร้างคลื่นกระแทกออกมาเพิ่ม
หานเซิ่นจึงต้องใช้วิชากลายเป็นหินซ้ำๆ แต่ทุกครั้งที่เกิดขึ้นมันก็จะมีรูปเต่าอีกรูปปรากฏบนร่างกายของเขา
“เจ้าวัวนี้มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว” หานเซิ่นลบล้างร่างกายที่กลายเป็นหินและผลของวิชาเต่า หลังจากนั้นเขาก็ฟันใส่วัวหินผาและวิ่งหนีออกไป
จนกระทั่งเขาจะเข้าใจได้ว่าวัวตัวนี้สามารถทำได้อะไรได้ ทางเดียวที่เขาจะฆ่ามันได้ก็คือใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด
วัวหินมาวิ่งไล่ตามหานเซิ่นมาจากด้านหลัง พร้อมกับร้องมอๆออกมา มันเป็นอะไรที่น่ารำคาญอย่างมาก หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘รอจนกระทั่งฉันกลายเป็นมาร์ควิสเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมาฆ่าแกในดาบเดียว’
หานเซิ่นรู้สึกรำคาญขึ้นเรื่อยๆขณะที่วิ่งหนีไป คลื่นกระแทกของวัวหินผาทำให้เขากลายเป็นหินอยู่ซ้ำไปซ้ำมา ถ้าคนที่มันไล่ล่าเป็นมาร์ควิสคนหนึ่ง วัวหินผานี้ก็คงจะฆ่าคนๆนั้นไปแล้ว เพราะพวกเขาไม่สามารถที่จะวิ่งหนีได้แบบนี้
โชคดีที่หานเซิ่นมีวิชากลายเป็นหินและรองเท้าเขี้ยวกระต่ายอยู่
หานเซิ่นสามารถหนีจากการไล่ล่าของวัวหินผาได้สำเร็จ เขาปาดเหงื่อและพูด “นั่นคงจะไม่ใช่ซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสกลายพันธุ์หรอกใช่ไหม!”
หานเซิ่นยังไม่ต้องการจะจากไปในตอนนี้ เขาเรียกมนตราออกมาในร่างของปืนไรเฟิล และเขาก็ใช้กล้องของปืนไรเฟิลเพื่อส่องดูวัวหินผาตัวนั้น
หานเซิ่นรู้สึกสะอิดสะเอียนกับสิ่งที่เห็น วัวหินผาตัวนั้นกำลังกินเนื้อของวัวตัวที่เขาฆ่าตายไป มันกลืนกินยีนซีโน่เจเนอิคเข้าไปก่อนที่หานเซิ่นจะสามารถเอามันออกมาได้
หานเซิ่นคิดว่าวัวหินผาตัวนั้นโกรธเพราะว่าญาติของมันถูกฆ่า แต่วัวตัวนั้นดูเหมือนจะยินดีที่ได้กินเนื้อของสายพันธุ์เดียวกัน มันก็แค่ต้องการจะกินเหยื่อที่คนอื่นออกแรงล่ามาได้
“ไอ้วัวเวรเอ้ย! มาดูสิว่าใครจะได้หัวเราะที่หลัง” หานเซิ่นเริ่มคิดหาหนทางที่จะกำจัดวัวหินผาตัวนั้น
ร่างกายของวัวหินผาตัวนั้นแข็งแกร่ง มันต้องใช้การโจมตีระยะใกล้หลายครั้งกว่าที่จะทำให้วัวหินผาตัวนี้บาดเจ็บได้
แต่เนื่องจากคลื่นกระแทกมีผลเปลี่ยนทุกอย่างให้กลายเป็นหิน หานเซิ่นจึงไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ ถึงแม้หานเซิ่นจะสามารถลบล้างร่างกายที่กลายเป็นหินได้ แต่มันก็ใช้เวลา ขณะที่เขากำลังกลายเป็นหิน เขาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ซึ่งนั่นเป็นปัญหาใหญ่
และที่น่ากลัวที่สุดก็คือวัวหินผาตัวนั้นสามารถสะท้อนวิชาเต่ากลับมาสู่ตัวเขาได้ นั่นเป็นอะไรที่ขี้โกงอย่างมาก
‘ไม่สิ มันไม่ใช่แค่สะท้อนผลกลับมาใส่เรา เพราะสัญลักษณ์เต่ายังคงปรากฏอยู่บนตัวของวัวหินผาตัวนั้น สัญลักษณ์เต่าจะหายไปก็ต่อเมื่อพลังของมันจางหายไป และในขณะที่มันตกอยู่ภายใต้ผลของวิชาเต่า วัวหินผาก็เคลื่อนไหวช้าลงจริงๆ นี่มันไม่ได้เป็นการสะท้อนการโจมตีของเรา’ หานเซิ่นคิด
หานเซิ่นต้องการจะพิสูจน์ความคิดของเขา ดังนั้นเขาจึงยกปืนไรเฟิลขึ้นและเล็งไปที่วัวหินผา หลังจากนั้นเขาก็เหนี่ยวไก
กระสุนที่หานเซิ่นใช้มาจากพลังของวิชาเต่า และมันก็พุ่งออกไปหาวัวหินผา
ขณะวัวตัวนั้นกำลังกินร่างของวัวที่ตายไปอยู่ กระสุนก็พุ่งเข้าไปถูกที่ก้นของมันและมีรูปของเต่าปรากฏขึ้นมา
“มอ!” วัวหินผาหันไปรอบๆด้วยความเกรี้ยวโกรธ มันกระทืบเท้าเพื่อส่งคลื่นกระแทกออกไปรอบๆ
แต่หานเซิ่นไม่ได้อยู่ในระยะ ดังนั้นเขาจึงไม่กลายเป็นหินหรือได้รับผลของวิชาเต่า สัญลักษณ์เต่ายังคงอยู่บนก้นของวัว
“สำเร็จ” หานเซิ่นยิ้มออกมา
ตอนที่ 2006
หุบเขาวัวหินผา
ปัง! ปัง!
กระสุนพุ่งไปถูกวัวหินผาจากระยะไกล วัวหินผาเกรี้ยวโกรธ แต่หลังจากที่ถูกยิงซ้ำๆหลายครั้ง ความเร็วของมันก็ช้าลงยิ่งกว่าหอยทาก มันไม่สามารถที่จะเข้าไปใกล้หานเซิ่นได้
หานเซิ่นพยายามยิงจากระยะที่ไกลที่สุด เพื่อที่วัวหินผาจะได้หาตัวเขาไม่เจอ แต่ถึงมันจะหาเจอ มันก็ไม่สามารถไล่ล่าเขาได้อยู่ดี
ปืนไรเฟิลมนตราระดับเอิร์ลสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างรุนแรง แต่กระสุนที่พุ่งออกไปไม่สามารถเจาะทะลุผิวหนังของวัวหินผาได้ แต่หานเซิ่นก็ไม่คาดคิดว่ามันจะใช้ฆ่าวัวหินผาได้อยู่แล้ว เขาแค่ยิงกระสุนที่ใช้พลังของวิชาเต่าออกไปเรื่อยๆเพื่อทำให้การเคลื่อนไหวของวัวหินผาช้าลง
ในตอนแรกวัวหินผาจะกระทืบเท้าเพื่อสร้างคลื่นกระแทก แต่หลังจากที่มีสัญลักษณ์เต่าปรากฏขึ้นเต็มตัว มันก็ดูเหมือนกับว่าวัวหินผากำลังอยู่ในโหมดสโลว์โมชั่น และท่ากระทืบของมันก็เริ่มที่เกิดขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ
หานเซิ่นสังเกตเห็นว่าคลื่นกระแทกของวัวหินผามีระยะ 500 เมตรเท่านั้น และถ้าเกินจากนั้นไป เขาก็จะไม่ได้รับผลของมัน
“500 เมตร เราต้องระมัดระวังและใช้ช่องว่างระหว่างคลื่นกระแทกแต่ละครั้ง”
หานเซิ่นยังคงยิงใส่วัวหินผาเพื่อเพิ่มสัญลักษณ์เต่าบนตัวของมัน ขณะเดียวกันเขาก็ค่อยเข้าไปใกล้ๆวัวหินผา แต่ยังไม่เข้าไปในระยะคลื่นกระแทกของมัน
“ตอนนี้แหละ!” หานเซิ่นชักมีดของเขาและเริ่มวิ่งออกไป เขาวิ่งเข้าไปหาวัวหินผาอย่างรวดเร็ว และเพียงแค่ชั่วพริบตาเขาก็ไปถึงตัวของมัน
ก่อนที่วัวหินผาจะยกขาของมันได้ หานเซิ่นก็ใช้มีดเขี้ยวผีสิงฟันใส่หูของมันด้วยพลังของมีดและดาบ
เคร๊ง!
หูข้างหนึ่งของวัวหินผาถูกฟันจนขาดครึ่ง และหานเซิ่นก็วิ่งถอยกลับมาในทันที เสียงกระทืบเท้าดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขาพร้อมกับคลื่นกระแทก มันทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นหินและมีสัญลักษณ์เต่าปรากฏขึ้นบนตัวของเขา
หานเซิ่นรีบลบล้างร่างที่เป็นหินและผลของวิชาเต่า หลังจากเขาก็รีบวิ่งหนีไป
วัวหินผาต้องการจะไล่ตามหานเซิ่นไป แต่การเคลื่อนไหวของมันช้าจนน่าหัวเราะ มันทำได้แค่ส่งเสียงคำรามออกมา
“กล้ามาขโมยเหยื่อของฉันอย่างนั้นหรอ? แกตายแน่วันนี้!” หานเซิ่นใช้ปืนไรเฟิลยิงใส่วัวหินผาอีกครั้ง
ผลของวิชาเต่ามีเวลาจำกัด และยิ่งเวลาผ่านไปประสิทธิภาพของมันก็จะอ่อนลงเรื่อยๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย หานเซิ่นจึงยิงกระสุนออกไปเพิ่ม ก่อนที่จะวิ่งออกจากระยะของคลื่นกระแทก
เนื่องจากวัวหินผายังคงเคลื่อนไหวได้อย่างเชื่องช้า หานเซิ่นจึงรู้สึกปลอดภัยที่จะหยุดดูมัน หูของมันถูกตัดขาดและที่บริเวณบาดแผลของมันก็ถูกปกคลุมด้วยควันสีม่วงซึ่งกำลังแพร่ไปส่วนอื่นของร่างกายอย่างช้าๆ
ร่างกายของวัวหินผาไม่มีเลือด แต่ถึงอย่างนั้นพลังเขี้ยวก็ยังคงฉีกบาดแผลของมันทีละเล็กทีละน้อย หานเซิ่นยังคงยิงใส่วัวหินผาอยู่เรื่อยๆเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะหนีไปไหนไม่ได้ เขาตั้งใจจะใช้พลังเขี้ยวค่อยๆฆ่ามันอย่างช้าๆ
วัวหินผาเริ่มที่จะรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นแทนที่จะคำรามใส่หานเซิ่น ตอนนี้มันจึงพยายามวิ่งหนีไป แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มันช้าเหมือนกับสล็อต มันไม่สามารถหนีไปจากหานเซิ่นได้
หานเซิ่นไม่ได้เร่งรีบอะไร เขาตามหลังวัวหินผาไปและคอยๆยิงไปใส่มันเป็นระยะๆ บาดแผลของวัวหินผาเริ่มแพร่กระจายออกไปทั่วหัวของมันจากพลังเขี้ยวของหานเซิ่น
แต่ร่างกายของวัวหินผานั้นแข็งแกร่ง และหานเซิ่นก็ยังเป็นเพียงแค่เอิร์ลคนหนึ่ง ดังนั้นพลังเขี้ยวของเขาจึงสร้างความเสียหายได้ค่อนข้างช้า แต่ถึงอย่างนั้นวัวหินผาตัวนี้ก็น่าจะตายในอีกไม่กี่วัน
วัวหินผายังคงพยายามหนีไป แต่ความพยายามของมันศูนย์เปล่า หานเซิ่นไม่สามารถจะหยุดมันเอาไว้ได้ก็จริง แต่เขาก็ทำให้แน่ใจว่ามันจะหนีออกไปจากระยะยิงของเขาไม่ได้
วัวหินผาส่งเสียงร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธขณะที่พยายามวิ่งหนีไป
หานเซิ่นไม่ต้องการเข้าไปยั่วให้เจ้าวัวตัวนั้นโกรธไปมากกว่านี้ เขาคิดว่าการรออยู่ห่างๆและปล่อยให้มันตายไปเองดีกว่าการเข้าไปเสี่ยงโจมตีมันอีกครั้ง วัวหินผาตัวนี้เป็นซีโน่เจเนอิคที่แปลกประหลาด และบางทีมันอาจจะมีพลังแปลกๆที่ยังไม่ได้ใช้อีกก็ได้ ดังนั้นหานเซิ่นจึงตัดสินใจมองดูมันตายอย่างช้าๆจากระยะไกล เขาไม่ต้องการเข้าไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
แต่สถานการณ์ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ภายใต้เสียงร้องคำรามซ้ำๆของวัวหินผา หานเซิ่นได้ยินเสียงสั่นสะเทือนของพื้น
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีกลุ่มวัวหินผาตัวเล็กๆวิ่งเข้ามา พวกมันมีกันอย่างน้อย 40 กว่าตัว วัวหินผาตัวใหญ่ส่งเสียงร้องมอๆออกมา ซึ่งทำให้เหล่าวัวหินผาตัวเล็กส่งเสียงร้องตอบ
วัวหินผาทุกตัวหันไปมองหานเซิ่น หลังจากนั้นมันก็สลับตำแหน่งของวัวหินผาตัวใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บไปไว้ข้างหลัง
“เวรเอ้ย! ไอ้ตัวนั้นมันกินวัวหินผาตัวที่เล็กกว่าเข้าไป ทำไมพวกแกถึงต้องการจะปกป้องมันอีก? พวกแกควรจะเป็นศัตรูกับมัน” หานเซิ่นถอนหายใจ ตอนนี้พวกวัวหินผากำลังมุ่งหน้ามาทางเขา
หานเซิ่นตัดสินใจหนีไป เขารู้ตัวว่าไม่สามารถที่จะฆ่าวัวหินผาตัวนั้นได้ ขณะที่มีวัวหินผาตัวเล็กตัวอื่นอยู่รอบๆ
ขณะที่เขากำลังถอยออกไปนั้น เขาได้ยินเสียงร้องมอๆดังมาจากกลุ่มของวัวหินผา
ก้อนหินรอบๆเริ่มที่จะร่วงหล่นลงมาจากฝากฟ้าราวกับลูกอุกกาบาต กลุ่มของวัวหินผาระดับมาร์ควิสรวมพลังกันและถล่มพื้นที่ในรัศมีสิบไมล์ด้วยก้อนหิน มันดูเหมือนกับจุดจบของโลกใบนี้
หานเซิ่นสามารถสลัดการไล่ล่าของพวกมันได้สำเร็จ และตัดสินใจย้อนกลับมาดูอีกครั้ง แต่ในบริเวณนั้นยังคงมีวัวหินผาตัวเล็กป้วนเปี้ยนอยู่
หานเซิ่นใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อสแกนหาร่องรอยของวัวหินผาตัวที่ได้รับบาดเจ็บ หลังจากตามหาอยู่หลายนาที ในที่สุดเขาก็พบร่องรอยของมัน เขาตามรอยของมันไปจนถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาได้เห็นกลุ่มของวัวหินผา แต่เขาไม่ได้เห็นตัวที่ได้รับบาดเจ็บ
หานเซิ่นขมวดคิ้ว “มันควรจะอยู่ในหุบเขานี้ มันถูกพลังเขี้ยว ดังนั้นมันไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานนัก”
หานเซิ่นรอคอยอยู่ที่นั่น 2-3 วัน เขาต้องการจะรอคอยจนกระทั่งวัวหินผาตัวนั้นตาย ก่อนที่เขาจะเข้าไปในหุบเขาเพื่อหาร่างของมัน
แต่หลังจากที่รอคอยเพียงแค่คืนหนึ่ง หานเซิ่นก็สังเกตถึงสิ่งผิดปกติในหุบเขา
“พลังเขี้ยวจะหายไปได้ยังไง? นั่นควรจะเป็นไปไม่ได้”
หานเซิ่นใช้กล้องของปืนไรเฟิลส่องเข้าไปในหุบเขาและเห็นว่าหูของวัวหินผาฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ และมันก็ไม่มีร่องรอยของพลังเขี้ยวเหลืออยู่เลย
หานเซิ่นจ้องมองมันด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น