Super God Gene 1953-1976

 1953

“เจ๋งไปเลย! นายทำอย่างไงถึงกลายร่างเป็นมดได้? ช่วยสอนให้ฉันหน่อยได้ไหม? ถ้าฉันเรียนรู้มัน ฉันก็จะแอบเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ของผู้หญิงได้ตามที่ต้องการ” หวังอวี่ฮังเบิกตากว้าง เขามองหานเซิ่นที่ถูกมนตราถืออยู่ในมือด้วยรอยยิ้ม


 


จิ้งจอกสีเงิน นางฟ้าและสปิริตเชฟต่างก็มองร่างมดของหานเซิ่นด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ เขาส่งคำพูดผ่านไปที่มนตราเพื่อให้มนตราพูดแทน


“เจ๋งไปเลยที่ไหนกันล่ะ! ไปหาทางช่วยให้ฉันกลับคืนร่างเดิมเดี๋ยวนี้”


 


“มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?” หวังอวี่ฮังใช้นิ้วของเขาจิ้มไปที่หานเซิ่นและหัวเราะออกมา


 


“หยุดเดี๋ยวนี้! ถ้ายังจิ้มฉันอีกครั้งล่ะก็ ฉันจะโกรธจริงๆ” ตอนนี้หานเซิ่นรู้สึกเศร้ายิ่งกว่าเดิม การที่ถูกนิ้วจิ้มนั้นมันเหมือนกับว่าเขากำลังถูกรังแก


 


ช่องสัญญาณข่าวของดาวอุปราคาถูกปิดเอาไว้ คนที่ฐานทัพจึงไม่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับหานเซิ่น ดังนั้นหานเซิ่นจึงต้องใช้เวลาอธิบายให้พวกเขาฟัง


 


“พลังของยอดฝีมือระดับเทพเจ้า? แม้พวกเราจะมีความสามารถในการยับยั้งพลังของเขาได้ แต่เขาแข็งแกร่งเกินไป นอกจากนั้นไม่มีใครในหมู่พวกเราที่มีวิชาที่เหมือนกับเขา”


กู่ชิงเฉิงหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดต่อ “แล้วพลังที่นายใช้เพื่อแปลงร่างล่ะ? แม้แต่สถานล้างบาปแห่งสรวงสวรรค์ก็ยังไม่ได้ผลกับนายเลย”


 


หานเซิ่นพูด “ถ้ามันไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ ฉันก็คงต้องทำอย่างนั้น แต่ฉันกลัวว่าถ้าเกิดฟื้นตัวจากสภาพนี้เร็วเกินไป อี๋ซาอาจจะเกิดสงสัยขึ้นมาได้ ดังนั้นฉันอยากจะรออีกสัก 2-3 วัน”


 


“มันจะไม่เป็นอะไรอย่างนั้นหรอถึงจะรออีก 2-3 วัน?” หวังอวี่ฮังไม่เข้าใจ


 


“เมื่อฉันกลายเป็นมด ฉันจะใช้วิชาจีโนไม่ได้ ฉันใช้ได้เพียงแค่เรื่องราวของยีนเท่านั้น ถ้าฉันฟื้นตัวได้สำเร็จ ฉันมีแผนจะใช้เรื่องราวของยีนเป็นข้ออ้าง เพราะยังไงซะมันก็ไม่มีคนอื่นเคยฝึกมันมาก่อน ดังนั้นมันจะไม่มีใครรู้ว่าที่ฉันพูดเป็นความจริงหรือไม่” หานเซิ่นพูดผ่านมนตรา


 


“ถ้าอย่างนั้นก็มาลองดูกันว่าพวกเราจะช่วยเหลือเจ้าได้หรือเปล่า”


สปิริตเชฟรวบรวมพลังและวางนิ้วลงบนตัวของหานเซิ่น เธอต้องการจะส่งพลังของเธอให้กับเขา


 


แต่มันก็ไร้ประโยชน์ นางฟ้าและเซี่ยชิงก็ลองดูเช่นเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เหมือนๆกัน มันไม่มีอะไรได้ผล


 


“นี่พวกเธอจงใจทำแบบนี้ใช่ไหม” หานเซิ่นมองดูพวกเธอกดนิ้วลงมาบนตัวของเขา และเมื่อเห็นสีหน้าของพวกเธอแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่


 


นางฟ้าและสปิริตเชฟยังไม่พัฒนาเป็นไวเคานต์ก็จริง แต่กู่ชิงเฉิงและเซี่ยชิงเป็นไวเคานต์เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องใช้นิ้วสัมผัสตัวของหานเซิ่น แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ทำแบบนั้น


 


“ไม่เลย! ฉันสาบานว่าพวกเราไม่ได้มีแผนที่จะบี้นายจนตาย” หวังอวี่ฮังหัวเราะ


 


“ฉันสาบานว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น” เซี่ยชิงพูดด้วยโทนเสียงที่ดูจริงใจ แต่มันเห็นได้ชัดว่าเขาพยายามจะกลั้นหัวเราะเอาไว้


 


หานเซิ่นรู้สึกโกรธขึ้นมา เขาไต่ขึ้นไปบนไหล่ของมนตรา หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้มนตรายิงกระสุนแสงใส่พวกเขา


 


หลังจากที่ไล่พวกเขาไปแล้ว หานเซิ่นก็กลับไปพักผ่อน เขารู้สึกเบื่อๆขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงลองอ่านวิชาคอนซูมที่อี๋ซามอบให้กับเขา


 


มันเป็นวิชาของมดแห่งการกลืนกินที่เคยเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่มีชื่อเสียงของจักรวาลจีโน พวกมันสามารถกลืนกินได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นพวกมันจึงน่ากลัวยิ่งกว่ามนุษย์มาก


 


มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่บริโภคทั้งพืชและสัตว์ แต่พวกมันดียิ่งกว่านั้น พวกมันสามารถกินทั้งโลหะ แร่และวัสดุทุกรูปแบบ มันไม่มีอะไรที่พวกมันไม่สามารถย่อยได้


 


ยิ่งมดตัวนั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พลังในการย่อยก็จะมากขึ้นเท่านั้น วิชาจีโนที่พวกมันเรียนรู้มีชื่อว่าคอนซูม ซึ่งการจะฝึกมันจำเป็นต้องมีร่างกายที่เหมือนกับมด


 


เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าสามารถเปลี่ยนคนอื่นให้กลายเป็นมดได้ แต่เขาไม่ได้ทำให้หานเซิ่นมีร่างกายที่เหมือนกับมดแห่งการกลืนกินจริงๆได้


 


หานเซิ่นเป็นเพียงแค่มดธรรมดาที่ไร้สติปัญหา เขาไม่สามารถสร้างชุดเกราะจีโนได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นมันไม่มีทางที่เขาจะสามารถเรียนรู้วิชาคอนซูมได้


 


แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ตัดสินใจจะลองดู เพราะยังไงซะมันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่เขาจะสามารถทำได้ขณะที่อยู่ในร่างมดนี่


 


หลังจากที่หานเซิ่นอ่านวิชาจีโนนี้จนจบ เขาก็ได้เรียนรู้ว่าวิชาคอนซูมสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระเพาะของผู้ฝึกได้ ผู้ฝึกจะสามารถย่อยโลหะได้ในเวลาไม่นาน และเปลี่ยนวัสดุทุกรูปแบบให้เป็นพลังงาน


 


นี่เหมาะสมสำหรับคนที่หลงรักในการทานอาหาร ถ้าพวกเขาเรียนรู้วิชาจีโนนี้ ผู้คนในก็อตแซงชัวรี่ก็จะสามารถกินอาหารได้มากกว่าปกติ


 


ในตอนที่หานเซิ่นอยู่ในก็อตแซงชัวรี่ เขาต้องการหาวิชาจีโนที่สามารถช่วยในการย่อยอาหารได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่สามารถหาวิชาดีๆได้


 


วิชาคอนซูมตอบสนองความต้องการของเขาทุกอย่าง แต่มันมีแค่มดแห่งการกลืนกินเท่านั้นที่สามารถฝึกมันได้


 


หานเซิ่นต้องการจะลองดูสักครั้ง ดังนั้นเขาจึงเริ่มทำการฝึกมัน


 


เขาคิดว่ามันจะเป็นอะไรที่ยาก แต่หลังจากที่ลองหมุนเวียนกระแสพลังดู เขาก็รู้สึกหนาวภายในกระเพาะ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด


 


“ฉันฝึกมันได้?” หานเซิ่นตื่นเต้น


 


เนื่องจากวิชาทรงผลกับเขา นั่นหมายความว่าเขาสามารถฝึกมันได้


 


และเนื่องจากหานเซิ่นไม่มีอะไรจะทำ เขาจึงฝึกวิชาคอนซูมต่อไป เขาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและสำเร็จขั้นแรกในเวลาไม่กี่วัน


 


“ตัวกินเหล็กจะฝีกอะไรอย่างนี้ได้ไหมนะ? ถ้าเรานำวิชานี้กลับไปให้มันในก็อตแซงชัวรี่”


 


แต่หานเซิ่นไม่คิดจะฝึกมันอะไรมากนัก เพราะเขาไม่ได้ต้องการจะเป็นมดไปตลอด


 


หลังจากผ่านไปหลายวัน หานเซิ่นก็ไม่สามารถรอต่อไปได้อีก เขาอยากจะกลับไปหาจีเหยียนหรัน ดังนั้นหลังจากผ่านไป 4-5 วัน เขาก็ลองใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด


 


แสงศักดิ์สิทธิ์ห่อหุ้มร่างของหานเซิ่น ไม่นานร่างกายของเขาก็กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง เขากลายเป็นเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดที่มีร่างกายโปร่งใส


 


“มันได้ผล! หวังว่าเราจะไม่กลับไปเป็นมดอีกหลังจากเลิกใช้โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด” หานเซิ่นกังวล หลังจากนั้นเขาก็หยุดใช้งานโหมดสปิริตเทพเจ้าขั้นสุดยอด


 


แสงค่อยๆจางหายไปจากร่างกายของหานเซิ่น แต่เขาไม่ได้กลับไปสู่ร่างมดอีก


 


“เยี่ยม! การเป็นมนุษย์ดีกว่าการเป็นมดเป็นไหนๆ” หานเซิ่นถอยหายใจ


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เดินทางกลับไปบ้านในสหพันธ์ เขามีแผนที่จะอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่ง เขาต้องการจะชะลอความจริงเรื่องที่ว่าเขาคืนร่างเดิมได้แล้ว


 


แต่หลังจากที่พักผ่อนอยู่ที่บ้านสักพัก เขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ต้องห่างจากชีวิตประจำวันในฐานะนักผจญภัย


1954

เนื่องจากหานเซิ่นไม่มีอะไรจะทำ เขาจึงใช้วิชาคอนซูมดู เขาไม่รู้ว่ามันจะยังได้ผลหรือเปล่าเพราะตอนนี้เขากลับมาสู่ร่างมนุษย์แล้ว และเขาก็ต้องประหลาดใจที่ยังสามารถใช้งานมันได้อยู่


 


ในตอนที่หานเซิ่นใช้วิชาคอนซูม บางอย่างในกระเพาะของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันทำให้กระเพาะของเขาแข็งแกร่งมากกว่าปกติ


 


เมื่อเขาฝึกวิชาคอนซูมมากขึ้น กระเพาะของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาไม่นานหานเซิ่นก็สามารถย่อยเหล็กได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เขากลืนเศษเหล็กเข้าไป พวกมันจะถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน ความสามารถในการย่อยของเขาเป็นอะไรที่น่ากลัว


 


หานเซิ่นรู้สึกกังวลว่าวิชาคอนซูมจะส่งผลเสียต่อร่างกายของเขา แต่หลังจากที่ทดสอบอยู่หลายครั้ง ความกังวลของเขาก็หายไป มันไม่ได้มีผลเสียข้างเคียงอะไร ดังนั้นเขาจึงฝึกมันต่อไป


 


หานเซิ่นให้เซี่ยชิงและคนอื่นๆฝึกวิชาคอนซูมด้วยเช่นกัน แต่นอกจากตัวกินโลหะแล้ว มันก็ไม่มีใครสามารถฝึกมันได้สำเร็จ


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงสามารถฝึกมันได้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเรื่องราวของยีน หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเขาได้กลายเป็นมดอยู่ช่วงหนึ่ง


 


แต่หานเซิ่นประหลาดใจที่ตัวกินโลหะสามารถฝึกมันได้ ซึ่งนั่นจะทำให้มันพัฒนาได้รวดเร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มาก


 


หานเซิ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าควรจะนำตัวกินโลหะไปที่จักรวาลจีโนดีหรือไม่ มันแข็งแกร่งและสามารถฝึกวิชาคอนซูมได้ แต่หานเซิ่นกลัวว่าตัวกินโลหะจะนำปัญหามาให้กับเขาเมื่อไปที่นั่น ดังนั้นสำหรับตอนนี้เขาจึงยังไม่คิดจะพามันไป


 


‘เมื่อไหร่กันที่เราจะแข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับระดับเทพเจ้าได้? แบบนั้นเราจะได้นำคนและมอนสเตอร์จากก็อตแซงชัวรี่ออกไปได้โดยไม่ต้องกังวล’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


“พ่อ!” เป่าเอ๋อกลับมาจากโรงเรียนและเข้ามากอดหานเซิ่น


 


“หนูโตขึ้นมากเลย เป่าเอ๋อ! หนูทั้งหนักและสูงขึ้น” หานเซิ่นพูด ขณะที่อุ้มเธอขึ้นมา


 


เป่าเอ๋อหลี่ตาและพูด “หนูไปจักรวาลจีโนกับพ่อได้แล้วใช่ไหม?”


 


“ยังไม่ได้ หนูจำเป็นต้องโตมากกว่านี้อีกหน่อย แต่อีกไม่นานพ่อจะพาหนูไปด้วย” หานเซิ่นยิ้ม


 


เป่าเอ๋อทำหน้ามุ่ย


 


“พ่อสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมหนูบ่อยๆ” หานเซิ่นลูบแก้มของเธอและยิ้ม


 


9 เดือนต่อมา มันก็ถึงกำหนดคลอดของจีเหยียนหรัน หานเซิ่น หานอวี้เฟย หลัวหลาน หานเหยียนและพ่อแม่ของจีเหยียนหรันมารอคอยอยู่นอกห้องคลอด


 


จีเหยียนหรันมาคลอดในโรงพยาบาลส่วนตัวของตระกูล ทำให้ไม่มีคนนอกคนไหนสามารถเข้ามาได้


 


พวกเขาไม่ได้ยินเสียงร้องของเด็ก แต่ทันใดนั้นหมอก็กรีดร้องขึ้นมา


“อ้า! ผะ ผะ ผี!”


 


ทุกคนรู้สึกแปลกใจ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จีเหยียนหรันไม่ได้ส่งเสียงร้องอะไรออกมา แต่หมอกลับกรีดร้อง


 


หานเซิ่นวิ่งเข้าไปข้างใน และสิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาตกตะลึง


 


เด็กทารกกึ่งโปร่งใสกำลังรออยู่บนอากาศ


 


“โหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด!” ดวงตาของหานเซิ่นเบิกกว้าง ขณะมองไปที่เด็กคนนั้นอย่างประหลาดใจ


 


ลูกสาวของหานเซิ่นกำลังอยู่ในโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด เธอนั่นน่ากลัวยิ่งกว่าเสี่ยวฮวาที่มีโหมดราชันสปิริตขั้นสุดยอดซะอีกเพราะนี่มันเป็นฉบับปรับปรุงใหม่


 


โชคดีที่หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็กลับมาดูเหมือนกับเด็กทารกปกติทั่วไป นั่นทำให้หานเซิ่นโล่งใจขึ้นมาก


 


ถ้าเธออยู่ในโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดตลอดเวลาล่ะก็ มันจะเป็นอะไรที่แย่มากๆ เพราะสสารต่างๆจะไม่สามารถสัมผัสร่างของเธอได้


 


ลูกสาวตระกูลหานกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร หานเซิ่นได้รับบทเรียนจากครั้งที่แล้ว เขารู้ดีว่าไม่ควรให้จียัวเจินเป็นคนคิดชื่อขึ้นมา เมื่อรู้อย่างนั้นจียัวเจินก็รู้สึกแย่


 


แต่หานเซิ่นเองก็ไม่เก่งเรื่องตั้งชื่อเช่นเดียวกัน หลังจากที่คิดอยู่นานเขาก็ตัดสินใจตั้งชื่อลูกสาวของเขาว่าหานหลิงเอ๋อ


 


ทุกคนช่วยกันดูแลหลิงเอ๋ออย่างระมัดระวัง เพราะครั้งหนึ่งเสี่ยวฮวาเคยระเบิดสิ่งก่อสร้างอย่างง่ายดายเมื่อโกรธขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากจะเสี่ยงทำให้หลิงเอ๋อไม่พอใจ


 


หานหลิงเอ๋อมีโหมดเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอด ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่น่ากลัว ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอโกรธขึ้นมา


 


แต่เป็นโชคดีสำหรับตระกูลที่ลูกทั้ง 2 ต่างก็เป็นเด็กที่ปฏิบัติตัวเรียบร้อย พวกเขาเป็นเด็กเงียบๆและเป็นที่รักของทุกคน


 


การเกิดขึ้นมาของหลิงเอ๋อช่วยขจัดความเศร้าโศกที่ตามหลอกหลอนพวกเขาตั้งแต่ที่เสี่ยวฮวาถูกพาตัวไป จีเหยียนหรันดูมีความสุขขึ้นมาก แต่เธอก็ยังคงหวังให้เสี่ยวฮวากลับมาอยู่เสมอๆ


 


หานเซิ่นอยู่บ้านกับจีเหยียนหรันต่ออีกสักพัก เขาไม่ได้เร่งรีบที่จะกลับไปที่ดาวอุปราคา เพราะยังไงซะเขาก็สามารถฝึกฝนได้ทุกที ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะฝึกจนกว่าจะวิวัฒนาการเป็นเอิร์ลได้


 


แต่การพัฒนาไปเป็นเอิร์ลนั้นยากกว่าการพัฒนาเป็นไวเคานต์มาก ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา หานเซิ่นแทบจะไม่คืบหน้าไปไหนเลย


 


แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นอะไรที่เสียเปล่า เขาได้ใช้เวลาในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปราสาททองแดงในลูกแก้วหมอกแดง เขาได้รู้ว่าบัลลังก์ในปราสาทคือเครื่องเทเลพอร์ต และมันไม่ใช่แค่สามารถเทเลพอร์ตไปที่ดาวมีก้าเท่านั้น ทุกๆซีโน่เจเนอิคสเปชของมีก้านั้นจะมีเครื่องเทเลพอร์ตอยู่ ซึ่งเขาสามารถไปที่นั่นได้ด้วยบัลลังก์นั้น


 


หานเซิ่นเคยลองใช้มันหลายครั้ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ถูกพวกมีก้าเข้ามาจู่โจมอะไร และเขาก็ได้ว่าดวงดาวที่เขาไปนั้นเป็นดวงดาวธุรกิจของมีก้า ซึ่งจะเปิดให้เผ่าพันธุ์อื่นๆมาเยี่ยมเยือนได้


 


แต่ที่หานเซิ่นถูกโจมตีในครั้งแรกนั้นเป็นเพราะเขาเดินทางไปบนดวงดาวส่วนตัวของมีก้า และถึงแม้จะเป็นมีก้าด้วยกันก็จะถูกโจมตี


 


เมื่อหานเซิ่นไม่มีอะไรจะทำ เขาจะสวมชุดเกราะวิญญาณอสูรและไปเดินเล่นบนหนึ่งในดาวของมีก้า เขาต้องการจะดูวัฒนธรรมของพวกมัน


 


ขณะที่หานเซิ่นเดินอยู่บนถนนของมีก้า มีคนกลุ่มหนึ่งดึงดูดความสนใจของเขา หนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็คือราชาบุดด้าเคลียร์ซี มันยังมีบุดด้าคนอื่นอีกหลายคน ซึ่งสปีชเลสส์ก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย


 


“พวกเขามาทำอะไรที่นี่?” หานเซิ่นสงสัย


 


มีก้าถนัดเรื่องการสร้างหุ่นต่อสู้จากยีนซีโน่เจเนอิค แต่นอกจากพวกมีก้าแล้ว มันไม่ค่อยมีสิ่งมีชีวิตไหนสามารถใช้หุ่นต่อสู้ได้ และมันก็ดูไม่เหมือนว่าราชาบุดด้าเคลียร์ซีและคนอื่นๆจะเดินทางมาเพื่อซื้อหุ่นต่อสู้


 


ราชาบุดด้าเคลียร์ซีและคนอื่นๆเดินผ่านหานเซิ่นไป ไม่มีใครจดจำเขาได้ เพราะเขาสวมใส่ชุดเกราะวิญญาณอสูรอยู่


 


ไม่มีใครเห็นรูปปั้นบุดด้า 4 หน้า 8 แขนด้านหลังหานเซิ่น มันมีเพียงแค่ผู้ใช้เท่านั้นที่จะมองเห็นมัน ส่วนคนอื่นๆจะไม่สังเกตเห็นอะไร


1955

หานเซิ่นมีแผนที่จะตามไปดูว่าพวกเขามาทำอะไรที่นี่ แต่หลังจากที่เดินตามไปได้สักพัก เขาก็เห็นราชาเคลียร์ซีและคนอื่นๆเข้าไปในสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ถูกเฝ้าโดยพวกมีก้า ซึ่งมันเป็นสถานที่ส่วนบุคคล ทำให้หานเซิ่นไม่สามารถเดินเข้าไปข้างในได้ เขาถามคนอื่นรอบๆและได้รู้ว่ามันเป็นบ้านของมีก้าระดับราชัน


 


แต่หานเซิ่นไม่สามารถหาข้อมูลอะไรมากกว่านั้นได้ เพราะมันไม่มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออยู่ หานเซิ่นจึงรออยู่ข้างนอกสักพัก แต่พวกเขาก็ยังไม่กลับออกมา หานเซิ่นจึงเดาไปว่าพวกเขาคงจะเข้าพักที่นั่น


 


หานเซิ่นไม่สามารถทำอะไรเสี่ยงๆบนดวงดาวของมีก้าได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับ แต่ในตอนที่เขาหันหลัง มิงค์น้อยที่ซุกซนตัวหนึ่งก็กระโดดออกจากกระเป๋าของเขาและเริ่มวิ่งไปบนถนน


 


หานเซิ่นรีบจับมิงค์อีก 6 ตัวเอาไว้ ขณะที่วิ่งไล่ตามมิงค์อีกตัวไป เขาส่งเสียงเรียกชื่อของมัน “เจ็ดน้อย อย่าเพิ่งไป กลับมานี่!”


 


หานเซิ่นไม่เก่งเรื่องการตั้งชื่อ ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อพวกมันตามลำดับตัวเลขตั้งแต่ 1 จนถึง 7


 


เจ็ดน้อยคือตัวที่ซุกซนและดื้อรั้นที่สุดในหมู่พวกมัน แม้แต่หานเซิ่นก็ไม่สามารถทำให้มันเชื่อฟังได้ ถึงอย่างนั้นมิงค์น้อยทั้ง 7 ตัวก็ถือว่าหานเซิ่นเป็นเจ้านายของพวกมัน และถึงพวกมันจะวิ่งออกไปตามใจชอบ แต่พวกมันก็จะกลับมาเสมอเมื่อพวกมันเบื่อแล้ว


 


หานเซิ่นตะโกนเรียกมันขณะที่วิ่งตามไป


 


แต่หานเซิ่นไม่ต้องการบังคับให้มันกลับมา เขาปล่อยให้มันวิ่งต่อและตามหลังมันไป ที่นี่เป็นดาวของมีก้า ดังนั้นมันไม่มีใครจะมาสนใจที่เห็นมีก้าตัวหนึ่งวิ่งเพ่นพ่านไปมา


 


มันเห็นได้ชัดว่าเจ็ดน้อยกำลังสนใจอะไรบางอย่าง มันไม่ได้วิ่งอย่างไร้จุดหมาย มันวิ่งเข้าไปในสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่งและเริ่มวิ่งขึ้นบันไดไป


 


หานเซิ่นตามมันไปติดๆและสังเกตเห็นว่ามันเป็นห้างขนาดใหญ่ หานเซิ่นตามเจ็ดน้อยขึ้นไปที่ชั้น 2 และไปหยุดอยู่ที่หน้าร้านค้าร้านหนึ่ง


 


เมื่อหานเซิ่นเดินเข้าไป เขาก็เห็นว่ามิงค์น้อยเรียกหุ่นต่อสู้ของมันออกมา ชุดเกราะสีแดงปรากฏขึ้นและห่อหุ้มร่างน้อยๆของมัน


 


พวกมิงค์น้อยยังเป็นแค่ระดับบารอน ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่สามารถสร้างหุ่นต่อสู้ขนาดใหญ่ได้ ตอนนี้หุ่นต่อสร้างของมันเป็นอะไรที่เรียบง่าย แต่เมื่อพวกมิงค์สามารถสร้างวัสดุจากยีนซีโน่เจเนอิคได้มากขึ้น หุ่นต่อสู้ก็จะพัฒนาขึ้นไปอีก


 


เจ็ดน้อยวิ่งไปทั่วร้าน พร้อมกับขบเคี้ยวเม็ดเกาลัดอยู่เต็มปาก เจ้าของร้านพยายามจะไล่มันออกไป แต่เจ้ามิงค์น้อยทั้งตัวเล็กและว่องไว มันวิ่งไปรอบๆและคว้าสิ่งของจากชั้นวางอย่างรวดเร็ว


 


เจ็ดน้อยกินทุกสิ่งทุกอย่างที่มันคว้ามาได้ และเมื่ออีก 6 ตัวได้กลิ่นอาหาร พวกมันก็ต้องการจะออกมาเช่นกัน แต่หานเซิ่นกดพวกมันเอาไว้ในกระเป่า เขาไม่ต้องการให้พวกมันก่อปัญหาไปมากกว่านี้


 


เจ้าของร้านชาวเคทดูเหมือนจะร้องไห้ออกมา ไม่นานหลังยามรักษาการชาวมีก้า 2 คนก็เข้ามาและพยายามจะจับตัวเจ็ดน้อย แต่เนื่องจากความว่องไวของมัน เจ็ดน้อยจึงหลบหลีกพวกเขาได้


 


ยามรักษาการเป็นชาวมีก้าเป็นระดับไวเคานต์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจับตัวของเจ็ดน้อยที่เป็นเพียงแค่ระดับบารอนได้


 


หานเซิ่นรีบเข้าไปจับตัวเจ็ดน้อยหลังจากนั้นก็เก็บมันเข้าไปในกระเป๋า


“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้ายินดีจะจ่ายค่าเสียหายที่เขาก่อขึ้น”


 


“ไม่ ถ้าเขาประพฤติมิชอบ เขาก็ต้องถูกสอบสวน” หนึ่งในมีก้าพูด


 


“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่เขาเป็นเพียงแค่เด็กเท่านั้น ได้โปรดมอบโอกาสให้เขาสักครั้ง ข้ายินดีจ่ายให้เจ้าของร้านเป็น 2 เท่า”


หานเซิ่นรีบพูด หลังจากนั้นเขาก็นำเจ็ดน้อยออกมาและพูดกับมัน “เร็วเข้า รีบขอโทษพวกเขา”


 


เมื่อเจ็ดน้อยทำผิด หานเซิ่นก็ไม่คิดจะตามใจเจ้าตัวน้อยและทำให้พวกมันเสียคน


 


เจ็ดน้อยก้มหัวของมัน หลังจากนั้นมันก็ส่งเสียงออกมาราวกับว่ามันกำลังขอโทษ


 


“พวกเราจะคุยเรื่องค่าเสียหายกันทีหลัง แต่เจ้าต้องตามพวกเราไป ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไปรายงานต่อเจ้าของร้านไม่ได้” ยามรักษาการชาวมีก้าพูด


 


ขณะที่หานเซิ่นกำลังสงสัยว่าควรจะทำยังไงดี ใครบางคนก็ตะโกนออกมาจากภายในร้าน “เดี๋ยวก่อน!”


 


หานเซิ่นมองตามเสียงนั้นไปและเห็นเฟเธอร์คนหนึ่งเดินออกมาจากหลังร้าน เขาเข้ามาพูดคุยกับยามรักษาการ หลังจากนั้นยามรักษาการก็เดินออกจากร้านไป


 


“ขอบคุณมาก ข้ายินดีจะชำระค่าเสียที่เกิดขึ้น” หานเซิ่นพูดขณะที่เห็นเฟเธอร์คนนั้นเข้ามาหา


 


“มันไม่ได้มีสินค้าได้รับความเสียหายอะไรมากนัก อย่าได้กังวล แต่ถ้าเจ้ามีเวลา พวกเราไปคุยกันข้างในจะได้ไหม?” เฟเธอร์พูดขณะที่มองเจ็ดน้อยในมือของหานเซิ่น


 


หานเซิ่นสับสน แต่เขาก็ยังคงพยักหน้าและตามเฟเธอร์ไปหลังร้าน


 


เฟเธอร์ปิดประตูและมองมาที่หานเซิ่นกับเจ็ดน้อย ก่อนที่จะพูด “ข้ามีชื่อว่ามาช เจ้ามีชื่อว่าอะไร?”


 


“ชื่อของข้าคือดอลลาร์จากเผ่าพันธุ์มนุษย์” หานเซิ่นตอบ


 


มาชพูดชื่อของหานเซิ่นซ้ำๆราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นเขาก็ถาม “เจ้ามีความเกี่ยวข้องกับมีก้ายังไง?”


 


“ข้าเป็นผู้ปกครองของพวกมัน” หานเซิ่นตอบ


 


หลังจากที่ได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของมาชก็เป็นประกายขึ้นมา เขาพูด


“นั่นหมายความว่าเจ้าสั่งการพวกมันได้อย่างนั้นหรอ?”


 


“นั่นหมายความว่ายังไง?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว


 


มาชกังวลว่าหานเซิ่นอาจจะเข้าใจเจตนาของเขาผิด ดังนั้นเขาจึงรีบอธิบาย “ถ้าเจ้าสั่งการพวกมันได้ ข้าอยากจะจ้างพวกมันเพื่อโปรโมทร้านของข้า”


 


“โปรโมท?” หานเซิ่นสับสน


 


“มันเป็นอย่างนี้…” มาชเริ่มอธิบาย


 


ร้านของมาชนั้นขายผลไม้ซีโน่เจเนอิค ซึ่งสำหรับมีก้าแล้ว ผลไม้ซีโน่เจเนอิคสามารถใช้แทนยีนซีโน่เจเนอิคของจริงได้ หลังจากที่มีก้าได้กินผลไม้ซีโน่เจเนอิค พวกมันก็จะปลดปล่อยวัสดุสำหรับหุ่นต่อสู้ยีนซีโน่เจเนอิคออกมา


 


แต่ผลไม้ซีโน่เจเนอิคไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนัก ดังนั้นยอดขายจึงค่อนข้างต่ำ มาชไม่ใช่คนที่ร่ำรวยอะไร เขาจึงไม่มีเงินไปทำการโฆษณาโปรโมทสินค้าของเขา


 


ความสามารถของเจ็ดน้อยทำให้มาชรู้สึกประหลาดใจ เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นโอกาส


 


เจ็ดน้อยสามารถโปรโมทสินค้าได้โดยการเข้าแข่งขันหุ่นต่อสู้ของเผ่าพันธุ์มีก้า ถ้าเจ็ดน้อยทำคะแนนได้ดีในการแข่งขัน มันก็จะเป็นการโปรโมทสินค้าที่ดียิ่งกว่าการโฆษณาไหนๆ ซึ่งหลังจากที่มาชได้เห็นความสามารถของเจ็ดน้อยแล้ว เขาก็เชื่อว่ามันจะชิงที่หนึ่งมาได้


1956

ในตอนแรกหานเซิ่นไม่ได้ต้องการให้เจ็ดน้อยเข้าร่วมในการแข่งขันหุ่นต่อสู้ แต่เมื่อได้ยินถึงรางวัลจะได้รับ หานเซิ่นก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ซึ่งรางวัลที่จะได้รับเมื่อได้อันดับที่หนึ่งก็คือจีโนฟลูอิดที่ถูกปรุงขึ้นโดยมีก้าระดับสูง


 


มันจะทำให้เจ็ดน้อยเพิ่มระดับขึ้น และหุ่นต่อสู้ระดับบารอนก็กลายเป็นระดับไวเคานต์ได้ สำหรับมีก้าแล้ว นี่ถือเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม


 


มาชได้เสนอข้อตกลงที่ดีมากๆให้กับหานเซิ่น และเจ็ดน้อยก็ดูสนใจ ดังนั้นหานเซิ่นจึงตอบตกลงไป


 


หานเซิ่นเซ็นสัญญากับมาช ถ้าเจ็ดน้อยทำผลงานได้ดี เขาก็จะได้รับส่วนแบ่งจากกิจการของมาชมากขึ้นเท่านั้น


 


ซึ่งถ้าเจ็ดน้อยได้รับอันดับที่หนึ่งในการแข่งขันระดับบารอน หานเซิ่นก็จะได้รับส่วนแบ่งถึง 40 เปอร์เซ็นต์


 


มาชช่วยเจ็ดน้อยลงสมัครเข้าแข่งกัน และมันก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมอย่างรวดเร็ว หานเซิ่นจึงพาเจ็ดน้อยไปเข้าร่วมการแข่งขัน


 


ในรอบแรกๆไม่มีมีก้าระดับบารอนตัวไหนสามารถแข่งขันกับเจ็ดน้อยได้เลย เจ็ดน้อยชนะอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้มันดูปิติยินดี มันเริ่มจะดึงดูดความสนใจของผู้ชมอีกด้วย


 


ภายในปราสาทของราชามีก้า ราชาบุดด้าเคลียร์ซีและราชามีก้าก็กำลังดูการแข่งขันหุ่นต่อสู้ระดับบารอนอยู่เช่นกัน


 


“อมิตาพุต! การทำการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้จำเป็นต้องพึ่งเจ้าแล้ว” ราชาบุดด้าเคลียร์ซีพูดกับราชามีก้า


 


ราชามีก้าดูเหมือนกับหมีตัวใหญ่ ขณะที่มันกำลังขบเคี้ยวอาหารอยู่ มันก็พูดขึ้นมา “ไม่เป็นไร ถ้าพวกเจ้ามีทรายดาราจักรเพียงพอ พวกเราก็จะมอบทารกให้กับพวกเจ้าได้มากเท่าที่พวกเจ้าต้องการ”


 


ราชาเคลียร์ซีมองดูการแข่งขันโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา


“ทรายดาราจักรไม่ใช่ปัญหา แต่ข้าจำเป็นต้องใช้มีก้าทารกดีๆ มันมีทารกอยู่หลายตัวที่ข้าชื่นชอบ ดังนั้นได้โปรดช่วยข้าจัดการด้วย”


 


“เด็กหลายคนที่เข้าร่วมการแข่งขันมาจากตระกูลใหญ่ ข้าจะพยายามต่อรองกับพวกเขา แต่เรื่องราคา?” ราชาแบทเทิลหยุดพูด แต่ความหมายของเขาชัดเจน


 


“ข้าจะมอบทรายดาราจักรให้เจ้ามากเป็น 10 เท่าจากราคาที่พวกเราคุยกันเอาไว้ เจ้าคิดว่ายังไง?” ราชาเคลียร์ซีพูดอย่างสงบ ขณะที่ชี้ไปทางผู้เข้าแข่งขันที่เขาต้องการ


 


“ตัวที่เจ้าชี้นั้นเป็นทารกมีก้าที่มีพรสวรรค์มากๆ ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่” ราชาแบทเทิลพูด


 


“ข้ายินดีมอบทรายดาราจักรให้เจ้า 20 เท่า นี่ถือว่าสุดๆแล้ว” ราชาเคลียร์ซีพูด


 


“โอเค ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลง” ราชาแบทเทิลตอบ


 


ราชาเคลียร์ซีกลับไปดูการแข่งขันต่อ โดยให้ความสนใจกับเจ็ดน้อยที่กำลังกินผลไม้อย่างหิวกระหายเป็นพิเศษ


 


เจ็ดน้อยทำผลงานในการแข่งขันระดับบารอนได้เป็นอย่างดี และมันก็เข้าไปถึงรอบสิบคนสุดท้ายได้สำเร็จ มีก้าระดับบารอนตัวอื่นๆไม่สามารถต่อกรกับมันได้เลย


 


เจ็ดน้อยชนะอย่างต่อเนื่อง และไม่นานชื่อเสียงของมันก็ถูกแพร่สะพัดออกไป มันกลายเป็นมีก้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างรวดเร็ว


 


มันจะกินผลไม้จีโนทุกๆครั้งก่อนที่เริ่มการแข่งขัน และไม่นานมันก็เป็นสิ่งที่คนอื่นๆเริ่มจะสังเกตเห็น


 


หลังจากนั้นไม่นานยอดขายร้านค้าของมาชก็พุ่งสูงขึ้น มันทำให้เขาดีใจอย่างมาก


 


แต่ก็มีหลายคนมาที่ร้านของมาชเพียงเพื่อจะถามเกี่ยวกับเจ็ดน้อยเท่านั้น มาชรู้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ดังนั้นเขาจึงไปปรึกษากับหานเซิ่น แต่ถึงมาชจะไม่พูดขึ้นมา หานเซิ่นก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนั้น


 


ทุกสายตากำลังจับจ้องมาเขากับเจ็ดน้อย มันยังดูสมเหตุสมผลเมื่อคำนึงถึงชื่อเสียงที่เจ็ดน้อยได้รับ แต่หานเซิ่นก็ยังคงรู้สึกว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ เขารู้สึกว่ามันมีคนคอยจับตาดูเขาอยู่ตลอดเวลา และวิธีการจับตาดูก็ดูลึกลับเกินไป คนที่จับตาดูเขาอยู่จะต้องมีระดับเอิร์ลเป็นอย่างน้อย


 


ถ้าหานเซิ่นไม่ได้มีศาสตร์ตงเสวียนอยู่ เขาก็ไม่มีทางรู้ตัวเลยว่าถูกจับตามองอยู่


 


“คนพวกนี้เป็นใครกัน?” หานเซิ่นรู้สีกสงสัย แต่หลังจากนั้นเขาก็คิดอะไรดีๆขึ้นมาได้


 


ในตอนกลางคืน หานเซิ่นเดินไปบนถนนก่อนที่จะหายตัวเข้าไปในห้อง


 


หลังจากผ่านไปสักพักก็มีมีก้าเดินไปมาภายในห้างราวกับว่าเขากำลังมองหาอะไรบางอย่าง


 


“แปลกจริงๆ ข้าคิดว่าเขาเข้ามาในนี้ เขาหายไปไหนกัน?”


มีก้าพูดกับตัวเอง หลังจากนั้นมันก็รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านเครื่องมือสื่อสารและเดินดูรอบๆห้างอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินออกจากห้างไป


 


หานเซิ่นเดินออกมาจากมุมหนึ่งของห้าง ขณะที่สวมใส่ชุดเกราะตงเสวียนอยู่ กระแสพลังของเขาดูแตกต่างไปจากเดิม


 


เขาตามมีก้าตัวนั้นไปจนถึงสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็เห็นมีก้าตัวนั้นเดินเข้าไปข้างในสิ่งก่อสร้างใหญ่


 


‘นี่คือสิ่งก่อสร้างที่ราชาบุดด้าเคลียร์ซีเข้าไปไม่ใช่หรอ? อย่าบอกนะว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้? นี่พวกเขารู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ ถ้าราชาเคลียร์ซีรู้ว่าเจ้าของเจ็ดน้อยคือหานเซิ่น เขาก็คงจะลงมือจู่โจมแล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องส่งคนมาจับตาดู


 


มันเห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกเขาคือเจ็ดน้อยไม่ใช่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ แต่เขาสามารถส่งล่องหนน้อยเข้าไปได้ ถ้าล่องหนน้อยเข้าไปสำรวจภายใน มันก็จะทำงานเหมือนกับกล้องล่องหน ข้อเสียอย่างเดียวของมันก็คือไม่สามารถบันทึกเสียงได้


 


หานเซิ่นพูดกับล่องหนน้อยและวางมันลงบนพื้น สีของร่างกายมันเริ่มเปลี่ยนแปลง หลังจากนั้นมันก็หายตัวไป


 


ความสามารถในการพลางตัวของล่องหนน้อยเป็นอะไรที่สุดยอด แม้แต่คนระดับราชันก็ไม่สามารถสังเกตเห็นมันได้ แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ยังรู้สึกกังวล ดังนั้นเขาจึงรออยู่ข้างนอก และถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะใช้ราชาหมอกแดงเข้าไปช่วย


 


โชคดีที่มันไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้น หลังจากรอคอยอยู่หลายชั่วโมง ก็มีอะไรบางอย่างกระโดดขึ้นมาบนไหล่ของเขา ซึ่งมันก็คือล่องหนน้อย


 


หานเซิ่นพาล่องหนน้อยกลับไปที่ร้านค้าของมาช หลังจากที่เข้าไปในห้องเขาก็วางล่องหนน้อยลง


 


“ล่องหนน้อย นายเห็นอะไรบ้าง?” หานเซิ่นถาม


 


สีของล่องหนน้อยเริ่มจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง มันเหมือนกับว่าเขากำลังดูโทรทัศน์ หลังจากที่หานเซิ่นได้เห็นมัน สีหน้าของเขาก็ดูมืดมนขึ้นมา ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมพวกเขาถึงจับตาดูเจ็ดน้อย


 


ล่องหนน้อยแสดงภาพมีก้าเด็กหลายตัวถูกจับขังเอาไว้ ซึ่งส่วนมากคือตัวที่ทำผลงานได้ค่อนข้างดีในการแข่งขัน


 


‘มีก้านั้นมีสายเลือดที่ซับซ้อนและต่างกันออกไป แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าราชาของพวกเขาจะขายคนในเผ่าพันธุ์ตัวเองแบบนี้ ดูเหมือนว่าราชาเคลียร์ซีจะมาที่นี่เพื่อซื้อพวกมัน แต่ด้วยจุดประสงค์อะไรกัน?’ หานเซิ่นสงสัย


1957

เห็นได้ชัดว่าราชาแบทเทิลและราชาเคลียร์ซีกำลังหมายตาเจ็ดน้อยอยู่ หานเซิ่นจึงลังเลว่าควรจะกลับไปตอนนี้เลยดีไหม แต่ทันใดนั้นก็มีใครบางคนเดินออกมา มันคือสปีชเลสส์และบุดด้าคนอื่นๆ


 


หานเซิ่นไม่ได้เห็นราชาเคลียร์ซีออกมาด้วย มันมีแค่บุดด้าหนุ่มสาวเท่านั้นที่เดินออกมา


 


หานเซิ่นเดินตามพวกเขาไปโดยสวมใส่ชุดเกราะตงเสวียนเอาไว้ เขาไม่ได้ใช้ความพยายามในการซ่อนตัวอะไรมากนัก เพราะสปีชเลสส์และคนอื่นๆดูเหมือนจะไม่ได้ระมัดระวังอะไรมาก พวกเขาแค่เดินไปรอบๆและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน


 


หานเซิ่นติดตามพวกเขาอยู่ครั้งวัน แต่ก็ไม่ได้รู้อะไรที่มีประโยชน์เลย พวกเขาพูดคุยกันแค่เรื่องทั่วๆไป แต่ในตอนที่หานเซิ่นกำลังจะยอมแพ้ บุดด้าหนุ่มคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา


“ท่านราชากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? ทำไมเขาถึงต้องการจะแลกทรายดาราจักรกับทารกของมีก้าด้วย?”


 


หานเซิ่นประหลาดใจที่ได้ยินอย่างนั้น เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับทรายดาราจักรมาก่อน มันเป็นสมบัติที่มีชื่อเสียงมากของบุดด้า


 


ทรายดาราจักรไม่ใช่ทรายจริงๆ แต่พวกมันเป็นน้ำตาของซีโน่เจเนอิคระดับราชันที่มีชื่อว่ามังกรดาราจักร หยดน้ำตาแต่ละหยดของมันจะกลายเป็นทรายดาราจักร ซึ่งมันเป็นสมบัติที่หาได้ยาก


 


ทรายดาราจักรกักเก็บพลังงานมหาศาลเอาไว้ ถ้าสิ่งมีชีวิตระดับราชันสกัดทรายดาราจักร พวกเขาก็จะได้รับประโยชน์มากมาย ส่วนสิ่งมีชีวิตระดับต่ำสามารถจะใช้มันเพิ่มระดับขึ้นได้ในทันที


 


การที่ราชาเคลียร์ซียอมแลกเปลี่ยนมันกับมีก้าเด็กๆถือเป็นอะไรที่น่าตกใจ ดังนั้นเขาจะต้องวางแผนอะไรบางอย่างอยู่แน่


 


“ชู่ว์” บุดด้าอีกคนทำท่าทางบอกให้เขาเงียบๆ หลังจากนั้นเขาก็พูด


“อย่าได้พูดเกี่ยวกับมัน ที่นี่คือดาวของมีก้า พวกเราจะปล่อยให้พวกเขารู้เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนไม่ได้”


 


“มีอะไรต้องกลัว? ที่นี่คือเขตแดนของราชาแบทเทิล เขาคือคนที่ขายมีก้าเด็กๆให้กับพวกเราเอง คนอื่นๆจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้?”


ถึงเขาจะพูดแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะพูดอะไรไปมากกว่านี้


 


สปีชเลสส์ขมวดคิ้วและพูด “ยังไงพวกเราก็ควรระวังตัวเอาไว้ เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ”


 


สปีชเลสส์และคนอื่นเดินดูรอบๆต่อไป หานเซิ่นไม่คิดว่าจะได้รู้อะไรที่มีประโยชน์มากไปกว่านั้น แต่ทันใดนั้นสปีชเลสส์ก็ได้รับข้อความ หลังจากนั้นเธอก็พูดกับบุดด้าคนอื่นๆ “ท่านราชาเรียกให้ข้าไปพบ พวกเจ้าไปกันต่อเถอะ ข้าจะกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


“ทำไมพวกเราไม่กลับไปพร้อมกับล่ะ?” บุดด้าคนหนึ่งพูด


 


“ไม่เป็นไร” สปีชเลสส์ส่ายหัวและออกจากกลุ่มไป


 


หานเซิ่นติดตามเธอไป ถึงเขาจะไม่สามารถต่อกรกับราชาเคลียร์ซีได้ แต่สปีชเลสส์เป็นเพียงแค่ไวเคานต์ และถ้าจำเป็นจริงๆ เขาก็สามารถพาตัวเธอไปได้


 


หานเซิ่นมีแผนจะจับตัวเธอเพื่อถามว่าทำไมราชาเคลียร์ซีถึงต้องการตัวเด็กๆของมีก้า


 


สปีชเลสส์เดินกลับไปที่บ้านของราชาแบทเทิลตามลำพัง แต่ทว่าเมื่อเธอเลี้ยวที่หัวมุมหนึ่ง เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา มีชายคนหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีทองปรากฏตัวตรงหน้าเธอ มันมีบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับเขา แต่เธอไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร


 


“ข้าคือสปีลเลสส์จากบุดด้า เจ้าคือใคร? ทำไมเจ้าถึงได้มาขวางทางข้า?” สปีชเลสส์ดูระมัดระวัง เธอสังเกตชายคนนั้นอย่างละเอียดขณะที่พูดออกมา


 


เธอจดจำชุดเกราะของหานเซิ่นได้ เธอจึงรู้ว่าเขาก็คือเจ้าของของเจ็ดน้อย


 


หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อจะจับตัวเธอ


 


สปีชเลสส์เห็นมือใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนกับว่าฝ่ามือกำลังกลืนกินทั้งอวกาศเข้าไป เธอรู้สึกราวกับว่ามันไม่มีที่ไหนให้เธอหนีไปได้


 


แสงบุดด้าระเบิดออกมาจากตัวของสปีชเลสส์ เธอเรียกดาบออกมาและใช้มันฟันเข้าใส่หานเซิ่น พร้อมกับพูดเพื่อปล่อยพลังเสียงออกมา


 


บ้านของราชาแบทเทิลอยู่ห่างออกไป 2 กิโลเมตร ดังนั้นเสียงร้องของเธอจะไปถึงราชาเคลียร์ซี และด้วยพลังของเขา เขาจะต้องมาช่วยเหลือเธอได้ทันแน่นอน


 


แต่เมื่อเธอเปิดปากเพื่อปลดปล่อยพลังเสียงออกมา พลังที่ออกมากลับไร้ซึ่งเสียง มันเป็นพลังเสียงที่ว่างเปล่า


 


สีหน้าของสปีชเลสส์เปลี่ยนไป และก่อนที่เธอจะตอบสนองอะไรได้ หานเซิ่นก็จับดาบของเธอเอาไว้ ขณะที่มืออีกข้างดีดเหรียญเข้าไปที่อกของเธอ


 


ทันใดนั้นสปีชเลสส์ก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา เธอทรุดตัวลงไปกับพื้น แต่เธอพยายามจะยันตัวเองเอาไว้ด้วยมือทั้ง 2 ข้าง ดังนั้นเธอจึงยังไม่ได้ล้มลงไป


 


หานเซิ่นใช้ดาบจี้ไปที่คอของสปีชเลสส์และพูด “เจ้าต้องตอบคำถามของข้ามาตามตรง ไม่อย่างนั้นข้าจะตัดหัวของเจ้า”


 


สปีชเลสส์ใช้พลังทั้งหมดค้ำตัวเองเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป แต่พลังที่น่ากลัวของเหรียญ ทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าหน้าอกกำลังจะระเบิดออกมา ความเจ็บปวดแพร่กระจายไปทั่วร่างของเธอ


 


“เจ้าเป็นใครกัน? เจ้าไม่รู้หรือว่าราชาเคลียร์ซีของบุดด้าและราชาแบทเทิลของมีก้าอยู่ใกล้ๆนี่ ถ้าเจ้าฆ่าข้าล่ะก็ เจ้าก็ต้องตายตามข้าไปในไม่ช้า” สปีชเลสส์พูดขณะที่พยายามยันพื้นเอาไว้


 


“ข้าไม่รู้ว่าตัวเองจะตายหรือเปล่า แต่เจ้าจะตายแน่ๆ ถ้าไม่ยอมตอบคำถามของข้า ทำไมพวกเจ้าถึงได้ซื้อตัวเด็กๆของมีก้า?” หานเซิ่นถาม


 


สปีชเลสส์ไม่พูดอะไร ดูเหมือนว่าเธอยินดีจะเก็บความลับลงสุสานไปพร้อมกับเธอ


 


หานเซิ่นใช้ดาบฟันใส่ชุดเกราะของสปีชเลสส์ ทำให้ผิวของเธอเปิดเผยออกมา


 


“เจ้ากำลังจะทำอะไร?” สีหน้าของสปีชเลสส์เปลี่ยนไป


 


“อย่าได้กังวล ข้าไม่สนใจผู้หญิงอย่างเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมตอบคำถามของข้าล่ะก็ ข้าจะจับเจ้าแก้ผ้าซะ และเจ้าจะได้เดินไปบนถนนอย่างเปลือยเปล่า หลังจากนั้นข้าก็ค่อยตัดหัวของเจ้า”


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นพูดก็ต่อ “ข้าเป็นผู้ชายใจร้อน ดังนั้นข้าจะขอถามเจ้าอีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทำไมพวกเจ้าถึงซื้อตัวพวกเด็กๆของมีก้า?”


 


สปีชเลสส์ยังคงปิดปากเงียบ เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร หานเซิ่นก็ตัดส่วนล่างของชุดเกราะเธอออก หลังจากนั้นเขาก็เริ่มจะลากตัวเธอไป


 


“พวกเราซื้อตัวมีก้าไปก็เพื่อซ่อมแซมอาวุธระดับเทพเจ้า!” สปีชเลสส์รีบพูดออกมา


 


“อาวุธอะไร? มันจะถูกซ่อมแซมได้ยังไง?” หานซ่นถาม


 


“ข้าไม่รู้! ข้าเพียงแค่ได้ยินมานิดหน่อยเท่านั้น แต่ข้ารู้ว่ามันเป็นมีดเล่มหนึ่ง มีเพียงแค่ราชาเคลียร์ซีเท่านั้นที่รู้รายละเอียด” สปีชเลสส์รีบพูด


 


“เจ้าไม่รู้อะไรอย่างนั้นหรอ ดูเหมือนข้าไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าอีกแล้วสินะ” หานเซิ่นมองสปีชเลสส์อย่างไร้ซึ่งความปราณี


 


“ถ้าเจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้าจะบอกทุกอย่างที่เจ้าอยากรู้! ถ้าเจ้าปล่อยให้ข้าได้ไปรวบรวมข้อมูล ข้าแน่ใจว่าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง!” สปีชเลสส์พูด


 


“ข้าจะมอบโอกาสสุดท้ายให้กับเจ้า ถ้าเจ้าไม่ตอบข้ามาตอนนี้ ก็เชิญมีความสุขกับการแสดงบนถนนเถอะ”


หานเซิ่นไม่สนใจคำขอร้องของเธอและพูดต่อ “ทรายดาราจักรที่จะใช้ซื้อตัวเด็กของมีก้าถูกเก็บเอาไว้ที่ไหน? อย่าบอกข้านะว่ามันอยู่ในกระเป๋าของราชาเคลียร์ซี!”


 


“แต่มันอยู่กับเขาจริงๆ…” ก่อนที่สปีชเลสส์จะพูดจบ หานเซิ่นก็ดึงผมของเธอและลากตัวเธอออกไปบนถนนอีกครั้ง สีหน้าของสปีชเลสส์เปลี่ยนไป เธอรีบพูดขึ้นมา “มันอยู่กับเขาจริงๆ แต่ข้ามีหนทางที่จะเอามันมาให้เจ้า”


1958

“หนทางอะไร?” หานเซิ่นมองสปีชเลสส์ด้วยท่าทางสนใจเป็นครั้งแรก


 


“ทรายดาราจักรจำเป็นต้องอาบแสงดาวเป็นประจำ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นก้อนหินธรรมดาในเวลาไม่กี่วัน ข้ารู้ว่าเมื่อไหร่และที่ไหนที่ราชาเคลียร์ซีจะนำทรายดาราจักรออกมาเพื่ออาบแสงดาว”


ก่อนที่สปีชเลสส์จะพูดจบ หานเซิ่นก็เรียกหอคอยออกมาและดูดเธอเข้าไปข้างใน


 


การเข้าไปในบ้านของราชันเพื่อขโมยสิ่งของเป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไป สปีชเลสส์เพียงแค่จะยื้อเวลาเท่านั้น


 


หานเซิ่นซ่อนหลักฐานทั้งหมดที่อาจจะทิ้งเอาไว้ในที่เกิดเหตุ แต่สปีชเลสส์ถูกเรียกให้ไปพบกับราชาเคลียร์ซี ซึ่งถ้าเธอไม่ปรากฏตัว เขาก็ต้องรู้ตัวว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ


 


ดังนั้นเขาไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นั่นนานเกินไป เขาสลักคำพูดเอาไว้บนพื้นและรีบออกไปจากที่นั่น


 


หานเซิ่นเดินกลับเข้าไปในห้าง และในที่สุดลูกน้องของราชาแบทเทิลก็สังเกตเห็นเขา ในระหว่างที่เขากำลังกลับไปที่ร้านของมาช ลูกน้องทั้งหมดของราชาแบทเทิลก็เริ่มเคลื่อนไหว


 


ไม่นานข่าวที่สปีชเลสส์ถูกลักพาตัวไปก็ไปถึงหูของราชาเคลียร์ซี และเมื่อเขาได้เห็นคำที่หานเซิ่นทิ้งเอาไว้ที่พื้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป


 


“ราชาเคลียร์ซีอย่าได้กังวลไป ข้าจะรับผิดชอบในเรื่องนี้อีก ข้าจะช่วยบุดด้าหญิงกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าจะต้องหาให้ได้ว่าใครกันที่กล้ามาทำเรื่องแบบนี้ในเขตแดนของข้า” ราชาแบทเทิลดูโกรธมากเช่นเดียวกัน


 


มีศัตรูมาลักพาตัวบุดด้าคนหนึ่งไปในเขตแดนของเขา และขอแลกเปลี่ยนตัวเธอกับทรายดาราจักร นี่เป็นอะไรที่หยามหน้าราชาแบทเทิลอย่างมาก


 


ถ้าราชาแบทเทิลไม่รับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น ราชาเคลียร์ซีก็อาจจะเชื่อว่าเขาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้


 


“อมิตาพุต! ถ้าอย่างนั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการเรื่องนี้” ราชาเคลียร์ซีพูดด้วยสีหน้าที่ดูสงบ


 


ถึงแม้ราชาแบทเทิลพูดว่าจะช่วยจัดการเรื่องนี้ แต่ราชาเคลียร์ซีก็ยังสงสัยในความเป็นไปได้ที่ว่าราชาแบทเทิลอาจจะเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวในครั้งนี้


 


ที่นี่เป็นดวงดาวของราชาแบทเทิล ใครบางคนลักพาตัวสปีชเลสส์ไปอย่างลับๆ ทั้งๆที่เธออยู่ภายใต้การคุ้มครองของราชาเคลียร์ซีและราชาแบทเทิล มันทำให้ราชาเคลียร์ซีเชื่อว่าราชาแบทเทิลเป็นคนที่ลักพาตัวสปีชเลสส์ไป


 


“ให้เวลาข้าหนึ่งวัน” ราชาแบทเทิลรู้ว่าราชาเคลียร์ซีสงสัยในตัวเขา


 


การค้นหาตัวสปีชเลสส์เริ่มต้นขึ้น ซึ่งเป็นคำสั่งของราชาแบทเทิลโดยตรง แต่หลังจากที่สำรวจอยู่สักพัก พวกเขาก็ยังไม่พบสปีชเลสส์ และตัวตนของคนที่ลักพาตัวไปก็ยังคงเป็นปริศนา


 


เมื่อการตรวจสอบสิ้นสุดลง คนที่น่าสงสัยที่สุดก็คือหานเซิ่นที่หายตัวไปจากสายตาของสายลับในตอนที่เกิดเหตุ แต่หานเซิ่นเป็นเพียงแค่ไวเคานต์ มันจึงดูเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะลักพาตัวสปีชเลสส์ไปโดยไม่มีใครเห็น


 


แต่ในเวลาแบบนี้ ราชาแบทเทิลไม่สามารถปล่อยอะไรที่น่าสงสัยไปได้


 


ในตอนที่หานเซิ่นพาเจ็ดน้อยไปเข้าร่วมการแข่งขัดในรอบต่อไป ราชาแบทเทิลจึงส่งดยุกโลหิตสังหารที่เป็นลูกน้องของเขาไปตรวจค้นร้านของมาช


 


มาชเป็นเพียงแค่นักธุรกิจธรรมดาที่ไม่ได้มีเงินอะไรมาก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะเสี่ยงปิดบังอะไร เขาบอกดยุกโลหิตสังหารไปว่าเขาและหานเซิ่นพบกันได้ยังไง


 


หลังจากที่หานเซิ่นกลับจากการแข่งขัน มาชก็เชิญเขาเข้าไปข้างใน แต่เมื่อเขาเข้าไป ดยุกโลหิตสังหารและคนของเขาก็เข้ามาล้อมหานเซิ่นเอาไว้


 


“พวกเจ้ากำลังจะทำอะไร?” หานเซิ่นขมวดคิ้ว


 


ดยุกโลหิตสังหารนำโซ่สีแดงออกมาและล่ามตัวของหานเซิ่น หลังจากนั้นเขาก็พูด “พาตัวเขากลับไปสอบสวน”


 


หานเซิ่นถูกพาตัวกลับไปที่บ้านของราชาแบทเทิลและเจ็ดน้อยก็ถูกเอาตัวไป


 


ภายในห้องที่มิดชิด ดยุกโลหิตสังหารมองหานเซิ่นและถามอย่างเย็นชา


“ดอลลาร์ ถ้าเจ้าส่งตัวนางคืนมาซะตอนนี้ เจ้าอาจจะรับการให้อภัย อย่าให้ข้าต้องทำแบบนี้เลย”


 


“เจ้าควรจะบอกข้ามาก่อนว่าอะไรกันที่เจ้าต้องการให้ข้าส่งคืนไป” หานเซิ่นตอบ


 


“บุดด้าสปีชเลสส์อยู่ที่ไหน?” ดยุกโลหิตสังหารถามหานเซิ่น


 


“ในสถานที่ที่ปลอดภัย!” หานเซิ่นหัวเราะขึ้นมา


 


ดยุกโลหิตสังหารรู้สึกแปลกใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะยอมรับออกมาง่ายๆแบบนี้ มันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง


 


หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ดยุกโลหิตสังหารก็พูดอีกครั้ง “ส่งตัวสปีชเลสส์คืนมา และข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป”


 


หานเซิ่นหัวเราะและพูด “ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องตัวข้า ข้ารับประกันได้ว่าพวกเจ้าจะไม่มีวันได้เห็นสปีชเลสส์อีก ถ้าเป็นแบบนั้นราชาเคลียร์ซีและทางบุดด้าจะว่ายังไง?”


 


“ที่นี่คือดาวของมีก้า!” ดยุกโลหิตสังหารชกหมัดที่ห่อหุ้มด้วยแสงสีแดงเข้าใส่หานเซิ่น


 


หานเซิ่นไม่แม้แต่จะกระพริบตา เขาเพียงแค่มองดูดยุกโลหิตสังหาร เขาไม่ได้พยายามจะหลบแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่นั่งอยู่นิ่งๆ


 


ดยุกโลหิตสังหารดึงหมัดด้วยท่าทางรำคาญ แต่เขารู้ว่าไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางบุดด้า


 


สถานการณ์อาจจะเลวร้ายขึ้นถ้าเขาทำผิดพลาด


 


“เจ้าต้องการอะไร?” ดยุกโลหิตสังหารถาม หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว


 


“ทรายดาราจักร แต่เจ้าต่ำต้อยเกินไปที่จะพูดกับข้า ไปหาราชาเคลียร์ซีและบอกให้เขามาด้วยตัวเอง” หานเซิ่นพูด


 


“อย่าลืมว่าชีวิตของเจ้ายังคงอยู่ในกำมือของข้า ข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานเท่าไหร่ก็ได้” ดยุกโลหิตสังหารพูด


 


“ฆ่าข้าซะ หรือไม่ก็ให้ราชาเคลียร์ซีมาด้วยตัวเอง เจ้าตัดสินใจเอา” หานเซิ่นพูดด้วยท่าทางที่ดูสงบเยือกเย็น


 


ภายในห้องๆหนึ่ง ราชาเคลียร์ซีและราชาแบทเทิลได้เห็นทุกอย่าง พวกเขาประหลาดใจที่ได้ยินว่าเขาคือคนที่ลักพาตัวสปีชเลสส์ไป


 


“อมิตาพุต! ให้ข้าได้พูดกับเขา” ราชาเคลียร์ซีพูด


 


ราชาแบทเทิลพยักหน้า หานเซิ่นทำให้เขาตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เขาไม่สามารถฆ่าหานเซิ่นได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้ราชาเคลียร์ซีไปพูดกับหานเซิ่นด้วยตัวเอง


 


ดยุกโลหิตสังหารได้รับคำสั่งจากราชาแบทเทิล ทำให้เขาออกไปจากห้อง หลังจากนั้นราชาเคลียร์ซีก็เข้ามาข้างใน ราชาเคลียร์ซีนั่งลงตรงข้ามของหานเซิ่น เขาไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา เขาเพียงแค่สังเกตหานเซิ่นอย่างละเอียดเท่านั้น


 


กระแสพลังของหานเซิ่นไม่ได้โดดเด่นอะไร ซึ่งหานเซิ่นก็ไม่ได้ดูพยายามจะปกปิดเช่นเดียวกัน มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้กังวลอะไรเลย ทั้งๆที่มีราชันคนหนึ่งมานั่งอยู่ตรงหน้าเขา


 


หานเซิ่นสวมใส่ชุดเกราะอยู่ ดังนั้นราชาเคลียร์ซีจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ หลังจากผ่านไปสักพัก ราชาเคลียร์ซีก็พูดขึ้นมา


“พวกเขาจ่ายให้เจ้าเท่าไหร่? ข้าจะให้มากกว่าเป็นสิบเท่า”


 


หานเซิ่นหัวเราะและพูด “ไม่ต้องมัวคิดให้เสียเวลา มันไม่มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เจ้าแค่เลือกมาว่าจะฆ่าข้าและปล่อยให้สปีชเลสส์ตายไปพร้อมๆกัน หรือจะมอบทรายดาราจักรมา นั่นคือตัวเลือกของเจ้า”


1959

“ทำไมข้าถึงควรเชื่อเจ้า? ถ้าข้ามอบทรายดาราจักรให้กับเจ้า มันมีอะไรรับประกันว่าเจ้าจะปล่อยสปีชเลสส์ไป?” ราชาเคลียร์ซีไม่ได้ดูโกรธอะไร เขายังพูดด้วยโทนเสียงที่ดูปกติ


 


“มอบทรายดาราจักรให้กับข้า และข้าจะพาเจ้าไปหานาง” หานเซิ่นพูดอย่างไม่อ้อมค้อม


 


“จนกว่าข้าจะได้เห็นนาง เจ้าจะไม่ได้อะไรทั้งนั้น” ราชาเคลียร์ซีพูด


 


หานเซิ่นหัวเราะและพูด “ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือฆ่าข้าซะ ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่าสปีชเลสส์อยู่ที่ไหนสักแห่งบนดาวดวงนี้ มอบทรายดาราจักรให้กับข้าและข้าจะพาเจ้าไปหานาง ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันอีก”


 


ราชาเคลียร์ซีถามหานเซิ่น “สปีชเลสส์อยู่ที่ไหนสักแห่งบนดาวดวงนี้จริงๆอย่างนั้นหรอ?”


 


หานเซิ่นไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มออกมา


 


ราชาเคลียร์ซีถามเขาอีก 2-3 คำถาม แต่ทั้งหมดที่หานเซิ่นทำก็คือยิ้ม จนในที่สุดเขาก็รู้ตัวว่าหานเซิ่นไม่คิดจะพูดอะไรไปมากกว่านั้น


 


ราชาเคลียร์ซีเลิกถามและกลับออกไปหาราชาแบทเทิล


 


หานเซิ่นไม่ได้เร่งรีบอะไร เขายังคงรออยู่ในนั้น เขารู้ว่าราชาแบทเทิลจะทำการค้นหาทั้งดวงดาวอีกครั้ง แต่พวกเขาก็จะไม่พบอะไร และเมื่อถึงตอนนั้นราชาเคลียร์ซีก็จะกลับมาพูดกับเขาอีก


 


บุดด้าเจ็ดวิญญาณตายไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้สปีชเลสส์จึงเป็นความหวังที่เหลืออยู่ของทางบุดด้า ตอนนี้เบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าทำการสนับสนุนสปีชเลสส์ด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาไม่สามารถปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอได้


 


วันต่อมาราชาเคลียร์ซีก็กลับมาหาหานเซิ่นและถาม “เจ้าบอกว่าสปีชเลสส์ยังคงอยู่บนดาวดวงนี้อย่างนั้นใช่ไหม?”


 


“ใช่แล้ว มอบทรายดาราจักรให้กับข้า และข้าจะพาเจ้าไปหานาง มันจะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง” หานเซิ่นพูดอย่างสงบ


 


ราชาเคลียร์ซีมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ เพราะไวเคานต์ทั่วๆไปไม่ควรจะสงบเยือกเย็นได้แบบนี้เมื่อต่อหน้าราชัน


 


“ทำไมเจ้าถึงได้ลักพาตัวสปีชเลสส์?” ราชาเคลียร์ซีถาม


 


“เพราะเจ้าหมายตาเจ็ดน้อยของข้า” หานเซิ่นพูด


 


“อมิตาพุต! นั่นเป็นธุระของราชาแบทเทิล มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา” ราชาเคลียร์ซีพูด


 


“สปีชเลสส์บอกข้าว่าที่พวกเจ้าต้องการซื้อตัวพวกมีก้าเด็กไปก็เพื่อซ่อมแซมอาวุธระดับเทพเจ้าบางอย่าง” หานเซิ่นพูด


 


ราชาเคลียร์ซีขมวดคิ้ว แต่นี่ก็ยืนยันให้เขารู้ว่าดอลลาร์ลักพาตัวสปีชเลสส์ไปจริงๆ เพราะนอกจากราชาเคลียร์ซีแล้ว มีเพียงแค่สปีชเลสส์เท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่ราชาแบทเทิลก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะซื้อพวกมีก้าเด็กๆไปทำไม


 


ในขณะที่ราชาเคลียร์ซีกำลังนั่งเงียบ เสียงของราชาแบทเทิลก็ดังขึ้นในหูของเขา “ถ้าสปีชเลสส์ยังอยู่บนดาวดวงนี้จริงๆ เจ้าควรตอบตกลงเขา และข้าจะทำให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ได้รับอะไรกลับไป ข้าจะขอรับผิดชอบในเรื่องนี้เอง”


 


ราชาแบทเทิลรู้ว่าที่ราชาเคลียร์ซียังไม่ตัดสินใจ นั่นเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายยังคงสงสัยว่าเขาอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการลักพาตัว ดังนั้นราชาแบทเทิลจึงต้องแสดงว่าเขาบริสุทธิ์ในเรื่องทั้งหมดนี้


 


เขามั่นใจว่าดอลลาร์ไม่สามารถหนีไปพร้อมกับทรายดาราจักรได้


 


หลังจากที่ได้ยินราชาแบทเทิล ราชาเคลียร์ซีก็ไม่ลังเล


“พวกเรายอมตกลงในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ พาข้าไปหาสปีชเลสส์”


 


หานเซิ่นมองราชาเคลียร์ซีและยิ้มออกมา แต่เขาไม่ได้พูดอะไร มันเห็นได้ชัดว่าเขาต้องการอะไร


 


“ข้าจะมอบทรายดาราจักรให้กับเจ้า แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าสปีชเลสส์ยังคงอยู่บนดาวดวงนี้” ราชาเคลียร์ซีจ้องไปที่หานเซิ่น


 


“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าเดินไปเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เจ้าคิดว่าข้าเดินออกจากดวงดาวดวงนี้ใน 30 นาทีอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นยิ้ม


 


ราชาเคลียร์ซีมองหานเซิ่นอยู่สักพัก และในที่สุดเขาก็วางกล่องๆหนึ่งลงบนโต๊ะ เขาเปิดมันออกและเผยให้เห็นคริสตัลจำนวนมากที่อยู่ภายใน มันส่องประกายด้วยรัศมีของเพชร มันเป็นประกายซะจนยากที่จะมอง


 


พลังงานมหาศาลของมันสามารถสัมผัสได้ในทันที ไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้ว่าพวกมันเป็นของดี


 


ราชาเคลียร์ซีปล่อยแสงสีทองออกมาเพื่อทำลายโซ่สีแดงที่ล่ามหานเซิ่นอยู่ หลังจากนั้นแสงสีทองก็ห่อหุ้มหานเซิ่นเอาไว้


 


หานเซิ่นยกกล่องขึ้นมาและนับของข้างใน หลังจากนั้นเขาก็เก็บมันเข้าไปในกระเป๋า “จำนวนของมันถูกต้อง พวกเราไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาสปีชเลสส์ โอ้อีกอย่างหนึ่งนำเจ็ดน้อยมาคืนข้า”


 


หลังจากนั้นหานเซิ่นก็ยืนขึ้นและเดินไปที่ประตู


 


ยามเฝ้าประตูไม่ได้หยุดหานเซิ่นเอาไว้ หลังจากนั้นก็มีคนนำเจ็ดน้อยมาคืนให้กับหานเซิ่น หานเซิ่นรับเจ็ดน้อยกลับไปและเดินออกจากบ้านของราชาแบทเทิลไป ไม่มีใครมาหยุดเขาเอาไว้ แต่คนของราชาแบทเทิลอยู่ทุกหนทุกแห่งในระยะหนึ่งร้อยไมล์ แม้แต่ยุงตัวหนึ่งก็ไม่เล็ดลอดจากสายตาของพวกเขา


 


“ดูสิว่าเจ้าจะยังมีลูกหมายอะไรอีก เมื่อเจ้าปล่อยตัวบุดด้าหญิงไปแล้ว ข้าจะทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมาน” สีหน้าของราชาแทบเทิลดูโหดเหี้ยมขณะที่จ้องไปที่หน้าจอ


 


ราชาเคลียร์ซีเดินเคียงข้างหานเซิ่นไป เขาเชื่อว่าหานเซิ่นไม่สามารถหนีไปพร้อมกับกล่องทรายดาราจักรได้


 


หานเซิ่นเดินไปอย่างช้าๆพร้อมกับมองไปรอบๆ ถนนต่างๆถูกปิดเอาไว้โดยคนของราชาแบทเทิล ดังนั้นมันไม่มีโอกาสที่เขาจะวิ่งหนีไปได้


 


“แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ต้องการเดินไปให้เร็วกว่านี้? ถ้าข้าไม่เห็นสปีชเลสส์ในครึ่งชั่วโมง ข้อตกลงก็เป็นอันยกเลิก และข้าก็จะฆ่าเจ้า”


ราชาเคลียร์ซีมองดูหานเซิ่น ท่าทางใจเย็นของหานเซิ่นเริ่มจะทำให้เขากังวลขึ้นมา


 


ราชาเคลียร์ซีไม่สามารถสัมผัสพลังที่ยิ่งใหญ่อะไรจากตัวของดอลลาร์ได้ ดังนั้นเขาไม่เชื่อว่าดอลลาร์จะสามารถหนีไปได้


 


“แค่ครึ่งชั่วโมงก็เพียงพอ” หานเซิ่นยิ้มและเดินต่อไป


 


กล้องทุกตัวและสายตาของขุนนางทุกคนจับจ้องไปที่หานเซิ่น ถึงแม้หานเซิ่นจะสามารถบินได้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีออกไปจากที่นี่


 


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ และมันก็เกือบจะถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่หานเซิ่นก็ยังไปไม่ถึงไหน ราชาแบทเทิลเริ่มขมวดคิ้วขึ้นมา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหานเซิ่นถึงยังใจเย็นอยู่ได้


 


ครึ่งชั่วโมงผ่านไป และราชาเคลียร์ซีก็หยุดหานเซิ่นเอาไว้ “เวลาหมดลงแล้ว นางอยู่ที่ไหน?”


 


“อยู่ที่นี่” หานเซิ่นมองคนของราชาแบทเทิลที่อยู่รอบๆและหันกลับมาที่ราชาเคลียร์ซี ก่อนที่จะดีดนิ้ว


1960

นิ้วของหานเซิ่นส่องแสงสีทองออกมา ทันใดนั้นท้องฟ้าก็ส่องสว่างขึ้น ขณะที่แสงสีทองกลายเป็นเหรียญร่วงลงมาจากท้องฟ้า พวกมันปกคลุมทั่วทั้งบริเวณในระยะหลายสิบไมล์


 


ไวเคานต์ทั่วๆไปไม่มีทางทำอะไรแบบนี้ได้ อย่างเต็มที่พวกเขาก็สามารถใช้พลังได้ในระยะไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น แต่ตอนนี้หานเซิ่นมีชุดเกราะวิญญาณช่วยเสริมพลังอยู่ เงาของรูปปั้นบุดด้าสี่หน้าแปดแขนนั้นซ่อนอยู่ด้านหลังของเขา และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถเรียกเหรียญจำนวนมากลงมาจากฝากฟ้าได้


 


แสงสีทองทั้งหมดกลายเป็นเหรียญและหล่นลงมาใส่หุ่นต่อสู้ของมีก้า มันเหมือนกับว่าเหล่ามีก้าถูกโลหะขนาดใหญ่หล่นทับ ทำให้ตัวของพวกเขาหนักอึ้ง


 


หุ่นต่อสู้ระดับต่ำล้มลงกับพื้นในทันที ส่วนหุ่นต่อสู้ระดับสูงนั้นเคลื่อนไหวเชื่องช้าอย่างมาก


 


“อมิตาพุต!” ราชาเคลียร์ซีพุ่งผ่านสายฝนเหรียญและตรงเข้าไปหาหานเซิ่น เขาสะบัดแขนเสื้อและพยายามจะจับตัวหานเซิ่นเข้าไปข้างใน


 


หานเซิ่นไม่ได้แสดงทีท่าจะหลบ มือข้างซ้ายของเขามีหมอกสีแดงปกคลุมอยู่ เมื่อมันส่องขึ้นมา หุ่นต่อสู้ในชุดเกราะสีแดงก็ปรากฏขึ้น และชกหมัดเข้าใส่ราชาเคลียร์ซี


 


ตูม!


 


พลังหมอกแดงที่น่ากลัวถูกชกเข้าไปในแขนเสื้อของราชาเคลียร์ซี แขนเสื้อถูกฉีกขาดและแสงสีแดงก็พุ่งผ่านเข้าไปถูกเข้าที่อกของเขา


 


ราชาเคลียร์ซีกระอักเลือดออกมา ขณะที่กระเด็นออกไป เขาพุ่งออกไปตามถนนราวกับลูกอุกกาบาตและชนเข้ากับบ้านของราชาแบทเทิลจนพังทลายไปกว่าครึ่ง


 


ทุกคนที่มองดูอยู่ตกตะลึง ไม่มีใครเชื่อได้ว่าราชันคนหนึ่งจะถูกส่งกระเด็นออกไปแบบนั้น


 


หานเซิ่นเองก็ตกใจเช่นกัน เขาใช้ความประมาทของราชาเคลียร์ซีที่เห็นว่าคู่ต่อสู้อ่อนแอกว่าให้เป็นประโยชน์ เขาไม่ได้คาดคิดว่าการใช้พลังงานน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์จะสามารถทำให้ราชันคนหนึ่งกระเด็นไปได้ไกลขนาดนั้น


 


แต่หานเซิ่นไม่มีเวลาจะมามัวคิดอะไรมาก ราชาหมอกแดงรีบอุ้มหานเซิ่นขึ้นมาและวิ่งเข้าไปหาเครื่องเทเลพอร์ตอย่างรวดเร็ว


 


ตูม!


 


สิ่งก่อสร้างและหุ่นต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าราชาหมอกแดงถูกผลักกระเด็นออกไป


 


เหล่ามีก้าต่างก็อึ้งไปตามๆกัน ไม่มีใครกล้าเข้าไปขวางทางของหานเซิ่น เพราะแม้แต่ราชาเคลียร์ก็ยังถูกชกให้กระเด็นออกไป


 


เสียงคำรามดังออกมาจากบ้านของราชาแบทเทิล ราชาแบทเทิลขึ้นขี่หุ่นต่อสู้ร่างหมีตัวใหญ่ยักษ์ของเขาและรีบวิ่งเข้ามา เขาต้องการจะหยุดหานเซิ่นและราชาหมอกแดงเอาไว้


 


ราชาแบทเทิลไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เขาคิดว่าเนื่องจากมีราชาเคลียร์ซียืนประกบหานเซิ่นอยู่ เขาจึงแค่ส่งลูกน้องประจำตำแหน่งเอาไว้ เขาไม่ได้คิดว่าหานเซิ่นจะมีของอะไรแบบนั้น และตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้วที่เขาจะทำอะไร ราชาหมอกแดงกระโดดขึ้นไปบนเครื่องเทเลพอร์ตพร้อมกับหานเซิ่นและหายตัวไปท่ามกลางการบิดเบือนของมิติ


 


ราชาแบทเทิลคำรามออกมา หุ่นต่อสู้ของเขาชกใส่เครื่องเทเลพอร์ตจนพัง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่หายโกรธ


 


ราชาเคลียร์ซีลุกขึ้นมาจากเศษหินด้วยริมผีปากที่เปื้อนเลือด เขาดูสะบักสะบอม แต่ที่สำคัญที่สุดเขาโกรธอย่างมาก


 


หานเซิ่นเทเลพอร์ตกลับไปยังปราสาททองแดง เขาลงจากมือของราชาหมอกแดงและเจ็ดน้อยก็ออกมาจากหัวใจของราชาหมอกแดง


 


หมัดที่ใช้ชกใส่ราชาเคลียร์ซีเป็นพลังงานเกือบทั้งหมดของราชาหมอกแดง ตอนนี้มันมีพลังเหลืออยู่ไม่ถึง 0.01 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เจ็บปวดสำหรับหานเซิ่นที่ได้เห็น


 


โชคดีที่เขาได้รับคริสตัลทรายดาราจักรมา 100 เม็ด ถ้าเขาไม่ได้พวกมันมา มันก็จะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่


 


เมื่อกลับมาบนดาวอุปราคา หานเซิ่นก็ทำการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับมีก้า เขาสังเกตเห็นว่าข่าวของดอลลาร์และราชาเคลียร์ซีถูกแพร่สะดัดออกไปทั่วจักรวาล


 


ทางบุดด้าและมีก้าได้ออกประกาศจับราชาหมอกแดงและดอลลาร์ ถ้าใครก็ตามสามารถที่แจ้งเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุม พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างงาม


 


เมื่อหานเซิ่นเห็นรางวัลตอบแทน แม้แต่เขาเองก็รู้สึกอยากจะนำราชาหมอกแดงไปส่งให้พวกเขา


 


ทั้งจักรวาลต่างก็พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่คนส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องของราชาหมอกแดง ผู้คนเชื่อว่ามันต้องเป็นหุ่นต่อสู้ที่หายากและเป็นระดับราชัน แต่มันไม่เคยมีใครเคยเห็นราชาหมอกแดงมาก่อน แม้แต่พวกมีก้าก็ไม่รู้เกี่ยวกับมัน ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่ากลัว


 


หุ่นต่อสู้อันลึกลับกับมนุษย์ที่ชื่อดอลลาร์สามารถฉ้อโกงราชาของบุดด้าและหนีจากดวงดาวของมีก้าได้สำเร็จ มันเป็นเรื่องที่ฟังดูไม่น่าเชื่อ


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางบุดด้ากำลังเร่งรีบตามหาตัวดอลลาร์ให้ได้ พวกเขาเพิ่งจะสูญเสียบุดด้าเจ็ดวิญญาณไป และตอนนี้สปีชเลสส์ก็ยังถูกลักพาตัวไปอีก แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหายังไง มันก็ไม่มีใครสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับดอลลาร์และราชาหมอกแดงได้เลย


 


เมื่ออี๋ซาได้ยินข่าวว่าดอลลาร์ปรากฏตัวบนดาวของมีก้า เธอเองก็ส่งคนออกไปหาข้อมูลเช่นเดียวกัน แต่เธอก็ไม่พบอะไร


 


หานเซิ่นนำทรายดาราจักรทั้ง 100 เม็ดกลับไปที่สหพันธ์ เขามีแผนที่จะใช้พวกมันขณะที่ฝึกฝนเรื่องราวของยีน


 


วิชาจีโนอื่นๆของเขาสามารถเพิ่มระดับขึ้นได้ด้วยการฝึกฝน แต่เรื่องราวของยีนนั้นจำเป็นต้องพึ่งพลังงานจากภายนอกเข้ามาช่วย


 


หานเซิ่นนำทรายดาราจักรมากองรวมกันตรงหน้า แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มสกัดพวกมัน เขาก็เห็นเงาสีฟ้าเดินผ่านกำแพงเข้ามา มันดูเหมือนกับวิญญาณ


 


“ดาวน้อย ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” หานเซิ่นประหลาดใจที่ได้เห็นดาวน้อย ดาวน้อยได้กินยีนซีโน่เจเนอิคเข้าไปจำนวนมาก และมันเองก็มีพรสวรรค์ที่สูง ดังนั้นมันจึงสามารถวิวัฒนาการออกมาสู่สหพันธ์ได้สำเร็จ


 


ดาวน้อยเป็นมอนสเตอร์ที่เชื่องมากๆ และถึงมันจะเดินทางผ่านวัตถุต่างๆได้ แต่มันก็ไม่เคยเข้ามาในห้องโดยไม่ได้รับอนุญาตมาก่อน


 


ดาวน้อยยกเลิกพลังในการเดินทางข้ามสิ่งกีดขวางและมาหยุดตรงหน้าของหานเซิ่น มันจ้องมองไปที่ทรายดาราจักรของหานเซิ่น


 


“เจ้าต้องการพวกมันอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่คิดกับตัวเอง ‘ชื่อเดิมของดาวน้อยคืออสูรดวงดาวสมุทร ทรายดาราจักรพวกนี้ได้มาจากมังกรดาราจักร พวกมันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างนั้นหรอ?’


 


ดาวน้อยพยักหน้าและเริ่มเลียหน้าของหานเซิ่น


 


“แต่ข้าต้องลำบากอย่างมากกว่าที่จะได้พวกมันมา” หานเซิ่นมองกล่องใส่ทรายดาราจักรอย่างเสียดาย


 


แต่เมื่อเห็นใบหน้าของดาวน้อย เขาก็ไม่ต้องการจะปฏิเสธมัน ดังนั้นเขาจึงหยิบขึ้นมาอันหนึ่งและพูด “ข้าจะให้เจ้าลองสักเม็ดหนึ่งล่ะกัน”


1961

ดาวน้อยดูดีใจ มันยื่นลิ้นออกมาและกลืนทรายดาราจักรเข้าไปทั้งอัน ดาวน้อยไม่แม้แต่จะเสียเวลาเคี้ยวก่อนที่จะกลืนลงไป


 


“คนอื่นๆอาจจะคิดว่านายเป็นหมูตะกละ อย่างน้อยนายก็ควรจะลองลิ้มรสของมันก่อน” หานเซิ่นพูด


 


แต่ดาวน้อยไม่ฟังที่หานเซิ่นพูด ตัวของมันเริ่มจะส่องแสงออกมาจนกระทั่งมีออร่าประหลาดระเบิดออกมาจากตัวของมัน


 


“หยุด! หยุด! อย่าสร้างชุดเกราะจีโนขึ้นมาที่นี่” หานเซิ่นตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่าทรายดาราจักรแค่เม็ดเดียวจะทำให้ดาวน้อยสร้างชุดเกราะจีโนในทันทีแบบนี้


 


แต่ดาวน้อยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ดังนั้นหานเซิ่นจึงรีบพามันไปที่ดาวอุปราคา


 


ดาวน้อยส่องสว่างขึ้นมาด้วยแสงแห่งดวงดาว หลังจากนั้นมันก็สร้างชุดเกราะที่เต็มไปด้วยดวงดาวขึ้นมา แต่มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น ชุดเกราะดวงดาวเริ่มละลายและหลอมรวมเข้ากับร่างกายของมัน


 


ดาวน้อยวิวัฒนาการเป็นซีโน่เจเนอิค แสงดาวของมันสว่างไสวขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้มันดูเหมือนกับอสูรที่ถูกปกคลุมด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน


 


เมื่อการวิวัฒนาการสิ้นสุดลง มันก็ถูหัวของมันกับหานเซิ่น ก่อนที่จะจ้องไปที่กล่องบรรจุทรายดาราจักร


 


หานเซิ่นนำกล่องไปซ่อนเอาไว้ด้านหลัง แต่ดาวน้อยก็จ้องมองหานเซิ่นด้วยสายตาอ้อนวอน


 


“ฉันจะให้นายได้อีกแค่เม็ดเดียวเท่านั้น” หานเซิ่นรู้สึกแย่ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมต่อสายตาที่อ้อนวอนของมัน


 


ดาวน้อยเลียหานเซิ่นและกลืนเม็ดทรายดาราจักรเข้าไป


 


ที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือหลังจากที่กินเข้าไปแล้ว ดาวน้อยก็เริ่มจะวิวัฒนาการอีกครั้งหนึ่งและกลายเป็นไวเคานต์


 


“ว้าว! ทรายดาราจักรนี้ดีขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย?” หานเซิ่นกัดฟันและตัดสินใจให้ดาวน้อยอีกเม็ดหนึ่ง เขาต้องการดูว่ามันจะวิวัฒนาการอีกไหม ถ้ามันสามารถวิวัฒนาการได้ทุกครั้งหลังจากที่กินทรายดาราจักรเข้าไปหนึ่งเม็ด มันก็จะเป็นอะไรที่วิเศษมากๆ


 


แต่ความหวังของหานเซิ่นไม่เป็นจริง หลังจากที่ดาวน้อยกลืนเม็ดทรายดาราจักรเม็ดที่ 3 เข้าไป มันไม่ได้วิวัฒนาการ แสงดาวของมันสว่างไสวขึ้นกว่าเดิม แต่มันก็แค่นั้น


 


ดาวน้อยมองมาที่หานเซิ่น แต่หานเซิ่นไม่อยากมอบให้มันไปมากกว่านั้น เขาเรียกนางฟ้า ซีโร่ หานเมิ่งเอ๋อและสปิริตเชฟมา หลังจากนั้นเขาก็มอบทรายดาราจักรให้พวกเขาคนละเม็ด


 


แต่หลังจากที่พวกเขากลืนทรายดาราจักรเข้าไป มันก็ไม่มีใครที่วิวัฒนาการ ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นประหลาดใจ


 


สปิริตเชฟพูด “ทรายดาราจักรนี้มีพลังงานมหาศาลก็จริง แต่พวกเรามีธาตุที่ต่างออกไป มันจึงยากที่จะวิวัฒนาการได้”


 


คนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วยกับสปิริตเชฟ พวกเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเธอ


 


หานเซิ่นตัดสินใจลองกินมันเข้าไปด้วยตัวเอง หลังจากนั้นทรายดาราจักรก็ย่อยสลายกลายเป็นของเหลวภายในตัวของเขา พลังงานอันมหาศาลของมันไหลอยู่ภายในร่างกายของเขาราวกับแม่น้ำ


 


หานเซิ่นรีบใช้เรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับพลังงานของทรายดาราจักร


 


เรื่องราวของยีนสามารถเข้ากันได้กับพลังงานของทรายดาราจักร และหานเซิ่นก็ไม่มีได้ปัญหาอะไรกับการที่มันเป็นมีธาตุที่ต่างออกไป เขาสามารถใช้พลังงานของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


 


พลังงานของทรายดาราจักรนั้นมหาศาล ดังนั้นมันจึงใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าที่หานเซิ่นจะดูดซับพลังงานได้ทั้งหมด เขามอบทรายดาราจักรให้กับจิ้งจอกสีเงิน แต่มันเป็นระดับไวเคานต์เรียบร้อยแล้ว มันจึงไม่ได้ผลดีเท่าไหร่นัก


 


โชคดีที่ดาวน้อยเป็นซีโน่เจเนอิค ดังนั้นถ้าคนอื่นๆถามว่ามันมาจากไหน หานเซิ่นก็แค่ต้องบอกไปว่ามันเป็นซีโน่เจเนอิคที่อาศัยอยู่บนดาวอุปราคา


 


ถึงมันจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่บนดาวอุปราคาก็มีซีโน่เจเนอิคอยู่จำนวนมาก ทำให้ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า


 


หานเซิ่นนำทรายดาราจักรกลับไปที่สหพันธ์ และเขาก็เริ่มใช้มันวันละหนึ่งเม็ด เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกวิชาและอยู่กับครอบครัว


 


หานเซิ่นคิดว่าเนื่องจากมีทรายดาราจักรอยู่จำนวนมาก ดังนั้นมันก็ควรจะทำให้เขาวิวัฒนาการไปเป็นเอิร์ลได้ไม่ยากเย็นอะไร แต่หลังจากที่กินไปได้ครึ่งหนึ่ง มันก็ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะเพิ่มระดับขึ้นเลยสักนิด


 


หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจป้อนมันให้กับดาวน้อยอีกนิดหน่อย หลังจากที่ดาวน้อยได้กินมันเข้าไปอีก 10 เม็ด ในที่สุดมันก็วิวัฒนาการไปเป็นระดับเอิร์ล


 


“มันช่างต่างกันซะจริงๆ” หานเซิ่นรู้สึกหดหู่


 


เขารู้ว่าธาตุของดาวน้อยเข้ากันได้ดีกับทรายดาราจักร แต่มันก็เป็นอะไรที่ง่ายกว่ามากจริงๆที่ดาวน้อยจะเพิ่มระดับขึ้น


 


หานเซิ่นกินทรายดาราจักรที่เหลือเข้าไปด้วยตัวเอง และเมื่อกินมันจนหมด เขาก็รู้สึกได้ว่าใกล้จะเพิ่มระดับขึ้นแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังจำเป็นต้องผลักดันอีกนิดถึงจะสามารถพัฒนาไปเป็นระดับเอิร์ลได้


 


“ด้วยทรายดาราจักรตั้งมากมายขนาดนี้ ถ้าเรามอบพวกมันทั้งหมดให้กับดาวน้อย มันก็อาจจะกลายเป็นมาร์ควิสเลยก็ได้”


 


หานเซิ่นรู้สึกแย่กับการตัดสินใจ แต่ช่วงเวลาที่เขาได้ใช้ร่วมกับลูกสาวและภรรยาเป็นอะไรที่คุ้มค่า เพราะหานเซิ่นไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องอะไรทั้งนั้น


 


ในที่สุดอี๋ซาก็ส่งข้อความมาที่ฐานทัพเพื่อเรียกหานเซิ่นไปพบที่ดาวเบลด


 


เมื่อหานเซิ่นไปยืนอยู่ตรงหน้าของอี๋ซา เธอก็ได้เห็นว่าหานเซิ่นกลับคืนร่างมนุษย์ได้แล้ว ซึ่งเธอดูตกใจอย่างมาก


 


“เจ้ากลับคืนร่างเดิมได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” อี๋ซาถามหานเซิ่น


 


“ข้าฝึกเรื่องราวของยีนทุกๆวัน และในเวลา 2 เดือน ข้าก็กลับสู่สภาพเดิมได้สำเร็จ แต่ข้ากลัวว่ามันอาจจะยังมีผลข้างเคียงหลงเหลืออยู่ ดังนั้นข้าจึงฝึกต่อจนกระทั่งแน่ใจว่าจะไม่กลับกลายเป็นมดก่อนที่ข้าจะมาบอกกับท่านราชินี” หานเซิ่นได้เตรียมคำพูดเอาไว้ก่อนแล้ว


 


อี๋ซาพยักหน้าและพูด “ข้าได้เตรียมแผนที่จะช่วยเหลือเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าหายดีแล้ว ข้าก็คิดว่ามันคงไม่จำเป็นอีก แต่อย่าเพิ่งไปบอกใครว่าเจ้าหายดีแล้ว”


 


“รับทราบแล้ว” หานเซิ่นรีบตอบ


 


หลังจากเงียบอยู่ชั่วครู่ อี๋ซาก็พูดต่อ “มันมีสายลับอยู่บนดาวอุปราคามากเกินไป ดังนั้นอย่าเพิ่งกลับไปที่นั่น ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ที่ปราสาทนภาสักระยะหนึ่ง”


 


“ปราสาทนภา?” หานเซิ่นประหลาดใจ


 


หานเซิ่นเคยได้ยินเชื่อนี้มาก่อน ในตอนที่ศาสดาเปิดประตูของก็อตแซงชัวรี่ออกเพื่อให้ซีโน่เจเนอิคเข้าไปในสหพันธ์ ในตอนนั้นมีพลังประหลาดดึงหานเซิ่นและเสี่ยวฮวาเข้าไปข้างใน และที่นั่นหานเซิ่นก็ได้พบกับชายคนหนึ่งที่พูดว่าตัวเองเป็นราชาของปราสาทนภา


 


เสี่ยวฮวาเกือบจะถูกพาตัวไปโดยชายคนนั้น โชคดีที่หานเซิ่นถูกช่วยเอาไว้ได้ทันโดยการกระทำของกู่ชิงเฉิง


 


อี๋ซาพูดต่อ “ราชาของปราสาทนภาเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า เขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้อาวุโสของข้า ข้าเองก็เคยไปฝึกฝนที่ปราสาทนภาเช่นเดียวกัน ซึ่งวิชากว่าครึ่งที่ข้าสอนให้กับเจ้า ข้าก็ได้มาจากเขา ข้าได้แจ้งเขาไปแล้วว่าเจ้าจะเดินทางไป ดังนั้นเขาจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”


 


“แต่ท่านราชินี ข้าต้องการจะฝึกฝนในที่ที่ใกล้ชิดกับท่าน” หานเซิ่นดูจริงใจขณะที่จ้องมองไปที่อี๋ซา


 


ราชาของปราสาทนภาเคยเห็นหานเซิ่นมาก่อน ซึ่งถ้าเขาจำหานเซิ่นได้ล่ะก็ สถานการณ์ก็อาจจะเลวร้ายขึ้นมา


 


“เจ้าต้องออกเดินทางพรุ่งนี้” เห็นได้ชัดว่าอี๋ซาไม่ได้คิดจะต่อรองอะไรทั้งนั้น


1962

หานเซิ่นจำเป็นต้องเดินทางไปที่ปราสาทนภา ดังนั้นเขาจึงไปบอกเซี่ยชิงและคนอื่นๆ หานเซิ่นพูดคุยเรื่องแผนในอนาคตและบอกให้พวกเขาช่วยดูแลดาวอุปราคาในช่วงที่เขาไม่อยู่


 


หานเซิ่นไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของเซี่ยชิงและคนอื่นๆ เพราะตราบใดที่ตัวตนของหานเซิ่นยังไม่ถูกเปิดเผย อี๋ซาก็จะคอยปกป้องดาวของเขาเอาไว้


 


แต่สิ่งที่หานเซิ่นกลัวก็คือเรื่องที่เขาอาจจะถูกจำได้เมื่อไปถึงปราสาทนภา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็อาจจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่


 


ในวันต่อมา อี๋ซาได้ส่งยานอวกาศมารับหานเซิ่นไปที่ปราสาทนภาอย่างลับๆ


 


ปราสาทนภามีข้อจำกัดหลายอย่างสำหรับการเดินทางเข้าไป มันมีเฉพาะศิษย์อย่างเป็นทางการของที่นั่นเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างในได้ แต่ที่หานเซิ่นได้เข้าไปนั้นก็เป็นเพราะว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของอี๋ซา


 


ในระหว่างการเดินทาง หานเซิ่นพบว่าตัวเองรู้สึกเบื่อมากๆ เขาจึงนำบับเบิลออกมากระโดดขึ้นลงในมือ


 


มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มองโลกในแง่ดี และดูจะไม่เคยกังวลต่อเรื่องใดๆเลยสักนิด


 


นอกจากบับเบิลแล้ว แม้แต่ล่องหนน้อย เขาก็ต้องทิ้งเอาไว้ที่ดาวอุปราคา ถ้าไม่ได้รับอนุญาต เขาไม่สามารถนำใครติดตัวมาได้ ถ้าเขาถูกพบว่านำสิ่งมีชีวิตบางอย่างลอบเข้าไป เขาก็อาจจะถูกฆ่าตาย


 


ด้วยการที่มียอดฝีมือระดับเทพเจ้าอยู่ที่นั่น หานเซิ่นก็ไม่กล้าเดินออกนอกเส้นทางแม้แต่นิดเดียว


 


ปราสาทนภาอยู่ห่างไกลจากแนร์โรว์มูน มันใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มๆกว่าที่หานเซิ่นจะไปถึงที่หมาย


 


ปราสาทนภาเป็นซีโน่เจเนอิคสเปชขนาดใหญ่ ยานอวกาศที่หานเซิ่นนั่งมาไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจอดที่นั่น ดังนั้นมันต้องไปจอดที่ดาวใกล้เคียงแทน หลังจากที่พวกเขายืนยันตัวตนของหานเซิ่นแล้ว พวกเขาถึงส่งยานอวกาศอีกลำมารับหานเซิ่นเข้าไป


 


เมื่อหานเซิ่นเข้าไปในปราสาทนภา เขาก็ได้เห็นเกาะจำนวนมากลอยอยู่บนท้องฟ้า มันมีเกาะอยู่ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหน เกาะแต่ละเกาะจะล่องลอยไปมาทั้งเหนือหัวและใต้เท้าของเขา


 


ทางปราสาทนภาคงจะต้องได้รับแจ้งถึงการมาของเขาอยู่แล้ว เพราะเมื่อหานเซิ่นไปถึง ก็มีชายคนหนึ่งขี่นกสีขาวตัวใหญ่มาหาเขา


 


“เจ้าคือหานเซิ่นใช่ไหม?” ชายคนนั้นถามพร้อมกับโค้งคำนับ เขาดูสง่างามและมีอายุราว 20 ต้นๆ แต่ภาพลักษณ์ถูกทำให้เสียหายด้วยรอยแผลบนหน้าผากของเขา


 


แต่หลังจากที่ได้สังเกตใกล้ๆ หานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่ามันคือดวงตาดวงที่ 3


 


“ชื่อของข้าคือหานเซิ่น เจ้าล่ะมีชื่อว่าอะไร?” หานเซิ่นตอบพร้อมกับโค้งคำนับ


 


“ชื่อของข้าคือกระเรียนพันขน ข้าเป็นลูกศิษย์ของหนึ่งในผู้อาวุโสของที่นี่ ข้าถูกท่านอาจารย์สั่งมาให้นำทางเจ้าไปสู่ถนนนภา”


 


“ถนนนภา? ข้าคิดว่าพวกเราจะไปยังปราสาทนภาซะอีก” หานเซิ่นถามอย่างสับสน


 


กระเรียนพันขนดูไม่เร่งรีบอะไร เขาพูด “ที่นี่มีกฎข้อหนึ่งที่ระบุเอาไว้ว่าบุคคลที่ไม่ใช่ศิษย์จะต้องเดินทางผ่านถนนนภาตามลำพัง ถ้าเจ้าเดินทางผ่านมันไปไม่ได้ นั่นหมายความว่าเจ้าไม่ใช่ทายาทของเทพเจ้า ในกรณีนั้นเจ้าถูกจะปิดกั้นไม่ให้เข้าไป ได้โปรดเข้าใจด้วย”


 


“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นได้โปรดนำทางไป” หานเซิ่นรู้สึกดีใจ


 


หานเซิ่นไม่ได้ต้องการเข้าไปในปราสาทนภา และถ้ามันมีกฎแบบนั้นอยู่ เขาก็สามารถจงใจทำไม่สำเร็จเพื่อจะได้เดินทางกลับ


 


“เชิญทางนี้” กระเรียนพันขนทำท่าทางและนกสีขาวก็ลดตัวลงมา


 


หานเซิ่นปีนขึ้นไปบนหลังของมัน หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็สั่งให้มันบินออกไป มันบินไปยังเกาะลอยได้ที่อยู่ใกล้ที่สุด ขณะที่นกพาพวกเขาไปที่นั่น หานเซิ่นก็ถามข้อมูลเกี่ยวกับถนนนภากับกระเรียนพันขน


 


ปราสาทนภามีเกาะลอยฟ้าอยู่จำนวนมาก ซึ่งแม้แต่ศิษย์ของที่นี้ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าพวกมันมีจำนวนมากขนาดไหน แต่เกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดไม่ใช่เกาะที่ผู้นำของที่นี่อยู่อาศัย แต่มันเป็นเกาะที่ผู้มาใหม่ต้องไปเยือน มันถูกเรียกว่าเกาะประตูนภา


 


เกาะประตูนภาไม่ได้ใหญ่อะไรมาก มันมีความยาวแค่ 1 กิโลเมตรและความกว้าง 10 เมตรเท่านั้น ซึ่งบนเกาะนั้นมีเพียงแค่ประตูและบันไดหิน


 


ใครก็ตามที่มาเยือนที่นี่ต้องมาที่เกาะแห่งนี้ พวกเขาต้องเดินไปบนบันไดหิน นอกซะจากว่าพวกเขาต้องการจะถูกปฏิบัติในฐานะศัตรูคนหนึ่ง


 


นอกจากนั้นแล้วเกาะประตูนภาก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ประตูและบันไดก็ธรรมดาๆ


 


แต่เมื่อเดินผ่านบันไดขึ้นไปแล้ว พวกเขาก็จะไปถึงถนนนภา


 


เกาะประตูนภาอยู่ตรงข้ามกับเกาะหลักของที่นี่ ซึ่งระหว่างทั้ง 2 เกาะจะมีเถาวัลย์เส้นยักษ์อยู่


 


ถ้าพวกเขาต้องการเข้าไปบนถนนนภา พวกเขาก็ต้องเดินผ่านเถาวัลย์เพื่อไปให้ถึงเกาะหลัก และถ้าพวกเขาร่วงลงไปก่อนที่จะถึง มันก็หมายความว่าคนๆนั้นไม่คู่ควร


 


“พี่กระเรียนพันขน มันมีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเถาวัลย์พวกนี้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามเมื่อเห็นเกาะประตูนภา


 


กระเรียนพันขนยิ้มและพูด “อย่าได้กังวลไป การเดินไปบนถนนนภานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง ถ้ามันเป็นโชคชะตาของคนๆนั้น แม้แต่คนธรรมดาที่ยังไม่มีชุดเกราะจีโนก็ข้ามไปถึงเกาะหลักได้ เจ้าเป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด ดังนั้นเจ้าก็คงจะมีโชคชะตาบางอย่าง เจ้าจะต้องไปถึงเกาะหลักได้อย่างแน่นอน”


 


หานเซิ่นอยากจะถามอะไรเพิ่ม แต่ในตอนนี้นกตัวนั้นบินมาถึงเกาะประตูนภาแล้ว มันล่อนลงไปตรงหน้าประตูที่ถูกสร้างขึ้นมาจากหิน


 


“น้องหานเชิญทางนี้” กระเรียนพันขนนำไปที่ประตู


 


หานเซิ่นลงจากนกและเดินไปตรงหน้าประตู เมื่อมองขึ้นไปเขาก็เห็นบันไดที่สูงขึ้นไป และที่ปลายสุดของบันใดก็มีเถาวัลย์สีเขียวอยู่ พวกมันดูเหมือนกับมังกรโผล่ที่ออกมาจากหมู่เมฆ


 


พืชจำพวกน้ำเต้าสีเขียวมากมายห้อยอยู่บนเถาวัลย์ บางลูกนั้นใหญ่โตราวกับสิ่งก่อสร้าง ขณะที่บางลูกเล็กพอๆกับปลายนิ้ว


 


หลังจากที่หานเซิ่นพูดขอบคุณกระเรียนพันขนแล้ว เขาก็เดินผ่านประตูและเริ่มก้าวขึ้นไปบนบันไดเพื่อมุ่งหน้าไปสู่เถาวัลย์สีเขียวด้านบน


 


บันไดหินนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อหานเซิ่นไปถึงจุดสิ้นสุด เถาวัลย์สีเขียวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา ซึ่งมันกว้างพอที่จะให้รถม้าผ่านไปได้


 


‘มันจะเป็นไปได้ยังไงที่จะร่วงจากเถาวัลย์นี้? มันต้องมีพลังอย่างอื่นที่มองไม่เห็นอยู่อย่างแน่นอน’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


หานเซิ่นใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อตรวจดูรอบๆ เถาวัลย์มีความมั่นคงอย่างมาก และด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้มันดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าราชาเคลียร์ซีที่เป็นถึงระดับราชันซะอีก


 


หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ “เถาวัลย์นี่คืออะไรกัน มันน่ากลัวยิ่งกว่ามังกรจริงๆ และยิ่งใหญ่ยิ่งกว่ายอดฝีมือระดับราชันอีกอย่างนั้นหรอ?”


 


‘ช่างเถอะ ยังไงซะเราก็ไม่คิดจะข้ามไปจนถึงอีกฝั่งอยู่แล้ว ถ้ามีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น เราก็แค่กระโดดลงไป’ หานเซิ่นเริ่มเดินไปบนเถาวัลย์โดยมีแผนที่จะแกล้งล้มเหลว


1963

บนเกาะแห่งหนึ่งในปราสาทนภา มีชายวัยกลางคนในชุดสีเทากำลังมองดูเถาวัลย์สีเขียวอยู่


 


“ท่านพ่อกำลังมองดูอะไรอยู่อย่างนั้นหรอ?” หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาชายคนนั้นและมองออกไปในทิศทางเดียวกัน


 


“ลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดมาเยือนปราสาทนภา ตอนนี้เขากำลังอยู่บนถนนนภา” ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาพูด


 


หญิงสาวเบ้ปากและพูด “ไม่เห็นมันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร ทายาทของราชันมากมายต่างก็มาที่ปราสาทนภาเพื่อฝึกฝน การที่เขามาที่นี่ควรจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร นอกจากนั้นเขาก็เป็นแค่ลูกศิษย์ของนาง มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นลูกของนางสักหน่อย”


 


ชายวัยกลางคนยิ้มและพูด “ราชินีแห่งมีดคือลูกศิษย์คนโปรดของท่านผู้เฒ่า นางได้ขออนุญาตให้ลูกศิษย์ของนางมาที่นี่เพื่อฝึกฝน ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล และถ้าเขาข้ามถนนนภามาได้ ท่านผู้เฒ่าก็จะมอบสิทธิในการเข้าไปในสถานหยกขาวให้กับเขา”


 


หญิงสาวเบิกตากว้าง “ท่านผู้เฒ่าจะแสดงความโปรดปรานมากเกินไปแล้ว แม้แต่พวกเราที่เป็นศิษย์ของปราสาทนภายังจำเป็นต้องติดอันดับหนึ่งในสิบถึงจะได้สิทธิ์เข้าไปในสถานหยกขาว แต่นี่เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่แล้วเขากลับได้สิทธิ์ให้เข้าไปอย่างนั้นหรอ? นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!”


 


ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาหัวเราะ “มันไม่มีอะไรที่ไม่ยุติธรรม ท่านผู้เฒ่าเป็นเจ้าของปราสาทนภาแห่งนี้ ดังนั้นเขามีอิสระในการตัวสินใจ ลูกควรจำเอาไว้ว่าทุกคนมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องของความยุติธรรม ถ้าลูกยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ มันอาจจะส่งผลเสียต่อลูกได้”


 


หญิงสาวพยักหน้า เธอดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ไม่ทั้งหมด


 


หลังจากนั้นเธอก็ยิ้มออกมาและพูดต่อ “มันไม่สำคัญว่าท่านผู้เฒ่าจะชอบเขามากแค่ไหน ถ้าเขาข้ามถนนนภาไปไม่ได้ มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะยังไงซะมันก็ไม่ใช่ทุกคนจะข้ามถนนนภาได้ อีกไม่ช้าเขาก็จะได้เห็นเองว่าการข้ามถนนนภานั้นยากเพียงไหน”


 


ชายวัยกลางคนในชุดสีเทายิ้ม “ลูกไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ถ้าราชินีแห่งมีดส่งเขามาที่นี่ นางก็ต้องมั่นใจว่าเขาจะข้ามผ่านมันไปได้ ตอนนี้พวกเราแค่รอดูว่าเขาจะกระตุ้นตัวตนของน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ได้หรือเปล่า”


 


หญิงสาวดูหม่นหมอง “น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์แทบจะไม่เคยปลดปล่อยออร่าออกมาต่อลูกศิษย์ที่แท้จริงอย่างพวกเราด้วยซ้ำ แล้วเขาจะกระตุ้นมันได้ยังไง?”


 


“ในอดีตราชินีแห่งมีดเคยกระตุ้นออร่าของน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ได้ ซึ่งในตอนนั้นนางก็เป็นเพียงแค่คนนอกเหมือนกับเขา ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะไม่พัฒนาจนถึงระดับราชันได้ตั้งแต่วัยสาวแบบนั้น และในตอนนี้นางก็กลายเป็นถึงครึ่งเทพแล้ว” ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาพูด


 


“ราชินีแห่งมีดเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง แม้แต่ท่านผู้เฒ่ายังบอกว่าวันหนึ่งนางอาจจะได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า แต่ลูกไม่คิดว่าลูกศิษย์ของนางจะเป็นอัจฉริยะเหมือนกับนาง ลูกได้ยินมาว่าเขาเป็นคริสตัลไลเซอร์ เขาได้รับขนนกเทพเจ้ามาจากข่งเฟย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้ารับเขาไป เพียงแค่นั้นก็น่าจะทำให้เห็นถึงพรสวรรค์ของเขาแล้ว” หญิงสาวพูด


 


ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาส่ายหัว “เขาไม่ได้ถูกคนอื่นปฏิเสธเพราะขาดพรสวรรค์ แต่เขาถูกคนอื่นปฏิเสธเพราะยีนที่ไม่เสถียรของเขา มันยากจะคาดเดาได้ว่าอนาคตของคนแบบนั้นจะเป็นยังไง ซึ่งในกรณีนั้นมันจะเป็นอะไรที่เสี่ยงในการลงทุนกับเขา”


 


“ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันว่าเขาจะมีพรสวรรค์สักแค่ไหน” หญิงสาวพูด


 


หานเซิ่นมองไปยังเถาวัลย์ขนาดยักษ์ที่ดูเหมือนกับมังกร เขาก้าวขาไปเหยียบเถาวัลย์สีเขียวตรงหน้า แต่เมื่อเขาเหยียบมัน เขาก็รู้สึกตกใจ


 


เถาวัลย์ยังคงปกติอยู่ แต่น้ำเต้าเริ่มจะสั่นไหว มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าตกใจ


 


แต่นอกจากการสั่นแล้ว พวกมันก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น


 


‘ไม่มีทาง! มันดูทรงพลังอย่างมาก แต่นั่นคงจะเป็นแค่การขู่ให้กลัวเฉยๆ ถ้าเราร่วงลงไปตอนนี้ อี๋ซาคงจะฆ่าเราแน่’ หานเซิ่นคิดและตัดสินใจเดินหน้าต่อไป


 


ที่ไหนก็ตามที่หานเซิ่นเดินไป น้ำเต้าก็จะสั่นไหว ถ้าพวกมันไม่ได้ห้อยติดกับเถาวัลย์แน่น พวกเขาก็คงจะร่วงไปหมดแล้ว


 


เมื่อหานเซิ่นเห็นว่าพวกมันไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากสั่นไปมา เขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นและเดินบนเถาวัลย์ต่อไป เขาคิดกับตัวเอง ‘ถนนนภาคงจะไม่ได้ง่ายแบบนี้ถูกไหม มันต้องอะไรอยู่อีกแน่ เราควรจะเดินต่อไปอีกสักหน่อยเพื่อดูว่ามันมีอะไร’


 


หานเซิ่นเดินไปบนเถาวัลย์ต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ผู้คนในปราสาทนภาต่างก็ตกตะลึง


 


กระเรียนพันขนมองไปที่เท้าของหานเซิ่นและเห็นน้ำเต้าสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง ลูกตาของเขาก็เกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า


 


เขามาฝึกอยู่ในปราสาทนภามา 20 ปี เขาได้เห็นหลายต่อหลายคนเดินบนถนนนภานี้ บางคนผ่านไปได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะนี่บางคนถูกสะบัดออกไปโดยเถาวัลย์ที่เกรี้ยวโกรธ มันมีน้อยคนมากที่จะได้รับการยอมรับจากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์และได้รับออร่าศักดิ์สิทธิ์ของมัน


 


ในตอนที่กระเรียนพันขนข้ามถนนนภา เขาได้รับออร่าศักดิ์สิทธิ์จากน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์หนึ่งลูก ซึ่งนั่นถือว่าหาได้ยากแล้ว


 


แต่เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน น้ำเต้าทั้งหมดดูหวาดกลัวหานเซิ่น และพวกมันก็สั่นไหวราวกับว่าต้องการจะหนีไปจากเขา


 


“หมอนี่เป็นตัวอะไรกัน?” กระเรียนพันขนมองดูหานเซิ่นอย่างตกตะลึง


 


หญิงสาวและชายวัยกลางคนในชุดสีเทาก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน หญิงสาวถาม “ท่านพ่อ น้ำเต้าพวกนั้นกำลังทำอะไรอยู่กันแน่? ดูไม่เหมือนกับว่าพวกมันกำลังปลดปล่อยออร่าศักดิ์สิทธิ์ออกมา ลูกไม่เคยเห็นน้ำเต้ามีปฏิกิริยาแบบนี้มาก่อนเลย”


 


ชายวัยกลางคนในชุดสีเทามองไปที่เถาวัลย์และพูด “นี่มันแปลกจริงๆ น้ำเต้าไม่ได้ยอมรับพรสวรรค์ของเขา แต่พวกมันหวาดกลัวเขาแทน”


 


“น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์หวาดกลัวเขา? แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ เขาก็เป็นแค่ไวเคานต์คนหนึ่ง แต่น้ำเต้าเป็นพืชระดับเทพเจ้า แม้คนที่ข้ามจะเป็นถึงยอดฝีมือระดับเทพเจ้า มันก็ไม่ควรจะทำให้น้ำเต้าหวาดกลัว แต่นี่เขาเป็นเพียงแค่ไวเคานต์” หญิงสาวพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


“นี่มันไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่น้ำเต้าดูหวาดกลัวจริงๆ” ชายวัยกลางคนมองหานเซิ่นบนเถาวัลย์ด้วยความสนใจ


 


ในปราสาทนภา หลายๆคนกำลังจับจ้องไปที่หานเซิ่น ซึ่งทุกๆคนต่างก็มีสีหน้าที่แปลกประหลาด


 


ที่ไหนก็ตามที่หานเซิ่นเดินไป น้ำเต้าในระยะ 10 เมตรรอบตัวเขาก็จะสั่นด้วยความกลัว แต่เมื่อหานเซิ่นเดินผ่านไปแล้ว พวกมันถึงจะกลับมาสู่สภาพเดิม


 


ขณะที่หานเซิ่นเดินไปนั้น มันไม่มีอะไรอย่างอื่นเกิดขึ้น นอกจากการสั่นไหวของน้ำเต้า มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกหดหู่


 


“เวรเอ้ย! อะไรสักอย่างได้โปรดเกิดขึ้นสักที แบบนี้ฉันก็กระโดดลงไปไม่ได้น่ะสิ ถ้าฉันร่วงจากเถาวัลย์อย่างไม่มีเหตุผล อี๋ซาก็ต้องฆ่าฉันแน่ๆ” หานเซิ่นพยายามคิดหาทางออก


 


แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะรู้สึกตัว เขาก็เดินไปถึงอีกฝากหนึ่งของเถาวัลย์เรียบร้อยแล้ว


1964

“น่าแปลกจริงๆ น้ำเต้าทั้งหมดแสดงปฏิกิริยาออกมา แต่พวกมันไม่ได้มอบออร่าศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา นี่มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดจริงๆ”


ภายในสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งขมวดคิ้ว ขณะที่มองหานเซิ่นเดินข้ามถนนนภา


 


ทุกคนในปราสาทนภาต่างก็มีสีหน้าคล้ายๆกัน พวกเขาไม่เคยเห็นน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ตอบสนองแบบนี้มาก่อน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง


 


ถ้าหานเซิ่นมีพรสวรรค์ น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ก็ควรจะมอบออร่าศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา แต่น้ำเต้าแค่สั่นด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่แปลกมากๆ


 


หานเซิ่นรู้สึกหดหู่ เขาคิดว่าจะได้เดินทางกลับถ้าเกิดเขาไม่ผ่านการทดสอบ แต่ถนนนภาไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย มันเป็นเหมือนกับสะพานธรรมดาๆเพียงแค่ยากกว่าเท่านั้นเอง


 


หานเซิ่นก้าวขึ้นมาบนเกาะหลัก หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็ขี่นกเข้ามาหาหานเซิ่น หานเซิ่นพูด “น้ำเต้าแค่สั่นอย่างเดียวเอง นี่มันควรจะทำให้ผู้คนที่เดินบนนั้นสะดุ้งและตกลงไปเองอย่างนั้นหรอ?”


 


กระเรียนพันขนมองหานเซิ่นอย่างแปลกๆและพูด “น้องหานมีพรสวรรค์ ดังนั้นไม่มีเรื่องอะไรต้องไปกังวล นี่มันก็สายมากแล้ว และท่านผู้นำก็กำลังรอคอยน้องหานอยู่ พวกเรารีบไปกันเถอะ”


 


หานเซิ่นเดิมตามกระเรียนพันขนไป พวกเขาเดินทางระหว่างหมู่เมฆที่มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ มันเหมือนกับว่าเขาอยู่บนสรวงสวรรค์จริงๆ


 


บันไดหินหยกนั้นสูงมากๆ และเมื่อหานเซิ่นมองเห็นจุดสิ้นสุดของมัน เขาก็พบว่าตัวเองกำลังมองไปที่ปราสาทที่ยิ่งใหญ่ ตรงหน้าของเขามีป้ายหินขนาดใหญ่ที่สลักเอาไว้ว่าปราสาทนภา


 


หานเซิ่นเดินขึ้นไปบนบันไดทีละขั้น ในทุกๆขั้นที่เขาก้าวขึ้นไปนั้นมันรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าขั้นก่อนหน้า มันไม่ใช่ว่าบันไดมีลูกเล่นอะไรพิเศษ แต่มันแค่ปราสาทนภาดูน่าเกรงขาม


 


กระเรียนพันขนคอยจับตาดูหานเซิ่นอย่างใกล้ชิด


 


บันไดนี้ถูกเรียกว่าถนนสู่ท้องฟ้า คนของปราสาทนภาจะไม่รู้สึกอะไรในตอนที่พวกเขาเดินขึ้นบันได แต่คนนอกที่เดินทางบนบันไดจะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากปราสาทนภา ซึ่งแรงกดดันนั้นมาจากป้ายหินที่สลักว่าปราสาทนภา


 


ป้ายหินถูกสลักโดยผู้นำรุ่นแรกของปราสาทนภา ผู้คนที่มีจิตใจอ่อนแอจะพ่ายแพ้ต่อแรงกดดันอันมหาศาลของมัน และไม่สามารถไปถึงปราสาทนภาได้


 


แม้แต่ผู้คนที่มีจิตใจแข็งแกร่งก็จะรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังเดินทางผ่านขุมนรก คนส่วนจะรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากขณะที่เดินขึ้นไป


 


กระเรียนพันขนจับตามองหานเซิ่นอย่างใกล้ชิด เผื่อในกรณีที่เขาล้มลงไป กระเรียนพันขนก็จะอุ้มหานเซิ่นขึ้นไปยังปราสาทนภา มันเป็นหน้าที่กระเรียนพันขนที่จะนำหานเซิ่นขึ้นไปที่นั่น


 


หานเซิ่นถูกเชิญมาโดยผู้นำของปราสาทนภา และเขาก็ข้ามถนนนภาได้สำเร็จ ดังนั้นกระเรียนพันขนไม่สามารถปล่อยให้เขาถูกบดขยี้ด้วยแรงกดดันของถนนสู่ท้องฟ้า และมันจะเป็นอะไรที่ดูแย่ถ้าเขาต้องคลานขึ้นไป


 


ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เห็นหานเซิ่นขมวดคิ้ว เขาให้ความสนใจกับหานเซิ่นมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปช่วย ถ้าเกิดหานเซิ่นล้มลงไป ผู้นำรุ่นแรกของปราสาทนภานั้นทรงพลัง เพียงแค่คำที่สลักเอาไว้ 2 คำก็มากพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่คุกเข่าลงไป


 


โดยปกติแล้วมีเพียงแค่คนระดับดยุกขึ้นไปเท่านั้นที่จะทนต่อแรงกดดันนี้ได้ ซึ่งหานเซิ่นยังเป็นแค่ไวเคานต์คนหนึ่ง ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรที่เขาจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้


 


มันมีเฉพาะคนที่ก้าวขึ้นมาบนบันไดนี้ครั้งแรกเท่านั้นที่จะประสบต่อแรงกดดันนี้ พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงมันอีกเมื่อพวกเขาผ่านมันไปแล้ว และนั่นก็คือสิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของถนนสู่ทองฟ้า


 


หานเซิ่นขมวดคิ้วและก้าวเดินต่อไป ความเร็วของเขาดูปกติและมันไม่มีวี่แววว่าเขาต่อสู้ดิ้นรนต่อแรงกดดันมหาศาลเลย เขามองป้ายหินที่มีคำว่าปราสาทนภาเอาไว้


 


หานเซิ่นสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ถูกสลักเอาไว้ และเขาก็เข้าใจว่าพวกมันน่าเกรงขามถึงขนาดไหน มันทำให้เขารู้สึกนับถือใครก็ตามที่ทิ้งคำทั้ง 2 นี้เอาไว้


 


หานเซิ่นไม่ได้ต่อสู้กับมันด้วยจิตใจของเขา เขามาที่นี่เพื่อฝึกฝัน ดังนั้นเขาไม่อยากจะก่อเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็น อีกอย่างผู้นำของที่นี่คืออาจารย์ของอี๋ซา เขาจึงไม่อยากจะทำให้ตัวเองต้องขายหน้า


 


ความรู้สึกที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากปราสาทนภาเป็นอะไรที่แปลกประหลาด หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกบดขยี้ และมันยากขึ้นเรื่อยๆที่จะก้าวเดินต่อไป ในที่สุดหน้าผากของเขาก็เริ่มมีเหงื่อไหลออกมา


 


หานเซิ่นปฏิเสธจะต่อสู้กับความรู้สึกที่คำทั้ง 2 ส่งมาที่เขา แต่มันก็เป็นอะไรที่ยากจะทนรับได้ ถ้าหานเซิ่นไม่ได้มีจิตใจที่แข็งแกร่งล่ะก็ เขาก็คงจะล้มลงไปกับพื้นแล้ว


 


กระเรียนพันขนขมวดคิ้วเมื่อเห็นเหงื่อที่ไหลโชกของหานเซิ่น เขาดูเหมือนกับคนที่เพิ่งจะก้าวขึ้นมาจากน้ำ


 


พวกเขาเพิ่งจะเดินขั้นไปได้แค่หนึ่งร้อยขั้นเท่านั้น แต่แล้วหานเซิ่นกลับเหงื่อท่วมตัว เขาเป็นแค่ไวเคานต์ ดังนั้นมันไม่มีทางที่เขาจะทนได้ถึงบันได้ขั้นที่หนึ่งพัน แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป หานเซิ่นก็อาจจะขึ้นไปได้ไม่ถึงขั้นที่สองร้อยด้วยซ้ำ


 


“มันแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้” หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ


 


หานเซิ่นไม่ได้ใช้จิตใจของตัวเองเพื่อต่อต้านปราสาทนภา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันทรงพลังพอที่จะข่มจิตใจของเขา และเนื่องจากหานเซิ่นตัดสินใจจะไม่ต่อต้าน เขาจึงยอมรับแรงกดดันของมันและเดินหน้าต่อไป แต่มันเป็นอะไรที่หนักอึ้งจนทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังแบกภูเขาทั้งลูกเอาไว้ ทุกการก้าวขาของเขาจะทิ้งเหงื่อเอาไว้ด้านหลัง


 


ขณะที่หานเซิ่นพยายามอดทนต่อแรงกดดันและเดินหน้าต่อไป ซึ่งเขาก็ได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง แรงกดดันอันมหาศาลเริ่มจะทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมา


 


พลังของออร่าศาสตร์ตงเสวียนสามารถจะปิดผนึกสัมผัสของคนอื่นได้ แต่มันไม่ได้มีผลต่อร่างกายแต่อย่างใด


 


ถ้าพลังของออร่าศาสตร์ตงเสวียนสามารถกดดันอีกฝ่ายได้เหมือนกับที่เขาเผชิญหน้าอยู่ พลังนั้นก็จะไปถึงอีกระดับหนึ่ง


 


ขณะที่หานเซิ่นเดินหน้าต่อไป เขาได้ปล่อยให้แรงกดดันเข้ามาสู่ตัวเขาอย่างเต็มที่ เขาหวังว่าจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากคำทั้ง 2 นั้น


 


มันยากขึ้นเรื่อยๆที่หานเซิ่นจะก้าวเดินต่อไป ในตอนที่เขาไปถึงบันไดขั้นที่ 200 เขาก็จำเป็นต้องใช้พลังจำนวนมากเพื่อจะก้าวขาไปข้างหน้า


 


“ให้ข้าช่วยแบกเจ้าไปไหม?” กระเรียนพันขนเห็นว่าหานเซิ่นไปต่อไม่ไหวแล้ว เขาจึงตัดสินใจเข้ามาช่วย


1965

หานเซิ่นพยายามอดทนต่อแรงกดดันจนไม่สามารถใช้สมาธิกับอะไรอย่างอื่นได้ และเขาก็ไม่ได้ยินสิ่งที่กระเรียนพันขนพูด


 


แต่กระเรียนพันขนรู้ว่าหานเซิ่นกำลังทุกข์ทรมาน เขาจึงเข้าไปช่วยพยุงหานเซิ่นเอาไว้


 


“ผ่อนคลาย ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร” กระเรียนพันขนยิ้มขณะที่ช่วยพยุงหานเซิ่น


 


แรงกดดันรอบๆปราสาทนภานั้นรุนแรง แต่กระเรียนพันขนเกิดที่นี่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับผลจากแรงกดดันนั้น เขาพยุงหานเซิ่นอย่างง่ายดาย ถึงแม้หานเซิ่นกำลังอยู่ภายใต้แรงกดดันก็ตาม


 


กระเรียนพันขนเห็นว่าหานเซิ่นยังคงก้าวต่อไปข้างหน้า ดังนั้นเขาจึงยื่นแขนไปให้หานเซิ่นจับเอาไว้


 


ถึงแม้หานเซิ่นจะดูเหนื่อยล้าและทุกข์ทรมาน แต่เขาก็ยังเดินต่อไปจนถึงบันไดขั้นที่ 500 ได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นร่างกายของเขาก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันได้อีก หลังของเขาโค้งงอลงไป


 


กระเรียนพันขนดึงแขนของเขาเพื่อช่วยให้หานเซิ่นกลับมายืนตรงอีกครั้ง แต่เมื่อเขาออกแรงเพื่อจะยกหานเซิ่นขึ้น เขาก็รู้สึกราวกับว่าหานเซิ่นนั้นหนักเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่ เขาต้องออกแรงอย่างมากเพื่อจะทำให้หานเซิ่นกลับมายืนตรงได้สำเร็จ


 


“ผ่อนคลาย อย่าได้ไปฝืนมัน นี่เป็นเพียงแค่ภาพมายาเท่านั้น และมันไม่ได้มีแรงกดดันลงมาที่ตัวของเจ้าจริงๆ” กระเรียนพันขนคิดว่าหานเซิ่นใช้พลังบางอย่างเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้


 


หานเซิ่นไม่ได้ยินอะไรที่กระเรียนพันขนพูด แรงกดดันที่น่ากลัวยังคงกดลงที่ร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากำลังแบกภูเขาทั้งลูกเอาไว้


 


กระเรียนพันขนให้หานเซิ่นจับแขนของเขาเอาไว้ขณะที่เดินขึ้นไป น้ำหนักที่แขนของกระเรียนพันขนได้รับนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงคิดกับตัวเอง ‘จิตของหมอนี่อ่อนแอจริงๆ นี่เขากำลังถูกบดขยี้และจำเป็นต้องใช้พละกำลังของตัวเองช่วย’


 


หลังจากผ่านไปอีกสักพัก หานเซิ่นก็ดูหนักเกินกว่าที่กระเรียนพันขนจะทำให้เขายืนตรงอยู่ได้ กระเรียนพันขนมองร่างกายของหานเซิ่นและสังเกตว่ารอบๆตัวหานเซิ่นไม่ได้มีพลังอะไร และเขาก็ไม่ได้ใช้พละกำลังของตัวเองเช่นกัน


 


“แปลกจริงๆ นี่เขาไม่ได้ใช้อะไร แต่ทำไมตัวเขาถึงได้หนักแบบนี้? ปราสาทนภาควรจะส่งแรงกดดันทางจิตใจเท่านั้น และไม่ส่งผลกระทบทางกายภาพอะไร” กระเรียนพันขนครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน แต่เขาไม่สามารถคิดออกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขายังคงพยายามช่วยพยุงหานเซิ่นต่อไป


 


ร่างกายของหานเซิ่นยังคงหนักขึ้นและหนักขึ้น ในตอนแรกกระเรียนพันขนใช้แขนเพียงแค่ข้างเดียว แต่ตอนนี้เขาต้องใช้ทั้งแขน 2 ข้างเพื่อจะทำให้หานเซิ่นยืนอยู่ได้ นอกจากนั้นมันก็เริ่มจะเป็นเรื่องยากมากๆในการจะทำแบบนั้น


 


“เฮ้ เจ้าโอเคไหม?” กระเรียนพันขนมองดูหานเซิ่นและขมวดคิ้ว หานเซิ่นแดงไปทั้งตัวและชุดของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาหายใจทางปากอย่างหอบๆราวกับว่าเขาเริ่มที่จะหายใจไม่ทัน


 


ดวงตาของหานเซิ่นปูดออกมาจากเบ้า และเส้นเลือดของเขาก็นูนขึ้นมา มันเหมือนกับว่าทั้งร่างกายของกำลังจะถูกบดขยี้จริงๆ


 


หานเซิ่นไม่ได้คาดคิดว่าการปล่อยให้แรงกดดันเข้ามาในร่างกายจะเป็นอะไรที่น่ากลัวถึงขนาดนี้ ตอนนี้เขาทำได้แค่ใช้จิตใจป้องกันตัวเองจากการถูกบดขยี้ด้วยแรงกดดันนั้น และหลังจากที่ผ่านบันไดขั้นที่หนึ่งพัน หานเซิ่นก็ถูกแบกโดยกระเรียนพันขน


 


กระเรียนพันขนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แรงกดดันของปราสาทนภาเป็นอะไรที่ทรงพลัง แต่มันก็ไม่ควรจะทำให้หานเซิ่นตกอยู่ในสภาพแบบนี้


 


กระเรียนพันขนไม่ได้รู้ว่าหานเซิ่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ แทนที่เขาจะต่อสู้กับแรงกดดันด้วยจิตใจของเขา เขากลับปล่อยให้พวกมันเข้ามาในร่างกาย มันไม่เคยมีใครทำอะไรบ้าๆแบบนี้มาก่อน ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง


 


เมื่อหานเซิ่นหยุดนิ่งไป กระเรียนพันขนก็อุ้มเขาขึ้นมา แต่การอุ้มหานเซิ่นขึ้นมาจำเป็นต้องใช้พละอย่างมาก และไม่นานแขนของเขาก็เหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะอุ้มหานเซิ่นต่อไปได้


 


กระเรียนพันขนกัดฟันและวางหานเซิ่นลง หลังจากนั้นเขาก็เคลื่อนที่ไปตรงหน้าหานเซิ่นและดึงแขนของหานเซิ่นขึ้นมาไว้บนหลัง


 


กระเรียนพันขนเดินทางไปที่ปราสาทนภาต่อโดยแบกหานเซิ่นไว้บนหลังของเขา


 


“ลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดนี่แปลกประหลาดจริงๆ เพียงแค่เดินบนถนนสู่ท้องฟ้าเขาก็ตกอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว” กระเรียนพันขนรู้สึกหดหู่ แต่เขาก็ยังแบกหานเซิ่นไป


 


ผู้เฒ่าของปราสาทนภากำลังรอหานเซิ่นอยู่ ดังนั้นกระเรียนพันขนจึงไม่สามารถทิ้งหานเซิ่นเอาไว้ได้


 


กระเรียนพันขนพยายามเร่งฝีเท้าขึ้นขณะที่แบกหานเซิ่นไป แต่ไม่นานเขาก็ต้องชะลอความเร็วลง มันไม่ใช่ว่าเขาต้องการจะชะลอความเร็วลง แต่มันเป็นเพราะหานเซิ่นหนักราวกับภูเขา ทำให้เขาไม่สามารถเดินเร็วได้


 


ยิ่งเขาขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ น้ำหนักของหานเซิ่นก็จะมากขึ้นเท่านั้น ไม่นานหน้าผากของกระเรียนพันขนก็เริ่มจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ


 


“นี่มันถนนสู่ท้องฟ้าของเขา? หรือถนนสู่ท้องฟ้าของข้ากันแน่?”


กระเรียนพันขนยังคงแบกหานเซิ่นต่อไป แต่ไม่นานตัวของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ


 


หลังจากที่ผ่านบันได้ขั้นที่เก้าพัน กระเรียนพันขนก็แดงไปทั้งตัว เขาอ้าปากเพื่อจะดูดเอาอากาศเข้าไป


 


‘ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะหนักถึงขนาดนี้ มันไม่มีทางที่เขาจะปลดปล่อยพลังอะไรแบบนี้ออกมา ถ้าเขาเป็นแค่ไวเคานต์จริงๆ แถมรอบๆตัวเขาก็ไม่ได้มีกระแสพลังอะไร น้ำหนักพวกนี้มาจากไหนกันแน่? นี่มันเป็นเพราะแรงกดดันของปราสาทนภาจริงๆอย่างนั้นหรอ?’ กระเรียนพันขนครุ่นคิดขณะที่เดินต่อไป


 


กระเรียนพันขนเป็นเอิร์ลคนหนึ่ง เขาสามารถจะแบกมังกรทั้งตัวและเดินได้โดยไม่รู้สึกอะไร


 


แต่ตอนนี้เส้นเลือดปูดขึ้นมาจากแขนและขาของเขา เขาใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อจะเดินหน้าต่อไป เขาหายใจออกมาอย่างรุนแรงราวกับว่าเขาจะพ่นไฟออกมา


 


ตูม!


 


ทันใดนั้นก็มีควันสีขาวออกมาจากรูขุมขนตามร่างกายของเขาราวกับสายน้ำ หลังจากนั้นควันสีขาวก็ควบแน่นและกลายเป็นก้อนเมฆที่วนรอบตัวกระเรียนพันขน


 


กระเรียนพันขนไม่สามารถพึ่งแค่พละกำลังทางกายภาพอย่างเดียวได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงใช้พลังเมฆช่วย


 


แต่สถานการณ์ของหานเซิ่นเลวร้ายยิ่งกว่ากระเรียนพันขนซะอีก หลายอย่างในร่างกายของเขาถูกบดขยี้ เนื้อหนังของเขายุบลงจนทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ป่วยโรคอะนอเร็กเซีย


 


ในบันไดขั้นท้ายๆกระเรียนพันขนใช้พลังทั้งหมดเพื่อจะก้าวขาไปข้างหน้า เขาเกือบจะล้มลงไปตรงหน้าปราสาท เขาได้ใช้พละกำลังทั้งหมดในการแบกหานเซิ่นผ่านประตูของปราสาทไป


 


หลังจากเข้าไปข้างใน กระเรียนพันขนก็รู้สึกถึงแสงสว่างอีกครั้ง เขาเกือบจะตะโกนออกมาด้วยความปิติยินดี เขารู้สึกโล่งใจมากๆ


“ในที่สุดพวกเราก็มาถึงสักที!”


 


ในตอนที่พวกเขาเดินอยู่บนบันไดท่ามกลางหมู่เมฆ ไม่มีใครสามารถเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อกระเรียนพันขนเดินเข้ามาข้างใน คนอื่นๆก็เห็นว่าเขากำลังแบกหานเซิ่นอยู่ และมันทำให้คนอื่นๆรู้สึกตกใจ


 


เพราะตั้งแต่ที่ปราสาทนภาถูกสร้างขึ้นมา มันไม่เคยมีใครถูกแบกขึ้นมาแบบนั้นมาก่อน


1966

ทุกคนได้รู้เรื่องที่กระเรียนพันขนเป็นคนแบกหานเซิ่นเข้ามาในปราสาทนภา


 


นี่ถือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด หานเซิ่นเกือบจะหมดสติไปในตอนที่ถูกพาเข้ามาข้างใน และกระเรียนพันขนก็ต้องแบกหานเซิ่นต่อไปจนกระทั่งเข้าไปพบผู้นำของปราสาทนภา


 


หานเซิ่นหมดสติไปจากความเหนื่อยล้า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นว่าผู้นำของปราสาทนภาหน้าตาเป็นยังไง


 


บางสิ่งที่แปลกประหลาดแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นมันจึงเป็นที่พูดถึงกันมากในปราสาทนภา


 


“นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านผู้เฒ่าได้เห็นใครบางคนถูกแบกเข้ามา ข้าได้ยินว่าเคราของเขาบิดงอด้วยความประหลาดใจ”


 


“เขาเดินบนถนนสู่ท้องฟ้าด้วยสภาพแบบนั้นได้ยังไง? เขาเป็นคนที่แปลกจริงๆ”


 


“แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง ท่านผู้เฒ่าก็ยังยอมรับเขาเข้ามา แถมท่านผู้เฒ่ายังมอบสิทธิ์ในการเข้าไปในสถานหยกขาวให้กับเขาอีกด้วย เขาโชคดีที่ได้เป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด”


 


“เจ้าพูดถูก ท่านผู้เฒ่านับถือราชินีแห่งมีด แต่นางก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆนั่นแหละ ท่านผู้เฒ่าปฏิบัติกับนางเหมือนกับลูกศิษย์จริงๆ มันจึงเป็นอะไรที่น่าแปลกที่นางรับคนแบบนั้นมาเป็นลูกศิษย์ของตัวเอง”


 


หานเซิ่นหลับไป 1 วันเต็มๆ หลังจากที่เขาได้พักฟื้นเต็มที่ ความรู้สึกหนักอึ้งก็หายไปหมดแล้ว


 


หลังจากที่ตื่นขึ้นมา หานเซิ่นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ในห้องไม่ได้ตกแต่งอะไรพิเศษ มันเป็นห้องที่มีหนึ่งเตียงหยก หนึ่งโต๊ะหินและเก้าอี้อีก 4 ตัว


 


หานเซิ่นลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายเพื่อขจัดความเมื่อยล้า ตอนนี้หานเซิ่นยังไม่สามารถคิดวิธีที่จะทำให้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนกลายเป็นสิ่งที่มีรูปธรรมได้ แต่เขาก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญจากการยอมรับแรงกดดันนั้น


 


ในตอนที่หานเซิ่นได้รับแรงกดดันจากไพ่เวทย์มนต์เต่าหยก เขาได้ใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนจำลองการทำงานของมัน และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถปลดมันออกไปได้


 


ตั้งแต่นั้นมาหานเซิ่นก็มักจะเล่นกับมันอยู่บ่อยๆ เขาใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อศึกษามัน แต่พลังของมันเป็นอะไรที่ซับซ้อน มันจึงยากที่เขาจะเรียนรู้การทำงานของมันได้


 


แต่ในตอนที่แรงกดดันของปราสาทนภาเข้ามาในร่างกาย หานเซิ่นรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกับไพ่เวทย์มนต์เต่าหยก


 


ปราสาทนภาส่งความรู้สึกโดยไม่ได้ใช้อะไรที่เป็นรูปธรรม ส่วนเวทย์มนต์เต่าหยกก็มีกระแสพลังที่ยากจะเข้าใจได้ เมื่อนำทั้ง 2 อย่างมาเปรียบเทียบกัน มันก็ทำให้หานเซิ่นมีไอเดียใหม่ๆ


 


หานเซิ่นนำไพ่เวทย์มนต์เต่าหยกขึ้นมาและใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนจำลองพลังของมัน เขาพยายามจะเรียนรู้อะไรบางอย่างจากมันเพื่อยืนยันทฤษฎีที่เพิ่งจะคิดขึ้นมา


 


หานเซิ่นนั่งลงบนเตียงหยกขณะที่มองไปที่ไพ่เวทย์มนต์เต่าหยก เขาพบว่าเวทย์มนต์เต่าหยกอ่อนพลังลงไปมาก มันเคยที่จะดูเหมือนกับหยก แต่ตอนนี้มันดูเหมือนกับก้อนหิน


 


2 วันต่อมาจู่ๆไพ่เวทย์มนต์เต่าหยกก็แตกร้าวและกลายเป็นผุยผง หานเซิ่นรู้สึกตกใจเมื่อเห็นอย่างนั้น แต่เขาก็รู้สึกดีใจเพราะเขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย


 


หานเซิ่นได้หายตัวไป 2-3 วัน และข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งปราสาท ผู้คนเชื่อว่าหานเซิ่นยังคงหมดสติอยู่ ถึงแม้เขาเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน แต่หานเซิ่นก็กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว


 


ศิษย์หลายคนในปราสาทนภาต่างก็รู้สึกสงสัย พวกเขาต้องการจะรู้ว่าหานเซิ่นเป็นคนแบบไหนกันแน่


 


เมื่อหานเซิ่นออกจากบ้านหิน เขาก็สังเกตเห็นว่าตัวเองยืนอยู่บนเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่ง แต่มันดูเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่มากกว่าเกาะลอยฟ้า นอกจากตัวบ้านแล้ว พื้นที่รอบๆตัวเขาก็มีความกว้างประมานครึ่งหนึ่งของสนามบาสเท่านั้นเอง


 


บนเกาะเล็กๆมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง หานเซิ่นไม่รู้ว่ามันเป็นต้นไม้ชนิดไหนกันแน่ แต่มันดูใกล้จะตายแล้ว และมันก็ถูกปกคลุมด้วยรอยไหม้เกรียม ใบไม้ทั้งหมดเป็นสีเหลืองและดูพร้อมจะร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ


 


หานเซิ่นมองไปรอบๆ เกาะที่เขาอยู่มีขนาดเล็ก แต่มันก็อยู่ใกล้กับเกาะหลักมากๆ จริงๆแล้วมันเป็นเกาะที่อยู่ใกล้กับเกาะหลักมากที่สุด


 


ขณะที่หานเซิ่นมองไปรอบๆ เขาก็ได้ยินเสียงของนกตัวหนึ่ง ชายที่ดูสง่างามคนหนึ่งขี่นกสีขาวตัวใหญ่บินลงที่เกาะของเขา


 


“ขอบคุณที่ช่วยแบกข้าขึ้นไปยังปราสาทนภา” หานเซิ่นพูดอย่างจริงใจ


 


ถึงเขาจะใช้สมาธิไปกับความรู้สึกที่ถูกกดดัน แต่เขาก็ยังจดจำคนที่แบกเขาขึ้นไปที่ปราสาทนภาได้ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ เขาก็คงจะถูกบดขยี้อยู่บนบันไดนั้น


 


กระเรียนพันขนส่ายหัวและพูด “การพาเจ้าขึ้นไปยังปราสาทนภาเป็นหน้าที่ของข้า ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอบคุณข้า”


 


หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็นำแผ่นจารึกออกมาและพูด “นี่คือแผ่นจารึกประจำตัวของปราสาทนภา มันจะทำให้คนอื่นรู้ถึงระดับอำนาจและสิทธิ์ที่เจ้ามีภายในปราสาทนภา เจ้าอย่าได้ทำมันหายเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกลงโทษ”


 


“ที่ปราสาทนภามีแผ่นศิลาที่จารึกกฎระเบียบเอาไว้ เจ้าควรจะไปดูมันเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่เผลอไปทำผิดกฎโดยไม่รู้ตัว” กระเรียนพันขนพูด


 


“ขอบคุณที่บอก ตอนนี้ข้าต้องไปเข้าพบผู้นำของปราสาทนภาแล้วใช่ไหม?” หานเซิ่นรับแผ่นศิลามา


 


“ท่านผู้นำได้เห็นเจ้าเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องไปพบกับเขาอีก และท่านก็ได้อนุญาตให้เจ้าเข้าไปในสถานหยกขาวได้”


 


“สถานหยกขาวคืออะไร?” หานเซิ่นถาม


 


“สถานหยกขาวนั้นมี 12 หลัง 5 เมือง มันเป็นสถานที่สำหรับฝึกวิชา เพียงแค่ได้รับอนุญาตให้เขาไปก็ถือเป็นเกียรติสูงสุดแล้ว เจ้าจะต้องฝึกฝนอย่างตั้งใจที่นั่นและอย่าได้เสียโอกาสอันล้ำค่านี้ไป”


กระเรียนพันขนพูด หลังจากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปบนนกสีขาวและเตรียมจะจากไป


 


“กระเรียนพันขน เจ้ากำลังจะไปไหน?” หานเซิ่นรีบถาม


 


“ข้ากำลังจะไปฝึกในสถานหยกขาว!” กระเรียนพันขนตอบ


 


“เยี่ยม! ข้าไม่รู้ทางไปที่นั่น เจ้าช่วยพาข้าไปด้วยได้ไหม?” หานเซิ่นพูดขณะที่ขึ้นไปหลังบนหลังของนก


 


กระเรียนพันขนดูหดหู่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เขาสั่งให้นกสีขาวตัวใหญ่บินออกไป


1967

หานเซิ่นนั่งอยู่บนหลังนกสีขาวของกระเรียนพันขน ขณะที่ชื่นชมวิวทิวทัศน์รอบๆ และหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง นกสีขาวก็ล่อนลงบนเกาะแห่งหนึ่ง เกาะนั้นตั้งอยู่ในหมู่เมฆ ทำให้ทัศน์วิสัยของพวกเขาถูกบดบังเล็กน้อย แต่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนก็คือ 12 หอคอยหยกท่ามกลางหมู่เมฆ


 


นกสีขาวบินลงไปที่เกาะ หลังจากนั้นกระเรียนพันขนและหานเซิ่นก็ลงจากหลังของมัน เขาสังเกตว่าทั้งเกาะถูกสร้างขึ้นจากหยก แต่มันดูไม่เหมือนกับว่าถูกสร้างด้วยมือคน


 


กระเรียนพันขนเดินตรงเข้าไปที่สถานหยกขาว เมื่อหานเซิ่นหันไปมองทางนั้น เขาก็เห็นแสงส่องสว่างแวววาวออกมา เขาแทบจะไม่สามารถมองเห็นหอคอย 12 ชั้นในตอนที่อยู่บนอากาศ แต่เมื่อเขาลงมายืนบนเกาะ ทั้งหมดที่เขามองเห็นก็คือหอคอยหลังแรกเท่านั้น


 


สถานหยกขาวแต่ละหลังประกอบไปด้วย 7 ชั้นด้วยกัน จากจุดที่หานเซิ่นยืนอยู่ เขาสามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำมาจากคริสตัลถูกปกป้องด้วยแสงเหมือนกับตัวเกาะ


 


“กระเรียนพันขน ใครกันที่เป็นคนสร้างสถานหยกขาว?” หานเซิ่นถามขณะที่เดินตามเขาไป


 


กระเรียนพันขนตอบ “สถานหยกขาวนั้นมี 12 หลังและ 5 เมือง มันมีมาตั้งแต่ก่อนที่ซีโน่เจเนอิคสเปชนี้จะถูกค้นพบด้วยซ้ำ พวกมันเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา”


 


“นั่นมันมหัศจรรย์ไปเลย” หานเซิ่นรู้สึกสนใจสถานหยกขาวขึ้นมา


 


พวกเขาทั้งคู่เดินเข้ามาตรงหน้าหอคอย มันไม่ได้มียามเฝ้าอยู่รอบๆ กระเรียนพันขนดันประตูเปิดออกและเดินเข้าไปข้างใน


 


หานเซิ่นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “คิดว่าสถานหยกขาวเป็นสถานที่ที่เข้าได้ยากซะอีก ทำไมไม่เห็นมีใครเฝ้าเลย? แบบนี้ไม่ว่าใครก็เข้ามาข้างในได้สิ”


 


กระเรียนพันขนหันมาพูดกับหานเซิ่น “นี่เจ้าไม่เห็นอสูรหยกทั้ง 2 ที่อยู่นอกประตูหรือยังไง? ที่เจ้าเข้ามาได้นั้นเป็นเพราะเจ้ามีแผ่นศิลานั่นอยู่ ถ้าเจ้าไม่มีมัน เจ้าก็คงจะถูกกินทั้งเป็นไปแล้ว”


 


“อย่างนี้นี่เอง” หานเซิ่นจำได้ว่าเห็นอสูรหยกที่สูงกว่า 3 เมตรคู่หนึ่งตรงหน้าประตู พวกมันดูเหมือนกับกิเลน ซึ่งในตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าพวกมันเป็นเพียงแค่รูปปั้น แต่จริงๆแล้วพวกมันมีชีวิต


 


กระเรียนพันขนไม่ได้พูดอะไรอีกและเริ่มเดินต่อไป


 


หานเซิ่นมองรอบๆหอคอยและสังเกตเห็นว่ามันไม่ได้มีอะไรอยู่ข้างใน มันมีเพียงแค่บันไดที่นำขึ้นไปสู่ชั้นที่ 2


 


หานเซิ่นเห็นว่ากระเรียนพันขนเดินขึ้นบันไดไป ดังนั้นเขาจึงตามไปด้วย


 


ชั้นที่ 2 ก็เหมือนกับชั้นก่อนหน้า มันว่างเปล่าไม่มีอะไร มันมีเพียงแค่บันไดที่จะนำไปสู่ชั้นที่ 3 หานเซิ่นคิดว่ามันแปลกๆ ดังนั้นเขาจึงถาม


“ทำไมมันไม่มีอะไรอยู่ในหอคอยนี้เลย? การฝึกที่นี่มีประโยชน์อะไรอย่างนั้นหรอ?”


 


กระเรียนพันขนเดินไปที่บันไดของชั้นต่อไปและพูด


“มันยังไม่ถึงเวลาที่สถานหยกขาวจะเปิดออก นั่นเป็นเหตุผลที่มันไม่มีอะไรอยู่ที่นี่ หอคอยแห่งนี้มีทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกัน ยิ่งเจ้าขึ้นไปสูงเท่าไหร่ มันก็จะมีลมปราณหยกมากเท่านั้น เจ้าเป็นไวเคานต์ ดังนั้นเจ้าควรจะเริ่มฝีกที่ชั้นที่ 3 และถ้าเจ้าทนต่อลมปราณหยกของชั้นนี้ได้ เจ้าก็จะขึ้นไปชั้นต่อไปได้”


 


หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็เดินขึ้นไปชั้นที่ 3 ซึ่งหานเซิ่นก็เดินตามเขาไป


 


บนชั้นที่ 3 มีคนหนุ่มหลายคนกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ แต่ไม่มีใครพูดคุยอะไรกัน


 


เมื่อพวกเขาเห็นกระเรียนพันขน พวกเขาก็ยืนขึ้นและพูด “คารวะศิษย์พี่กระเรียน”


 


กระเรียนพันขนพยักหน้าและเดินขึ้นไปชั้นที่ 4


 


คนอื่นๆหันมามองหานเซิ่นด้วยความสงสัยราวกับว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาไม่แน่ใจว่าหานเซิ่นใช่ลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่หรือเปล่า


 


แต่ทว่าหนึ่งในพวกเขารู้จักหานเซิ่น ซึ่งก็คือหญิงสาวที่อยู่กับชายวัยกลางคนในสุดสีเทา ชื่อของเธอคือยวิ๋นซู่อี


 


เธอนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของหอคอย ขณะที่มองมาที่หานเซิ่นพร้อมกับคิด


‘หลังจากที่ถูกแบกขึ้นไปในปราสาทนภาแบบนั้น นี่เขายังกล้ามาที่นี่อีกอย่างนั้นหรอ?’


 


คนหนุ่มหลายคนสนใจในตัวของหานเซิ่น เพราะมันมีคนนอกไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในสถานหยกขาว


 


คนหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาหานเซิ่นและพูด “ชื่อของข้าคือยวิ๋นเฟย ข้าเป็นลูกศิษย์ของหนึ่งในเก้าอาสนะ เจ้าล่ะเป็นศิษย์ของใครกัน?”


 


“ข้าไม่ใช่ศิษย์ของปราสาทนภา อาจารย์ของข้าคือราชินีแห่งมีด” หานเซิ่นพูด


 


“เจ้าคือคนที่ถูกแบกขึ้นมาอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นเฟยตะโกนด้วยความแปลกใจ


 


คนอื่นๆเริ่มหันมามองหานเซิ่นราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ป่าในสวนสัตว์


 


“ใช่แล้ว ข้าคือหานเซิ่นคนนั้น” หานเซิ่นยักไหล่ เขาไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเขา


 


“เจ้าสุดยอดไปเลย ตั้งแต่ที่เผ่านภาครอบครองที่นี่ เจ้าเป็นคนแรกที่ถูกแบกขึ้นมา เจ้าทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?” ยวิ๋นเฟยหัวเราะขณะที่ตบไหล่ของหานเซิ่น


 


“ข้ากลัวว่ามันเป็นอุบัติเหตุน่ะ มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องอิจฉา” หานเซิ่นหัวเราะ


 


ยวิ๋นเฟยและคนอื่นๆเห็นว่าหานเซิ่นเป็นคนอารมณ์ดี ดังนั้นพวกเขาจึงพูดคุยกันอยู่สักพัก


 


มีเพียงแค่ยอดฝีมือของเผ่านภาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในสถานหยกขาว ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน


 


แต่ยวิ๋นซู่อีเพียงแค่มองจากระยะไกลเท่านั้น เมื่อเห็นหานเซิ่นพูดคุยกับคนอื่น เธอก็คิดกับตัวเอง ‘เขาก็ดูเป็นคนอัธยาศัยดี แต่จิตใจของเขาอ่อนแอ ทำไมราชินีแห่งมีดถึงได้ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์? แถมเขาก็ไม่ใช่คนของรีเบทด้วยซ้ำ’


 


หลังจากที่พูดคุยกันไปได้สักพัก จู่ๆยวิ๋นเฟยก็พูดขึ้นมา “ดูเหมือนจะหมดเวลาแล้ว พวกเราไว้ค่อยคุยกันต่อทีหลัง”


 


หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มกลับไปนั่งประจำที่


 


หานเซิ่นรู้ว่าสถานหยกขาวกำลังจะเปิด ดังนั้นเขาจึงหาที่นั่งลงเช่นเดียวกัน


 


หอคอยหยกแห่งนี้ไร้ซึ่งฝุ่นละออง พื้นของมันทำมาจากหยกที่ราบรื่นและสวยงาม เมื่อหานเซิ่นนั่งลง เขาก็รู้สึกได้ถึงอากาศที่หนาวเย็น


 


ขณะที่อากาศหนาวเย็นวนเวียนรอบๆตัวหานเซิ่น หินหยกที่อยู่ตรงใจกลางของพื้นก็เริ่มจะปล่อยควันสีขาวออกมา ควันสีขาวค่อยๆขยายไปปกคลุมทุกซอกทุกมุมของหอคอย ซึ่งทุกคนก็เริ่มใช้วิชาของตัวเองเพื่อดูดซับควันสีขาวเข้าไปจนเกิดเป็นวังวนน้อยรอบๆตัวของพวกเขา


 


หานเซิ่นได้ถามพวกเขาเกี่ยวกับสถานหยกขาวก่อนหน้าหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าต้องใช้วิชาจีโนเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไป


 


เมื่อทำอย่างนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกได้ถึงพลังงานอันหนาวเย็นที่เจาะเข้ามาในร่างกายของเขา


1968

ความรู้สึกของมันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์ มันเหมือนกับว่าก้อนน้ำแข็งเล็กๆจำนวนมากกำลังละลายรอบๆตัวของเขา พวกมันละลายเมื่อสัมผัสกับผิวของเขา หลังจากนั้นพวกมันก็ถูกดูดซับเข้าไป


 


ขณะที่ลมปราณหยกถูกดูดซับเข้าไป หานเซิ่นก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายทันที ผิวของเขาเริ่มจะเปลี่ยนไปเป็นสีของหยกภายใต้อิทธิพลของลมปราณหยก ยวิ๋นเฟยและคนอื่นก็ส่องประกายเหมือนกับหยกเช่นเดียวกัน พวกเขาดูเหมือนกับรูปปั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาจากหยก


 


‘ลมปราณหยกนี่ทรงพลังถึงขนาดเปลี่ยนแปลงยีนของร่างกายเลยอย่างนั้นหรอ? ลมปราณหยกนี้คงจะต้องมาจากยีนซีโน่เจเนอิคแน่ๆ’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง


 


“เลฟต์เครซี่เคยพูดเอาไว้ว่าก้อนหินมีความรู้สึก แต่ชีวิตของพวกมันต่างจากพวกเรา สถานหยกขาวนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกัน และลมปราณหยกก็คือยีนซีโน่เจเนอิค แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเราก็ตัดสินระดับของสถานหยกขาวนี้ไม่ได้” หานเซิ่นทำการคาดเดาขณะที่ดูดซับลมปราณหยกเข้าไป


 


หานเซิ่นใช้เรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไปและเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน


 


เรื่องราวของยีนเป็นวิชาที่สามารถปรับตัวเข้ากับธาตุอื่นๆได้ ซึ่งหลังจากที่ดูดซับลมปราณหยกเข้าไป มันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในทันที แต่มันยังไม่มากพอที่จะไปสู่ขั้นต่อไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันยังขาดอะไรบางอย่างไป


 


‘กระเรียนพันขนบอกว่ายิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ลมปราณหยกก็จะรุนแรงขึ้น? บางทีเราอาจจะต้องใช้ลมปราณหยกที่รุนแรงกว่านี้เพื่อไปสู่ขั้นต่อไป’ หานเซิ่นคิดพร้อมกับยืนขึ้นและไปขึ้นบันไดสู่ชั้นที่ 4


 


ลมปราณหยกบนชั้นที่ 3 มอบพลังงานน้อยเกินไปสำหรับเขา ทุกคนบนชั้นนี้เป็นไวเคานต์เหมือนกับเขา แต่หานเซิ่นใช้ยีนซีโน่เจเนอิคจำนวนมากเพื่อพัฒนาร่างกาย ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งกว่าไวเคานต์ทั่วๆไป


 


หานเซิ่นสามารถเทียบชั้นกับเอิร์ลได้ ถ้าเขาเก็บยีนระดับไวเคานต์จนเต็ม


 


เมื่อก้าวขึ้นไปบนชั้นที่ 4 หานเซิ่นก็รู้สึกหนาวอย่างมาก บนชั้นที่ 3 ก็รู้สึกหนาวแล้ว แต่ชั้นที่ 4 นั้นหนาวยิ่งกว่า หลังจากที่เดินขึ้นไป เขาก็รู้สึกราวกับว่าเพิ่งจะก้าวเข้ามาในถ้ำน้ำแข็ง


 


แต่ความหนาวไม่ได้ส่งผลอะไรต่อร่างกายของหานเซิ่น เขามองไปรอบๆและเห็นคนหลายคนกำลังนั่งทำสมาธิ ขณะที่ดูดซับลมปราณหยกเข้าไป ซึ่งนอกจากคนเผ่านภาแล้ว มันก็มีคนเผ่าพันธุ์อื่นอยู่ด้วย แต่ทว่ากระเรียนพันขนไม่ได้อยู่บนชั้นนี้


 


หานเซิ่นดูดซับลมปราณหยกเข้าไปเพื่อจะช่วยให้เรื่องราวของยีนพัฒนาไปสู่ขั้นต่อไป แต่มันไม่ได้ผล ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นที่ 5


 


เมื่อไปถึงชั้นที่ 5 หานเซิ่นก็รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกแช่แข็ง เขาแข็งทื่อไปตรงทางเข้าและกลายเป็นเหมือนกับรูปปั้นจริงๆ


 


หานเซิ่นพบว่าด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ เขาไม่สามารถสกัดลมปราณหยกให้กลายเป็นพลังงานได้ เมื่อพวกมันเริ่มหลั่งไหลเข้าไปในร่างกาย หานเซิ่นก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังถูกแช่แข็ง อุณหภูมิของเขาไม่ได้ลดลง แต่พลังชีวิตของเขากำลังอ่อนลงเรื่อยๆ


 


หานเซิ่นรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขากำลังกลายเป็นหยกและพลังชีวิตของเขาก็อ่อนลงเรื่อยๆ เขาพยายามจะใช้เรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไป แต่เขาไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของมันได้


 


พลังของลมปราณหยกแข็งแกร่งกว่าพลังของยีนในร่างกายของเขาดังนั้นยีนในร่างกายของเขาจึงถูกข่มโดยลมปราณหยก


 


หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนั้น เขาไม่คาดคิดว่าความแตกต่างระหว่างลมปราณหยกของชั้นที่ 4 กับชั้นที่ 5 จะแตกต่างกันมากขนาดนี้


 


หานเซิ่นตัดสินใจใช้วิชากลายเป็นหินเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหิน เมื่อลมปราณหยกพยายามเข้ามาในร่างกายของเขา พวกมันก็ไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขาได้อีก แต่มันเกาะอยู่บนร่างกายที่เป็นหินของเขา ซึ่งทำให้ง่ายที่เขาจะดูดซับเข้าไป


 


เมื่อใช้วิชากลายเป็นหิน อีกวิชาที่หานเซิ่นจะใช้ได้ก็คือเรื่องราวของยีน ดังนั้นเขาจึงเปิดใช้งานเรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับลมปราณหยกที่อยู่รอบๆตัวเข้าไป


 


ลมปราณหยกถูกดูดซับเข้าไปโดยร่างที่กลายเป็นหินของเขา หานเซิ่นยังคงใช้งานเรื่องราวของยีนต่อไป ขณะที่ทำอย่างนั้นร่างกายที่เป็นหินของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นหยก


 


ลมปราณหยกที่ดูดซับเข้าไปพยายามจะส่งเขาขึ้นไปสู่ระดับเอิร์ล แต่ทุกครั้งก็จะมีอะไรบางอย่างมาขัดขวาง และทำให้เขาล้มเหลวทุกครั้ง ลมปราณหยกเป็นอะไรที่ทรงพลังมากๆ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มันไม่สามารถทำให้เขาพัฒนาไปสู่ระดับเอิร์ลได้


 


หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมง ลมปราณหยกก็หายไป หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เลิกใช้วิชากลายเป็นหิน


 


‘ทั้งๆที่ลมปราณหยกทรงพลังขนาดนั้น แต่ทำไมมันถึงยังไม่พอที่จะทำให้เรื่องราวของยีนไปสู่ขั้นต่อไป? เราต้องทำอย่างไงถึงจะกลายเป็นเอิร์ลได้สำเร็จ?’ หานเซิ่นรู้สึกหดหู่


 


ผู้คนบนชั้นต่างก็หันมามองหานเซิ่นที่เป็นคนแปลกหน้าด้วยความสงสัย พวกเขาสังเกตเห็นว่าหานเซิ่นไม่ใช่คนของเผ่านภา ซึ่งนั่นทำให้มันแปลกยิ่งขึ้นไปอีก


 


พวกเขาไม่รู้ว่าหานเซิ่นเป็นใคร และพวกเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าไวเคานต์คนหนึ่งจะขึ้นมาอยู่บนชั้นที่ 5 ร่วมกับพวกเขาในตอนที่ลมปราณหยกปะทุออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงคาดเดาว่าหานเซิ่นเป็นเอิร์ลคนหนึ่ง


 


หานเซิ่นไม่ได้อยู่พูดคุยกับพวกเขา แต่ตรงขึ้นไปบนชั้นที่ 6 ต่อในทันที เขามีวิชากลายเป็นหินอยู่ ดังนั้นลมปราณหยกไม่สามารถทำความเสียหายอะไรต่อเขาได้


 


“ถ้าลมปราณหยกของชั้นที่ 6 ยังช่วยให้เราพัฒนาไปสู่ขั้นต่อไปไม่ได้ เราก็ต้องขึ้นไปชั้นต่อไป” หานเซิ่นเดินขึ้นไปชั้นที่ 6


 


มันยังไม่ถึงเวลาที่ลมปราณหยกรอบต่อไปจะปะทุขึ้นมา แต่มันก็ไม่มีใครหันมาหานเซิ่น หานเซิ่นมองไปรอบๆและพบว่ากระเรียนพันขนไม่ได้อยู่บนชั้นนี้ ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าขึ้นไปชั้นที่ 7


 


หานเซิ่นได้พบกับกระเรียนพันขนบนชั้นที่ 7 ซึ่งบนชั้นที่เจ็ดนั้นนอกจากหานเซิ่นแล้วยังมีคนอื่นอยู่อีก 3 คน


 


2 คนเป็นคนของเผ่านภา ส่วนอีกคนหนึ่งหัวโล้นและมีจุด 9 จุดบนหัวของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามาจากเผ่าบุดด้า เขายังดูหนุ่มเช่นเดียวกับสปีชเลสส์ ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากที่คนอายุเท่าเขาจะมาถึงจุดนี้ เขาถือเป็นสุดยอดของสุดยอดในหมู่เอิร์ลด้วยกัน เพราะเอิร์ลส่วนใหญ่ไม่สามารถขึ้นไปได้มากกว่าชั้นที่ 5


 


จากเผ่านภาทั้ง 2 หนึ่งในพวกเขาคือกระเรียนพันขน ส่วนอีกคนคือหญิงสาวที่หานเซิ่นไม่รู้จัก


 


หานเซิ่นมองไปที่พวกเขา และพวกเขาก็มองมาที่หานเซิ่น


 


“ศิษย์น้องหาน ทำไมเจ้าไม่ฝึกอยู่ข้างล่างนั่น? ทำไมเจ้าถึงขั้นมาบนนี้?”


กระเรียนพันขนถาม ก่อนที่หานเซิ่นจะได้ตอบ หญิงสาวก็มองมาที่หานเซิ่นและพูด “เจ้าคือหานเซิ่นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดใช่ไหม?”


 


หานเซิ่นรู้ว่าเธอจะพูดอะไรต่อไป เขายิ้มให้กับเธอและพูด “ใช่แล้ว ข้าคือหานเซิ่นคนที่ถูกกระเรียนพันขนแบกขึ้นมา”


1969

ชั้นที่ 7

หญิงสาวได้ยินที่หานเซิ่นพูดและยิ้มออกมา “เจ้าเป็นคนตลกดี ชื่อของข้าคือยวิ๋นซู่ซาง ข้าเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสิบ เจ้าควรจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่”


 


“คารวะศิษย์พี่ยวิ๋น” หานเซิ่นพูด เขารู้สึกราวกับว่าได้กลับเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้ง ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ดี


 


ยวิ๋นซู่ซางชี้ไปที่ชายชาวบุดด้าและพูด “ชื่อของเขาคือเฟิร์สเดย์ ทางบุดด้าส่งเขามาที่ฝึกฝนเหมือนกันกับเจ้า”


 


“อมิตาพุต! คารวะมิสเตอร์หาน” เฟิร์สเดย์โค้งคำรับหานเซิ่น


 


ถึงหานเซิ่นจะไม่ชอบพวกบุดด้า แต่เขาไม่ได้คิดว่าบุดด้าทุกคนเป็นคนไม่ดี เขาไม่เคยรู้จักกับเฟิร์สเดย์มาก่อน ดังนั้นหานเซิ่นจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องเกลียดชังเขา แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นหานเซิ่นก็ต้องการจะหลีกเลี่ยงการเป็นเพื่อนกับเฟิร์สเดย์ หลังจากที่แนะนำตัวเสร็จแล้ว หานเซิ่นก็หันกลับไปหากระเรียนพันขน


 


“กระเรียนพันขน เจ้าบอกว่าสถานหยกขาวมีหอคอยอยู่ทั้งหมด 12 หอคอย แต่ทำไมข้าถึงเห็นแค่หอคอยนี้หอคอยเดียวเอง”


ถ้าเขาไม่สามารถพัฒนาไปขั้นต่อไปได้บนชั้นที่ 7 เขาคิดว่าอาจจำเป็นต้องไปในที่ที่ลมปราณหยกรุนแรงยิ่งกว่านี้


 


“ในสถานหยกขาวมีทั้งหมด 12 หลังและ 5 เมือง คนส่วนใหญ่จะเห็นเพียงแค่หอคอยทั้ง 12 เท่านั้นไม่ใช่ทั้ง 5 เมือง เพราะฉะนั้นพวกเขาจะเข้ามาได้แค่ที่นี่เท่านั้น ถ้าเจ้าต้องการจะเข้าไปในหอคอยอื่นๆ อย่างแรกเจ้าก็ต้องเข้าใจหอคอยนี้ซะก่อน” กระเรียนพันขนพูด


 


“ข้าต้องเข้าใจอะไร?” หานเซิ่นถาม


 


“ข้าไม่รู้ มันเป็นสิ่งที่เจ้าต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง มันยากที่ข้าจะอธิบายได้ แต่ข้าคิดว่าเจ้าควรจะเริ่มฝึกจากชั้น 3 หรือชั้น 4 ก่อน แล้วเจ้าค่อยมาคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นในตอนที่เจ้าเลื่อนขึ้นมายังชั้นที่ 5 หรือชั้นที่ 6” กระเรียนพันขนพูด


 


หานเซิ่นอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็มีใครบางคนขึ้นมายังชั้นที่ 7 ซึ่งเธอก็คือยวิ๋นซู่อีที่พวกเขาพบบนชั้นที่ 3


 


ยวิ๋นซู่อีดูตกใจเมื่อได้เห็นหานเซิ่นบนนี้ ในตอนที่ลมปราณหยกหายไป เธอก็ไม่เห็นหานเซิ่นแล้ว เธอเชื่อว่าเขาคงจะทนต่อมันไม่ได้และตัดสินใจกลับออกไป เธอไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะขึ้นไปยังชั้นที่สูงกว่าแทน


 


“ซู่อี ให้ข้าแนะนำเขาให้เจ้ารู้จัก นี่ก็คือลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีด หานเซิ่น” ยวิ๋นซู่ซางดึงยวิ๋นซู่อีเข้าไปใกล้ด้วยรอยยิ้ม


 


“ข้าได้พบเขาตั้งแต่ข้างล่างแล้ว” ยวิ๋นซู่อีตอบ


 


ยวิ๋นซู่อีกับยวิ๋นซู่ซางเป็นพี่น้องกัน พวกเธอเป็นทายาทของผู้อาวุโสสิบ ยวิ๋นซู่อีสืบสายเลือดมา ขณะที่ยวิ๋นซู่ซางเป็นลูกบุญธรรม จริงๆแล้วยวิ๋นซู่ซางเป็นลูกสาวของผู้อาวุโสเจ็ด แต่เขาได้เสียชีวิตไป ยวิ๋นซู่ซางจึงถูกพ่อของยวิ๋นซู่อีรับไปเลี้ยงตั้งแต่ที่เธอยังเด็ก


 


กระเรียนพันขนเองก็เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสิบ ดังนั้นเขาจึงใกล้ชิดกับพี่น้องยวิ๋น


 


พวกเธอมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเหมือนกับพี่น้องจริงๆ ซึ่งในช่วงที่สถานหยกขาวยังไม่ปะทุขึ้นมา ยวิ๋นซู่อีก็มักจะขึ้นมาพูดคุยกับยวิ๋นซู่ซางเพื่อฆ่าเวลา


 


หานเซิ่นถามกระเรียนพันขน “กระเรียนพันขน ข้าสงสัยเกี่ยวกับลมปราณหยกของหอคอยอื่นๆ พวกมันจะรุนแรงยิ่งกว่าที่นี่หรือเปล่า?”


 


แต่ก่อนที่กระเรียนพันขนจะตอบ ยวิ๋นซู่อีก็พูดขึ้นมา “พวกมันไม่ใช่แค่รุนแรงกว่าเท่านั้น พวกมันยังมีจิตวิญญาณด้วย ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นระดับเอิร์ลเป็นอย่างน้อย เจ้าก็จะตายอยู่ที่นั่น”


 


“นั่นหมายความถ้าข้ากลายเป็นเอิร์ล ข้าก็จะไปที่หอคอยอื่นได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


“เจ้าต้องเข้าใจถึงความหมายของหอคอยนี้ซะก่อน เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะมองเห็นหอคอยอื่นเบื้องหลังหอคอยนี้” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


‘กระเรียนพันขน ยวิ๋นซู่ซางและเฟิร์สเดย์คือที่สุดในหมู่เอิร์ล แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจมันอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง เขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะพูดออกมา


 


แต่ยวิ๋นซู่อีรู้ว่าหานเซิ่นกำลังคิดอะไร เธอยิ้มออกมาและพูด “ศิษย์พี่กระเรียนและพี่สาวของข้าเข้าใจมันเรียบร้อยแล้ว หลายคนบนชั้น 6 ก็เข้าใจเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน แต่จากทั้ง 12 หอคอย หอคอยแรกถือว่าพื้นๆ ลมปราณหยกของที่นี่ง่ายที่จะสกัดและดูดซับเข้าไป ดังนั้นมันจะเป็นการดีที่สุดที่จะอยู่ที่นี่จนกระทั่งกลายเป็นมาร์ควิส”


 


หลังจากที่ได้ยินอย่างนั้นหานเซิ่นก็ขมวดคิ้ว ‘ถ้าลมปราณหยกในหอคอยนี้ถือว่าพื้นๆ ลมปราณหยกในหอคอยอื่นจะน่ากลัวขนาดไหนกัน? ถ้าที่นี่เรายังพัฒนาไปขั้นต่อไปไม่ได้ บางทีเราควรจะไปยังหอคอยต่อไป แต่เราไม่รู้ว่าจำเป็นต้องเข้าใจอะไร’


 


หลังจากที่พูดคุยกันอยู่สักพัก ยวิ๋นซู่ซางก็สังเกตเห็นว่ามันถึงเวลาแล้ว หลังจากนั้นเธอก็หันไปพูดกับยวิ๋นซู่อี “ลมปราณหยกกำลังจะปะทุออกมา เจ้าควรจะกลับไปได้แล้ว พวกเราค่อยคุยกันต่อหลังจากนี่เสร็จแล้ว”


 


ยวิ๋นซู่อีพยักหน้าและเริ่มเดินลงบันไดไป หานเซิ่นยังคงพูดคุยกับกระเรียนพันขนอยู่ ดังนั้นเธอจึงพูดขึ้นมา “เจ้าเองก็ควรจะลงมาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่อลมปราณหยกปะทุขึ้นมา เจ้าก็จะกลายเป็นรูปปั้นหยกซะก่อนที่เจ้าจะได้มีโอกาสกลับลงไป”


 


“ศิษย์น้องหาน เจ้าลงไปได้แล้ว พวกเราค่อยคุยกันต่อทีหลัง” กระเรียนพันขนพูด


 


“ข้าจะไม่กลับลงไป ข้าต้องการฝึกที่นี่” หานเซิ่นพูด


 


ยวิ๋นซู่อีและคนอื่นหันมามองหานเซิ่นอย่างตกใจ ยวิ๋นซู่อีพบว่าตัวเธอทั้งโกรธและประหลาดใจ “แม้แต่เอิร์ลส่วนใหญ่ยังไม่กล้าขึ้นมาชั้นที่ 7 เลย มีเพียงแค่พี่สาวของข้าและศิษย์พี่กระเรียนที่เป็นคนที่มีพรสวรรค์และแข็งแกร่วกว่าเอิร์ลทั่วๆไปเท่านั้นที่กล้ามาฝึกบนนี้ นี้เจ้าไม่เห็นหรือว่าชั้นที่ 6 มีเอิร์ลอยู่มากขนาดนั้น พวกเขาไม่กล้าจะขึ้นมาบนนี้ แล้วแบบนั้นเจ้าที่เป็นแค่ไวเคานต์คิดว่าจะฝึกบนนี้ได้เนี่ยนะ? เจ้าอยากจะกลายเป็นรูปปั้นหรือยังไง?”


 


“ศิษย์น้องหาน เจ้าควรจะกลับลงไปข้างล่าง เจ้าควรจะค่อยๆฝึกไปทีละชั้น” กระเรียนพันขนพูด


 


หานเซิ่นหัวเราะและพูด “วิชาของข้าพร้อมเต็มที่แล้ว แต่ข้าจำเป็นต้องใช้ลมปราณหยกของชั้นที่ 7 เพื่อพัฒนาไปสู่ขั้นต่อไป อย่าได้กังวล ข้าทนต่อลมปราณหยกของที่นี่ได้”


 


ยวิ๋นซู่อีกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ยวิ๋นซู่ซางเข้ามาขัดเธอเอาไว้ “ซู่อี เจ้าไปได้แล้ว ลมปราณหยกจะปะทุในเร็วๆนี้ ถ้ายังชักช้ามันจะสายเกินไป”


 


ยวิ๋นซู่อีรีบลงจากชั้นที่ 7 ไป แต่เธอหันกลับมามองเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งเธอเห็นว่าหานเซิ่นไม่คิดจะตามลงมาด้วย


 


‘เขาไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่เขากลับมักใหญ่ใฝ่สูง แบบนี้ศิษย์พี่กระเรียนคงจะต้องแบกเขาอีกรอบแหง๋ๆ’ ยวิ๋นซู่อีคิดกับตัวเอง


 


กระเรียนพันขนและยวิ๋นซู่ซางพยายามจะโน้มน้าวหานเซิ่น แต่พวกเขาไม่ได้สนิมสนมอะไรกัน ซึ่งถ้าหานเซิ่นยืนกรานที่จะฝึกบนนี้ให้ได้ พวกเขาก็ไม่คิดจะขอร้องให้หานเซิ่นเปลี่ยนใจ


 


กระเรียนพันขนยิ้มแห้งๆออกมาและส่ายหัว ถ้าหานเซิ่นไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของลมปราณหยกได้ เขาก็ต้องแบกหานเซิ่นลงไป เขาไม่สามารถปล่อยให้ลมปราณหยกทำให้หานเซิ่นกลายเป็นรูปปั้นและเสียชีวิตไป


 


หานเซิ่นนั่งลงใกล้ๆกับกระเรียนพันขน เฟิร์สเดย์หันมามองหานเซิ่นด้วยความอยากรู้อยากเห็น และหานเซิ่นก็ยิ้มให้กับเขา ซึ่งเฟิร์สเดย์ดูเขินอายและหันหน้าหนีไป


 


‘บุดด้าเฟิร์สเดย์คนนี้น่าสนใจ เขายังหนุ่มอยู่ แต่เขาอาจจะเทียบได้กับบุดด้าเจ็ดวิญญาณเลยก็ได้ แต่ดูเหมือนจิตใจของเขายังคงเด็กอยู่’ หานเซิ่นคิด หลังจากนั้นลมปราณหยกก็เริ่มปะทุออกมา


1970 กลายเป็นเอิร์ล

ลมปราณหยกของชั้นที่ 7 เริ่มไหลราวกับของเหลว พวกมันลอยอยู่บนอากาศอย่างเห็นได้ชัด


 


หานเซิ่นใช้กลายเป็นหินเพื่อเปลี่ยนผิวหนังของตัวเองให้กลายเป็นหิน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกถึงความหนาวเย็นของลมปราณหยกเมื่อมันสัมผัสกับร่างกาย หลังจากนั้นเขาก็เริ่มใช้เรื่องราวของยีนเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไป


 


กระเรียนพันขน ยวิ๋นซู่ซางและเฟิร์สเดย์ต่างก็หันมามองหานเซิ่น แม้แต่เอิร์ลทั่วๆไปก็ยังไม่สามารถทนต่อลมปราณของชั้นที่ 7 ได้เลย แต่หานเซิ่นเป็นเพียงแค่ไวเคานต์คนหนึ่ง มันจึงมีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นลูกปั้นหยกไป กระเรียนพันขนมีแผนที่จะแบกหานเซิ่นออกไปทันทีเมื่อเห็นว่าเขาดูท่าไม่ดี


 


แต่ทั้ง 3 ต่างก็ตกใจเมื่อได้เห็นหานเซิ่นเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหิน ทำให้ลมปราณหยกไม่มีผลอะไรต่อร่างกายของเขามากนัก หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เริ่มจะดูดซับพวกมันเข้าไป ซึ่งทำให้ทั้ง 3 คนประหลาดใจอย่างมาก


 


“นั่นมันวิชาจีโนแบบไหนกัน? มันทำให้ไวเคานต์คนหนึ่งทนต่อลมปราณหยกของชั้นที่ 7 ได้เลยอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่ซางตกตะลึง


 


กระเรียนพันขนเองก็ตกใจไม่แพ้กัน “ดูเหมือนจะเป็นวิชาจีโนที่เปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นหิน แต่ไม่ว่ามันจะเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมสักแค่ไหน มันก็ไม่ควรจะมีประสิทธิภาพถึงขนาดนี้เมื่อถูกใช้โดยไวเคานต์คนหนึ่ง ดังนั้นมันไม่มีทางเป็นแค่วิชาจีโนธรรมดาแน่ๆ มันจะต้องเป็นวิชาจีโนที่ราชินีแห่งมีดมอบให้กับเขา”


 


ทั้ง 3 สังเกตหานเซิ่นอีกเพียงไม่นาน ถึงพวกเขาจะรู้สึกสงสัย แต่พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องใช้สมาธิกับการฝึกของตัวเอง


 


ลมปราณหยกของชั้นที่ 7 ไม่สามารถทำอะไรหานเซิ่นได้ขณะที่เขากลายเป็นหิน หลังจากที่เขาใช้วิชากลายเป็นหิน ร่างกายของเขาก็สามารถเข้ากันได้ดีกับลมปราณหยก ซึ่งทำให้มันง่ายที่เขาจะดูดซับพวกมันเข้าไป


 


ลมปราณหยกถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของหานเซิ่นราวกับสายน้ำ ขณะที่เขาใช้เรื่องราวของยีนโดยหวังว่าจะพัฒนาสู่ขั้นต่อไปได้สำเร็จ


 


ชุดเกราะมนตราปรากฏขึ้นมาและห่อหุ้มร่างกายของหานเซิ่นโดยอัตโนมัติ ชุดเกราะส่องแสงแปลกๆออกมาและสัญลักษณ์ประหลาดก็ปรากฏขึ้นทั่วชุดเกราะ มันดูเป็นอะไรที่น่ากลัว


 


ทั้ง 3 คนสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวรอบตัวหานเซิ่น และเมื่อทั้ง 3 มองไปที่เขา ทั้ง 3 ก็ดูแปลกใจอย่างมาก “นี่เขากำลังจะพัฒนาไปเป็นเอิร์ลจริงๆอย่างนั้นหรอ?”


 


หานเซิ่นได้กินเม็ดทรายดาราจักรเข้าไปจำนวนมาก เขาพร้อมที่จะวิวัฒนาการอยู่แล้ว แต่เขาขาดแรงกระตุ้นบางอย่าง


 


ทรายดาราจักรเป็นแก่นแท้ของยีนซีโน่เจเนอิคที่ถูกอัดแน่นเอาไว้ มันสามารถดูดซับเข้าไปได้ทันทีที่กินเข้าไป แต่ลมปราณหยกเป็นเหมือนกับแร่ พวกมันจำเป็นต้องถูกสกัดก่อนถึงจะดูดซับเข้าไปได้


 


ในตอนที่ขุนนางปกติดูดซับลมปราณหยกเข้าไป พวกมันส่วนใหญ่จะสูญเปล่าและถูกปล่อยกลับคืนมาในหอคอย มีเพียงแค่ลมปราณหยกส่วนน้อยเท่านั้นที่จะกลายพลังงานสำหรับร่างกายของพวกเขาจริงๆ


 


แต่ทรายดาราจักรเป็นสิ่งที่แม้แต่ขุนนางระดับต่ำก็สามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงอะไร ดังนั้นหานเซิ่นจึงสามารถกินมันเข้าไปได้ตามที่ต้องการ แต่การรับลมปราณหยกเข้าไปในร่างมากเกินไปจะทำให้ร่างกายของคนๆนั้นได้รับความเสียหายได้


 


โชคดีที่หานเซิ่นไม่ได้ต้องการจะดูดซับลมปราณหยกเข้าไปจำนวนมาก เขาแค่ต้องการใช้พลังของมันเพื่อกระตุ้นให้เรื่องราวของยีนพัฒนาไปสู่ระดับเอิร์ลเท่านั้น


 


ซึ่งลมปราณหยกของชั้นที่ 7 ก็รุนแรงพอที่จะทำอย่างนั้น ลมปราณหยกถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของเขา และก็ไปกระตุ้นให้ชุดเกราะมนตราของเขาเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการวิวัฒนาการไปเป็นระดับเอิร์ล


 


ลวดลายบนชุดเกราะมนตราเริ่มจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ทั้ง 3 คนสังเกตไปที่ชุดเกราะอย่างตั้งใจ พวกเขาไม่แน่ใจว่ามันกำลังบ่งบอกถึงอะไร


 


เมื่อสัญลักษณ์บนชุดเกราะมนตราเริ่มสว่างไสวขึ้น มันก็เหมือนกับว่าแสงกำลังมีชีวิตขึ้นมา มันออกมาจากชุดเกราะของหานเซิ่นและห้อมล้อมเขาราวกับกลุ่มของแฟรี่


 


“นี่คือจิตวิญญาณอักษร มันเหมือนกับในตำราไร้อักษรของพวกเรา มันเป็นจิตวิญญาณที่หาได้ยากมากๆ!” ยวิ๋นซู่ซางพูดขณะที่มองไปที่หานเซิ่น


 


“มันหายากจริงๆนั่นแหละ แต่รีเบทไม่มีวิชาจีโนอะไรแบบนั้น นี่เขาฝึกวิชาจีโนแบบไหนกันแน่?” กระเรียนพันขนพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“ไม่ว่ามันจะคืออะไร เขาก็ไม่ใช่ธรรมดาๆอย่างที่ตาเห็น นี่มันน่าสนใจจริงๆ” ยวิ๋นซู่ซางมองหานเซิ่นด้วยความสนใจ


 


เฟิร์สเดย์มองไปที่หานเซิ่นอย่างอยากรู้อยากเห็น “ศิษย์พี่กระเรียน วิชาจีโนที่หานเซิ่นฝึกอยู่นั่น เมื่อเทียบกับตำราไร้อักษรแล้วมันเป็นยังไง?”


 


กระเรียนพันขนส่ายหัว “ข้าไม่ได้ฝึกตำราไร้อักษร และข้าก็ไม่รู้ว่าวิชาจีโนที่หานเซิ่นฝึกคือวิชาอะไร ดังนั้นมันยากจะบอกได้ แต่ตำราไร้อักษรนั้นเป็นวิชาของปราสาทนภา ดังนั้นมันคงจะไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาจีโนไหนๆ เจ้าฝึกมนต์สัจธรรมที่มาจากตำราไร้อักษร ดังนั้นเจ้าก็ควรจะรู้เกี่ยวกับมันมากกว่าข้า”


 


“ใช่แล้วเฟิร์สเดย์ เจ้าคิดว่าจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่าของเจ้า?” ยวิ๋นซู่ซางถาม


 


เฟิร์สเดย์ดูเขินอาย เขาพูด “ข้าไม่เข้าใจถึงวิชาของเขา แต่ข้ารู้สึกว่ามันลึกซึ้งยิ่งกว่าจิตวิญญาณของข้าI”


 


ยวิ๋นซู่ซางและกระเรียนพันขนแปลกใจที่ได้ยินอย่างนั้น ตำราไร้อักษรเป็นวิชาที่ไม่ใช่ทุกคนในปรานภาจะสามารถใช้ได้ มันมีข้อจำกัดมากมายที่ผู้ฝึกจำเป็นต้องมี ดังนั้นถึงแม้ยวิ๋นซู่ซางและกระเรียนพันขนจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถฝึกมันได้


 


ถึงแม้จะมีน้อยคนที่สามารถฝึกตำราไร้อักษรฉบับดั้งเดิมได้ แต่ผู้อาวุโสของปราสาทนภาได้ทำการนำเนื้อหาบางส่วนของตำรามาปรับแต่งเพื่อให้ทุกคนสามารถฝึกมันได้ และนั่นมีชื่อว่ามนต์สัจธรรม


 


ถึงแม้มนต์สัจธรรมจะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยของตำราไร้อักษร แต่มันก็แข็งแกร่งพอที่จะเทียบชั้นได้กับวิชาจีโนที่มีชื่อเสียงอื่นๆ เฟิร์สเดย์ฝึกฝนมันจนเชี่ยวชาญและพรสวรรค์ของเขาก็ไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งถ้าเขารู้สึกแบบนั้น มันก็หมายความว่าวิชาจีโนของหานเซิ่นต้องสุดยอดจริงๆ


 


เมื่อหานเซิ่นวิวัฒนาการ จิตวิญญาณของชุดเกราะมนตราก็แข็งแกร่งขึ้น สัญลักษณ์บนชุดเกราะของเขาเริ่มหมุนวนไปรอบๆจนเกิดเป็นวังวนขึ้นมา วังวนดูดลมปราณหยกเข้าไปอย่างหิวกระกายเพื่อเป็นพลังงานให้กับร่างกายของหานเซิ่น


 


ปัง!


 


ทันใดนั้นสัญลักษณ์บนชุดเกราะก็แตกสลายและแสงที่บินรอบๆตัวของเขาก็ระเบิดเหมือนกับประทัด


 


กระเรียนพันขนและคนอื่นตกตะลึง พวกเขาคิดว่าหานเซิ่นวิวัฒนาการไม่สำเร็จ แต่หลังจากนั้นรัศมีของพลังก็แผ่ออกมาจากหานเซิ่น เมื่อคนอื่นๆได้เห็นมัน พวกเขาก็รู้ในทันทีว่าหานเซิ่นสามารถวิวัฒนาการไปเป็นเอิร์ลได้สำเร็จ


 


‘ร่างต่อสู้มนตรากลายเป็นระดับเอิร์ล’


 


เสียงประกาศดังขึ้นในจิตใจของหานเซิ่น ซึ่งทำให้เขารู้สึกดีใจขึ้นมา หลังจากพยายามอย่างหนัก ในที่สุดเรื่องราวของยีนก็พัฒนาสู่ระดับเอิร์ล


1971 ชั้นที่ 4

ยวิ๋นซู่อีหยุดฝึกและลืมตาขึ้นมา ลมปราณหยกไม่ได้ปะทุออกมาอีกแล้ว ดังนั้นเธอจึงมองไปรอบๆเพื่อดูว่าหานเซิ่นอยู่หรือเปล่า แต่เขาไม่ได้อยู่


 


“ทำไมพี่กระเรียนถึงไม่พาหานเซิ่นลงมา? หรือว่าบางทีพวกเขาจะอยู่บนชั้นที่ 4?” ยวิ๋นซู่อีสงสัยขณะที่เดินขึ้นไปยังชั้นต่อไป


 


แต่มันไม่มีวี่แววของหานเซิ่นบนชั้นที่สี่ ยวิ๋นซู่อีขมวดคิ้วและตั้งใจจะเดินขึ้นไปยังชั้นต่อไป แต่หานเซิ่น กระเรียนพันขน ยวิ๋นซู่ซางและเฟิร์สเดย์เดินกลับลงมาซะก่อน


 


ยวิ๋นซู่อีรีบเข้าไปหาพวกเขาและสังเกตหานเซิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ข้าบอกให้เจ้าตามลงมาพร้อมกับข้า แต่เจ้ากลับดื้อรั้น ศิษย์พี่กระเรียนและเฟิร์สเดย์เลยต้องเสียเวลาพาเจ้ากลับลงมา ลมปราณหยกจะถูกปลดปล่อยออกมาแค่อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาก็ต้องรอไปอีก 7 วัน”


 


ยวิ๋นซู่ซางดึงเสื้อของยวิ๋นซู่อีและพูด “มันไม่ใช่อย่างนั้น”


 


“มันไม่ใช่อะไร?” ยวิ๋นซู่อีถามอย่างสบสัน


 


เฟิร์สเดย์พูด “มิสเตอร์หานวิวัฒนาการเป็นเอิร์ลบนชั้นที่ 7 พวกเราจึงลงมาพร้อมกันในตอนที่ลมปราณหยกสิ้นสุดลงแล้ว”


 


เมื่อยวิ๋นซู่ซางได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง เธอมองไปที่หานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าอยู่บนชั้นที่ 7 และกลายเป็นเอิร์ลจริงๆอย่างนั้นหรอ?”


 


หานเซิ่นพยักหน้า เขาไม่ได้คิดจะปกปิดพลังของตัวเอง


 


ยวิ๋นซู่อีทำอะไรไม่ถูก เธอยังคงอ้าปากค้างและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก


 


มันไม่เคยมีไวเคานต์คนไหนทนต่อลมปราณหยกของชั้นที่ 7 และกลายเป็นเอิร์ลได้สำเร็จมาก่อน ดังนั้นมันจึงยากที่จะเชื่อได้


 


“ไปกันเถอะ พวกเราค่อยพูดคุยกันต่อทีหลัง” กระเรียนพันขนนำทางออกจากสถานหยกขาวไป


สถานหยกขาวนั้นจะปล่อยลมปราณหยกออกมาแค่ 2 ครั้งในหนึ่งวัน หลังจากนั้นมันก็จะสงบเงียบไปเป็นเวลา 6 วัน หานเซิ่นสามารถพัฒนาเรื่องราวของยีนไปสู่ขั้นต่อไปได้สำเร็จตั้งแต่วันแรก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่สนใจอะไรอย่างอื่นอีก เขายังไม่ได้ค้นพบความลับของสถานหยกขาว แต่เขาก็ไม่ได้รังเกลียดอะไรที่จะรอคอยจนถึงอาทิตย์หน้า


 


หานเซิ่นดีใจมากแล้วที่สามารถทำให้มนตราวิวัฒนาการเป็นระดับเอิร์ลได้สำเร็จ


 


ในตอนที่พวกเขาบอกลากัน ยวิ๋นซู่ซางก็หยุดหานเซิ่นเอาไว้และพูด

“หานเซิ่น ในอีก 2 วัน กระเรียนพันขนและข้าจะไปที่ถ้ำเสวียนเยวี๋ยน ถ้าเจ้ามีเวลา เจ้าควรไปกับพวกเรา”


 


“ถ้าเจ้าไม่ปฏิเสธการเข้าร่วมของข้า ข้าก็ยินดีจะไปด้วย” หานเซิ่นพูด


 


พวกเขากำหนดเวลานัดพบกัน หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็พาหานเซิ่นกลับไปส่งที่เกาะลอยฟ้าของเขา


 


“ในปราสาทนภา เจ้าควรจะมีสัตว์ขี่ที่บินได้สักตัว มันจะเป็นอะไรที่สะดวกสบาย ถ้าเจ้าบินไปไหนมาไหนด้วยตัวเองไม่ได้’ กระเรียนพันขนพูดขณะที่พาหานเซิ่นกลับไป


 


“ข้าจะหาสัตว์ขี่ได้จากที่ไหน? และข้าจะหาซื้อจากภายนอกปราสาทนภาได้ไหม?” หานเซิ่นคิดว่าถ้าพวกเขาอนุญาตให้ใช้งานซีโน่เจเนอิค หานเซิ่นก็คิดที่จะพาดาวน้อยมา


 


กระเรียนพันขนส่ายหัว “สิ่งมีชีวิตจากภายนอกเข้ามาในนี้ไม่ได้ แต่พวกเรามีเกาะที่ใช้สำหรับเลี้ยงดูเหล่าซีโน่เจเนอิค เจ้าจะหาซื้อสัตว์ขี่ที่บินได้จากที่นั่น ถ้าเพียงแค่ใช้เพื่อการเดินทางล่ะก็ แม้แต่ระดับบารอนก็ใช้งานได้ และมันก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรมาก แต่มันจะดีกว่า ถ้าเจ้าเลือกลงทุนกับตัวที่เป็นระดับไวเคานต์”


 


หานเซิ่นถามตำแหน่งของที่นั่น หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็จากไป


 


หานเซิ่นกลับเข้าไปในห้องและอัญเชิญมนตราที่เพิ่งจะเพิ่มระดับออกมา เขาต้องการเห็นว่าเธอเปลี่ยนแปลงไปยังไง


 


มนตราปรากฏตรงหน้าเขาในร่างของหญิงสาว หลังจากนั้นเธอก็บินเข้ามาในมือของหานเซิ่นและกลายเป็นปืนไรเฟิล


 


เมื่อหานเซิ่นใช้จิตใจ ปืนไรเฟิลก็เปลี่ยนไปเป็นอาวุธที่ดูเหมือนกับอาร์พีจี


 


“ว้าว! มันมีร่างที่ 4 และแต่ละร่างก็ดีกว่าร่างก่อนหน้า” หานเซิ่นรู้สึกดีใจ


 


แต่หานเซิ่นไม่สามารถทดสอบพลังของมันในบ้านได้ ดังนั้นเขาจึงเก็บมันกลับไป


 


‘เราต้องหาสถานที่เพื่อลองเครื่องยิงจรวดนี้ทีหลัง มันจะมีพลังแบบไหนกันแน่นะ?’ หานเซิ่นคิด


 


หลังจากที่พักผ่อนแล้ว หานเซิ่นก็มีแผนจะไปดูกฎระเบียบของปราสาทนภา เขาไม่ต้องการจะฝ่าฝืนกฎโดยไม่รู้ตัว


 


หานเซิ่นไม่มีสัตว์ขี่อยู่ ดังนั้นเขาจึงต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อบินออกไป โชคดีที่ตอนนี้เขาวิวัฒนาการเป็นเอิร์ลแล้ว ทำให้เขาสามารถบินไปยังเกาะหลักได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร


 


หานเซิ่นอ่านกฎระเบียบและพยายามจดจำพวกมันเอาไว้


 


ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน การรู้กฎระเบียบก็เป็นเรื่องสำคัญเสมอ และเมื่อเขาพบเจอกับคนอื่น เขาก็จะได้ไม่ถูกมองว่าเป็นศัตรูคนหนึ่ง ในบางครั้งการรู้กฎระเบียบหมายความว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือที่คาดไม่ถึงด้วย


 


มันมีกฎอยู่หลายข้อภายในปราสาทนภา หานเซิ่นจึงต้องใช้เวลาในการจดจำพวกมันแต่ละข้อให้ขึ้นใจ


 


แต่ทันใดนั้นก็มีซีโน่เจเนอิคที่ดูเหมือนกับเสือกระโดดลงมาใกล้ๆกับหานเซิ่น ยวิ๋นซู่อีอยู่บนหลังของมัน เธอลงมาอยู่ตรงหน้าของหานเซิ่น


 


“ซู่อี เจ้าเองก็มาที่นี่เพื่ออ่านกฎระเบียบอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม


 


ยวิ๋นซู่อียิ้มและพูด “ข้าเกิดในปราสาทนภา ข้าจึงได้อ่านกฎระเบียบหลายต่อหลายครั้งแล้ว ถึงข้าจะถูกลงโทษอยู่บ่อยๆ แต่ข้าก็หลับตาท่องกฎทุกข้อได้อย่างสบายๆ ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องอ่านมันอีก”


 


“นั่นหมายความว่าเจ้ามีธุระกับข้าสินะ?” หานเซิ่นมองไปรอบๆ แต่มันไม่มีใครคนอื่นนอกจากเขาอยู่ที่นี่


 


ยวิ๋นซู่อีพยักหน้าและพูด “พี่สาวของข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่มีสัตว์ขี่เป็นของตัวเอง ดังนั้นข้าจะพาเจ้าไปซื้อมัน ตระกูลยวิ๋นนั้นเชี่ยวชาญเรื่องการเลี้ยงดูซีโน่เจเนอิค ดังนั้นพวกเราจึงมีร้านขายซีโน่เจเนอิคอยู่ ข้าจะลดราคาให้กับเจ้า”


 


“แบบนั้นก็ขอขอบคุณมากๆ” หานเซิ่นตอบ


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” ยวิ๋นซู่อีดูค่อนข้างตื่นเต้น


 


“ได้โปรดรออีกสักหน่อย ข้ายังจดจำกฎระเบียบได้ไม่หมด” หานเซิ่นหันกลับไปอ่านกฎระเบียบบนแผ่นหิน


 


ยวิ๋นซู่อีรอและสังเกตเห็นว่าหานเซิ่นตั้งใจอ่านพวกมันอย่างมาก


 


‘นี่เขาเอาจริงอย่างนั้นหรอ? ให้ข้ายืนรออยู่ตรงนี้ แต่เขายังคงตั้งใจอ่านกฎระเบียบให้เสร็จเนี่ยนะ’ ยวิ๋นซู่อีรออยู่สักพัก ขณะที่หานเซิ่นยังคงตั้งใจอ่านพวกมันต่อไป


 


เธอเป็นลูกสาวของผู้อาวุโสสิบ ชายหลายคนต่างก็ต้องการเข้ามาใกล้ชิดกับเธอ แต่หานเซิ่นกลับเมินเฉยใส่เธอเพื่ออ่านกฎระเบียบแทน เขาใช้สมาธิราวกับว่าเขากำลังอ่านวิชาจีโนที่สุดยอดอยู่


 


ถ้ายวิ๋นซู่ซางไม่ได้กำชับให้เธอปฏิบัติกับเขาดีๆ ป่านนี้ยวิ๋นซู่อีก็คงจะจากไปเรียบร้อยแล้ว


 


ไม่นานหานเซิ่นก็อ่านมันจนเสร็จ หลังจากนั้นยวิ๋นซู่อีก็กระโดดขึ้นหลังเสือบินได้ของเธอ เธอยิ้มให้กับหานเซิ่นและพูด “ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปที่เกาะนั่น เจ้ารีบตามข้ามา”


 


หลังจากนั้นยวิ๋นซู่อีก็ลูบหัวเสือของเธอ ก่อนที่มันจะกางปีกและเริ่มบินออกไปอย่างรวดเร็ว


 


‘ข้ารอเป็นเวลานานเพื่อเจ้า ดังนั้นคราวนี้เจ้าก็ควรจะลำบากสักหน่อย’

ยวิ๋นซู่อีคิดพร้อมกับยิ้มออกมา เธอจงใจออกมาก่อนที่หานเซิ่นจะได้ขึ้นมาบนหลังสัตว์ขี่ของเธอ


1972 นกกระเรียนหยก

ยวิ๋นซู่อีให้เสือบินออกมาด้วยความเร็วสูงสุด มันพุ่งหายเข้าไปในหมู่เมฆในไม่ถึงวินาที เมื่อเธอหันกลับไปมอง เธอก็ไม่เห็นใครด้านหลัง


 


“เจ้าปล่อยให้ข้ารอเป็นเวลานาน เจ้าสมควรแล้ว!” ยวิ๋นซู่อีไม่ปล่อยให้เสือของเธอชะลอความเร็วลง เธอยังคงมุ่งหน้าต่อไป


 


ยวิ๋นซู่อีมีแผนจะไปที่เกาะและรอหานเซิ่นอยู่ที่นั่น เธออยากรู้ว่ามันจะใช้เวลานานขนาดไหนกว่าที่เขาจะไปถึงที่นั่น


 


เสือปีกหยกของเธอเป็นซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิส และมันก็เป็นหนึ่งในซีโน่เจเนอิคมาร์ควิสที่รวดเร็วที่สุด ดังนั้นมันไม่น่าแปลกใจที่เธอจะสลัดหานเซิ่นหลุดได้อย่างง่ายดาย


 


ยวิ๋นซู่อีรู้สึกอวดดีขึ้นมา แต่เมื่อศิษย์ของปราสาทนภาคนอื่นบินผ่านเธอไป พวกเขาก็จะหันมามองยวิ๋นซู่อีอย่างแปลกๆ


 


‘ข้ารู้ว่าข้างดงาม แต่พวกเขาไม่เห็นจะต้องจ้องมองข้าแบบนั้นเลย’ ยวิ๋นซู่อีคิด


 


แต่หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็รู้สึกตัวว่ามันผิดปกติ เธอรู้จักคนหลายคนที่สวนทางเธอไป และถึงแม้เธอจะไม่ค่อยได้มุ่งหน้าไปยังเกาะที่ขายซีโน่เจเนอิคบ่อยเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ไม่เคยดึงดูดความสนใจมากขนาดนี้มาก่อน


 


“นี่มันมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับลักษณะภายนอกของข้าอย่างนั้นหรอ?”

ยวิ๋นซู่อีสัมผัสแก้มและสังเกตชุดของตัวเอง แต่เธอก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ


 


เธอยังคงมุ่งหน้าต่อไป แต่ผู้คนก็ยังคงหันมามองเธอตลอดการเดินทาง ยวิ๋นซู่อีขมวดคิ้วและนำกระจกออกมาเพื่อส่องดูตัวเอง


 


“น่าแปลก มันไม่ได้มีอะไรผิดปกตินี่น่า ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น และข้าก็งดงามเหมือนกับทุกครั้ง อ้า!”

ขณะที่ยวิ๋นซู่อีขยับกระจกเพื่อส่องดูตัวออกจากมุมที่ต่างออกไป เธอก็สังเกตเห็นเงาปริศนาด้านหลัง คนๆนั้นกำลังยิ้มให้กับเธอผ่านกระจก ซึ่งเขาก็คือหานเซิ่นนั่นเอง


 


“เจ้าขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ยวิ๋นซู่อีหันกลับไปมองหานเซิ่นที่กำลังนั่งอยู่บนเสือของเธออย่างสบายใจ ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าทำไมคนอื่นๆถึงมองมาที่เธออย่างแปลกๆ


 


ผู้คนนั้นไม่ได้มองมาที่เธอจริงๆ แต่พวกเขากำลังมองไปที่หานเซิ่นต่างหาก


 


“ในตอนที่เจ้าให้เสือบินขึ้นฟ้าไป ข้าก็ขึ้นนั่งบนหลังของมันเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าจะพาข้าไปซื้อซีโน่เจเนอิคหรอกหรอ? หรือว่าข้าจะเข้าใจอะไรผิด? ข้าไม่ได้เข้าใจเจตนาของเจ้าผิดอย่างนั้นใช่ไหม?” หานเซิ่นยิ้ม


 


“เจ้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิด” ยวิ๋นซู่อีหน้าแดงและหันหน้าหนีหานเซิ่น


 


มันทำให้เธอประหลาดใจอย่างมากที่หานเซิ่นสามารถไล่ตามเธอได้ทัน


 


เพราะแม้แต่กระเรียนพันขนหรือยวิ๋นซู่ซางก็ไม่สามารถไล่ตามความเร็วของเสือปีกหยกได้ ซึ่งหานเซิ่นเพิ่งจะกลายเป็นเอิร์ลได้ไม่นาน ดังนั้นมันไม่มีทางที่เขาจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแบบนี้


 


ความจริงแล้วหานเซิ่นไม่ได้มีความเร็วมากพอที่จะไล่ตามเสือปีกหยกได้ทัน แต่เขามีรองเท้าเขี้ยวกระต่ายอยู่ พวกมันเร็วยิ่งกว่าเสือปีกหยก ถึงแม้พวกเขาจะขาดความสามารถในการบินก็ตาม ในตอนที่เสือปีกหยกกำลังจะบินขึ้นไป หานเซิ่นได้ใช้รองเท้าเขี้ยวกระต่ายเพื่อกระโดดขึ้นบนหลังของเสือ หลังจากนั้นเขาก็ซ่อนตัวตนเอาไว้เพื่อที่ยวิ๋นซู่อีจะไม่สังเกตเห็น


 


ยวิ๋นซู่อีรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


เสือปีกหยกนั้นรวดเร็ว และพวกเขาก็ไปถึงที่เกาะในเวลาไม่นาน


 


บนเกาะนั้มีซีโน่เจเนอิคอาศัยอยู่มากมาย พวกมันแต่ละตัวดูเชื่องและไม่กระหายเลือดแต่อย่างใด แถมพวกมันส่วนใหญ่ยังเป็นชนิดที่สามารถบินได้อีกด้วย


 


ยวิ๋นซู่อีพาหานเซิ่นไปที่สวนของตระกูลของเธอ และที่นั่นก็มีคนออกมาต้อนรับพวกเขา ยวิ๋นซู่อีบอกให้คนอื่นๆกลับไปทำงาน หลังจากนั้นเธอก็พาหานเซิ่นเข้าไปในสวนตามลำพัง


 


“เจ้าต้องการซีโน่เจเนอิคระดับไหน? พวกเรามีตั้งแต่ระดับบารอนไปจนถึงระดับมาร์ควิส พวกมันทุกตัวถูกฝึกจนเชื่อง ดังนั้นพวกมันจะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้า”

จริงๆแล้วยวิ๋นซู่อีอยากจะถามหานเซิ่นว่าเขายินดีจะจ่ายมากเท่าไหร่เพื่อซื้อซีโน่เจเนอิคสักตัว


 


หานเซิ่นคิดและพูด “ยิ่งถูกยิ่งดี ตัวไหนก็ได้ที่ใช้เป็นพาหนะแทนการเดินเท้า”


 


หานเซิ่นยังอยู่ในจักรวาลจีโนได้ไม่นาน และมันก็มีสิ่งมีชีวิตอีกมากมายภายในก็อตแซงชัวรี่ที่ยังไม่วิวัฒนาการ หานเซิ่นจึงไม่อยากสูญเสียทรัพยากรมากเกินไป


 


เพราะยังไงซะหานเซิ่นก็คิดจะล่าซีโน่เจเนอิคด้วยตัวเอง และมันก็มีโอกาสที่เขาจะได้รับวิญญาณอสูรประเภทสัตว์ขี่ ซึ่งวิญญาณอสูรยังไงก็ดีกว่าซีโน่เจเนอิคที่ถูกฝึกเป็นไหนๆ


 


ยวิ๋นซู่อียิ้มและพูด “อย่าได้กังวล พี่สาวของข้าบอกให้ข้าลดราคาให้กับเจ้าได้อย่างเต็มที่ เจ้าจะหาราคาแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว”


 


หานเซิ่นส่ายหัว “ข้าแค่ต้องการตัวที่บินได้เท่านั้น มันไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งก็ได้”


 


เมื่อยวิ๋นซู่อีเห็นว่าหานเซิ่นไม่ได้ล้อเล่น เธอก็หยุดคิดไปครู่หนึ่ง

“ตัวที่ถูกที่สุดคือนกกระเรียนหยกรัตติกาล พวกมันมีขายในทุกๆร้าน แต่ของพวกเราต่างออกไป เจ้าได้เห็นนกกระเรียนหยกรัตติกาลของศิษย์พี่กระเรียนใช่ไหม? โดยปกติแล้วพวกมันจะเป็นระดับบารอน แต่ตัวนั้นเป็นระดับเอิร์ลซึ่งเป็นของพวกเราเอง”


 


“ถ้าอย่างนั้นข้าก็เอานกกระเรียนหยกรัตติกาลที่เจ้าว่า”

หานเซิ่นไม่อยากเรื่องมาก ยังไงมันก็แค่สัตว์ขี่ ดังนั้นมันก็คงจะไม่มีอะไรพิเศษไม่ว่าเขาจะจ่ายมากสักขนาดไหน


 


“เจ้าควรจะไปเลือกมันด้วยตัวเอง พวกมันมีอยู่เป็นพันๆตัว ซึ่งพวกมันทุกตัวมีราคาเหมือนกันหมด” ยวิ๋นซู่อีพาหานเซิ่นไปในบริเวณที่เป็นที่อยู่อาศัยของนกกระเรียนหยกรัตติกาล


 


หานเซิ่นประหลาดใจอย่างมาก เมื่อเขาได้เห็นนกฝูงใหญ่ที่ดูเหมือนกับก้อนเมฆ ปราสาทนภาเป็นดินแดนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ มันไม่ใช่ทุกที่ที่เขาจะเห็นซีโน่เจเนอิคที่ถูกฝึกจนเชื่องมารวมกันมากขนาดนี้


 


การฝึกซีโน่เจเนอิคตัวหนึ่งให้เชื่องนั้นยากยิ่งกว่าการฆ่าพวกมันซะอีก การฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลหรือมาร์ควิสสักตัวง่ายยิ่งกว่าการจะฝึกซีโน่เจเนอิคบารอนสักตัวให้เชื่อง มันถือเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ที่ปราสาทนภาจะมีซีโน่เจเนอิคที่ถูกฝึกจนเชื่องมากมายถึงขนาดนี้


 


“ซีโน่เจเนอิคพวกนี้มาจากไหนกัน?” หานเซิ่นถามขณะมองไปที่ฝูงนกกระเรียนหยกรัตติกาล


 


“บางตัวถูกจับ บางตัวถูกเลี้ยง ถ้ำเสวียนเยวี๋ยนที่พวกเรากำลังจะไปเองก็มีซีโน่เจเนอิคระดับเอิร์ลอยู่ ถ้าเจ้าจับพวกมันกลับมาได้แบบเป็นๆ มันก็จะขายได้ราคาดียิ่งกว่าชิ้นส่วนยีนซีโน่เจเนอิคซะอีก” ยวิ๋นซู่อีพูด


 


หานเซิ่นพยักหน้าและเริ่มใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อสแกนฝูงนกกระเรียนหยกรัตติกาล ไหนๆเธอก็ให้เขาเลือกด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะเลือกเอาตัวที่ดีที่สุด


 


หานเซิ่นสแกนพวกมันและพบว่าหนึ่งในพวกมันมีตัวหนึ่งที่ดูแข็งแกร่งกว่าตัวอื่นๆ เมื่อเขามองไปที่มัน เขาก็สังเกตเห็นว่ามันกำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้า แต่มันดูจะไม่กระฉับกระเฉงเหมือนกับตัวอื่นๆ


 


เมื่อยวิ๋นซู่อีสังเกตเห็นตัวที่หานเซิ่นกำลังมองออกไป เธอก็พูดขึ้นมา

“ตัวนั้นเป็นระดับไวเคานต์ มันเป็นซีโน่เจเนอิคระดับบารอนในตอนที่ไวเคานต์คนหนึ่งจับตัวมา ซึ่งในภายหลังมันก็ได้วิวัฒนาการเป็นไวเคานต์ด้วยตัวมันเอง แต่หลังจากที่ต่อสู้อย่างทรหด ขาของมันก็ถูกตัดขาดและปีกของมันก็ได้รับความเสียหาย แม้แผลของมันจะหายดีแล้ว แต่มันก็ยังคงพิการ ความเร็วของมันเทียบได้กับระดับบารอนตัวหนึ่ง แถมมันยังไม่มีขาอีกด้วย”


1973 

ถ้ำเสวียนเยวี๋ยน


 


“มันจะบินขณะที่แบกสิ่งของหนักๆได้ไหม?” หานเซิ่นถามขณะที่ตรวจดูนกตัวนั้น


 


“ได้ มันแข็งแกร่งกว่านกกระเรียนหยกรัตติกาลระดับบารอน แต่มันไม่มีขา ส่วนปีกของมันก็ได้รับความเสียหาย”

ยวิ๋นซู่อีพูดย้ำ “ดังนั้นมันคงจะบินเร็วได้ไม่กว่าระดับบารอนทั่วๆไป และความสามารถในการต่อสู้ของมันก็เทียบกับสัตว์ขี่ระดับไวเคานต์ตัวอื่นไม่ได้”


 


“ข้าเลือกมัน” หานเซิ่นไม่ได้มีแผนจะให้สัตว์ขี่ทำการต่อสู้อยู่แล้ว


 


นกกระเรียนหยกรัตติกาลที่ได้รับความเสียหายนั้นราคาไม่แพง ยวิ๋นซู่อีจึงให้ราคาที่ดีมากๆกับหานเซิ่น


 


นกกระเรียนหยกรัตติกาลนั้นเชื่องมากๆ และหานเซิ่นก็สามารถเรียนรู้วิธีสั่งการพวกมันอย่างรวดเร็ว เขาสามารถควบคุมการบินของมันได้อย่างง่ายดาย


 


เนื่องจากมันไม่มีขา มันจึงลงจอดด้วยท้องของมัน และเนื่องจากปีกของมันได้รับความเสียหาย มันจึงไม่สามารถบินตรงๆได้ และความเร็วของมันก็ไม่ได้เลิศเลออะไร


 


โชคดีที่หานเซิ่นไม่ได้คาดหวังสูงอะไรมาก ดังนั้นหลังจากที่เขาทำการซื้อเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ขี่มันกลับไปที่เกาะของเขา


 


นกกระเรียนหยกรัตติกาลตัวนั้นดูตื่นเต้นที่จะได้โบยบินอีกครั้ง มันส่งเสียงร้องออกมาอย่างรื่นรมย์


 


“เจ้านกที่น่าสงสาร มันได้รับบาดเจ็บเพราะเจ้านายของมัน หลังจากนั้นมันก็ถูกทอดทิ้ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงเชื่องและรับฟังคำสั่ง” หานเซิ่นถอนหายใจ


 


เมื่อกลับถึงเกาะของเขา หานเซิ่นก็ให้นกกระเรียนลงจอด แต่ก่อนที่มันจะลงถึงพื้น หานเซิ่นก็กระโดดลงจากหลังของมัน


 


ท้องของนกกระเรียนชนเข้ากับพื้น ขณะที่มันกระพือปีกอย่างลนลาน มันพยายามจะควบคุมตัวเองในตอนที่ลงจอด แต่ความพยายามของมันไปไม่สวยนัก


 


หานเซิ่นมอบอาหารให้กับมัน หลังจากนั้นเขาก็กลับเข้าไปในบ้าน ก่อนที่จะไปที่ถ้ำเสวียนเยวี๋ยน หานเซิ่นต้องการจะรู้ถึงระดับความแข็งแกร่งของตัวเองในตอนนี้ เขานำของทั้งหมดที่ครอบครองอยู่ออกมา


 


อาวุธจีโนมนตราระดับเอิร์ล วิญญาณอสูรรองเท้าเขี้ยวกระต่ายระดับดยุก วิญญาณอสูรถุงมือมิงค์หมอกแดงระดับเอิร์ลและมีดเขี้ยวผีสิงระดับราชัน


 


ด้วยการที่มีมีดเขี้ยวผีสิงอยู่ วิชามีดเขี้ยวดาบก็ยังคงเป็นสิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุด แต่วิชามีดเขี้ยวดาบไม่ได้มีขั้นต่อไปให้ฝึก ดังนั้นเขาจึงมีแผนที่จะฝึกวิชาจีโนอย่างอื่นแทน


 


ด้วยการใช้กระแสพลังของไพ่เวทย์มนต์เต่าหยกและพลังเหรียญ หานเซิ่นมีแผนที่จะคิดค้นวิชาจีโนตัวใหม่ขึ้นมา


 


‘แต่เราควรจะใช้เหรียญหรือวิชาจีโนที่ดูเหมือนกับเหรียญเฉพาะในตอนที่ใช้ตัวตนของดอลลาร์เท่านั้น ไม่อย่างนั้นคนอื่นก็อาจจะสงสัยได้ แต่เราควรจะคิดค้นวิชาจีโนแบบไหนขึ้นมาดี?’ หานเซิ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน และไม่นานเขาก็เกิดความคิดบางอย่าง


 


ไพ่เวทย์มนต์เต่าหยกเน้นไปที่การจำกัดความเร็วของเป้าหมาย คนที่ถูกมันเข้าจะไม่สามารถบินขึ้นได้ หานเซิ่นต้องการจะใช้จุดนั้นในวิชาจีโนตัวใหม่ของเขา แต่สำหรับการปรับปรุงวิชาเหรียญเป็นสิ่งที่เขาจะทำในภายหลัง


 


หานเซิ่นทดลองความคิดอยู่ภายในห้อง การรวมพวกมันเข้าด้วยกันไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป และเขาก็สามารถสร้างวิชาจีโนใหม่ขึ้นมาผ่านการทดสอบซ้ำๆหลายต่อหลายครั้ง


 


หลังจากที่ทำการทดสอบอยู่ทั้งคืน ในที่สุดเขาก็คิดค้นต้นแบบของวิชาจีโนตัวใหม่ขึ้นมาได้สำเร็จ มันเป็นสิ่งที่เขาสามารถใช้ได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร ตอนนี้ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือปรับแต่งมันอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


“ฉันจะเรียกวิชาจีโนนี้ว่าเต่า” หานเซิ่นตัดสินใจ


 


แต่เนื่องจากไม่มีเป้าหมายให้ลอง ดังนั้นเขาจึงยังไม่รู้ว่าวิชาเต่ามีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน


 


หานเซิ่นกลับไปพักผ่อน และเมื่อถึงเวลาเขาก็เดินออกจากบ้าน นกกระเรียนไร้ขากำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ หานเซิ่นป้อนอาหารมันอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็ขี่มันไปยังสถานที่ที่นัดหมายกันเอาไว้


 


ภายนอกถ้ำเสวียนเยวี๋ยน หานเซิ่นเห็นกระเรียนพันขน เฟิร์สเดย์และพี่น้องตระกูลยวิ๋นมารออยู่ก่อนแล้ว


 


ยวิ๋นซู่ซางพูด “ซู่อีต้องการจะติดตามพวกเราไปด้วย ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของนางเอง ดังนั้นไม่ต้องกังวล”


 


เมื่อยวิ๋นซู่ซางพูดออกมาอย่างนั้น มันก็ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขาทิ้งสัตว์ขี่เอาไว้ข้างนอกและเดินเข้าไปในถ้ำเสวียนเยวี๋ยน


 


เกาะเสวียนเยวี๋ยนดูเหมือนกับภูเขาไฟเล็กๆ ทางเข้าของภูเขาไฟนั้นเต็มไปด้วยถ้ำ ซึ่งถ้ำแต่ละถ้ำจะนำไปในทิศทางที่แตกต่างกันออกไป และพวกมันก็มีซีโน่เจเนอิคจำนวนมากอาศัยอยู่ภายใน


 


ซีโน่เจเนอิคของถ้ำเสวียนเยวี๋ยนนั้นพิเศษมากๆ ซึ่งตัวที่พิเศษที่สุดนั้นถูกเรียกว่าวิญญาณหยกเสวียน วิญญาณหยกเสวียนสามารถเดินทางผ่านกำแพงและปรากฏตัวออกมาจากทุกซอกทุกมุมที่พวกมันต้องการ ซึ่งทำให้รับมือได้ยาก


 


ดังนั้นเมื่อเข้าไปภายในถ้ำ พวกเขาก็ต้องระมัดระวังตัว เพราะพวกเขาอาจจะวิญญาณหยกเสวียนโจมตีได้ทุกเมื่อ


 


“ศิษย์น้องหาน นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเข้ามาในถ้ำเสวียนเยวี๋ยน ดังนั้นระวังตัวให้ดี วิญญาณหยกเสวียนนั้นจะปรากฏตัวออกมาโดยไม่มีการเตือนใดๆ”


 


“พวกเราอาจจะช่วยเจ้าได้ไม่ทันเวลา ถ้าพวกมันมุ่งเป้าไปที่เจ้า” ยวิ๋นซู่ซางพูด


 


หานเซิ่นพยักหน้า เขาเปิดใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนและคอยจับตาทุกๆอย่างรอบๆตัว การเคลื่อนไหวในรัศมี 10 เมตรนั้นไม่สามารถหนีรอดจากสายตาของเขา


 


พวกเขาเดินลึกเข้าไปในถ้ำกว่าหนึ่งไมล์โดยไม่เจอซีโน่เจเนอิคเลยสักตัว แต่หานเซิ่นก็ไม่ได้ชะล่าใจ เขายังคงใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนอยู่ตลอดเวลา


 


แต่ทันใดนั้นหานเซิ่นก็เห็นมือหยกสีดำออกมาจากพื้น มันพยายามจะจับขาของยวิ๋นซู่อี กรงเล็บสีดำของวิญญาณหยกเสวียนเป็นเหมือนกับมีด ถ้ามันจับขาของยวิ๋นซู่อีได้ล่ะก็ มันก็จะฉีกขาของเธอได้อย่างง่ายดาย


 


เพราะว่าพวกเขาไม่ได้พบกับวิญญาณหยกเสวียนเป็นเวลานาน ยวิ๋นซู่อีจึงชะล่าใจ และอีกอย่างเธอก็เป็นเพียงแค่ไวเคานต์ เธอไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะตอบสนองได้ทันเวลา


 


หานเซิ่นเรียกมนตราออกมา และสั่งให้เธอยิงปืนออกไป หลังจากที่เสียงปืนดังขึ้น กรงเล็บทั้ง 2 ของวิญญาณหยกเสวียนก็แตกหักโดยกระสุนนั่น


 


เมื่อกระสุนถูกเป้าหมาย มันก็ทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้


 


วิญญาณหยกเสวียนดึงมือที่บาดเจ็บของมันกลับเข้าไปในพื้นอย่างไร้ร่องรอย พื้นผิวของหินยังคงสมบูรณ์ราวกับว่ามือของวิญญาณหยกเสวียนไม่เคยโผล่ขึ้นมาตั้งแต่แรก


 


หานเซิ่นสังเกตว่าเขาสามารถสัมผัสตำแหน่งมือของวิญญาณหยกเสวียนที่หายเข้าไปในพื้นหินได้


 


“นี่คือพลังที่มนตรามีอย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นรู้สึกแปลกใจ เมื่อมนตรายิงถูกเป้าหมาย มันเหมือนกับว่าเธอได้ติดเครื่องติดตามเอาไว้ ถึงมันจะไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร แต่มันก็มีประโยชน์มากๆ


1974 สังหารอสูรกรงเล็กภูติหยก

“ซู่อี ขอบคุณหานเซิ่นซะ” ยวิ๋นซู่ซางผลักยวิ๋นซู่อีเบาๆ


 


ยวิ๋นซู่อียังคงตกใจอยู่เล็กน้อย แต่เธอก็ก้าวออกมาและพูดกับหานเซิ่น

“ขอบคุณที่ช่วยข้า”


 


“ไม่เป็นไร ถึงแม้ข้าจะไม่ลงมือ มันก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้ ข้าแค่ต้องการจะทดสอบพลังของวิญญาณหยกเสวียนเท่านั้น”

หานเซิ่นยิ้ม เขาไม่ได้พูดว่าซู่อีแข็งแกร่ง แต่บอกว่าซู่ซางยืนอยู่ข้างๆเธอ มันไม่มีทางที่ซู่ซางจะปล่อยให้มีอะไรมาทำร้ายซู่อีได้


 


แต่ซู่ซางก็รู้สึกประหลาดใจที่หานเซิ่นตอบสนองได้รวดเร็วกว่าเธอ หานเซิ่นเพิ่งจะกลายเป็นเอิร์ลได้ไม่นาน แต่ปฏิกิริยาของเขากลับเหนือกว่าเธอแล้ว ซึ่งนั่นถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติ


 


ยวิ๋นซู่อีมองไปที่มนตราด้วยความสงสัย “หานเซิ่น นั่นคืออาวุธจีโนของเจ้าอย่างนั้นหรอ? มันพิเศษจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”


 


กระเรียนพันขนก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เห็นแค่มนตราในร่างของชุดเกราะเท่านั้น ร่างที่ 2 ของเธอเป็นหญิงสาว ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน


 


หานเซิ่นยิ้ม แต่เขาไม่ได้ตอบคำถาม เขาพูดขึ้นมา “วิญญาณหยกเสวียนดูไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไหร่ นอกจากเคลื่อนไหวผ่านพื้นหินแล้ว พวกมันยังทำอะไรอย่างอื่นได้อีกไหม?”


 


กระเรียนพันขนพูด “เจ้าตัวนั้นคืออสูรกรงเล็กภูติหยก พวกมันไม่ได้เป็นเอิร์ลที่แข็งแกร่งที่สุด แต่พวกมันรวดเร็วอย่างมาก และพวกมันก็ปรากฏตัวออกมาจากก้อนหินได้ทุกเมื่อ ซึ่งทำให้พวกมันเป็นอันตรายถ้าไม่ระวังตัวให้ดี ถึงแม้กรงเล็กของพวกมันจะถูกตัด พวกมันก็จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้ มันเป็นอะไรที่น่ารำคาญ ถ้าเจ้าต้องการจะฆ่ามัน เจ้าจำเป็นต้องโจมตีใส่พื้นหินในตอนที่พวกมันเผยกรงเล็บออกมา”


 


ยวิ๋นซู่ซางพูด “อสูรกรงเล็บภูติหยกรวดเร็วเกินไป และส่วนใหญ่ก่อนที่พวกเราจะสัมผัสได้ถึงตัวตนของพวกมันก็มักจะสายเกินไปแล้ว นอกจากนั้นถ้าพวกมันพลาดหรือกรงเล็บของพวกมันถูกทำลาย พวกมันก็จะวิ่งหนีไป ดังนั้นถ้าต้องการที่จะฆ่ามัน มันก็ต้องใช้เอิร์ลถึง 2 คน คนหนึ่งคอยตัดกรงเล็บที่โผล่ขึ้นมา ขณะที่อีกคนจู่โจมร่างกายที่ซ่อนอยู่ในหิน”


 


หลังจากนั้นยวิ๋นซู่ซางก็ชกใส่กำแพงหินด้วยสนับมือของเธอและพูด

“หินของถ้ำเสวียนเยวี๋ยนนั้นแข็งมากๆ ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงต้องรอให้อสูรกรงเล็บภูติหยกยื่นกรงเล็บของพวกมันออกมาซะก่อนแล้วค่อยโจมตีใส่พวกมัน”


 


“ขอบคุณที่บอก” หานเซิ่นพูดอย่างจริงใจ


 


พวกเขาเริ่มเดินทางต่อ แต่หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าอสูรกรงเล็บภูติหยกอยู่ทางด้านขวาของพวกเขาและเตรียมพร้อมจะจู่โจมอีกครั้ง


 


มันเป็นอสูรกรงเล็บภูติหยกตัวเดิม และมันต้องการจะแก้แค้น มันคอยติดตามพวกเขาและเตรียมพร้อมจะจู่โจมด้วยกรงเล็บของมัน แต่หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บโดยปืนของมนตราไปครั้งหนึ่ง มันก็ระมัดระวังมากกว่าเดิม มันยังไม่ออกมาในทันทีและรอคอยโอกาสอยู่ภายใต้กำแพงหิน


 


“ระวังตัว มีซีโน่เจเนอิคอยู่ข้างหน้านี้” กระเรียนพันขนพูดขึ้นมา


 


หานเซิ่นมองไปข้างหน้าและเห็นเงาเบลอๆ ถ้ากระเรียนพันขนไม่ได้พูดเตือน เขาก็จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นซีโน่เจเนอิค


 


หลังจากนั้นกลุ่มของพวกเขาก็เข้าไปใกล้พอจะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน มันเป็นแมลงท้องถิ่นของถ้ำแห่งนี้ มันดูเหมือนกับตะขาบตัวหนึ่ง เปลือกของมันมีสีน้ำเงินและบนหลังของมันมีใบหน้าที่สว่างไสวอยู่ มันดูน่าขยะแขยง


 


“ตะขาบพักตราระดับเอิร์ล ระวังตัวให้ดี ตะขาบพักตรานั้นมักจะอยู่กันเป็นกลุ่ม” ยวิ๋นซู่อีอธิบายก็เพื่อหานเซิ่น เพราะคนอื่นๆเคยเข้ามาในถ้ำหลายครั้งแล้ว และตะขาบพักตราก็สามารถพบเจอได้บ่อย ศิษย์ของปราสาทนภาจึงคุ้นเคยกับพวกมันดี


 


ไม่นานตะขาบพักตราก็เห็นกลุ่มของพวกเขาและเริ่มคืบคลานเข้ามา


 


“เตรียมตัวต่อสู้!” กระเรียนพันขนตะโกนและชักดาบของเขาออกมา


 


ยวิ๋นซู่ซางและยวิ๋นซู่อีก็ใช้ดาบเช่นเดียวกัน แต่เฟิร์สเดย์ไม่ได้ชักอาวุธอะไรออกมา มือของเขาส่องสว่างด้วยแสงสีขาว เขาใช้มือตบลงบนพื้นและทิ้งรอยสีขาวเอาไว้ หลังจากนั้นจิตวิญญาณของเขาก็ปกคลุมทั่วทั้งบริเวณในระยะ 3 เมตร


 


เฟิร์สเดย์ตบใส่พื้นอีก 5 ครั้ง หลังจากนั้นเขาก็พูดอะไรบางอย่าง จิตวิญญาณของเขาแพร่ขยายออกไปสู่เท้าของหานเซิ่นและคนอื่นๆ ซึ่งมันช่วยเสริมพลังให้กับร่างกายของพวกเขา


 


‘เป็นจิตวิญญาณที่ทรงพลังอะไรอย่างนี้ มันเพิ่มพลังและความเร็วให้กับเราอย่างมาก’ หานเซิ่นหันไปมองที่เฟิร์สเดย์ เขารู้สึกประหลาดใจจริงๆที่บุดด้าคนนั้นสามารถทำอะไรแบบนี้ได้


 


เมื่อหานเซิ่นหันไปมองเขา เฟิร์สเดย์ก็หันหน้าหนีอย่างเขินอาย เขาพูด

“ข้าถูกส่งมาฝึกฝนที่นี่ตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยเหตุนั้นข้าจึงได้เรียนรู้มนตร์สัจธรรมของปราสาทนภา”


 


“มันยอดเยี่ยมมากๆ” หานเซิ่นพูด ตั้งแต่ที่หานเซิ่นถูกบังคับให้ทิ้งอัศวินผู้ไม่ภักดีเอาไว้เบื้องหลัง เขาก็ไม่ค่อยได้เห็นความสามารถในการเสริมพลังให้กับพวกพ้องแบบนี้


 


ยวิ๋นซู่ซางและกระเรียนพันขนยืนอยู่ภายในรัศมีที่เฟิร์สเดย์สร้างขึ้นมา ขณะที่ต่อสู้กับตะขาบพักตรา


 


ลมปราณจากดาบของพวกเขาดูเหมือนกับก้อนเมฆ พวกมันเคลื่อนไหวราวกับไหมในอากาศ มันทั้งเบาบางและแปลกประหลาด


 


ตะขาบพักตราถูกฆ่าโดยลมปราณดาบของพวกเขา เปลือกของพวกมันแตกหักและหลายตัวก็ตายในทันทีที่ถูกสัมผัส


 


ภายในถ้ำค่อนข้างแคบ และเนื่องจากยวิ๋นซู่ซางกับกระเรียนพันขนรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างสบายๆ หานเซิ่นจึงไม่ได้ช่วยอะไร


 


ยวิ๋นซู่อีต้องการจะต่อสู้ แต่เธอไม่สามารถทำได้ เธอคิดที่จะพูดอะไรบางอย่างกับหานเซิ่น ดังนั้นเธอจึงหันกลับหลังไป แต่เมื่อเธอมองไปที่มนตราที่ยืนอยู่ข้างๆหานเซิ่น มนตราก็เปลี่ยนปืนคู่ในมือให้กลายเป็นปืนไรเฟิล เธอชี้มันออกไปทางยวิ๋นซู่อีและเหนี่ยวไก


 


ยวิ๋นซู่อีตกตะลึง มนตราเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินกว่าที่เธอจะตอบสนองได้ทัน เธอเห็นลูกกระสุนแสงพุ่งออกมาจากปืนไรเฟิลของมนตราและเฉี่ยวผ่านหน้าของเธอไป


ปัง!


กระสุนพุ่งไปโดนกำแพงหินที่อยู่ด้านหลังของเธอ พร้อมกับเกิดเสียงดังแสบแก้วหู


 


ยวิ๋นซู่อีหันกลับไปมองและเห็นกรงเล็บหยกยื่นออกมาจากกำแพง มันอยู่ห่างจากคอของเธอไปเพียงแค่ไม่กี่นิ้วเท่านั้น แต่มันแข็งทื่อไปซะก่อน


 


มันมีรอยกระสุนอยู่ในกำแพงหินและมีเลือดสีดำไหลออกมาจากรูนั้น


 


“ซีโน่เจเนอิคเอิร์อสูรกรงเล็บภูติหยกถูกฆ่า ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”


 


เสียงประกาศดังขึ้นในหัวของหานเซิ่น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับวิญญาณอสูร


 


“ขอบคุณ” ยวิ๋นซู่อีมองหานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน


 


นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่หานเซิ่นช่วยเธอเอาไว้ และครั้งนี้เขาก็สังหารอสูรกรงเล็บภูติหยกในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วและพลังของเขายากจะหาคนเทียบได้ในหมู่เอิร์ล


1975 มนตราแข็งแกร่งขึ้น

มนตราแข็งแกร่งขึ้น


 


หานเซิ่นรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เขาไม่ได้ประหลาดใจที่มนตราสามารถฆ่าอสูรกรงเล็บภูติหยกได้ แต่เขาประหลาดใจที่ปืนคู่ของเธอสามารถเปลี่ยนไปเป็นปืนไรเฟิลได้ เขารู้ว่าตัวมนตราเองสามารถเปลี่ยนร่างได้ แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอสามารถเปลี่ยนอาวุธของเธอได้ด้วย


 


‘นี่หมายความว่ามนตราสามารถใช้อาวุธประเภทไหนก็ได้อย่างนั้นหรอ?’ หานเซิ่นคิด


 


เขาเพียงแค่ออกคำสั่งให้มนตราฆ่าอสูรกรงเล็บภูติหยกเท่านั้น แต่มนตราตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้ปืนไรเฟิลด้วยตัวเอง เพราะมันมีพลังและการเจาะทะลวงที่สูงกว่า


 


ตอนนี้เธอมีอาวุธอยู่ 3 รูปแบบ แบบแรกคือปืนคู่ที่ใช้สำหรับการยิงอย่างรวดเร็วในระยะใกล้ๆ พลังของมันไม่ได้มากมายอะไร แต่เธอสามารถยิงได้หลายนัดในเวลาอันสั้น


 


ปืนไรเฟิลมีระยะการโจมตีที่ไกลที่สุด และพลังของมันก็เป็นอะไรที่รุนแรง แถมมันยังสามารถเจาะทะลวงวัตถุต่างๆได้ แต่กระสุนใช้เวลานานในการชาร์จยิงอีกแต่ละครั้ง


 


ปืนอาร์พีจีไม่ได้มีระยะการโจมตีที่ไกลเหมือนกับปืนไรเฟิล แต่มันสามารถสร้างความเสียหายได้เป็นวงกว้าง ซึ่งมันจะเวลาในการชาร์จนานที่สุด


 


อาวุธทั้ง 3 มีจุดประสงค์และข้อดีที่แตกต่างกันออกไป มันยากจะตัดสินได้ว่าอันไหนดีกว่ากัน เพราะในบางสถานการณ์อาวุธอย่างหนึ่งก็อาจจะดีกว่าอันอื่นๆ นั่นคือจุดเด่นที่สุดของมนตรา เธอสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้


 


ไม่นานหลังจากที่หานเซิ่นฆ่าอสูรกรงเล็บภูติหยก ยวิ๋นซู่ซางและกระเรียนพันขนก็จัดการกับพวกตะขาบพักตราจนหมด


 


หานเซิ่นเริ่มลงมือขุดกำแพงหิน ไม่นานเขาก็เจอมอนสเตอร์หยกที่ดูเหมือนกับลิง หูของมันถูกระเบิดจนเป็นรูโบ๋ ซึ่งมันก็คืออสูรกรงเล็กภูติหยก


 


เมื่อยวิ๋นซู่อีเห็นว่ามนตราโจมตีถูกหน้าผากของมอนสเตอร์ เธอก็ตกตะลึง เธอไม่ได้คาดคิดว่ามนตราจะมีความแม่นยำถึงขนาดยิงไปโดนหัวของศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในกำแพง


 


เมื่อพวกเขาเก็บยีนซีโน่เจเนอิคเสร็จ พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ ยีนซีโน่เจเนอิคของอสูรกรงเล็บภูติหยกคือกะโหลกสีดำ ส่วนยีนซีโน่เจเนอิคของตะขาบพักตราคือเปลือกของมัน


 


“พวกเราเพิ่งจะเข้ามาในถ้ำเสวียนเยวี๋ยนได้ไม่นาน แต่พวกเราก็ได้รับรางวัลขนาดนี้แล้ว พวกเราถือว่าค่อนข้างโชคดี พวกเราจะเดินทางกลับเมื่อก็ได้ถ้าต้องการ” ยวิ๋นซู่ซางยิ้ม


 


การหาซีโน่เจเนอิคในระหว่างการเดินทางนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาเดินทางต่อไปอีกกว่า 2 ชั่วโมง แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไร


 


“หานเซิ่น อาวุธจีโนของเจ้ามหัศจรรย์จริงๆ มันดูเหมือนกับคนๆหนึ่งเลย นางมีชื่อว่าอะไรอย่างนั้นหรอ?” ยวิ๋นซู่อีถามหานเซิ่น


 


“มนตรา” หานเซิ่นพูด


 


“เป็นชื่อที่ดี” บางทีมันอาจจะเป็นเพราะหานเซิ่นช่วยเธอเอาไว้ถึง 2 ครั้ง ตอนนี้เธอถึงดีกับเขามากขึ้นกว่าเดิม


 


“ชู่ว์” กระเรียงพันขนทำท่าทางบอกให้พวกเขาเงียบๆ หลังจากนั้นเขาก็แนบหูของเขากับกำแพง ซึ่งทำให้คนอื่นๆตกใจ เพราะถ้าวิญญาณหยกเสวียนซ่อนตัวอยู่ในนั้น กระเรียนพันขนก็อาจจะถูกฆ่าได้ง่ายๆ


 


โชคดีที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ดูเหมือนเขาจะมั่นใจว่ามันไม่มีตัวอะไรซ่อนอยู่ในกำแพงนั้น และหลังจากที่ฟังอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้นมา

“ข้าได้ยินเสียงของมังกรเสวียนเยวี๋ยน”


 


เมื่อได้ยินชื่อนั้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป ยวิ๋นซู่ซางขมวดคิ้ว

“มันอยู่ไกลแค่ไหน? มันกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเราอย่างนั้นหรอ?”


 


“ข้าคิดว่ามันกำลังตรงมาทางพวกเรา” กระเรียนพันขนพูดอย่างจริงจัง


 


“ถ้าพวกเราทั้ง 5 คนต้องเผชิญหน้ากับมังกรเสวียนเยวี๋ยน พวกเราไม่มีทางชนะแน่ พวกเราถอยกลับกันเถอะ” เฟิร์สเดย์พูด


 


“เห็นด้วย” กระเรียนพันขนและยวิ๋นซู่ซางต่างก็เห็นด้วย


 


หานเซิ่นไม่รู้ว่ามังกรเสวียนเยวี๋ยนนั้นน่ากลัวมากน้อยขนาดไหน แต่เขาก็ทำตามความเห็นของทุกคน


 


ขณะที่พวกเขากำลังเดินทางกลับ เฟิร์สเดย์ก็พูดกับหานเซิ่น

“มังกรเสวียนเยวี๋ยนคือซีโน่เจเนอิคที่แข็งแกร่งที่สุดในถ้ำเสวียนเยวี๋ยน พวกมันเกิดมาเป็นระดับมาร์ควิส พวกเราในตอนนี้ไม่มีทางต่อสู้กับพวกมันได้”


 


หานเซิ่นพยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็ก้มมองลงไปที่พื้น และมนตราก็ยิงปืนคู่ของเธอไปที่เท้าของหานเซิ่น


 


มีกรงเล็บโผล่ออกมาจากพื้นและกำลังจะจับเท้าของหานเซิ่น แต่กระสุนนั้นทะลุกรงเล็บที่โผล่ขึ้นมา ทำให้มันหายกลับไปในพื้นหิน


 


แต่หลังจากนั้นก็มีกรงเล็บโผล่ออกมาจากพื้นรอบๆตัวพวกเขาเต็มไปหมด


 


ยวิ๋นซู่ซางชักดาบออกมาเพื่อปกป้องยวิ๋นซู่อี ส่วนกระเรียนพันขนและเฟิร์สเดย์ก็ใช้พลังของพวกเขาเพื่อหยุดยั้งกรงเล็บที่โผล่ออกมา


 


กรงเล็บที่โผล่ออกมามีจำนวนนับไม่ถ้วน หานเซิ่นและคนอื่นๆเป็นระดับเอิร์ท แต่ยวิ๋นซู่อีเป็นเพียงแค่ไวเคานต์เท่านั้น ดังนั้นยวิ๋นซู่ซาง กระเรียนพันขนและเฟิร์สเดย์จึงต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเธอ


 


“นี่มันไม่ถูก ทำไมจู่ๆถึงได้มีอสูรกรงเล็บภูติหยกปรากฏตัวออกมามากมายขนาดนี้?” ยวิ๋นซู่ซางพูด


 


“พวกอสูรกรงเล็บภูติหยกต้องรู้แน่ๆว่ามังกรเสวียนเยวี๋ยนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ พวกมันถึงได้พยายามหยุดพวกเราเอาไว้” กระเรียนพันขนพูด


 


“พวกมันมีเป้าหมายในการถ่วงเวลาพวกเราเท่านั้น” เฟิร์สเดย์พูด


 


ปัง!


มนตราใช้ปืนไรเฟิลของเธอเพื่อโจมตี กระสุนเจาะทะลุเข้าไปในหิน ทำให้มีเลือดไหลออกมาทุกหนทุกแห่ง


 


“พวกเจ้าคอยปกป้องซู่อีเอาไว้ ข้าจะให้มนตราฆ่าพวกมันเอง” หานเซิ่นพูด


 


มนตราได้ใช้ปืนคู่ยิงใส่กรงเล็บมากมายเมื่อครู่นี้และทิ้งเครื่องติดตามเอาไว้ ซึ่งทำให้เธอสามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของพวกมันได้ และเมื่อพวกมันเข้ามาใกล้ผิวกำแพง มนตราก็จะยิงไปใส่พวกมันก่อน


 


พลังในการเจาะทะลวงของปืนไรเฟิลเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว แต่มันยังคงต้องใช้เวลาในการชาร์จกระสุนแต่ละ ซึ่งทำให้ยากที่จะกำจัดพวกมันได้หมด


 


แต่ถึงอย่างนั้นการได้เห็นมนตราลงมือก็ถือว่าเป็นอะไรที่สุดยอด


 


พวกเขาคอยปกป้องซู่อีขณะที่วิ่งออกไป โดยมนตราจะยิงกระสุนออกไปในทุกๆหนึ่งวินาที ซึ่งในแต่ละครั้งที่เธอเหนี่ยวไก อสูรกรงเล็บภูติหยกก็ต้องตาย


 


“ซีโน่เจเนอิคเอิร์ลอสูรกรงเล็บหยกถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูร ยีนซีโน่เจเนอิคถูกค้นพบ”


 


เมื่อมนตราฆ่าอสูรกรงเล็บภูติหยกตัวที่ 8 ในที่สุดหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงประกาศที่หวังเอาไว้ แต่เขาไม่มีเวลาจะตรวจดูวิญญาณอสูรในตอนนี้


 


ยวิ๋นซู่ซางและกระเรียนพันขนหันไปมองด้านหลังและเห็นมนตรายิงปืนใส่พวกอสูรกรงเล็บภูติหยก


 


เธอยิงกระสุนแต่ละนัดออกไปก่อนที่กรงเล็บของพวกมันจะเผยออกมาจากกำแพงหินซะอีก พวกเขาไม่รู้เลยว่าเธอสามารถทำแบบนั้นได้ยังไง


 


แต่มันไม่มีเวลาให้พวกเขามัวคิดถึงเรื่องนั้น ถึงแม้มนตราจะคอยฆ่าอสูรกรงเล็บภูติหยกไปตามทาง แต่พวกมันก็มีอยู่มากเกินไป ทำให้กลุ่มของพวกเขาไม่สามารถหนีออกไปได้อย่างรวดเร็วนัก


 


“มังกรเสวียนเยวี๋ยน!” กระเรียนพันขนตะโกนออกมาขณะที่ใบหน้าของเขาดูซีดไป


 


ขณะที่เสียงตะโกนของกระเรียนพันขนดังก้องขึ้นมา มันก็มีเสียงประหลาดดังมาจากในถ้ำ หลังจากนั้นไม่นานเงาสีดำก็เคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเขาด้วยความเร็วสูงและปกคลุมโดยรอบด้วยกลิ่นของเลือด


1976 มังกรเสวียนเยวี๋ยน

เกล็ดของมังกรเสวียนเยวี๋ยนนั้นดำสนิทเหมือนกับหมึก หัวของมันไม่มีเขา แต่หูของมันกางออกเหมือนกับปีกสีดำ ท้องของมันมีกรงเล็บที่เหมือนกับนกอินทรี มันกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา พร้อมกับควันสีดำรอบๆตัว มันดูน่ากลัวอย่างมาก


 


มังกรเสวียนเยวี๋ยนรวดเร็วเกินไป และมันยังมีอสูรกรงเล็บภูติหยกเข้ามาก่อกวนอีก แต่ถึงจะไม่มีอสูรกรงเล็บภูติหยกอยู่ กลุ่มของหานเซิ่นก็ไม่สามารถหนีมันได้ทันอยู่ดี


 


ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที มังกรเสวียนเยวี๋ยนก็อยู่ห่างจากพวกเขาเพียงแค่ 20 เมตรเท่านั้น มันอ้าปากและพ่นควันสีดำมาทางพวกเขา ทำให้บริเวณโดยรอบพวกเขาถูกปกคลุมด้วยควันสีดำ


 


“ลมหายใจของมังกรเสวียนเยวี๋ยนมีพิษ อย่าได้สูดมันเข้าไป!”

กระเรียนพันขนตะโกน หลังจากนั้นก้อนเมฆก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของเขา ดวงตาบนหน้าผากของเขาเปิดออกและส่องแสงออกมา


 


“ท้องฟ้าและเมฆนั้นไร้เทียบทาน! เพลงดาบสังหารนภา!”

กระเรียนพันขนตะโกน เมื่อมีลมปราณสีขาวออกมาห่อหุ้มดาบของเขา เขาก็ฟันมันออกไป


 


ดาบสายลมสีขาวตัดผ่านควันพิษสีดำ และมันก็ยังคงพุ่งต่อไปที่หัวของมังกร


 


“พวกเจ้ารีบหนีไปซะตอนนี้” กระเรียนพันขนกำดาบของเขาเอาไว้แน่นขณะที่วิ่งเข้าไปหามังกร


 


“พาซู่อีหนีไป” ยวิ๋นซู่ซางผลักยวิ๋นซู่อีไปให้กับเฟิร์สเดย์ หลังจากนั้นดวงตาบนหน้าผากของเธอก็เปิดออก ลมปราณสีขาวห่อหุ้มดาบของเธอเช่นเดียวกัน และเธอก็เข้าไปต่อสู้เคียงข้างกระเรียนพันขน


 


พวกเขาโจมตีกันอย่างพร้อมเพรียงเพื่อทำลายลมหายใจของมังกรเสวียนเยวี๋ยน พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อหยุดมังกรเสวียนเยวี๋ยนเอาไว้


“นี่สินะคือพลังของคนเผ่านภา เมื่อดวงตาที่ 3 ของพวกเขาเปิดออก พวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก” หานเซิ่นมองดูอย่างตกตะลึง


 


พลังของกระเรียนพันขนและยวิ๋นซู่ซางสามารถต่อกรกับซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสได้ และมันก็ดูเหมือนกับว่าพวกเขามีความสามารถพอที่จะฆ่าซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสได้เลย


 


แต่มังกรเสวียนเยวี๋ยนไม่ใช่ซีโน่เจเนอิคระดับมาร์ควิสธรรมดาๆ เกล็ดของมันแข็งแกร่งมากๆและพลังของมันก็สุดยอดไม่แพ้กัน ถึงแม้กระเรียนพันขนและยวิ๋นซู่ซางจะทำลายลมหายใจของมันได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเจาะทะลุเกล็ดของมันเข้าไปได้


 


ดาบลมสีขาวเหมือนกับหิมะพุ่งเข้าใส่เกล็ดสีดำของมังกรเสวียนเยวี๋ยน แต่มันก็ทำได้แค่ทิ้งรอยสีขาวบางๆเอาไว้เท่านั้น


 


หานเซิ่นให้มนตรายิงใส่มังกรเสวียนเยวี๋ยน แต่เมื่อกระสุนถูกเป้าหมาย พวกมันก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นละออง


 


‘แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้!’ หานเซิ่นคิด


 


“มิสเตอร์หาน ได้โปรดพาซู่อีออกไปจากที่นี่”


 


เฟิร์สเดย์พูดขณะที่เริ่มใช้วิชามนตร์สัจธรรม เขาตบฝ่ามือลงบนพื้น หลังจากนั้นมันก็ขยายออกไปหายวิ๋นซู่ซางและกระเรียนพันขนเพื่อช่วยเสริมพลังและความเร็วให้กับพวกเขา


 


ตอนนี้ยอดฝีมือทั้ง 3 กำลังต่อสู้กับมังกรเสวียนเยวี๋ยน แต่นั่นดูเหมือนจะทำให้มันโกรธยิ่งกว่าเดิม แสงสีดำส่องสว่างออกมาจากตัวของมันและกลายเป็นปีกของมังกร ทำให้มันเร็วขึ้นกว่าเดิม


 


มังกรเสวียนเยวี๋ยนกระพือปีกของมันเพื่อพุ่งเข้าไปหายวิ๋นซู่ซาง


 


ยวิ๋นซู่ซางไม่สามารถหลบได้ทัน และมังกรก็กัดดาบของเธอจนหัก


 


ขณะเดียวกันมังกรก็ฟาดหางไปใส่เฟิร์สเดย์ ร่างกายของเฟิร์สเดย์ส่องสว่างด้วยแสงสีขาว วิชามนตร์สัจธรรมสร้างโล่ฟองสบู่ขึ้นรอบๆตัวเขา แต่หางของมังกรก็ฟาดโล่นั้นแตกกระจายในครั้งเดียวและส่งร่างของเขากระเด็นออกไปชนเข้ากับกำแพงของถ้ำ เฟิร์สเดย์กระอักเลือดออกมาขณะที่ร่างของเขาชนเข้ากับกำแพง


 


“โอ้ไม่นะ มันเป็นซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์”

กระเรียนพันขนเคลื่อนไหวราวกับเมฆ เขาอุ้มยวิ๋นซู่ซางขึ้นมาพร้อมกับฟันดาบสายลมออกไปข้างหน้าเพื่อทำลายควันสีดำที่มังกรเสวียนเยวี๋ยนปล่อยออกมา


 


“มนตรา คอยปกป้องนางเอาไว้!” หานเซิ่นบอกกับมนตรา หลังจากนั้นเขาก็ชักมีดเขี้ยวผีสิงออกมา รองเท้าเขี้ยวกระต่ายปรากฏที่เท้าของเขา และเขาก็ถือมีดด้วยถุงมือมิงค์หมอกแดง


 


หานเซิ่นเคลื่อนไหวราวกับเงามืดและอ้อมไปด้านหลังของมังกรเสวียนเยวี๋ยน หลังจากนั้นเขาก็ใช้มีดฟันเข้าใส่หลังคอของมังกรเสวียนเยวี๋ยน


 


การโจมตีของเขาทำได้แค่สร้างรอยบางๆเอาไว้เท่านั้น แม้แต่พลังเขี้ยวของเขาก็ไม่สามารถเจาะทะลวงเกล็ดของมังกรเสวียนเยวี๋ยนได้


 


“มันแข็งถึงขนาดนี้เลยหรอ?” หานเซิ่นแปลกใจ


 


“อย่าพยายามสู้กับมัน รีบหนีไปซะ มันเป็นซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์ ร่างกายของมันเหนือกว่าระดับมาร์ควิส” กระเรียนพันขนฟันใส่มังกรเสวียนเยวี๋ยนเพื่อดึงความสนใจของมันขณะที่ตะโกนออกมา


 


แต่มังกรเสวียนเยวี๋ยนนั้นรวดเร็วเกินไป มันกระพือปีกและพุ่งเข้าใส่กระเรียนพันขน ดาบสายลมของกระเรียนพันขนถูกชนแตกสลายในทันที เมื่อเห็นว่ามันกำลังจะถึงตัวของเขา กระเรียนพันขนก็ตะโกนออกมา เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับว่าเขาเทเลพอร์ตหนีจากการโจมตีของมังกรไป


 


แต่สีหน้าของกระเรียนพันขนดูซีดเซียว มือของเขาสั่นรัว ขณะที่เขาส่งยวิ๋นซู่ซางให้กับยวิ๋นซู่อี “พวกนางหนีไปพร้อมกับเฟิร์สเดย์ หานเซิ่นกับข้าจะรับมือกับมันเอง”


 


หลังจากที่โจมตีพลาดเป้า มังกรเสวียนเยวี๋ยนก็หันไปหาเฟิร์สเดย์ที่กำลังลุกกลับขึ้นมาแทน


 


เฟิร์สเดย์กัดฟัน ขาของเขาส่องแสงออกมาราวกับว่าเขาเหยียบบนดอกบัวดอกหนึ่ง เขาใช้วิชาอย่างหนึ่งที่ทิ้งสัญลักษณ์ของดอกบัวเอาไว้ตามพื้น ซึ่งทุกสัญลักษณ์นั้นทำให้เขารวดเร็วยิ่งขึ้น


 


แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถหลบการโจมตีของมังกรเสวียนเยวี๋ยนได้ กรงเล็บของมันพุ่งเข้ามาอยู่ตรงหน้าของเขา


 


เฟิร์สเดย์ส่งฝ่ามือออกไปและปล่อยแสงแห่งสัจธรรมเข้าไปปะทะกับกรงเล็บ แต่เฟิร์สเดย์ถูกส่งกระเด็นออกไปชนกับผนังของถ้ำ


มังกรที่โหดเหี้ยมบินเข้าหาเฟิร์สเดย์อีกครั้ง ดวงตาของกระเรียนพันขนส่องสว่างขึ้นมา และเขาก็ปลดปล่อยก้อนเมฆออกจากดาบ ก้อนเมฆนั้นกลายเป็นมังกรสีขาวและพุ่งเข้าใส่มังกรเสวียนเยวี๋ยน


 


มังกรสีดำและมังกรสีขาวเข้าปะทะกันและกัน แต่ทันใดนั้นมังกรเสวียนเยวี๋ยนก็กระพือปีกและพุ่งเข้าไปหายวิ๋นซู่ซางกับยวิ๋นซู่อีแทน


 


“ระวัง!” สีหน้าของกระเรียนพันขนเปลี่ยนเป็นสีดำ การโจมตีนั้นใช้พลังทั้งหมดของเขา และมันไม่มีอะไรที่เขาจะทำเพื่อช่วยพวกเธอได้


 


ยวิ๋นซู่ซางรู้ว่าพวกเธอไม่รวดเร็วพอที่จะหลบการโจมตี เธอเรียกดาบโบราณออกมาพร้อมกับมีแสงส่องออกมาจากดวงตาที่ 3 ของเธอ หลังจากนั้นเธอก็ฟันเข้าใส่มังกรเสวียนเยวี๋ยน


 


ขณะเดียวกันหานเซิ่นก็กำลังวิ่งออกไป เขาวิ่งผ่านมังกรเสวียนเยวี๋ยนไปพร้อมกับฟันใส่มันจากด้านข้าง


เคร๊ง!


เสียงทั้ง 2 ดังขึ้นพร้อมๆกัน ยวิ๋นซู่ซางกระอักเลือดและถูกส่งให้กระเด็นออกไป ขณะที่หานเซิ่นฟันไปที่ท้องของมังกร แต่มันก็ทำได้แค่ทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้เท่านั้น


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)