Soaring the heavens พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 917-928

 ตอนที่ 917

 

สละดาบเพื่อปกป้องคน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ต้นสนและก้อนหินถล่มลงมาเสียงดังโครม ทั้งคนทั้งหินตกลงสู่ลำธารที่ไหลเชี่ยวกรากใต้หน้าผา บึ้ม! ละอองน้ำที่ระเบิดพุ่งขึ้นฟ้าเป็นเครื่องพิสูจน์ศึกเดือดที่อยู่ใต้กระแสน้ำอันเชี่ยวกราก


ใต้เสาน้ำมีแสงสีฟ้าลอยวนเวียน ไม่รู้ว่าคืออะไร ดูน่าตกใจกลัวมาก แต่เสียงความเคลื่อนไหวดุเดือดก็เงียบสงบลงเร็วมาก


หลันรั่วที่เหาะขึ้นฟ้าตกใจไม่เบา มองไม่ชัดว่าสถานการณ์ข้างล่างเป็นอย่างไร จึงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกน “ข้าศึกโจมตี ช่วยด้วย!”


ที่จริงนางไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือเลย ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ คนของแดนโพ้นสวรรค์ไม่ได้หูหนวก เงาคนเหาะแฉลบมาคนแล้วคนเล่า เรียกได้ว่าใครที่มาได้ก็มาหมด สะเทือนไปถึงปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินเช่นกัน ถึงกับต้องมาดูด้วยตัวเอง


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฮูเหยียนไท่เป่าจ้องหลันรั่วที่อยู่ในอาการหวาดกลัวพลางตะคอกถาม


เยว่เหยาที่มาถึงช้ากว่าคนอื่น พอเห็นแค่หลันรั่วแต่ไม่เห็นเหมียวอี้ นางก็ยิ่งตกใจ รีบถามว่า “หลันรั่ว เป็นอะไรไป?”


หลันรั่วชี้ไปใต้หน้าผาที่ถล่ม “มีคนปิดบังใบหน้าลอบโจมตีประมุขปราสาทเหมียว!”


พอพูดจบก็ไม่จำเป็นต้องบอกอะไร ฮูเหยียนไท่เป่า อันหรูอวี้ จงเจิ้นรวมทั้งท่านทูตคนอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวทันที กลุ่มนักพรตบงกชทองรีบค้นหาอย่างรวดเร็ว


มู่ฝานจวินที่อยู่บนฟ้าส่งสายตาให้หงเฉิน หงเฉินเข้าใจความหมาย จึงเข้ามาดึงเยว่เหยาที่อยู่ในอาการร้อนรน เตือนนางว่าอย่าแสดงออกเกินไป ไม่อย่างนั้นทุกคนจะดูออกว่านางกับเหมียวอี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา


“เหมียวอี้ล่ะ?” มู่ฝานจวินถามหลันรั่ว


หลันรั่วชี้ไปใต้หน้าผา “โดนคนที่ปิดบังใบหน้าโจมตีตกหน้าผาไปแล้ว เป็นตายอย่างไรไม่ทราบเจ้าค่ะ”


เยว่เหยาแทบจะน้ำตาไหลพราก ยังดีที่หงเฉินร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเอาไว้


ดวงตามู่ฝานจวินฉายแววเย็นเยียบ เอียงศีรษะไปทางถังจวิน ถังจวินเข้าใจที่นางจะสื่อ ขณะกำลังจะเหาะลงไปหาที่ใต้หน้าผา ใครจะคิดว่าเงาร่างที่สะบักสะบอมจะกระโดดออกมาจากใต้หน้าผาที่มีไอน้ำขมุกขมัว ทั้งตัวเปียกโชก แกว่งแขนข้างหนึ่งขึ้นมาบนหน้าผา ส่วนแขนอีกข้างถือดาบสีม่วงยันพื้นเพื่อประคองร่างที่โซเซ จ้องมองกลุ่มคนบนฟ้าด้วยสีหน้าดุร้าย นอกจากเหมียวอี้แล้วจะเป็นใครไปได้อีก!


“มีเรื่องอะไรกันแน่?” มู่ฝานจวินถามตรงๆ


เหมียวอี้ปากสั่นระริก อยากจะบอกแต่พูดไม่ออก “อั้ก…” จู่ๆ ก็อ้าปากกระอักเลือดออกมาอีกคำ พยุงร่างตัวเองไม่ไหวแล้ว ก้นกระทกลงพื้นและหงายหลัง นอนหายใจรวยรินอยู่อย่างนั้น


ทุกคนเหาะลงมาเหยียบพื้น ถังจวินก้าวเข้ามานั่งคุกเข่าข้างเดียว หลังจากยื่นมือเข้าไปร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอาการของเหมียวอี้เสร็จแล้ว ก็เงยหน้ารายงานว่า “ท่านอาจารย์ แขนหักหนึ่งข้าง กระดูกซี่โครงหักหมด บาดเจ็บสหัสมาก!”


ถ้าเยว่เหยาไม่ได้ถูกหงเฉินควบคุมไว้ ก็คงจะโผเข้าไปตั้งนานแล้ว


มู่ฝานจวินทำสีหน้าเคร่งเครียด สั่งเพียงว่า “ช่วยชีวิต!”


“ขอรับ!” ถังจวินนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาทันที เป่าหมอกประกายดาวหลายกลุ่มเพื่อรักษาเยียวยา


หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง คนที่ตามหาจนทั่วทุกที่ก็กลับมา ที่พากลับมาด้วยคือพวกอวิ๋นเป้าและกลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตร พวกเขาอยู่แถวนี้พอดี จึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัย แต่พอได้ยินว่าเหมียวอี้โดนจู่โจมจนได้รับบาดเจ็บ พวกเขาก็เป็นฝ่ายตามมาเองโดยไม่ต้องบังคับ


“เจ้าห้า นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ประมุขถิ่นสี่ทิศรีบมาล้อมถาม


หลังจากหยียบลงพื้นและชำเลืองมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง อวิ๋นเป้าก็เงยหน้ามองมู่ฝานจวิน “ใครเป็นคนทำ?”


มู่ฝานจวินไม่แยแสเขาเลย แต่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนถ่อมาลอบโจมตีถึงที่นี่ แต่อาจจะเลือกสถานที่ได้ดีเกินไปหน่อย บังเอิญว่าเป็นที่นี่พอดี ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวและรู้ตัวว่าเกิดอะไร แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาคน ตกลงไปใต้หน้าผาเสียแล้ว


นางรู้สึกว่าคนที่ลอบโจมตีคุ้นเคยกับแดนโพ้นสวรรค์มาก สายตากวาดมองกลุ่มคนทีละคน แต่กลับไม่เจอเบาะแสอะไร


แม้แต่ฮูเหยียนไท่เป่ากับพวกศิษย์พี่เองก็ยังรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล เหลียวซ้ายแลขวาอยู่เป็นระยะ


อันหรูอวี้กำลังมองเหมียวอี้ที่ได้รับบาดเจ็บหนัก บอกไม่ถูกว่ากำลังทำสีหน้ากังวลหรือสีหน้าอะไร


โอวหยางกวงมองเหมียวอี้ที่บาดเจ็บสาหัสพลางขมวดคิ้ว เขารู้สึกจนใจมากกับเรื่องบางเรื่อง ก่อนหน้านี้อันหรูอวี้บอกให้เขารู้ถึงผลลัพธ์แล้ว เขาได้รู้ว่าลูกสาวทั้งสองของตัวเองจะต้องแต่งงานกับเจ้าบ้านี่ ที่น่าหงุดหงิดใจก็คือแต่งไปเป็นอนุภรรยา ลูกสาวทั้งคู่ของเขาต้องแต่งไปเป็นอนุภรรยาของอีกฝ่ายเหรอ? บอกไม่ถูกเลยว่าในใจมีรสชาติเป็นอย่างไร!


หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ที่อาการบาดเจ็บทุเลาลงก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา มู่ฝานจวินย่อมถามว่า “รู้มั้ยว่าใครทำ?”


เหมียวอี้ที่อยู่ในอาการอ่อนเพลียตอบอย่างเดือดดาลว่า “อีกฝ่ายปิดหน้า ข้าน้อยมองไม่ชัด แต่อีกฝ่ายกลับใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ข้าน้อยสงสัยว่าเฟิงเป่ยเฉินเป็นคนทำ เขาแย่งกระเป๋าสัตว์ของข้าไปแล้ว ท่านจื่อหยางอยู่ในกระเป๋าสัตว์”


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทุกคนก็ตใจมาก แม้แต่เทพธิดาหงเฉินก็ยังมองมาแบบงงๆ


ประมุขถิ่นสี่ทิศสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขาค่อนข้างพูดไม่ออก พบว่าเหมียวอี้กับเฟิงเป่ยเฉินจงเวรกันไม่จบไม่สิ้น ขอแค่มีโอกาสก็จะลากเฟิงเป่ยเฉินลงไปเจอความย่อยยับ


แต่เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา แม้แต่อวิ๋นเป้าก็ยังไม่เชื่อ เป็นญาติกันก็ส่วนเป็นญาติกัน ผลประโยชน์ก็ส่วนผลประโยชน์ ท่านจื่อหยางโดนคนแย่งไปแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยด้วย จะไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนไม่ได้ จึงถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “เหมียวอี้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง?”


เหมียวอี้หันมาตอบว่า “หลานชายของเฟิงเป่ยเฉินตายด้วยน้ำมือของข้า ข้าเคยประมือกับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมาแล้ว จะไม่รู้ได้อย่างไร!”


อวิ๋นเป้าพูดกลั้วหัวเราะว่า “พูดได้ดีนี่ หลานชายเขาตายด้วยน้ำมือเจ้า ถ้าเฟิงเป่ยเฉินลงมือล่ะก็ ทั้งความแค้นเก่าทั้งความแค้นใหม่รวมกัน เขาคิดว่าเฟิงเป่ยเฉินจะปล่อยเจ้าได้เหรอ? ได้ยินว่าเมื่อครู่นี้มีคนลอบจู่โจมเจ้า ไม่รู้ว่าตอนโดนลอบจู่โจม ข้างกายเจ้ามียอดฝีมือปกป้องรึเปล่า?”


“อวิ๋นเป้า ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เหมียวอี้ถามอย่างโมโห


อวิ๋นเป้าตอบกลั้วหัวเราะอีก “อย่าใจร้อนไป ข้าแค่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง” เขากวาดสายตามองกลุ่มคนของแดนโพ้นสวรรค์ “คงไม่ได้จงใจช่วยกันเล่นละครตบตาหรอกใช่มั้ย?”


“เจ้าลูกมาร ถ้าพูดเหลวไหลไร้สาระอีก เชื่อมั้ยว่าข้าจะฉีกปากเหม็นๆ ของเจ้า?” มู่ฝานจวินอ่ยปากพูดแล้ว


อวิ๋นเป้าหัวเราะแล้วหุบปาก ถึงอย่างไรก็ได้แสดงความคิดเห็นไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว


เช่นเดียวกัน มู่ฝานจวินก็เคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน “ถึงแม้เจ้าลูกมารจะพ่นแต่อุจจาระออกจากปาก แต่ก็ใช่ว่าคำพูดของเขาจะไม่มีเหตุผล เหมียวอี้ ถ้าเป็นเฟิงเป่ยเฉินจริง เกรงว่าเขาคงจะฆ่าเจ้าทิ้งไปแล้ว เจ้าคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้หรอก”


เหมียวอี้เขย่าดาบยาวสีม่วงที่อยู่ในมือ ทำให้เกิดแสงสีฟ้าเปล่งออกมา แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาหลายจั้ง เขากล่าวเสียงดังว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะข้ามีของวิเศษชิ้นนี้ปกป้อง โจมตีจนอีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูก ข้าก็คงตายไปแล้วจริงๆ เป็นเพราะคนที่ข้าสู้ด้วยวรยุทธ์สูงเกินไป!”


ทุกคนทำสีหน้าตกตะลึงมาก พวกเขาเคยสัมผัสมาก่อน คนที่รู้ว่ามันคืออะไรพากันอุทานเสียงหลงว่า “เรือมังกรอเวจี!”


แม้แต่มู่ฝานจวินก็เบิกตาโพลงเช่นกัน


ส่วนคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พอได้ยินเสียงร้องอุทานก็พากันทำสีหน้างุนงง อะไรกัน? ดาบนี้คือเรือมังกรอเวจีในตำนานเหรอ? แต่หน้าตาแตกต่างกับที่ร่ำลือกันมากเกินไปหน่อย


ประมุขถิ่นสี่ทิศมองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขาคุ้นเคยกับของเล่นชิ้นนี้ดี เพราะไปปล้นที่เกาะศักดิ์สิทธิ์มาด้วยกัน


“เหมียวอี้ เจ้าเอาของชิ้นนี้มาจากไหน?” อวิ๋นเป้าตาลุกวาว


แสงสีฟ้าพลันหดเก็บเข้าในตัวดาบ เหมียวอี้ถือดาบไว้ในแนวนอน หันตัวมาเลิกคิ้วถามว่า “ท่านไม่สนใจหรอกว่าข้าจะเอามาจากไหน อยากจะลิ้มลองอานุภาพของดาบนี้สักหน่อยมั้ยล่ะ?”


สำหรับอานุภาพของดาบด้ามนี้ ในบรรดาคนที่อยู่ในเหตุการณ์ สงเวยประมุขถิ่นทิศตะวันออกคงจะรู้สึกสะเทือนอารมณ์ที่สุด ทุกวันนี้ในใจยังหวาดกลัวไม่หาย


“…” อวิ๋นเป้าหัวเราะแห้งๆ ทันที แล้วยื่นมือเข้าไปโดยตรง “เหมียวอี้เอ๊ย! ดาบนี้หน้าตาดีใช้ได้ ส่งมาให้อาแปดดูสักหน่อยสิ”


“มาแย่งของถึงแดนโพ้นสวรรค์ของข้าเลยเหรอ เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่มั้ย?” มู่ฝานจวินพูดห้ามอย่างเด็ดขาด “ไสหัวออกจากแดนโพ้นสวรรค์ไปเดี๋ยวนี้!”


มือที่ยื่นออกไปชะงักทันที อวิ๋นเป้าไม่มีทางเลือก มู่ฝานจวินกำลังจะระเบิดอารมณ์แล้ว ทำได้เพียงหนีไปอย่างหน้าม่อยคอตก แต่อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองดาบในมือเหมียวอี้ด้วยแววตาตะกละ


พอเหมียวอี้แอบส่งสายตาให้ ประมุขถิ่นสี่ทิศก็ถอยออกไปเงียบๆ เช่นกัน


“เหมียวอี้มานี่หน่อย!” มู่ฝานจวินหันมาพูดทิ้งท้าย แล้วถลันตัวกลับเข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้า


ฮูเหยียนไท่เป่ามองเหมียวอี้ที่เดินตามเข้าไปแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาสั่งพวกลูกน้องให้ค้นหาที่แดนโพ้นสวรรค์ต่อไป


ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า มู่ฝานจวินไม่ได้กลับขึ้นนั่งในบัลลังก์ แต่ยืนอยู่ในโถง ขณะที่มองดูเหมียวอี้เดินเข้ามาคำนับ นางก็ไม่เปลืองคำพูดอะไรแล้ว ยื่นมือขอตรงๆ เลยว่า “นำดาบมาให้ข้าดูหน่อย!”


เหมียวอี้ทำได้เพียงนำดาบออกมา แล้วใช้สองมือยื่นให้ มู่ฝานจวินขยุ้มนิ้วทั้งห้าดูดมาไว้ในมือ หลังจากดูไปครู่เดียว นางก็กำจัดต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ที่อยู่ในนั้นทิ้งไป แล้วใส่ของตัวเองเข้าไปแทน พอร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นเล็กน้อย ก็เห็นแสงสีฟ้าลอยขึ้นมา พอพลิกดาบในมือสองสามที แสงสีฟ้าก็ถูกลากดึงออกมา


“ช่างเป็นของล้ำค่าจริงๆ!” มู่ฝานจวินถือเล่นในมือสองสามครั้งพลางกล่าวชม จากนั้นเงยหน้าขึ้นถามว่า “เจ้านำสมบัติชิ้นนี้มาจากไหน?”


“เป็นของที่เทพพยากรณ์ตีได้มาจากเรือมังกรอเวจีในครั้งนั้นเช่นกัน นอกจากยาแก่นเซียนพวกนั้นแล้ว เขายังให้สมบัติชิ้นนี้กับข้าด้วย” เหมียวอี้ตอบ


“ข้าก็คิดอย่างนั้น ของประเภทนี้ข้าเคยเห็นแค่ที่เรือมังกรอเวจีเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นของวิเศษขั้นสี่ แต่คุณสมบัติไม่ธรรมดา เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในพิภพเล็ก” มู่ฝานจวินพยักหน้า โปรดปรานดาบที่อยู่ในมือจนวางไม่ลง นางลูบบนตัวดาบพร้อมกล่าวว่า “เหมียวอี้ ของแบบนี้ถ้าตกอยู่ในมือเจ้า เกรงว่าจะนำหายนะมาให้เจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” นางเหล่ตาจ้องมองมา


ความหมายแฝงในคำพูดนี้ชัดเจนมาก คือให้เหมียวอี้รู้จักอ่านสถานการณ์เป็นและมอบให้นาง แต่เหมียวอี้กลับแกล้งโง่ ไม่พูดอะไรตอบ


มู่ฝานจวินเองก็ไม่เกรงใจ เมื่อเห็นเขาตัดใจทิ้งไม่ลง ก็พูดตรงๆ เสียเลยว่า “ข้าว่าเก็บดาบนี้ไว้ที่ข้าเถอะ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”


เหมียวอี้แอบถอนหายใจ แบบนี้ต่างอะไรกับการปล้น เขารู้อยู่แล้วว่าถ้านำดาบเล่มนี้ออกมาแล้วจะรักษาไว้ไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก ถ้าอยากจะช่วยชีวิตเยารั่วเซียนก็ต้องเสียสละดาบเล่มนี้ แต่ทุกคนไม่เชื่อว่าเยารั่วเซียนถูกคนชิงตัวไปแล้ว มีแค่การจ่ายค่าตอบแทนให้มากพอ ถึงจะทำให้คนเชื่อจริงๆ ว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


เขาโดนกดดันจนหมดทางเลือกแล้วจริงๆ จะรักษาชีวิตของเยารั่วเซียน หรือจะรักษาดาบเล่มนี้ไว้ ขณะที่ตัดใจทิ้งไม่ลง สุดท้ายเข้าก็เลือกรักษาชีวิตของเยารั่วเซียนไว้


แต่ของแบบนี้จะให้ไปง่ายๆ ก็ไม่ได้ ถ้าใจกว้างเกินไปจะทำให้คนสงสัย ดังนั้นเหมียวอี้จึงก้มหน้าพูดเสียงต่ำว่า “ในเมื่อท่านปราชญ์โปรดปราน ข้าน้อยก็ยินดีมอบให้ เพียงแต่อาการบาดเจ็บบนตัวข้าน้อยยังไม่หายดี อยากจะขอสมุนไพรเซียนซิงหัวสักสองต้นขอรับ…”


มู่ฝานจวินไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดมือปล่อยสมุนไพรเซียนซิงหัวที่มีอายุกำลังได้ที่ให้ลอยเข้ามา สองต้น


เหมียวอี้รับมาไว้ในมือแล้วกล่าวขอบคุณ ในที่สุดในใจของเขาก็สงบลงบ้างแล้ว


ถึงแม้สมุนไพรเซียนซิงหัวจะมีค่ามากในพิภพเล็ก แต่ในพิภพใหญ่นั้นมีค่ามากกว่า ไม่ใช่เพราะในพิภพใหญ่มีสมุนไพรเซียนซิงหัวอยู่น้อย แต่เป็นเพราะโดนตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีผูกขาด ต่อให้มีคนได้มาก็ไม่อาจนำมาจำหน่ายได้ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานสามารถหยิบออกมาช่วยชีวิตได้ ถ้าไม่โดนกดดันจนหมดทางเลือก ก็ไม่มีใครทำออกมาขาย


เหมียวอี้มีปัจจัยที่จะนำไปขายต่อที่พิภพใหญ่ แต่คนที่ต้องเสี่ยงอันตรายบ่อยๆ แบบเขามีแต่จะรู้สึกว่ามันน้อยไป จะนำไปขายได้อย่างไร มิหนำซ้ำของสิ่งนี้ก็หาไม่ได้ง่ายๆ ที่พิภพเล็ก สมาคมร้านค้าแต่ละแดนนั้นมีขาย แต่ก็ขายจำกัดให้แค่คนบางระดับของทางการเท่านั้น นับว่าเป็นสวัสดิการให้กับคนที่ทำงานให้หกปราชญ์ ทั้งยังมีนโยบายซื้อในจำนวนจำกัดด้วย


เช่นเดียวกัน ถ้านำสิ่งนี้ไปขายที่พิภพใหญ่ก็จะสะดุดตาเกินไป ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องแบบนี้ใส่ตัว

 

 

 


ตอนที่ 918

 

หกปราชญ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ก่อนที่เหมียวอี้จะออกไป มู่ฝานจวินก็พูดเสริมอีกว่า “ข้าไม่ตักตวงผลประโยชน์จากเจ้าเฉยๆ เหรอ หลังจากส่งส่วยปีนี้ข้ามีเรื่องตื่นเต้นประหลาดใจจะบอกเจ้า ตอนส่งส่วยอย่าลืมพาอวิ๋นจือชิวมาด้วย”


เหมียวอี้งงทันที ตอนที่เดินออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้าก็ยังครุ่นคิด นางป้าคนนี้คิดจะทำอะไร? มีเรื่องตื่นเต้นประหลาดใจจะบอกข้า? เรื่องตื่นเต้นประหลาดใจอะไร?


เมื่อออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า ก็บังเอิญเจอกับคนที่ไม่อยากเจอ อันหรูอวี้เหมือนกำลังรอเขาอยู่ด้านนอก หลังจากเดินเข้ามาใกล้ก็ถามอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า “อาการบาดเจ็บเจ้าไม่เป็นไรมากใช่มั้ย?”


แมวร่ำไห้แก่หนู แสร้งทำเมตาสงสาร! เหมียวอี้พูดดูถูกในใจ แล้วกุมหมัดคารวะ “ขอบคุณที่คุณชายรองสนใจ!” ในคำพูดซ่อนอารมณ์ถากถาง


อันหรูอวี้หมั่นไส้จนคันฟันทันที ไม่รู้ว่าอาจารย์บอกเรื่องนั้นกับเจ้าบ้านี่หรือยัง ถ้าบอกแล้วแต่ยังกล้าพูดกับนางแบบนี้ ก็ถือว่าทำเกินไปแล้ว


แต่ตอนนี้นางก็โกรธไม่ลง จากนั้นก็ดีดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่เขา แล้วหันตัวลอยละลิ่วออกไป


เหมียวอี้มองของที่อยู่ในแหวนเก็บสมบัติ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสมุนไพรเซียนซิงหัวหนึ่งต้น เขางุนงงนิดหน่อย นี่นางให้เขามารักษาตัวเองเหรอ?


คิดว่าใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวต้นเดียวก็จะจบเรื่องได้แล้วเหรอ? รอข้าก่อนเถอะ ถ้ามีโอกาสก็คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร! เหมียวอี้ยิ้มเย้ยในใจ แต่เขาไม่กลัวว่าจะมีของสิ่งนี้เยอะเกินไป ถ้าไม่รับไว้ก็เสียของ จึงเก็บไว้เสียเลย


ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า มู่ฝานจวินกำลังเล่นดาบยาวสีม่วง อารมณ์ดีใช้ได้เลย


ที่พิภพเล็ก ของวิเศษระดับสูงสุดก็คือของวิเศษขั้นสี่ คนที่วรยุทธ์สูงถึงระดับอย่างพวกเขา ของวิเศษขั้นสี่ทั่วไปแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเขาเลย หกปราชญ์ไม่สามารถหาของวิเศษที่เหมาะมือเจอได้อีกแล้ว ส่วนใหญ่สู้กันโดยใช้มือเปล่า ถึงแม้ดาบยาวเล่มนี้จะเป็นของวิเศษขั้นสี่ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของวิเศษขั้นสี่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้ทำ หรือจะเป็นแสงสีฟ้าที่อยู่บนตัวดาบ เมื่อมีของวิเศษชิ้นนี้ก็เหมือนกับเสือติดปีก ไม่อย่างนั้นปราชญ์เซียนผู้สง่าผ่าเผยอย่างนางคงไม่ถึงขั้นใช้อำนาจแย่งของวิเศษของลูกน้องตัวเองหรอก


“อวิ๋นอ้าวเทียน คอยดูเถอะว่าข้าจะทำลายความโอหังอวดดีของเจ้าอย่างไร…” มู่ฝานจวินลูบดาบสีม่วงพลางพึมพำ


ท่ามกลางภูเขาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ชายชุดดำที่ปิดบังใบหน้าโผล่ออกมาจากป่าภูเขา หลังจากมองสำรวจรอบๆ แล้ว ก็คว้ากระเป๋าสัตว์ออกมาใบหนึ่ง แล้วเรียกคนออกมาโดยตรง


เยารั่วเซียนที่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้งส่ายหน้า พอเงยหน้าเห็นชายปิดบังใบหน้าก็ตะลึงงัน ถามอย่างตกใจนิดหน่อยว่า “เจ้าเป็นใคร?”


ชายที่ปิดบังใบหน้าตอบด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าเป็นใครก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือเจ้าต้องรีบออกจากที่นี่ เหมียวอี้ฝากให้ข้ามาบอกเจ้า ว่าให้ไปซ่อนตัวที่อู่ต่อเรือ บอกว่าเจ้ารู้ว่าอยู่ที่ไหน ระหว่างทางอย่าลืมปิดบังใบหน้าที่แท้จริง ถึงตอนนั้นเขาจะไปหาเจ้าที่อู่ต่อเรือ” พูดจบก็หันตัวเดินจากไป


“เหมียวอี้อยู่ที่ไหน?”เยารั่วเซียนตะโกนถาม


“หุบปาก!” ชายที่ปิดบังใบหน้าพลันหันตัวมา “ตรงนี้ห่างจากแดนโพ้นสวรรค์ไม่ไกล ตะโกนดังขนาดนี้อยากจะรนหาที่ตายรึไง? เพื่อที่จะช่วยเหลือเจ้าในครั้งนี้ เหมียวอี้แทบเอาชีวิตไม่รอดครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเจ้าไปรนหาที่ตายถึงที่อีก ก็ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” พูดจบก็แวบหายไป


เยารั่วเซียนยืนเงียบอยู่ที่เดิมนานมาก สุดท้ายก็เดินออกไปอย่างโดดเดี่ยว


หลังจากเขาไปแล้ว ชายที่ปิดหน้าก็ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง มองไปยังทิศทางที่เยารั่วเซียนหายไป แล้วก็ถอดหน้ากากของตัวเองออกมา เผยใบหน้าของฝูชิงประมุขถิ่นทิศตะวันตก


“เพื่อที่จะช่วยสหาย เจ้าเด็กนั่นยอมเสี่ยงอันตรายโดยไม่พูดอะไรสักคำ…” ฝูชิงทอดถอนใจเบาๆ  จากนั้นก็รีบถอดชุดคลุมสีดำ และหายตัวไปในป่าภูเขาอย่างรวดเร็ว…


“พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”


เหมียวอี้เพิ่งกลับมาถึงที่พักของเยว่เหยา เยว่เหยาก็ดึงตัวเขามาสอบถามทันที


“ไม่เป็นอะไร! ไม่เป็นไร บาดเจ็บนิดหน่อย ไม่นานก็ฟื้นตัวแล้ว” เหมียวอี้ตอบอย่างร่าเริง


“เจ้าตามข้ามาหน่อย!” เทพธิดาหงเฉินเดินออกมาจากด้านข้าง สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร พูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินลากกระโปรงนำไปทันที


เหมียวอี้ยิ้มรับ แล้วเดินตามไปทันที


เยว่เหยารีบก้าวเข้ามา แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “ศิษย์พี่หญิง พวกท่านสองคนทำลับๆ ล่อๆ อะไรกัน? คงไม่ได้แอบคบกันจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”


ยังคงเป็นห้องสมาธิห้องนั้น เทพธิดาหงเฉินปล่อยให้เหมียวอี้เข้าไป แต่กลับขวางเยว่เหยาเอาไว้ ประตูหินที่ปิดสนิทกันเยว่เหยาไว้ด้านนอก ทำให้นางกระทืบเท้าโวยวายอย่างหงุดหงิดอีกครั้ง


ขณะที่มองเทพธิดาหงเฉินผู้งดงามดุจพระจันทร์ประชิดเข้ามาพร้อมแววตาเย็นเยียบ เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ พลางถามว่า “เทพธิดา เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้ คงไม่ได้ชอบข้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”


“อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ!” หงเฉินกล่าว


“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?” เหมียวอี้ถาม


หงเฉินกล่าวพร้อมแววตาที่แฝงความดุร้าย “เจ้าอย่ามาหลอกข้าเหมือนคนโง่! เจ้าไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านจื่อหยาง!”


“แล้วเกี่ยวอะไรกันล่ะ! เชื่อใจข้าเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายแน่นอน ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีเยว่เหยาจริงๆ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เยว่เหยาก็คงไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขเหมือนกัน” เหมียวอี้กล่าว


หงเฉินเถียงกลับว่า “เหลวไหลทั้งนั้น! ท่านจื่อหยางกับเยว่เหยาเกี่ยวอะไรกัน? เหมียวอี้ เจ้าทำแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไรกันแน่ ถ้าท่านจื่อหยางตกอยู่ในมือปราชญ์อีกห้าคน ก็ไม่ใช่เรื่องดีกับแดนโพ้นสวรรค์แน่นอน ข้าจำที่เจ้าถามเยว่เหยาก่อนหน้านี้ได้ ว่าถ้าเจ้ากับอาจารย์มีเรื่องขัดแย้งกัน เยว่เหยาจะยืนอยู่ฝ่ายใคร พอมาคิดดูตอนนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้ามีเจตนาน่าอับอายอะไรจริงๆ ?”


“เจ้าคิดมากไปแล้ว” เหมียวอี้กล่าว


“ถ้าวันนี้เจ้าไม่พูดความจริง ข้าจะไปขอให้อาจารย์ลงโทษเจ้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปบอกความจริง!” หงเฉินบทจะไปก็ไปเลย หันตัวเตรียมจะไปทันที


เหมียวอี้คว้าแขนนางเอาไว้ แล้วดึงนางกลับมา “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! เจ้าไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้หรอก บอกไปแล้วจะเกิดผลดีอะไรกับเจ้าเหรอ?”


“เจ้าทำแบบนี้ขู่ข้าไม่ได้หรอก!” หงเฉินมองแขนของตัวเองที่โดนเขาดึงไว้ แล้วดิ้นรนพร้อมสั่งว่า “ปล่อยข้า!”


เหมียวอี้จับไว้ไม่ปล่อย “หงเฉิน เจ้าฟังข้านะ ต่อให้ข้าจะทำร้ายใคร แต่ก็ไม่ทำร้ายเยว่เหยาหรอก ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าก็ได้ ท่านจื่อหยางเป็นสหายของข้า เจ้าน่าจะเข้าใจนะ ว่าถ้าจื่อหยางตกอยู่ในมือหกปราชญ์ ก็จะต้องตายสถานเดียว ข้ามองดูเขาตายไปเฉยๆ ไม่ได้หรอก ข้ารับประกันกับเจ้าเลย ว่าต่อไปนี้ท่านจื่อหยางจะปิดบังชื่อแซ่ที่แท้จริง จะไม่เข้าไปยุ่งกับบุญคุณความแค้นในพิภพเล็กอีก… แล้วอีกอย่าง ถ้าอาจารย์เจ้าทำโทษข้า คนที่ทุกข์ใจที่สุดก็ยังเป็นเยว่เหยาอยู่ดี”


“คนอย่างเจ้าน่ะทำอะไรไม่สนวิธีการอยู่แล้ว เจ้าหลอกข้าไปแล้วรอบหนึ่ง ยังจะให้ข้าเชื่อเจ้าอีกได้ยังไง?” หงเฉินกล่าวอย่างแค้นใจ


“ไม่สนวิธีการเหรอ?” เหมียวอี้ถามเหน็บแนม แล้วกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ที่ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้เยว่เหยาไปกับข้า ก็เพราะอะไรล่ะ? ขอเพียงเยว่เหยาตอบตกลงว่าจะไปกับข้า ข้าก็สามารถพาท่านจื่อหยางหนีไปได้โดยตรง เจ้าเองก็รู้เรื่องความสัมนพันธ์ระหว่างข้ากับแดนมาร ข้าไปขอพึ่งพาที่แดนมารได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ใช่เพื่อเยว่เหยา เจ้าคิดว่าข้าจะทำไปทำไมล่ะ คิดว่าข้ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ ก็เลยเล่นละครให้ตัวเองบาดเจ็บสาหัสงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าข้าเลือดไหลแล้วไม่ต้องใช้เงินหรือไง เจ้าคิดว่าข้าเป็นท่อนไม้ที่เจ็บไม่เป็นเหรอ? ข้าทำได้ทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการก็เพื่อใครล่ะ? ถ้าข้าอยู่ที่นี่ก็มีอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ ถ้ามัวแต่เลือกวิธีการที่ถูกต้อง อาจารย์เจ้าจะปล่อยข้าไปเหรอ หรือว่าเจ้ามีความสามารถมากพอที่จะช่วยข้า? ข้าแค่อยากจะมีชีวิตรอดต่อไปโดยไม่ทำร้ายเยว่เหยา ข้าทำอะไรผิด?


หงเฉินสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็เลิกกัดฟัน แล้วจ้องเขาพร้อมเตือนว่า “เหมียวอี้ เห็นแก่หน้าเยว่เหยา ข้าจะเชื่อเจ้าอีกสักครั้ง! ปล่อยข้า!”


“ข้าจะถือว่าเจ้ารับปากแล้ว!” เหมียวอี้คลายมือปล่อยนาง


หงเฉินเอามือลูบแขนตัวเองที่โดนบีบจนรู้สึกเจ็บนิดหน่อย ขณะที่มองดูวรยุทธ์บงกชม่วงขั้นก้าของเหมียวอี้ที่ค่อยๆ จางไป นางก็รู้สึกสับสนมาก ในปีนั้นเป็นแค่หนุ่มน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ ตอนนี้วรยุทธ์สูงกว่านางเยอะมากแล้ว พอลงมือขึ้นมาก็ทำให้นางขยับตัวไม่ได้เลย


นางหันตัวไปและโบกแขนเสื้อเพื่อเปิดประตูหิน เยว่เหยาที่เฝ้าอยู่ข้างนอกกำลังยืนกอดอก ในดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยใคร่รู้…


หลังจากนั้นเกือบครึ่งวัน คนที่ควรจะมาก็มาถึงแล้ว ปราชญ์พุทธะฉางเหลยมาถึงก่อน


สาเหตุเพราะระยะทาง เขามาถึงก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เดิมทีทั้งหกแดนก็ตั้งอยู่บนพื้นที่รูปวงพระจันทร์เสี้ยวอยู่แล้ว แดนพุทธะ แดนเซียนกับแดนอู๋เลี่ยงครอบครองพื้นที่วงพระจันทร์เสี้ยว ส่วนแดนมาร แดนผีและแดนปีศาจครองแผ่นดินอีกส่วนหนึ่ง ระยะทางใกล้กันก็ย่อมมาถึงก่อน


จากนั้นปราชญ์ที่เหลือก็ทยอยกันมาถึง


เหมียวอี้เพิ่งเคยเห็นปราชญ์พุทธะฉางเหลยเป็นครั้งแรก เขาสวมจีวรสีทองอร่ามทั้งตัว อ้วนเตี้ยผิวขาว หน้าอ้วนหูใหญ่ ผิวหน้าสีแดงเปล่งปลั่ง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเมตตากรุณาอยู่ตลอด และตั้งฝ่ามือข้างเดียวไว้ที่หน้าอกตลอดเช่นกัน


ตอนที่ถูกเชิญเข้าตำหนักเก้าชั้นฟ้า สายตาของเหมียวอี้ก็ไปหยุดอยู่บนตัวเขาแวบหนึ่ง ขนาดฝาไห่ยังยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงฐานะของเขา


ในตำหนักเก้าชั้นฟ้ามีเก้าอี้เพิ่มมาห้าตัวแล้ว มู่ฝานจวินยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตัวเอง ส่วนปราชญ์อีกห้าคนนั่งคนละตำแหน่ง


จีเต๋อไห่ก็มาแล้วเช่นกัน ยืนอยู่ข้างหลังชายชราที่ไว้เครายาวและหน้านิ่งเหมือนรูปแกะสลัก ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ คนคนนี้ดูอายุมากที่สุด ที่ศีรษะสวมมงกุฎทอง สวมชุดคลุมยาวสีเงินทั้งตัว นั่งอย่างวางมาดสง่าผ่าเผย ก่อนเหมียวอี้จะเข้ามา คนคนนี้หลับตาอยู่ตลอด แต่พอเหมียวอี้เข้ามา จีเต๋อไห่ก็โน้มตัวกระซิบกระซาบข้างหู คนคนนั้นเอียงหน้าถลึงตามองมาทันที ดวงตาฉายแววดุดัน


ไม่ค้องให้ใครแนะนำเลย คนที่สามารถทำให้จีเต๋อไห่อยู่ข้างหลังได้ จะต้องเป็นปราชญ์ปีศาจจีฮวนแน่นอน ชื่อของเขาฟังดูเหมือนมีความสุข แล้วคนกลับหน้าตาแข็งทื่อ


ยังมีอีกท่านที่ไม่รู้จัก เขาสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว บนใบหน้าใส่หน้ากากผีสีขาว มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง นั่งปล่อยกลิ่นอายที่เย็นเยียบพิศวงอยู่อย่างนั้น ดูจากอวี้หนูเจียวที่ยืนอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย ก็ตัดสินได้แล้วว่าคนคนนี้คือปราชญ์ผีซือถูเซี่ยว


ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินกำลังมองมาด้วยสายตาเคียดแค้นอยากจะฉีกเนื้อ เหมียวอี้มองข้ามไปเสียเลย เดินไปกุมหมัดคารวะปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนก่อน อวิ๋นอ้าวเทียนพยักหน้าเบาๆ อวิ๋นเป้าที่อยู๋ข้างหลังก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้เหมียวอี้เล็กน้อย


“คารวะท่านปราชญ์!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาคารวะเฟิงเป่ยเฉินอย่างระวังตัว ไม่ระวังคงไม่ได้ เพราะเจ้าจมูกวัวนี่อาจจะลอบโจมตี


“เรียกเจ้ามาเพื่ออธิบายเรื่องราวให้ชัดเจน” มู่ฝานจวินโบกมือบอกใบ้ให้เจ้าไปยืนอยู่ใต้บัลลังก์ด้านข้าง


เฟิงเป่ยเฉินจ้องเหมียวอี้พลางแสยะยิ้มไม่หยุด “ไอ้จัญไร ไอ้สุนัขใจกล้า บังอาจเล่นสกปรกกับลูกศิษย์ข้า ทั้งยังกล้าใส่ร้ายว่าข้าลอบโจมตีเจ้าอีก!”


“ไม่รู้ว่าไอ้หลานคนไหนมันลอบโจมตีข้าเหมือนกันนะ!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ


เฟิงเป่ยเฉินเลิกคิ้ว “เจ้าด่าใคร? ลองพูดอีกรอบสิ!”


ก่อเรื่องจนลุกลามมาถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเขาอีกต่อไป “ใครลอบโจมตีข้า ข้าก็ด่าคนนั้นนั่นแหละ ถ้าเจ้าไม่ใช่ไอ้หลานที่มันลอบโจมตีข้า เจ้าจะเดือดร้อนอะไร? อย่าว่าแต่ด่าคำเดียวเลย ด่าอีกสิบคำข้าก็จะด่า ไม่รู้ว่าไอ้หลานเวรที่ไหนมันลอบโจมตีข้า คนที่ลอบโจมตีข้ามันเป็นไอ้หลานเวรตะไล ตัดขาดลูกหลาน…”


เฟิงเป่ยเฉินพลันลุกขึ้น ใกล้จะระเบิดอารมณ์เต็มที ไม่ได้โดยยั่วโมโหแบบนี้มาหลายปีแล้ว


อวิ๋นอ้าวเทียนที่นั่งพิงเก้าอี้พลันกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าจมูกวัว เจ้าคิดจะทำอะไร จะฆ่าปิดปากกันเชียวเหรอ? เห็นพวกเรานั่งอยู่เฉยๆ รึไง? ถ้าเจ้าไม่ได้ลอบโจมตีเขา เจ้าจะเดือดร้อนอะไรล่ะ? ด่าไปเรื่อยเปื่อยก็ไม่โดนตัวเจ้าหรอก เห็นเจ้าเดือดร้อนแบบนี้ เจ้ายังกล้าบอกอีกเหรอว่าไม่ได้แย่งตัวท่านจื่อหยางไป?” อวิ๋นอ้าวเทียนจ้องเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ


ตอนนี้สายตาของคนที่เหลือก็จ้องอยู่ที่ตัวเฟิงเป่ยเฉินเหมือนกัน ดวงตาฉายแววสอบสวนสำรวจอย่างชัดเจน


 

 

 


ตอนที่ 919

 

เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะเพราะเดือดดาลสุดขีด เขาเลอะเลือนพูดผิดไปชั่วขณะ แค่มุขของเด็กน้อยที่ใช้การพูดจาทั้งแถไถไหลลื่นนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ตัวเองเข้าไปพัวพันได้ เขาทั้งโมโหทั้งอยากขำ


ถึงแม้เขาจะหวาดกลัวอวิ๋นอ้าวเทียน แต่ก็ต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน “ก็จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ข้าเคยโจมตีเขา แต่เป็นตอนก่อนที่เขาจะโดนจู่โจมที่นี่ ที่บอกว่าปล้นตัวท่านจื่อหยางอะไรนั่น เป็นคำพูดที่ไม่มีมูลเลย ถ้าให้ข้าลงมือเอง ยังจะต้องปิดบังใบหน้าด้วยเหรอ? ถ้าข้าลงมือเอง มันจะยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”


“เจ้าจมูกวัวผู้สง่าผ่าเผย จะสู้กับตัวละครเล็กๆ อย่างนี้ยังต้องใช้การลอบโจมตี ขายขี้หน้ามั้ยล่ะ?” อวิ๋นอ้าวเทียนพูดเหยียด


“ตัวละครเล็กๆ ? แล้วตัวละครเล็กๆ คู่ควรให้เจ้าช่วยพูดแก้ตัวให้ด้วยเหรอ อวิ๋นอ้าวเทียน?” เฟิงเป่ยเฉินพูดเหน็บแนมกลับ


ฉางเหลยพลันกล่าวว่า “เฟิงเป่ยเฉิน เจ้าก็มีจุดที่น่าสงสัยจริงๆ ข้ามาถึงคนแรก แต่กลับบังเอิญพบเจ้าอยู่นอกแดนโพ้นสวรรค์ เลยร่วมทางมาพร้อมกัน นั่นแปลว่าเจ้าอยู่ใกล้ๆ แดนโพ้นสวรรค์มาตลอด มีความเป็นไปได้จริงๆ ว่าจะลงมือลอบจู่โจม”


เฟิงเป่ยเฉินหันกลับมาเถียง “พระอาจารย์ ข้าจะบอกอีกครั้งนะ ถ้าข้าต้องการจะแย่งตัวจื่อหยาง ข้าสังหารไอ้จัญไรเพื่อปิดปากไปนานแล้ว จะปล่อยให้มันมาชี้ตัวข้าอย่างนี้เหรอ?”


อวิ๋นอ้าวเทียน “เจ้าก็ต้องอยากฆ่าปิดปากเขาอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าบนตัวเขาจะมีของวิเศษคอยปกป้อง เจอเหตุไม่คาดคิดจนทำพลาด แต่กลัวโดนจับได้ เลยต้องรียหนีเอาตัวรอดไป”


“อยากเล่นงานใคร ก็ย่อมหาเหตุผลมาอ้างได้เสมอ!” เฟิงเป่ยเฉินตะคอก


อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้ามองเหมียวอี้ “เหมียวอี้ ได้ยินว่าในมือเจ้ามีดาบวิเศษอยู่ด้ามหนึ่ง ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้ตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน ทำไมไม่นำออกมาให้ทุกคนดูสักหน่อยล่ะ?”


เหมียวอี้พูดไม่ออก หันไปมองมู่ฝานจวินแวบหนึ่ง


พอมู่ฝานจวินโบกแขนเสื้อ ดาบยาวสีม่วงเล่มหนึ่งก็อยู่ในมือ นางไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น ใช้มือข้างเดียวถือดาบชี้ออกมา ทำให้เกิดแสงสีฟ้าสายหนึ่งหดเข้าและปล่อยออก


“เรือมังกรอเวจี!” เฟิงเป่ยเฉินและคนอื่นๆ ทำสีหน้าจริงจัง มีเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนคนเดียวที่นั่งชำเลืองมองเหมียวอี้อย่างไม่สะทกสะท้าน เห็นได้ชัดเจนมาก ดาบวิเศษของเหมียวอี้โดนมู่ฝานจวินแย่งไปแล้ว


มู่ฝานจวินเหลือบมองอวิ๋นอ้าวเทียนแวบหนึ่ง แล้วมองเฟิงเป่ยเฉินอย่างหยิ่งยโส “เฟิงเป่ยเฉิน ดาบเล่มนี้ทำให้กลัวไปแล้วสามส่วนยามลอบจู่โจมใช่มั้ยล่ะ?”


“ตลกแล้ว!” เฟิงเป่ยเฉินกล่าวอย่างรู้สึกขำ “อาศัยแค่สิ่งนี้คิดว่าจะขู่ให้ข้ากลัวได้เหรอ? ก็แค่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเพิ่มมา ใช่ว่าพวกเราจะเห็นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ ในปีนั้นมีใครไม่เคยโดนบ้าง?”


“แบบนี้นับเป็นเหตุผลได้ด้วยเหรอ? ในปีนั้นมีไต้ซือศีลเจ็ดช่วยคลายพิษให้ ตอนนี้เจ้าอยากจะลิ้มลองรสชาติอีกสักครั้งมั้ยล่ะ?” มู่ฝานจวินถาม


เหมียวอี้ที่ฟังอยู่ข้างๆ เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ ไต้ซือศีลเจ็ด อาจารย์ของเจ้ารองสามารถแก้พิษเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้ด้วยเหรอ?


“ฮ่าๆ…” เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้าหัวเราะลั่น แล้วชี้เข้ามา “มู่ฝานจวิน เจ้าช่างวางแผนเก่งจริงๆ นะ เรื่องเกิดที่แดนโพ้นสวรรค์เจ้า จื่อหยางอะไรนั่นไม่ได้มีใครแย่งไปหรอก ไม่มีคนนอกที่ไหนเห็นทั้งนั้น ก่อนที่เจ้าจะมายัดเยียดความผิดให้ข้า ทำตัวเองให้บริสุทธิ์ก่อนดีกว่ามั้ย”


เสียงที่เย็นเยียบพิศวงชวนขนลุกดังอยู่ใต้หน้ากากของเทพผีซือถูเซี่ยว “ในเมื่อพวกเจ้าสองคนมีส่วนเกี่ยวข้อง นั่นก็แสดงว่าน่าสงสัยทั้งคู่ พวกเจ้าที่เหลือคิดว่าอย่างไร?” ดวงตาที่อยู่หลังหน้ากากผีกวาดมองคนอื่นๆ


จีฮวน ฉางเหลย อวิ๋นอ้าวเทียนพยักหน้า ต่างก็จัดมู่ฝานจวินกับเฟิงเป่ยเฉินไว้ในรายชื่อผู้ต้องสงสัยแล้ว ไม่มีใครสงสัยเหมียวอี้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่เหมียวอี้จะตัดสินใจอะไรได้


โดยเฉพาะอวิ๋นอ้าวเทียน ก็ยิ่งกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “จากที่ข้าดู เก็บสองคนนี้ไว้ไม่ได้แล้ว พวกเราสี่คนร่วมมือกันกำจัดทิ้งเสียเลยดีกว่า!”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เฟิงเป่ยเฉินกับมู่ฝานจวินก็ทั้งโมโหทั้งตกใจ เฟิงเป่ยเฉินรีบสังเกตปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ทันที ส่วนมู่ฝานจวินลุกพรวดขึ้น กวาดดาบชี้ออกมา พลางกล่าวอย่างเดือดดาล “อวิ๋นอ้าวเทียน อยากจะสังหารข้าเหรอ ต้องถามดาบวิเศษของข้าก่อนว่าจะยอมมั้ย!”


ตรงทิศทางที่ดาบชี้ไป มีแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมา คุกคามไปยังอวิ๋นอ้าวเทียนที่กำลังนั่งอยู่ แต่กลับเห็นอวิ๋นอ้าวเทียนดีดนิ้วชี้ครั้งเดียว เกิดระลอกคลื่นลอยขึ้นกลางอากาศ เป็นระลอกคลื่นสีดำ แผ่กระจายออกมาจากตัวอวิ๋นอ้าวเทียนอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวปราณมารก็กลายเป็นม่านสีดำ ขยายออกอย่างรวดเร็วราวกับผ้าสีดำผืนหนึ่ง หนาแน่นมาก กั้นแสงสีฟ้าไม่ให้ทะลุมาถึงตัว


พลังอิทธิฤทธิ์โดยทั่วไปไม่มีทางกั้นแสงสีฟ้าได้ เพราะคุณสมบัติของมันคือแสง แต่ปราณมารกลับสกัดการแทรกซึมของแสงสีฟ้าได้


อวิ๋นอ้าวเทียนที่ปล่อยปราณมารออกมาพูดเหยียดว่า “นางป้าขี้บ่น อย่าคิดว่ามีดาบเส็งเคร็งเล่มเดียวจะทำอะไรก็ได้  ของเล่นแบบนี้สู้กับเฟิงเป่ยเฉินกับฉางเหลยยังพอไหว แต่ไม่ได้ผลกับข้า จีฮวนและซือถูเซี่ยวเลย ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าทำให้ตัวเองขายหน้าเลยดีกว่า”


เมื่อเห็นว่าทำอะไรเขาไม่ได้ มู่ฝานจวินก็แอบตกใจ ขณะเดียวกันก็ชำเลืองมองจีฮวนกับซือถูเซี่ยวอย่างนิ่งเฉย เมื่อได้รับคำเตือนจากอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ในภายหลังจะได้ไม่ไปบุ่มบ่ามสู้กับอีกสองคนให้ตัวเองเสียเปรียบ


เหมียวอี้ที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ฉลาดขึ้นบ้างแล้ว ได้เพิ่มพูนความรู้แล้ว


มู่ฝานจวินทำเสียงฮึดฮัด เรียกได้เก็บดาบอย่างแค้นใจ จากนั้นก็มองไปยังคนที่เหลือ “ทุกคนอย่าไปตกกลุมพรางเจ้าจอมมารนี่นะ!”


พออวิ๋นอ้าวเทียนกวักมือ ปราณมารก็ถูกเก็บเข้าในแขนเสื้อ จากนั้นก็กล่าวตรงๆ อย่างไม่เกรงกลัวว่า “ฆ่าพวกเขาสองคน แล้วแบ่งอาณาเขตของพวกเขามาให้พวกเราคนละสี่ส่วน!”


จีฮวน ซือถูเซี่ยวและฉางเหลยสบตาประเมินกันแวบหนึ่ง หกปราชญ์วรยุทธ์ต่างกันไม่เท่าไร ถ้าใครอยากจะฆ่าใครทิ้งก็เป็นเรื่องยาก เคล็ดวิชาของทั้งหกต่างก็มีจุดเด่นคนละอย่าง ต่อให้สู้กันไม่ชนะ แต่ก็สามารถถ่วงเวลารอให้คนที่เหลือมาช่วยได้ ในบรรดาพวกเขาทั้งหกคน แน่นอนว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคืออวิ๋นอ้าวเทียน ถ้าสู้กันตัวต่อตัวก็ไม่มีใครเอาชนะอวิ๋นอ้าวเทียนได้ อวิ๋นอ้าวเทียนสู้กับอีกสองคนก็ไม่ได้ด้อยกว่า แต่ถ้าสู้กับสามคน อวิ๋นอ้าวเทียนก็ทำได้เพียงดันทุรังประคับประคอง แต่ถ้าสู้กับสี่คน อวิ๋นอ้าวเทียนต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานสามารถหลบหนีได้เก่งมาก ถ้าอีกห้าคนอยากจะร่วมมือกันกำจัดเขาทิ้งก็เป็นเรื่องยาก กลับยั่วให้จอมมารท่านนี้โต้กลับด้วยซ้ำ


ด้วยเหตุนี้เอง หลายปีมานี้หกปราชญ์ถึงได้รักษาความสมดุลอันน้อยนิดระหว่างกันมาตลอด ถ้าเชื่อคำพูดของอวิ๋นอ้าวเทียนจริงๆ ถ้ากำจัดทิ้งไปรวดเดียวสองคน เช่นนั้นอีกสามคนที่เหลือก็อยู่ในอันตรายแล้ว อย่าว่าแต่กำจัดสองคนเลย ต่อให้กำจัดทิ้งคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรแล้ว มีแต่จะทำให้อวิ๋นอ้าวเทียนได้เปรียบ ถ้ามีเพิ่มมาอีกสักคน ยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็จะมีคนมาช่วยเสริมทัพได้ทันเวลาเพิ่มอีกคน เหมือนครั้งก่อนที่เฟิงเป่ยเฉินประสบอันตราย มู่ฝานจวินกับฉางเหลยก็รีบมาช่วยไว้ หลักการมันก็เป็นอย่างนี้แหละ


ดังนั้นแล้ว อย่าว่าแต่แบ่งอาณาเขตของสองแดนนั้นเป็นสี่ส่วนเลย ต่อให้อวิ๋นอ้าวเทียนจะไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น แต่อีกสามคนก็ต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย


“อามิตตาพุทธ!” ฉางเหลยตั้งฝ่ามือตรงหน้าอกทันที แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ทุกคนอยู่ร่วมกันที่แดนฝึกตนมาหลายปีขนาดนี้ เป็นทั้งศัตรูเป็นทั้งมิตร เหตุใดต้องเข่นฆ่ากันด้วยเล่า มีอะไรก็นั่งคุยกันดีๆ ได้”


อวิ๋นอ้าวเทียนเหล่ตามองมา “พระอาจารย์ อย่ามาเล่นบทคนมีจิตเมตตากรุณาหน่อยเลย คนที่ตายด้วยน้ำมือเจ้ามีน้อยกว่าคนอื่นรึไง?”


ฉางเหลยหัวเราะโดยไม่พูดอะไร จีฮวนก็บอกเช่นกันว่า “มีอะไรก็คุยกันดีๆ!” ซือถูเซี่ยวก็พยักหน้าด้วยท่าทางพิศวงเช่นกัน แสดงออกมาเช่นด้วย


เฟิงเป่ยเฉินโล่งใจแล้ว มู่ฝานจวินก็พยักหน้าเช่นกัน “มักจะมีคนที่แฝงเจตนาชั่วร้าย อยากเสี้ยมเขาควายให้ชนกันเสมอ!”


เมื่อเห็นพวกเขามีท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็ผิดหวังนิดหน่อย ดูท่าทางแล้ว การจะทำลายความสมดุลของหกปราชญ์นั้นยากเย็นพอสมควร เห็นได้ชัดว่าอีกห้าคนมีแนวโน้มอยากจะร่วมมือกันสู้กับอวิ๋นอ้าวเทียนมากกว่า อยากจะให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าอยากจะเล่นงานเฟิงเป่ยเฉินให้ถึงตาย ระดับความยากก็ค่อนข้างสูง!


อวิ๋นอ้าวเทียนยืนขึ้นแล้วบอกว่า “ในเมื่อพวกเจ้าสามคนไม่แยแสอะไร ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว เจดีย์งามวิจิตรอะไรนั่นไม่ได้อยู่ในสายตาข้าหรอก พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันไปก็แล้วกัน! ข้าไม่อยู่ต่อแล้ว!” พอพูดจบก็กวักมือเรียกเหมียวอี้ “เจ้ามานี่หน่อย!” จากนั้นก็หันตัวนำอวิ๋นเป้าเดินก้าวยาวออกไป


เหมียวอี้ลำบากใจมาก ที่นี่คือแดนโพ้นสวรรค์ไม่ใช่นภาจอมมาร จึงอดไม่ได้ที่จะมองมู่ฝานจวิน แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแปลก ไม่น่าเชื่อว่ามู่ฝานจวินจะโบกมือบอกใบ้ให้เขาออกไปเหมือนกัน


เหมียวอี้เดินออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้าด้วยความฉงนใจ เหมือนเห็นอวิ๋นอ้าวเทียนยืนเอามือไขว้หลังอยู่ไม่ไกล ก็รีบก้าวเข้ามาคำนับอย่างเป็นทางการ “ท่านปู่!”


“เจ้าไม่แปลกใจเหรอว่าทำไมนางป้ามู่ฝานจวินถึงยอมให้เจ้าออกมาพบข้าได้?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามเสียงเรียบ


เหมียวอี้ยิ้มแห้งแล้วตอบว่า “ที่จริงก็สงสัยขอรับ”


“สาเหตุไม่ซับซ้อนเลย ตอนนี้พวกเขาต้องการจะวางแผนทำร้ายข้าไง ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นหลานเขยข้า แค่ไม่อยากให้เจ้าได้ยินเท่านั้นเอง” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว


เหมียวอี้งงเล็กน้อย ค่อนข้างคิดไม่ตก จึงถามอย่างสงสัยว่า “วางแผนทำร้ายท่านเหรอ? ท่านจื่อหยางตกอยู่ในมือพวกเขาแล้ว พวกเขาควรจะระแวงกันเองสิถึงจะถูก ทำไมต้องวางแผนทำร้ายท่านด้วยล่ะ?”


อวิ๋นอ้าวเทียนทำสีหน้าค่อนขอด “เฟิงเป่ยเฉินกับมู่ฝานจวินไม่ยอมรับหรอกว่าจื่อหยางอยู่ในมือตัวเอง แต่ถ้าจะกำจัดสองคนนั้นทิ้ง คนอื่นๆ ก็จะระแวงข้าอีก ผลลัพธ์สุดท้ายที่พวกเขาเจรจากันได้ จะต้องเป็นอย่างที่ข้าคิดแน่นอน นั่นก็คือไม่ว่าจื่อหยางจะตกอยู่ในมือใคร ขอเพียงหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรออกมาได้ ก็จะต้องทำมาใช้กับข้าเป็นคนแรก เหตุผลที่ใช้เกลี้ยกล่อมก็คือ ถ้าทำให้คนอื่นตายก่อน หากเล่นงานให้ข้าถึงตายไม่ได้ขึ้นมา แบบนั้นข้าก็จะได้เปรียบแล้ว แดนที่เหลือจะต้องร่วมสร้างความสัมพันธ์ที่ร้ายกาจ หารู้ไม่ว่าถ้าข้าตายขึ้นมา ในใต้หล้านี้ก็จะวุ่นวาย ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขาห้าคนไม่มีอุปสรรคขัดขวางแล้ว ต่อให้คิดจะต่อสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ คิดจะสู้ให้ตายกันไปข้าง ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี”


เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที หันไปมองตำหนักเก้าชั้นฟ้าแวบหนึ่ง แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจนิดหน่อย “ท่านปู่ ในเมื่อท่านรู้ชัดอยู่แก่ใจแล้ว อย่าบอกนะว่าท่านไม่กลัวว่าพวกเขาจะใช้เจดีย์งามวิจิตรมาสู้กับท่าน?”


อวิ๋นอ้าวเทียนแสยะยิ้ม “คนอื่นน่ะข้าไม่รู้หรอก เจ้ายังไม่รู้อีกเหรอ? ดาบของเยียนเป่ยหงอยู่ในมือข้า ถ้ากล้ามาปะทะกับข้าตรงๆ เจดีย์งามวิจิตรก็เป็นเรื่องน่าขำเท่านั้น ก่อนที่เจดีย์จะดูดข้าเข้าไป ข้าจะใช้ดาบฟันให้พังก่อนเลย แต่น่าเสียดายที่ข้าสำแดงอานุภาพของดาบวิเศษได้ไม่เต็มที่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเปลืองคำพูดกับพวกเขาหรอก เจ้าต้องรักษาเรื่องนี้เป็นความลับ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากเห็นท่านปู่ของน้องชิวโดนคนอื่นทำร้ายตายหรอกใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ปาดเหงื่อนิดหน่อย ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร สงสัยท่านจอมมารจะอยากเห็นทุกคนสิ้นเปลืองกำลังทรัพย์มหาศาลก่อน แล้วตัวเองค่อยทำพังทีหลัง ดีไม่ดีถ้าใครสร้างเจดีย์ออกมาได้ ภายใต้ความลำพองใจจนลืมตัว ห้าคนนั้นจะขัดแย้งกันเองก็ได้ ถ้าอยากจะเล่นงานให้ตายสักคนสองคนจริงๆ ท่านที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ได้เปรียบเยอะมาก


อวิ๋นอ้าวเทียนถามอีกว่า “ที่เรียกเจ้าออกมาเพราะอยากจะถามสักหน่อย ท่านจื่อหยางที่หลอมของวิเศษนั่นโดนเฟิงเป่ยเฉินชิงตัวไปแล้วจริงๆ เหรอ?”


“ไม่แน่ใจขอรับ เพียงแต่ผู้ที่ชิงไปมีวรยุทธ์สุงกว่าข้า ทั้งยังใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง!” เหมียวอี้ยังไม่พูดความจริง


“แล้วเจ้าเอาดาบนั่นมาจากไหน?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามอีก


“เอามาจากเทพพยากรณ์…” เหมียวอี้เล่าเรื่องที่ตัวเองเล่าให้มู่ฝานจวินฟังซ้ำอีกรอบ


อวิ๋นเป้าที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วตกใจมาก


อวิ๋นอ้าวเทียนเงียบไปพักใหญ่ แล้วพูดเบาๆ ว่า “วรยุทธ์ของน้องชิวบรรลุถึงระดับบงกชทองแล้ว นางเด็กนี่ปิดบังเก่งจริงๆ…” จากนั้นสายตาก็มองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดปลายเท้า แล้วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าไม่ถือสาที่วรยุทธ์นางสูงกว่าเจ้า มองออกเลยว่าเจ้ารักน้องชิวจากใจจริง ข้าเฝ้าดูนางหนูนั่นเติบโตมา ถึงแม้จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่กลับเป็นคนที่จริงใจต่อความรัก การที่เจ้าได้หัวใจนางไปก็ถือเป็นวาสนาของเจ้า ดีกับนางให้มากๆ ทั้งชีวิตนี้นางคือคนของเจ้าแล้ว ไม่รังแกเจ้าแน่นอน”


“ข้าจะจำไว้ขอรับ!” เหมียวอี้ตอบด้วยความเคารพ


“เจ้าฆ่าลูกสาวของจีฮวน ทั้งยังทำให้ลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉินตาย พวกเขาสองคนปล่อยเจ้าไปไม่ได้หรอก ตอนที่พวกเขากำลังวางแผนกันอยู่ที่นี่ เจ้ารีบฉวยโอกาสหนีไปจากที่นี่เสีย ไม่อย่างนั้นระหว่างทางอาจจะมีคนลอบลงมือกับเจ้าก็ได้ กลับไปที่อาณาเขตของตัวเองเถอะ พวกเขาไม่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้งจนทำลายกฏระเบียบระหว่างกันหรอก ไม่อย่างนั้นถ้าล้างแค้นกันไปล้างแค้นกันมา ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะอยู่อย่างสงบสุขเลย” อวิ๋นอ้าวเทียนเตือนด้วยความหวังดี

 

 

 


ตอนที่ 920

 

เหมียวอี้ย่อมขอบคุณที่เขาเตือน แต่ก็ยังไม่สงบใจนิดหน่อย “ข้ารู้ว่าพวกเขาไม่กล้าทำอย่างโจ่งแจ้ง กลัวก็แค่ว่าพวกเขาจะลักลอบทำ!”


อวิ๋นอ้าวเทียนส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเราหกปราชญ์กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ มีใครบางที่ไม่สูญเสียลูกหลานหรือว่าลูกศิษย์ ข้าสูญเสียลูกชายลูกสาวไปมากขนาดนั้น แต่จะทำอะไรพวกเขาได้ล่ะ? สถานการณ์สำคัญกว่าตัวบุคคล ถ้าจะพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือ ถ้าไม่ทนกับเรื่องเล็กน้อยก็จะทำให้แผนการใหญ่วุ่นวาย พูดให้ชัดก็คือ ถ้ากำจัดอีกฝ่ายไม่ได้ก็ทำได้เพียงทนไว้ ถ้ามัวพัวพันอยู่กับตัวละครเล็กๆ อย่าเจ้าตลอดจนสองแดนต้องฉีกหน้ากัน แบบนั้นไม่คุ้มค่าสำหรับพวกเขา เพราะเจ้าไม่ได้มีค่าขนาดนั้น จะให้ลักลอบทำก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน สรุปว่าเจ้าระวังตัวเอาไว้หน่อย ตอนที่ไปไหนมาไหนคนเดียวก็พยายามอย่าเปิดเผยเบาะแสของตัวเอง อย่าให้อีกฝ่ายมีโอกาสลอบลงมือ แล้วก็อย่าไปรนหาที่ตายถึงอาณาเขตของเขาเหมือนครั้งนี้อีก ไม่อย่างนั้นถ้ามีโอกาสพวกเขาจะต้องเล่นงานให้เจ้าตายแน่นอน”


คำพูดเหล่านี้นับว่าเป็นคติพจน์คัมภีร์ทอง เหมียวอี้กล่าวขอบคุณอีกครั้ง


“ครั้งนี้เจ้าทำให้ท่านทูตทั้งสี่ของแดนเซียนตาย มู่ฝานจวินเตรียมจะลงโทษเจ้าอย่างไร?”


“ข้าให้ดาบวิเศษนางไปแล้ว ถือว่าทำผลงานชดเชยความผิดเหมือนกัน ข้าอยู่ในตำแหน่งประมุขปราสาทต่อไปไม่ได้อีก เงื่อนไขผ่อนผันโทษที่นางเสนอก็คือ ให้ข้าโน้มน้าวให้นางเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียน แล้วก็ให้นางเป็นประมุขปราสาท ให้ข้าเป็นที่ปรึกษาลูกน้องของนาง”


“ให้น้องชิวเป็นประมุขปราสาท ส่วนเจ้าเป็นที่ปรึกษา…” อวิ๋นอ้าวเทียนพึมพำกับตัวเอง แล้วมองเหมียวอี้ด้วยสายตาแปลกๆ  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก บทจะไปก็ไปเลย ไม่ได้บอกคนในตำหนักเก้าชั้นฟ้าด้วย นำอวิ๋นเป้าออกไปจากที่นั่นโดยตรง


เหมียวอี้เชื่อฟังที่เขากำชับ เข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้าโดยอ้างว่าจะไปรายงานว่าอวิ๋นอ้าวเทียนออกไปแล้ว แล้วบอกมู่ฝานจวินว่าขอตัวอำลา มู่ฝานจวินอนุญาตแล้ว


เหมียวอี้ไม่กล้าอยู่ต่อนาน ออกมาจากที่นั่นทันที หลังจากประชุมกับประมุขถิ่นสี่ทิศและแน่ใจแล้วว่าเยารั่วเซียนออกไปแล้ว พวกเขาก็รีบออกไปพร้อมกันทันที


ขณะที่เขาเริ่มออกเดินทางกลับมา ข่าวเปลี่ยนตัวท่านทูตของสายมะโรงก็แพร่ออกไปแล้ว จงเจิ้นมารับตำแหน่งแทนแล้ว


เหล่านางบำเรอของเยว่เทียนโปที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จงเจิ้นจะรับผู้หญิงพวกนี้ของเยว่เทียนโปเอาไว้ พอมาถึงยอดเขาหยกนครหลวง เรื่องแรกที่ทำก็คือไล่ผู้หญิงพวกนี้ออกไป มู่ฝานจวินเองก็นับว่าดูแลครอบครัวของลูกน้องเป็นอย่างดี จงเจิ้นมาพร้อมกับคำสั่งของท่านปราชญ์ ว่าเหล่านางบำเรอที่สนิทสนมกันพวกนั้น สามารถตัดสินใจเองได้ว่าจะไปกับใคร ถ้าไม่มีทางไป ก็จะจัดให้เข้าไปอยู่ในสมาคมร้านค้าแดนเซียนทั้งหมด


ไม่ใช่แค่พวกเขา แต่ครอบครัวของท่านทูตทั้งสี่สายก็ถูกจัดการให้แบบนี้เช่นกัน


ข่าวระหว่างปราสาทย่อมเร็วกว่าข่าวระหว่างตำหนักอยู่แล้ว ต่อให้ยอดเขาหยกนครหลวงจะไม่ได้ปล่อยข่าวออกมา แต่ทางปราสาทดำเนินสุริยันก็ได้รับข่าวนี้แล้วเช่นกัน ท่านทูตสายมะโรงสิ้นชีวิตแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตัวการสำคัญจะเป็นเหมียวอี้ประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ทำให้คนมากมายเท่าไรตกตะลึง


หยางชิ่งที่ได้รับข่าวค่อนข้างทนไม่ไหวกับแรงปะทะแบบนี้ เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ย่างหดหู่ แล้วเอามือกุมอกพลางกล่าวทอดถอนใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าการที่เขากลับมาไม่ใช่เรื่องดีอะไร ข้ารู้อยู่แล้วล่ะ เป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่แปลกใจเลย…”


ความรู้สึกของหยางชิ่งในตอนนี้ ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว เขาโบกมือให้ชิงเหมยกับชิงจวี๋ถอยไป ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น อยากจะคิดอะไรเงียบๆ คนเดียว นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้


โชคดีที่ผ่านไปแค่ครู่เดียว  ชิงเหมยกับชิงจวี๋ก็รีบวิ่งเข้ามา มาพร้อมกับข่าวดี “นายท่านเจ้าคะ ประมุขปราสาทกลับมาแล้ว!”


หยางชิ่งลุกพรวดแล้วเดินออกไปทันที…


เมื่อกลับถึงปราสาทดำเนินสุริยันของสายมะโรง ประมุขถิ่นทั้งสี่ก็ไม่ได้เข้ามา กล่าวอำลาตั้งแต่ตอนเหาะอยู่บนฟ้าแล้ว ครั้งนี้ก่อเรื่องจนจีฮวนไม่ค่อยพอใจ ไม่อาจจะละเลยความรู้สึกของฝ่ายจีฮวนได้


พอเหมียวอี้กลับมา อวิ๋นจือชิวที่ก็รีบออกมาต้อนรับเขาที่ประตูตำหนักหลัง พอเห็นว่าเขากลับมาในสภาพสมบูรณ์ นางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สายตาที่ร้อนรนกังวลใจหายไปแล้ว


ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะมีระฆังดาราติดต่อกัน และรู้แล้วว่าเขาไม่เป็นอะไร แต่ก็ไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด ถ้ายังกลับมาไม่ถึงก็อดไม่ได้ที่จะกังวล


อวิ๋นจือชิวแต่งตัวราวกับมารดาแห่งใต้หล้าทว่างดงามเย้ายวนใจ เพราะอยู่ต่อหน้าคนนอก นางจึงเข้ามาย่อเข่าคำนับ “ยินดีต้อนรับนายท่านกลับมาค่ะ!”


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน ส่วนฉินเวยเวยก็เข้ามากุมหมัดคารวะ ถ้าเหมียวอี้ยังไม่กลับมา นางก็ไม่มีทางกลับตำหนักตัวเองอย่างสงบใจ รอฟังข่าวอยู่ที่นี่ตลอด


เหมียวอี้ผายมือเล็กน้อย แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในตำหนัก


อวิ๋นจือชิวลากกระโปรงยาวและหันตัวไปเดินข้างกายเขา หลังจากก้าวเข้าตำหนัก นางก็รับน้ำชามาวางไว้ข้างๆ เหมียวอี้ด้วยตัวเอง ก่อนจะยืนขึ้นและถามว่า “นายท่าน ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ?”


เหมียวอี้กระดกถ้วยน้ำชาลงคอ พอวางถ้วยน้ำชาลงก็หัวเราะอย่างขื่นขม “ทำท่านทูตตายไปสี่คน จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร”


อวิ๋นจือชิวรีบยกกระโปรงแล้วนั่งลงข้างๆ “อธิบายมาซิ?”


เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่อยากให้เป็นอะไรก็ง่ายมาก มู่ฝานจวินลั่นวาจามาแล้ว ขอเพียงเจ้าเป็นฝ่ายขอเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียน ตั้งแต่นี้ไปเชื่อฟังคำสั่งนาง นางก็จะผ่อนผันโทษเรื่องนี้ให้”


อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว แล้วพึมพำว่า”ก่อนหน้านี้นางเคยเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าข้ามาก่อน ข้ารู้ว่านางต้องการทำให้ท่านปู่ข้าลำบากใจ ข้าก็เลยไม่เคยตอบตกลง นึกไม่ถึงว่านางจะอาศัยโอกาสนี้… ไม่มีทางเลือกแล้ว ขอเพียงเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียนก็ได้”


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หลังจากเจ้าเข้ามาอยู่ในทะเบียนรายชื่อเซียน ข้าก็จะต้องถูกลดขั้นเป็นที่ปรึกษาของปราสาทดำเนินสุริยัน แล้วเจ้าก็เป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยันต่อ”


“นี่มันใช่เรื่องเหรอ? แบบนี้จงใจทำให้เจ้าเสียหน้ารึเปล่า?” อวิ๋นจือชิวงงมาก


เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่อย่างนั้นจะเรียว่าลงโทษได้อย่างไรล่ะ? เอาอย่างนี้นั่นแหละ เจ้ากับข้าใครเป็นประมุขปราสาทก็เหมือนกัน หลายปีที่ข้าไม่อยู่ เจ้าก็ทำหน้าที่เหมือนประมุขปราสาทไม่ใช่เหรอ”


อวิ๋นจือชิวน้ำตาคลอ เหล่ตาพลางยิ้มอย่างหยาดเยิ้ม “งั้นเจ้าจะถอนหายใจหายทำไม? ปกติผู้ชายเป็นใหญ่เหนือผู้หญิง เจ้ารู้สึกไม่พอใจเหรอที่ข้ากดเจ้าอยู่ข้างบน?”


เหมียวอี้ไอหนึ่งที ฉินเวยเวยก็อยู่ด้วยนะ พูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนนอกคงไม่ดีนัก จึงยิ้มพร้อมบอกฉินเวยเวยทันที “เวยเวย เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นประมุขปราสาทก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้าหรอก ตรงนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้าเองก็ไม่ได้กลับตำหนักเลยใช่มั้ย รีบกลับไปเถอะ”


อวิ๋นจือชิวยิ้มพลางพยักหน้า ไม่ได้รั้งให้นางอยู่ต่อ


เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ฉินเวยเวยเองก็รู้ว่าสองสามีภรรยาต้องการจะคุยเรื่องส่วนตัวกัน ถ้านางอยู่ที่นี่พวกเขาจะไม่สะดวก จึงขอตัวลากลับไป


หลังจากฉินเวยเวยไปแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รีบถามอีกว่า “หนิวเอ้อร์ เยารั่วเซียนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”


เหมียวอี้มองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังทำหน้าสีหน้าเครียดกังวล แล้วยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ครั้งนี้พ่อบุญธรรมของพวกเจ้าทำเอาข้ายับเยินเลย ก่อเรื่องหวาดเสียวมาก เกืบเอาชีวิตไม่รอดตั้งหลายครั้ง…”


เมื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ผู้หญิงทั้งสามก็อกสั่นขวัญผวา พอได้ยินว่าเหมียวอี้เล่นละครทำร้ายตัวเองจนสาหัสที่แดนโพนสวรรค์เพื่อส่งตัวเยารั่วเซียนออกไป อวิ๋นจือชิวก็ปวดใจสุดๆ ด่าเยารั่วเซียนว่าต้องโดนลงโทษสักพันดาบ


ขณะเดียวกันก็รู้สึกนับถือเหมียวอี้แล้วจริงๆ ยิ่งนับวันยิ่งพบว่าสามีตัวเองเก่งกาจ ภายใต้สถานการณ์คับขันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังช่วยเยารั่วเซียนออกไปได้ ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่ามีความสามารถ แล้วแบบไหนจะนับว่ามีความสามารถล่ะ?


หลังจากฟังจบแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็คุกเข่าพร้อมกัน “บุญคุณอันใหญ่หลวงที่นายท่านช่วยชีวิตไว้ บ่าวทั้งสองขอขอบคุณแทนท่านพ่อบุญธรรม”


เหมียวอี้ผายมือขึ้นเล็กน้อย “มันผ่านไปแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ครอบครัวเดียวกันย่อมพูดจาภาษาเดียวกัน เพียงพ่อบุญธรรมของพวกเจ้าคงเผยโฉมไม่ได้อีกแล้ว ครั้งนี้เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง เดี๋ยวข้าค่อยคิดหาทางส่งเขาไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัย อีกสามสี่วันพวกเจ้าค่อยไปหาเขาที่อู่ต่อเรือ ต้องเกลี้ยกล่อมให้เขาซ่อนตัวแต่โดยดีนะ ถ้าหนีออกไปแล้วโดนคนจับตัว ต่อให้ข้ามีสามหัวหกมือก็ช่วยเขาไม่ได้เหมือนกัน”


“เจ้าค่ะ!” ลุกขึ้นแล้วเอ่ยรับ


ฉินเวยเวยที่ออกมาจากตำหนักหลังบังเอิญปะกับหยางชิ่ง ฉินเวยเวยกำลังคำนับ แต่ในใจหยางชิ่งกลับมีไฟโกรธลุกพรึ่บ ถ่ายทอดเสียงตะคอกว่า “เจ้าเป็นสาวเป็นนาง ชอบมาอยู่ที่ตำหนักหลังของประมุขปราสาทบ่อยๆ มันใช่เรื่องถูกประเพณีเหรอ? ไม่กลัวว่าข้างนอกจะมีข่าวลือไม่ดีรึไง?”


ฉินเวยเวยก้มหน้าโดยไม่พูดอะไร นางปิดบังหยางชิ่งเรื่องที่ไปสำนักงามวิจิตรมาตลอด ถ้าพูดออกมาจริงๆ เกรงว่าจะแย่กันไปใหญ่


ด่าก็ส่วนด่า แต่พอด่าเสร็จแล้วเห็นท่าทางนางเป็นอย่างนั้น หยางชิ่งก็ทำใจไม่ลง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนลงว่า “ได้ยินว่าประมุขปราสาทกลับมาแล้วเหรอ สถานการณ์เป็นอย่างไร?”


“ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรค่ะ…” ฉินเวยเวยเล่าเรื่องที่เหมียวอี้โดนลดขั้นให้กลายเป็นที่ปรึกษา แล้วให้อวิ๋นจือชิวขึ้นเป็นประมุขปราสาทแทนให้ฟัง


“ฮูหยินเลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาท…” หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง หยางชิ่งก็โบกมือบอกให้ฉินเวยเวยกลับไปพร้อมกับตนทันที เขาเองก็ไม่เข้าพบแล้ว


เหมียวอี้โดนลดขั้น อวิ๋นจือชิวถูกเลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาท หยางชิ่งยกสองมือเห็นด้วย เพราะสมกับที่ใจเขาปรารถนามาก ถ้าปล่อยให้เหมียวอี้ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้ต่อไป เขาจะต้องใจสลายแน่นอน เขากลัวว่าตอนนี้เหมียวอี้จะอารมณ์ไม่ดี ผู้การใหญ่อย่างเขาไม่เข้าไปแสดงท่าทีอะไรแล้ว


ทางมู่ฝานจวินก็ไม่ได้ถ่วงเวลาเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวเขียนหนังสือแสดงความเต็มใจที่จะเข้าสู่ทะเบียนรายชื่อเซียน เบื้องบนอนุมัติทันที ขณะเดียวกันคำสั่งแต่งตั้งจากยอดเขาหยกนครหลวงก็มาถึงแล้ว เหมียวอี้ถูกลดขั้นเป็นที่ปรึกษาของปราสาทดำเนินสุริยัน ส่วนอวิ๋นจือชิวเลื่อนขั้นเป็นประมุขปราสาทดำเนินสุริยัน


ปราสาทดำเนินสุริยันถ่ายทอดคำสั่งนี้ลงไปเช่นกัน ประมุขตำหนักแต่ละสายมารวมตัวกันเพื่อเยี่ยมคารวะประมุขปราสาทคนใหม่ทันที ถึงแม้หลายปีมานี้อวิ๋นจือชิวจะไม่ต่างอะไรกับประมุขปราสาท ทุกคนแทบจะมองนางเป็นประมุขปราสาทแล้ว แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้ก็เป็นการขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ พิธีการที่จำเป็นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้


ประมุขตำหนักทั้งสิบสายมารวมตัวกันที่ตำหนักประชุม โอกาสแบบนี้ถ้าเหมียวอี้ไม่โผล่หน้ามาสักหน่อยก็จะฟังไม่ขึ้นแล้ว กลัวว่าคนอื่นจะนินทาว่าเข้าหน้าไม่อาย เพื่อที่จะแสดงความใจกว้างของตัวเอง นายท่านที่ตอนเป็นประมุขปราสาทแทบจะไม่ค่อยโผล่หน้ามา ครั้งนี้กลับปรากฏตัวแล้ว


เพียงแต่ตำแหน่งในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นนั่งเบื้องบน ทำได้เพียงยืนประสานมือตรงหน้าท้องอยู่เบื้องล่างอย่างว่านอนสอนง่าย ตำแหน่งยืนอยู่หน้าสุด แต่เทียบกับหยางชิ่งและเหยียนซิวที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาใต้บันไดบัลลังก์ไม่ได้


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยังคงยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของบัลลังก์เหมือนเดิม บนบัลลังก์มีอวิ๋นจือชิวที่สวมมงกุฏหงส์และแต่งกายเต็มยศนั่งอยู่ ใบหน้างามสง่าทว่าหยาดเยิ้มแพรวพราว งดงามน่าประทับใจ มีมาดของประมุขปราสาทเต็มเปี่ยม เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้ยืนอยู่เบื้องล่างแล้วมองนางอย่างนั้น แอบปวดใจนิดหน่อย ไม่ค่อยพอใจอยู่บ้าง


“คำนับประมุขปราสาท!” เหมียวอี้ยังต้องพูดคำนับตามคนอื่นๆ ด้วย


มีสายตาของคนไม่น้อยที่แอบมองปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ไม่ว่าจะโดนลดขั้นหรือไม่ ทุกคนก็ยังเคารพนับถือเขา ตอนที่ไม่เคลื่อนไหวก็หายเงียบ แต่พอเคลื่อนไหวทีก็ก่อเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ท่านทูตของแดนเซียนตายไปสี่คนในรวดเดียว ไม่โดนตัดหัวก็นับว่าดวงชะตาแข็งแล้ว


แต่การลงโทษของเบื้องบนก็เจ้าเล่ห์พอสวมควร ชัดเจนว่าต้องการให้เมียของเขากดหัวเขา แนวคิดผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า เกรงว่าจะต้องกลับตาลปัตรแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปนี้จะได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขหรือไม่


ทุกคนทยอยกันรายงานสถานการณ์ในอาณาเขตที่ตัวเองปกครอง พอถึงตาเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ตอบประโยคเดียวอย่างไม่สะทกสะท้าน “เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ ยังไม่รู้สถานการณ์”


คำพูดนี้ฟังดูเหมือนค่อนข้างปวดใจ ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรแอบกลั้นขำ แม้แต่หยางชิ่งเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเบาๆ

 

 

 


ตอนที่ 921

 

 ก่อกวน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในเมื่อไม่มีสถานการณ์จะรายงาน บอกตรงๆ ว่าไม่มีก็สิ้นเรื่องแล้ว จำเป็นต้องทำตัวพิลึกกึกกือมั้ย


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่เบื้องบนแอบเม้มริมฝีปาก เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเห็นเหมียวอี้ยืนอยู่เบื้องล่างของพวกนาง


แม้แต่อวิ๋นจือชิวเองก็หลุดขำในใจอย่างอดไม่ได้ แต่ภายนอกไม่แสดงพิรุธใดๆ ยังคงวางมาดมารดาแห่งใต้หล้าผู้สูงส่งอยู่อย่างนั้น นางเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงดังมีพลังว่า “เช่นนั้นก็ทำความเข้าใจสถานการณ์ให้มากๆ หน่อย ครั้งหน้าห้ามขายผ้าเอาหน้ารอด”


“ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดพลางลากเสียงยาวเอ่ยรับคำสั่ง


จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองหาเรื่องใส่ตัว ก่อนจะมาที่ตำหนักประชุม อวิ๋นจือชิวก็เคยเตือนแล้วว่าไม่ต้องมาก็ได้ แต่เขาดึงดันจะแสดงออกว่าตัวเองไม่เป็นไร ปรากฏว่าหลังจากมาที่นี่แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ย่อมต้องปฏิบัติตามหน้าที่ต่อหน้าทุกคน ทว่าเมื่อถูกทุกคนจ้องมองแบบนี้ กอปรกับได้รับผลกระทบจากแนวคิดผู้ชายเป็นใหญ่ เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าในใจตัวเองค่อนข้างหงุดหงิด อดไม่ได้ที่จะพูดจาแปลกๆ เพราะอยากแสดงให้ทุกคนรู้ ว่าข้าไม่ได้กลัวเมีย!


ว่ากันตามจริง อาจจะเป็นเพราะอุปนิสัยประจำตัว กล้ามาแย่งอำนาจเขางั้นเหรอ เขาถึงขั้นเกิดความคิดชั่ววูบว่าจะร่วมมือกับลูกน้องโค่นล้มประมุขปราสาทคนนี้ แต่ก็เปลี่ยนความคิดทันที เพราะนี่คือเมียตัวเองนะ… จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเป็นบ้าไปแล้ว สงสัยจะเสพติดกับการต่อสู้แล้ว!


เมื่อเห็นเขาทำตัวแปลกๆ อย่างชัดเจนแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ตีสีหน้าเครียดขรึมทันที ตะคอกถามว่า “หรือว่าเจ้ามีความเห็นแย้งที่ข้าขึ้นรับตำแหน่งประมุขปราสาท?”


เหมียวอี้เองก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป ทำลายชื่อเสียงบารมีของประมุขปราสาทต่อหน้าฝูงชนถือว่าทำเกินไปหน่อย จึงกุมหมัดตอบด้วยสีหน้าจริงจังทันที “มิบังอาจ!”


สายตาของอวิ๋นจือชิวหยุดอยู่บนหน้าของเขาครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเขาแสดงความจริงใจแล้วจริงๆ คิดไปคิดมาก็ระงับความคิดที่จะข่มเหมียวอี้เพื่อสร้างบารมีให้ตัวเองเอาไว้ แล้วพยักหน้าให้คนข้างหลัง


คนต่อไปรายงานสถานการณ์ต่อทันที ส่วนใหญ่จะสรรเสริญเยินยอด้วยความประจบ แสดงท่าทีชัดเจนว่าตัวเองตัดสินใจจะสนับสนุนแล้ว


การประชุมดำเนินมาจนถึงตอนท้าย หลังจากทุกคนส่งรายงานแล้วก็แยกย้ายกันออกไป อวิ๋นจือชิวนำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปที่ตำหนักหลังก่อน


จิตใต้สำนึกของเหมียวอี้คุ้นชินแล้ว ตามไปที่ตำหนักหลังเช่นกัน แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าผิด จึงเลี้ยวเดินออกจากตำหนักประชุมพร้อมกับคนอื่นๆ


อวิ๋นจือชิวที่เดินมาถึงตำหนักหลังหันหลังมองแวบหนึ่ง รออยู่สักพักก็ไม่เห็นเหมียวอี้ปรากฏตัว เชียนเอ๋อร์เขาใจว่านางต้องการอะไร จึงรีบออกไปที่ริมกำแพงแล้วยื่นศีรษะแอบดู แล้วกลับมารายงานว่า “นายท่านเดินออกประตูใหญ่ไปแล้ว จะให้ไปเชิญนายท่านมามั้ยเจ้าคะ?”


อวิ๋นจือชิวเม้มปากยิ้ม “พวกเจ้าอย่าไปมองนะว่าปกติเขาไม่รักในอำนาจ ที่จริงเขาเริ่มคว้าอำนาจมาไว้ในมือทางอ้อมตั้งแต่ตอนอยู่ถ้ำคล้อยบูรพาแล้ว  ก่อนหน้านี้ถึงแม้ผู้การใหญ่หยางจะมีอำนาจมาก แต่เจ้าเชื่อรึเปล่า ว่าถ้าผู้การใหญ่กล้ามีเจตนาไม่ดีแอบแฝง นายท่านต้องลงมือฆ่าทิ้งแน่ๆ ที่เขาให้ข้ากุมอาจแทนเขา ก็เพราะรู้ว่าข้าแย่งจากเขาไม่ได้ จู่ๆ เขาโดนแย่งอำนาจนี้ไป ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาจะต้องก่อเรื่องแน่ แต่ดันเป็นข้าที่เข้ามายึดครองตำแหน่งของเขา เมื่อเข้ามายืนในตำหนักแล้วพบว่าอำนาจที่กุมมาหลายปีหายไปกะทันหัน ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไรอำนาจนี้ถึงจะกลับมา คนที่กุมอำนาจจนเคยชิน แต่จู่ๆ สูญเสียไป ต่อให้เป็นคนที่ใจกว้างกว่านี้ ในใจก็รู้สึกเสียสมดุลอยู่ดี จะรู้สึกตกอับนิดหน่อย ไม่ใช่เพราะเขาเห็นความสำคัญกับอำนาจหรอกนะ แต่เป็นเพราะยังไม่ชิน ให้เวลาเขาปรับตัวสักหน่อยเถอะ” พูดจบก็นำหญิงรับใช้ทั้งสองเดินออกไป


บรรดาประมุขตำหนักที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันเพิ่งจะเดินออกจากตำหนักประชุม พอเห็นเหมียวอี้ปรากฏตัว บรรยากาศก็เงียบลงทันที ถ้าจะเรียกเขาว่า ‘ประมุขปราสาท’ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม ถ้าจะเรียกเขาว่า ‘ที่ปรึกษา’ ก็กลัวว่าเขาจะไม่พอใจอีก รู้สึกอึดอัดไปชั่วขณะ


กลับเป็นเหมียวอี้ที่เป็นฝ่ายกุมหมัดคารวะหยางชิ่งก่อน “ข้าน้อยคารวะนายท่านผู้การใหญ่!”


ก็ช่วยไม่ได้ นี่คือกฎที่เขาตั้งขึ้นมาเอง ที่นี่ผู้การใหญ่ตำแหน่งใหญ่กว่าที่ปรึกษา


หยางชิ่งอึ้งมาก คิดในใจว่า ถ้าเจ้าก่อเรื่องให้น้อยลง ก็คงไม่เกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้หรอก เขากำหมัดแห้งๆ แล้วบอกว่า “นายท่านทำแบบนี้ช่างเป็นการประหารข้าน้อยจริงๆ แกล้งทำตอนอยู่ต่อหน้าคนนอกก็พอแล้ว ตรงนี้ไม่มีคนนอก ในสายตาของทุกคน ท่านกับประมุขปราสาทยังคงมีฐานะเท่ากัน”


พอได้ยินคำพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็เบื่อหน่ายนิดหน่อย หมายความว่าอะไรที่บอกว่าข้ากับประมุขปราสาทยังคงมีฐานะเท่ากัน เดิมทีข้าเป็นประมุข แต่นางเป็นรองข้า ตกลงมั้ย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกก็ไม่มีอะไรน่าแย่งชิงกัน


“ใช่ๆๆๆ!” คนที่เหลือดันพยักหน้าตามทันที


มีเพียงฉินเวยเวยที่ยังเงียบงัน รู้สึกไม่คู่ควรแทนเหมียวอี้


เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วเก็บมือสองข้างไว้ในแขนเสื้อ รู้สึกเป็นอิสระมากทีเดียว เขาเดินลงบันไดไปช้าๆ ไปที่ลานกว้างเพียงลำพัง


หยางชิ่งรีบโบกมือบอกใบ้คนที่เหลือ แล้วพวกเขาก็รีบเหาะไปยังจวนของผู้การใหญ่ทันที


“นายท่าน!”


บนลานกว้าง เมื่อเห็นเหมียวอี้เดินเข้ามา จิ้งอิ๋งกับจิ้งลู่ก็หยุดกวาดพื้นแล้วคำนับเขา


เหมียวอี้ยิ้มพร้อมประกาศว่า “ข้าโดนเบื้องบนลดตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาแล้ว ฮูหยินรับตำแหน่งประมุขปราสาทอย่างเป็นทางการ ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกข้าว่านายท่านแล้ว”


จิ้งอิ๋งจึงยิ้มบางๆ “ที่ปรึกษาก็เป็นนายท่านเหมือนกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ”


เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ใช่แล้ว สำหรับสองคนนี้ ตัวเองยังเป็นนายท่านอยู่ อยู่ดีๆ จะไปเน้นย้ำอธิบายกับพวกนางทำไม?


เขาพบว่าสภาพจิตใจตัวเองมีปัญหา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตัวเอง แล้วก็เดินเตร่ออกไป


ขณะที่เดินเล่นอยู่ในตำหนักหรูหรากว้างใหญ่ เหมียวอี้ก็รู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้าง เริ่มตั้งแต่ถ้ำล่องนิภา สู้ตาสุดชีวิตเพื่อจะเป็นประมุขถ้ำ จนกระทั่งทุกวันนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่างเปล่า ตอนโดนลดขั้นเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพายังไม่รู้สึกอย่างนี้เลย…


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสวี่ยเอ๋อร์มาหาเขาแล้วบอกว่า “นายท่าน ฮูหยินเชิญเจ้าค่ะ”


พอทั้งสองกลับถึงตำหนักหลัง ก็เห็นบัณฑิตที่กำลังเฝ้าประตูหัวเราะเยาะคิกคักอย่างโจ่งแจ้ง เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน


เสวี่ยเอ๋อร์นำเขาไปยังตำหนักด้านข้างที่ประมุขปราสาทใช้เวลาทำงาน อวิ๋นจือชิวกำลังนั่งเขียนสรุปสถานการณ์ที่แต่ละตำหนักรายงานขึ้นมา ประมุขปราสาทที่รับตำแหน่งใหม่ต้องรายงานสิ่งเหล่านี้ขึ้นไปเบื้องบน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองคุมสถานการณ์ของที่นี่อยู่ นี่คือหนึ่งในงานที่ทำเป็นประจำ


พอเขาเข้ามา อวิ๋นจือชิวก็วางแผ่นหยกในมือลงก่อน แล้วยืนขึ้นหัวเราะคิกคักทันที นางเข้ามากอดแขนเขา “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าไปตำหนักประชุม แต่เจ้าก็ดึงดันจะไปให้ได้ ตอนนี้ในใจรู้สึกไม่ผ่อนคลายแล้วสินะ?”


“เจ้าหัวเราะเยาะข้าเหรอ?” เหมียวอี้เหล่ตามองนาง หดแขนกลับมาจากอ้อมอกนาง แล้วกุมหมัดคารวะ “ไม่มีเหตุผลที่ที่ปรึกษาจะพักอยู่ในตำหนัก ประมุขปราสาทกรุณาให้เรือนพักนอกตำหนักแก่ข้าน้อยด้วยขอรับ”


“เอ! นี่เจ้าอยากแยกกันอยู่กับข้าเหรอ! เรื่องนี้ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ขนาดเจ้าก่อเรื่องขโมยคนอยู่ข้างนอกข้ายังไม่รู้เลย” อวิ๋นจือชิวยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปากหัวเราะ แล้วหันตัวดันเขาลงไปนั่งหลังโต๊ะยาว กดเขาให้นั่งในตำแหน่งของประมุขปราสาท แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านสามีที่แสนดี ท่านสนใจใยดีชื่อเสียงอันจอมปลอมนี้ตั้งแต่เมื่อไรคะ ปกติเรื่องพวกนี้ท่านก็โยนให้ข้าช่วยทำไม่ใช่เหรอ ต่อให้ตำแหน่งข้าจะสูงกว่านี้ แต่ก็ยังเป็นฮูหยินที่คอยปรนนิบัติเจ้านายอย่างท่านอย่างซื่อสัตย์เหมือนเดิม”


เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ “ดูไม่ออกเลยนะ ลืมตอนที่ตะคอกข้าต่อหน้าคนอื่นๆ ในตำหนักใหญ่ไปแล้วเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวหัวเราะจนตัวโยน “ก็นั่นเป็นตอนที่อยู่ต่อหน้าทุกคนไง ถ้าข้าไม่มีชื่อเสียงบารมี ต่อไปข้าก็ทำงานไม่ราบรื่นน่ะสิ ตอนนี้ไม่มีคนนอกแล้ว เจ้าดูสิว่าข้าก็ยังเชื่อฟังคำพูดเจ้าแต่โดยดี”


เหมียวอี้ตอบว่า “อ๋อเหรอ” แล้วก็ทำท่าเหมือนทดสอบ เอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมสั่งว่า “เอาน้ำชามาวาง!”


อวิ๋นจือชิวกวักมือเรียกหญิงรับใช้ทั้งสองที่กำลังกลั้นขำทันที ไม่นานเชียนเอ๋อร์ก็รีบนำถ้วยน้ำชามาให้ อวิ๋นจือชิวรับมาถือเอง แล้วใช้สองมือยื่นไปตรงหน้าเขาอย่างเคารพ


เหมียวอี้ดื่มไปคำเดียว พอวางถ้วยน้ำชาลงก็บิดหัวไหล่ พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “รู้สึกไม่ค่อยสบายหัวไหล่เลย”


อวิ๋นจือชิวยิ้มพลางส่ายหน้า แต่ก็ยังเดินไปข้างหลังเขาแต่โดยดี แล้วเริ่มบีบนวดไหลให้เขา


ตรงนี้เพิ่งจะนวดเสร็จ เหมียวอี้ก็ยื่นขาออกมาข้างหนึ่ง “รู้สึกปวดขานิดหน่อย!”


อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แต่ก็ยังยกมือห้ามเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังจะเข้ามาช่วย แล้วนั่งคุกเข่าข้างเดียวตรงใต้เท้าของเหมียวอี้ กำหมัดสองข้างทุบนวดบนขาของเขาด้วยแรงที่พอเหมาะพอดี นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “เขาจงใจจะก่อกวนข้าเพื่อให้หัวใจตัวเองรู้สึกสมดุล”


เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่า “รสชาติเวลาถูกประมุขปราสาทปรนนิบัติมันดีใช้ได้เลย ยังมีรูปแบบอย่างอื่นอีกมั้ย?”


หญิงรับใช้ทั้งสองกลั้นขำทันที


อวิ๋นจือชิวที่กำลังทุบนวดขาให้เขาเงยหน้าขึ้น แล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ อย่าทำเกินไปหน่อยเลย ความอดทนของข้ามีจำกัดนะ”


เหมียวอี้กลับยื่นมือไปช้อนคางที่อ่อนนุ่มของนาง สวมมงกุฎหงส์สวยสง่าแต่กลับกำลังปรนนิบัติให้เขา ท่าทางแบบนี้ค่อนข้างเร้าใจคน อดไม่ได้ที่จะตบต้นขาแสดงเจตนา


อวิ๋นจือชิวถลึงตามอง แล้วลุกขึ้นนั่งบนตักของเขา แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะยื่นมือไปไต่บนเต้าที่อิ่มเอิบของนางโดยตรง


เพียะ! อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะตีปัดมือเขาออก แต่เขากลับจับตัวนางพลิกลงบนโต๊ะยาวแล้วกดให้นอนคว่ำ ก่อนจะเริ่มถกกระโปรงนางขึ้นมา


“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! ไม่ดูบ้างเลยว่าที่นี่ที่ไหน กลับห้องนอนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อวิ๋นจือชิวดิ้นรนต่อต้าน


“ข้าอารมณ์ไม่ดี ยังไม่เคยลิ้มลองรสชาติของประมุขปราสาทเลย เอาที่นี่นั่นแหละ”


เมื่อได้ยินเขากล่าวแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางเลิกขัดขืนแล้ว นอนหมอบบนโต๊ะยาวปล่อยให้เขาทำตามใจ ขณะเดียวกันก็เงยหน้าถลึงตาจ้องหญิงรับใช้ทั้งสอง พวกนางหน้าแดงและรีบออกไปทันที ไปเฝ้าอยู่ที่ประตูด้านนอก


บั้นท้ายกลมเกลี้ยงเกลาขาวใสที่ถูกชายกระโปรงบังไว้ครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว  ไม่นานก็ตามด้วยเสียงร้องตื่นเต้นของประมุขปราสาทคนก่อน ปิ่นทองบนมงกุฎหงส์สั่นไหว…


ไม่ว่าจะยังเป็นประมุขปราสาทหรือไม่ ในทุกๆ วันเหมียวอี้ก็ยังต้องฝึกคัดอักษรอย่างเลี่ยงไม่ได้ ประมุขปราสาทอวิ๋นเข้าครัวรับใช้ด้วยตัวเอง จากนั้นก็ควบคุมและเร่งรัดให้เหมียวอี้ไปฝึกตน


ทางด้านเยารั่วเซียน เหมียวอี้ยังไม่ไปหา ให้ผ่านไปสักระยะแล้วค่อยว่ากัน กลัวว่าจะโดนคนจับตามอง


ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงเวลาส่งส่วยแล้ว อวิ๋นจือชิวนำขบวนไปส่งส่วยที่ยอดเขาหยกนครหลวง ถึงแม้จะมาที่นี่เป็นร้อยๆ ปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาด้วยฐานะของประมุขปราสาทอย่างเป็นทางการ แต่ครั้งนี้ไม่ได้พาฉินเวยเวยมาด้วย ปล่อยให้ฉินเวยเวยอยู่เล่นหมากล้อมกับเหมียวอี้


หลังจากมาถึงยอดเขาหยกนครหลวง อวิ๋นจือชิวและประมุขปราสาทคนอื่นๆ ก็ติดตามจงเจิ้นไปยังแดนโพนสวรรค์


หลังจากมาถึงแดนโพนสวรรค์ สิ่งที่ทำให้อวิ๋นจือชิวรู้สึกแปลกใจก็คือ อันหรูอวี้ที่ก่อนหน้านี้ชอบชักสีหน้าใส่นาง ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะเป็นฝ่ายเข้ามาตีสนิทนางก่อน คำพูดคำจาอ่อนโยนมาก เหมือนมีเจตนาอยากสนิท อวิ๋นจือชิวคิดเพียงว่าเป็นเพราะคุณชายใหญ่ฮูเหยียนไท่เป่ากลับมามีอำนาจอีกครั้ง หลังจากอันหรูอวี้เสียอำนาจ สภาพจิตใจที่สูงส่งอยู่เหนือผู้อื่นจึงถูกทำลายไปด้วย


แต่หลังจากโอวหยางกวงท่านทูตสายชวดเป็นฝ่ายมาทักทายก่อนอีก ในใจอวิ๋นจือชิวก็เคลือบแคลงเหมือนโดนเมฆหมอกปกคลุมไว้ทันที


ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากปีที่ผ่านมา นางยังโดนมู่ฝานจวินเรียกให้เขาพบเหมือนเดิม


ยังคงเป็นในตำหนักนอนของมู่ฝานจวิน พอพวกบ่าวไพร่ออกไปข้างนอก อวิ๋นจือชิวก็ก้าวเข้ามาเบาๆ เห็นยอดหญิงงามคนนั้นยังนั่งปล่อยผมประบ่าเงียบๆ อยู่หน้ากระจก โฉมหน้าที่แท้จริงของปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน เรียกได้ว่าทำให้ผู้หญิงจำนวนมากมายในใต้หล้ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ อย่างน้อยอวิ๋นจือชิวก็รู้สึกทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน นางก็นับถือสายตาของท่านปู่ตัวเองในปีนั้น เพียงแต่ความงามเลิศล้ำแบบนี้ ยามปกติกลับถูกบดบังด้วยการแต่งหน้าเป็นผู้ชาย ทำให้รู้สึกเสียดายอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

 

 


ตอนที่ 922

 

 เพิ่มอีกสักคน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่านปราชญ์!” อวิ๋นจือชิวที่เดินมาถึงข้างโต๊ะเครื่องแล้วแล้วทำความเคารพ


ดวงตาหงส์ที่สวยวิจิตรลืมขึ้นอย่างช้าๆ ตอนที่ไม่มีเครื่องประดับใดๆ กอปรกับแววตาที่อ่อนโยนกว่าปกติ ท่วงทีที่สง่างามและสวยสดใสได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่ ขณะที่มองดูอวิ๋นจือชิวผ่านกระจก มู่ฝานจวินจะกล่าวทักทายเสียงเบา “นางหนูอวิ๋นมาแล้วเหรอ”


นางหนู? ข้าโตจนอายุกี่ปีแล้ว! อวิ๋นจือชิวค่อนข้างพูดไม่ออก คำเรียกนี้มักทำให้อวิ๋นจือชิวรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว เป็นเพราะมู่ฝานจวินเรียกนางแบบนี้บ่อยๆ แต่นางก็ไม่เคยชินเลย เพียงขานรับว่า “ค่ะ!”


มู่ฝานจวินพยักหน้า แล้วก็เป็นเหมือนอย่างเคย อวิ๋นจือชิวเดินมาหยิบหวีหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเริ่มหวีผมยาวสยายให้นางอย่างระมัดระวัง


ตอนที่บังเอิญเห็นมู่ฝานจวินกำลังจ้องมองสำรวจตัวเองผ่านกระจก อวิ๋นจือชิวก็รีบหลบสายตา แต่มู่ฝานจวินพูดเปิดว่า “นางหนูอวิ๋น เจ้ามีความเห็นอย่างไรกับการที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคน?”


มือของอวิ๋นจือชิวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงถามเช่นนี้ จึงตอบไปส่งๆ ว่า “ประเพณีนิยมของสังคมเป็นเช่นนี้ หัวใจของคนในใต้หล้าเป็นเช่นนี้ ภายใต้แนวคิดที่ฝังรากลึก ผู้หญิงเองก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้ค่ะ”


“อืม! พูดได้ดี” มู่ฝานจวินจ้องนางพลางถามว่า “ถ้าผู้ชายของเจ้ามีภรรยาหลายคน เจ้าจะรับได้รึเปล่า?”


อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ย่อมรับได้อยู่แล้วค่ะ เพียงแต่ผู้ชายของข้า ไม่ว่าใครก็แย่งไปไม่ได้” ในน้ำแสดงให้เห็นความมั่นใจหลายส่วน


มู่ฝานจวินพยักหน้าเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าเชื่อ ข้าเองก็ดูออก พวกเจ้าสองสามีภรรยามีความรักให้กัน… แต่สำหรับผู้ชาย ความรักกับความปรารถนาเป็นคนละเรื่องกัน ข้าได้ยินว่าข้างกายเหมียวอี้ก็มีหญิงรับใช้สองคนเหมือนกัน และได้ร่วมห้องตั้งนานแล้วด้วย อย่าบอกนะว่ายามปกติเจ้าไม่ปล่อยให้เหมียวอี้แตะต้องพวกนาง?”


อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าทำไมวันนี้นางจึงพูดโยงมาถึงเรื่องนี้ นางยิ้มพร้อมตอบว่า “ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ หญิงรับใช้ทั้งสองอยู่กับเขามาก่อนข้า ไม่ว่าจะเป็นกับข้าหรือกับเขา พวกนางก็จงรักภักดีมาก ต่อให้ระหว่างพวกเขาจะไม่ใช่สามีภรรยากัน แต่ก็มีพฤติกรรมเหมือนกับสามีภรรยา ต่อให้ข้าน้อยเห็นแก่ตัวกว่านี้ก็ไม่อาจฝืนแยกพวกเขาได้ เรื่องบางเรื่องต้องมองให้กว้างเข้าไว้ อะไรที่ผ่อนปรนได้ก็ต้องผ่อนปรน”


มู่ฝานจวินถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าพูดไม่ผิดหรอก คนเรามีชีวิตอยู่ในโลก เรื่องบางเรื่องก็ต้องมองให้กว้างเข้าไว้ ต้องมองไปข้างหน้า ถ้ามัวคิดเล็กคิดน้อยก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี เจ้าเป็นคนที่เข้าใจหลักการเหตุผลชัดเจน นางหนู ถ้าข้าจะประทานอนุภรรยาให้เหมียวอี้อีกสองคน เจ้าจะยินยอมรึเปล่า?”


ในชั่วพริบตาเดียว อวิ๋นจือชิวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนางจึงโยงมาถึงเรื่องนี้ได้ อดไม่ได้ที่จะชะงักอยู่อย่างนั้น มองดูตัวเองในกระจกอย่างค่อนข้างตกตะลึง


ล้อเล่นอะไรกัน ต่อให้เป็นผู้หญิงที่ใจกว้างกว่านี้ แต่ก็รับไม่ได้ที่ข้างกายผู้ชายของตัวเองจะมีผู้หญิงแปลกหน้าเพิ่มเข้ามา


มู่ฝานจวินจ้องมองนางผ่านกระจก “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ถ้าเจ้ายินยอม ข้าก็จะประทานให้เขาสองคน แต่ถ้าเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็ไม่ฝืนใจเหมือนกัน แค่ถามความเห็นของเจ้าเท่านั้น ข้าเองก็เป็นผู้หญิง ไม่ฝืนใจเจ้าด้วยเรื่องแบบนี้แน่นอน และไม่อยากเห็นเจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ด้วย”


ก็ต้องไม่ยินยอมอยู่แล้วล่ะ! ผู้หญิงที่ไหนจะยินยอมกับเรื่องแบบนี้ล่ะ ถ้าเป็นไปได้ อวิ๋นจือชิวก็อยากจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ แม้แต่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ต้องมีอยู่ถึงจะดี! แต่นางก็รู้ว่ามู่ฝานจวินพูดแบบนี้จะต้องมีสาเหตุแน่ จึงถามอย่างสงสัยว่า “สองคนเหรอคะ?”


นางแปลกใจนิดหน่อย เจ้าบอกว่าจะประทานให้คนเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องประทานให้สองคน?


“อืม!” มู่ฝานจวินพยักหน้า “สองคน จะบอกว่าคนเดียวก็ได้ จะบอกว่าสองคนก็ไม่ผิด ถึงอย่างไรก็เป็นคนเป็นๆ คู่หนึ่ง ลูกสาวฝาแฝดของอันหรูอวี้ลูกศิษย์ข้าเอง ตอนแรกข้าก็เคยบอกเรื่องข่าวลือระหว่างเหมียวอี้กับพวกนางให้เจ้ารู้ ข้าไปยืนยันเรื่องนี้กับอันหรูอวี้มาแล้ว พวกเขาเคยมีความสัมพันธ์กันจริงๆ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้เหมียวอี้ไม่ใช่คนผิด…”


นางพูดเรื่องที่เหมียวอี้โดนขืนใจได้อย่างไม่รำคาญใจ แต่อวิ๋นจือชิวเรียกได้ว่าฟังแล้วกัดฟันกรอด ใช่ว่านางจะไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่พอได้ยินแล้วไม่สบอารมณ์ รู้สึกเลี่ยนในใจ รอจนกระทั่งมู่ฝานจวินเล่าเสร็จ อวิ๋นจือชิวก็บอกว่า “ข้าเคยถามเหมียวอี้เรื่องนี้แล้ว เขาสารภาพกับข้าแล้วค่ะ”


“อ้อ! งั้นก็ถือว่าข้าพูดมากไปก็แล้วกัน เจ้าเองก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่สำนักงามวิจิตรมาแล้ว สาเหตุที่อันหรูอวี้วางแผนทำร้ายเขา ก็เป็นเพราะเรื่องลูกสาวของนาง เจ้าเองก็รู้ถึงประเพณีค่านิยมของโลกนี้ ถ้าให้ลูกสาวนางไปแต่งงานกับคนอื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายคนอื่น ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าชาตินี้จะได้เงยหน้าอ้าปาก ถ้าจะไม่แต่งงานไปตลอดชีวิตเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ อันหรูอวี้ก็วุ่นวายใจไปทั้งชาติเหมือนกัน กับเรื่องแบบนี้ สำหรับคนเป็นแม่มันคือความทุกข์ที่ไม่อาจแก้ได้ เรื่องที่สำนักงามวิจิตร ข้าต้องลงโทษนางแน่นอน เวลาหนึ่งหมื่นปีที่ฮูเหยียนไท่เป่ายืนหันหน้าเข้ากำแพงเพื่อสำนึกผิด เวลาที่เหลือก็ให้นางมารับช่วงต่อ ส่วนโอวหยางกวงท่านทูตสายชวดก็ควรลงจากตำแหน่ง แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นลูกศิษย์ข้า หลายปีมานี้ต่อให้ไม่ได้สร้างผลงานแต่ก็ลำบากทำงาน เป็นไปไม่ได้ที่อาจารย์อย่างข้าจะไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้พวกเขา ถ้าแม้แต่ลูกศิษย์ตัวเองยังเอาใจออกห่าง ต่อไปก็คงไม่มีใครทำงานให้ข้าแล้ว ดังนั้นเรื่องชีวิตการแต่งงานของลูกสาวนาง ข้าจึงรับผิดชอบให้ทั้งหมด ที่ตอนนี้ยังไม่ทำโทษพวกเขา ก็เพื่อให้เกียรติลูกสาวของนางก่อนแต่งงาน หลังจากแต่งงานแล้วก็ต้องรับการลงโทษ นางหนูอวิ๋น ข้าพูดถึงขั้นนี้แล้วเจ้าต้องแสดงความเห็นสักหน่อยแล้วนะ!”


ก็เจ้ารับปากไปแล้ว ยังจะมาถามข้าทำไมอีกล่ะ? อวิ๋นจือชิวหงุดหงิดใจมาก กลับคิดว่าสิ่งที่มู่ฝานจวินบอกว่าขอความคิดเห็นจากนาง เป็นเพียงการแสร้งทำเท่านั้น ไม่เหลือทางไว้ให้นางปฏิเสธเลย น้องสาวของเหมียวอี้ถูกบีบอยู่ในมืออีกฝ่าย… นางถามอย่างสับสนมากว่า “ลูกสาวของคุณชายรอง จะให้แต่งมาเป็นอนุภรรยาได้อย่างไรคะ”


“ถ้าไม่ให้เป็นอนุภรรยาแล้วจะให้เป็นอะไรล่ะ? จะให้เจ้าถอยออกจากตำแหน่งภรรยาเอกเชียวหรือ? แบบนั้นข้าไม่ตอบตกลงหรอก!” มู่ฝานจวินยื่นมือไปกุมมือนางเอาไว้ แล้วใช้มือีกข้างลูบหลังมือนางเบาๆ “นางหนู เมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกเอง เรื่องบางเรื่องต้องมองให้กว้างเข้าไว้ อนุภรรยาแค่สองคนเท่านั้น เข้าไปอยู่ในบ้านเจ้าก็ต้องเชื่อฟังเจ้าอยู่ดี เจ้าต่างหากที่เป็นนายหญิงที่แท้จริง พวกนางสองคนเชื่อฟังเจ้า โอวหยางกวงกับฮูหยินก็ต้องไว้หน้าเจ้าเช่นกัน ในภายหลังก็จะช่วยเหลือเจ้าได้เยอะ ไม่คุกคามตำแหน่งของเจ้าหรอก เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงลดขั้นเหมียวอี้ให้เป็นที่ปรึกษาของประมุขปราสาทอย่างเจ้าล่ะ? ก็เพราะไม่อยากให้มีคนมาคุกคามตำแหน่งเจ้าบ้านของเจ้า สาเหตุที่ข้ายังไม่แต่งตั้งท่านทูตสายมะโรง ก็เพราะจะเก็บไว้ให้เจ้าไง ต่อไปนี้เจ้าคือผู้มีอำนาจตัดสินใจของบ้านนั้น เรื่องหลงเมียน้อยกำจัดเมียหลวงจะไม่เกิดขึ้นกับเจ้าแน่นอน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นหลานสาวของอวิ๋นอ้าวเทียน ให้เจ้าเป็นท่านทูตของแดนเซียนคงไม่เหมาะ แต่ถ้าเหมียวอี้แต่งงานกับลูกสาวของลูกศิษย์ข้า แบบนั้นก็พอฟังขึ้นแล้ว มีความสัมพันธ์กับข้าทางอ้อมแบบนี้แล้ว ถ้าให้เจ้าเป็นท่านทูต คนอื่นก็ว่าอะไรไม่ได้ อย่างน้อยสองพี่น้องตระกูลอันกับโอวหยางกวงก็ต้องสนับสนุนเจ้าแน่นอน นางหนู ข้าตั้งใจจะสนับสนุนเจ้า ข้าคิดทบทวนอย่างหนักเลยนะ เจ้าดูไม่ออกเชียวหรือ?”


คิดทบทวนอย่างหนัก? เจ้ามีเจตนาดีที่จะสนับสนุนข้าขนาดนั้นเลยเหรอ? อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก ในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงมาตีสนิทตน จึงแข็งใจบอกไปว่า “ข้าไม่สนใจตำแหน่งชื่อเสียงพวกนั้นหรอกค่ะ เรื่องนำสามีตัวเองมาแลกกับตำแหน่ง ข้าทำไม่ลงหรอกค่ะ”


“เหลวไหล! ใครบอกว่าว่านำสามีเจ้ามาแลกกับตำแหน่งของเจ้า? นี่เป็นงานสมรสที่ข้าประทานให้!” มู่ฝานจวินทำหน้าเคร่งขรึมทันที จับมือนางไว้แน่น เอียงหน้ามองนาง พร้อมกล่าวด้วยสายตาคมกริบ “นางหนู ผู้ชายน่ะพึ่งพาไม่ได้ทั้งนั้น สุดท้ายเจ้าก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ภูมิหลังของเจ้าได้กำหนดแล้วว่าเจ้าจะใช้ชีวิตธรรมดาไม่ได้ ปฏิเสธแนวคิดชายเป็นใหญ่เหมือนที่ปู่เจ้าสอนซะ ใครบอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะต้องโดนผู้ชายควบคุมไปทั้งชีวิต? ในเมื่อเจ้ามาอยู่ข้างกายข้าแล้ว ข้าไม่มีทางให้เจ้าใช้ชีวิตธรรมดาต่อไปหรอก ตำแหน่งท่านทูตนี้ เจ้าไม่อยากเป็นก็ต้องเป็น เอาตามนี้แล้วกัน!”


อวิ๋นจือชิวอยากจะบอกมากว่า ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านปูข้าไม่มีทางอยู่ร่วมกับเจ้าได้ ในโลกนี้มีผู้ชายคนไหนทนรับผู้หญิงประเภทนี้ได้บ้าง ต่อให้เจ้าจะสวยกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์


ทว่านางก็ไม่กล้าพูดคำนี้ออกไป เพียงกัดฟันตอบว่า “เรื่องนี้ข้าตอบตกลงไปก็ไม่มีประโยชน์ ยังต้องถามความเห็นเหมียวอี้ค่ะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนรับอนุภรรยา หากเขาไม่ชอบ บังคับไปก็ไม่มีประโยชน์” ถึงแม้จะไม่ได้ต่อต้านอย่างแข็งกร้าว แต่ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะตัดสินใจได้


มู่ฝานจวินถามกลับ “ข้างกายมีผู้หญิงเพิ่มขึ้น เจ้าคิดว่ามีผู้ชายคนไหนไม่ชอบบ้าง? ลูกสาวของอันหรูอวี้หน้าตางดงามใช้ได้เลย ฝาแฝดคู่หนึ่งที่รูปโฉมงดงามดุจดอกไม้ไปเป็นอนุภรรยาเขา เป็นวาสนาทางความรักที่คนอื่นไขว่คว้าไม่ได้ ต่อให้เป็นแค่ความฝัน ก็เกรงว่าเขาจะแอบดีใจ เจ้าเอาความกล้าจากไหนมารับประกันว่าเขาจะไม่ชอบ?”


อวิ๋นจือชิวหน้าซีดทันที ใช่แล้วล่ะ นางเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าเหมียวอี้จะไม่ชอบ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนางไม่อยากยอมรับ เป็นนางเองที่ช่วยพูดแทนเหมียวอี้ว่าไม่ชอบ


นางยกมือขึ้นช้าๆ เริ่มหวีผมให้มู่ฝานจวินอย่างช้าๆ


มู่ฝานจวินเองก็ไม่ได้กดดันนางมากเกินไป เพราะรู้ว่าต่อให้นางไม่ตอบตกลงก็ต้องตอบตกลง


หลังจากเงียบไปนาน สุดท้ายอวิ๋นจือชิวก็เอ่ยว่า “ข้าน้อยตอบตกลงก็ได้ค่ะ เพียงแต่ข้าน้อยมีเรื่องจะขอร้องหนึ่งอย่าง”


“ว่ามา!” มู่ฝานจวินกล่าวตรงๆ


“นอกจากฝาแฝดคู่นั้นแล้ว บวกเพิ่มไปอีกสักคนได้มั้ยคะ ท่านปราชญ์ได้โปรดประทานงานสมรสให้พร้อมกันเลย!”


“บวกเพิ่มอีกคนเหรอ?” มู่ฝานจวินแปลกใจมาก นางกำลังจ้องมองคนในกระจก คิดไม่ตกไปชั่วขณะว่าหมายความว่าอย่างไร แต่ไม่นานก็เข้าในใจทันที จึงกล่าวว่า “เจ้ากังวลว่าภูมิหลังของสองฝาแฝดจะทำให้เจ้าควบคุมพวกนางไม่ไหว จึงอยากจะเพิ่มอีกสักคนมาสร้างสมดุลเหรอ? อืม! คิดได้แบบนี้ก็ถูกต้องแล้ว เจ้าเป็นคนมีความตั้งใจ นี่คือท่าทีของผู้ที่ควบคุมดูแลบ้านควรจะมี ข้าตอบตกลงเจ้า!”


อวิ๋นจือชิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผู้หญิงประเภทนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็สามารถคิดโยงไปถึงหนทางของตัวเองได้ และนับถือนางจริงๆ ไม่แปลกใจที่ท่านปู่ข้าทิ้งเจ้า…


เมื่อกลับถึงปราสาทดำเนินสุริยัน บัณฑิตที่เฝ้าประตูตำหนักหลังก็เปิดค่ายกลแปดทิศ ช่างไม้กับช่างหินหามเกี้ยวเข้ามาในตำหนักหลัง


เมื่อวางเกี้ยวลง อวิ๋นจือชิวเพิ่งก้าวออกมาจากเกี้ยว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็เข้ามาคำนับแล้ว อวิ๋นจือชิวมองไปรอบๆ แล้วถามส่งเดชว่า “นายท่านล่ะ?”


“นายท่านกำลังฝึกตนค่ะ” เชียนเอ๋อร์ตอบ


อวิ๋นจือชิวแปลกใจทันที “ข้าให้ประมุขตำหนักฉินอยู่เล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนนายท่านไม่ใช่เหรอ?”


เชียนเอ๋อร์ตอบว่า “หลังจากประมุขปราสาทไปได้ไม่นาน ผู้การใหญ่หยางก็ส่งคนมาเชิญประมุขตำหนักฉินไปหา แล้วนายท่านก็ไปฝึกตนเจ้าค่ะ”


“เจ้าไปดูซิว่าประมุขตำหนักฉินยังอยู่ที่จวนผู้การใหญ่รึเปล่า ถ้ายังอยู่ ก็เชิญนางมาพบข้าหน่อย ข้ามีธุระจะคุยกับนาง” อวิ๋นจือชิวพูดทิ้งไว้แล้วเดินเข้าตำหนักทันที


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง พบว่าวันนี้นางเหมือนจะมีปฏิกิริยาต่างไปจากปกติ


ประตูหินของห้องสมาธิฝึกตนถูกผลักออกโดยอวิ๋นจือชิว ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ เห็นเพียงเหมียวอี้ที่กำลังนั่งกุมแสงสีแดงสองกลุ่มในฝ่ามือพลันลืมตา


เมื่อเห็นนางบุกเข้ามา เหมียวอี้ก็ค่อยๆ หยุดฝึกวิชา แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เป็นอะไรไป? โมโหอะไรมา?” เขาเองก็ดูออกว่าสีหน้าของอวิ๋นจือชิวดูไม่ดีเท่าไร

 

 

 


ตอนที่ 923

 

 ถือกระบี่เล่นหมากล้อม

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทำสีหน้าดีๆ ได้ก็แปลกแล้ว! นางสะบัดกระโปรงยาว นั่งลงข้างกายเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิ แล้วถามว่า “คิดหาทางพาน้องสาวเจ้าออกไปจากข้างกายมู่ฝานจวินได้มั้ย?”


“…” เหมียวอี้ตะลึงนิดหน่อย แล้วถามหยั่งเชิงอย่างค่อนข้างลำบากใจ “ไปแดนโพ้นสวรรค์มาครั้งนี้… เจ้าสามทำให้เจ้าไม่พอใจอีกแล้วเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวเอียงตัวทันที หนุนศีรษะไว้บนไหล่ของเขา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เอาแต่โดนมู่ฝานจวินบีบจุดอ่อนแบบนี้ ข้าเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว”


เครื่องประดับเกะกะบนศีรษะนางจิ้มจนเหมียวอี้ไม่สบายหน้าและคอ เขาเอียงหน้าพลางถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ทำไมข้าจะไม่อยากทำล่ะ แต่มู่ฝานจวินเหมือนจะแน่ใจแล้วว่าข้าพานางไปไม่ได้ หากมีความเป็นไปได้แม้เพียงนิดเดียว มู่ฝานจวินคงคงไม่หละหลวมกับนางแบบนี้หรอก ครั้งก่อนที่อยู่แดนโพ้นสวรรค์ ข้าถึงขั้นเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะจับตัวนางไปเสียเลย มู่ฝานจวินนั่นไม่ธรรมดา เจ้าอย่าไปมองนะว่านางเป็นแค่ผู้หญิง ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามู่ฝานจวินยังเหลือแผนสำรองอะไรไว้อีก ข้ากลัวเจ้าสามจะติดร่างแหไปด้วย เลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ทำไมล่ะ มู่ฝานจวินกลั่นแกล้งเจ้าเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวลุกนั่งตัวตรง มองเขาแล้วพยักหน้าแรงๆ  “แค่กลั่นแกล้งซะที่ไหนล่ะ นางทำให้ข้าโมโหจนแทบทนไม่ไหว นางให้ข้าเป็นท่านทูตสายมะโรง”


“…” เหมียวอี้เบิกตาโพลงครู่หนึ่ง “นายท่านประมุขปราสาท นี่เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย? จริงหรือหลอก?”


“จริงสิ คาดว่าคงจะได้รับตำแหน่งเร็วๆ นี้”


“เหอะๆ! เถ้าแก่เนี้ย ถึงแม้พวกเราจะไม่สนใจตำแหน่งนี้ แต่เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนะ! มีอะไรน่าโมโห?”


อวิ๋นจือชิวยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาเกยบนบ่าเขา บิดหูเขาอย่างยั่วโมโห แล้วเดาะลิ้นพูดว่า “เจ้ายังลิ้มลองรสชาติของประมุขปราสาทไม่ถึงอกถึงใจ ยังอยากจะลิ้มลองรสชาติของท่านทูตด้วยใช่มั้ยล่ะ?” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้… รสนิยมของท่านสามีก็ทำให้นางหน้าแดงนิดหน่อย ท่านสามีเหมือนจะมีรสนิยมแบบนี้ ชอบที่จะอาศัยฐานะความเป็นลูกน้องของตัวมาสยบผู้บังคับบัญชาอย่างนาง แล้วต้องทำในสถานที่ที่พิสูจน์ฐานะของนางด้วย พอนึกถึงภาพนั้นแล้วรู้สึกเสียหน้าจริงๆ


ตอนที่นางไม่พูดก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะกวาดมองนางตั้งแต่ศีรษะจดเท้าด้วยสายตาชั่วร้าย


“เชอะ! คิดไปถึงไหนแล้ว” อวิ๋นจือชิวเชิดใส่ แล้วผลักหน้าเขาออกไป จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วหมอบลงบนบ่าเขาอีก


เหมียวอี้ยื่นมือไปโอบเอวบางของนาง แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป? ก็แค่เป็นท่านทูตเอง แค่ไปรับตำแหน่งสิ้นเรื่อง ข้าไม่อิจฉาหรอก ถ้าเจ้าแย่งตำแหน่งของมู่ฝานจวินได้ข้าก็ยิ่งดีใจ” เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ ความรู้สึกหดหู่ยามสูญสิ้นอำนาจก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน


“ไม่ใช่เรื่องนี้”


“แล้วเรื่องไหนล่ะ?”


“ข้าอยากจะซ้อมเจ้าสักยก ให้ข้าซ้อมเจ้าสักยกได้มั้ย?”


เหมียวอี้สีหน้าบึ้งตึงทันที รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ จึงเตือนว่า “อวิ๋นจือชิว มารดาเจ้าเถอะ เจ้าเป็นบ้ารึเปล่า ข้าไม่ได้ไปยั่วโมโหอะไรเข้าใช่มั้ย?”


นิ้วงามนิ้วหนึ่งจิ้มที่หน้าผากของท่านขุนนางเหมียว “ไม่มีมโนธรรม ตอนนี้รังเกียจที่ข้าเป็นคนบ้าซะแล้วเหรอ ตอนเปิดกระโปรงข้า ถอดกางเกงข้า ทำไมไม่รังเกียจที่ข้าเป็นคนบ้าบ้างล่ะ?”


เรื่องบางเรื่องแค่ทำก็พอแล้ว พูดออกมาแล้วน่าอาย เหมียวอี้ถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าเป็นฮูหยินของข้า ถ้าไม่ให้เปิดกระโปรงเจ้าแล้วจะให้เปิดกระโปรงใคร?”


“อย่ามาไม้นี้เลย! ลองไปถามเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ หรือไม่ก็ลองไปถามฝาแฝดคู่นั้นดูสิ? ใครจะไปรู้ว่าเจ้ายังมีผู้หญิงคนอื่นปิดบังข้าอีกรึเปล่า”


เหมียวอี้หน้ามืดหน้าดำทันที “ถ้าพูดเรื่องฝาแฝดอีก ข้าจะแตกคอกับเจ้าแล้วนะ!”


“ก็ได้ๆๆ ไม่พูดถึงพวกนางแล้ว ข้าจะจำไว้ เจ้าไม่ให้ข้าพูดเองนะ!” อวิ๋นจือชิวเงยหน้ามองเขา แล้วหมอบบนบ่าเขาพร้อมบ่นต่อไป “หนิวเอ้อร์ ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้า เวลาข้าหาเรื่องโดยไร้เหตุผล เจ้าก็เลยไม่ถือสาข้า เจ้าไม่รู้หรอก ทุกครั้งหลังจากที่ข้าหาเรื่องแล้วเจ้ายอมข้า ในใจข้ารู้สึกดีมากนะ ต่อให้เป็นในฝันก็มีความสุข แต่ข้าก็กลัวมาก… หนิวเอ้อร์ จะมีวันไหนที่เจ้าจะเลิกชอบข้ารึเปล่า?”


“ไม่มีทาง!” มือของเหมียวอี้ไหลจากเอวลงไปที่บั้นท้าย


“จริงเหรอ?”


“จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว!”


“งั้นข้าก็จะลองดู!” อวิ๋นจือชิวบอกเขาก่อน เหมียวอี้ที่มือไม้กำลังซุกซนยังไม่ทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มือของผู้หญิงคนนี้ก็ย้ายจากแผ่นหลังขึ้นมาดึงมวยผมเหมียวอี้แล้ว ดึงจนเขาตกลงมาจากเตียง แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง ควงหมัดยกเท้าซ้อมเขาไปยกหนึ่ง


เหมียวอี้กำลังโดนซ้อมจนล้มลุกคลุกคลาน คำรามอย่างบ้าคลั่งว่า “นางผู้หญิงบ้า เจ้าบ้าไปแล้ว…”


ปั้งๆ! ตุ้บตั้บ! โครม…


อวิ๋นจือชิวเหมือนระบายความโกรธแค้นจริงๆ ออกแรงเพิ่มทั้งเท้าทั้งหมัด ซ้อมไปพลางด่าไปพลาง “ข้าให้เจ้าย่ำยีดอกไม้ ข้าให้เจ้าย่ำยีดอกไม้ริมทางไปทั่วเลย…”


“ฮูหยิน!” ประตูห้องสมาธิเปิดออก เชียนเอ๋อร์ที่พรวดพราดเข้ามาร้องอุทาน


อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วเตะเหมียวอี้อีกครั้งก่อนจะหยุด


เหมียวอี้กระโดดลุกขึ้น แล้วจ่อหมัดไปที่หน้าของอวิ๋นจือชิว


อวิ๋นจือชิวไม่หนีไม่หลบ ยื่นใบหน้างามเข้ามารับทันที เป็นฝ่ายเสนอหน้าให้เขาชก


“เจ้า…” หมัดแทบจะลงบนหน้านาง แต่กลับหยุดค้างเสียดื้อๆ ท่านขุนนางเหมียวแยกเขี้ยวยิงฟันทำสีหน้าดุร้าย แล้วจู่ๆ หมัดก็เปลี่ยนเป็นยื่นนิ้ว ชี้นิ้วจ่อจมูกนาง “ไม่มีทางอยู่กันดีๆ ได้หรอก ข้าจะเลิกกับเจ้า!”


อวิ๋นจือชิวยิ้มยั่วเย้า แล้วจู่ๆ ก็เข้ามากอดจูบเขาอย่างแรงทีหนึ่ง เหมียวอี้ที่โดนจู่โจมผลักนางออก ยกมือเช็กตรงที่โดนนางจูบ ทำเหมือนขยะแขยงสุดๆ


อวิ๋นจือชิวที่เซไปข้างหลังไม่สนใจ กลับเป็นการกวาดล้างความหงุดหงิดก่อนหน้านี้ทิ้งไปเสียด้วยซ้ำ นางมองเขาอย่างออเซาะ ในแววตาเต็มไปด้วยความหวานปานน้ำผึ้ง อารมณ์เปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่าแล้ว นางหันตัวมองไปทางเชียนเอ๋อร์ที่เดินเข้ามา แล้วถามว่า “มีอะไร?”


เชียนเอ๋อร์มองทั้งสองด้วยสายตาสงสัยนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ฮูหยิน เชิญประมุขตำหนักฉินมาแล้วค่ะ”


อวิ๋นจือชิวรีบไปช่วยจัดเสื้อของเหมียวอี้ให้เรียบร้อย ที่เพิ่งลงมือเมื่อครู่นี้จากไม่ได้ตบหน้าเขา แต่เขาก็ยังไม่รับไมตรี ตะคอกอย่างโมโหว่า “ไสหัวไป!”


อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็เอียงศีรษะบอกใบ้ให้เชียนเอ๋อร์ไปช่วยเขาจัดเสื้อผ้า ส่วนนางก็จัดกระโปรงตัวเอง ตอนลงมือเมื่อครู่นี้ทำให้เสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบ


หลังจากทั้งสองจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อย อวิ๋นจือชิวก็ก้าวขึ้นมาคว้ามือเหมียวอี้ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หนิวเอ้อร์ อย่าโมโหเลย แขกมาแล้ว ไปพบแขกด้วยกันเถอะ!”


“ไปให้พ้น! มีแต่ผีน่ะสิที่ไปกับเจ้า!” เหมียวอี้ยังไม่หายโมโห


“เอ๋!” อวิ๋นจือชิวเดาะลิ้น “ยังมาใส่อารมณ์อีกเหรอ อารมณ์แบบนี้สู้กับอารมณ์ตอนดึงกระโปรงข้าได้เลยนะ!”


เชียนเอ๋อร์รีบก้มหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เหมียวอี้แยกเขี้ยวยิงฟัน เกิดความรู้สึกเหมือนโดนทรมานจนยับเยิน อยากจะโผเข้าไปบีบคอผู้หญิงคนนี้ให้ตาย


“หนิวเอ้อร์ เจ้าอย่ากังวลไปเลย เอาอย่างนี้แล้วกัน เราสองคนมาเดิมพันกัน ถ้าข้าชนะแล้ว ต่อไปเจ้าก็เชื่อฟังข้ามากขึ้นหน่อย ถ้าเจ้าชนะแล้ว ต่อไปถ้าเจ้าจะทำอะไร ไม่ว่าจะถูกหรือผิดข้าก็จะตามใจเจ้า แบบนี้ดีมั้ย?” อวิ๋นจือชิวช้อนคางเขาอย่างท้าทาย


“เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงเหรอ?” เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามอย่างแค้นเคือง “เดิมพันอะไร?”


อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม แล้วบอกว่า “เดิมพันสิ่งที่เจ้าถนัดที่สุด เล่นหมากล้อม!” พูดจบก็สะบัดกระโปรง เดินสาวเท้าออกไป


“หึ…” เหมียวอี้ชี้เงาหลังนาง พร้อมแสยะยิ้มให้เชียนเอ๋อร์ เหมือนกำลังบอกว่า ไม่รู้จักเจียมตัวเลย


ขณะที่มองเหมียวอี้ตามออกไป เชียนเอ๋อร์ก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี


ในโถงหลัก ฉินเวยเวยกำลังนั่งรออยู่ด้านข้าง อวิ๋นจือชิวที่รีบเดินออกมาหวาดตามองแวบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างแพรวพราว “น้องสาวมาแล้วเหรอ”


“พี่สาว!” ฉินเวยเวยรีบลุกขึ้นยืน


ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ เหมียวอี้ก็ตามออกมาแล้ว ดึงแขนอวิ๋นจือชิวพร้อมบอกว่า “อย่าหนีสิ! พูดมาให้ชัดเจน ที่เดิมพันเมื่อกี้นี้เจ้ารักษาคำพูดรึเปล่า?”


“รักษาคำพูดอยู่แล้ว!” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองเขา พลางกล่าวอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด


ฉินเวยเวยยังไม่รู้ชัดว่าทั้งสองพูดเรื่องอะไร เหมียวอี้ก็หันกลับไปตะโกนบอกเสวี่ยเอ๋อร์แล้ว “วางกระดานหมากล้อม!”


ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ก้าวเข้ามาจูงมือฉินเวยเวย พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “น้องสาวอยู่ที่นี่พอดีเลย มาเป็นพยานให้พอดี มานี่สิ นั่งลงดูด้วยกัน!”


พอวางกระดานหมากล้อม พวกเขาก็นั่งประจำที่ พอเจอกับการประลองหมากล้อม เหมียวอี้ก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน วางมาดสูงส่ง กล่าวอย่างลำพองใจว่า “อวิ๋นจือชิว เล่นเป็นรึเปล่า เล่นไม่เป็นก็ยอมแพ้ อีกประเดี๋ยวถ้าแพ้แล้วอย่ามาอ้างว่าเล่นไม่เป็นนะ”


อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วเรียวงาม พร้อมพูดแดกดัน “เล่นหมากล้อมกับเจ้าน่ะ หลับตาเล่นก็ยังชนะเลย ข้าไม่อยากรังแกคนเล่นหมากล้อมแย่อย่างเจ้าเฉยๆ หรอก ให้เจ้าลงหมาก่อนยี่สิบตัวเลย!”


“หึหึ! ให้ข้าลงยี่สิบตัวเหรอ? ไม่รู้จักประเมินกำลังตัวเอง ช่างโอ้อวดนัก ต้องเดิมพันอย่างยุติธรรมหน่อยสิ อย่าแพ้แล้วเบี้ยวนะ”


“ใครเบี้ยวก็จอให้คนนั้นออกลูกมาไม่มีรูก้น!” อวิ๋นจือชิวพูดจบก็รู้สึกว่าพูดผิดไป ไม่ว่าจะด่าอย่างไรก็เหมือนด่าตัวเอง รีบหันข้างแล้วถ่มน้ำลายสามครั้ง


เหมียวอี้พูดเหน็บแนมทันที “ขนาดพูดยังพูดไม่คล่องเลย ยังจะมาเล่นหมากล้อมอีก!”


อวิ๋นจือชิวถลึงตาพูดว่า “อย่าเปลืองคำพูดเลย! ข้าให้เจ้าลงก่อน!”


เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ คนมันกำลังคันไม้คันมือ อยากจะทรมานอีกฝ่ายคืนบนกระดานหมากล้อม พอเขาตบหมากลงไปตัวหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็วางหมากตามทันที


ฉินเวยเวยที่อยู่ข้างๆ กลับอดไม่ได้ที่จะถามเสียงอ่อนปวกเปียก “พี่สาว ท่านเป็นหมากล้อมเป็นเหรอคะ?”


อวิ๋นจือชิววางหมากลงไป แล้วมองนางพลางยิ้มอย่างสนิทสนม ถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายลึกซึ้งว่า “เจ้าเดาดูสิ?”


ดวงตาฉินเวยเวยฉายแววหวาดระแวงทันที นางไม่กล้าเดา สายตาย้ายไปอยู่บนกระดานหมากล้อมเพื่อหาคำตอบ ยิ่งดูก็ยิ่งกังวลใจ ตอนนี้ประสานสองมือเข้าด้วยกันแล้ว


ผ่านไปไม่นานนัก เหมียวอี้ก็ระเบิดอารมณ์แล้ว เขาตบโต๊ะพลางด่าฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าเล่นหมากล้อมเป็นหรือเปล่า เจ้าลงแบบนี้…”


เสียงด่าพลันหยุดชะงัก ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นจือชิวจะชักกระบี่วิเศษด้ามหนึ่งออกมา แล้วจ่อไปที่หน้าอกของเขาโดยตรง นางเตือนว่า “หนิวเอ้อร์ อย่างเจ้านี่เรียกว่าเป็นโรคอะไร? เจ้าต้องมากำหนดด้วยเหรอว่าข้าต้องลงหมากอย่างไร? คู่ต่อสู้บังคับคู่ต่อสู้ เจ้าเคยเห็นใครเขาลงหมากกันแบบนี้บ้าง? เจ้าจะลงหรือไม่ลง?”


คมกระบี่จ่อที่ผิวหนังตรงหน้าอกจนเป็นแผลแล้ว เหมียวอี้ที่กำลังเจ็บปวดได้สติขึ้นมาทันที พบว่าตัวเองเหมือนจะขาดเหตุผลจริงๆ เขาทำเสียงฮึดฮึดนิดหน่อย ผลักกระบี่ที่จ่อตรงหน้าอกออก แล้วลงหมากอีกตัวด้วยสีหน้าดำครึ้ม


อวิ๋นจือชิวเก็บกระบี่มาวางยันพื้น แล้วลงหมากตัวหนึ่งโดยไม่คิดอะไร


ผ่านไปครู่เดียว เหมียวอี้ก็เริ่มแหกปากอีกครั้ง “เจ้า…”


คำพูดค้างอีกแล้ว ดาบในมืออวิ๋นจือชิวกำลังจ่อที่พุงของเขา พร้อมกล่าวเสียงเรียบ “สำรวมนิสัยแย่ๆ ไว้หน่อย ข้าไม่ได้ทำผิดกฎ ไม่ได้เล่นลูกไม้อะไรด้วย เจ้าจะเดือดร้อนอะไร? ซื่อสัตย์หน่อย!” นั่งชี้กระบี่ลงข้างล่าง บอกใบ้ให้เขานั่งลงเล่นต่อ


เหมียวอี้เหมือนใบหน้าโดนตะคริวกิน เขานั่งลงอย่างช้าๆ หลังจากลงมากไปตัวหนึ่ง ก็เหลือบไปเห็นอวิ๋นจือชิวที่ใช้มือข้างหนึ่งลงหมากด้วยท่าทางสบายใจ ส่วนมืออีกข้างถือกระบี่แกว่งไปแกว่งมาไม่ยอมเก็บ ทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย


ผ่านไปครู่เดียว เหมียวอี้ก็อยากจะพลิกกระดานอีก แต่ก็โดนแสงคมกระบี่แวบเข้ามาแทงบนข้อมือ แทงจนเลือดสดไหลออกมา โดนขัดขวางด้วยวิธีการแข็งกร้าวแล้ว


ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ในการเล่นหมากล้อมครั้งนี้ ร่างกายท่อนบนของเหมียวอี้เต็มไปด้วยรอยแผลแล้ว โดนกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นคนถือกระบี่เล่นหมากล้อม มือข้างหนึ่งลงหมาก ส่วนมืออีกข้างถือกระบี่จิ้มเตือนบนตัวเขา


ไม่ใช่แค่บนกระดานหมากล้อม แม้แต่บนร่างกายก็ยับเยินจนทนมองไม่ไหว ขนาดเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยังทำใจไม่ได้ที่จะมองตรงๆ


อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้มอยู่เสมอ ทำให้เหมียวอี้เริ่มเหงื่อซึมเต็มศีรษะ ส่วนฉินเวยเวยที่ดูอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกพะว้าพะวงเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม คอยแอบมองอวิ๋นจือชิวอยู่เป็นระยะ ทำท่าทางเหมือนกินปูนร้อนท้อง

 

 

 


ตอนที่ 924

 

 รัวดาบฟันเชือก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่ต้องพูดอะไรมาก หลังจากเล่นกันได้รอบหนึ่ง ท่านขุนนางเหมียวมีความพ่ายแพ้ยับเยินเป็นจุดจบ เขาตะลึงงันอยู่อย่างนั้น มองดูกระดานหมากล้อมที่ตัวเองเล่นแพ้ย่อยยับด้วยแววตาเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


อวิ๋นจือชิวยกน้ำชาดื่มอย่างสบายใจ บางครั้งก็เหลือบมองฉินเวยเวยที่กำลังจ้องมองเหม่อกระดานหมากล้อม


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แอบสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่านายท่านแพ้อย่างย่อยยับเกินไป กลัวว่าตอนแรกเขาจะยอมรับความจริงได้ยาก


หลังจากผ่านไปนานสองนาน กระบี่วิเศษในมืออวิ๋นจือชิวก็ยื่นออกมาอีก นางเขี่ยกระบี่ไปมาอยู่บนกระดาน แล้วเคาะเสียงดังก๊อกๆ ทำลายความเงียบงัน “หนิวเอ้อร์ ยังจะเล่นอยู่อีกมั้ย? ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าลงก่อนยี่สิบตัว แต่เจ้าก็ไม่เชื่อ ถ้าเจ้ารู้สึกไม่ยอม ครั้งนี้ข้าจะให้เจ้าลงก่อนยี่สิบตัว เรามาเล่นกันอีกสักรอบเถอะ?”


เหมียวอี้ได้สติกลับมา เงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากอึกหนึ่ง ยังจะเล่นอะไรอีกล่ะ อีกฝ่ายมีแต่จะได้เปรียบทั้งนั้น โจมตีจนตนไร้กำลังโต้ตอบ ถ้าเล่นต่อไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เขาจึงเจียดรอยยิ้มยอดแย่ออกมา พร้อมถามว่า “ฮูหยิน เจ้าไปเรียนมาตั้งแต่เมื่อไร?”


สำหรับคำถามนี้ ฉินเวยเวยก็สนใจเช่นเดียวกัน นางมองตามอย่างอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย


“ตอนสามขวบข้าก็นอนฟุบหลับบนกระดานหมากล้อมแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเรียนมาตั้งแต่เมื่อไรล่ะ?” อวิ๋นจือชิวดูถูก


ฉินเวยเวยกัดริมฝีปากทันที ส่วนเหมียวอี้ก็เบิกตาโพลง ลุกพรวดขึ้นแล้วถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าบอกว่าเล่นไม่เป็นไม่ใช่เหรอ?”


อวิ๋นจือชิงพ่นเสียงทางจมูก “คนเล่นหมากล้อมแย่อย่างเจ้าน่ะ ถ้าสุ่มเลือกคนข้างกายเจ้ามาเล่นด้วยสักคน พวกเขาก็ชนะเจ้าหมดนั่นแหละ ข้าว่าคนอื่นคงออมมือให้เจ้าเฉยๆ หรอก ข้าเองก็ไม่อยากทำให้ผู้ชายอย่างเจ้าเสียหน้า ถึงได้แกล้งเล่นไม่เป็น เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ!”


คำพูดนี้เหมือนตบหน้ากันแรงเกินไปแล้ว เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน “เจ้าชนะก็ชนะไปสิ ข้ายอมแพ้ ข้ายอมรับว่าฝีมือไม่สูงเท่าเจ้า นึกไม่ถึงด้วยว่าเจ้าจะฝีมือสูงส่งขนาดนี้ เป็นข้าเองที่ดูถูกเจ้า แต่ที่เจ้าบอกว่าสุ่มเลือกคนข้างกายข้ามาเล่นด้วยก็ชนะข้าหมด เจ้าดูถูกข้าเกินไปรึเปล่า ถ้าเจ้าไม่เชื่อ…”


ปั้ง! อวิ๋นจือชิวพลันตบโต๊ะยืนขึ้น สะเทือนจนถ้วยน้ำชาและตัวหมากบนกระดานกระเด็นกระดอน พลันถามอย่างเดือดดาลมากว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าจะหลงตัวเองไปถึงเมื่อไร?”


ปั้ง! นางหันตัวมาเตะเก้าอี้ข้างหลังจนกระเด็น แล้วชี้กระบี่ไปที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ “พวกเจ้าสองคน! รู้อยู่แจ่มแจ้งว่านายท่านมีฝีมือการเล่นหมากล้อมยอดแย่ รู้อยู่แก่ใจว่านายท่านเล่นหมากล้อมได้แย่สุดๆ แต่กลับตามใจเขาจนเคยตัว ในฐานะที่เป็นหญิงรับใช้ข้างกายนายท่าน ในฐานะที่เป็นคนร่วมเคียงหมอน แต่ไม่กล้าแม้แต่จะอธิบายความจริงกับนายท่านเหรอ พวกเจ้าคิดว่าตัวเองทำแบบนี้แล้วจะถือว่าจงรักภักดีหรือไง? พวกเจ้าดูสิว่าตอนนี้เขาโดนตามใจจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว คำพูดขัดใจนิดหน่อยก็ทนฟังไม่ได้ แค่เล่นหมากล้อมยังไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าเวลานานไป แล้วคนข้างกายเขาเป็นแบบพวกเจ้ากันหมด เขาก็จะไม่ได้ยินแม้แต่ความจริง สักวันหนึ่งเขาจะต้องตายเพราะพวกเจ้าแน่ พวกเจ้า… มีเจตนาชั่วร้าย!”


คำพูดนี้แทงใจดำจริงๆ คำพูดนี้รุนแรงเกินไปแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์หน้าซีดทันที รีบคุกเข่าลงพร้อมกัน แล้วก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมา


ฉินเวยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ลุกขึ้นเช่นกัน สีหน้านางแย่มาก เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรเหมือนกัน


ตอนนี้เหมียวอี้สีหน้าแย่สุดๆ ตะคอกถามว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าตอบมาอย่างซื่อสัตย์ ตอนที่พวกเจ้าเล่นหมากล้อมกับข้า พวกเจ้าได้ออมมือให้ข้ารึเปล่า?”


โดนอวิ๋นจือชิวเปิดโปงแล้ว เขายังยอมรับความจริงข้อนี้ได้ยาก เขาคิดว่าตัวเองมีฝีมือหมากล้อมที่ล้ำเลิศมาตลอด เล่นแล้วไม่ค่อยแพ้


หญิงรับใช้ทั้งสองยิ้มก้มหน้าต่ำลง ไม่กล้าตอบอะไร เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่คนโง่ การที่พวกนางสองคนไม่ตอบ ก็เท่ากับเป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งแล้ว


เหมียวอี้พลันหันไปมองฉินเวยเวย แล้วถามเสียงต่ำว่า “เวยเวย เจ้าตอบความจริงมา ไม่ต้องกลัวฮูหยิน ตอนเล่นหมากล้อมเจ้าได้ออมมือให้ข้ารึเปล่า?”


ฉินเวยเวยฉุกละหุกมาก ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร


อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างหลังฉินเวยเวย แล้ววางมือข้างหนึ่งบนบ่า รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นเล็กน้อย นางจึงแสยะสยิ้มแล้วบอกว่า “น้องสาวของข้าคนนี้ไม่ได้ฉาบฉวยขนาดนั้นหรอก ท่านสามีคะ อีกฝ่ายไม่ใช่แค่คิดหาทางเล่นให้เจ้าชนะนะ ทั้งยังสิ้นเปลืองความคิดเพื่อหาทางเล่นให้เจ้าชนะอย่างมีความสุขด้วย”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ฉินเวยเวยก็รู้สึกไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนทันที หันหน้าหลบคิดจะหนีออกไป แต่กลับถูกอวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์กดไว้ ทำให้นางขยับไม่ได้ วรยุทธ์ของทั้งสองต่างกันเกินไป


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉินเวยเวย เหมียวอี้ก็แยกเขี้ยวยิงฟัน ถามเน้นๆ ว่า “เพราะอะไร?”


“เพราะอะไรน่ะเหรอ?” อวิ๋นจือชิวหัวเราะหึหึทันที “หนิวเอ้อร์ ความฉลาดทางอารมณ์ของเจ้าตกต่ำขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่เข้าใจความคิดผู้หญิงเลยสักนิด เจ้าคิดว่าเพราะอะไรล่ะ? ให้เจ้าชนะอย่างมีความสุข พอเจ้าเบิกบานใจแล้ว ต่อไปพอเจ้าอยากเล่นหมากล้อม เจ้าก็จะคิดถึงแต่นางไง เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชานาง ถ้าเจ้าไม่เรียกหานาง นางจะเข้าใกล้เจ้าได้อย่างไรล่ะ? ถ้าไม่มีเหตุผล แม้แต่จะเข้ามาในตำหนักยังยากเลย! อีกฝ่ายบอกใบ้ความในใจมานานแล้ว ชอบเจ้ามาตลอด เพียงแต่คนปัญญาอ่อนอย่างเจ้าไม่เข้าใจความรัก นางเป็นผู้หญิงจึงเขินอายที่จะเอ่ยบอก ก็เลยกลายเป็นบุปผาร่วงหล่นเพราะมีใจ แต่สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก[1] เลยเสียเวลาแบบนี้มาหลายปี”


พูดจบก็หันมาถามฉินเวยเวยอีก “น้องสาว เจ้าว่าข้าพูดถูกมั้ย?”


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่นั่งคุกเข่าแอบสบตากันแวบหนึ่ง ที่จริงทั้งสองก็สังเกตเห็นนานแล้วเช่นกัน เวลาผู้หญิงมองผู้หญิงด้วยกันมักจะเข้าใจจิตใจกันมากกว่า


เหมียวอี้ที่กำลังจะประสาทเสีย พอได้ยินแบบนี้ก็อึ้งไปเลย เขาเงียบลงทันที มองไปที่ฉินเวยเวยด้วยสีหน้างุนงง


โดนเปิดโปงหมดเปลือกขนาดนี้ ให้คนรู้ว่าตัวเองแอบคิดถึงผู้ชายของคนอื่นมาตลอดขนาดนี้ จะให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านโลกมาน้อยทนความรู้สึกได้อย่างไร ฉินเวยเวยทำสีหน้าอับอายมาก ขยับร่างกายอยากจะหนี แต่กลับถูกอวิ๋นจือชิวกดให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อวิ๋นจือชิวพูดกลั้วหัวเราะว่า “น้องสาว เจ้าโง่นี่ไม่เข้าใจเรื่องรัก ในเมื่อพูดเปิดเผยแล้ว วันนี้ไม่สู้สารภาพออกมาให้หมดเลยดีกว่า ควรจะทำอย่างไรก็ตัดสินใจให้เด็ดขาด เจ้าจะได้ไม่ต้องเอาแต่ทรมานตัวเอง เรื่องแบบนี้ฝ่ายหญิงมัวเสียเวลาไม่ได้หรอก”


“ข้ายอมรับผิดค่ะ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว!” ฉินเวยเวยกล่าวเสียงสั่น


“ผิดอะไรกันล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถามเหมือนแปลกใจ แล้วกล่าวอย่างร่าเริงว่า “ชอบก็ชอบสิ วันนี้ข้าก็จะพูดให้ชัดเจนเหมือนกัน ข้าดูออกตั้งนานแล้วว่าเจ้าชอบเจ้าซื่อบื้อนี่ เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงนับเจ้าเป็นน้องสาวล่ะ คิดว่าทำไมข้าถึงให้เคล็ดวิชาฝึกตนกับเจ้า ทำไมข้าถึงบอกเจ้ามาตลอดว่าต้องการให้ช่วยหาอนุภรรยาให้เจ้าซื่อบื้อนี่ พี่สาวจะบอกให้เจ้าฟังนะ พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจเจตนาของข้าอีกเหรอ? พี่สาวยอมรับเจ้าแล้ว รอให้เจ้าตอบตกลงมาตลอด ขอแค่เจ้าบอกสักคำ แค่ตอบตกลงสักคำ ข้าก็จะช่วยจัดการให้เจ้าเอง แต่นิสัยเจ้าเป็นคนเก็บตัวเกินไป ไม่ยอมเอ่ยปากเสียที เจ้าไม่รีบแต่ข้ารีบ วันนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามปิดบัง เจ้าตอบพี่สาวมาตรงๆ เจ้าเต็มใจจะแต่งงานกับเจ้าซื่อบื้อนี่มั้ย? ถ้าเต็มใจแต่งข้าก็จะช่วยเจ้าเตรียมการทันที เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แค่รอแต่งงานเข้าบ้านมาก็พอ!”


อับอาย! ไม่รู้สึกอะไรนอกจากอับอาย! ฉินเวยเวยหน้าแดงหัวใจเต้นแรง กัดริมฝีปากแน่น ถามว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจ แล้วจะให้นางพูดออกมาได้อย่างไรล่ะ?


เหมียวอี้อ้าปากค้างเล็กน้อย ได้แต่ยืนเอ๋ออยู่อย่างนั้น


อวิ๋นจือชิวเร่งให้ฉินเวยเวยแสดงท่าทีไม่หยุด แต่ฉินเวยเวยยากที่จะเอ่ยปาก สุดท้ายอวิ๋นจือชิวก็พูดตัดบทว่า “น้องสาว ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าจะถือว่าเจ้าตอบตกลงแล้วนะ”


จะหนีก็หนีไม่ได้ จะหลบก็หลบไม่ได้ ฉินเวยเวยแทบจะสติแตกแล้ว นางเหลือบมองเหมียวอี้ที่หน้าอกเต็มไปด้วยรอยเลือดแวบหนึ่ง สุดท้ายก็พึมพำเบาๆ ว่า “เกรงว่านายท่านจะไม่ชอบข้า…”


เรียบร้อย! แบบนี้นับว่าตอบตกลงแล้ว! อวิ๋นจือชิวมองไปที่เหมียวอี้ทันที “หนิวเอ้อร์ ผู้หญิงสวยตัวเป็นๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าก็แค่พยักหน้านะ!”


“เอ่อ… คือว่า…” เหมียวอี้วุ่นวายใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงดี


อวิ๋นจือชิวโมโหทันที “ผู้หญิงเขาพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า?”


จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกเหมือนใกล้จะร้องไห้เพราะโดนกดดัน ถ้าจะให้เขาตอบตกลงตรงๆ เขาก็พูดไม่ออกอยู่ดี ตอนนี้งงนิดหน่อย ยังไม่เข้าใจชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ต่อให้ข้าตอบตกลงเรื่องนี้ แต่หยางชิ่งก็ไม่ยอมอยู่ดี!”


“น้องสาว! เขาพูดแบบนี้แปลว่าตอบตกลงแล้วเหมือนกัน!” อวิ๋นจือชิวตัดสินใจเรื่องนี้เองเสียเลย เรียกได้ว่ารัวดาบฟันเชือก


จากนั้นก็ควงแขนฉินเวยเวยเดินไปจากตรงนั้น เดินเข้าไปทางตำหนัก จู่ๆ ก็ยกกระโปรงขึ้นตอนที่เดินผ่านเหมียวอี้ เหยียบเท้าเหมียวอี้แรงๆ หนึ่งที ไม่ปรานีเลยจริงๆ นางกำลังรู้สึกแค้นในใจเหมือนกัน ไม่มีผู้หญิงคนไหนยินดีทำเรื่องแบบนี้หรอก ถ้าไม่ไประบายความโมโหกับผู้ชาย แล้วจะให้ไประบายกับใครล่ะ?


“อ้า…” เหมียวอี้ร้องอย่างเจ็บปวด พลางเอามือกุมเท้ากระโดด


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ลุกพรวดขึ้นมาอย่างอกสั่นขวัญแขวน รีบเข้ามาประคองเหมียวอี้ไปนั่งข้างๆ เหมียวอี้ยื่นมือไปทางซ้ายและขวาเพื่อคว้าแขนหญิงรับใช้ทั้งสองเอาไว้ “พวกเจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์เสียดีๆ ห้ามหลอกข้า ข้าเล่นหมากล้อมได้แย่จริงๆ เหรอ?”


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ลำบากใจมาก หลังจากสบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าพร้อมกันโดยไม่พูดอะไร


เหมียวอี้อ้าปากค้าง…


ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงสองคนนี้ไปคุยอะไรกันเงียบๆ ในห้อง สรุปคือตอนที่ออกมาอวิ๋นจือชิวทำสีหน้าร่าเริง ส่วนฉินเวยเวยก็หน้าแดงเป็นผลไม้สุก เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้ามองเหมียวอี้เลย


เหมียวอี้อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ผู้หญิงสองคนนี้ไม่สนใจเขาเลย เดินออกไปด้วยกันแล้ว เดินออกไปจากตำหนักพร้อมกัน เหมียวอี้เดินตามไปข้างนอกจนถึงหอสังเกตการณ์ พอยืนมองจากตรงนั้น ก็พบว่าพวกนางกำลังไปที่จวนผู้การใหญ่ด้วยกัน ทำให้เขาถอนหายใจยาวแล้วพึมพำว่า “ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว เดี๋ยวต่อไปหยางชิ่งจะต้องมาเอาเรื่องข้าแน่ๆ!”


สถานการณ์ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ฉินเวยเวยมีดีทั้งหน้าตา มีดีทั้งฐานะตำแหน่ง ได้เป็นประมุขตำหนักตั้งแต่อายุเท่านี้ ถือว่าไม่ต้องกังวลเรื่องแต่งงานเลย ต่อให้เป็นแค่ลูกสาวบุญธรรม แต่หยางชิ่งก็ไม่มีทางยอมให้ฉินเวยเวยไปเป็นอนุภรรยาของใครแน่นอน ไม่มีทางเลยสักนิด


เขาไม่สนใจแล้วเหมือนกัน ไม่มีหน้าจะไปแทรกแซงเรื่องนี้ ถึงอย่างไรก็จัดการไม่ไหวแน่ ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวไปโดนปฏิเสธเองแล้วกัน เพียงแต่ในภายหลังถ้าเจอหน้าหยางชิ่ง ทุกคนก็จะอึดอัดใส่กัน แบบนี้จะไม่เป็นการกดดันให้หยางชิ่งเอาใจออกห่างหรอกหรือ ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงบ้าคนนี้คิดอะไรของนาง ไม่น่าเชื่อว่าจะหาอนุภรรยาให้สามีของตัวเอง แปลกประหลาดจริงๆ!


ในจวนผู้การใหญ่ เมื่อผู้การใหญ่หยางเห็นประมุขปราสาทมาเยือนด้วยตัวเอง เขาก็ออกมาคำนับด้วยความเคารพ แต่ก็สังเกตเห็นว่าลูกสาวตัวเองมีท่าทีแปลกไป


ฉินเวยเวยจะสะดวกใจอยู่ตรงนี้ต่อได้อย่างไร ขอตัวลาทันที หลบเข้าไปอยู่ในห้องของตัวเองแล้ว


ในโถงหลัก หลังจากอวิ๋นจือชิวเปิดเผยจุดประสงค์ที่มาตรงๆ หยางชิ่งก็หน้าเขียวครึ้มทันที ชิงเหมย ชิงจวี๋ที่ยกน้ำชามาให้ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน


หยางชิ่งที่เม้มริมฝีปากแน่นและฟังจนจบอย่างอดทน ตอนนี้พยายามนั่งสงบจิตใจตัวเอง ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ประมุขปราสาท! หยางคนนี้ไร้ความสามารถ แต่ก็ไม่อาจจะยอมให้ลูกสาวตัวเองไปเป็นอนุภรรยาของใคร ต่อให้ฆ่าหยางชิ่งให้ตาย หยางชิ่งก็แน่วแน่ไม่ตอบตกลงอยู่ดี!”


อวิ๋นจือชิวจึงยิ้มพร้อมบอกว่า “ผู้การหยาง ประมุขตำหนักฉินก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่ลองถามความคิดเห็นนางก่อนเหรอ?”


“นางเป็นผู้หญิงที่อ่อนต่อโลก โดนความรู้สึกระหว่างชายหญิงล่อลวงได้ง่ายมาก ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยสติปัญญาได้ หากบิดาอย่างข้าปล่อยไป หากตามใจนาง ก็เท่ากับข้าไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง!” หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ “ประมุขปราสาท! ได้โปรดไว้หน้าหยางชิ่งด้วย อย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย!”


 

 

 


ตอนที่ 925

 

 ไม่อาจฝ่าฝืนอำนาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ไม่ฝืนใจเช่นกัน นางลุกขึ้นแล้วบอกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว แต่หวังว่าผู้การหยางจะเข้าใจนะ ว่าถ้าฉินเวยเวยแต่งงานเข้าบ้านข้า ข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน และไม่ใช้ความเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยด้วย!”


หยางชิ่งเอียงหน้ากุมหมัดคารวะ ไม่พูดอะไรมากอีก ส่งแขก!


แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่นี่ก็คือสิ่งที่อวิ๋นจือชิวคาดไว้แล้วเช่นกัน อวิ๋นจือชิวหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้าบอกว่า “ผู้การหยางทำงานต่อไปเถอะ ไม่ต้องส่งข้า!”


ธรรมเนียมมารยาทที่ควรมีก็ยังต้องมี หยางชิ่งเยือกเย็นสุขุมอยู่ตลอด แยกยะความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเดินตามออกมาส่งแขกถึงข้างนอกด้วยตัวเอง


หลังจากมองคล้อยหลังอวิ๋นจือชิวกลับเข้าไปในตำหนัก หยางชิ่งก็ยืนเงียบอยู่ที่เดิม ชิงเหมย ชิงจวี๋เดินมายืนอยู่ทางซ้ายและขวา และถามอย่างค่อนข้างกังวลว่า “นายท่านเจ้าคะ!”


หยางชิ่งพลันหัวตัวมา แล้วเดินมายังลานบ้านที่เป็นที่พักของฉินเวยเวย ประตูห้องของฉินเวยเวยปิดสนิท หยางชิ่งยกมือเคาะประตู “เวยเวย สะดวกให้พ่อเข้าไปได้รึเปล่า?”


ฉินเวยเวยที่อยู่ในห้องตอบเสียงอ่อนปวกเปียก “ท่านพ่อ เข้ามาเถอะค่ะ!”


หยางชิ่งผลักประตูเข้ามา กวาดมองในห้องด้วยแววตาจริงจัง แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวฉินเวยเวยที่นั่งอยู่ข้างเตียง ฉินเวยเวยก้มหน้าพลางยืนขึ้น


เมื่อเดินมาถึงตรงหน้านาง หยางชิ่งก็มองสอบสวนพักหนึ่ง แล้วกล่าวถามอย่างเนิบช้า “ข้าว่าประมุขปราสาทก็คงไม่กล่าวลอยๆ โดยไร้จุดหมายหรอก เจ้าคงจะตอบตกลงไปแล้ว ใช่มั้ย?”


ฉินเวยเวยกัดริมฝีปากเงียบๆ ครู่เดียว แล้วสุดท้ายก็พยักหน้า


หยางชิ่งพยายามเอียงหน้ามองไปด้านข้าง สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พยายามข่มอารมณ์ของตัวเองให้สงบลง พยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้ตัวเองบุ่มบ่าม แล้วกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “เวยเวย! ครอบครัวเราถ้าเทียบกับข้างบนแม้จะมีไม่พอ แต่เทียบกับข้างล่างยังมีเหลือเฟือ ยังไม่ตกต่ำถึงขั้นแต่งงานไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่น เรื่องนี้เจ้าเลอะเลือนแล้ว! แน่นอน เจ้าไม่เคยผ่านเรื่องหญิงชายมาก่อน เลี่ยงไม่ได้ที่จะบุ่มบ่ามทำตามอารมณ์ ผู้หญิงทุกคนล้วนมีช่วงที่โง่เขลาแบบนี้ทั้งนั้น พ่อไม่โทษเจ้าหรอก เรื่องนี้พ่อช่วยปฏิเสธให้เจ้าแล้ว เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อไปควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แต่พยายามอย่าเข้าไปที่ตำหนักหลังบ่อยๆ อย่าให้มีคำพูดเหลวไหลเพราะทำตัวไม่ชัดเจนอีก”


เมื่อฟังเขาพูดจบ แววตาที่กังวลของฉินเวยเวยก็ค่อยๆ คลายลง แล้วถามเสียงต่ำว่า “ท่านพ่อ ท่านให้ข้าตัดสินใจเองสักครั้งไม่ได้หรือคะ?”


หยางชิ่งพลันชี้ไปที่ด้านนอกประตู แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ในโลกนี้มีผู้ชายตั้งเยอะแยะ ด้วยภูมิหลังอย่างเจ้าไม่ต้องกังวลเลยว่าจะหาผู้ชายประวัติดีๆ ไม่ได้ ทำไมจะต้องดึงดันไปเป็นอนุภรรยาของสามีคนอื่น?”


ฉินเวยเวยเงยหน้า รวบรวมความกล้าพูดว่า “ผู้ชายประวัติดีๆ พวกนั้น ข้าไม่ชอบค่ะ ข้าเองก็เคยคิดจะตัดใจเหมือนกัน แต่ในใจข้าปล่อยเขาไปไม่ได้จริง ท่านแนะนำผู้ชายให้ข้ารู้จักเยอะขนาดนั้น แต่ข้าไม่ถูกใจเลยสักคนเดียว! ท่านพ่อ! ชีวิตการแต่งงานของข้า ท่านให้ข้าตัดสินใจเองได้มั้ยคะ? ให้ข้าทำตามสิ่งที่ตัวเองเลือกสักครั้งได้มั้ย? ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ลูกสาวคนนี้ยินดีจะรับผลที่ตามมาทุกอย่างเอง ไม่นึกเสียใจทีหลังแน่นอน!”


เพียะ! หยางชิ่งลงมือแบบปุบปับ ตบหน้าฉินเวยเวยหนึ่งฉาดจนเกิดเสียงดังฟังชัด เป็นเพราะควบคุมไฟโกรธของตัวเองไม่ไหวแล้วจริงๆ ตบแรงจนให้ฉินเวยเวยล้มลงบนเตียง


“นายท่าน!” ชิงเหมยร้องตกใจเสียงดัง รีบเข้ามาดึงมือหยางชิ่ง


ส่วนชิงจวี๋ก็รีบเข้าไปประคองฉินเวยเวย แล้วหันกลับมามองหยางชิ่งอย่างค่อนข้างตกใจ อยู่กันมาหลายปีขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหยางชิ่งลงมือกับฉินเวยเวย


“ไม่นึกเสียใจทีหลังแน่นอนเหรอ? ถ้ารอให้นึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว!” หยางชิ่งสะบัดแขนออกจากชิงเหมย แล้วชี้หน้าตะคอกฉินเวยเวยอย่างควบคุมความโกรธไม่อยู่ “น้ำเข้าสมองเจ้ารึไง? ข้าอยากจะแหวกศีรษะเจ้าออกมาดูจริงๆ ว่าเจ้ายังมีสมองอยู่บ้างมั้ย? เจ้าเคยเห็นภรรยาที่ไหนมาหาอนุภรรยาให้สามีตัวเองก่อนบ้างมั้ย? สาเหตุเบื้องหลังเดาได้ไม่ยากหรอก ชัดเจนว่าทางนั้นอยากจะใช้เจ้ามาควบคุมข้า ถ้าบีบเจ้าไว้ได้แล้ว ก็ถือว่าบีบข้าไว้ได้เจ็ดส่วน เจ้าดูไม่ออกสักนิดเลยเหรอ? อีกฝ่ายกำลังใช้ประโยชน์จากความรู้สึกของเจ้า!”


ฉินเวยเวยเอามือลูบหน้าพลางยืนขึ้น แล้วกล่าวด้วยน้ำตาไหลพราก “ข้ามันไม่มีสมอง ข้าเองก็อยากจะฉลาดมีความสามารถเหมือนท่านพ่อ รู้ไหมว่าข้าอยากให้ตัวเองเป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่านพ่อมากขนาดไหน ถ้าได้รับความฉลาดรอบรู้มาจากท่านบ้างสักนิด คงไม่ต้องให้ท่านวางแผนจัดเตรียมให้ข้าทุกอย่างแบบนี้หรอก ข้ารู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เหมือนขยะ ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย ท่านปูทางไว้ให้ข้าเดินหมดแล้ว อยู่บนเส้นทางฝึกตนมาเนิ่นนาน หลายปีขนาดนี้แล้ว ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มีแค่ครั้งนี้ ที่ข้ารู้ซึ้งว่าตัวเองอยากทำอะไร รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร กว่าข้าจะตัดสินใจแบบนี้ได้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน ท่านพ่อ ท่านช่วยให้ข้าสมหวังสักครั้งไม่ได้หรือคะ?”


ชิงเหมย ชิงจวี๋รีบมองไปทางหยางชิ่ง ทั้งสองค่อนข้างเข้าใจเขา


เป็นอย่างที่คาดไว้ ประโยค ‘รู้ไหมว่าข้าอยากให้ตัวเองเป็นลูกสาวแท้ๆ ของพ่อมากขนาดไหน’ สะเทือนอารมณ์หยางชิ่งแล้ว เห็นเพียงหยางชิ่งตัวสั่นเล็กน้อย ลมหายใจค่อนข้างถี่กระชั้น แทบจะมีเลือดไหลออกจากดวงตา สองมือกำหมัดแน่น เป็นการถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงที่แท้จริง


พูดถึงขั้นนี้แล้ว ชิงเหมยกับชิงจวี๋นึกว่าหยางชิ่งจะยอมตกลง แต่ใครจะคิด หยางชิ่งกลับชักดาบเล่มหนึ่งจากแหวนเก็บสมบัติ โยนดาบไว้บนพื้น แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ก่อนหน้านี้ข้าบอกประมุขปราสาทไปแล้ว ว่าต่อให้ฆ่าข้าให้ตาย ข้าก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี ข้าจะพูดแบบนี้กับเจ้าเหมือนกัน เว้นเสียแต่ว่าจะฆ่าข้าให้ตาย ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่อนุญาตเด็ดขาด ต่อให้เจ้าจะเกลียดข้าไปทั้งชีวิตก็ตาม!” พูดจบก็เตะดาบไปที่เท้าของฉินเวยเวย แล้วหันตัวเดินออกไปอย่างแน่วแน่ นี่คือคำตอบสุดท้ายของเขาแล้ว


ฉินเวยเวยทรุดนั่งลงบนเตียง ไหล่งามสั่นเทิ้ม เสียงสะอื้นดังไม่หยุด น้ำตาไหลดุจสายฝน…


“อะไรนะ? ฉินเวยเวยกลับอาณาเขตของตัวเองไปแล้วเหรอ?”


ในตำหนัก หลังจากเสวี่ยเอ๋อร์ที่ถูกส่งไปเฝ้าดูกลับมารายงาน อวิ๋นจือชิวก็ถามอย่างประหลาดใจ ดวงตางามวูบไหว เหมือนจะเป็นสิ่งที่นางคาดไว้แล้วเช่นกัน ไม่ถือว่าตกใจอะไรมาก


“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” เสวี่ยเอ๋อร์ตอบ “เหมือนจะร้องไห้ด้วย!”


เหมียวอี้ที่ตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ พูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าบอกแล้วไง หยางชิ่งไม่มีทางตอบตกลงหรอก ประมุขปราสาทอวิ๋น ข้าว่าเจ้าขาดทุนแล้วล่ะ พอผ่านเรื่องนี้แล้ว ในใจหยางชิ่งจะต้องขุ่นเคืองแน่นอน!”


“ประมุขปราสาทผู้นี้จะทำอะไร ต้องให้ที่ปรึกษาอย่างเจ้ามาสอนด้วยเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถาม


“เจ้า…” เหมียวอี้เดือดทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตำแหน่งมาข่มตน เขาเพิ่งจะยื่นมือเข้าไป แต่ก็โดนอวิ๋นจือชิวปัดออก “อะไรของเจ้า? ตอนเล่นหมากล้อมก็บอกแล้วนะ ถ้าเจ้าแพ้แล้วก็ทำตัวดีๆ หน่อย ยินดีเดิมพันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้!”


“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างไปชั่วขณะ เพราะแพ้อย่างย่อยยับมาก เหมือนโดนตบหน้าแต่บ่นอะไรไม่ได้ จึงกัดฟันบอกว่า “เจ้าค่อยๆ ก่อเรื่องไปเถอะ ข้ากลัวเสียที่ไหนล่ะ มีผู้หญิงเพิ่มขึ้นมีอะไรไม่น่าดีใจ ถ้าเจ้าเก่งนักก็หาให้ข้าเยอะๆ สิ!”


“เอ๋!” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามอง “หนิวเอ้อร์ นี่เจ้าพูดเองนะ ถึงตอนนั้นอย่างนึกเสียใจทีหลังแล้วกัน!”


เหมียวอี้ชี้หน้าตัวเอง พลางกล่าวว่า “ข้านึกเสียใจทีหลังเหรอ? ขอแค่ฮูหยินอย่างเจ้าเต็มใจ ต่อให้เจ้าจะหาคนขี้เหร่มาให้ ข้าก็ยังจะรับไว้อยู่ดี!” เขาไม่เชื่อหรอกว่าในโลกนี้จะมีผู้หญิงที่ใจกว้างขนาดนั้น


อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันตัวไปบอกหญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆ “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าฟังเอาไว้นะ นี่คือสิ่งที่เขาพูดเอง”


“ขี้คร้านจะเถียงกับผู้หญิงบ้าอย่างเจ้า! ข้าไปฝึกตนดีกว่า!” เหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป พอจากห้องโถงหลัก สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อไม่มีคนอยู่ตรงหน้า สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้ม เรื่องของฉินเวยเวยทำให้เขาค่อนข้างเหม่อลอย อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่ฉินเวยเวยเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนเขามาหลายปี ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าฉินเวยเวยจะสนใจเขา ถึงขั้นยอมเป็นอนุภรรยาของเขาด้วยซ้ำ คิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย


ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เมื่อตกอยู่ในวังวนของความสัมพันธ์ชายหญิง ไม่มีใครที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านได้หรอก ท่านขุนนางเหมียว้าวุ่นใจแล้ว เขาถึงขั้นอยากจะไปคุยกับฉินเวยเวยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่มีความกล้านั้น ถึงขั้นกลัวที่จะพบหน้าฉินเวยเวย


เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ มองออกว่าอวิ๋นจือชิวอยากจะใช้ฉินเวยเวยเพื่อควบคุมหยางชิ่ง


อวิ๋นจือชิวที่อยู่ในโถงหลักเดินมายืนอยู่ตรงประตู นางเอามือไขว้หลังทอดสายตามองไปบนฟ้าไกลๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ “หยางชิ่ง ถ้าเจ้าไม่สวามิภักดิ์จากใจจริง การกุมอำนาจมากมายในระยะยาวจะต้องเกิดปัญหาตามมาแน่ สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!”


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังฟังอย่างเงียบๆ นึกไม่ถึงว่าฮูหยินจะเกรงกลัวผู้การหยางขนาดนี้


หลังจากนั้นครึ่งเดือน ถังจวินคุณชายสี่แห่งแดนโพ้นสวรรค์ก็มาเยือนด้วยตัวเอง มาพร้อมคำสั่งของปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน


ด้วยคำแนะนำของอวิ๋นจือชิว คำสั่งนี้ถูกเก็บเป็นความลับและยังไม่ประกาศออกไป รอให้ประมุขตำหนักแต่ละสายมากันครบ เมื่อทุกคนอยู่ในตำหนักประชุมแล้ว ถังจวินถึงได้ประกาศคำสั่งต่อหน้าทุกคน : เลื่อนขั้นประมุขอวิ๋นจือชิวแห่งปราสาทดำเนินสุริยันให้เป็นท่านทูตสายมะโรง ให้ไปที่ยอดเขาหยกนครหลวงและรับงานจากท่านทูตจงเจิ้นภายในสิบวัน นอกจากนี้ยังประทานงานสมรสอนุภรรยาให้เหมียวอี้สามคน ได้แก่โอวหยางหลาง โอวหยางหวน บุตรสาวของโอวหยางกวงท่านทูตสายชวด และฉินเวยเวย ประมุขตำหนักเจิ้นติงแห่งปราสาทดำเนินสุริยัน เลือกฤกษ์มงคลแต่งงานพร้อมกัน!


เมื่อประกาศคำสั่งของปราชญ์เซียน ในตำหนักก็เงียบลงจนแม้แต่เสียงเข็มพื้นตกก็ได้ยิน ทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด


ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นจือชิวจะได้เลื่อนขั้นเป็นท่านทูตสายมะโรงของแดนเซียน?


ลูกสาวทั้งสองของโอวหยางกวงท่านทูตสายชวด หรือพูดอีกอย่างก็คือลูกสาวของคุณชายรองแดนโพ้นสวรรค์ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้แต่งเป็นอนุภรรยาของที่ปรึกษา? จะเป็นไปได้อย่างไร?


สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่ตัวของฉินเวยเวย ประหลาดใจและตกตะลึงมาก ไม่น่าเชื่อว่าประมุขตำหนักฉินจะได้แต่งเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้พร้อมกับลูกสาวของคุณชายรองแดนโพ้นสวรรค์?


สายตาของทุกคนมองไปที่เหมียวอี้อีก ปราชญ์เซียนประทานอนุภรรยาให้สามคนภายในรวดเดียวเลยเหรอ นี่คือสุดยอดแห่งวาสนา


อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ถังจวินเอง ตอนที่เห็นคำสั่งนี้ก็ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนั้น คนที่ดูจะไม่ตกใจที่สุดก็มีแค่อวิ๋นจือชิวแล้ว คนอื่นไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึก รวมทั้งเหมียวอี้ด้วย เหมียวอี้เอ๋อแดก งงไปหมดแล้ว!


ฉินเวยเวยกัดริมฝีปากก้มหน้า ไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าอย่างไรดี


หยางชิ่งเบิกตาโพลง ต่อให้นอนฝันเขาก็นึกไม่ถึงว่าปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินจะประทานลูกสาวตัวเองให้แต่งงานกับเขา ไม่ปรึกษากันเลยสักนิด


เขามองไปยังอวิ๋นจือชิวที่แววตาที่เดือดเหมือนไฟลุก นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะโหดร้ายขนาดนี้ พอเขาไม่ตอบตกลงนางก็ไปขอคำสั่งมาจากแดนโพ้นสวรรค์ ให้ลูกสาวของตนกลายเป็นหนึ่งในผู้หญิงสามคนที่ต้องแต่งงานเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ทำให้เขาโมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา!


ต่อให้หยางชิ่งจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็ไม่มีคุณสมบัติจะไปขัดคำสั่งของมู่ฝานจวิน ผลของการขัดคำสั่งไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับไหว ไม่ใช่สิ่งที่สองพ่อลูกจะรับไหว มีแค่อยู่หรือตายให้เลือกสองทางเท่านั้น ในเมื่ออวิ๋นจือชิวกล้าทำแบบนี้ คาดว่าคงจะไม่เปิดโอกาสให้เขาหนีไป ยอดฝีมือบงกชม่วงใต้บังคับบัญชาของอวิ๋นจือชิวมีอยู่ไม่น้อยเลย!


“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!” อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมารับคำสั่งจากมือถังจวิน แล้วส่งถังจวินกลับไปด้วยตัวเอง


ในตำหนัก กลุ่มคนเข้าไปแสดงความยินดีกับหยางชิ่ง เหมียวอี้ และฉินเวยเวย สำหรับคนอื่นๆ นี่คือเรื่องดีแน่นอน เมื่อประมุขปราสาทได้เลื่อนขั้นเป็นท่านทูตแล้ว พวกเขาก็จะมีโอกาสมากขึ้นเหมือนกัน ถึงแม้คำสั่งนี้จะแปลกประหลาด แต่ทุกคนก็ยังแสดงความยินดีจากใจจริง


ไม่อาจฝ่าฝืนอำนาจ! หยางชิ่งกำหมัดสองข้างแน่น หลับตายืนนิ่งอยู่กับที่ ข้างหูได้ยินเสียงแสดงความยินดีไม่ขาดสาย แต่ความคับแค้นเศร้าโศกในใจ ใครเล่าจะเข้าใจได้

 

 

 


ตอนที่ 926

 

 ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผ่านไปครู่เดียว ประมุขตำหนักสายต่างๆ ก็เหมือนจะสังเกตเห็นว่าหยางชิ่งไม่ค่อยพอใจกับการประทานงานสมรสนี้ ทุกคนจึงส่งสายตาให้กันเงียบๆ แล้วแยกย้าย เหลือยืนอยู่ตรงนั้นเพียงไม่กี่คน


เหยียนซิวกับหยางเจาชิงมองไปยังเหมียวอี้ที่ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ทั้งสองไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี เพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน


หยางชิ่งที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นยังคงกำหมัดแน่น สายตาย้ายจากตัวเหมียวอี้ไปยังฉินเวยเวยที่กำลังก้มหน้ายืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เขาไม่พูดอะไรสักคำ หันหน้าเดินออกจากตำหนักใหญ่ไปเพียงลำพัง จังหวะการเดินยังคงสุขุมมั่นคง


ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวก็เดินออกจากตำหนักใหญ่ นางชำเลืองมองเหมียวอี้นิดหน่อย แล้วเดินไปจูงมือฉินเวยเวย “น้องสาว ไปกันเถอะ!”


“หยุดก่อน!” เหมียวอี้พลันเอ่ยเรียก ถลันตัวมาขวางตรงหน้านาง แล้วถามด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “อวิ๋นจือชิว นี่เป็นฝีมือของเจ้าใช่มั้ย?”


“ข้าจะทำอะไรได้?” อวิ๋นจือชิวถามกลับ


“โอวหยางหลางกับโอวหยางหวน มันเรื่องอะไรกันแน่? ข้ายินดีแต่งงานกับฉินเวยเวย แต่ไม่ได้บอกว่าจะแต่งกับพวกนางสองคน!” เหมียวอี้ตะคอกอย่างโมโห


“เจ้าเป็นคนก่อเรื่องนี้เอง ยังมาถามข้าอีกเหรอว่าเรื่องอะไร?” อวิ๋นจือชิวถามเสียงเรียบ


เหมียวอี้จึงถามด้วยสีหน้าแค้นเคือง “เจ้ากล้าบอกมั้ยว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า? อวิ๋นจือชิว ข้าจะบอกให้รู้เอาไว้ ความอดทนของข้าก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน เรื่องแบบนี้เจ้าควรจะบอกข้าก่อนรึเปล่า เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร?”


อวิ๋นจือชิวจึงแสยะยิ้ม “เจ้ารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมเหรอ? คนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมคือฉินเวยเวยต่างหาก ส่วนคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมที่สุดก็คือข้า! เจ้าทำเรื่องสกปรกแบบนั้นมาแล้วยังโทษข้าอีกเหรอ? เจ้ารู้มั้ยว่าตอนที่มู่ฝานจวินกดดันข้า ข้ารู้สึกอย่างไร? เรื่องนี้เจ้าจะปฏิเสธก็ได้ เจ้าสามารถฝ่าฝืนคำสั่งได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามของเจ้าอยู่ในมืออีกฝ่าย เจ้าจะได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้เหรอ แค่หนีไปก็สิ้นเรื่องแล้ว หนิวเอ้อร์ มาขึ้นเสียงโวยวายใส่หน้าเมียแล้วถือว่าเก่งนักเหรอ ถ้าเก่งนักก็ฝ่าฝืนคำสั่งไปเลยสิ ขอแค่ไม่สนใจความเป็นความตายของเจ้าสาม ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน จะหนีไปกับเจ้าทันที ข้าไม่จำเป็นต้องตบปากตัวเองจนฟันร่วงแล้วกลืนลงท้องด้วย! เวยเวย เราไปกันเถอะ!” พูดจบก็จูงมือฉินเวยเวยออกไปด้วยกัน


เหมียวอี้ยืนกลุ้มใจอยู่ที่เดิม สีหน้าบูดบึ้งนิดหน่อย ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบผู้หญิง เขาไม่รังเกียจด้วยว่าจะมีผู้หญิงเยอะ แต่รับไม่ได้กับการโดนกดดันแบบนี้ เวลามีคนบังคับเขาก็อยากจะขัดขืน ทว่าเจ้าสามกลายเป็นจุดอ่อนของเขาแล้ว ฝ่าฝืนคำสั่งเหรอ? ตอนนี้ไม่ใช่วิธีการที่ชาญฉลาดแน่นอน!


เหยียนซิว หยางเจาชิงไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน ไม่สะดวกจะเข้าใกล้ และไม่สะดวกจะพูดอะไรด้วย ได้แต่ยืนเป็นเพื่อนอยู่ไกลๆ…


เศร้าซึม! หยางชิ่งที่กลับมาถึงจวนผู้การใหญ่ ตอนนี้บรรยายได้แค่คำว่าเศร้าซึม เขานั่งบนเก้าอี้อย่างหงอยเหงาเศร้าซึม ดวงตาสองข้างไร้แวว ไร้เรี่ยวแรง!


ชิงเหมย ชิงจวี๋ไม่เคยเห็นเขาในสภาพแบบนี้มาก่อน นายท่านที่ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องอะไรก็สามารถรับมือได้อย่างกระฉับกระเฉง ตอนนี้ราวกับพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง หญิงรับใช้ทั้งสองตกใจมาก ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ขนาดนี้ ชิงเหมยถามอย่างกังวลว่า “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ?”


ทั้งสองถามซักไซ้ไม่หยุดไปสักพัก หยางชิ่งถึงได้ตอบอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ห้ามไม่ไหวแล้ว ปราชญ์เซียนประทานงานสมรส…”


เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจนจบด้วยน้ำเสียงอ่อนเปลี้ย ทำให้ชิงเหมย ชิงจวี๋สบตากันอย่างพูดไม่ออก ตกตะลึงพรึงเพริดเหมือนกัน และเข้าใจว่าทำไมเขาถึงมีสภาพเป็นแบบนี้ เพราะทั้งสองรู้ว่าลูกสาวคนนี้คือจุดอ่อนของเขา


แล้วก็ได้ยินหยางชิ่งพึมพำกับตัวเองอีกว่า “มู่ฝานจวินไม่ถูกกับอวิ๋นอ้างเทียนมาตลอด ตอนนี้มู่ฝานจวินให้อวิ๋นจือชิวทำงานในตำแหน่งสำคัญ จะต้องมีลับลมคมในแน่นอน ไม่รู้ว่าในอนาคตมู่ฝานจวินจะใช้ประโยชน์อะไรจากเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว ทั้งสองมีอนาคตไม่แน่นอน เกรงว่าหายนะจะอยู่ไม่ไกล เรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงแบบนี้ ข้าไม่สามารถต้านทานได้เลย ถ้าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำให้ตายอย่างอนาถ ข้าจะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวได้อย่างไร ข้าแอบวางแผนหาทางออกไว้แล้ว ไม่อยากจะลงหลุมฝังศพไปกับเขา เตรียมตัวจะถอยหากเกิดเรื่องไม่คาดคิด ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น หมดกัน! นางเด็กโง่นั่น ช่างโง่นัก! นางแต่งงานกับเหมียวอี้ ก็เท่ากับถูกมัดให้อยู่บนรถสงครามของเหมียวอี้แล้ว ต้องบุกน้ำลุยไฟไปกับพวกเขา!”


ชิงเหมยถอนหายใจแล้วถามว่า “ทำไมนายท่านไม่บอกคุณหนูตั้งแต่แรกเจ้าคะ?”


หยางชิ่งอธิบายอย่างเศร้าหมอง “คนเป็นพ่อเข้าใจลูกสาวตัวเองดีที่สุด เด็กนั่นเห็นปกติเงียบๆ ไม่เถียงไม่พูด แต่ที่จริงแล้วดื้อด้านมาก สมองทื่อด้วย ใช่ว่าพวกเจ้าจะดูไม่ออก นางไม่เคยตัดเหมียวอี้ขาดเลย ถ้านางรู้ว่าข้าแอบวางแผนทรยศเหมียวอี้ เกรงว่าความลับคงรั่วไหล เหมียวอี้ไม่ใช่พวกมีเมตตาปรานี เขาคอยระวังข้ามาตลอด เราทั้งคู่ต่างก็กำลังใช้ประโยชน์กัน เป็นเรื่องที่รู้ดีอยู่แก่ใจทั้งสองฝ่าย ถ้าข่าวเล็ดรอดไปเขาจะต้องเล่นงานข้าแน่นอน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ข้าจะไม่ระมัดระวังได้อย่างไร จะไปบอกนางเด็กโง่นั่นได้อย่างไร!”


หญิงรับใช้ทั้งสองถอนหายใจเบาๆ สถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ถึงแม้จะดูไม่มั่นคง แต่ก็มีอำนาจเยอะมาก มีเส้นสายกับสำนักต่างๆ ของสายมะโรง ลำพังแค่ความสัมพันธ์กับประมุขถิ่นทั่งสี่ของทะเลดาวนักษัตรก็เห็นๆ กันอยู่ หลังจากแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวก็มีความสัมพันธ์กับแดนมารอย่างสมเหตุสมผล ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับไต้ซือศีลเจ็ดของแดนพุทธะด้วย ตอนนี้ก็จะแต่งงานกับลูกสาวของคุณชายแดนโพ้นสวรรค์อีก อาศัยแค่กำลังของหยางชิ่ง ก็ไม่มีทางสู้กับเหมียวอี้ได้เลย


สรุปว่าอยู่ที่แดนเซียนไม่มีทางสู้กับเหมียวอี้ได้เลย มิหนำซ้ำหากขัดคำสั่งก็ผ่านด่านของแดนโพ้นสวรรค์ไปไม่ได้ วิธีการเดียวก็คือพาฉินเวยเวยหนีออกจากแดนเซียน แต่พูดน่ะพูดง่าย จะหนีพ้นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ต่อให้หนีพ้นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถปะปนอยู่ที่ทะเลดาวนักษัตร ทะเลทรายม่านเมฆา แดนมาร แดนอู๋เลี่ยงได้เหมือนเหมียวอี้ มีเรื่องมากมายที่คิดง่ายพูดง่าย แต่นั่นมันสำหรับคนอื่น พอตัวเองจะทำบ้างกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เจ้าจะเอาชีวิตจากไหนมากมายไปเดิมพันล่ะ? ยิ่งแบกภาระครอบครัวด้วยก็ยิ่งเดิมพันไม่ไหว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเล่นแผนนี้เก่งหมือนกันหมด มิหนำซ้ำโลกภายนอกจะมีใครรู้จักว่าหยางชิ่งเป็นใคร อย่างมากก็รู้แค่ว่าเจ้าเป็นลูกน้องของเหมียวอี้


เมื่อเห็นหยางชิ่งทำท่าทางแบบนี้ หญิงรับใช้ทั้งสองก็รู้แล้วว่าไม่มีทางให้ถอยกลับ ทำได้เพียงโดนควบคุม ไม่อย่างนั้นคงไม่เศร้าซึมไร้ชีวิตชีวาอย่างนี้


หนึ่งคนนั่ง สองคนยืน ทั้งสามเงียบนานมาก แล้วจู่ๆ หยางชิ่งก็ลุกขึ้นยืน


หญิงรับใช้ทั้งสองค่อนข้างแปลกใจ พบว่าใช้เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียวหยางชิ่งก็เหมือนจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เหมือนฟื้นตัวจากการโดนโจมตีที่ยากจะรับไหว เดินก้าวยาวออกไปข้างนอกแล้ว


“นายท่าน จะไปไหนเจ้าคะ?” หญิงรับใช้ทั้งสองถามซักไซ้


“ไปพบประมุขปราสาท!” หยางชิ่งตอบเสียงต่ำ


“นายท่าน ไตร่ตรองดูก่อนเถอะ!” ทั้งสองรีบถลันตัวมาขวางเขาไว้ กลัวว่าเขาจะไปสู้ตายกับประมุขปราสาท ฝ่ายนั้นมีนักพรตบงกชม่วงเป็นโขยง อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นลูกน้องคนสนิทของประมุขปราสาทด้วย สามารถกำจัดเขาได้ทุกเมื่อ ถ้าดึงดันจะใช้กำลังปะทะก็เท่ากับเอาไข่ไปกระทบหิน


เมื่อหยางชิ่งเห็นท่าทางหญิงรับใช้ทั้งสองเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าพวกนางเข้าใจผิด จึงยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ข้าจะไปยอมจำนนต่อประมุขปราสาท”


“…” หญิงรับใช้ทั้งสองจ้องมองอย่างพูดอะไรไม่ออก สงสัยว่าตัวเองจะฟังผิดไป


หยางชิ่งกลับค่อยๆ หันมองไปด้านนอก พลางกล่าวอย่าเนิบช้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะแย่ยิ่งกว่าเดิม ควรจะไปแสดงจิตใจที่จงรักภักดีต่อประมุขปราสาท! ข้าต้องรักษาตำแหน่งผู้การใหญ่ของตัวเองเอาไว้ ประมุขปราสาทกำลังจะเลื่อนขั้นเป็นท่านทูตแล้ว ถ้าข้าได้เลื่อนขั้นเป็นผู้การใหญ่ของสายมะโรง… มีแค่การกุมอำนาจกำลังพลอยู่ในมือเท่านั้น ต้องให้เบื้องบนไว้วางใจข้าเท่านั้น นี่ต่างหากที่เป็นที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเวยเวย ข้าไม่ยอมให้เวยเวยได้รับความไม่เป็นธรรมหรอก ไม่อย่างนั้นเวยเวยจะมีสิทธิ์ไปนั่งเสมอกับลูกสาวของคุณชายรองได้อย่างไร! ในเมื่อนางเด็กโง่นั่นตัดสินใจจะเดินทางนี้ พ่ออย่างข้าก็ไม่มีความสามารถอย่างอื่นแล้ว มีแต่ต้องช่วยเหลือประคับประคองนางอย่างสุดความสามารถ!” พูดจบก็เดินผ่ากลางหญิงรับใช้ทั้งสองไป เดินก้าวยาวออกไปแล้ว


ขณะที่มองเขาคล้อยหลังไป ชิงจวี๋ก็ถอนหายใจ “น่าสงสารจิตใจคนเป็นพ่อแม่ในโลกนี้ ต้องติดหนี้ลูกไปชั่วชีวิต! หลังจากมีคุณหนู นายท่านก็ไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอีกเลย!”


ชิงเหมยก็ถอนหายใจเช่นกัน “บุพเพสันนิวาสชั่วข้ามคืนในปีนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าฮูหยินท่านนั้นเป็นใครกันแน่ ถ้ารู้ว่าลูกสาวตัวเองจะแต่งงานแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร!”


เหมียวอี้หลบอยู่ลำพังในห้องสมาธิ เขาไม่ได้ฝึกตน แต่นอนอยู่บนเตียงเพียงลำพัง ใช้สองมือหนุนศีรษะ ยกขาเกยไขว่ห้าง นอนมองเพดานตาปริบๆ มองไม่ออกว่าสีหน้ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน และไม่รู้ด้วยว่ากำลังคิดอะไรอยู่


อวิ๋นจือชิวที่กำลังรับแขกอยู่ในห้องโถงกลับยิ้มหน้าระรื่น หยางชิ่งได้แสดงความคิดที่อยู่ในใจต่อหน้านางแล้ว แสดงท่าทีเร็วขนาดนี้ ช่างเป็นคนที่อ่านสถานการณ์ออกอย่างที่คาดไว้ บรรยายได้เพียงว่า ‘ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ’


หลังจากฟังหยางชิ่งแสดงท่าทีจบ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ผู้การหยางไม่ต้องมากพิธี จากนี้ไปก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว วันหลังเมื่อข้าได้คุมยอดเขาหยกนครหลวง ก็ต้องอาศัยอำนาจอิทธิพลมากมาย ตำแหน่งผู้การใหญ่ของสายมะโรงเป็นของท่านแน่นอน หยางชิ่ง”


“ขอบคุณที่ท่านทูตเอ็นดู!” หยางชิ่งคำนับขอบคุณด้วยความเคารพ


“ครอบครัวเดียวกันพูดอะไรอย่างนั้น ในเมื่อผู้การหยางคิดได้แล้ว ก็ไปชี้แนะน้องเวยเวยสักหน่อย ถ้านางแต่งงานแล้วไม่ได้รับคำอวยพรจากท่าน เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงจะไม่มีความสุข ตอนนี้นางอยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง อารมณ์หม่นหมองมาก นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ควรจะเกิดยามมีเรื่องมงคลมาเยือน!”


“ขอรับ!” หยางชิ่งเอ่ยรับ


อวิ๋นจือชิวหันมองข้างๆ “เสวี่ยเอ๋อร์ พาผู้การใหญ่ไปพบน้องเวยเวยไป”


หยางชิ่งกล่าวอำลา เสวี่ยเอ๋อร์นำทางตามคำสั่ง ถึงอย่างไรที่ตำหนักหลังก็มีผู้หญิงอยู่เยอะ ไม่ใช่ที่ที่ผู้ชายภายนอกจะรุกล้ำเข้าไปได้ตามอำเภอใจ


ส่วนอวิ๋นจือชิวเก็บรอยยิ้มแล้วถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นเดินไปหาเหมียวอี้ พอมาถึงห้องสมาธิฝึกตนก็ผลักประตูออก แล้วเดินตรงไปนั่งลงข้างเตียงศิลา นางจ้องมองเหมียวอี้ที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน แล้วยื่นมือไปลูบใบหน้าของเขา พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยังโกรธข้าอยู่อีกเหรอ?”


เหมียวอี้ตอบว่า “เปล่านี่! เจ้าพูดถูก ที่จริงคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมก็คือเจ้า ข้ามันไร้ประโยชน์ ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่ต้องทนรับความไม่เป็นธรรมแบบนี้หรอก”


อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “หนิวเอ้อร์ ตราบใดที่เจ้าไม่นอกใจข้า ข้าก็ยินดีรับความไม่เป็นธรรมจากเจ้าทุกอย่าง เจ้าคงไม่ได้แค้นข้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ย้ายสายตาจากเพดานไปอยู่บนหน้านาง แล้วยิ้มบางๆ “มีอะไรน่าแค้นล่ะ เป็นสิ่งที่เฝ้าปรารถนาน่ะสิไม่ว่า มีผู้หญิงเพิ่มมารวดเดียวสามคน ผู้ชายคนอื่นคงอิจฉาไม่ทันแล้ว ข้าว่าต่อให้เป็นแค่ความฝันก็ควรจะแอบดีใจ”


อวิ๋นจือชิวเอนกายลงช้าๆ นอนทับบนตัวเขา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้ารู้ว่าที่จริงแล้วเจ้าไม่มีความสุข ที่เจ้าบอกว่าชอบให้มีผู้หญิงเยอะๆ ข้าเชื่อ ข้าเห็นมาจากตัวพวกผู้ชายของตระกูลอวิ๋น มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่ชอบให้ข้างกายมีผู้หญิงสวยเยอะๆ แต่นิสัยเจ้าไม่ชอบโดนบีบบังคับ ถ้าบังคับให้เจ้ารับไว้ เจ้าจะต้องไม่ชอบแน่นอน! เจ้าลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดูสิ ขนาดฮูหยินอย่างข้ายังไม่ถือสาเลย คิดเสียว่าเป็นวาสนาก็แล้วกัน ซ้ายขวามีสาวงามให้กอด ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องโดนบังคับ ผู้ชายเวลาจะทำการใหญ่ ทำไมจะทนรับความไม่เป็นธรรมเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้ ตอนที่เจ้าได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด เจ้าจะพบว่าความไม่เป็นธรรมเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”


เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้แผ่นหลังนาง “ระคายเคือง ต่อไปถ้าใส่ของเกะกะไว้บนหัวก็อย่ามานอนหมอบบนตัวข้านะ”


ในศาลาที่สวนดอกไม้ข้างหลัง หลังจากพ่อกับลูกสาวได้พบหน้ากัน ฉินเวยเวยก็เรียกได้ว่าร้องไห้อย่างตื้นตันใจ การได้รับความยินยอมและคำอวยพรจากหยางชิ่ง ทำให้เฉินเวยเวยปลื้มปีติยินดีมากจริงๆ


แต่หารู้ไม่ว่าหยางชิ่งนึกเสียใจทีหลัง ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ในปีนั้นเขาควรจะตอบตกลงไปแล้ว แบบนั้นลูกสาวตัวเองคงไม่ตกต่ำถึงขั้นเป็นอนุภรรยาหรอก นางโดนบิดาอย่างเขาทำร้ายแล้วจริงๆ ในใจรู้สึกผิดจนยากจะอธิบายออกมาได้


 

 

 


ตอนที่ 927

 

ริมแม่น้ำจัวสุ่ย ฉิน!

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ไม่ต้องร้องไห้แล้ว!”


ใต้ศาลา รอบข้างเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ หยางชิ่งใช้มือช่วยเช็ดหยดน้ำตาที่เหมือนเม็ดไข่มุกให้ฉินเวยเวย พร้อมกล่าวอย่างสงสารว่า “ลูกสาวเติบโตแล้ว สุดท้ายก็ไม่อาจอยู่ข้างกายพ่อไปทั้งชีวิตได้ ความรู้สึกของพ่อซับซ้อนมากจริงๆ! เวยเวย ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน แต่การเป็นมนุษย์นั้นไม่ง่าย การทำเรื่องต่างๆ ก็ไม่ง่ายเช่นกัน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเลือกแล้ว เจ้าก็ควรจะทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไร ถ้าเจ้าอยากจะอยู่ใช้ชีวิตร่วมกับเขา ก็ใช่ว่าแต่งงานกับเขาแล้วทุกอย่างจะง่ายดายขนาดนั้น บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะอยากได้อะไร ก็ล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งนั้น สิ่งที่ต้องจ่ายไปอาจจะเป็นความเหน็ดเหนื่อย ความเจ็บปวดรวดร้าวใจ ถ้าอยากได้มาโดยไม่เปลืองแรง จุดจบจะต้องอนาถมากแน่นอน! ดังนั้นถ้าอยากอยู่กับเขาไปนานๆ ก็ต้องคว้าหัวใจเขาให้ได้ ถ้าใจเขาไม่ได้อยู่ที่เจ้า ต่อให้เจ้าได้แต่งงานกับเขาแล้วยังไงล่ะ? ถ้าเป็นเพียงความสมัครใจของเจ้าฝ่ายเดียว ก็จะไม่เกิดผลลัพธ์อย่างที่เจ้าเฝ้าหวังเด็ดขาด การเป็นลูกสาวกับการเป็นผู้หญิงนั้นต่างกัน เข้าใจมั้ย?”


“อื้ม… ค่ะ… อื้ม…” ไม่ว่าจะฟังเข้าใจหรือไม่ ฉินเวยเวยก็เอาแต่พยักหน้าทั้งน้ำตา แค่คนเป็นพ่อพูดอะไรแบบนี้กับนางได้ นางก็ซาบซึ้งมากแล้ว


หยางชิ่งช่วยเช็ดน้ำตาให้นางอีก “บางสิ่งบางอย่าง ผู้ชายอย่างข้าไม่สะดวกจะพูดกับเจ้า เดี๋ยวข้าจะให้ชิงเหมย ชิงจวี๋มาคุยกับเจ้าเยอะๆ หน่อย ถึงอย่างไรพวกนางก็อาบน้ำร้อนมาก่อน ถ้ามีจุดไหนที่ไม่เข้าใจ เจ้าก็ถามพวกนางเยอะๆ พวกนางก็หวังดีกับเจ้าเหมือนกัน ไม่ปิดบังหรอก”


“ค่ะ…” ฉินเวยเวยยังคงพยักหน้าเหมือนเดิม


หยางชิ่งใช้สองมือประคองไหล่นาง แล้วกล่าวอย่างใจหายว่า “จะแต่งงานแล้ว! เป็นเรื่องน่ายินดี อย่าร้องไห้งอแงสิ ถ้าจัดการอารมณ์ตัวเองเสร็จแล้ว ก็กลับไปที่ตำหนักเจิ้นติง ตอนนี้เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นประมุขตำหนักเจิ้นติงอีกต่อไปแล้ว ต้องไปเตรียมการเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าเตรียมส่งมอบงานเสร็จแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่ต้องสนใจ พ่อจะช่วยเตรียมการให้เจ้าเอง”


“ค่ะ!” ฉินเวยเวยสะอึกสะอื้น


พอตบบ่านางสองสามที หยางชิ่งก็ไม่เน้นพูดเรื่องความรักอีก หันตัวเดินออกไปทันที


ตอนกระทั่งตอนนี้ ฉินเวยเวยถึงได้พบว่าฝ่ามือที่หนาใหญ่ของคนเป็นพ่อนั้นอบอุ่นมาก ไม่เหมือนเป็นพ่อบุญธรรม แต่เหมือนเป็นพ่อแท้ๆ ผู้ให้กำเนิด สิ่งนี้ทำให้นางยิ่งร้องไห้อย่างปวดใจกว่าเดิม


ดังนั้น ฉินเวยเวยจึงกลับไปที่ตำหนักเจิ้นติง


เรื่องมหามงคลขนาดนี้ปิดบังได้ไม่นานเท่าไร ทางตำหนักเจิ้นติงรู้เรื่องเร็วมาก คำสั่งจากปราสาทดำเนินสุริยันก็มาแล้วเช่นกัน ถอดฉินเวยเวยออกจากตำแหน่งประมุขตำหนักเจิ้นติง บอกว่าจะให้ไปดำรงตำแหน่งอื่น คนที่จะรับตำแหน่งต่อมาถึงเร็วมาก ต้องรอให้ฉินเวยเวยส่งมอบงานเสร็จก่อน แล้วค่อยกลับไปรับคำสั่งที่ปราสาทดำเนินสุริยัน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือไปรอเข้าพิธีแต่งงาน


ในห้องนอน ฉินเวยเวยกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางสวมชุดกระโปรงสีขาวและปล่อยผมยาวคลุมบ่า ทั้งใฝ่ฝันจินตนาการทั้งตื่นเต้นกับวันนั้นที่กำลังจะมาถึง ช่วงนี้มักจะคิดมากเสมอ


จังหวะการเดินไปเดินมาของหงเหมียน ลู่หลิ่วเหมือนจะเปลี่ยนเป็นเริงร่าขึ้นหลายเท่า ในที่สุดเจ้านายก็จะได้แต่งงานแล้ว แม้จะวนอ้อมไปรอบหนึ่ง แต่คนที่จะได้แต่งงานด้วยก็ยังเป็นคนคนนั้น


ถึงแม้จะอารมณ์ดี แต่ก็ไม่อาจปิดบังความไม่พอใจเล็กๆ ที่อยู่ในใจทั้งสองได้ หงเหมียนที่กำลังหวีผมให้ฉินเวยเวยบ่นว่า “เดิมทีควรจะเป็นคุณหนูที่ได้เป็นภรรยาเอก ถ้าไม่ใช่เพราะปีนั้นผู้การใหญ่หยางใช้กระบองตีนกเป็ดน้ำให้แยกคู่[1] เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับคนแซ่อวิ๋นอะไรนั่นแล้ว”


ฉินเวยเวยจ้องมองกระจกพร้อมบอกว่า “ต่อไปห้ามพูดอะไรแบบนี้อีก ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งนั้น”


“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนคุณหนู พูดแค่ตอนอยู่ต่อหน้าคุณหนูก็เท่านั้นเอง” หงเหมียนพึมพำ


หงเหมียน ลู่หลิ่วที่กำลังยุ่งวุ่นอยู่หน้ากระจก บนใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัยนิดหน่อย ฉินเวยเวยรู้สึกปลงในใจ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “พวกเจ้าสองคนติดตามข้ามานานขนาดนี้ ไม่ยุติธรรมกับพวกเจ้าเลย พวกเจ้าไม่ต้องห่วงนะ หลังจากแต่งงานข้าจะโน้มน้าวให้นายท่านรีบไปเข้าห้องหอกับพวกเจ้า จะเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้รสชาติของการเป็นผู้หญิงไปทั้งชีวิตไม่ได้”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา หญิงรับใช้ทั้งสองก็หน้าแดงทันที


ทั้งสองต้องแต่งงานไปพร้อมกับเจ้านาย นี่คือเรื่องที่ต้องมาถึงในสักวันหนึ่ง ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวเรื่องแต่งงาน จังหวะการก้าวเท้าของทั้งสองถึงได้ฟังดูเริงร่าขนาดนั้น ในใจรู้สึกตื่นเต้นหรรษา เพียงแต่โดนพูดเปิดโปงความคิดในใจแบบนั้น จะให้พวกนางทนความรู้สึกได้อย่างไร


แต่ในเมื่อเจ้านายพูดแบบนี้แล้ว ก็ทำให้คนรู้สึกทั้งเขินอายทั้งโชคดี ใช่ว่าหญิงรับใช้ของเจ้านายที่เป็นผู้หญิงทุกคนจะโชคดีแบบนี้ หญิงรับใช้บางคนไปเจอกับเจ้านายที่อยู่เป็นโสดไปทั้งชีวิต พวกนางก็ทำได้เพียงเป็นม่ายทั้งชีวิตเช่นกัน ยังมีที่แย่กว่านั้น ก็คือโดนเจ้านายผู้หญิงหวงแหน ไม่ยอมให้ผู้ชายแตะต้อง หญิงรับใช้ประจำตัวแบบนี้ ใช่ว่าพวกนางจะไม่เคยเจอมาก่อน เมื่อวันเวลานานไปใบหน้าก็จะเหมือนเด็กสาวอ่อนต่อโลก จืดชืด ทำหน้าเหมือนมีใครติดหนี้นางอย่างนั้นแหละ บนใบหน้าราวกับเขียนคำว่า ‘ไร้หัวใจ’ เอาไว้ ดูแล้วน่ากลัว ผู้หญิงประเภทนั้นเหมือนกับที่เจ้านายบอกจริงๆ เป็นผู้หญิงที่ไม่รู้รสชาติของการเป็นผู้หญิงไปทั้งชีวิต…


ทางปราสาทดำเนินสุริยันไม่ต้องส่งมอบงาน หลังจากอวิ๋นจือชิวได้คุมยอดเขาหยกนครหลวงแล้วค่อยจัดการ แค่ต้องเตรียมการทางด้านนี้นิดหน่อยก็พอ


หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นจือชิวก็นำกำลังคนไปที่เมืองหลวง ไปรับงานกับจงเจิ้นแบบต่อหน้า เท่านี้ก็นับว่าได้กลายเป็นท่านทูตสายมะโรงอย่างเป็นทางการแล้ว


ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงราวกับภาพฝันมายาที่อยู่ในภาพวาด อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งรับช่วงต่อปราสาททองงานยุ่งมาก ไม่ใช่แค่ในด้านพิธีการ ทั้งยังมีประมุขปราสาทสายต่างๆ คอยเข้าพบ มีแขกจากที่ต่างๆ มาร่วมแสดงความยินดี รวมทั้งงานเล็กงานใหญ่ต่างๆ อีก


ถึงแม้เหมียวอี้จะถูกอวิ๋นจือชิวแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของสายมะโรงทันที แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปแทรกแซงงานอะไร และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมาด้วย ตอนนี้ข้างบนมีอวิ๋นจือชิวคุม ส่วนข้างล่างก็มีหยางชิ่งทำงานให้ แล้วก็ไม่มีใครสะดวกใจจะใช้ให้เขาทำอะไรทั้งนั้น อุตส่าห์เข่นฆ่าฝ่าฟันขึ้นมาตลอดทาง ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนว่างงานจริงๆ แล้ว


เพราะเหตุนี้ ถ้าเขาไม่เก็บตัวฝึกฝน ก็ไปล่องเรือบนทะเลสาบหยกโดยมีหลินผิงผิงไปเป็นเพื่อน ถ้าได้ว่างแบบนี้ไปทั้งชีวิตเขาก็ไม่เป็นไร แต่นั่นเป็นเรื่องเพ้อฝัน


กลับเป็นหลินผิงผิงที่รู้สึกทอดถอนใจยิ่งกว่าเขา นางนึกไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าฮูหยินของเหมียวอี้จะกลายเป็นนายท่านของเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นนายท่านของสายมะโรงที่มีภูเขาแม่น้ำนับหมื่นลี้และมีสาวกนับไม่ถ้วน


บนระลอกคลื่นสีเขียวมรกต ลมยามเย็นพัดเบาๆ แสงอาทิตย์ยามเย็นย้อมจนเป็นสีแดง ผิวน้ำเป็นระลอกคลื่น บนเรือดอกไม้ลำเล็ก เหมียวอี้ที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ราวกับง่วงนอนเอ่ยว่า “หลินผิงผิง ตอนนี้ตำแหน่งหาข่าวในเมืองหลวงที่เจ้าทำไม่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว วรยุทธ์อย่างเจ้าเป็นประมุขจวนก็พอได้ ในสายมะโรงเจ้าเลือกได้ตามใจชอบเลย ชอบจวนไหนก็บอกมา ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้า”


หลินผิงผิงที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างลำบากใจ “ข้าน้อยเอ้อระเหยลอยชายจนชินแล้ว ทำอะไรเป็นการเป็นงานไม่ได้ เรื่องห้ำหั่นกันด้วยกลอุบาย เกรงว่าข้าน้อยจะทำหน้าที่ได้ไม่ดี”


เหมียวอี้หลับตาขานรับ “เจ้าเองก็รู้ ข้าจะยังมีฐานะสำคัญอีกอย่าง เป็นประมุขถิ่นกลางของทะเลดาวนักษัตร ข้ามีตำหนักอยู่หลังหนึ่งที่ทะเลดาวนักษัตร ยังไม่มีคนของตัวเองไปเฝ้าพอดี เจ้าเต็มใจจะไปมั้ย?”


หลินผิงผิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “หากนายท่านรู้สึกว่ามีความจำเป็น ข้าน้อยก็ย่อมปฏิบัติตามคำสั่ง!”


“ฟังดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนะ” เหมียวอี้กล่าวอย่างเนิบนาบเกียจคร้าน “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”


หลินผิงผิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป เกิดอาลัยอาวรณ์ความเจริญรุ่งเรืองของโลกมนุษย์ที่นี่ ชอบดูมนุษย์ในโลกนี้ค่อยๆ แก่ตัวไป แล้วมีชีวิตใหม่เริ่มต้นอีก วนไปวนมาซ้ำๆ มองเท่าไรก็ไม่เบื่อ!”


แสงแดดสีแดงยามเย็นสาดใส่เก้าอี้โยก จู่ๆ เหมียวอี้ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ชี้นางพร้อมบอกว่า “ข้าอนุญาตให้เจ้าเป็นอิสระอยู่ในโลกนี้! แน่นอน มันอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ข้ายังมีความสามารถนี้อยู่นะ ตำแหน่งว่างงานแบบนี้ ข้าจะเก็บไว้ให้เจ้าต่อไปก็แล้วกัน!”


หลินผิงผิงอึ้งทันที จู่ๆ ก็รู้สึกว่านายท่านสูญเสียความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาที่เคยมีในอดีตไปแล้ว ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเบื่อหน่ายสุดๆ…


ส่วนอันหรูอวี้คุณชายรองของแดนโพ้นสวรรค์ ตอนนี้มาถึงยอดเขาหยกนครหลวงแล้ว เหตุผลที่มาก็คือแสดงความยินดีที่อวิ๋นจือชิวได้เลื่อนขั้น แต่เจตนาที่แท้จริงก็คือ มาติดต่อพูดคุยเรื่องฤกษ์แต่งงานกับอวิ๋นจือชิว


การมาหาอวิ๋นจือชิวเพื่อคุยเรื่องแบบนี้ ทำให้อันหรูอวี้รู้สึกจนใจมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะในอนาคตท่านนี้จะได้เป็นภรรยาเอก เรื่องอนุภรรยาก็ต้องให้นางจัดการเช่นกัน กอปรกับที่อวิ๋นจือชิวเป็นท่านทูตสายมะโรง เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าบ้าน ถ้าไปทำให้อวิ๋นจือชิวไม่พอใจ เกรงว่าในอนาคตลูกสาวของตนจะใช้ชีวิตลำบาก ถ้าไม่มาหาอวิ๋นจือชิวแล้วจะให้ไปหาใครล่ะ


ตอนที่คุยกัน อวิ๋นจือชิวดึงตัวหยางชิ่งมาด้วย เพื่อให้มาปรึกษาหารือร่วมกัน ถึงอย่างไรลูกสาวของหยางชิ่งก็จะแต่งงานเหมือนกัน จะฟังความคิดเห็นคนอื่นไม่ได้


เลือกฤกษ์มงคลสำหรับวันแต่งงานได้แล้ว เป็นครึ่งเดือนหลังจากนี้


เดิมทีอวิ๋นจือชิวอยากจะจัดงานให้ใหญ่โต ไม่อยากให้เจ้าสาวใหม่ทั้งสามคนน้อยเนื้อต่ำใจ ปรากฏว่าอันหรูอวี้กับหยางชิ่งคัดค้าน ต้องการให้จัดแบบเรียบง่าย เหตุผลก็คือการแต่งงานเป็นอนุภรรยาไม่จำเป็นต้องจัดใหญ่โต


เมื่อเดินในเส้นทางนี้แล้ว อันหรูอวี้ก็ไม่อยากจัดงานให้โดนเด่นเกินหน้าเกินตาอวิ๋นจือชิวในตอนแรก กลัวว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่พอใจแล้วมาหาเรื่องลูกสาวตัวเอง หยางชิ่งก็กังวลเช่นเดียวกัน ในเมื่อจะแต่งเป็นอนุภรรยาก็ต้องมีจิตสำนึกของอนุภรรยา


อวิ๋นจือชิวเห็นว่าโน้มน้าวไม่ได้ผล จึงทำตามเจตนาของทั้งสอง ที่จริงในใจก็ภูมิใจอยู่นิดๆ นับว่าพวกเจ้าอยู่เป็น ไม่ลืมว่าใครกันแน่ที่เป็นภรรยาเอก!


หลังจากตกลงเรื่องนี้กันได้ อันหรูอวี้ถึงได้กลับไปอย่างหายกังวล นางอยากจะจัดการเรื่องหนักใจให้เสร็จเร็วๆ ก่อนที่นางกับสามีจะได้รับโทษ ไม่อยากให้มีเงามืดมาบดบังตอนลูกสาวตัวเองแต่งงาน


เรื่องแต่งงานส่งต่อให้หยางชิ่งกับเหยียนซิวช่วยกันจัดการ ผู้การใหญ่ฝ่ายนอกและฝ่ายในรับผิดชอบร่วมกัน เหมียวอี้ขี้คร้านจะกังวลเรื่องนี้ ก็เหมือนที่เขาบอกกับอวิ๋นจือชิว งั้นข้ารอเข้าห้องหอก็พอ!


ปรากฏว่ายั่วให้อวิ๋นจือชิวโมโหจนเตะต้นขาเขาอย่างแรงหนึ่งที!


เหมียวอี้รับอนุภรรยาพร้อมกันสามคน แถมมู่ฝานจวินยังประทานงานสมรสให้ด้วย ย่อมเป็นข่าวไปทั่วทั้งแดนฝึกตนอยู่แล้ว คนมากมายที่ไม่รู้สถานการณ์รู้สึกแปลกใจมาก ปราชญ์เซียนมู่ฝานจวินจะยัดผู้หญิงให้เหมียวอี้ในรวดเดียวไปทำไม? ทำไมวาสนาแบบนี้ไม่ตกมาถึงข้าบ้าง?


ด้วยเหตุนี้ จึงเพิ่มความพิลึกพิลั่นให้กับชื่อเสียงของไอ้เหมียวจัญไรหลายส่วน คนที่ไม่เคยเจอก็อยากจะเห็นลักษณะท่าทางของเขาจริงๆ


หญิงรับใช้คนหนึ่งของโอวหยางกวงมาถึงแล้ว ทั้งยังพาหญิงรับใช้ของโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนมาด้วยสองคน มาเข้าร่วมการเตรียมงานแต่งงาน เมื่อถึงเวลานั้น อย่าให้คนที่มาใหม่ไม่รู้แม้กระทั่งห้องหอต้องเดินเข้าออกทางไหน


หยางชิ่งกำลังจัดการกิจธุระของสายมะโรงไปพร้อมๆ กับจัดการเรื่องงานแต่งงาน เขายุ่งคนไม่มีเวลาไปฝึกตน ตอนนี้กำลังอยู่ในจวนผู้การใหญ่และเร่งทำความเข้าใจสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ของสายโรง ชิงจวี๋กลับวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ปกติ นางกล่าวเสียงสั่นว่า “นายท่าน! มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ!”


“ใคร?” หยางชิ่งเงยหน้าถาม สังเกตได้เช่นกันว่าชิงจวี๋มีปฏิกิริยาไม่ปกติ


ชิงจวี๋วางแผ่นหยกไว้บนโต๊ะยาว เม้มริมฝีปากแน่น ไม่ยอมตอบอะไรทั้งนั้น


หยางชิ่งสงสัย พอหยิบแผ่นหยกมาอ่าน ก็ลุกพรวดขึ้นทันที เบิกตาโพลงและหายใจถี่กระชั้น ในแผ่นหยกมีอักษรเพียงไม่กี่ตัว : ริมแม่น้ำจัวสุ่ย ฉิน!


เมื่อเห็นเขาทำท่าเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ชิงเหมยก็รีบมองไปที่ชิงจวี๋ด้วยแววตาสอบถาม เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเหม่อลอย จึงไม่เข้าใจที่นางสื่อ


หยางชิ่งที่ได้สติกลับมาหลังจากผ่านไปนาน ตอนนี้กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก แล้วถามว่า “นางไม่รู้เลยว่าข้าเป็นใคร ทำไมถึงมาหาข้าที่นี่ได้ เป็นนางเหรอ?”


“เบื้องล่างส่งรายงานขึ้นมาเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ออกไปพบ!” ชิงจวี๋ส่ายหน้า


“เรื่องแต่งงานอาจจะสะเทือนไปถึงนาง ไปเชิญมาเถอะ!” หยางชิ่งถอนหายใจเบาๆ


หลังจากชิงจวี๋ออกไปแล้ว ชิงเหมยก็รีบถาม “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ?”


หยางชิ่งยื่นแผ่นหยกในมือให้ “เจ้าอ่านเองสิ”


หลังจากชิงเหมยรับมาอ่าน ก็ตะลึงงันในทันที เบิกตาโพลงขึ้นหลายส่วน ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ


…………………………


[1] ใช้กระบองตีนกเป็ดน้ำให้แยกคู่ 棒打鸳鸯 หมายถึง ขัดขวางไม่ให้รักกัน

 

 

 


ตอนที่ 928

 

 เล็กน้อยกว่าต้นหญ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

แขกรออยู่ที่ตีนเขา เมื่อได้รับคำสั่งก็ย่อมปล่อยให้เข้ามา ชิงจวี๋กำลังรออยู่ที่ประตูจวนผู้การใหญ่ ประสานมือเข้าด้วยกัน ดูค่อนข้างกังวลใจ


ผ่านไปไม่นาน แขกก็มาถึงแล้ว เป็นสตรีคนหนึ่งที่รูปร่างอรชรอ่อนช้อย แต่งกายเรียบง่าย สวมหมวกงอบและปิดบังใบหน้าด้วยผ้ามุ้งสีดำ ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่กลับปิดบังความถือตัวที่ซ่อนอยู่ในอากัปกิริยาไม่ได้


ชิงจวี๋โบกมือให้คนที่นำทางออกไป สีหน้านางสื่ออารมณ์ซับซ้อน มองสำรวจใบหน้าที่อยู่หลังผ้ามุ้งไม่หยุด เหมือนอยากจะวินิจฉัยใบหน้าที่อยู่เบื้องหลัง


สตรีที่สวมหมวกงอบคลุมผ้ามุ้งสีดำจ้องมองชิงจวี๋เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า “เป็นพวกเจ้าจริงๆ ด้วย จวี๋เอ๋อร์ ไม่เจอกันนานเลยนะ”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ชิงจวี๋ก็ตัวสั่นเล็กน้อย เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว ไม่กล้าทำให้คนนอกสงสัย เพียงเบี่ยงตัวหลีกทางแล้วยื่นมือเชิญ  “นายท่านรออยู่ข้างใน เชิญเจ้าค่ะ!”


ผู้ที่มาก็ไม่เกรงใจเหมือนกัน เดินเนิบนาบตามหลังชิงจวี๋ มุ่งตรงไปยังห้องทำงานของหยางชิ่ง


หยางชิ่งเอามือไขว้หลังยืนมองภาพวาดบนผนัง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้ามาอย่างช้าๆ


ชิงเหมยมองดูผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาในห้องตาปริบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยการเฝ้าคอย แววตาที่จ้องมองผ้ามุ้งสีดำฉายแววเหมือนกำลังสำรวจค้นหา


ผู้ที่มากำลังยืนอยู่ในห้อง หลังจากสบตากับหยางชิ่งเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!” พูดจบก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นถอดหมวกงอบที่มีผ้ามุ้งห้อยลงมา เปิดเผยโฉมหน้าที่งามล่มเมือง หน้าตางดงามดุจภาพวาด ดวงตาชุ่มฉ่ำดุจหนองน้ำในฤดูใบไม้ร่วงจริงๆ


เมื่อโฉมหน้าที่แท้จริงปรากฏ ชิงเหมย ชิงจวี๋ก็ตัวสั่นพร้อมกัน รีบเข้ามาคำนับอย่างฮึกเหิม “บ่าวคำนับฮูหยิน!”


ถ้าตอนนี้เหมียวอี้ได้มาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ที่มา ก็จะต้องตกตะลึงมากแน่นอน นางคือฉินซี ฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน!


ฉินซีผายมือเล็กน้อย “เหมยเอ๋อร์ จวี๋เอ๋อร์ ไม่เจอกันนานเลยนะ ไม่ต้องมากพิธี”


หญิงรับใช้ทั้งสองยืนตัวตรง แล้วชิงจวี๋ก็รีบถอยออกไปเฝ้าประตู ป้องกันไม่ให้คนนอกเข้าใกล้ ส่วนชิงเหมยก็รีบนำน้ำชามารินให้ แต่ฉินซีโบกมือบอกใบว่าไม่ต้อง


หยางชิ่งเม้มริมฝีปากแน่น แววตาค่อนข้างตื่นเต้นหวั่นไหว แต่สีหน้ากลับค่อยๆ นิ่งเฉย แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”


“หยางก่วง… ไม่สิ ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าหยางก่วง หรือควรจะเรียกเจ้าว่าหยางชิ่งดีล่ะ?” ฉินซีถาม


“แล้วข้าควรจะเรียกเจ้าว่าฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน หรือควรจะเรียกเจ้าว่าฉินซีล่ะ?” หยางชิ่งถามกลับ


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นชิงเหมยที่ยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ หรือชิงจวี๋ที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี ฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน? อย่าบอกนะว่านายท่านรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของฮูหยินลึกลับคนนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว?


“อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้ถึงฐานะของข้าตั้งแต่ปีนั้นแล้ว?” ฉินซีขมวดคิ้วถาม


ในดวงตาหยางชิ่งฉายแววตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ตอนแรกก็ไม่รู้ ถ้ารู้ข้าจะกล้าแตะต้องเจ้าเหรอ ตอนหลังพอเริ่มจะมีประสบการณ์ความรู้ขึ้นมาบ้าง ก็เลยเดาได้นิดหน่อย แม่น้ำจัวสุ่ยถือว่าห่างจากสำนักงามวิจิตรไม่ไกล สตรีแซ่ฉินคนหนึ่ง หน้าตางดงามดุจเทพธิดา สามารถอาศัยอยู่ตรงนั้นลำพังได้โดยไม่มีใครกล้ารบกวน ทั้งยังมีวรยุทธ์ระดับบงกชม่วง ได้ยินว่าฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยก็เฉินแซ่ฉิน มีหน้าตางดงามเหมือนกัน และมีวรยุทธ์ระดับบงกชม่วงเหมือนกัน กอปรกับกิริยาท่าทางของเจ้าในปีนั้น ข้าจะไม่นึกเชื่อมโยงไปได้อย่างไร แต่สิ่งที่ทำให้ข้าคิดไม่ตกมาตลอดก็คือ ถ้าเจ้าเป็นฉินซีท่านนั้นจริงๆ เหตุใดจึงลดตัวลงมาให้คนต่ำต้อยอย่างข้าล่ะ จนกระทั่งลองถามดูเมื่อครู่นี้ ข้าถึงได้แน่ใจแล้วจริงๆ!”


ฉินซีถอนหายใจแล้วบอกว่า “หยางก่วง… หยางชิ่ง เจ้ายังฉลาดเหมือนเดิม นี่คือเหตุผลที่ตอนนั้นข้าไม่กล้าอยู่กับเจ้านาน กลัวว่าเวลานานไปจะปิดบังเจ้าไม่ได้”


หยางชิ่งแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “ตอนนี้ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ เหตุใดในปีนั้นเฟิงฮูหยินจึงยอมร่วมมีความสุขกับหยางคนนี้? หยางยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายมากความสามารถที่ผู้หญิงเห็นแล้วจะตกหลุมรักแน่นอน ช่างเข้าใจยากจริงๆ!”


ฉินซีตอบเสียงเรียบว่า “เรื่องที่ไม่ควรรู้ก็ไม่ต้องถามแล้ว ใช่ว่าเจ้าจะไม่ปิดบังเหมือนกัน ข้าคิดมาตลอดว่า ‘หยางก่วง’ คนนั้นเป็นนักพรตของแดนอู๋เลี่ยง ใครจะคิดว่าจะเป็นนักพรตของแดนเซียน ทำไมตอนนั้นเจ้าถึงไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่นได้?”


หยางชิ่งตอบว่า “ตอนนั้นได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ไปทำงานนอกสถานที่ นักพรตเล็กๆ ของแดนเซียนอย่างข้าจะกล้าเปิดเผยตัวตนที่แดนอู๋เลี่ยงได้อย่างไร ย่อมต้องปลอมตัวเป็นนักพรตแดนอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว เจ้าไม่เต็มใจบอกชื่อแซ่ของตัวเอง หยางคนนี้ย่อมไม่กล้าเปิดอกพูดตรงๆ! เฟิงฮูหยิน เรื่องในอดีตไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว ข้าว่าถ้าเรื่องราวในช่วงนั้นถูกเปิดโปง ก็จะไม่เป็นผลดีอะไรกับเจ้าเช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ทำร้ายกันอย่างนั้น ตอนนี้ข้ากลับแปลกใจ เจ้ามาหาข้าที่นี่โดยตรงเลยเหรอ?”


ฉินซีตอบว่า “ชื่อของลูกสาว ข้าเป็นคนตั้งเอง ข่าวที่เวยเวยจะแต่งงานโด่งดังไปทั่ว จะไม่ดึงดูดความสนใจของข้าได้อย่างไร?”


หยางชิ่งส่ายหน้า “คำพูดหลอกลวงแบบนี้ไปพูดกับคนอื่นอาจได้ผล แต่หลอกข้าไม่ได้หรอก ต่อให้เรื่องงานแต่งงานของเวยเวยจะดึงดูดความสนใจของเจ้า แต่ก็ใช่ว่าโลกนี้จะไม่มีคนชื่อแซ่เดียวกัน เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเราคือคนที่เจ้าตามหา ยอมเสี่ยงที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงเพื่อมาหาด้วยตัวเองเลยเหรอ? ยอดเขาหยกนครหลวงไม่ใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไป เจ้าเข้ามาไม่รู้ตาม้าตาเรือแบบนี้ ใช่ว่าเจ้าคิดอยากจะไปที่ไหนก็ไปได้นะ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กังวลเลยสักนิด? ก่อนหน้านี้เจ้าต้องแน่ใจแล้ว ถึงได้กล้าบุกเข้ามาตรงๆ!”


ฉินซีพยักหน้า “ไม่ผิดหรอก ก่อนหน้านี้ข้าแน่ใจแล้ว ข้าเคยเจอเวยเวยที่สำนักงามวิจิตร เคยยืนยันต่อหน้า”


เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ ชิงเหมย ชิงจวี๋และหยางชิ่งก็พากันงุนงง หยางชิ่งขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าเคยเจอเวยเวยที่สำนักงามวิจิตรเหรอ?”


ฉินซีตอบว่า “พอพูดถึงเรื่องนี้ก็ยังคิดจะถามเจ้าอยู่เลย เจ้าน่าจะรู้นะว่าเหมียวอี้เป็นศัตรูกับแดนอู๋เลี่ยง ทำไมยังให้เวยเวยตามเหมียวอี้ไปสำนักงามวิจิตรเพื่อร่วมงานประลองของวิเศษอีก? เจ้ารู้รึเปล่า ถ้าตอนนั้นข้าไม่ได้แอบมาแทรกแซงให้เวยเวยแยกกับเหมียวอี้ได้ทันเวลา เกรงว่าเวยเวยคงจะไม่รอดชีวิตกลับมาแล้ว เจ้าดูแลลูกสาวแบบนี้เหรอ?”


หยางชิ่งตกใจมาก “เวยเวยก็ไปงานประลองของวิเศษของสำนักงามวิจิตรเหรอ? เอ่อ…” เขาเหม่อลอยไปพักใหญ่ เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ส่ายหน้าไม่หยุดพร้อมบอกว่า “ลูกสาวโตขึ้นแล้วรั้งไว้ไม่อยู่จริงๆ ขนาดเรื่องแบบนี้ก็ยังปิดบังข้า!”


ชิงเหมย ชิงจวี๋ก็เดาออกแล้วเช่นกัน ในช่วงเวลานั้นเหมือนฉินเวยเวยจะติดธุระ บอกว่าจะไปตรวจตรากำลังพลเบื้องล่าง ที่แท้ก็ตามเหมียวอี้ไปสำนักงามวิจิตรนี่เอง หญิงรับใช้ทั้งสองคิดแล้วขนลุก เรื่องในครั้งนั้นใหญ่โตขนาดไหน เป็นการร่วมตัวของกลุ่มพี่ใหญ่ทั้งนั้น นักพรตบงกชทองตายไปเป็นโขยง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนอี้ ที่ขนาดก่อเรื่องไปทั่วแล้วยังรักษาชีวิตไว้ได้ ในที่สุดตอนนี้ทั้งสองก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมหยางชิ่งไม่กล้าบอกฉินเวยเวยเรื่องที่เตรียมตัวจะหนีเหมียวอี้ ขนาดเรื่องแบบนั้นยังกล้าช่วยเหมียวอี้ปิดบัง ลูกสาวโตแล้วรั้งไม่อยู่จริงๆ


ที่จริงสำหรับพวกนางสองคน ฉินเวยเวยก็เหมือนกับเป็นลูกสาวของพวกนางครึ่งหนึ่งเหมือนกัน


หลังจากทำสีหน้ากลัดกลุ้มได้สักพัก หยางชิ่งก็เอาแต่ส่ายหน้า มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีความหมายแล้ว นางกำลังจะแต่งงานกับเหมียวอี้ ให้ไปถามซักไซ้เหมียวอี้อีกจะมีความหมายอะไร? จึงถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าเฟิงฮูหยินมาด้วยเจตนาอะไร คงไม่ได้คิดจะมาร่วมงานแต่งงานของเวยเวยหรอกใช่มั้ย ด้วยฐานะของเจ้า ทำแบบนี้เหมือนจะไม่เหมาะสมกระมั้ง?”


ฉินซีแสยะยิ้ม “ข้าแค่อยากจะมาถามสักหน่อย ถึงอย่างไรเวยเวยก็เป็นลูกสาวเจ้า เจ้าทำใจเห็นลูกสาวตัวเองไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นได้อย่างไร ผู้ชายดีๆ ในโลกนี้ตายไปหมดแล้วรึไง”


หยางชิ่งตอบเสียงเรียบว่า “เวยเวยจะแต่งงานกับใคร เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ? ถ้าเจ้าหวังดีกับนางจริงๆ ข้าแนะนำว่าให้เจ้ามาเงียบๆ แล้วกลับไปเงียบๆ อย่าทำให้เวยเวยหนักใจโดยไม่จำเป็น!”


ฉินซีกัดริมฝีปาก แล้วพยักหน้าบอกว่า “ข้าเข้าใจแล้ว นักพรตเล็กๆ คนหนึ่งสามารถไต้เต้าเป็นผู้การใหญ่ได้ด้วยเวลาสั้นๆ สองพันปี ช่างเป็นคนที่สามารถทำในเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ เพื่อที่จะขึ้นสู่ตำแหน่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะขายลูกสาวตัวเองทิ้งอย่างไม่เสียดาย ใช้ฐานะของลูกสาวแลกเกียรติยศความร่ำรวยให้ตัวเอง เจ้านี่ใช้ได้จริงๆ!”


ชิงเหมย ชิงจวี๋แอบร้องในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว คำพูดพวกนี้สามารถยั่วโมโหนายท่านได้แน่นอน ชิงเหมยรีบบอกว่า “ฮูหยิน ไม่ใช่อย่างนี้เจ้าค่ะ นายท่านพยายามขัดขวางอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่คุณหนูไม่สนใจและต่อต้านนายท่าน…”


“หุบปาก! ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับนางทั้งนั้น!” หยางชิ่งโบกมือ ทำสีหน้าเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ถามเหน็บแหนมกลับว่า “เฟิงฮูหยิน ใครก็มีสิทธิ์พูดแบบนี้ได้ แต่มีเจ้าคนเดียวที่ไม่มีสิทธิ์! เจ้าจำได้รึเปล่าว่าหลังจากเจ้าให้กำเนิดเวยเวยแล้ว ตอนที่ตั้งชื่อให้เวยเวย เจ้าพูดว่าอะไร?”


ฉินซีเงียบไป หยางชิ่งจึงยิ้มเย้ย แล้วบอกว่า “เกรงว่าคงจะลืมแล้ว? ข้าจะเตือนเจ้าสักหน่อย เจ้าบอกว่า จอกแหนสายน้ำต่างที่มา เล็กน้อยกว่าต้นหญ้า เจ้าบอกว่าเดิมทีนางไม่ควรเกิดมาบนโลกใบนี้ ถึงได้ตั้งชื่อให้นางว่าฉินเวยเวย[1] หึหึ ไม่น่าเชื่อว่าในสายตาเจ้า นางจะเล็กน้อยกว่าต้นหญ้า… สามเดือนหลังจากนั้น เจ้าก็จากไปโดยไม่บอกลา เคยแสดงความรับผิดชอบต่อลูกสาวสักนิดหรือเปล่า เจ้ามีสิทธิ์มาพูดแบบนี้กับข้าเหรอ? ลูกสาวคนนี้ข้าเลี้ยงมาเองกับมือ!”


ฉินซีเหน็บแหนมกลับว่า “ใช่ เจ้าได้ทำหน้าที่พ่อสุดความสามารถแล้ว หลอกนางว่านางเป็นเด็กกำพร้าที่เก็บมาจากข้างทาง จากนั้นเจ้าก็เลี้ยงนางจนเติบใหญ่อย่างซื่อสัตย์จงรักภักดี แล้วก็ให้นางไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นอย่างสบายใจ เพื่อให้เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น”


หยางชิ่งเดือดดาลทันที ชี้มาที่นางแล้วตะคอกว่า “ที่ข้าไม่บอกนางว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของนางเป็นใคร ก็เพื่อปกป้องนาง ที่สำคัญที่สุดคือไม่อยากให้นางรู้ ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดแอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับคนอื่นถึงได้ให้กำเนิดนางออกมา ให้เป็นเด็กกำพร้าก็ยังดีกว่าให้นางแบกคำว่า ‘ลูกนอกคอก’ ไปทั้งชีวิต เจ้าคิดว่าข้าอยากให้นางเป็นเด็กกำพร้าเหรอ!”


ฉินซีหน้าซีดทันที คำว่า ‘ลูกนอกคอก’ ทำให้นางเหมือนโดนโจมตีเป็นสองเท่าจริงๆ


หยางชิ่งหันหลังให้ แล้วโบกมือบอกว่า “เฟิงฮูหยิน ข้าแนะนำว่าให้เจ้ารีบออกไปให้เร็วที่สุด ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า ถ้าทำให้หยางชิ่งรำคาญ หยางชิ่งแค่ถ่ายทอดคำสั่งลงไปคำเดียว เกรงว่ะเจ้าจะหนีไม่พ้นแล้ว ต่อให้ข้าจับตัวเจ้าไว้ เจ้าก็ไม่กล้าจะเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นอยู่ดี”


“ให้ข้าพบเวยเวยสักครั้ง ข้ามีของจะให้นางนิดหน่อย!” ฉินซีกล่าว


หยางชิ่งไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ต้องแล้ว! เจ้าไม่ต้องมาเกี่ยวพันอะไรกับเวยเวยทั้งนั้น ข้าแนะนำว่าต่อไปนี้เจ้าอย่ามาเจอนางอีก นางรับความรักจากเจ้าไม่ไหวหรอก ถ้าเจ้ายังมีมโนธรรมอยู่บ้าง ก็ให้นางแต่งงานไปอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ต่อให้เป็นอนุภรรยาก็ให้เป็นอย่างมีความสุข อย่าให้ฝ่ายสามีดูถูกนาง เส้นทางของนางต่อจากนี้ ข้าจะทุ่มเทช่วยเหลือเต็มที่ ไม่ต้องให้เจ้ามากังวล! เฟิงฮูหยิน ถ้าเจ้ายังไม่ไปอีก เชื่อมั้ยว่าข้าจะจับตัวเจ้าไว้ให้เฟิงเป่ยเฉินมารับเอง เหมียวอี้ไม่ปรานีเจ้าแน่!”


บอกไม่ถูกว่าฉินซีทำสีหน้าอย่างไร มีทั้งอารมณ์ผิดหวัง เศร้าโศก โกรธแค้นเสียใจรวมกัน นางค่อยๆ หยิบหมวกงอบห้อยผ้าคลุมขึ้นมาใส่ใหม่ สุดท้ายก็วางกำไลเก็บสมบัติไว้บนโต๊ะข้างๆ “นี่คือของขวัญเล็กน้อย คิดเสียว่าเป็นสินเดิมของเจ้าสาว”


หยางชิ่งโบกมือ “ไม่ต้อง! สินเดิมเจ้าสาวของนาง เจ้าไม่จำเป็นต้องเตรียมให้ เอากลับไป!”


ฉินซีกลับไม่ได้นำไปด้วย ทิ้งกำไลเก็บสมบัติไว้อย่างนั้น แล้วหันตัวเร่งฝีเท้าเดินออกไป ชิงจวี๋รีบเดินตามไปส่ง


หยางชิ่งหันตัวมาหยิบกำไลเก็บสมบัติวงนั้น กำลังคิดจะโยนทิ้ง ทว่าพอยกมือขึ้น สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเกินไป เขาหลับตาลงสองข้าง ปั้ง! ตบกำไลเก็บสมบัติวางกลับไปบนโต๊ะ แล้วเงยหน้าถอนหายใจยาว!


…………………………


[1] 微微 เวยเวย แปลว่าเล็กน้อย ไม่สำคัญ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)