Soaring the heavens พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 929-932
ตอนที่ 929
หนึ่งสองสาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
พูดจากใจจริง เขาไม่อยากช่วยฉินเวยเวยรับสินเดิมเจ้าสาวส่วนนี้ไว้เลย เพราะในสายตาเขา แต่ไหนแต่ไรมาผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยสนใจลูกสาว ทว่าพอนึกถึงก่อนหน้านี้ที่นางเคยช่วยชีวิตฉินเวยเวยที่สำนักงามวิจิตร แปลว่าผู้หญิงคนนี้ใช่ว่าจะไม่มีฉินเวยเวยอยู่ในใจเลย อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตฉินเวยเวยไว้ครั้งหนึ่ง จะเห็นได้ว่ายังมีไมตรีระหว่างแม่กับลูกสาว น้ำใจเล็กน้อยของคนเป็นแม่นี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะช่วยฉินเวยเวยปฏิเสธหรือไม่
ชิงจวี๋กลับมาแล้ว รายงานว่า “นายท่าน นางไปแล้วเจ้าค่ะ… เหมือนจะร้องไห้ด้วย!”
หยางชิ่งสูดหายใจลึกแล้วลืมตาสองข้าง ขยับฝ่ามือย้ายกำไลเก็บสมบัติเลื่อนออกมา “พวกเจ้านับแล้วจดบันทึกไว้ เดี๋ยวข้าจะใส่รวมไว้ในสินเดิมเจ้าสาวของเวยเวย อย่าลืมตรวจดูให้ละเอียดนะ อย่าทิ้งอะไรที่ทำให้เวยเวยสงสัยว่าตัวเองกับผู้หญิงคนนั้นมีความเกี่ยวข้อง” พูดจบก็เดินออกไป
ชิงเหมยกับชิงจวี๋สบตากันแล้วถอนหายใจ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่า ‘ฮูหยิน’ ท่านนั้นจะมีที่มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ เพียงแต่ฐานะแบบนี้ เกรงว่าคงไม่สะดวกจะบอกให้ฉินเวยเวยรู้ไปทั้งชีวิต
ทั้งสองเริ่มนับของที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติ สินเดิมเจ้าสาวส่วนนี้อุดมสมบูรณ์มาก มากมายมหาศาล อย่างน้อยพวกนางทั้งสองก็ยังไม่เคยเห็นของมากมายขนาดนี้ ลูกแก้วพลังปรารถนามีไม่เยอะ มีเพียงสองพันล้านลูก แต่ของมีค่าอย่างอื่นเยอะมาก…
วันมหามงคลมาถึงอย่างรวดเร็ว ยอดเขาหยกนครหลวงประดับผ้าและโคมไฟหลากสีสัน ประตูของห้างร้านบ้านเรือนทั้งเมืองหลวงต่างก็แขวนประดับด้วยโคมไฟสีแดง ชาวบ้านทั้งเมืองหลวงได้เว้นการเสียภาษีเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อให้ชาวบ้านทุกคนในเมืองหลวงได้เฉลิมฉลองด้วย ทำเอาพวกชาวบ้านอยากจะให้เหมียวอี้แต่งงานอีกหลายๆ ครั้ง ดังนั้นจึงมีโคมไฟสีแดงแขวนประดับเยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพวกร้านค้าปลีก พวกเขายิ่งทุ่มเทสุดความสามารถ ถึงอย่างไรพวกเขาก็คือกลุ่มคนที่ได้ยกเว้นภาษีรายใหญ่ เป็นคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ทั้งเมืองหลวงจึงคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา ภูเขาและแม่น้ำสว่างไสวไม่เหมือนตอนกลางคืน เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการเฉลิมฉลอง
บ้านพักที่อยู่ตรงตีนเขาของยอดเขาหยกนครหลวง สมาคมร้านค้าแดนเซียนได้ปฏิเสธรับแขกไว้ล่วงหน้าแล้ว บ้านพักทั้งหมดล้วนเตรียมไว้รับรองแขกที่มาแสดงความยินดี นี่คือการแสดงน้ำใจจากสมาคมร้านค้าแดนเซียน ย่อมไม่คิดเงินเพิ่ม
ฉินเวยเวยที่สวมชุดสีแดงทั้งตัวกำลังนั่งทำผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง วันนี้นางสวยสดใสน่าประทับใจเป็นพิเศษ บนใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเขินอายบางๆ นางที่ก่อนหน้านี้มีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์เสียส่วนใหญ่ วันนี้เค้าโครงใบหน้าสวยละมุนกว่าปกติ
ชิงจวี๋ยืนยืนอยู่ข้างๆ ฉินเวยเวย กำลังเตือนอีกครั้งว่าตอนเข้าห้องหอควรจะรับมืออย่างไร กลัวว่าฉินเวยเวยจะไม่เข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิง ทำให้ฉินเวยเวยหน้าแดงเพราะเขินอาย แต่กลับยังพยักหน้าตอบเสียงเบา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชิงจวี๋บอกแบบนี้ หงเหมียน ลู่หลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังจนหน้าแดงเช่นกัน แต่กลับหูผึ่งจดจำเอาไว้ เผื่อในภายหลังจะได้ใช้
ลูกสาวของคุณชายรองแห่งแดนโพ้นสวรรค์จะแต่งงาน ฮูเหยียนไท่เป่า จงเจิ้น ถังจวิน หงเฉินก็มากันหมด แต่เยว่เหยาไม่ได้มา บอกว่าข้างกายท่านอาจารย์จะขาดคนไม่ได้ ต้องการจะอยู่เป็นเพื่อนท่านอาจารย์
ท่านทูตสายต่างๆ ของแดนเซียนมากันครบ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเหมียวอี้ สำหรับเหมียวอี้ที่เอาชีวิตของพวกเขาไปต่อรอง พวกเขาไม่ได้รู้สึกดีด้วยสักเท่าไร มาเพราะไว้หน้าคุณชายรองอันหรูอวี้กับโอวหยางกวงเพื่อร่วมงานแท้ๆ
ประมุขปราสาทของสายมะโรงก็มากันหมด ส่วนระดับที่ต่ำกว่านั้น หยางชิ่งไม่อยากกระพือข่าวให้รู้กันทั่ว เขาไม่อยากให้ทำให้ใหญ่โตเกินหน้าเกินตาอวิ๋นจือชิวในปีนั้น จึงโน้มน้าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นสหายของเหมียวอี้ ถ้าไม่เชิญมาก็จะฟังดูเหลวไหล
ส่วนคนจากแดนอื่นๆ นอกจากไต้ซือศีลเจ็ดกับศีลแปดที่เป็นลูกศิษย์ ก็ไม่มีคนอื่นมาเข้าร่วมแล้ว พวกนั้นไม่ฆ่าเหมียวอี้ทิ้งก็ดีเท่าไรแล้ว จะมาแสดงความยินดีได้อย่างไร แม้แต่แดนมารก็ไม่มีมาสักคน เหมียวอี้แต่งงานรับอนุภรรยา ในความคิดของพวกเขา นี่คือเรื่องที่ไม่เป็นธรรมสำหรับอวิ๋นจือชิว ย่อมไม่มาประสมโรงด้วยอยู่แล้ว
ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรก็ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่กลุ่มราชาปีศาจก็พามาด้วย
เจ้าสำนักของสำนักใหญ่ๆ ในสายมะโรงก็มาแทบจะหมด
ถึงแม้จะจัดงานอย่างเรียบง่าย แต่กลับยังคงคึกคัก ถึงอย่างไรเมื่อเทียบอาณาเขตหนึ่งปราสาทกับอาณาเขตหนึ่งสาย ฐานะก็ไม่เหมือนกันแล้ว
มีคนสนิทคุ้นเคยไม่น้อยที่โวยวายต้องการจะพบเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้กลับไม่โผล่มาแม้แต่เงา ก็ช่วยไม่ได้ เพราะอายไงล่ะ แต่งงานอนุภรรยาก็ว่าอายแล้ว นี่ยังแต่งเข้ามาทีเดียวสามคน ถ้าวนไปเล่นด้วยทุกคนเขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน จึงหลบไปก่อนดีกว่า
เกี้ยวเจ้าสาวจากสายชวดมาแล้ว ไม่ได้ทำให้ฮือฮาเลยจริงๆ เป็นเกี้ยวหนึ่งหลังสองที่นั่ง ประดับด้วยผ้าสีแดง พากองทหารมานิดหน่อย เหาะลงมาจากฟ้าโดยอันหรูอวี้และโอวหยางกวงที่สวมชุดสีแดงคุ้มกันมาส่ง
เกี้ยวลงมาจอดตรงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หญิงงามคู่หนึ่งที่คลุมศีรษะด้วยผ้าแดงถูกเชิญลงมา หญิงรับใช้ของแต่ละคนเข้ามาประคองเข้าไปอยู่ในห้องเพื่อรอฤกษ์ยาม ฉินเวยเวยที่มาถึงก่อนนั่งรออยู่บนเก้าอี้แล้ว โดยมีหงเหมียน ลู่หลิ่วยืนอยู่เป็นเพื่อนทางซ้ายและขวา
พอโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนเข้ามา เจ้าสาวทั้งสามมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ภายนอก แต่แววตาของหญิงรับใช้ทั้งหกกลับแทบจะมีประกายไฟออกมา เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาเป็นศัตรู
หญิงรับใช้ทั้งสองของโอวหยางหลางชื่อว่า จือฉิน จือฉี ส่วนหญิงรับใช้ของโอวหยางหลางชื่อว่า จือซู จือฮว่า ทั้งสี่คนหน้าตาสวยโดดเด่น ด้วยฐานะวงศ์ตระกูลของฝาแฝด ย่อมไม่เลือกคนธรรมดาสามัญมาเป็นหญิงรับใช้ประจำตัวอยู่แล้ว ต่างก็เลือกมาอย่างพิถีพิถัน ชื่อของหญิงรับใช้สี่คนนี้ เมื่อรวมกันแล้วก็จะได้ฉินฉีซูฮว่า[1] จะว่าไปแล้วก็ต้องแต่งเข้ามาด้วยเหมือนกัน แต่จนใจที่ฉินฉีซูฮว่าเป็นสิ่งที่เหมียวอี้ไม่ถนัดเลย แต่คนชื่อนี้กลับมากันครบ ช่างเป็นการเยาะเย้ยเสียดสีเขาจริงๆ
อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงไม่ได้เข้ามา พวกเขายังมีธุระของตัวเองอีก
เมื่อถึงเวลาตามฤกษ์ ด้านนอกก็เสียงดนตรีของสรวงสวรรค์ เหมียวอี้ที่หลบจนถึงตอนสุดท้าย ในที่สุดก็ออกมาแล้ว ประดับด้วยผ้าสีแดงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เขามาพร้อมเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ และมีเหยียนซิวเดินนำหน้าเพื่อคอยชี้แนะขั้นตอน
แต่งงานรวดเดียวสามคน การเตรียมการก่อนหน้านี้ช่างน่าปวดหัวจริงๆ สถานการณ์สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นตอนนี้ เหมียวอี้เข้ามารับเจ้าสาวทั้งสามคน ตัวเองเดินนำหน้าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เข้ามา ส่วนเจ้าสาวสามคนนั้น ต่างคนก็ต่างก็มีหญิงรับใช้สองคนคอยประคองอยู่ข้างหลัง คลุมผ้าแดงที่ศีรษะและยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ข้างหลัง
เมื่อภาพประหลาดแบบนี้ปรากฏอยู่ในพิธีมงคล ก็มีแขกไม่น้อยที่กลั้นขำ บางคนกัดริมฝีปากจนเหนื่อยมาก กัดจนแทบเลือดไหล เกือบจะหลุดขำออกมาแล้ว ศีลแปดที่กำลังดูพิธีกำลังประนมมือกล่าวว่าอามิตตาพุทธไม่หยุด ในใจเขาขำกลิ้งไปหลายตลบ แต่ใบหน้ายังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี นิสัยแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบติด ทั้งงานนี้หาใครมาเทียบเขาไม่ได้แล้ว ใครกล้าบอกว่าเขาแค่วางมาดภูมิฐาน
ไต้ซือศีลเจ็ดก็กลั้นยิ้มเล็กน้อยเช่นเดียวกัน พอหันกลับมามองลูกศิษย์ตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ ลูกศิษย์คนนี้ช่างเป็นคนอัปมงคลจริงๆ ไม่เคยเห็นใครเสแสร้งเก่งขนาดนี้มาก่อนเลย!
แขกที่ยืนอยู่สองฝั่งของพรมแดงแอบส่งสายตาหยอกล้อ เหมียวอี้รู้สึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนี วาสนาแบบนี้เขารับไม่ไหวจริงๆ
มีบางคนกำลังแอบถ่ายทอดเสียงคุยกัน “การแต่งงานรับอนุภรรยารอบนี้ บอกว่าแต่งสามคน พอนับรวมหญิงรับใช้เข้าไปด้วย ก็เท่ากับได้รวดเดียวเก้าคน ใช้ได้เลย”
อวิ๋นจือชิวยืนมองบรรยากาศภายนอกอยู่ริมหน้าต่างบนตึกปราสาททอง ใบหน้าอมยิ้มเล็กน้อย ความรู้สึกที่แท้จริงมีแค่ตัวนางที่รู้ ในเวลานี้นางจะปรากฏตัวหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว นางเลือกที่จะหลบอยู่หลังม่าน
ภายใต้เสียงประกาศในพิธีการ เหมียวอี้นำเจ้าสาวทั้งสามคำนับฟ้าดินและคำนับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ย่อมเป็นอันหรูอวี้ โอวหยางกวงและหยางชิ่งนั่งเรียงกัน เดิมทีนี่คือเรื่องมงคล เพียงแต่เมื่อมีการคำนับพร้อมกันมากกว่าสองคน รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาจึงดูฝืนทน
มีเพียงตอนสุดท้ายที่สามีภรรยาคำนับกัน เหมียวอี้เพียงโค้งตัวคำนับเท่านั้น ตอนที่คำนับฟ้าดินกับผู้ใหญ่ก็โค้งตัวเหมือนกันหมด ตอนแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวถึงจะเรียกว่าเป็นการคุกเข่าคำนับที่แท้จริง ภรรยาเอกกับอนุภรรยายังมีความแตกต่างในด้านพิธีอยู่บ้าง เป็นการแบ่งแยกลำดับความสำคัญจริงๆ
สุดท้ายก็ส่งตัวเข้าห้องหอ ทั้งหมดรวมอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แบ่งเป็นห้องหอสามห้อง เมื่อส่งเข้าประตูบ้านก็ถือว่าส่งตัวเข้าห้องหอแล้ว หญิงรับใช้ทั้งหกประคองเจ้าสาวทั้งสามเข้าไปในห้อง ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้มีแค่คนเดียว ไม่สามารถแยกเป็นสามร่างได้
จากนั้นเหมียวอี้ก็ออกจากบ้านมารับแขก ส่วนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทำภารกิจเสร็จแล้วก็ถอยกลับไปอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว ตอนที่เหมียวอี้กลับมาอีกครั้ง ก็มีหญิงรับใช้ของเจ้าสาวทั้งสามคนคอยรับใช้อยู่แล้ว
ในงานเลี้ยง ท่านขุนนางเหมียวยังมีหน้าตามีตา เพราะไม่ได้ดื่มสุราจนเมามาย แต่คำพูดหยอกล้อกลับทำให้เขามึนแทน
ยกตัวอย่างเช่น มีบางคนตะโกนว่า “คุณชายห้า เข้าห้องหอคนเดียวไหวรึเปล่า?”
ทุกคนหัวเราะลั่น เหมียวอี้อับอายมาก รีบดื่มสุราฉลองทีละโต๊ะอย่างรวดเร็วแล้วหนีไป แทบจะหนีหัวซุกหัวซุน รับไม่ไหวแล้วจริงๆ
มีบางคนตะโกนว่า “เจ้าบ่าวอย่าหนีสิ ไม่ต้องรีบเข้าห้องหอ คิดให้ดีก่อนว่าจะเข้าห้องไหนแล้วค่อยไป”
เหมียวอี้จะกล้าหันกลับมาได้อย่างไร หลังจากเข้าเขตลานบ้านของเรือนหอมาแล้ว เขาถึงได้โล่งใจ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากคำพูดฉีกหน้าพวกนั้นเสียที ช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดผ่านไปแล้ว ส่วนเรื่องการเข้าห้องหอที่เหลือ เขาก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร
แต่พอกวาดสายตามอง เหมียวอี้ก็ปวดหัวทันที หงเหมียน จือฉิน จือซู แต่ละคนยืนอยู่หน้าประตูห้อง ต่างก็กำลังมองเหมียวอี้ตาปริบๆ ดูจากท่าทางแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวจะเสียมารยาท ก็คงแทบจะฉุดเหมียวอี้เข้าไปในห้องเจ้านายตัวเองแล้ว
เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง พบว่าเหยียนซิวที่เดินตามหลังมาได้หนีไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กับเรื่องแบบนี้ แม้แต่คนจัดงานอย่างเหยียนซิวก็ไม่มีทางเตรียมการล่วงหน้าได้เช่นกัน
หลังจากไตร่ตรองเงียบๆ สักพัก เหมียวอี้ก็หันตัวเดินไปยังห้องที่จือซูยืนอยู่ สีหน้าของจือซูดูตื่นเต้นประหลาดใจขึ้นมาทันที รีบหันตัวไปเปิดม่าน แล้วตะโกนเข้าไปในห้อ “ท่านเขยมาแล้ว!”
เมื่อเห็นเหมียวอี้เข้าไปในห้องของโอวหยางหวนก่อน หงเหมียนก็ทำสีหน้าผิดหวัง ส่วนจือฉินที่เฝ้าอยู่อีกห้อง ถึงแม้จะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ก็ยังเชิดหน้าท้าทายใส่หงเหมียนได้ ถึงอย่างไรนางกับฝ่ายนั้นก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องร่วมมือกันสู้กับคนนอก
เทียนสีแดงในห้องหอสว่างมาก ช่วยขับผ้าแพรสีแดงให้เด่นชัดขึ้น โอวหยางหวนนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างสงบนิ่งเรียบร้อย พอเหมียวอี้ใช้สองมือเปิดผ้าคลุมศีรษะสีแดงของอีกฝ่าย ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็เด่นสง่ามีราศีขึ้นมา ภายใต้ฤทธิ์สุรา สาวงามตรงหน้ากลับทำให้เหมียวอี้ตาเป็นประกายเล็กน้อย นึกถึงภาพวาบหวิวที่ทะเลทรายม่านเมฆาขึ้นมาโดยจิตใต้สำนึก
แววตาของโอวหยางหวนดูอึดอัดมาก เห็นได้ชัดว่าความตื่นเต้นกังวลได้ข่มความเขินอายไปแล้ว จือฮว่าประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วจือซูก็ยกสุราเข้ามา หลังจากทั้งสองคล้องแขนดื่มสุรากันแล้ว โอวหยางหวนก็คำนับเสี่ยงสั่น และเรียกเขาว่าท่านสามี
“เอ่อคือ เจ้าคือ…” ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าจัวเองเข้ามาในห้องหอของใคร เพราะสองพี่น้องหน้าตาเหมือนกันมาก เขาแยกไม่ออกจริงๆ ว่าใครเป็นใคร
จือซูที่อยู่ข้างๆ เข้าใจที่เขาสื่อ จึงรีบเตือนว่า “เป็นหวนฮูหยินเจ้าค่ะ”
จากนั้นหญิงรับใช้ทั้งสองก็เชิญให้คู่บ่าวสาวนั่งลง แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะบอกโอวหยางหวนที่อยู่ข้างๆ ว่า “ข้าจะไปที่ห้องพี่สาวเจ้าสักหน่อย”
“ค่ะ” โอวหยางหวนตอบเสียงต่ำ
เมื่อเห็นเหมียวอี้ออกจากห้องโอวหยางหวน แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในห้องโอวหยางหลางอีก หงเหมียนก็เม้มริมฝีปากแน่น หันไปมองห้องที่อยู่ข้างหลังตัวเอง นางรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเจ้านาย ตอนนี้ตาแดงก่ำแล้ว
โชคดีที่เหมียวอี้ไม่ได้ทำให้นางผิดหวังนานเกินไป ไม่นานก็ออกจากห้องโอวหยางหลาง แล้วมุ่งตรงมาทางนี้ หงเหมียนใช้มือปาดตาครั้งหนึ่ง แล้วรีบเปิดประตูต้อนรับเขาทันที
ตรงหน้าต่างบนตึกของปราสาททอง อวิ๋นจือชิวสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ของบ้านที่อยู่รอบๆ ได้ นางเฝ้าสังเกตห้องหอและหลุดขำออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้าถอนหายใจ หันกลับไปมองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลัง แล้วพูดหยอกว่า “แค่เข้าห้องหอก็ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว งานยุ่งจริงๆ อย่าเหนื่อยเสียก่อนล่ะ!”
…………………………
[1] ฉินฉีซูฮว่า 琴棋书画 คือศิลปะสี่แขนงที่เหล่าปัญญาชนต้องเรียนรู้ ได้แก่ กู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีนและการวาดภาพ
ตอนที่ 930
บำเพ็ญเพียรจนบรรลุ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นเชียนเอ๋อร์ก็รีบตอบทันทีว่า “ใช่เจ้าค่ะ พวกนางจะมีวาสนาเหมือนฮูหยินได้อย่างไร”
อวิ๋นจือชิวกวาดตามองทั้งสองอย่างไม่ใส่ใจ รู้ว่าทั้งสองคิดอะไรอยู่ พวกนางกลัวตนจะหึงหวง จึงรับยิ้มบางๆ ก่อนจะทอดสายตามองเมืองหลวงที่สว่างพร่างพราวอยู่ภายใต้ความมืดยามราตรี แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “คืนนี้ทิวทัศน์ยามราตรีช่างงดงามยิ่งนัก!”
นางใจกว้างจริงหรือไม่ มีแต่นางเท่านั้นที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ความรู้สึกในตอนนี้ ไม่คุ้มที่จะบอกให้คนอื่นรู้ ไม่ต้องพูดอะไรมากเกินความจำเป็น นางเองก็ไม่อยากใช้คำพูดสวยหรู ขอแค่เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้ชายคนนั้น นางล้วนเต็มใจทำให้
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป ในงานกลับมีคนสองกลุ่มที่ที่สนใจสถานการณ์ทางห้องหอเป็นพิเศษ
อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงกำลังทักทายแขกด้วยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่นานก็มีคนมาถ่ายทอดเสียงรายงานเงียบๆ ว่า “ท่านเขยเข้าห้องคุณหนูรองก่อนขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น สองสามีภรรยาก็โล่งใจ รอยยิ้มบนใบหน้าชัดเจนขึ้นกว่าเดิม
ผ่านไปไม่นานก็มีคนมารายงานอีกว่า “ท่านเขยเข้าไปที่ห้องของคุณหนูใหญ่อีกขอรับ”
สองสามีภรรยาเรียกได้ว่ายิ้มหน้าบานด้วยความปีติยินดี ต้อนรับแขกอย่างอบอุ่นและดื่มฉลองหลายจอก
รายงานแบบเดียวกันมาถึงหูหยางชิ่งติดต่อกัน ทำให้มือที่ถือจอกสุราสั่นเล็กน้อย ยากจะบรรยายอารมณ์คับแค้นเศร้าโศกในใจ แค่เป็นอนุภรรยาก็ไม่ยุติธรรมกับลูกสาวแล้ว ตอนนี้ก็ยิ่ง… เขาเพียงแค้นใจที่ตัวเองมีอำนาจไม่มากพอ ทำให้ลูกสาวตัวเองได้รับความอัปยศเช่นนี้ ละอายใจที่เกิดมาเป็นพ่อคน!
ในสายตาเขา เหตุผลนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว แค่เพราะตนมีอำนาจอิทธิพลไม่มากพอ เหมียวอี้ถึงได้มองข้ามลูกสาวของตนแบบนี้!
“มา! ดื่ม!” จู่ๆ เสียงของหยางชิ่งดังขึ้นหลายส่วน เขาบอกลูกน้องด้วยท่าทางสบายใจ ถึงขั้นแย่งกาสุราจากมือลูกน้องมาไว้ในมือตัวเอง แล้วกรอกลงปากอย่างดุดัน
ทว่าคนอื่นไม่รู้ว่าในใจเขารู้สึกอย่างไร ยังคงกู่ร้องด้วยความยินดี!
จนกระทั่งได้รับรายงานว่าเหมียวอี้เข้าไปอยู่ที่ห้องของสองคนนั้นไม่นาน แล้วสุดท้ายก็ไปที่ห้องของฉินเวยเวย หยางชิ่งจึงสุขุมเยือกเย็นขึ้นหลายส่วน ไม่ได้ดื่มมากจนเมามายเสียอาการ…
ผ้าคลุมศีรษะสีแดงถูกเปิดออกเบาๆ ฉินเวยเวยนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างสงบนิ่งเหมือนหญิงสาวบริสุทธิ์ แพขนตายาวของนางขยับเล็กน้อย เมื่อช้อนสายตาขึ้นประสานกับสายตายิ้มหยอกของเหมียวอี้ นางก็เขินอายจนทำอะไรไม่ถูก หน้าแดงจนถึงคอ ดูสวยหยาดเยิ้มไร้ที่สิ้นสุด
ก่อนหน้านี้นางได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกแล้วเช่นกัน รู้ว่าเหมียวอี้ไปที่ห้องของอีกสองคนก่อน ถ้าจะบอกว่าในใจไม่คิดอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ในตอนนี้นางโยนความคิดทุกอย่างทิ้งไว้ข้างหลังหมดแล้ว แม้แต่การประพฤติตัวในห้องหอที่ชิงจวี๋สอนไว้ก่อนหน้านี้ นางก็ลืมหมดแล้วแล้วเช่นกัน เหลือเพียงความเขินอายและหวานชื่นที่เต็มเปี่ยม รู้เพียงว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะได้กลายเป็นผู้หญิงของคนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ลู่หลิ่วก็ประคองนางให้มานั่งตรงข้ามกับเหมียวอี้ หยิบจอกสุราที่หงเหมียนถือมาให้ แล้วคล้องแขนดื่มด้วยกัน ตอนที่สายตาของทั้งสองประสานกัน บอกไม่ถูกว่าเป็นรสชาติอย่างไร
สำหรับคำว่า “ท่านสามี” เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้านอะไร แต่ในใจฉินเวยเวยกลับหวานชื่นมาก รู้สึกเหมือนเผชิญความลำบากยากแค้นมาเป็นเวลายาวนาน แล้วสุดท้ายก็ได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุเสียที
หงเหมียน ลู่หลิ่วกลับเป็นกังวลมาก ก่อนหน้านี้เห็นเหมียวอี้เข้าๆ ออกๆ สองห้องนั้น ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะหนีไปอีกหรือเปล่า ถ้าปฏิบัติตามขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไม่ครบ จะนับว่าเป็นการเข้าห้องหอที่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร
โชคดีที่เหมียวอี้ยิ้มแล้วบอกว่า “ถอดเครื่องประดับให้หรูฮูหยินเถอะ”
ที่เรียกว่า ‘หรูฮูหยิน’ ก็หมายถึงอนุภรรยา หมายถึง ‘ราวกับฮูหยิน’ หรือจะเข้าใจได้ว่า ‘ไม่เทียบเท่ากับฮูหยินที่เป็นภรรยาเอก’ นี่ก็คือความแตกต่าง
หญิงรับใช้ทั้งสองพยักหน้าซ้ำๆ รีบมาถอดมงกุฎให้ฉินเวยเวย
ผมงามที่เคยถูกเกล้าม้วนขึ้นห้อยตกลงมาประบ่าของฉินเวยเวย หญิงรับใช้ทั้งสองรีบเข้ามาช่วยนางจัดให้เป็นระเบียบ กลัวว่าจะไม่น่ามอง
ภายใต้แสงเทียนที่สั่นไหว ขณะมองฉินเวยเวยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอาย นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้เห็นนางตอนปล่อยผม ภาพที่ถ้ำล่องนิภายังอยู่ในความทรงจำ นางทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ แล้วตอนหลังก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาหลายครั้ง ตอนนั้นเรียกได้ว่าเกลียดผู้หญิงคนนี้จนอยากฆ่าทิ้ง แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปตามวันเวลาที่ผันผ่าน ใครจะคิดว่าวันหนึ่งนางจะได้มาร่วมห้องหอกับเขา เรื่องบางเรื่องก็มหัศจรรย์มากจริงๆ หรือนี่จะเป็นสิ่งที่คนเรียกกันว่าบุพเพสันนิวาส
“คืนนี้ไม่ไปไหนแล้ว ค้างที่นี่แล้วกัน พวกเจ้าออกไปเถอะ!” เหมียวอี้หันกลับมาสั่ง
หงเหมียน ลู่หลิ่วทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจทันที พวกนางคำนับอำลาพร้อมกัน ตอนที่ออกไปก็ปิดประตูให้อย่างดี
ไม่ต้องอธิบายแล้วว่า ‘คืนนี้ไม่ไปไหนแล้ว’ หมายความว่าอย่างไร ใช่ว่าฉินเวยเวยจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย หน้าก้มหน้าก้มตาทันที
เหมียวอี้ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปตรงหน้านาง ฉินเวยเวยอึ้งไปครู่หนึ่ง เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ ความคิดในหัวเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ชิงจวี๋เหมือนจะไม่เคยสอนว่าตอนเข้าห้องหอจะมีการทำแบบนี้ แล้วจะให้นางตอบสนองอย่างไรล่ะ? นางรู้สึกลนลานขึ้นมาทันที
เหมียวอี้ยิ้มตาหยีพร้อมถามว่า “เวยเวย จะเป็นสหายของข้าต่อไป หรือจะเป็นผู้หญิงของข้า?”
ฉินเวยเวยรู้ตัวทันที ว่าเขากำลังล้อนางเล่น เจตนาที่แท้จริงของการแปะมือเป็นสหายในปีนั้น เห็นได้ชัดว่าถูกเปิดโปงแล้ว ยิ่งทำให้นางเขินอายสุดๆ จึงเอ่ยเรียกเสียงเบาว่า “ท่านสามี!” แบบนี้เพียงพอที่จะแสดงที่จะแสดงท่าทีแล้ว
“จะให้หงเหมียน ลู่หลิ่วเข้ามาช่วยข้าถอดเสื้อผ้า หรือเจ้าจะทำเอง?” เหมียวอี้กางแขนสองข้างด้วยสีหน้าหยอกล้อ
เวลาแบบนี้จะให้คนอื่นช่วยได้ย่างไร ฉินเวยเวยกัดริมฝีปากด้วยความเขินอาย ยื่นมือเรียวงามทั้งคู่ที่สั่นเล็กน้อยออกไป เริ่มช่วยถอดเสื้อผ้าให้เหมียวอี้อย่างเก้ๆ กังๆ นางไม่เคยช่วยผู้ชายทำเรื่องแบบนี้มาก่อน เป็นเพราะก่อนหน้านี้ชิงจวี๋ฝึกสอนนางอย่างรวบรัด ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน
นางถอดเสื้อผ้าไปแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบตามขั้นตอน แล้วกลับมานั่งคุกเข่าช่วยถอดรองเท้าให้เหมียวอี้ ท่าทางที่ตื่นเต้นกังวลจนตัวสั่นแบบนั้น เหมียวอี้เห็นแล้วรู้สึกตลกมาก
ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่ได้เข้าห้องหอเป็นครั้งแรก แต่เขากับอวิ๋นจือชิวเคยทำเรื่องน่าอับอายกันตั้งแต่ก่อนเข้าห้องหอแล้ว ดังนั้นย่อมมองไม่เห็นความตื่นเต้นกังวลใดๆ จากตัวอวิ๋นจือชิว สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าน่าสนุกมาก
ต่อมาพอเห็นฉินเวยเวยตัวสั่นตอนถอดเสื้อผ้าให้ตัวเอง ก็ยิ่งทำให้เหมียวอี้แทบจะหัวเราะออกมา
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถอดเสื้อผ้าให้ตัวเองอย่างไร สุดท้ายก็สวมแค่เสื้อผ้าชั้นในสีขาวบางมานั่งลงที่ขอบเตียงอย่างช้าๆ คลานขึ้นเตียงอย่างงุ่มงาม แล้วนอนเอนร่างกายที่เกร็งทื่ออยู่ข้างกายเหมียวอี้ หลับตารอให้ช่วงเวลานั้นมาถึง ไม่กล้าหันไปมองเหมียวอี้เลย
เหมียวอี้ที่กำลังนอนเอามือยันศีรษะมองนางหลุดขำอย่างอดไม่ได้ “เวยเวย ปกติเวลาเจ้าเข้านอน ตอนปีนขึ้นเตียงมือไม้อ่อนปวกเปียกแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?”
“ข้ากังวลและหวาดกลัวค่ะ!” ฉินเวยเวยลืมตาสองข้าง แล้วพึมพำตอบเบาๆ
“พอผ่านคืนนี้ไป เจ้าก็ไม่กลัวแล้ว” เหมียวอี้ใช้มือลูบใบหน้าของนาง ทำให้รู้สึกได้ทันทีว่านางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
นางกังวลหวาดกลัว แต่เขากลับช่ำชอง พอจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากแดงสวย ฉินเวยเวยก็รู้สึกแทบหยุดหายใจทันที หลับตาแน่นสนิท รู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าถูกถอดออกชิ้นแล้วชิ้นเล่า ตอนที่ผิวกายทั้งหมดสัมผัสกับอากาศ นางก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ภายใต้แสงเทียน เรือนร่างที่งามประณีต ผิวขาวบอบบางน่าทะนุถนอม เกลี้ยงเกลามีส่วนเว้าส่วนโค้ง หน้าอกอิ่มเอิบเต่งตึงคือจุดเด่นของนาง ยามร่างงามดุจหยกแสดงอยู่ตรงหน้า เหมียวอี้ก็ควบคุมตัวเองไม่ไหวเช่นกัน
“ท่านสามี ข้ากลัว เห็นใจหน่อย…” ในช่วงเวลาสำคัญ เสียงเพ้อของของฉินเวยเวยถูกตัดด้วยเสียงครางแห่งความเจ็บปวด
ประตูของบ้านที่แร้นแค้นมีบุรุษมาเยือนเป็นครั้งแรก ดอกท้อเล็กๆ ผลิบานแดงฉานเป็นพิเศษ…
ที่ด้านนอกประตู หงเหมียน ลู่หลิ่วหูผึ่งฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง ทั้งสองได้รับคำสั่งจากชิงจวี๋ให้มา ‘แอบฟังหน้าห้องหอ’ เมื่อเสียงที่น่าอับอายดังขึ้น ทั้งสองก็หน้าแดงเช่นกัน รีบยืนตรงด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง เฝ้าหน้าประตูไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้มีคนบุกรุกเข้าไป
เมื่อเห็นประตูห้องนี้ปิด และเห็นหงเหมียน ลู่หลิ่วออกมาพร้อมกัน จือฉินกับจือซูที่เฝ้าอยู่อีกสองห้องก็สีหน้าเปลี่ยน หงเหมียนเองก็เชิดคางท้าทายอีกสองคน นับว่าเป็นการแก้เผ็ดเมื่อครู่นี้ สีหน้าของนางค่อนข้างอิ่มอกอิ่มใจ ทำเหมือนคนที่อยู่ในห้องหอเป็นตัวนางเองอย่างนั้นแหละ
ฮูหยินมีได้เพียงคนเดียว แต่อนุภรรยากลับมีสามคน ในฐานะที่เป็นคนข้างกายของเจ้านาย พวกนางย่อมหวังให้เจ้านายได้รับความเอ็นดูอยู่แล้ว การแย่งชิงความโปรดปรานคือธรรมชาติของผู้หญิง
หลังจากคลื่นลมพายุในห้องสงบลง เสียงสนทนาพึมพำที่ดังมาจากในห้องก็ยิ่งทำให้หงเหมียนกับลู่หลิ่วกลั้นขำ สองคนข้างในกำลังคุยกันเรื่องถ้ำล่องนิภา นายหญิงเหมือนจะถูกหยอกล้อหนักมาก พอนางแก้ตัวไปคำเดียว เสียงความเคลื่อนไหวที่ทำให้คนหน้าแดงก็ดังขึ้นอีก มีเสียงคนขอร้องให้ยกโทษให้…
พอถึงเที่ยงคืนแล้วยังไม่เห็นเหมียวอี้ออกมา จือฉินกับจือซูก็สีหน้าแย่มาก
จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง หงเหมียนมองดูสีของท้องฟ้า แล้วก็เงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้องอีกนิดหน่อย หลังจากกำชับลู่หลิ่วแล้ว ถึงได้ทำตัวเหมือนไก่ตัวผู้ที่ลำพองใจ เงยหน้าเชิดอกเดินออกจากบ้านไป ปล่อยให้ลู่หลิ่วเฝ้าอยู่คนเดียว
จือฉินพยักหน้าให้จือซู จากนั้นก็รีบเดินออกไปเช่นกัน
งานเลี้ยงเลิกราตั้งนานแล้ว ในจวนผู้การใหญ่ หยางชิ่งกำลังหนังถือหนังสืออยู่หลังโต๊ะยาว ส่วนจะอ่านเข้าหัวหรือไม่นั้น มีเพียงแต่เขาเท่านั้นที่รู้ ชิงเหมยยืนเป็นเพื่อนอยู่จ้างๆ หันมองไปทางข้างนอกเป็นระยะ
ในลานบ้านด้านนอก ชิงจวี๋นั่งๆ ยืนๆ อยู่ในศาลา แล้วก็เดินไปเดินมาอย่างร้อนรนอยู่เป็นระยะ รอจนกระทั่งหงเหมียนมาถึง นางก็เดินเข้าไปรับทันที ดวงตาฉายแววสอบถาม
“ท่านสามีกับคุณหนูได้ร่วมห้องเป็นสามีภรรยากันแล้วเจ้าค่ะ” หงเหมียนถ่ายทอดเสียงตอบทันที
ชิงจวี๋โล่งใจแล้ว จากนั้นก็รีบนำนางเข้ามาในห้อง
หยางชิ่งที่กำลังถือหนังสืออ่านอยู่หลังโต๊ะยาวรีบเงยหน้า ชิงจวี๋พยักหน้าบอกเขา สีหน้าที่หยางชิ่งแบกความเครียดมาทั้งคืน ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงแล้ว
หลังจากหงเหมียนคำนับแล้ว ก็รายงานว่า “ในคืนที่เข้าห้องหอ ท่านเขยค้างคืนกับคุณหนูค่ะ ไม่ได้จากไปไหน เมื่อคืนนี้คุณหนูผ่านไปได้ด้วยดีเจ้าค่ะ”
หยางชิ่งโล่งใจมาก ที่งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้เขาโมโหแทบแย่ นึกว่าตัวเองมีอำนาจไม่เท่าอันหรูอวี้จนทำให้ลูกสาวได้รับความอับอาย พอมาดูตอนนี้แล้ว กลับเป็นตัวเองที่คิดมากไป เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าเมื่อคืนนี้เหมียวอี้จะอยู่กับลูกสาวเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ได้ไปร่วมห้องกับอีกสองคนที่เหลือ ด้วยฐานะของอนุภรรยาทั้งสามคน แค่มองปราดเดียวเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าควรให้ความสำคัญกับใคร แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้กระทั่งในคืนที่สำคัญขนาดนี้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำให้ลูกสาวตนน้อยเนื้อต่ำใจ ส่วนคนอื่นจะพอใจหรือไม่พอใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวพิจารณา อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาพิจารณาเมื่อคืนนี้
“ตบรางวัล!” หยางชิ่งวางหนังสือในมือแล้วเอียงหน้าพูดขัด ความหมายก็คือให้ตบรางวัลหนักๆ
ชิงเหมยนำแหวนเก็บสมบัติสองวงยื่นให้หงเหมียน แล้วสั่งว่า “อีกวงหนึ่งให้ลู่หลิ่ว”
หยางชิ่งบอกอีกว่า “หงเหมียน เจ้าจำไว้นะ ถ้าคุณหนูมีชีวิตที่ดี เจ้ากับลู่หลิ่วถึงจะมีชีวิตที่ดีได้ เข้าใจที่ข้าบอกมั้ย?”
หงเหมียนย่อมเข้าใจอยู่แล้ว นี่เป็นการบอกให้พวกนางทุ่มเทกายใจช่วยเหลือคุณหนูเมื่อไปอยู่ในสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตใหม่ นางเอ่ยรับทันที “เจ้าค่ะ!”
“ฟ้าสว่างแล้ว คุณหนูกับท่านเขยคงใกล้จะตื่นแล้ว รีบไปปรนนิบัติอาบน้ำเถอะ” ชิงเหมยกำชับอีก
หลังจากหงเหมียนออกไป ในที่สุดหยางชิ่งที่นั่งตรงนี้แทบทั้งคืนก็ลุกขึ้นแล้ว เดินเอามือไขว้หลังออกจากห้องหนังสือไป
ที่เรือนพักอีกแห่ง อันหรูอวี้และสามีที่ได้รับข่าวกลับสีหน้าแย่มาก ทั้งสองไม่มีทางจินตนาการได้ว่าผ่านคืนวันแต่งงงานไปได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าจะนั่งเฝ้าเปลวเทียนจนดับมอดอยู่ในห้องที่ว่างเปล่าเพียงลำพังโดยไม่ขยับไปไหน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนนี้ลูกสาวทั้งสองรู้สึกอย่างไร
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าใครสำคัญกว่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝนตกทั่วฟ้า อย่างน้อยเจ้าก็ทำตัวให้เหมือนเข้าห้องหอหน่อยสิ ไม่น่าเชื่อเลย…
“ไอ้จัญไรรังแกกันเกินไปแล้ว!” โอวหยางกวงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วหันขวับไปจ้องอันหรูอวี้ “ต่อไปยังหวังอีกเหรอว่ามันจะดีกับหลางหลางและหวนหวน? เป็นฝีมือของเจ้าทั้งนั้น!”
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่เฝ้าดูว่าผู้ชายคนอื่นกับลูกสาวตัวเองจะอยู่กันเป็นอย่างไร แต่เมื่อคืนมันคนละเรื่องกันเลย
ตอนที่ 931
ครอบครัวปรองดอง ทุกเรื่องก็ราบรื่น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ส่งตัวเข้าหอคืนแรก ได้กลายเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง ขั้นตอนในการกลายเป็นภรรยาของนางช่างหวานชื่น
เป็นไปไม่ได้ที่จะนอนอยู่บนเตียงไปทั้งชีวิต การเปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืนนี้ ทำให้ฉินเวยเวยไม่ตื่นเต้นกังวลเหมือนตอนแรกแล้ว นางช่วยเหมียวอี้ใส่เสื้อผ้าอย่างเอาใจใส่ มือไม้ก็ไม่สั่นเหมือนตอนที่ได้สัมผัสผู้ชายเป็นครั้งแรกอีก ให้ความรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติขึ้นหลายส่วน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวานซึ้ง เปลี่ยนแปลงไปเพราะได้เป็นภรรยาของใครบางคนแล้ว
หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยาวของนางยังสยายคลุมบ่า แต่กลับช่วยจัดแต่งทรงผมให้เหมียวอี้อย่างจริงจังและละเอียดรอบคอบ เมื่อเกล้าผมเสร็จแล้วก็รับปิ่นปักผมจากมือหงเหมียนมาปักที่มวยผมให้เหมียวอี้
เมื่อก่อนนางก็หวีผมให้ผู้ชายไม่เป็น เพิ่งได้รับการฝึกสอนอย่างรวบรัดจากชิงจวี๋ก่อนวันแต่งงานเช่นกัน
หงเหมียนและลู่หลิ่วยืนถือถาดรองอยู่ข้างๆ บนใบหน้าพวกนางแฝงไปด้วยรอยยิ้ม จินตนาการได้เลยว่าเมื่อคืนนี้คุณหนูจะต้องมีความสุขมากแน่นอน ความหวานซึ้งยังแขวนอยู่บนใบหน้าอยู่เลย แววตาที่มองเหมียวอี้ก็ดูออดอ้อนออเซาะ ทั้งสองรู้สึกปลื้มใจแทนฉินเวยเวยเช่นกัน
จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นฉินเวยเวยนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีหงเหมียน ลู่หลิ่วช่วยแต่งตัวทำผมให้ ส่วนเหมียวอี้ก็ยืนยิ้มตาหยีมองอยู่ข้างๆ
ในกระจก ฉินเวยเวยสบตากับเหมียวอี้อยู่เป็นระยะ ทำให้ดวงตางามวูบไหวเป็นระลอกคลื่น แฝงไปด้วยความรักความอ่อนโยน บางครั้งก็หลบสายตา มีทั้งความเขินอายและความหวานซึ้งเจือปน ใบหน้างามแดงระเรื่อ
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว ก่อนที่จะออกไปข้างนอก ลู่หลิ่วก็รีบเก็บผ้าปูเตียงไปทิ้ง เพราะบนนั้นทิ้ง ‘ร่องรอย’ ของเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เอาไว้ นั่นคือสิ่งที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฉินเวยเวยเช่นกัน ย่อมไม่สะดวกจะให้คนนอกเห็น เมื่อเดินออกจากประตูไปก็จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว
เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะที่นี่เป็นเพียงห้องหอชั่วคราว ก็ไม่มีทางเลือก เพื่อให้เข้าห้องหอได้สะดวก ทำแบบนี้ถึงจะให้อนุภรรยาสามคนอยู่รวมกันได้ เมื่อผ่านคืนนี้ไปทั้งสามคนก็จะอยู่เรือนพักคนละหลังแล้ว ไม่มาเบียดรวมอยู่ด้วยกันอีก
เมื่อคู่รักทางฝั่งนี้เดินออกมา จือฉินกับจือซูที่เฝ้าอยู่ด้านนอกทั้งคืนก็รีบหันไปส่งสัญญาณบอกคนในห้อง โอวหยางหลางกับโอวหยางหวนจึงออกมาจากห้องพร้อมกัน ออกมาคำนับเหมียวอี้ แล้วอนุภรรยาทั้งสามคนก็คำนับกันและกัน
เหมียวอี้จ้องโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนเงียบๆ พักหนึ่ง มองออกได้อย่างชัดเจนว่าสองคนนี้กลัวเขานิดหน่อย ไม่กล้ามองเขาตรงๆ เลย พวกนางดูระมัดระวังและเป็นกังวล สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ส่วนหญิงรับใช้ที่อยู่ข้างกายทั้งสอง ก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าสีหน้าฝืนทนขนาดไหน
ในทางกลับกัน ทางฝั่งฉินเวยเวยกับหญิงรับใช้ทั้งสอง สีหน้าแต่ละคนดูดีอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหงเหมียน ลู่หลิ่ว พวกนางทำท่าทางเหมือนอยู่เหนือกว่า วางท่าโอ้อวดให้ใครบางคนดู
“เมื่อคืนนี้ทำให้พวกเจ้าสองพี่น้องได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ไม่เป็นไร วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล” เหมียวอี้ที่ไม่อยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ยังพูดปลอบโยนสองพี่น้องไปนิดหน่อย ที่จริงพอนึกว่าตัวเองเกือบตายด้วยน้ำมืออันหรูอวี้ ในใจเขาก็ยังรู้สึกเอือมระอาอยู่
สองพี่น้องไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร หลังจากเหมียวอี้หันตัวเดินออกไปแล้ว ทั้งสองกับฉินเวยเวยก็เดินตามหลังเหมียวอี้ไปด้วยกัน
เหยียนซิวกำลังรออยู่ตรงประตู บอกเหมียวอี้ว่า “ฮูหยินกำลังรออยู่ที่สวนรุกขชาติขอรับ”
เหมียวอี้นำเหล่าอนุภรรยาไปที่สวนรุกขชาติ อวิ๋นจือชิวยังคงแต่งตัวอลังการนั่งสง่าอยู่ในสวนดอกไม้ภายใต้แสงแดดอ่อนๆ เครื่องประดับศีรษะสะท้อนแสงวิบวับอยู่ในภายแสงแดดที่ส่องลงมา เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่คนละฝั่ง ซ้ายขวามีกลุ่มนางในมายืนเป็นสักขีพยาน เหมือนจัดวางกำลังสู้รบเต็มที่
เมื่อเห็นเหมียวอี้ที่สวมชุดคลุมสีแดงเดินนำหน้ามา อวิ๋นจือชิวก็ทำท่าอมยิ้มอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง เหมือนกำลังถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง เหมียวอี้เอามือลูบจมูกอย่างเคอะเขิน อยู่ใต้หนังตาฮูหยินแต่เข้าห้องหอกับผู้หญิงคนอื่น ทำตัวเป็นธรรมชาติได้ก็แปลกแล้ว
ข้างกายอวิ๋นจือชิวยังมีเก้าอี้วางอยู่ตัวหนึ่ง เหมียวอี้เดินเข้ามานั่งคู่กับนาง แล้วรับน้ำชาจากเชียนเอ๋อร์มาจิบคำหนึ่ง
“ฮูหยิน!” เจ้าสาวใหม่สามคนสวมชุดกระโปรงสีแดงเหมือนกัน ยืนเรียงแถวหน้ากระดานคำนับอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวเอียงหน้าถามเหมียวอี้ “ท่านสามี สามคนที่มาใหม่ต้องแบ่งแยกเล็กใหญ่รึเปล่า?”
เหมียวอี้รู้ว่าต่อไปต้องทำอะไร เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ไม่ต้องแบ่งแยกเล็กใหญ่หรอก ต่อไปเรียกกันว่าพี่สาวน้องสาวตามอายุแล้วกัน” พูดจบก็หันไปพยักหน้าให้โอวหยางหลางเบาๆ
หญิงรับใช้ของฝ่ายฝาแฝดโล่งใจแล้ว ถ้าแบ่งแยกเล็กใหญ่แล้วให้ฝ่ายนี้อยู่แถวหลัง พวกนางจะทนรับความรู้สึกได้อย่างไร
นางในที่อยู่ข้างๆ ยื่นถาดเข้ามาตรงหน้าโอวหยางหลาง แล้วนางก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาทันที เดินช้าๆ ไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว ใช้สองมือยื่นให้พร้อมกล่าวอย่างเคารพว่า “ฮูหยิน เชิญดื่มน้ำชาค่ะ!”
มอบน้ำชาด้วยนี้ให้หมายความว่าอย่างไร ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ อวิ๋นจือชิวรับมาดื่มคำหนึ่งพอเป็นพิธี จากนั้นวางถ้วยน้ำชาลงข้างๆ แล้วพยักหน้ายิ้ม “ลำบากน้องหลางหลางแล้ว”
โอวหยางหลางตอบพอเป็นพิธี แล้วถอยกลับไปยืนที่เดิม เปลี่ยนเป็นโอวหยางหวนที่นำน้ำชามามอบให้ สุดท้ายถึงเป็นฉินเวยเวยที่ก้าวขึ้นมา
พอถึงตาฉินเวยเวย ดวงตาของอวิ๋นจือชิวก็ฉายแววหยอกล้อหลายส่วน ทำเอาฉินเวยเวยเขินอายมาก
เมื่อยื่นน้ำชาให้ดื่ม โอวหยางหลาง โอวหยางหวนและฉินเวยเวยก็เท่ากับได้แสดงท่าทีต่อหน้าทุกคนแล้ว ว่าทั้งหมดจะยกให้อวิ๋นจือชิวเป็นใหญ่ ส่วนพวกนางเป็นน้อย อวิ๋นจือชิวคือภรรยาเอก พวกนางคืออนุภรรยา ต่อไปจะต้องเชื่อฟังอวิ๋นจือชิว
น้ำชาคำนับก็ดื่มแล้ว อวิ๋นจือชิวกวาดตามองทั้งสามคน แล้วเริ่มกล่าวให้โอวาท “ในเมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านของตระกูลเหมียวแล้ว ต่อไปทั้งหมดก็เป็นคนของตระกูลเหมียว ต่อไปน้องสาวทั้งสามก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าเห็นตัวเองเป็นคนนอกเด็ดขาด บ้านเมืองมีกฎของบ้านเมือง ครอบครัวก็มีกฎของครอบครัว เมื่อแต่งงานเข้าตระกูลเหมียวแล้ว ผลประโยชน์ของตระกูลเหมียวต้องมาเป็นอันดับแรก ต่อไปนี้ถ้าข้าจับได้ว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้ เข้าข้างคนนอก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ สายตาของพี่สาวทนมองคนประเภทนี้ไม่ได้จริงๆ ทุกคนเข้าใจตรงกันแล้วนะ?”
เมื่อวางมาดแบบนี้ให้เห็น ทั้งสามก็รู้สึกหนาวในใจ เอ่ยรับอย่างประหม่าพร้อมกันว่า “รับทราบค่ะ!”
พออวิ๋นจือชิวพยักหน้า นางในที่อยู่ข้างๆ ถึงได้แยกย้ายกันออกไป แล้วนำเก้าอี้สามตัวเข้ามาวาง เชิญให้อนุภรรยาทั้งสามนั่งประจำที่ แล้วนำน้ำชามาวางให้ทั้งสาม
ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ส่งสายตาให้เหมียวอี้ จากนั้นเหมียวอี้ก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปพร้อมกับนาง เดินไปยังจุดลึกของสวนรุกขชาติ
หลังจากหลบสายตาคนนอกแล้ว อวิ๋นจือชิวถึงได้หันมามองสอบสวนเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า พอมองจนเหมียวอี้รู้สึกเขินอายแล้ว ถึงได้พูดหยอกล้อว่า “ค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิผ่านไปเร็วมาก เจ้าไม่ได้เหนื่อยแย่หรอกใช่มั้ย?”
“พอแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าวันนี้เจ้าต้องแกล้งข้าเล่นแน่ๆ มีอะไรไม่น่าฟังก็พูดมาให้หมดเถอะ วันนี้ต่อให้ทนไม่ไหวข้าก็จะทน” เหมียวอี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หลังจากใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเหมียวอี้สองสามที แล้วเคลื่อนมือลงมาคล้องแขน อวิ๋นจือชิวถึงได้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ เมื่อคืนเจ้าทำเกินไปหน่อยนะ อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงถ่อมาหาข้าแต่เช้าเลย มาบอกว่าในภายหลังขอให้ข้าดูแลลูกสาวพวกเขามากๆ หน่อย อันหรูอวี้มาร้องไห้ต่อหน้าข้า เรียกได้ว่าร้องไห้วิงวอนข้าอย่างจริงจัง กลัวว่าลูกสาวจะไม่ประจบเอาใจเจ้า แล้วโดนข้าปฏิบัติด้วยอย่างโหดร้ายจนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ คุณชายรองผู้สง่าผ่าเผยของแดนโพ้นสวรรค์ เรียกได้ว่ายอมลดตัวลงมาประจบข้าแล้ว หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ช่างน่าสงสาร!”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วแสยะยิ้ม “ตอนนี้รู้จักนึกเสียใจทีหลังแล้วเหรอ ตอนแรกที่คิดจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย นางก็ไม่ปรานีเลยสักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะข้าดวงชะตาแข็ง จะรอดชีวิตมาถึงวันนี้ได้อย่างไร”
“หนิวเอ้อร์ ถ้าตำหนักหลังไม่สงบสุข เจ้าเองก็สบายใจไม่ได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย ต่อไปก็เป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้ว เรื่องในอดีตก็ปล่อยผ่านไปเถอะ อีกฝ่ายมอบลูกสาวให้เจ้าแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่หายโมโหอีก เชื่อฟังข้าเถอะ อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย” อวิ๋นจือชิวกล่าว
ทั้งสองเดินจูงมือกันอยู่ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้นิ่งเงียบ ว่ากันตามจริง เมื่อเห็นท่าทางของโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนในตอนเช้า ในใจเขาก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงที่เมื่อวานคำนับฟ้าดินพร้อมกับเขา แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยใจดำกับคนของตัวเองเลย
“ทำก็ทำไปแล้ว ยังจะให้ข้าทำอย่างไรได้อีก?” เหมียวอี้ถาม ในน้ำเสียงเจือความรู้สึกเสียใจนิดหน่อย
“หนิวเอ้อร์ ผู้หญิงที่บ้านนี้ล้วนเป็นคนของเจ้า เป็นคนที่คอยปรนนบัติเจ้าราวกับเป็นม้าเป็นวัว ผู้หญิงอย่างเราจะเอาแต่ใจบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก จะว่าไปก็เป็นการงอนเพราะอยากได้รับความรัก เจ้าเป็นลูกผู้ชายใจคอกว้างขวาง รับนิสัยเอาแต่ใจของพวกเราได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนให้เจ้ามาทำนิสัยเอาแต่ใจใส่พวกเราบ้าง แบบนั้นก็ไม่มีความหมายแล้ว เจ้าเอาชนะพวกเราได้แล้วยังไงต่อล่ะ? ก้มหน้ายอมบ้างก็ไม่ทำให้เนื้อในร่างกายของเจ้าหายไปหรอก เชื่อข้าเถอะ คืนนี้ตั้งใจอยู่กับสองพี่น้องนั่นให้ดี ให้พวกนางได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าบ้าง เรื่องราวมันผ่านไปแล้ว เจ้าแค่ปะเหลาะเอาใจผู้หญิงก็พอ ด้วยความสามารถอย่างท่านสามี อย่าบอกนะว่าการรับมือกับผู้หญิงแค่สองคนเป็นเรื่องยาก? หากครอบครัวปรองดอง ทุกเรื่องก็ราบรื่น!” อวิ๋นจือชิวเตือนปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน ยื่นมือเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งมาทัดบนศีรษะนาง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เรื่องแบบนี้ข้าเป็นคนได้เสพสุข แค่รู้สึกว่าทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม”
อวิ๋นจือชิวหันตัวมากอดเขา แล้วพึมพำว่า “ข้าจดจำความดีของท่านสามีอยู่เสมอ หวังว่าท่านสามีจะจดจำความดีของข้าอยู่เสมอเหมือนกัน ถ้ามีจุดไหนที่ข้าทำไม่ถูก หวังว่าท่านสามีจะไม่เก็บมาใส่ใจ แค่นั้นก็พอแล้ว…”
หลังจากได้ฟังอวิ๋นจือชิวกำชับและปลอบโยนอย่างเอาใจใส่ เหมียวอี้ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ จากนั้นเขาก็พาอนุภรรยาทั้งสามออกจากที่นี่เพื่อไปยังสวนดอกไม้อีกแห่งหนึ่ง อันหรูอวี้ โอวหยางกวง และหยางชิ่งกำลังรอให้ภรรยาใหม่ทั้งสามไปคำนับด้วยกัน
เมื่อเห็นสภาพลูกสาวทั้งสอง อันหรูอวี้กับสามีก็ปวดใจ ความกังวลทุกข์ใจที่อยู่ในแววตานั้นยากจะปิดบัง แต่กลับต้องฝืนยิ้มออกมา ในเมื่อยกให้แต่งงานกับอีกฝ่ายไปแล้ว ตอนนี้ยังจะทำอะไรได้อีก? ที่สำคัญคือตอนนี้ทั้งสองไม่มีอำนาจที่จะจัดการอะไรด้วยตัวเองมากนัก การลงโทษจากแดนโพ้นสวรรค์ใกล้จะมาถึงแล้ว เพียงแต่คนนอกไม่รู้เท่านั้นเอง ทั้งสองกลับรู้อยู่แก่ใจ รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีหน้ามีตาเหมือนที่เห็นภายนอกอีกแล้ว
เมื่อเห็นฉินเวยเวยทำท่าทางเขินอายมีความสุข แล้วมองดูสีหน้าของอีกสองคน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร หยางชิ่งชำเลืองมองอันหรูอวี้กับสามีที่อยู่ข้างๆ เขารับไม่ไหวกับการเปรียบเทียบเรื่องอื่น แต่พอมีอนุภรรยาคนอื่นให้เปรียบเทียบ ปมในใจที่ลูกสาวตัวเองเป็นอนุภรรยากลับบรรเทาเบาบางลงไม่น้อย แต่หยางชิ่งกลับมีความกังวลอีกอย่างเกิดขึ้นแทน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับอันหรูอวี้และสามี
ครั้งนี้กลับถึงคราวที่เหมียวอี้ต้องทำพิธียกน้ำชาให้อันหรูอวี้ โอวหยางกวงและหยางชิ่ง
หลังจากนำอนุภรรยาทั้งสามคำนับผู้อาวุโสทั้งสามแล้ว พวกเขาก็ทักทายปราศัยกันนิดหน่อย จากนั้นอันหรูอวี้ยื่นมือเชิญเหมียวอี้ “เหมียวอี้ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อย”
หลังจากมาอยู่ในที่ลับตาคน เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าท่านแม่ยายยังมีอะไรจะกำชับขอรับ?”
จะมีอะไรกำชับได้ล่ะ อันหรูอวี้ฝืนยิ้มเหมือนมีความสุข “เหมียวอี้ ข้ารู้ว่าเรื่องในอดีตข้าทำไม่ถูก นั่นเป็นความผิดของข้า เจ้าอย่าถือสาหญิงวัยกลางคนที่ความรู้พื้นๆ อย่างข้าเลย ถ้ามีอะไรที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ เจ้าก็มาระบายความโกรธกับข้าได้เลย ข้าจะไม่พร่ำบ่นอะไรสักคำ แค่หวังว่าต่อไปนี้เจ้าจะดีกับหลางหลางกับหวนหวนสักหน่อย พวกนางไม่ได้ทำอะไรผิด ถือว่าข้าขอร้องก็แล้วกัน”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ นึกขึ้นได้ถึงคำพูดของอวิ๋นจือชิว ที่บอกว่าก่อนหน้านี้อันหรูอวี้มาร้องไห้อ้อนวอนต่อหน้านาง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกุมหมัดกล่าวว่า “ท่านแม่ยายคิดมากไปแล้ว เรื่องในอดีตผ่านพ้นไปแล้ว หลางหลางกับหวนหวนแต่งงานกับข้า กลายเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว ตราบใดที่พวกนางไม่ได้ทำเรื่องผิดต่อข้า ต่อไปนี้ข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างโหดร้ายแน่นอน หากท่านแม่ยายไม่เชื่อ ก็คอยตั้งตารอได้เลย… นับว่าเป็นคำสัญญาที่ลูกเขยให้ต่อท่านแม่ยาย!”
“งั้นก็ดีแล้ว งั้นก็ดี!” อันหรูอวี้พยักหน้าซ้ำๆ รู้สึกดีใจเหนือความคาดหมาย เหมือนปลาบปลื้มใจจนน้ำตาแทบไหล
ตอนที่ 932
ไต้ซือศีลเจ็ดฝากฝัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
อีกด้านหนึ่ง หยางชิ่งเรียกลูกสาวที่กำลังเขินอายมาคุยด้วย
“เวยเวย เมื่อคืนเหมียวอี้ไม่ได้ทำให้เจ้าน้อยเนื้อต่ำใจเจ้าใช่มั้ย?” หยางชิ่งเอ่ยถามก่อน
เมื่อเอ่ยถามแบบนี้ ฉินเวยเวยก็หน้าแดงเหมือนก้นลิงทันที นางกระทืบเท้าเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างขวยเขินว่า “ท่านพ่อคะ!”
หยางชิ่งชะงักไป เข้าใจทันทีว่านางเข้าใจความหมายผิด นึกว่าตนพูดถึงเรื่องบนเตียง ตนไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง? เขารู้สึกเช่นกันว่าตัวเองถามได้ไม่ดี จึงรีบโบกมือพูดกลั้วหัวเราะว่า “ได้ๆๆ ไม่ถามแล้ว พ่อพูดผิดไป พ่อมีอีกเรื่องหนึ่งจะพูดกับเจ้า”
ตอนนี้ฉินเวยเวยถึงได้ใจเย็นลง แล้วกล่าวอย่างถ่อมตัวมีมารยาท “ลูกสาวจะตั้งใจฟังค่ะ”
หยางชิ่งชะงักอีครั้ง ดวงตาฉายแววสับสน พบว่าพอนางแต่งงานไป ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงทันที
หลังจากจัดระเบียบความคิดตัวเอง หยางชิ่งก็กล่าวอย่างลังเล “คืออย่างนี้นะ ก่อนหน้านี้พ่อไม่อยากให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ตอนที่เลือกคฤหาสน์ให้เจ้า พ่อใช้ความพยายามไปพอสมควร พ่อเป็นผู้การใหญ่ของที่นี่ อดไม่ได้ที่จะใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ถ้าจะสนใจเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรี ไม่สู้สนใจสิ่งที่อยู่ภายในดีกว่า ถ้าเจ้าจะครองทั้งศักดิ์ศรีหน้าตาทั้งหัวใจของเขา มันก็ไม่เกิดผลดีอะไรกับเจ้า ดังนั้นสิ่งที่พ่อจะบอกก็คือ อยากให้เจ้าปล่อยคฤหาสน์หลังที่ใหญ่และดีที่สุดไป ปล่อยให้พวกนางสองพี่น้องไปเสีย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ฉินเวยเวยย่อมไม่คัดค้านเรื่องนี้อยู่แล้ว
ทว่าพอมาคุยกันอีกที อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงกลับไม่เห็นด้วย พวกเขารู้สถานการณ์ของครอบครัวตัวเองดี ไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองทำตัวโดดเด่นเกินไป
เมื่อคืนยังคิดเล็กคิดน้อยเรื่องที่ลูกเขยเข้าห้องหอของใครก่อนอยู่เลย ตอนนี้กลับถ่อมตัวมีมารยาทแล้ว ใจคนยากจะคาดเดาจริงๆ
แต่ไม่ว่าอวิ๋นจือชิวหรือเหมียวอี้ก็ไม่อยากเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ ไม่อยากให้ดูเหมือนลำเอียงเข้าข้างใคร
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถ่อมตัวไม่ยอมรับไว้ แต่สุดท้ายอันหรูอวี้และโอวหยางกวงก็ตอบรับที่จะให้ลูกสาวอยู่ในคฤหาสน์ที่ใหญ่และดีที่สุด แต่กลับให้ลูกสาวทั้งสองเข้าไปอยู่ด้วยกัน โดยให้เหตุผลว่าอยู่คนเดียวแล้วว่างเปล่าอ้างว้าง ที่จริงพ่อแม่ไม่ได้อยู่ข้างกาย ไม่เหมือนหยางชิ่งที่ได้อยู่ข้างกายลูกสาว พวกเขาจึงอยากให้ลูกสาวทั้งสองดูแลซึ่งกันและกัน
ส่วนฉินเวยเวยก็ไม่ได้เข้าพักคนแรกสุด แต่เข้าพักช้ากว่าทั้งสองคนนิดหน่อย
พวกเขาคุยกันเรียบร้อยแล้ว แต่เหมียวอี้กลับเก้อเขินมาก ตอนนี้นับว่าเขาเข้าใจถึงความแตกต่างของการเขียนหนังสือเก่งกับการเขียนหนังสือแย่ สุดท้ายก็เป็นอวิ๋นจือชิวที่สะบัดพู่กันจุ่มน้ำหมึก ตั้งชื่อสองตำหนักนั้นด้วยตัวเอง ที่พักของโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนชื่อว่าตำนักคู่แฝด ที่พักของฉินเวยเวยชื่อว่าตำหนักอินทนิล เรื่องราวก็ได้ข้อสรุปตามนี้
หยางชิ่งสั่งให้คนนำตัวอักษรของท่านทูตไปทำป้ายแขวนไว้ทันที
จากนั้นเหมียวอี้ก็นำอนุภรรรยาทั้งสามไปส่งแขก หลังจากส่งแขกส่วนใหญ่ที่มาร่วมแสดงความยินดีกลับไปหมดแล้ว เหมียวอี้ก็เชิญโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนไปเดินเล่นที่สวนรุกขชาติด้วยกัน สองพี่น้องเผชิญหน้ากับเขาอย่างระมัดระวังตัว ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งอยู่แล้ว
ระหว่างที่เดิน พอเหมียวอี้ถามอะไรนิดหน่อย สองพี่น้องก็ตอบอย่างระมัดระวัง
หลังจากเดินมานั่งในศาลาของสวนรุกขชาติ เหมียวอี้ก็เอ่ยก่อนว่า “เมื่อคืนข้าขาดความยุติธรรมกับพวกเจ้าสองคนแล้ว”
สองพี่น้องย่อมส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นอะไร เหมียวอี้จึงอธิบายอีก “หลางหลาง หวนหวน ที่เมื่อคืนข้าไม่ได้ไปห้องของพวกเจ้า ก็เพราะข้ามีเหตุผล ที่จริงพวกเจ้าเองก็รู้ เรื่องเข้าห้องหอน่ะ พวกเราเคยทำกันมาตั้งนานแล้ว ใช่มั้ยล่ะ?”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ สองพี่น้องก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีมาก จะพูดอะไรก็ไม่พูด ดันมาพูดเรื่องนี้เสียได้ รู้สึกอับอายจนเกินทน
เหมียวอี้ดันพูดเสียงดังต่อไป “ดังนั้นข้าก็เลยคิดมากหน่อย คิดว่าพวกเจ้ายอมให้เวยเวยสักครั้งคงไม่เป็นไร เมื่อคืนวานข้าจึงไปอยู่กับนางก่อน แน่นอนว่าคืนนี้ข้าจะไปอยู่กับพวกเจ้าที่ตำนักคู่แฝด แต่ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันแล้ว พวกเจ้าจะเข้าห้องหอพร้อมกันทีเดียวเลย หรือจะเข้าแบบทีละคนดีล่ะ?”
คำพูดนี้ช่างไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลยจริงๆ แต่ผู้หญิงมักตกหลุมพรางนี้ ผู้ชายไม่เลวผู้หญิงไม่รัก นี่คือคติพจน์ที่เป็นเรื่องจริง ผู้ชายซื่อสัตย์ทำให้ผู้หญิงชอบไม่ได้หรอก
สองพี่น้องอับอายจนสับสนเลอะเลือนไปหมด ทว่าปมในใจจากเมื่อคืนนี้กลับหายไปทันที ที่แท้ก็มีเหตุผลนี่เอง ดังนั้นจึงคิดว่าการที่เหมียวอี้ไปอยู่กับฉินเวยเวยก่อนเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว เพราะเหมียวอี้ยกเรื่องน่าอับอายที่ทะเลทรายม่านเมฆามาเป็นข้อแก้ตัว สองสาวรับมือไม่ไหวหรอก!
ฉิน ฉี ซู ฮว่า หญิงรับใช้ทั้งสี่มองหน้ากันเลิกลั่ก ในใจพึมพำว่าท่านเขยคนนี้ช่างไร้ยางอายจริงๆ
เหมียวอี้เองก็ไม่มีทางเลือก คิดไปคิดมาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวพูดมีเหตุผล ถ้าตำหนักหลังไม่สงบ ในภายหลังก็จะเกิดปัญหาใหญ่โต แบบนี้จนจะออกไปข้างนอกอย่างสงบใจได้อย่างไร ถึงจะดูหน้าด้านไร้ยางอายก็ช่างเถอะ ขอแค่ข้ออ้างนี้ใช้ได้ผลก็พอแล้ว
เหมียวอี้ถามเร่งหลายครั้ง สุดท้ายโอวหยางหลางที่อับอายจนสุดจะทนก็ตอบเสียงเบาว่า “คืนนี้ท่านสามีไปอยู่กับน้องสาวก่อนเถอะค่ะ”
“คืนนี้ท่านสามีไปอยู่กับพี่สาวก่อนเถอะค่ะ” โอวหยางหวนปฏิเสธทันที
เหมียวอี้ไร้ยางอายมาก พยักหน้าบอกว่า “งั้นก็เรียงจากเด็กไปโตแล้วกัน ฉินเวยเวยเด็กสุด เมื่อคืนไปอยู่กับนางมาแล้ว คืนนี้ก็เป็นหวนหวน คืนพรุ่งนี้ค่อยเป็นหลางหลาง” จากนั้นก็หันไปบอกหญิงรับใช้อีกว่า “จือซู จือฮว่า คืนนี้ข้าจะไปค้างที่ตำนักคู่แฝด”
“เจ้าค่ะ!” จือซู จือฮว่ารีบเอ่ยรับ นี่เป็นการบอกให้พวกนางเตรียมตัวล่วงหน้า ในใจทั้งสองก็ตัดสินใจจะเตรียมตัวให้ดีเช่นกัน
ส่วนโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนก็อารมณ์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด สามารถดูได้จากแววตา ก่อนหน้านี้ดูระมัดระวังปนกลัดกลุ้ม ตอนนี้กลับใจเต้นแรงเหมือนมีกวางน้อยกระโดดอยู่ในใจ
หลังจากรับมือกับทั้งสองเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้พวกจือฉินออกไปเป็นเพื่อนพวกนางสองคน เหมียวอี้ถึงได้โล่งอก เขาพบว่ามีผู้หญิงเยอะไม่ใช่เรื่องดีอะไร ใช่ว่าแต่งงานรับภรรยามาหลายคนแล้วจะทำตามอำเภอใจได้ ยังต้องใช้กำลังความคิดเพื่อจัดการให้เป็นระเบียบ รับมือกับคนข้างนอกเสร็จแล้วยังต้องมารับมือกับคนในบ้านอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าต่อไปนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไร
เหมียวอี้หันมองไปรอบๆ เขากำลังคิดว่าก่อนหน้านี้เยว่เทียนโปรับมือกับผู้หญิงที่แต่งงานเข้ามามากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?
รอจนกระทั่งหรูฮูหยินทั้งสองออกไปแล้ว หยางเจาชิงก็เดินมาถึงด้านนอกศาลา กุมหมัดคารวะพร้อมรายงานว่า “นายท่าน ไต้ซือศีลเจ็ดกับลูกศิษย์รอพบท่านอยู่ขอรับ”
เหมียวอี้พยักหน้ารับ ตอนที่เดินออกจาศาลา เขาถือโอกาสดึงชุดคลุมสีแดงออกแล้วโยนให้นางในคนหนึ่งที่เดินผ่านมา เพราะตอนที่ใส่ชุดสีแดงทั้งตัวแบบนี้ เท่ากับกำลังเตือนคนอื่นว่าตัวเองแต่งงานรับอนุภรรยามารวดเดียวสามคน แบบนั้นทำให้เขาอับอายจนทำสีหน้าไม่ถูก
เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมไต้ซือศีลเจ็ดถึงเจาะจงมาพบเขาโดยเฉพาะ
ตอนที่เดินนำหยางเจาชิงไปยังเรือนรับรองแขกตรงตีนเขา เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางศาลายาวหลังหนึ่ง เขาเห็นหยางชิ่งกับเทพธิดาหงเฉินกำลังคุยกันอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปรึเปล่า เขาสังเกตเห็นว่าช่วงนี้หยางชิ่งกับเทพธิดาหงเฉินเหมือนจะค่อนข้างสนิทกัน เวลาผ่านไปไม่เท่าไรเอง นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่เห็นสองคนนั้นคุยกัน?
สายมะโรงมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องรายงานต่อเทพธิดาหงเฉินเหรอ? อำนาจของเทพธิดาหงเฉินที่แดนโพ้นสวรรค์ก็มีจำกัด ถึงขั้นมีไม่มากเท่าเยว่เหยาด้วยซ้ำ
ส่วนเทพธิดาหงเฉินเป็นคนอย่างไร ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ นางเป็นคนที่ไม่ปรารถนาสิ่งใด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เทพธิดาหงเฉินจะเป็นฝ่ายมาหาหยางชิ่งก่อน เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้แค่อย่างเดียวแล้ว… เหมียวอี้พึมพำในใจ หวังว่าตัวเองคิดมากไป
“นายท่าน ผู้การใหญ่หยางเหมือนจะค่อนข้างสนิทกับคุณชายห้าท่านนี้นะขอรับ” หยางเจาชิงก็เตือนเช่นกัน
เหมียวอี้ขานรับ แสดงให้เห็นว่าตัวเองรู้อยู่ในใจแล้ว ขนาดหยางเจาชิงยังดูออก คาดว่าอวิ๋นจือชิวก็คงรู้แล้วเช่นกัน ที่นี่มีหูมีตาของอวิ๋นจือชิวอยู่เต็มไปหมด ไม่มีเรื่องอะไรที่คลาดสายตานางไปได้
เมื่อมาถึงเรือนรับรองแขกที่ไต้ซือศีลเจ็ดพักชั่วคราว ก็พบว่าตรวจการใหญ่หลันโฮ่วแห่งจวนผู้ตรวจการเมืองหลวงกำลังสนทนากับไต้ซือศีลเจ็ด ส่วนศีลแปดก็ยืนประนมมืออยู่ข้างๆ ดูศักดิ์สิทธิ์โดยเนื้อแท้
เรื่องบุคลากรของยอดเขาหยกนครหลวงยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อวิ๋นจือชิวเพิ่งรับช่วงต่อ ตอนนี้ไม่สะดวกจะเปลี่ยนแปลงอะไรมากเกินไป ต้องใช้เวลาสักระยะ
เดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะลงดาบกับหลันโฮ่วก่อน สาเหตุไม่ใช่เพราะเรื่องอื่นใด เป็นเพราะในปีนั้นหลันโฮ่วลงโทษใช้แส้ฟาดเหมียวอี้ ทำให้อวิ๋นจือชิวรู้สึกไม่พอใจ ผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็เจ้าคิดเจ้าแค้นมาก แต่ต้องดูว่าเรื่องอะไร เหมียวอี้เปรียบเสมือนเกล็ดมังกรของนาง นางสามารถตบตีด่าทอได้ตามอำเภอใจ เพราะนางลงมืออย่างบันยะบันยัง แต่กลับไม่ยอมให้คนอื่นมาแตะต้องเหมียวอี้แม้แต่ปลายนิ้ว
แต่เหมียวอี้โน้มน้าวนางไว้ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาพอจะรู้จักท่านผู้ตรวจการใหญ่ท่านนี้อยู่บ้าง นับเป็นบุคคลที่มีความสามารถคนหนึ่ง
เมื่อเห็นเหมียวอี้มาแล้ว หลันโฮ่วก็กล่าวอำลา กุมหมัดคารวะเหมียวอี้แล้วออกไป
หลังจากเหมียวอี้คำนับไต้ซือศีลเจ็ด ก็เหลือบมองศีลแปดที่วางมาดสง่าภูมิฐานแวบหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าไต้ซือมีอะไรจะกำชับผู้น้อยหรือขอรับ?”
“มิกล้าเรียกว่ากำชับหรอก มีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับโยมสักหน่อย” ไต้ซือศีลเจ็ดกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เรื่องส่วนตัว?” เหมียวอี้หันไปมองหยางเจาชิงแวบหนึ่ง พออีกฝ่ายกุมหมัดคารวะแล้วออกไป เหมียวอี้ถึงได้กล่าวว่า “ผู้น้อยจะตั้งใจฟังขอรับ”
“โยมคงจะรู้จักเทพพยากรณ์” ไต้ซือศีลเจ็ดว่าอย่างนั้น
เหมียวอี้ตะลึงนิดหน่อย แล้วพยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้จักขอรับ แต่เทพพยากรณ์ทำตัวลึกลับมาก ข้าเองก็หาเขาไม่พบเช่นกัน” เขากังวลว่าพระท่านนี้จะขอให้เขาตามหาเทพพยากรณ์ให้
ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มพร้อมนำระฆังออกมาสองอัน นำมาวางไว้บนโต๊ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นระฆังดาราคู่หนึ่ง “อาตมากับเทพพยากรณ์เป็นสหายที่ดีต่อกัน ตอนที่หกปราชญ์ยังไม่ผงาดขึ้นมา พวกเรามักอยู่สนทนาธรรมด้วยกันบ่อยๆ นี่คือสิ่งที่เทพพยากรณ์ให้อาตมากับลูกศิษย์ไว้ จะได้ติดต่อกับอาตมา เขาบอกว่าโยมก็มีของสิ่งนี้เหมือนกัน”
เหมียวอี้แอบตกใจ สงสัยศีลเจ็ดกับเทพพยากรณ์จะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่นำของสิ่งนี้มอบให้ไต้ซือศีลเจ็ด
“ไต้ซืออยากจะพูดอะไร บอกมาตรงๆ ได้เลยขอรับ” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
ไต้ซือศีลเจ็ดจึงกล่าวว่า “ไม่กี่วันมานี้ อาตมากับเทพพยากรณ์สนทนาธรรมกันเรื่องศีลแปด อาตมากำลังติดปัญหาที่ศีลแปดโง่เขลาเบาปัญญา กฎเกณฑ์ในโลกนี้ไม่สามารถขัดเกลาฝึกฝนเขาได้อีกแล้ว กลัวว่าจะเบิกสติปัญญาให้บรรลุธรรมได้ยาก แต่เทพพยากรณ์กลับบอกอาตมามา ว่าอีกไม่กี่วันโยมจะเดินทางไกล การไปครั้งนี้จะช่วยเรื่องการฝึกตนให้ศีลแปด อาตมาจึงถามว่าไปที่ไหน แต่เทพพยากรณ์ไม่ยอมบอก บอกเพียงว่าให้อาตมานำตัวศีลแปดมาส่งให้โยม ให้โยมพาไปด้วย เพียงบอกว่าเขาฝากฝังมา โยมก็จะไม่ปฏิเสธ อาตมาจึงคิดว่า อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างโยมกับลูกศิษย์คนนี้ ย่อมไม่มีอะไรไม่เหมาะสมอยู่แล้ว อาตมาถึงได้นำตัวมาด้วย หวังว่าโยมจะพาเขาไปด้วยกัน”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกเลย เทพพยากรณ์นั่นเทพเกินไปแล้ว นี่คือความคิดที่อยู่ในใจเขา ไม่ได้ประกาศบอกใครทั้งนั้น แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังไม่ได้บอก แต่ตาแก่นั่นกลับรู้ ไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ได้มั้ย?
ไม่ผิดหรอก เขาเตรียมตัวจะเดินทางไกล เตรียมจะไปพิภพใหญ่ แต่ไม่ได้ไปเพราะเรื่องอื่น แค่อยากจะพาเยารั่วเซียนไปส่ง ตอนนี้เยารั่วเซียนหลบอยู่ที่พิภพเล็กไม่ปลอดภัยแล้ว ถ้าถูกพบขึ้นมาคงช่วยชีวิตไว้อีกไม่ไหว ทำตัวเป็นจุดเด่นมากเกินไป ควรจะพาเยารั่วเซียนหนีไปเสียที แต่ไม่น่าเชื่อว่าเทพพยากรณ์จะรู้อย่างทะลุปรุโปร่งก่อนแล้ว
เหมียวอี้คิดไปคิดมาแล้วขนหัวลุก มีคนที่หยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแบบนี้อยู่ เหมือนเขาจะเก็บความลับอะไรไม่ได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย อยู่ในแดนฝึกตนดาบเปื้อนเลือดเสมอ เมื่อเจอกับคนประหลาดพิลึกแบบนี้ ถ้าไม่กลัวก็แปลกแล้ว รู้สึกเหมือนชีวิตน้อยๆ ของตัวเองถูกอีกฝ่ายบีบอยู่ตลอดเวลา
“เจ้ารอง เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?” เหมียวอี้มองไปทางศีลแปด
“อาตมายินดีจะไป!” ศีลแปดยิ้มอย่างใสซื่อไร้ราคี
“อาจจะอันตรายมาก เจ้าไตร่ตรองดูให้ดีนะ” ที่จริงเหมียวอี้ไม่อยากพาเขาไป อยู่ที่พิภพเล็กมีไต้ซือศีลเจ็ดคอยดูแล ศีลแปดมีชีวิตที่ปลอดภัยมาก ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงอันตรายที่พิภพใหญ่ สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ ก็เหมือนที่หยางชิ่งอยากปกป้องฉินเวยเวยในตอนนั้น
“ถ้าข้าไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก!” ศีลแปดประนมมือประกาศด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น