Super God Gene 1986-1994

 ตอนที่ 1986

 

คู่ต่อสู้ที่หิน

“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น? ทำไมไผ่เดียวดายถึงมาเข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ด้วย? เขาไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนั้น”

อวี้จิงไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ ถ้ามันเป็นศิษย์ระดับเอิร์ลคนอื่น เขามั่นใจว่าหานเซิ่นจะเป็นฝ่ายชนะ


 


แต่ไผ่เดียวดายทำให้อวี้จิงรู้สึกสิ้นหวัง


 


ไผ่เดียวดายเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสเจ็ด แต่เขาทำผิดกฎร้ายแรง เขาจึงถูกถอดจากการเป็นศิษย์และถูกจับไปขังเพื่อทรมาน


 


การถูกจับขังของเขาถึงจะไม่ใช่โทษตาย แต่มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการตายทั้งเป็น


 


ไผ่เดียวดายถูกขังในความฝันที่เลวร้าย เขาจะต้องใช้ชีวิตที่แสนเศร้าอยู่ความในฝันเป็นเวลาหมื่นปี เขาถึงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้


 


ซึ่งสิ่งมีชีวิตทั่วๆไปไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนั้น และถึงพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ การที่หัวใจต้องแตกสลายจากฝันร้ายที่ยาวนานก็เป็นอะไรที่ยากเกินกว่าจะทนได้


 


ไผ่เดียวดายหลับใหลอยู่ในห้องขังเป็นเวลา 10 ปีก่อนที่จะตื่นขึ้นมา ซึ่งหลังจากที่ตื่นขึ้นมา เขาก็ได้ไปที่หน้าปราสาทนภาและคุกเข่าลงต่อหน้ามัน หลังจากนั้นประตูก็เปิดออก ผู้นำที่ไม่เคยรับลูกศิษย์มาเป็นเวลากว่าหนึ่งพันปีก็ตัดสินใจรับไผ่เดียวดายเป็นลูกศิษย์ หลังจากนั้นชีวิตที่สดใสของเขาก็เริ่มต้นขึ้น เขาได้ฝึกฝนตำราไร้อักษรในระดับที่ไม่มีใครสามารถเทียบชั้นกับเขาได้


 


แม้แต่กระเรียนพันขนที่ได้รับพรจากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับไผ่เดียวดาย


 


หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าสู้กับไผ่เดียวดายอีก แม้แต่ศิษย์ระดับมาร์ควิสและดยุกก็ไม่กล้าจะประมาทความสามารถของเขาเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าเขาสามารตื่นขึ้นมาหลังจากที่หลับใหลไปเพียงแค่สิบปีได้ยังไง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาต้องผ่านอะไรมา


 


ผู้นำของปราสาทนภาเชื่อว่าไผ่เดียวดายสามารถกลายเป็นเทพเจ้าได้ และเขาก็ไม่ได้รู้สึกสงสัยในความเป็นไปได้นั้นเลยแม้แต่น้อย


 


ไผ่เดียวดายยังไปถึงระดับมาร์ควิส แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะเข้าร่วมการสอบ เพราะแม้แต่ศิษย์ระดับมาร์ควิสของปราสาทนภาก็ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกสนใจได้ แล้วการต่อสู้กับศิษย์ระดับเอิร์ลจะทำให้เขาสนใจได้ยังไง


 


อวี้จิงดูขื่นขม เขารู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย เขาคิดว่าจะได้ร่ำรวยจากการใช้ประโยชน์จากหานเซิ่น แต่ตอนนี้เขากลับกำลังจะหมดเนื้อหมดตัว ไม่มีใครเคยเห็นไผ่เดียวดายต่อสู้มาก่อนในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นมันไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆเขาจะมาเข้าร่วมการสอบแบบนี้


 


หานเซิ่นอยู่บนเกาะโอลด์ไนท์เป็นเวลา 6 วัน เขาล่าซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลได้ทั้งหมด 11 ตัว แต่สถานหยกขาวกำลังจะเปิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องเดินทางออกจากเกาะและมุ่งหน้าไปที่นั่น และเมื่อไปถึง สิ่งที่เห็นก็ทำให้หานเซิ่นรู้สึกตกตะลึง


 


ครั้งก่อนหานเซิ่นมองเห็นสถานหยกขาวเพียงแค่แห่งเดียว แต่ตอนนี้มันมีสิ่งก่อสร้างที่เหมือนๆกันถึง 12 หอคอยอยู่บนเกาะ และที่ปลายของหอคอยในระหว่างหมู่เมฆก็มีเมืองอยู่ หานเซิ่นไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามีอะไรอยู่ในเมืองพวกนั้น แต่เขาสามารถเห็นเมืองทั้ง 5 ได้


 


ในตอนแรกหานเซิ่นไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจเกี่ยวกับสถานหยกขาวพอสมควร


 


ศิษย์ทั่วๆไปของปราสาทนภาจะมองเห็นสถานหยกขาวแค่ 7 แห่งเท่านั้น ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาพอจะเข้าใจเกี่ยวกับมัน และถ้าพวกเขามองเห็นสถานหยกขาว 10 แห่ง พวกเขาก็จะถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ


 


แต่พวกเขามองเห็นสถานหยกขาวทั้ง 12 แห่ง พวกเขาก็จะเป็นที่สุดของคนในรุ่นนั้นๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพียงแค่หนึ่งครั้งในรอบหมื่นปี


 


ปราสาทนภาอยู่มายาวนานหลายล้านปี แต่มันมีน้อยกว่าหนึ่งร้อยคนที่จะมองเห็นเมืองทั้ง 5 ได้


 


หานเซิ่นไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมองเห็นสถานหยกขาวทั้ง 12 และเมืองทั้ง 5 แต่ถึงเขาจะสับสนกับมัน เขาก็ยังเลือกจะเข้าไปฝึกบนชั้นที่ 7 ของสถานหยกขาวแห่งแรก เขาเชื่อว่าลมปราณหยกของที่นั่นเหมาะสมที่สุดสำหรับเอิร์ลคนหนึ่ง ดังนั้นหานเซิ่นจึงตั้งใจจะทำให้วิชากายหยกเลื่อนขั้นไปสู่ระดับเอิร์ลซะก่อน ถึงจะไปสำรวจสถานหยกขาวขั้นต่อไป


 


เมื่อหานเซิ่นขึ้นไปถึงชั้นที่ 4 ยวิ๋นซู่อีก็เดินตรงเข้ามาหาเขา


 


“หานเซิ่น! พี่สาวของข้าและศิษย์พี่กระเรียนกำลังรอเจ้าอยู่บนชั้นที่ 7 เจ้าควรจะไปพบกับพวกเขา ถึงแม้เจ้าไม่คิดจะไปฝึกบนชั้นที่ 7 แต่เจ้าก็ควรจะขึ้นไปเพื่อพบกับพวกเขา”


 


“มันมีเรื่องอะไรหรอ?” หานเซิ่นถามอย่างสับสน


 


“ลมปราณหยกกำลังจะปะทุขึ้นในอีกไม่ช้า ดังนั้นเจ้าขึ้นไปที่ 7 ก่อน และเมื่อมันสิ้นสุดลง ศิษย์พี่กระเรียนจะบอกรายละเอียดกับเจ้า” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


“โอเค” หานเซิ่นพยักหน้าและเดินขึ้นไปยังชั้นที่ 7


 


เมื่อหานเซิ่นเดินหายไปบนบันได ยวิ๋นซู่อีก็ถอนหายใจและคิดกับตัวเอง

‘พระเจ้านั้นไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ทำไมเขาถึงต้องพบกับไผ่เดียวดายด้วย? ไผ่เดียวดายคิดอะไรอยู่กันแน่? ทำไมเขาถึงได้มาเข้าร่วมการสอบในครั้งนี้?’


 


แต่หลังจากนั้นยวิ๋นซู่อีก็คิดต่อ ‘แต่นั่นไม่เป็นไร จุดประสงค์ของเขาต่างหากที่สำคัญ ถึงแม้เขาจะไม่ได้รับอันดับที่หนึ่ง ข้าก็ไม่คิดจะรังเกลียดอะไรเขา’


 


หานเซิ่นขึ้นไปถึงชั้นที่ 7 และที่นั่นเขาก็เห็นกระเรียนพันขน ยวิ๋นซู่ซางและเฟิร์สเดย์ แต่เขาไม่เห็นชายหนุ่มที่ดูหยิ่งยโสที่เขาเจอเมื่อสัปดาห์ก่อน


 


เมื่อเห็นหานเซิ่น กระเรียนพันขนก็เรียกเขาเข้าไปหาและถาม

“เจ้าเข้าร่วมการสอบอย่างนั้นหรอ?”


 


หานเซิ่นพยักหน้าและพูด “ข้าลงชื่อไปแล้ว”


 


กระเรียนพันขนยิ้มแห้งๆออกมาและพูด “ข้ากลัวว่าเจ้าจะต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่หินซะแล้ว”


 


“แล้วมันจะทำไม? มันมีคนใหญ่คนโตเข้าร่วมการสอบครั้งนี้ด้วยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามด้วยรอยยิ้ม


 


กระเรียนพันขนบอกหานเซิ่นเกี่ยวกับเรื่องที่ไผ่เดียวดายเข้าร่วมในการสอบครั้งนี้ด้วย หลังจากนั้นเขาก็เล่าเรื่องราวของไผ่เดียวดายให้หานเซิ่นฟัง เขายังคงบอกหานเซิ่นถึงเรื่องที่ตัวเขาเองนั้นพ่ายแพ้ให้กับไผ่เดียวดาย เขาไม่ได้ปกปิดอะไรแม้แต่น้อย


 


แต่ท่าทางในการพูดของกระเรียนพันขนแตกต่างจากท่าทางที่เขาบรรยายถึงศิษย์ของปราสาทนภาคนอื่นๆ กระเรียนพันขนพูดเหมือนกับว่าความแข็งแกร่งของไผ่เดียวดายอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นตำนาน


 


“บางทีเจ้าอาจจะไม่เชื่อเรื่องทั้งหมดนี้ แต่ในตอนที่ข้าต่อสู้กับไผ่เดียวดาย ข้ารู้สึกราวว่าข้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตั้งแต่ไปยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ในระหว่างที่ต่อสู้กัน ข้ารู้สึกราวกับว่าเขากำลังสอนอะไรบางอย่างกับข้า ซึ่งหลังจาการต่อสู้ครั้งนั้น วิชาดาบของข้าก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก และมันก็ทำให้ข้ามาถึงจุดนี้ได้” กระเรียนพันขนพูด

 

 

 


ตอนที่ 1987

 

ปะการังสีแดง


 


กระเรียนพันขนคิดจะพูดอย่างอื่นอีก แต่ลมปราณหยกเริ่มจะปะทุออกมาแล้ว พวกเขาทั้ง 4 คนจึงหันไปใช้สมาธิในการดูดซับลมปราณหยกเข้าไป


 


เมื่อลมปราณหยกรอบแรกสิ้นสุดลง ยวิ๋นซู่อีก็ขึ้นมาบนชั้นที่ 7 หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันถึงเรื่องการสอบและการเข้าร่วมอย่างคาดไม่ถึงของไผ่เดียวดาย


“ในรอบที่ 6 ของเจ้า เจ้าจะต้องเจอกับไผ่เดียวดายคนนั้น นั่นจะเป็นการต่อสู้ที่หินสุดๆ ข้ากังวลแทนเจ้า แต่ต้องขอยอมรับว่าข้าคาดหวังที่จะได้เห็นมัน ถ้าเจ้าคิดจะไปต่อสู้ล่ะก็ ข้าจะต้องไปดูอย่างแน่นอน” กระเรียนพันขนยิ้ม


 


“ข้าเห็นด้วยกับที่ศิษย์พี่กระเรียนพูด” เฟิร์สเดย์พูด


 


หานเซิ่นถามอย่างสงสัย “ไผ่เดียวดายทำผิดอะไรถึงได้ถูกทรมานแบบนั้น?”


 


หานเซิ่นรู้ว่าการถูกทรมานแบบนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการถูกฆ่าซะอีก มันถือเป็นปาฏิหาริย์ที่ไผ่เดียวดายสามารถตื่นขึ้นมาได้หลังจากผ่านไป 10 ปี ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


 


ฝันร้ายเป็นพลังของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้า คนธรรมดาไม่มีทางจะทนต่อมันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาประสบกับฝันร้ายเป็นเวลายาวนาน


 


“ผู้อาวุโสไม่ยอมพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น พวกเราจึงไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขารู้แค่ว่าเขาฝ่าฝืนกฎบางอย่าง” ยวิ๋นซู่ซางพูด


 


หลังจากที่พูดคุยกันสักพัก หานเซิ่นก็ได้ยินแต่คำว่าแข็งแกร่งและแข็งแกร่งมาก ซึ่งนั่นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อเขา


 


ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้เก็บอะไรพวกนั้นไว้ในจิตใจ เขาไม่คิดว่าคนๆนั้นจะไร้เทียมทาน แต่จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอนั้น เขาจำเป็นต้องต่อสู้กับชายคนนั้นถึงจะรู้ความจริง มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเสียเวลาคิดเกี่ยวกับมันไปมากกว่านั้น


 


เมื่อลมปราณหยกรอบที่ 2 ใกล้จะปะทุ ยวิ๋นซู่อีก็กลับลงไปที่ชั้นที่ 4 ส่วนหานเซิ่นดูดซับลมปราณหยกอยู่บนชั้นที่ 7 เขาคิดว่าวิชากายหยกกำลังพัฒนาไปอย่างราบรื่น หานเซิ่นเชื่อว่ามันจะไปสู่ระดับเอิร์ลได้ ถ้าได้ดูดซับลมปราณหยกอีกสัก 10 รอบ


 


มันน่าเสียดายที่ลมปราณหยกปะทุขึ้นแค่ 2 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น


 


ซึ่งหลังจากที่นับเวลาดูแล้ว หานเซิ่นก็รู้ตัวว่ามันต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วการพัฒนาจากไวเคานต์ไปสู่ระดับเอิร์ลในเวลาเพียง 2-3 เดือนนั้นถือว่าเป็นเหมือนกับปาฏิหาริย์


 


หลังจากที่ออกจากสถานหยกขาว หานเซิ่นก็มีแผนจะไปล่าซีโน่เจเนอิคที่เกาะโอลด์ไนท์ต่อ ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากเก็บสะสมยีนให้เต็ม


 


มันเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้นก่อนที่จะถึงการสอบ ซึ่งหานเซิ่นต้องการจะเก็บยีนระดับเอิร์ลให้เต็มก่อนที่จะถึงการสอบถ้าเป็นไปได้


 


ในขณะที่หานเซิ่นเตรียมจะออกเดินทางไปที่เกาะนั้น ยวิ๋นซู่อีก็เดินเข้ามาหาเขา


 


“หานเซิ่น เจ้ากำลังจะกลับไปที่เกาะของเจ้าอย่างนั้นหรอ?”


 


“ข้ากำลังจะไปที่เกาะโอลด์ไนท์เพื่อล่าซีโน่เจเนอิค” หานเซิ่นตอบ


 


“เจ้าพาข้าไปด้วยได้ไหม? ที่นั่นไม่ได้อันตรายอะไรเหมือนอย่างถ้ำเสวียนเยวี๋ยน ข้าเชื่อว่าข้าปกป้องตัวเองได้ และข้าก็จะไม่ขอส่วนแบ่งจากเจ้าอีกด้วย ข้าแค่อยากติดตามเจ้าไปด้วยเท่านั้น” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


หานเซิ่นตอบตกลง เกาะโอลด์ไนท์ไม่ได้อันตรายอะไร และถ้าเธอไม่ได้คิดที่จะขอส่วนแบ่งอะไร หานเซิ่นก็ไม่คิดว่าการพาเธอไปด้วยจะเป็นเรื่องเสียหาย


เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นตอบตกลง เธอก็ดูดีใจอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ้มออกมาและพูด “เกาะโอลด์ไนท์นั้นไม่อนุญาตให้สัตว์ขี่ระดับเอิร์ลเข้าไป ดังนั้นข้าจึงขี่เสือปีกหยกไปไม่ได้ ข้าขอนั่งกระเรียนหยกรัตติกาลของเจ้าไปด้วยได้ไหม?”


 


“ได้แน่นอน มันแข็งแกร่งพอที่จะรับน้ำหนักคน 2 คนได้ เพียงแต่มันจะช้าหน่อยเท่านั้นเอง” หานเซิ่นยิ้ม


 


“ถึงมันจะช้าก็ไม่เป็นไร” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


เมื่อกระเรียนไร้ขาเริ่มบินขึ้น หานเซิ่นก็กระโดดขึ้นบนหลังของมัน และยวิ๋นซู่อีก็ตามขึ้นไป


 


พื้นที่บนหลังของนกกระเรียนไร้ขานั้นมีค่อนข้างจำกัด พวกเขาจึงต้องนั่งแบบติดกัน ซึ่งนั่นทำให้ยวิ๋นซู่อีหน้าแดง


 


หลังจากนั้นพวกเขาก็หายตัวไปในหมู่เมฆ


 


นกกระเรียนไร้ขาบินลึกเข้าไปในเกาะโอลด์ไนท์หลายร้อยไมล์ แต่พวกเขาก็ยังไม่เจอซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลเลยสักตัว เวลาแบบนี้มันทำให้หานเซิ่นนึกถึงหวังอวี่ฮังขึ้นมา ถ้าหวังอวี่ฮังอยู่ที่นี่ หานเซิ่นก็ไม่จำเป็นต้องออกตามหาซีโน่เจเนอิคให้เหนื่อย เพราะพวกซีโน่เจเนอิคจะมาหาพวกเขาเอง


 


ขณะที่พวกเขาตามหาซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล พวกเขาก็เห็นอะไรบางอย่างที่ส่องแสงอยู่บนยอดของภูเขา หานเซิ่นจึงรีบไปที่นั่นพร้อมกับยวิ๋นซู่อี ภูเขานั้นคลายคลึงกับดาบที่ตั้งสูงขึ้นไป 800 เมตร และมันก็มีพืชที่เหมือนกับปะการังสีแดงขึ้นอยู่ข้างบนนั้น


 


แสงที่พวกเขาเห็นเป็นแสงสะท้อนของพืชพวกนี้


 


เมื่อยวิ๋นซู่อีเห็นพวกมัน เธอก็ดูแปลกใจ “นี่คือพืชซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล มันมีชื่อว่าปะการังโลหิต ซีโน่เจเนอิคนั้นหลงรักการกินพวกมัน เพราะพวกมันดีต่อการวิวัฒนาการของพวกซีโน่เจเนอิค พวกมันจะถูกกินเมื่อโตจนมีขนาดพอๆกับฝ่ามือ ต้นที่อยู่บนยอดสุดนั้นสูงถึง 3 เมตร แต่มันกลับยังไม่ถูกกิน นี่มันแปลกมากๆ”


 


หานเซิ่นมองไปที่ปะการังสีแดงและพูด “อ้า ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงยังไม่ถูกกิน มันมีซีโน่เจเนอิคที่แข็งแกร่งคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นซีโน่เจเนอิคตัวอื่นจึงไม่กล้าเข้ามาใกล้”


 


“ข้าไม่เห็นซีโน่เจเนอิคที่ไหนเลย” ยวิ๋นซู่อีมองไปรอบๆ แต่เธอมองไม่เห็นอะไร


 


หานเซิ่นชี้ไปที่ปะการังสีแดงและพูด “ดูที่ปะการังสีแดง มันอยู่ที่นั่น”


 


ยวิ๋นซู่อีมองตามนิ้วของหานเซิ่นไปและเห็นกิ่งไม้ แต่มันไม่ใช่กิ่งไม้จริงๆ มันเป็นแมลงสีแดงที่พลางตัวเข้ากับปะการัง มันดูคล้ายคลึงกับตั๊กแตน มันกำลังคบเคี้ยวปะการังสีแดงอยู่


 


“นั่นมันตั๊กแตนโลหิตเทพ มันมีความยาวหนึ่งฟุตเท่านั้น แต่ถึงขนาดตัวของมันจะไม่ได้ใหญ่โตอะไร มันก็เป็นซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลที่แข็งแกร่งมากๆ”

ขณะที่พูด สีหน้าของยวิ๋นซู่อีก็เปลี่ยนไป “ข้ารู้แล้ว! ตั๊กแตนตัวนี้เฝ้าปะการังเอาไว้ก็เพราะมันต้องการจะวิวัฒนาการ แต่มันไม่ได้จะพัฒนาไปเป็นมาร์ควิส แต่มันกำลังจะกลายพันธุ์ พวกเราควรจะฆ่ามันก่อนที่มันจะกินปะการังนั่น!”


 


หานเซิ่นรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขายิ้มและพูดออกมา “ถ้ามันต้องการจะกลายพันธุ์ ก็ปล่อยให้มันได้กลายพันธุ์”


 


ยวิ๋นซู่อีต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของหานเซิ่น เธอก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก ถ้าหานเซิ่นบอกว่ามันไม่เป็นอะไรล่ะก็ เธอก็จะเชื่อใจเขา


 


ตั๊กแตนโลหิตเทพกินปะการังสีแดงเข้าไปอย่างช้าๆ พวกเขารอคอยอยู่หนึ่งชั่วโมง แต่ตั๊กแตนก็กินได้เพียงแค่ส่วนน้อยของพืชเท่านั้น แต่ทันใดนั้นร่างของมันก็เรืองแสงออกมาราวกับทับทิมที่มันเงา


 


“หานเซิ่น เจ้าเป็นคริสตัลไลเซอร์ แต่เจ้ายังเป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด เจ้าคิดที่จะแต่งงานกับคริสตัลไลเซอร์หรือรีเบท?” ยวิ๋นซู่อีถามขึ้นมาเล่นๆ


 


“ข้ามีภรรยาอยู่แล้ว นางเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับข้า” หานเซิ่นตอบอย่างขาดความกระตือรือร้นขณะมองไปที่เจ้าตั๊กแตน


 


ยวิ๋นซู่อีดูผิดหวัง เธอถามขึ้นมา “ทำไมเจ้าไม่พาภรรยาของเจ้ามาด้วย?”


 


“ลูกของข้ายังเด็ก นางต้องคอยดูแลพวกเขา ข้าเลยให้นางอยู่ที่บ้าน” หานเซิ่นตอบ


 


“เจ้ามีลูกอย่างนั้นหรอ?” ดวงตาของยวิ๋นซู่อีเบิกกว้าง


 


“ใช่แล้ว ข้ามีลูกสืบสายเลือด 2 คน ส่วนอีกคนเป็นลูกบุญธรรม” หานเซิ่นตอบ


 


หัวใจของยวิ๋นซู่อีแตกสลาย เธอพบว่าตัวเองหายใจได้ลำบาก เธอมองหานเซิ่นและถอนหายใจออกมา แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเป็นเวลานาน

 

 

 


ตอนที่ 1988

 

ตั๊กแตนโลหิตเทพ

ร่างของตั๊กแตนโลหิตเทพนั้นมีขนาดแค่หนึ่งในสิบของพืชที่มันกำลังอยู่ แต่เมื่อมันกินปะการังเข้าไป ท้องของมันไม่ได้พองขึ้น แต่ทว่าร่างกายของมันเริ่มเรืองแสงออกมา


 


ก่อนที่มันจะกินปะการังสีแดงได้หมด ลักษณะร่างกายอย่างหนึ่งของมันก็เปลี่ยนแปลงไป เงาของยมทูตสีแดงปรากฏขึ้นบนตัวของมัน ในมือของยมทูตนั้นถือเคียวสำหรับเก็บเกี่ยววิญญาณเอาไว้


 


เงาที่พร่ามัวดูชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่ามันจะกลายเป็นรูปธรรมจริงๆขึ้นมา


 


“มันกำลังวิวัฒนาการ มันจะกลายเป็นมาร์ควิสหรือมันจะกลายพันธุ์?” หานเซิ่นถามขณะที่เขาจ้องไปที่ตั๊กแตนโลหิตเทพ


 


“จิตวิญญาณเป็นแค่สสารที่เกิดจากแสง หมอกและอากาศ พวกมันไม่ได้มีรูปธรรมจริงๆ เมื่อพวกมันวิวัฒนาการเป็นมาร์ควิส พวกมันก็จะดูเป็นรูปธรรมมากกว่าที่เคยเป็น พวกมันแค่ได้รับพลังเพิ่มขึ้นเท่านั้น ดูที่ตั๊กแตนโลหิตเทพนั่น มันไม่ได้กำลังจะกลายเป็นมาร์ควิส แต่มันกำลังกลายพันธุ์” ยวิ๋นซู่อีพูด


“มันถือเป็นเรื่องที่ดี ข้าชอบตัวที่กลายพันธุ์” หานเซิ่นยิ้ม


 


ควันสีแดงของตั๊กแตนโลหิตเทพเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ยมทูตสีแดงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน


 


วินาทีต่อมา หานเซิ่นก็เห็นยมทูตสีแดงแกว่งเคียวของมันเข้าหาปะการัง มันตัดปะการังสีแดงที่เหลือขาดเป็นชิ้นๆ หลังจากนั้นควันสีแดงบนร่างกายของมันก็กลายเป็นวังวนที่ดูดชิ้นส่วนของปะการังสีแดงเข้าไป


 


เมื่อปะการังสีแดงเข้าไปในวังวน ควันของยมทูตสีแดงก็หนายิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคียวในมือของมัน ร่างควันของมันเริ่มที่จะค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และไม่นานมันก็กลายเป็นใบมีดคริสตัล


 


“มันกำลังจะสิ้นเสร็จการกลายพันธุ์ ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


“ไม่จำเป็นต้องรีบ รอดูต่อไปอีกสักหน่อย” หานเซิ่นอยากจะรู้ว่าวิชาจีโนของตั๊กแตนโลหิตเทพคืออะไร เขาต้องการจะเห็นว่ามันแข็งแกร่งถึงขนาดไหน


 


หลังจากผ่านไปอีก 2 ชั่วโมง ขั้นตอนการกลายพันธุ์ของตั๊กแตนโลหิตเทพก็เสร็จสิ้น ยมทูตสีแดงกลายเป็นหมอกควันและหายกลับเข้าไปในร่างของมัน


 


ร่างกายของตั๊กแตนโลหิตเทพไม่ได้เติบโตขึ้นจากการกินปะการังเข้าไป ตอนนี้ตัวของมันยังคงยาวหนึ่งฟุตเท่าเดิม และร่างกายของมันก็ยังดูเหมือนกับทับทิม


 


แต่หลังจากนั้นจู่ๆมันก็กระพือปีกและส่งเสียงกรีดร้องออกมา มันพุ่งเข้ามาหาหานเซิ่นอย่างรวดเร็วราวกับเงามืดสีแดง


 


บางทีมันอาจจะสังเกตเห็นหานเซิ่นและยวิ๋นซู่อีมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่เนื่องจากมันอยู่ระหว่างขั้นตอนการวิวัฒนาการ มันจึงไม่สามารถทำอะไรได้


 


“มนตรา” หานเซิ่นพูด หลังจากนั้นมนตราก็ปรากฏตรงหน้าหานเซิ่นในร่างของหญิงสาว เธอถือปืนคู่อยู่ในมือและยิงออกไปใส่ตั๊กแตนโลหิตเทพเลือด


 


ปัง! ปัง!


กระสุน 2 นัดพุ่งไปถูกตัวของตั๊กแตนโลหิตเทพ แต่พวกมันไม่สามารถเจาะทะลุเปลือกของตั๊กแตนได้ พวกมันแค่ทิ้งเครื่องหมายเอาไว้บนตัวของตั๊กแตนเท่านั้น


 


ตั๊กแตนโลหิตเทพส่งเสียงร้องออกมาด้วยความโกรธ ร่างกายของมันเปลี่ยนเป็นเงาสีแดง หลังจากนั้นมันก็กระโดดเข้าใส่มนตรา พร้อมกับแกว่งแขนไปมาเหมือนกับเคียว


 


มนตราเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อหลบการโจมตีของตั๊กแตนโลหิตเทพ ขณะเดียวกันเธอก็เปลี่ยนปืนคู่ในมือให้กลายเป็นปืนอาร์พีจี หลังจากนั้นเธอก็ยิงจรวดออกไปใส่ตั๊กแตนโลหิตเทพ


 


หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าทำไมมนตราถึงเลือกใช้ปืนอาร์พีจีในตอนนี้ ถึงมันจะรุนแรงมากกว่าปืนคู่ก็จริง แต่มันเชื่องช้า และด้วยความเร็วของตั๊กแตนโลหิตเทพ มันก็คงจะหลบได้อย่างง่ายดาย


 


และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด ตั๊กแตนโลหิตเทพกระพือปีกและบินหลบขึ้นไปด้านบน ก่อนที่จะพุ่งเข้าหามนตราอีกครั้ง


 


มนตราถอยไปด้านหลัง ขณะที่ยังคงถือปืนอาร์พีจีอยู่ในมือ และทันใดนั้นจรวดที่พุ่งผ่านไปจู่ๆก็โค้งกลับมาราวกับมิสไซล์ติดตามเป้าหมาย มันพุ่งเข้าใส่ตั๊กแตนจากด้านหลัง


 


ตูม!


เสียงระเบิดดังขึ้นมา และร่างของตั๊กแตนโลหิตเทพก็กระเด็นออกไป ขณะที่เปลือกของมันเต็มไปด้วยบาดแผลเล็กๆจำนวนมาก


 


แต่บาดแผลเพียงแค่นั้นไม่สามารถทำไรอะไรตั๊กแตนได้มาก พวกมันแค่ทำให้ตั๊กแตนโกรธมากขึ้นเท่านั้น ตั๊กแตนส่งเสียงกรีดร้องออกมาและกระโดดเข้าหามนตราอีกครั้ง


 


‘ว้าว! กระสุนที่มีเครื่องหมาย นอกจากจะติดตามการเคลื่อนไหวของศัตรูได้แล้ว มันยังใช้เพื่อเปลี่ยนวิถีของจรวดได้ด้วยหรอเนี่ย? แล้วกระสุนปืนจะใช้ฟังก์ชันแบบเดียวกันนี้หรือเปล่านะ?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


เพียงไม่นานคำถามของหานเซิ่นก็ได้รับคำตอบ มนตราเปลี่ยนปืนอาร์พีจีกลับไปเป็นปืนคู่ ขาของเธอไขว้ไปมา ขณะที่หลบการโจมตีของตั๊กแตนโลหิตเทพ มันเหมือนกับว่าเธอกำลังเต้นระบำ


 


ในระหว่างการเต้นรำที่สง่างาม ปืนคู่ของมนตราก็ถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง มันดูไม่เหมือนกับว่าเธอเล็งไปที่ตั๊กแตนโลหิตเทพ แต่กระสุนที่ถูกยิงออกไปก็จะเลี้ยวโค้งในอากาศและกลับมาถูกตัวของเจ้าตั๊กแตน กระสุนที่ยิงออกไปนั้นไม่พลาดเป้าหมายเลยแม้แต่ลูกเดียว


 


‘กระสุนของปืนคู่ก็ติดตามเป้าหมายได้เหมือนกันหรอเนี่ย?’ หานเซิ่นรู้สึกดีใจ


 


ยวิ๋นซู่อีมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแปลกๆ มนตราเป็นแค่อาวุธจีโน แต่เธอกลับต่อสู้กับซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์ระดับเอิร์ลได้โดยไม่ต้องรับคำสั่งจากเจ้านาย อาวุธจีโนธรรมดาไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นได้ ความจริงแล้วอาวุธจีโนส่วนใหญ่ไม่สามารถต่อสู้ได้ด้วยซ้ำไป เนื่องจากพวกมันไม่ได้มีจิตใจเป็นของตัวเอง


 


ปืนคู่ค่อนข้างอ่อนแอ ถึงพวกมันจะถูกเป้าหมายซ้ำๆที่จุดเดียวกัน แต่พวกมันก็ไม่สามารถทำความเสียหายให้กับตั๊กแตนโลหิตเทพได้


 


ตั๊กแตนโลหิตเทพพยายามจะโจมตีใส่มนตรา แต่มันก็พลาดเป้าทุกครั้ง หลังจากที่มนตราทิ้งระยะห่างได้พอสมควร เธอก็เปลี่ยนไปใช้ปืนไรเฟิล เธอต้องการการโจมตีที่รุนแรงมากขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะได้ยิงปืนไรเฟิลนั้นจู่ๆก็มีควันสีแดงปรากฏขึ้นด้านหลังของเธอ เคียวคริสตัลกวาดเข้ามาที่คอของเธอจากด้านหลัง


 


หานเซิ่นใช้จิตใจของเขาเพื่อควบคุมให้มนตราหลบ แต่มันสายเกินไป เคียวคริสตัลเฉือนทะลุชุดเกราะสีขาวของเธอลึกเข้าไปหนึ่งนิ้ว มันตัดผ่านกล้ามเนื้อเข้าไปลึกพอที่จะเผยให้เห็นกระดูก


 


โชคดีที่มนตราไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เธอจึงไม่มีเลือดให้เสีย


 


หลังจากที่มนตราถูกโจมตี เธอก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ตั๊กแตนโลหิตเทพส่งเสียงกรีดร้องและกระโดดเข้าใส่เธอ ขณะที่ยมทูตสีแดงติดตามเธอจากด้านหลัง พวกมันทั้งคู่รุมโจมตีใส่เธอพร้อมๆกัน


 


‘ตอนนี้เมื่อตั๊กแตนโลหิตเทพกลายพันธุ์แล้ว มันก็สร้างจิตวิญญาณที่ใช้งานเหมือนกับซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่งอย่างนั้นหรอ? นี่มันคล้ายคลึงกับพลังในการอัญเชิญ’ หานเซิ่นคิด


 


เมื่อเห็นว่ามนตรากำลังตกอยู่ในอันตราย ยวิ๋นซู่อีก็พูดขึ้นมา “ตอนนี้พวกเราทำยังไงดี?”


 


“ฆ่ามัน” หานเซิ่นพูดและดึงมีดเขี้ยวผีสิงออกมาจากเอว

 

 

 


ตอนที่ 1989

 

จุดประสงค์คืออันดับหนึ่ง

ยวิ๋นซู่อีเห็นหานเซิ่นลุกขึ้นและเทเลพอร์ตไปด้านหลังของตั๊กแตนโลหิตเทพ มีดแสงสีม่วงถูกฟันออกไป ขณะที่หัวของตั๊กแตนโลหิตเทพดูเหมือนกับว่ากำลังถูกเขมือบโดยปีศาจ มีดแสงตัดผ่านไปและร่างกายของมันก็ร่วงลงไปที่พื้น


 


ยมทูตสีแดงแตกสลายในทันทีและจางหายไปในอากาศ


 


“ซีโน่เจเนอิคตั๊กแตนโลหิตเทพกลายพันธุ์ระดับเอิร์ลถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกพบ”


 


‘ไม่ได้รับวิญญาณอสูร?’ ความคิดของหานเซิ่นถูกย้อมด้วยความโลภ


 


ยวิ๋นซู่อีมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ เขาสังหารซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์ระดับเอิร์ลในดาบเดียว ซึ่งนั่นเหนือกว่าสิ่งที่กระเรียนพันขนสามารถทำได้มากนัก


 


แต่เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของหานเซิ่น ยวิ๋นซู่อีก็รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม


 


หานเซิ่นขุดเอายีนกลายพันธุ์ออกจากตัวของตั๊กแตนโลหิตเทพ ซึ่งเป็นชิ้นเปลือกของมัน และภายในชิ้นคริสตัลสีเลือดนั้นก็มีก้อนควันอยู่ หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่ามันเป็นใบหน้าของยมทูตสีแดง


 


“ยีนระดับเอิร์ลไม่เพียงพอ ไม่สามารถสกัดยีนกลายพันธุ์ได้”


 


หานเซิ่นแปลกใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น มันเป็นยีนกลายพันธุ์ระดับเอิร์ลเหมือนกัน ซึ่งก่อนหน้านี้เขาสามารถสกัดยีนของราชินีมดได้ แต่ตอนนี้หานเซิ่นมียีนมากกว่าตอนนั้นถึง 2 พ้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถที่จะสกัดยีนของตั๊กแตนโลหิตเทพได้


 


หานเซิ่นตัดสินใจเก็บมันเข้าไปในกระเป๋าและส่งร่างของตั๊กแตนให้กับนกกระเรียนไร้ขา หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ออกล่าซีโน่เจเนอิคบนเกาะโอลด์ไนท์ต่อโดยมียวิ๋นซู่อีติดตามไปด้วย


 


ภายในบุดด้าคิงดอม ราชาเคลียร์ซีโค้งคำนับให้กับเบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าและพูดขึ้นมา

“หานเซิ่นทำลายคำสาบที่เปลี่ยนร่างกายเป็นมดได้สำเร็จ และตอนนี้เขากำลังฝึกในปราสาทนภา”


 


เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าพูด “ราชินีแห่งมีดคงจะขอให้ผู้นำของปราสาทนภาทำลายวิชาของข้า”


 


“พวกเราจะปล่อยเขาลอยนวลไปแบบนี้อย่างนั้นหรอ?” ราชาเคลียร์ซีถาม


 


“สำหรับตอนนี้พวกเราจะไปก้าวก่ายเรื่องภายในปราสาทนภาไม่ได้ ถ้าเขาอยู่ในปราสาทนภา พวกเราก็ปล่อยเขาไป”


ดูเหมือนกับเบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาถึงไม่ได้แสดงความกังวลอะไรออกมา


 


“แต่ว่า…” ราชาเคลียร์ซีอยากจะพูดมากกว่านั้น แต่เขาถูกเบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าหยุดเอาไว้


 


“เฟิร์สเดย์ยังฝึกอยู่ที่ปราสาทนภาใช่ไหม เขาเป็นยังไงบ้าง?” เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าถาม


 


“เขาจะเป็นมาร์ควิสในเร็วๆนี้” ราชาเคลียร์ซีตอบ


 


“ดี ถึงเฟิร์สเดย์จะไม่ได้มีพรสวรรค์เท่ากับเจ็ดวิญญาณหรือสปีชเลสส์ แต่เฟิร์สเดย์ก็ทัดเทียมกับพวกเขาในด้านความแข็งแกร่ง ด้วยการฝึกฝนในปราสาทนภาและการผสานกันระหว่างพรสวรรค์ของเผ่าพันธุ์ที่ดีที่สุด 2 เผ่าพันธุ์ เขาเองก็มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นเทพเจ้าเช่นเดียวกัน พวกเราจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปไม่ได้” เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าพูด


 


“ตอนนี้หานเซิ่นคนนั้นก็อยู่ในปราสาทนภา นี่เขาจะ…” ราชาเคลียร์ซีกังวล


 


เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าพูดอย่างใจเย็น “ปราสาทนภารับตัวหานเซิ่นเข้าไป และพวกเขาก็รับตัวเฟิร์สเดย์ไปเช่นกัน มันไม่มีความจำเป็นที่เราต้องกังวลถึงความปลอดภัยของเขา อย่าได้ทำอะไรจนกว่าหานเซิ่นจะออกจากปราสาทนภา และก็อย่าได้ติดต่อไปหาเฟิร์สเดย์ รอจนกระทั่งเขาฝึกสำเร็จก่อน”



 


เมื่อใกล้ถึงวันที่สถานหยกขาวจะเปิดขึ้นอีกครั้ง หานเซิ่นและยวิ๋นซู่อีก็เดินทางออกจากเกาะโอลด์ไนท์ ในครั้งนี้หานเซิ่นล่าซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลได้ 11 ตัว แต่เนื่องจากยวิ๋นซู่อีอยู่กับเขาด้วย เขาจึงต้องนำยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมดที่ล่าได้ติดตัวกลับไป เนื่องจากเขาไม่ต้องการกินยีนซีโน่เจเนอิคต่อหน้าเธอ


 


เมื่อลมปราณหยกของสถานหยกขาวสิ้นสุดลง หานเซิ่นก็นำยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมดกลับไปที่เกาะของเขา


 


“ซู่อี ตามพี่กลับไปที่บ้าน” ยวิ๋นซู่ซางเรียกน้องสาวของเธอ


 


ยวิ๋นซู่อีหันไปมองยวิ๋นซู่ซางด้วยสีหน้าที่ดูเศร้าสร้อยและพูด

“พี่ไม่ต้องกังวล ข้าจะกลับไปที่บ้าน”


 


ยวิ๋นซู่ซางรู้สึกแปลกใจ เธอสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับท่าทางของยวิ๋นซู่อี เธอจึงถามขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? นี่หานเซิ่นทำอะไรเจ้าอย่างนั้นหรอ?”


 


ยวิ๋นซู่อีส่ายหัวและถอนหายใจออกมา พวกเธอไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอก็แน่นแฟ้นไม่ต่างไปจากพี่น้องทางสายเลือดจริงๆ พวกเธอพูดคุยกันทุกเรื่องโดยไม่ปิดบัง ดังนั้นยวิ๋นซู่อีจึงบอกยวิ๋นซู่ซางถึงสิ่งที่เธอได้รู้เกี่ยวกับหานเซิ่น


 


“พี่เข้าใจแล้ว แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดี เจ้าเป็นคนเผ่านภา และเจ้าก็เป็นลูกของผู้อาวุโสอีกด้วย เธอไม่อาจอยู่ร่วมกับคนนอกได้” ยวิ๋นซู่ซางรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ทำให้ยวิ๋นซู่อีเศร้าใจ


 


ยวิ๋นซู่ซางปลอบเธอและพูดต่อ “หานเซิ่นเป็นอัจฉริยะ แต่เขาไม่ได้เป็นแค่คนเดียวที่คู่ควรกับเจ้า มันยังมีอัจฉริยะแบบเขาอีกมาก”


 


ยวิ๋นซู่อีไม่มีอารมณ์จะพูดล้อเล่น เธอรู้สึกเศร้าอย่างมาก เธอฝืนยิ้มออกมาและเดินทางกลับบ้าน


 


เนื่องจากวันต่อมาเป็นวันสอบ หานเซิ่นจึงเร่งรีบอย่างมาก เขาไม่มีเวลาที่จะค่อยๆกิน เขาต้มยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมดในหม้อเดียวและใช้วิชาคอนซูมเพื่อย่อยยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมดให้เร็วที่สุด


 


หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าถูกไฟฟ้าช็อตและมีพลังไหลเวียนในร่างกายของเขา มันทำให้เขารู้สึกแข็งแกร่งขึ้น


 


เสียงประกาศดังขึ้นในหัวของหานเซิ่นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเสียงประกาศสุดท้ายสิ้นสุดลง ยีนระดับเอิร์ลของเขาก็มาอยู่ที่ 40 พ้อย


 


แต่เมื่อหานเซิ่นหยิบยีนของตั๊กแตนโลหิตเทพกลายพันธุ์ออกมา เสียงประกาศก็ยังคงบอกว่าเขามียีนระดับเอิร์ลไม่เพียงพอ


 


“ยีนของตั๊กแตนโลหิตเทพกลายพันธุ์จำเป็นต้องใช้ยีนระดับเอิร์ลสูงกว่ายีนของมดราชินีกลายพันธุ์ แต่ตอนนี้เราไม่มีเวลาไปล่าซีโน่เจเนอิคเพิ่ม”

หานเซิ่นเก็บมันไปก่อนและนั่งลงบนเตียงเพื่อฝึกวิชากายหยก


 


ถึงแม้มันจะไม่ได้ผลดีเหมือนกับตอนที่ฝึกในสถานหยกขาว แต่มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย


 


วันต่อมา เมื่อหานเซิ่นกำลังจะเดินทางไปยังสถานที่สอบ อวี้จิงก็มาหาเขาที่เกาะ


 


“ศิษย์น้องหาน ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะปรึกษากับเจ้า” อวี้จิงรีบพูดขึ้นมาในทันที


 


“เรื่องอะไร?” หานเซิ่นมองอวี้จิง


 


อวี้จิงลดเสียงของเขาและพูด “คู่ต่อสู้คนแรกที่เจ้าจะเจอในวันนี้ เขาหวังว่าตัวเองจะผ่านไปสู่รอบต่อไปได้ ดังนั้นเขายินดีจะจ่ายในราคาสูง โดยหวังว่าเจ้าจะยอมให้เขาผ่านไปรอบต่อไป”


 


อวี้จิงไม่ได้พูดตรงๆ แต่เขาหมายความว่าคู่ต่อสู้จะจ่ายเงินให้กับหานเซิ่นเพื่อให้เขาล้มมวย


 


“ขอโทษด้วย ข้าคงจะช่วยเขาไม่ได้” หานเซิ่นตอบ


 


อวี้จิงรีบพูดขึ้นมา “ศิษย์น้องหาน เจ้ารู้ใช้ไหมว่าคู่ต่อสู้คนที่ 6 ของเจ้าคือไผ่เดียวดายน่ะ? มันยากจะตัดสินได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้นมันจะดีกว่าถ้าเจ้ารับผลประโยชน์ในตอนนี้”


 


ในตอนที่อวี้จิงบอกว่ามันยากจะตัดสินได้ว่าใครเป็นฝ่ายชนะนั้น จริงๆแล้วเขาหมายความว่าหานเซิ่นจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และถ้าหานเซิ่นแพ้ อวี้จิงก็จะสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดไป ตอนนี้เขาพยายามจะทำให้ตัวเองสูญเสียน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


 


“จุดประสงค์ในการเข้าสอบของข้าคือการได้อันดับที่หนึ่ง ข้าไม่สนใจอย่างอื่น”

หลังจากที่พูดอย่างนั้น หานเซิ่นก็ขี่นกกระเรียนไร้ขาบินตรงไปที่เกาะวิถีนภา ซึ่งเป็นสถานที่สอบ


 


อวี้จิงยืนแข็งทื่อไปสักพักหนึ่ง


 


หลังจากผ่านไปสักพัก อวี้จิงก็รู้สึกตัวขึ้น เขาพูดกับตัวเอง

“ข้าก็หวังจะให้เจ้าได้อันดับที่หนึ่งเช่นกัน แต่เจ้าจะเอาชนะไผ่เดียวดายได้ยังไง?”

 

 

 


ตอนที่ 1990

 

มาดูเชิง

บนเกาะวิถีนภา ผู้คนในระดับที่แตกต่างกันกำลังรอคอยการสอบของพวกเขา มันมีการสอบตั้งแต่บารอนไปจนถึงมาร์ควิส


 


แต่ส่วนที่ยอดนิยมที่สุดของวันนี้เป็นการสอบของระดับเอิร์ล ราชาและขุนนางหลายคนต่างก็มาเพื่อดูการประลอง ทำให้บนอัฒจันทร์นั้นเต็มไปด้วยผู้คน


 


แม้แต่ศิษย์ระดับบารอนและไวเคานต์ก็ยังมาดูการสอบของระดับเอิร์ลเช่นกัน ซึ่งทุกคนมาเพื่อดูไผ่เดียวดาย


 


หานเซิ่นไม่ได้เป็นที่สนใจอะไร นอกจากอวี้จิงและคนที่ทำการเดินพันกับเขาแล้ว มันไม่ได้มีใครคนอื่นที่ตั้งตารอการต่อสู้ระหว่างเขากับไผ่เดียวดาย


 


เมื่อไผ่เดียวดายมาถึง เขาก็ดึงดูดสายตาของทุกคน ผู้คนพูดถึงกันแต่เรื่องของเขาและพยายามจะคาดเดาว่าเขาตัดสินใจเข้าร่วมการสอบครั้งนี้ทำไม ไม่มีใครสามารถคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงของเขาได้


 


ผู้คนต่างมองไปที่ไผ่เดียวดาย ซึ่งทำให้ง่ายสำหรับหานเซิ่นที่จะสังเกตเห็นเขาเช่นเดียวกัน เมื่อหานเซิ่นเห็นใบไผ่เดียวดาย เขาก็ดูประหลาดใจ “หมอนั่นคือไผ่เดียวดายหรอเนี่ย?”


 


เขาคือชายหยิ่งยโสที่หานเซิ่นเจอบนชั้นที่ 7 ของสถานหยกขาว


 


เมื่อเห็นตารางการต่อสู้ หานเซิ่นก็พบว่าต้องรอให้จบรอบของไผ่เดียวดายซะก่อนถึงจะเป็นรอบของเขา ดังนั้นเขาจึงนั่งลงที่ด้านข้างเพื่อดูการต่อสู้ของไผ่เดียวดาย


 


ศิษย์ทุกคนในปราสาทนภาต่างก็แข็งแกร่งกันทุกคน ดังนั้นมันไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะมาจากเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่มีชื่อเสียง มันมีตัวแทนที่แข็งแกร่งจากหลายเผ่าพันธุ์อยู่ที่นี่ และพวกเขาทุกคนก็มีวิชาจีโนที่ยอดเยี่ยม


 


หานเซิ่นรู้สึกสนุกสนานที่ได้เห็นยอดฝีมือต่อสู้กัน แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เห็นไผ่เดียวดายเดินเข้ามาในลานประลอง


 


มันไม่ใช่แค่หานเซิ่นเท่านั้นที่หันไปมองไผ่เดียวดาย มุมหนึ่งของลานประลองกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของทั้งอัฒจันทร์


 


หลังจากนั้นศิษย์ระดับเอิร์ลของปราสาทนภาคนหนึ่งก็เดินขึ้นมาบนสนามประลอง เขาเดินตรงเข้าไปมาไผ่เดียวดาย


 


ทุกคนคิดว่าพวกเขานั้นจะได้เห็นไผ่เดียวดายต่อสู้ แต่เอิร์ลคนนั้นเดินเข้าไปขอจับมือกับไผ่เดียวดายพร้อมกับพูด

“ศิษย์พี่ไผ่เดียวดาย ในที่สุดข้าก็ได้พบกับศิษย์พี่สักที ข้าเป็นแฟนคลับของศิษย์พี่มาตั้งแต่ที่ยังเล็ก”


 


การต่อสู้กลับกลายเป็นการพบปะของแฟนคลับและไอดอล หลังจากที่เอิร์ลคนนั้นพูดจบแล้ว เขาก็ขอยอมแพ้และเดินลงจากสนามประลองไป


 


หานเซิ่นรู้สึกผิดหวังที่เห็นอย่างนั้น แต่คนที่อยู่ข้างๆหานเซิ่นดูจะผิดหวังยิ่งกว่าซะอีก หลายๆคนนั้นรู้สึกโกรธเอิร์ลคนนั้น


 


“เจ้านั่นหน้าด้านเกินไปแล้ว เขารู้ตัวว่าไม่มีทางต่อกรกับไผ่เดียวดายได้ เขาจึงทำอย่างนี้ก็เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องขายหน้า”


 


“มันคงจะไม่เป็นแบบนี้ไปตลอดใช่ไหม? มันจะมีใครกล้าสู้กับเขาหรือเปล่า?”


 


“มันยากที่จะบอกได้ ทุกคนรู้ถึงความแข็งแกร่งของไผ่เดียวดายดี แต่บางทีมันอาจจะมีใครสักคนที่อวดดีและคิดว่าตัวเองท้าชิงกับไผ่เดียวดายได้”


 


“ศิษย์พี่ไผ่เดียวดายนี่ฉลาดจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องต่อสู้ แต่เขาก็ยังได้รับชัยชนะอีกต่างหาก”


 


หลังจากนั้นก็ถึงรอบของหานเซิ่น หานเซิ่นเดินเข้าไปในลานประลอง แต่เขาไม่ได้เป็นที่สนใจอะไรมากนัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักหานเซิ่น ซึ่งคนที่รู้ว่าเขาถูกแบกเข้าไปในปราสาทนภาก็ไม่คิดจะเสียเวลามาดูการต่อสู้ของเขา


 


คู่ต่อสู้ของหานเซิ่นนั้นมีชื่อว่าคูลเจด เขาเป็นคนที่มีฝีมือค่อนข้างดีในหมู่เอิร์ล แต่ภายในปราสาทนภานั้นมีคนที่มีฝีมือเท่าๆกับเขาอยู่เต็มไปหมด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร


 


ยวิ๋นซู่อีอดไม่ได้ที่จะมองดูการต่อสู้ของหานเซิ่น ส่วนอวี้จิงไม่กล้าจะปรากฏตัวออกมา เพราะเขากลัวว่าจะบังเอิญไปเจอกับคนที่เขาทำการเดิมพันด้วย


 


ยวิ๋นซู่อีได้ยินผู้ชายหลายคนกำลังพูดคุยกัน


 


“ไหนๆพวกเราก็กำลังเบื่อ ทำไมพวกเราไม่ลองดูสิว่าหานเซิ่นคนนี้จะแข็งแกร่งสักแค่ไหนถึงได้ทำให้อวี้จิงมั่นใจในตัวเขาซะขนาดนั้น”


 


“มันไม่สำคัญว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน ยังไงซะเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับไผ่เดียวดายอยู่ดี”


 


“อย่าเพิ่งพูดอะไรแบบนั้น บางทีเขาอาจจะแพ้ก่อนที่จะได้ไปเจอกับไผ่เดียวดายด้วยซ้ำ!”


 


“เจ้าพูดถูก ฮ่าๆ”


 


เมื่อได้ยินอย่างนั้น มันก็ทำให้ยวิ๋นซู่อีขมวดคิ้ว ในจังหวะที่เธอกำลังจะพูดขึ้นมานั้นจู่ๆก็มีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาและนั่งลงถัดไปจากเธอ


 


“ศิษย์พี่ไผ่เดียวดาย?” หลังจากที่ยวิ๋นซู่อีเห็นว่าคนๆนั้นเป็นใคร เธอก็ดูแปลกใจอย่างมาก


 


ทุกคนหันมามองไผ่เดียวดายและพวกเขาก็ดูตกใจเช่นเดียวกัน ผู้หญิงหลายคนมองไปที่เขาด้วยสายตาที่หลงใหลอย่างที่สุด


 


“ทำไมไผ่เดียวดายถึงมาอยู่ที่นี่? ใครกันที่เขากำลังจับตาอยู่?”


 


“แต่มันไม่มีใครที่คู่ควรจะทำให้เขาสนใจนิ”


 


“แน่นอนว่ามันไม่มี มันไม่มีเอิร์ลคนไหนในที่นี้ที่คู่ควรให้เขาสนใจ”


 


“หรือบางทีเขาอาจจะมาที่นี่เพื่อดูเพื่อนของเขา?”


 


“นั่นมันก็เป็นไปได้”


 


“หรือมันจะเป็นเพราะยวิ๋นซู่อี?”


 


“นั่นก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน ความงดงามและพรสวรรค์ของยวิ๋นซู่อีหาใครเปรียบไม่ได้ในปราสาทนภาแห่งนี้”


 


เมื่อได้ยินอย่างนั้นยวิ๋นซู่อีก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง เธอมองไปที่ไผ่เดียวดาย และเห็นว่าเขามองลงไปในลานประลองด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์


 


หัวใจของยวิ๋นซู่อีก็สะดุ้งขึ้นมา เธอคิดกับตัวเอง ‘หรือว่าไผ่เดียวดายจะมาที่นี่เพื่อดูหานเซิ่น?’


 


มันมีการต่อสู้หลายคู่อยู่ในลานประลอง และทุกคู่ก็ต่อสู้ในเวลาเดียวกัน มันจึงยากที่จะบอกได้ว่าเขากำลังมองดูใครอยู่


 


แต่หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงสายตาของไผ่เดียวดาย หานเซิ่นหันไปมองและเห็นว่าไผ่เดียวดายจ้องตรงมาที่เขา หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘ทำไมเขาถึงได้มองมาที่ฉันกัน?’


 


คูลเจดชักดาบยาวของเขาออกมาและกวัดแกว่งมันใส่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นเรียกมนตราออกมาและให้เธอใช้ปืนคู่ยิงใส่คูลเจด


 


เคร๊ง! เคร๊ง! เคร๊ง!


กระสุนถูกยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง คูลเจดกวัดแกว่งดาบยาวของเขาเพื่อปัดป้องกระสุนที่เข้ามา แต่ว่ามันมีกระสุนที่ยิงออกมามากเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถป้องกันได้หมด หลายลูกถูกเข้าที่ร่างกายและชุดเกราะของเขา สุดท้ายเขาก็บินออกจากสนามและขอยอมแพ้


 


“ว้าว! นั่นมันอะไรกัน? นั่นคืออาวุธจีโนของเขาอย่างนั้นหรอ?”


 


“มันดูแข็งแกร่งมากๆ”


 


“อาวุธจีโนแบบนั้นมันน่าดูยิ่งกว่าการต่อสู้ซะอีก”


 


ชัยชนะของหานเซิ่นไม่ได้ดึงความสนใจมากนัก เนื่องจากหลายคนสนใจมนตรามากกว่าตัวของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นเรียกมนตรากลับและเดินลงจากสนามไป


 


หลายคนหันไปมองในตำแหน่งที่ไผ่เดียวดายนั่งอยู่และสังเกตเห็นว่าเขาหายตัวไปแล้ว ยวิ๋นซู่อีที่นั่งอยู่ข้างๆเขาก็หายไปเช่นกัน


 


ตอนนี้หลายคนเชื่อว่าพวกเขาคาดเดาถูก และเชื่อว่าไผ่เดียวดายมาเพื่อยวิ๋นซู่อี

 

 

 


ตอนที่ 1991

 

กินยา

ภายนอกสถานที่สอบ ยวิ๋นซู่อีกำลังไล่ตามไผ่เดียวดาย เขาเดินออกมาทันทีที่หานเซิ่นเริ่มต่อสู้


 


“ศิษย์พี่ไผ่เดียวดาย ได้โปรดรอก่อน!” ยวิ๋นซู่อีตะโกนขณะที่ไล่ตามจากด้านหลัง


 


ไผ่เดียวดายหยุดเดินและหันกลับมามองยวิ๋นซู่อี “ศิษย์น้องซู่อี เจ้าต้องการอะไรอย่างนั้นหรอ?”


 


“ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ไผ่เดียวดายกำลังมองดูใครอยู่อย่างนั้นหรอ?”

ยวิ๋นซู่อีรู้จักกับไผ่เดียวดาย ดังนั้นมันไม่มีเหตุผลที่เธอจะต้องพูดอ้อมค้อม


 


“ทำไมเจ้าถึงได้สนใจเรื่องอะไรแบบนั้น?” ไผ่เดียวดายขมวดคิ้ว


 


ยวิ๋นซู่อีรีบพูด “หานเซิ่นเป็นเพื่อนของข้า ศิษย์พี่กำลังจับตามองการต่อสู้ของเขาอย่างนั้นหรอ?”


 


ไผ่เดียวดายพยักหน้า เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องปิดบังความจริง

“เป็นเพราะเขา ข้าถึงได้เข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ ข้าไม่ได้ต้องการอันดับที่หนึ่ง ข้าแค่ต้องการจะต่อสู้กับเขา”


 


ยวิ๋นซู่อีคาดเดาเอาไว้แล้วว่าไผ่เดียวดายมาที่นี่เพื่อหานเซิ่น แต่เธอไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนั้น


 


“ทำไมกัน?” ยวิ๋นซู่อีดูสับสน


 


หานเซิ่นแข็งแกร่งก็จริง แต่ไผ่เดียวดายแข็งแกร่งยิ่งกว่าซะอีก หลังจากที่ได้เห็นพลังของหานเซิ่น เธอก็ยังคงเชื่อว่าไผ่เดียวดายเหนือกว่า ความคิดนี้อยู่ในหัวของทุกคนในปราสาทนภา ไม่ว่าหานเซิ่นจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดนี้ของทุกคนได้


 


“มันเป็นเพราะเขากระตุ้นสิ่งก่อสร้างทั้ง 12 หลังและ 5 เมืองของสถานหยกขาว” ไผ่เดียวดายพูด ก่อนที่จะหันหลังและเดินออกไป


 


“อะไรนะ?” ยวิ๋นซู่อีตกตะลึง ในประวัติศาสตร์ของปราสาทนภา มันมีไม่ถึง 100 คนที่มองเห็นสิ่งก่อสร้างทั้ง 12 หลังและ 5 เมือง ซึ่งในเอิร์ลทั้งหมดที่เข้าร่วมการสอบ มีเพียงแค่ไผ่เดียวดายคนเดียวเท่านั้นที่เห็นสิ่งก่อสร้างและเมืองทั้งหมด


 


แม้แต่กระเรียนพันขนและยวิ๋นซู่ซางก็เห็นเพียงแค่สิ่งก่อสร้างทั้ง 12 หลังเท่านั้น พวกเขาไม่เห็นเมืองทั้ง 5 แม้แต่เมืองเดียว


 


หลังจากที่หานเซิ่นเอาชนะคูลเจดได้ เขาไม่ได้เดินทางกลับในทันที เขายังอยู่ต่อเพื่อดูการต่อสู้ของคนอื่นๆ


 


มันมีความแตกต่างระหว่างวิชาจีโนของจักรวาลจีโนกับวิชาจีโนของก็อตแซงชัวรี่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างดูเหมือนกับว่ามันจะมีเส้นด้ายที่เชื่อมต่อพวกมันเข้าด้วยกัน วิชาจีโนของแต่ละคนต่างก็เป็นวิชาจีโนระดับสูง หลังจากที่ได้ดูการต่อสู้ หานเซิ่นก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย


 


หานเซิ่นออกจากที่นั่นในตอนที่การสอบของวันนั้นสิ้นสุดลง


 


ในหลายวันต่อมาหานเซิ่นไม่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอะไร มนตราสามารถเอาชนะทุกคนได้อย่างสบายๆ ในเวลาไม่นานหานเซิ่นก็เอาชนะศิษย์ระดับเอิร์ล 5 คนติดต่อกัน


 


มันน่าเสียดายที่คู่ต่อสู้ของหานเซิ่นไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงอะไร ด้วยเหตุนั้นชัยชนะอย่างต่อเนื่องของเขาจึงไม่ได้เป็นที่สนใจอะไรมากนัก แต่ผู้คนที่ได้เห็นการต่อสู้ของเขาต่างก็รู้สึกสนใจว่ามนตราเป็นอาวุธจีโนแบบไหนกันแน่


 


นอกจากการต่อสู้ในรอบแรกแล้ว ไผ่เดียวดายก็ไม่ได้มาดูหานเซิ่นในรอบอื่นๆอีก บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าคู่ต่อสู้ของหานเซิ่นอ่อนแอเกินไป แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เขาก็ไม่ได้กลับมาดูการต่อสู้ของหานเซิ่นอีก


 


ส่วนการต่อสู้ของไผ่เดียวดายถูกเปลี่ยนกลายเป็นงานพบปะกับแฟนๆไป


 


ไม่มีใครในปราสาทนภาที่มีความกล้าพอจะต่อสู้กับไผ่เดียวดาย มันมีเพียงแค่คนเดียวที่มีความกล้าพอจะต่อสู้กับเขา แต่เมื่อไผ่เดียวดายชักดาบออกมา เขาก็ก้าวเพียงแค่หนึ่งก้าวเท่านั้น ก่อนที่เอิร์ลคนนั้นจะขอยอมแพ้


 


หานเซิ่นได้ดูการแข่งขันในรอบนั้น และเขาก็ต้องรู้สึกตกใจ ไผ่เดียวดายแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้


 


‘มิน่าล่ะ เขาถึงรอดมาจากฝันร้ายได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


ถ้าหานเซิ่นต้องการได้อันดับที่หนึ่งเพื่อขอรับวิชาใต้นภา เขาก็จำเป็นต้องเอาชนะไผ่เดียวดายให้ได้ มันไม่มีหนทางอื่น


 


วันต่อมาจะเป็นวันที่หานเซิ่นจะต่อสู้กับไผ่เดียวดาย เมื่อกลับไปที่เกาะในคืนนั้น หานเซิ่นก็เริ่มทำการฝึกวิชากายหยกในทันที เขาไม่ได้กังวลอะไรกับการต่อสู้ในวันรุ่งขึ้น


 


เพราะไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ตราบใดที่พยายามอย่างเต็มที่นั่นก็เพียงพอแล้ว การกังวลกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเป็นอะไรที่เสียเวลา


 


“ศิษย์น้องหาน เจ้าอยู่ข้างในไหม?” อวี้จิงมาที่เกาะของหานเซิ่น


 


“มีเรื่องอะไร?” หานเซิ่นเดินออกมาจากประตูและเห็นอวี้จิงขี่นกกระเรียนหยกรัตติกาลบินวนอยู่บนท้องฟ้า


 


เมื่อเห็นหานเซิ่นเดินออกมา อวี้จิงก็ลงมาพร้อมกับนกของเขา เขาเดินมาตรงหน้าหานเซิ่นด้วยท่าทางกังวลและพูด

“ศิษย์น้องหาน เจ้าจะเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ยังไง?”


 


“มันมีอะไรให้ข้าต้องเตรียมตัว?” หานเซิ่นมองเขาอย่างสับสน


 


อวี้จิงดูท้อแท้เมื่อได้ยินอย่างนั้น เขายิ้มแห้งๆออกมาและพูด

“เจ้ากำลังจะต่อสู้กับไผ่เดียวดาย เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเขาแข็งแกร่งถึงขนาดนั้น ดังนั้นเจ้าควรจะเตรียมตัวให้ดี”


 


“อย่างเช่นอะไร?” หานเซิ่นถาม


 


“อย่างเช่นการกินยาที่ช่วยเสริมพลังแบบชั่วคราว ในการสอบนั้นเขาอนุญาตให้ทุกคนใช้ยาได้ ถ้าเจ้าไม่มีล่ะก็ ข้ามียาประสิทธิภาพดีมากๆอยู่”

อวี้จิงนำขวดยาออกมาหลายขวดและพูดต่อ “ข้าจะขายพวกมันให้กับเจ้าในราคาถูก”


 


“ข้าไม่มีเงิน” หานเซิ่นแบมือออก


 


“เจ้าติดข้าเอาไว้ก่อนได้” อวี้จิงรีบพูด


 


“ข้าไม่ต้องการจะเป็นหนี้” หานเซิ่นพูด


 


อวี้จิงรู้สึกโกรธขึ้นมา “นี่เจ้าต้องการจะชนะหรือเปล่าเนี่ย?”


 


“นั่นมันก็ใช่” หานเซิ่นพยักหน้า


 


อวี้จิงกัดฟันและนำขวดๆหนึ่งออกมา “ยาขวดนี้เป็นของผู้อาวุโส หลังจากที่เจ้าใช้มัน มันจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งเทียบเท่ากับมาร์ควิสในเวลาสั้นๆ ผลของมันนานแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่เพื่อเอาชนะไผ่เดียวดาย ข้าจะให้เจ้ายืนพวกมันทั้งหมด”


 


“ยืม? ยังไง? ถ้าข้ากินมันเข้าไป มันก็จะหายไปหนิ” หานเซิ่นถาม


 


“ใช้มันก่อนการต่อสู้ เพียงแค่เจ้าชนะ เจ้าก็ชดเชยให้กับข้าแล้ว” อวี้จิงพูด


 


“และถ้าข้าแพ้?” หานเซิ่นยิ้มให้กับอวี้จิง


 


“แบบนั้นก็ไม่เป็นไร เจ้าจะจ่ายคืนให้ข้าอย่างช้าๆ” อวี้จิงพูด


 


“ข้าต้องการพวกมัน แต่ไม่ดีกว่า เพราะถ้าข้าเกิดแพ้ขึ้นมา ข้าคงจะจ่ายคืนให้กับเจ้าไม่ได้” หานเซิ่นยิ้ม


 


“นี่เจ้า” อวี้จิงโกรธ เขาไม่เคยทำให้ตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแบบนี้มาก่อน เขาได้รับยาพวกนี้มาจากผู้อาวุโส และเขาก็ปฏิบัติกับพวกมันเหมือนกับสมบัติล้ำค่า เขาเก็บพวกมันเอาไว้เป็นอย่างดี และไม่ว่าคนอื่นจะจ่ายสักแค่ไหน เขาก็ไม่คิดจะขายพวกมัน


 


ตอนนี้เขาคิดที่จะมอบพวกมันให้กับหานเซิ่น แต่หานเซิ่นกลับปฏิเสธ มันทำให้เขาโกรธอย่างมาก


 


ถ้าหานเซิ่นเกิดพ่ายแพ้ในวันพรุ่งนี้ เขาก็จะหมดเนื้อหมดตัว เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น อวี้จิงก็ระงับความโกรธของตัวเองและพูด

“ก็ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายคืนให้กับข้า ถือซะว่านี่เป็นของขวัญ ใช้พลังทั้งหมดของเจ้าในการต่อสู้และพยายามเอาชนะในวันพรุ่งนี้ให้ได้”


 


อวี้จิงรู้ว่าถึงหานเซิ่นจะใช้ยา มันก็มีโอกาสชนะไม่มากนัก แต่ถึงโอกาสจะน้อยมันก็ดีกว่าไม่มีโอกาสเลย


 


“ถ้าเจ้าอยากจะช่วยจริงๆล่ะก็ หายีนซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลมาให้ข้า ข้ายินดีจ่ายคืนให้กับเจ้าสำหรับพวกมัน” หานเซิ่นพูดหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


“เอางั้นก็ได้ เจ้าต้องการธาตุอะไรและจำนวนเท่าไหร่?” อวี้จิงรีบพูด ถ้าพวกมันเพิ่มโอกาสชนะได้ เขาก็ยินดีจะทำมัน เพราะยังไงซะเขาก็กำลังจะหมดเนื้อหมดตัวอยู่แล้ว ดังนั้นเขายินดีจะเสี่ยงกับหานเซิ่น


 


“มันไม่สำคัญว่าจะเป็นธาตุอะไร ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี พวกมันแค่จำเป็นต้องเป็นระดับเอิร์ลเท่านั้น” หานเซิ่นยิ้ม

 

 

 


ตอนที่ 1992

 

พิกกิ่งอัพ

ไม่นานหลังจากนั้นอวี้จิงก็กลับมาที่เกาะของหานเซิ่น พร้อมกับยีนซีโน่เจเนอิคทั้งหมด 23 ชิ้น


 


“ศิษย์น้องหาน เจ้าจะเอายีนซีโน่เจเนอิคมากมายขนาดนี้ไปทำอะไร? มันจะช่วยในการต่อสู้กับไผ่เดียวดายในวันพรุ่งนี้จริงๆอย่างนั้นหรอ?” อวี้จิงถามหานเซิ่น


 


“แน่นอนอยู่แล้ว พวกมันจะมีประโยชน์ต่อการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ และข้าจะชำระคืนให้กับเจ้าหลังจากที่การสอบจบลง” หานเซิ่นเก็บยีนซีโน่เจเนอิคเข้าไปในห้องของเขา


 


ยีนซีโน่เจเนอิคบางชิ้นนั้นขนาดเล็กพอๆกับปลายนิ้วมือ ส่วนบางชิ้นก็ใหญ่กว่าตัวของเขาซะอีก รวมทั้งหมดแล้วพวกมันกินเนื้อที่ภายในห้องถึงครึ่งหนึ่ง


 


โชคดีที่หานเซิ่นมีวิชาคอนซูมอยู่ ซึ่งถ้าเขาไม่มีล่ะก็ การจะกินพวกมันทั้งหมดในคืนเดียวก็คงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


 


หลังจากที่อวี้จิงไปแล้ว หานเซิ่นก็กลับเข้าไปในบ้านหินและเริ่มทำการต้มยีนซีโน่เจเนอิค


 


หานเซิ่นกินพวกมันทั้งหมดเข้าไป เขาได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง


 


“ยินซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล +1”


 


หลังจากที่กินมันไปเรื่อยๆ หานเซิ่นก็นำยีนกลายพันธุ์ของตั๊กแตนโลหิตเทพออกมา เมื่อเขากินยีนซีโน่เจเนอิคไปได้ 17 ชิ้น มันก็ทำให้เขามียีนระดับเอิร์ลทั้งหมด 57 พ้อย ซึ่งยีนกลายพันธุ์ของตั๊กแตนโลหิตเทพก็ไม่ได้ส่งเสียงประกาศเตือนขึ้นมาอีก


 


“ในที่สุดเราก็กินมันได้” หานเซิ่นใส่มันเข้าไปในปากและกลืนมันเข้าไปในทันที จากนั้นเขาก็ใช้วิชาคอนซูมเพื่อย่อยมัน


 


ความร้อนไหวเวียนในร่างกายของหานเซิ่น และเช่นเดียวกับยีนกลายพันธุ์ของมดราชินี กระแสพลังของมันไหลเวียนผ่านเส้นเลือดของหานเซิ่นจนครบรอบ พลังของยีนกลายพันธุ์นั้นต้องใช้เวลานานกว่าที่จะดูดซับเข้าไปได้ แต่หลังจากผ่านไปสักพักหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นมา


 


“คุณได้รับวิชาจีโนซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ล : ยมทูตโลหิต”


 


หานเซิ่นเดินกระแสพลังตามนั้น และยมทูตควันสีแดงก็ปรากฏออกมา มันถือเคียวสีแดงอยู่ในมือ มันดูเหมือนกับยมทูตที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของตั๊กแตนก่อนหน้านี้


 


ยมทูตสีแดงนั้นไม่ได้มีจิตใจเป็นของตัวเอง มันเป็นเพียงแค่ร่างพลังงานที่ถูกควบคุมโดยผู้ใช้วิชาเท่านั้น หานเซิ่นสามารถควบคุมมันได้ด้วยจิตใจของเขา มันทรงพลังยิ่งกว่าตอนที่ตั๊กแตนโลหิตเทพใช้มาก


 


หานเซิ่นเห็นว่าร่างของมันเกิดจากควันสีแดง ซึ่งเมื่อส่วนหนึ่งของร่างกายมันถูกทำลาย มันก็สามารถฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้เรื่อยๆ


 


“นี่เป็นวิชาที่น่าสนใจจริงๆ” หานเซิ่นสามารถทำ 2 อย่างได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการจะควบคุมยมทูตสีแดงไปด้วยนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร นอกจากนั้นมันยังแข็งแกร่งกว่ามนตราซะอีก แต่ถึงพูดแบบนั้นมันก็สามารถใช้ได้เฉพาะการต่อสู้ระยะใกล้เท่านั้น แถมมันยังใช้พลังงานของตัวหานเซิ่น ทุกวินาทีที่หานเซิ่นใช้มัน เขาก็ต้องสูญเสียพลังงานไปเรื่อยๆ ดังนั้นเขาไม่สามารถใช้มันได้เป็นเวลานาน ถึงหานเซิ่นจะแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเหนื่อยล้าอยู่ดี


 


ยีนซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลที่เหลือนั้นใหญ่เกินไป และเนื่องจากหานเซิ่นไม่มีเวลาจะกินพวกมัน ดังนั้นเขาจึงคิดจะคืนพวกมันให้กับอวี้จิง


 


การสอบยังคงเป็นที่สนใจเช่นเดียวกับวันอื่นๆ หลายคนยังคงมาดูการสอบด้วยความหวังที่จะได้เห็นไผ่เดียวดาบต่อสู้ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่พิเศษกว่าวันอื่นๆ


 


อวี้จิงซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของอัฒจันทร์ เขาไม่ต้องการจะถูกพบโดยคนที่เขาเดิมพันด้วย


 


กระเรียนพันขน ยวิ๋นซู่ซาง ยวิ๋นซู่อีและเฟิร์สเดย์ต่างก็มาเพื่อดูหานเซิ่น จิตใจของยวิ๋นซู่อีนั้นยังคงเต็มไปด้วยความคิดที่ขัดแย้ง


 


เมื่อถึงเวลาที่ไผ่เดียวดายจะต่อสู้ เขาก็เดินขึ้นมาบนสนาม ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคนเหมือนทุกครั้ง


 


ส่วนหานเซิ่นไม่ได้ดึงดูดสายตาของผู้ชมอะไร เขาแค่เดินออกมาอย่างปกติ


 


ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปตามปกติ และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกครั้งในการต่อสู้อื่นๆของไผ่เดียวดาย


 


เมื่อเห็นหานเซิ่นเดินเข้าไปหาไผ่เดียวดาย อวี้จิงที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของอัฒจันทร์ก็เหงื่อตกขึ้นมา เขาดูกังวลราวกับว่าตัวเขาเองที่กำลังจะเป็นคนต่อสู้


 


“ยาเฟิงโฮ่ว! กินพวกมันเข้าไป!” อวี้จิงไม่เห็นหานเซิ่นกินยาเข้าไป มันทำให้เขาอยากจะตะโกนออกมา


 


แต่หานเซิ่นไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น เขาแค่เดินไปตรงหน้าไผ่เดียวดาย และเมื่อเข้าไปในระยะสิบก้าว เขาก็ชักมีดออกมา


 


มีดสายลมของมีดเขี้ยวผีสิงคำรามออกมา ขณะที่พุ่งเข้าไปหาไผ่เดียวดาย


 


ไผ่เดียวดายมีดาบหยกอยู่ที่เอว แต่เขาไม่ได้ชักมันออกมา เขาใช้มือซ้ายที่เป็นเหมือนหยกฟันใส่หานเซิ่นราวกับใบมีด เขาเล็งไปยังมีดลมที่พุ่งเข้ามา


 


ปัง!


มีดลมสีม่วงปะทะเข้ากับมีดลมที่มองไม่เห็นในอากาศ พลังทั้ง 2 ระเบิดออกเป็นเศษเล็กๆน้อยๆจำนวนมากที่กระจัดกระจายไปทั่วสนามประลอง


 


พื้นหินถูกตัดขาดโดยเศษของมีดลมจนไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้อีกต่อไป และเริ่มจะแตกร้าว พื้นหินกระเด็นขึ้นมาและถูกตัดในอากาศจนแตกกระจายไปทั่ว


 


เคร๊ง!


ท่ามกลางหินและมีดลม พวกเขาทั้งคู่ก็เริ่มจะเคลื่อนไหว หานเซิ่นสวมใส่ชุดเกราะมนตราอยู่ ขณะที่ไผ่เดียวดายสวมใส่ชุดเกราะหยก มีดลมของพวกเขาทั้งคู่ปะทะกันด้วยความเร็วสูง


 


มีดลมกระจัดกระจายไปทั่ว และพื้นก็แตกร้าวจนสนามประลองดูเหมือนกับว่าพร้อมจะพังทลายได้ทุกเมื่อ ผู้ชมที่นั่งอยู่ใกล้ๆเริ่มจะถอยออกไปห่างๆ


 


ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าการต่อสู้ในระดับนี้จะปะทุขึ้นมาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง


 


ดยุก 4 คนเข้ามานั่งที่ 4 มุมของสนามประลองและสร้างม่านพลังครอบสนามประลองเอาไว้


 


“ลูกศิษย์ของอี๋ซาไม่ธรรมดาจริงๆ เขาน่าประทับใจไม่ต่างไปจากนางเลย”

ในปราสาทนภาชายผมสีขาวคนหนึ่งกำลังมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


สายตาของผู้ชมหลายคนไม่สามารถมองตามการต่อสู้อันรวดเร็วได้ทัน พลังของพวกเขาพุ่งออกมาทุกหนทุกแห่ง แต่ท่ามกลางพวกมันนั้น พวกเขาไม่สามารถเห็นหานเซิ่นหรือไผ่เดียวดายได้เลย


 


“ว้าว! ข้าคิดว่าหานเซิ่นคนนั้นจะอ่อนแอซะอีก เขาถูกแบกเข้าไปในปราสาทนภาไม่ใช่หรอ? ทำไมเขาถึงได้แข็งแกร่งถึงขนาดนี้?”


 


“วิชามีดเขี้ยวดาบนั้นช่างทรงพลังจริงๆ”


 


“ไม่แปลกใจเลยที่เขาเป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด ข้ารู้อยู่แล้วว่ายอดฝีมืออย่างนางไม่มีทางรับคนที่อ่อนแอมาเป็นลูกศิษย์”


 


ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันนั้น มีดสายลมในสนามประลองก็หายไป หานเซิ่นและไผ่เดียวดายยังคงยืนอยู่ห่างกัน 10 ก้าวเหมือนเดิม สนามประลองถูกทำลายจนย่อยยับราวกับว่ามันเพิ่งจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้น


 


“วิชามีดเขี้ยวดาบทรงพลังสมคำล่ำลือ” ไผ่เดียวดายพูด


 


“วิชามีดของเจ้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน” หานเซิ่นพูด


 


“ในตอนที่ข้าอยู่ในความฝันที่ 1964 ข้าเป็นนักมีด ข้าต้องการจะเป็นอันดับที่หนึ่ง ข้าจึงโจมตีทุกคนที่เห็น แต่ข้าก็ถูกฆ่าตายในวงล้อม วิชามีดนี้มีชื่อว่าพิกกิ่งอัพ ข้าคิดค้นมันขึ้นมา” ไผ่เดียวดายพูดอย่างสงบนิ่ง

 

 

 


ตอนที่ 1993

 

ดวลมีด

“เจ้าต้องการมีดสักเล่มไหม?” หานเซิ่นพูด


 


ไผ่เดียวดายพยักหน้าและพูด “ใช่ ขอข้าเล่มหนึ่ง”


 


หลังจากนั้นไผ่เดียวดายก็โค้งคำนับไปในทิศทางของปราสาทและพูด

“ถึงทุกคนในที่นี่ ข้าขอถามว่ามีใครยินดีให้ข้ายืมมีดไหม”


 


หลังจากนั้นแสงสีเขียวจากปราสาทนภาก็เดินทางมาหาเขาราวกับสายรุ้ง มันลงมาตรงหน้าไผ่เดียวดายและเผยให้เห็นมีดยาวสีเขียวที่ประดับไปด้วยลวดลาย


 


เมื่อมีดเล่มนั้นลอยตัวอยู่ในอากาศตรงหน้าไผ่เดียวดาย มีดเล่มอื่นที่อยู่บนเข็มขัดของผู้ชมก็เริ่มสั่นไหวเพื่อตอบสนองต่อมีดเล่มนั้น


 


“ขอบคุณ” ไผ่เดียวดายโค้งคำนับอีกครั้ง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้ามีดมา ซึ่งเมื่อเขาทำอย่างนั้น มีดก็ส่งเสียงออกมา


 


ในจังหวะที่ไผ่เดียวดายคว้ามีดเล่นนั้นมา มันก็เหมือนกับว่ามีดเล่มนั้นรวมเข้ากับตัวของเขาจนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน


 


“มีดเล่มนี้มีชื่อว่าหัวใจฤดูใบไม้ผลิ มันเป็นอาวุธระดับราชัน”

ไผ่เดียวดายสัมผัสใบมีดและพูดกับหานเซิ่นด้วยโทนเสียงที่จริงจัง


 


“เขี้ยวผีสิง มันเป็นอาวุธระดับราชันเช่นกัน” หานเซิ่นพูด


 


“ศิษย์พี่ไผ่เดียวดายขอยืมอาวุธจากคลังแสงเพื่อต่อสู้กับหานเซิ่น หานเซิ่นคนนี้ไม่ได้ธรรมดาเหมือนอย่างที่ตาเห็น”


 


“ยังไงซะเขาก็เป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด แถมเขาก็มีอาวุธระดับราชันเช่นกัน แน่นอนว่าไผ่เดียวดายเองก็จำเป็นต้องใช้อาวุธระดับราชันเพื่อต่อสู้ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ”


 


“มันยากที่จะได้เห็นไผ่เดียวดายเอาจริงแบบนี้”


 


อวี้จิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา การที่ไผ่เดียวดายขอยืมอาวุธระดับราชัน หมายความว่าเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่คู่ควร ซึ่งนั่นทำให้อวี้จิงรู้สึกมีความหวังขึ้นมา


 


หลังจากที่พวกเขาทั้ง 2 พูดกันเสร็จแล้ว พวกเขาทั้งคู่ก็ยังคงไม่เคลื่อนไหว พวกเขามองแค่หน้ากัน ขณะที่ชั้นบรรยากาศระหว่างพวกเขาเปลี่ยนแปลงอย่างอธิบายไม่ได้


 


หานเซิ่นไม่ได้ทำอะไร แต่ตัวตนของเขาดูน่ากลัวขึ้นมา เขาเป็นเหมือนกับอสูรบนยอดเขาที่คำรามออกมา ขณะที่ไผ่เดียวดายเป็นเหมือนอาวุธแหลมคมที่ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


ขณะที่ตัวตนของพวกเขาดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ตัวตนของพวกเขาก็สัมผัสกันจนเกิดการระเบิดขึ้นมา พลังของพวกเขาทั้ง 2 กำลังต่อสู้กันในอากาศ


 


“จิตแห่งมีดของพวกเขาแทบจะมีรูปธรรมขึ้นมา” บางคนพูดออกมาด้วยความตกใจ


 


“จิตแห่งมีดของพวกเขาแข็งแกร่งเทียบเท่ากับระดับราชัน พวกเขาทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?”


 


“สำหรับไผ่เดียวดาย มันก็สมเหตุสมผลอยู่ เพราะเขาประสบอะไรมามากมาย เขากลายเป็นปรมาจารย์แห่งมีดในความฝันของเขา มันพอที่จะเข้าใจได้ แต่ทำไมหานเซิ่นถึงได้มีจิตแห่งมีดที่แข็งแกร่งขนาดนี้? นี่เขามีประสบการณ์เทียบเท่ากับปรมาจารย์แห่งมีดเลยอย่างนั้นหรอ?”


 


ยวิ๋นซู่อีถามยวิ๋นซู่ซาง “พี่ ระหว่างหานเซิ่นกับไผ่เดียวดาย จิตแห่งมีดของใครแข็งแกร่งกว่ากันอย่างนั้นหรอ?”


 


ยวิ๋นซู่ซางยิ้มแห้งๆออกมา “จิตแห่งมีดของพวกเขาเทียบเท่ากับระดับราชันเหมือนกัน พี่บอกไม่ได้ว่าใครแข็งแกร่งกว่าใคร”


 


เฟิร์สเดย์พูดขึ้นมา “ไผ่เดียวดายมีประสบการณ์มากมาย จิตใจของเขาจึงเทียบได้กับสิ่งมีชีวิตระดับราชันหรือแม้แต่เทพเจ้า แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าหานเซิ่นจะมีจิตใจที่แข็งแกร่งแบบนั้นเช่นเดียวกัน ข้าไม่รู้เลยว่าเขาทำแบบนั้นได้ยังไง”


 


เมื่อจิตแห่งมีดของพวกเขาถึงจุดสูงสุด มีดของพวกเขาก็ถูกฟันออกมาพร้อมๆกัน ไม่มีใครก้าวถอยหลังและพวกเขาทั้งคู่ก็ทุ่มพลังทั้งหมดในการก้าวออกไปข้างหน้า นี่เป็นการต่อสู้ที่ตัดสินกันที่ความแข็งแกร่ง


 


เคร๊ง!


เสียงปะทะกันของมีดดังขึ้น พร้อมกับแสงที่แว๊ปขึ้นมาระหว่างพวกเขา มีดลมที่แตกกระจายออกนั้นทำลายทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆพวกเขา แต่ไม่มีใครที่ถอยออกไป


 


ในจังหวะนี้ผู้แพ้จะถูกตัดสินเมื่อใครคนหนึ่งก้าวถอยออกไป


 


มีดแสงสีม่วงและเขียวปะทะกันอยู่ตรงกลางระหว่างหานเซิ่นกับไผ่เดียวดาย พวกเขาฟันใส่กันอย่างไม่หยุด ทำให้เสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


เมื่อการปะทะกันถึงขีดสุด พลังที่รุนแรงก็ระเบิดออกมา มันทำให้พวกเขาทั้ง 2 กระเด็นออกไปหลายสิบเมตร


 


ตูม!


วินาทีต่อมา ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างพวกเขาก็กลายเป็นผุยผง มันมีหลุมขนาดใหญ่เกิดขึ้นที่กลางสนามประลอง


 


ดวงตาของไผ่เดียวดายดูเหมือนกับว่ากำลังลุกเป็นไฟ เขาใช้มือซ้ายจับด้านล่างของด้ามมีด และเขาก็ยกมีดขึ้นด้วยมือทั้ง 2 ข้าง หลังจากนั้นเขาก็ฟันใส่หานเซิ่นราวกับผู้สำเร็จโทษ


 


ทันใดนั้นมีดแสงสีเขียวก็สร้างเส้นที่แบ่งระหว่างสวรรค์และนรก มันพุ่งเข้าไปหาหานเซิ่น ดูเหมือนกับว่ามันกำลังจะตัดโลกนี้ออกเป็น 2 ส่วน ดำและขาว ท้องฟ้าและผืนดิน หยินและหยาง พวกมันไม่สมควรจะผสานกัน


 


หานเซิ่นใช้มีดเขี้ยวผีสิงวาดเป็นรูปวงกลม และเมื่อมีดแสงของไผ่เดียวดายชนกับวงกลม มันก็เด้งกลับไปหาไผ่เดียวดาย


 


“ไม่เลว!” ไผ่เดียวดายพุ่งออกไปข้างหน้าพร้อมกับมีดหัวใจฤดูใบไม้ผลิในมือ เขาฟันใส่มีดแสงที่สะท้อนกลับมาให้กลับไปอีกครั้ง มันตัดผ่านวงกลมที่หานเซิ่นวาดและพุ่งเข้าไปหาหานเซิ่น


 


หานเซิ่นเองก็ไม่คิดจะถอย เขายกมีดเขี้ยวผีสิงขึ้นเหนือหัวและฟันออกไปทางไผ่เดียวดาย มีดแสงของหานเซิ่นพุ่งออกไปปะทะกับมีดแสงของไผ่เดียวดาย


 


พวกมันปะทะกันในอากาศเหมือนกับน้ำที่ถูกสาดใส่กัน พวกมันรวมเข้าด้วยกันและสลายไป


 


“เมื่อเห็นวิชามีดของพวกเขาแล้ว ข้าก็รู้ตัวว่าวิชามีดของข้ามันขยะชัดๆ” มาร์ควิสที่ฝึกฝนการใช้มีดพูดขึ้นมา


 


“พวกเขาจะน่ากลัวเกินไปแล้ว ข้าเลือกที่จะต่อสู้กับมาร์ควิสดีกว่าที่จะต้องต่อสู้กับคนอย่างพวกเขา” เอิร์ลคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าที่ดูซีดเซียว


 


“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ราชินีแห่งมีดรับคนนอกมาเป็นลูกศิษย์ เมื่อดูจากการที่เขาต่อสู้กับไผ่เดียวดายได้แบบนั้น หานเซิ่นก็ต้องเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนกัน”


 


การต่อสู้นั้นยากลำบากกว่าที่หานเซิ่นคาดคิดเอาไว้ เขาใช้วิชามีดเขี้ยวดาบและจิตแห่งมีดจนถึงขีดสุดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถไล่ต้อนไผ่เดียวดายได้ เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตรึงเครียด ความผิดพลาดเพียงแค่นิดเดียวก็สามารถทำให้เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้


 


ผู้ชมที่ดูการต่อสู้อยู่ต่างก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้เห็น ทุกการโจมตีของพวกเขาทั้งคู่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ ผ่านไปไม่นานหานเซิ่นและไผ่เดียวดายก็แลกเปลี่ยนท่วงท่ากันไปมากกว่าร้อยท่าแล้ว ผู้ชมหวังว่าพวกเขาจะสามารถย้อนเวลาได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นทุกรายละเอียด


 


ในที่สุดยอดฝีมือทั่วปราสาทนภาก็มาที่สนามประลอง เหล่าราชันต่างมารวมตัวกันเพื่อดูการต่อสู้ของทั้งคู่

 

 

 


ตอนที่ 1994

 

ดวลวิชา

“พี่ หานเซิ่นจะชนะไหม?” มือของยวิ๋นซู่อีชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอจับไหล่ของยวิ๋นซู่ซางเอาไว้ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองอ่อนแรง


 


“พี่ไม่รู้จริงๆ” ยวิ๋นซู่ซางพูด เธอรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถบอกอะไรได้


 


“เขาจะไม่ชนะ” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเธอ


 


“ท่านพ่อ?” ยวิ๋นซู่ซางและยวิ๋นซู่อีตกใจเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นเป็นใคร


 


กระเรียนพันขนลุกขึ้นและโค้งคำนับเขาในฐานะอาจารย์ ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาคนนี้ก็คือพ่อของยวิ๋นซู่อี เขาเป็นผู้อาวุโสสิบของปราสาทนภาและมีชื่อว่ายวิ๋นฉางคง


 


“พ่อจะบอกว่าหานเซิ่นจะเป็นฝ่ายแพ้อย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา


 


ยวิ๋นฉางคงส่ายหัวและพูด “พ่อแค่พูดว่าเขาจะไม่ชนะ แต่พ่อไม่ได้พูดว่าเขาจะเป็นฝ่ายแพ้”


 


“ถ้าอย่างนั้นมันหมายความว่ายังไง?” เธอรู้สึกงงกับสิ่งที่ยวิ๋นฉางคงพูด


 


“วิชามีดและจิตแห่งมีดของพวกเขาเป็นจุดสูงสุดที่คนธรรมดาไม่มีทางไปถึงได้ มันมีความแตกต่างเพียงแค่เล็กน้อยระหว่างผู้ชนะกับผู้แพ้ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ชนะหรือแพ้ได้ ถ้านี่เป็นการต่อสู้แบบเอาชีวิตกัน มันก็จะมีหนึ่งคนที่เป็นผู้ชนะ แต่นี่เป็นเพียงแค่การประลองวิชาเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าใครก็มีโอกาสจะได้รับชัยชนะ” ยวิ๋นฉางคงอธิบาย


 


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะตัดสินได้ยังไงว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ?” ยวิ๋นซู่อีถาม


 


“ใครจะรู้? แต่ทำไมลูกถึงอยากจะรู้ผลลัพธ์มากขนาดนั้น?” ยวิ๋นฉางคงยิ้ม


 


ยวิ๋นซู่อีอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอสังเกตเห็นว่าหานเซิ่นและไผ่เดียวดายแยกออกจากกัน ทั้ง 2 คนไม่มีใครจู่โจม เธอมองไปที่พวกเขาอย่างกังวล เธอต้องการจะเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น


 


“ดูเหมือนว่ามีดจะตัดสินผู้ชนะไม่ได้” หานเซิ่นถอนหายใจและเก็บมีดเขี้ยวผีสิงกลับไป เขาคิดว่าวิชามีดเขี้ยวดาบนั้นใกล้เคียงกับระดับเทพเจ้า ดังนั้นเขาจึงต้องการจะใช้มันไล่ต้อนไผ่เดียวดายให้จนมุม แต่แผนการของเขาไม่ได้ผลเลยสักนิด


 


ไผ่เดียวดายยกมีดหัวใจฤดูใบไม้ผลิขึ้นตรงหน้าด้วยมือทั้ง 2 ข้างที่แบออกและโค้งคำนับ หลังจากนั้นมีดก็กลายเป็นแสงสีเขียวและพุ่งหายกลับไปที่เกาะหลัก


 


“เจ้ายังเก่งในด้านไหนอีก?” ไผ่เดียวดายถามขณะที่มองไปที่หานเซิ่น


 


ถ้าประโยคนี้ออกมาจากคนอื่น มันอาจจะฟังดูอวดดี แต่นี่ออกมาจากไผ่เดียวดาย ซึ่งมันฟังดูเป็นอะไรที่ปกติ


 


ไผ่เดียวดายเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์อย่างหานเซิ่น เขาไม่มีทางเก่งแค่การใช้มีดเพียงอย่างเดียว นั่นคือเหตุผลที่ไผ่เดียวดายกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา


 


หานเซิ่นเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ไม่ว่าอาวุธไหนที่พวกเราใช้ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะเหมือนเดิม ถ้าพวกเราไม่ได้ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตกัน การตัดสินผู้ชนะคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดจะทำยังไง?” ไผ่เดียวดายถาม


 


“ถ้าพวกเราตัดสินผู้ชนะไม่ได้ การต่อสู้ครั้งนี้ก็คงจะเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เอาแบบนี้เป็นไง พวกเรามาแข่งขันกันด้วยวิชาของพวกเรา เพื่อดูว่าระหว่างพวกเราใครจะทำลายวิชาของอีกฝ่ายได้” หานเซิ่นพูด


 


“เอาแบบนั้นก็ได้ เจ้าเริ่มก่อนเลย” ไผ่เดียวดายพูด


 


หานเซิ่นไม่ลังเล เขาปล่อยแสงหยกออกไปใส่ไผ่เดียวดาย


 


เมื่อผู้ชมเห็นแสงหยกพุ่งเข้าไปถูกตัวของไผ่เดียวดาย พวกเขาก็รู้สึกกังวลจนต้องการจะกรีดร้องออกมา


 


แต่เมื่อแสงหยกไปถูกตัวของไผ่เดียวดาย มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา มันเปลี่ยนกลายเป็นสัญลักษณ์แปลกๆที่ติดอยู่บนอกของไผ่เดียวดาย


ทุกคนมองไปที่สัญลักษณ์ประหลาดนั้นโดยไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่


 


ไผ่เดียวดายเคลื่อนไหวร่างกายของเขาและพูด “วิชานี้เป็นวิชาลดความเร็วที่ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น มันไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาจีโนระดับราชันเลย แต่ว่า”


 


“แต่อะไร?” หานเซิ่นถาม


 


ไผ่เดียวดายพูดต่อ “ถ้าข้าเดาไม่ผิด วิชาจีโนของเจ้าใช้พลังของตำราไร้อักษรของปราสาทนภา”


 


หลังจากที่ไผ่เดียวดายพูดอย่างนั้น ทุกคนก็ตกตะลึง หานเซิ่นเป็นคนนอก และเขาก็เคยเดินไปบนถนนสู่ท้องฟ้าเพียงแค่ครั้งเดียว แต่แล้วเขากับสามารถใช้คำที่ถูกสลักเอาไว้ในการคิดค้นเป็นวิชาจีโนใหม่ขึ้นมา มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ


 


ทุกคนมองไปที่หานเซิ่นและรอคอยคำตอบของเขา


 


“ไม่เลวหนิ” หานเซิ่นพยักหน้าและยอมรับ


 


เมื่อเหล่าราชันทั้งหมดได้ยินหานเซิ่นยอมรับ พวกเขาก็รู้สึกตกใจ มันยากที่จะเชื่อได้


 


“นี่เขาไม่ได้ถูกแบกขึ้นไปเพราะว่าเดินขึ้นไปถึงปราสาทนภาไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะเขาพยายามจะเรียนรู้คำ 2 คำบนถนนสู่ท้องฟ้า และเขาก็ทำได้สำเร็จ เขาน่ากลัวจริงๆ”


 


ศิษย์ของปราสาทนภาเริ่มพูดคุยกัน แม้แต่เหล่าราชันก็ดูประหลาดใจกับเรื่องนั้น


 


ถ้าคำ 2 คำนั้นเป็นอะไรที่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ ปราสาทนภาก็คงจะเต็มไปด้วยยอดฝีมือไปนานแล้ว


 


ไผ่เดียวดายพูด “ข้าฝึกฝนตำราไร้อักษร ซึ่งพลังของคำทั้ง 2 ก็มาจากตำราเล่มนั้น ดังนั้นมันจึงใช้ไม่ได้ผลกับข้า”


 


หลังจากนั้นร่างกายของไผ่เดียวก็สั่นไหวและวิชาเต่าของหานเซิ่นก็แตกสลายไป สัญลักษณ์ที่ติดอยู่บนอกของเขาก็หายไปด้วย


 


“มันถึงตาของเจ้าแล้ว” หานเซิ่นยักไหล่ เขารู้อยู่แล้วว่ามันยากที่จะกักขังไผ่เดียวดายด้วยวิชาเต่า


 


ร่างกายของไผ่เดียวดายไม่เคลื่อนไหว แต่ดวงตาของเขาขยับ พวกมันปล่อยแสงออกไปใส่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นไม่ได้หลบมันและปล่อยให้แสงนั้นเข้ามาในตัวของเขา


“นี่มันคือพลังอะไรอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่ซางถามขึ้นมา


 


ยวิ๋นฉางคงพูดอย่างเคร่งขรึม “มันเป็นวิชาความฝันของดรีมบีส ไผ่เดียวดายติดอยู่ในความฝันเพียงแค่ 10 ปี แต่เขาก็เรียนรู้มันได้สำเร็จ ถึงแม้มันจะไม่ได้ดีพอถึงขนาดจะกักขังคนๆหนึ่งได้เป็นพันปี แต่มันก็มากพอที่จะกักขังหานเซิ่นเอาไว้ในความฝันตลอดชีวิตของเขา”


 


ยวิ๋นซู่อีตกใจเมื่อได้ยินว่าหานเซิ่นอาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก


 


แต่เมื่อแสงนั้นเข้าไปในตัวของหานเซิ่น ดวงตาของเขาก็ยังคงกระจ่างใส มันดูไม่เหมือนว่าเขากำลังฝันอยู่


 


แสงบนตัวของหานเซิ่นค่อยๆหายไป และในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมาและพูด

“มันถึงตาของข้าแล้วสินะ”


 


“เชิญลงมือ” ไผ่เดียวดายพูดอย่างเรียบง่าย


 


เฟิร์สเดย์สับสน “ทำไมหานเซิ่นถึงไม่ถูกกักขังในความฝัน? นี่เขามีวิชาที่แก้มันได้อย่างนั้นหรอ?”


 


ยวิ๋นฉางคงส่ายหัวและพูด “หานเซิ่นไม่จำเป็นต้องแก้วิชาความฝันของไผ่เดียวดาย การจะกักขังอีกฝ่ายในความฝันนั้นผู้ใช้จำเป็นต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ ถึงจะทำให้อีกฝ่ายหลับใหลได้ การที่หานเซิ่นไม่เป็นอะไรนั้นก็หมายความว่าจิตใจของเขาแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าไผ่เดียวดาย ฝันร้ายที่ไผ่เดียวดายได้ประสบเป็นสิ่งที่ควรจะทำให้เขาหลับใหลเป็นหมื่นปี แต่ไผ่เดียวยังคงเติบโตขึ้นแม้จะอยู่ในความฝัน จนกระทั้งจิตใจของเขาถึงระดับที่พลังความฝันไม่มีผลต่อเขาอีกต่อไป นั่นคือเหตุผลที่เขาตื่นขึ้นมาได้ในเวลาเพียงแค่สิบปี”


 


“นั่นหมายความว่าจิตใจของหานเซิ่นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับศิษย์พี่ไผ่เดียวดายที่ประสบฝันร้ายเป็นสิบปีอย่างนั้นหรอ? เขาทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?” เฟิร์สเดย์ถามด้วยความสงสัย


 


“นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องถามไปเขาถึงจะได้คำตอบ” ยวิ๋นฉางคงส่ายหัว เขามองไปที่หานเซิ่นด้วยความชื่นชม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)