Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 37 ตอนที่ 7-12
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 7 เหนือความคาดหมาย? ประหลาดใจ?
สัตว์ปีกที่หลงเหลืออยู่เพียงสามตัวซึ่งบินล้อมรอบขนนกสีแดงเพลิงอยู่ ยามนี้สัตว์ปีกทั้งสามตัวกลับหยุดลงแล้วพากันจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง สัตว์ปีกตัวสีเขียวที่มีร่างกายใหญ่โตที่สุดในจำนวนนั้นยังเปล่งเสียงร้องบาดหูออกมาอีกด้วย
“วี๊ดดดด…”
ระลอกคลื่นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากวาดมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นรูปพัด มันแผ่กำจายมาอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็กวาดผ่านพื้นที่ราวสองสามส่วนของเศษเสี้ยวโลกนี้ไปแล้ว จึงย่อมแผ่รัศมีมาถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นธรรมดา
ต่อให้แสงสีดำคุ้มกายตัดขาดการรุกโจมตีของระลอกคลื่นไป แต่ลำพังแค่ได้ยินเสียง ก็รู้สึกทนรับได้ยากแล้ว
“สวบ” “สวบ” สัตว์ปีกอีกสองตนกลับกลายเป็นลำแสงทะยานเข้ามาสังหาร สัตว์ปีกสีเขียวขนาดมโหฬารตนนั้น กลับหยุดลงข้างขนนกสีแดงเพลิงเพื่อปกป้องมัน
“ปังๆ”
การบินเหินของสัตว์ปีกสองตนนี้รวดเร็วเสียจนน่าประหลาด เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหลีกไม่ทัน จึงถูกตะปบเข้าที่ร่างเต็มแรงจนกระเด็นลอยไปไกลลิบ ขณะเดียวกับที่กระเด็นไปนั้น ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แยกออกเป็นนับพันนับหมื่นร่างทันที แล้วเริ่มสำแดงกระบวนท่าวิถีอากาศเพื่อล่อหลอกให้คู่ต่อสู้งุนงง
สวบๆ สัตว์ปีกสองตนนี้ทะยานเข้ามาโจมตีต่อ แต่กลับกวาดผ่านเงาร่างทุกร่างไปโดยไม่เหลือไว้แม้แต่ร่างเดียว
แม้พวกมันจะรวดเร็วมาก แต่เมื่อกวาดผ่านร่างนับพันนับหมื่นร่างไป ก็มีเวลาเพียงพอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหนีและสำแดงกระบวนท่าทำให้ศัตรูงุนงงออกมาอีก
“เห็นๆ กันอยู่ว่ากระบวนท่าแข็งแกร่งเสียจนน่าหวาดหวั่น แต่เหมือนจะทึ่มทื่อมากอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด
บรรดาคู่ต่อสู้ภายในเศษเสี้ยวโลกกริชสีดำก่อนหน้านี้ ก็ทึ่มทื่อมากเช่นเดียวกัน
หากตนไม่ไป พวกเขาก็เหมือนกับรูปสลักอย่างไรอย่างนั้น
การโจมตีของพวกเขาก็เป็นกระบวนท่าเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ขนนกสีแดงเพลิง นั้นอย่างรวดเร็ว
สัตว์ปีก สองตัวนั้นเหมือนจะตื่นตกใจขึ้นมาในทันใด พวกมันกะพริบวาบคราหนึ่ง ก่อนจะกลับมาอยู่ข้างขนนกสีแดงเพลิง แล้วร่วมมือกับสัตว์ปีกสีเขียวขนาดมโหฬารตนนั้นล้อมรอบขนนกสีแดงเพลิงเอาไว้เพื่อสกัดกั้นข้าศึกทั้งหมดนี้
“ปังๆๆ…”
ทั้งสองฝ่ายประมือกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยแสงสีดำอันร้ายกาจพยายามเข้าไปช่วงชิงขนนกสีแดงเพลิงนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ภายใต้การโอบล้อมของสัตว์ปีกสามตนนั้น เพียงแค่เคลื่อนไหวในวงแคบๆ แม้กระบวนท่าจะทึ่มทื่อ แต่กลับทำลายกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างต่อเนื่อง
“พยายามล่อลวงพวกมันให้แยกจากกันให้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเสียดายพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษที่ต้องเสียไปในทุกครั้งที่ปะทะกันครั้งหนึ่ง บ้างก็แบ่งเงาร่างออกมามากมาย บ้างก็เคลื่อนย้ายอากาศ หรือแม้กระทั่งสำแดงท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียมออกมาพร้อมกัน เขาดิ้นรนอยู่หลายร้อยครั้ง เมื่อแขนขยายออกไป จึงสามารถคว้าขนนกสีแดงเพลิงนั้นเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิดยิ่งนัก
ชั่วขณะที่คว้าขนนกอันนั้นเอาไว้ได้นั่นเอง โลกที่บกพร่องนี้กลับบิดเบี้ยวขึ้นมาทันใด ราวกับมีก้อนหินขว้างลงไปจนผิวทะเลสาบอันเงียบสงบสะเทือนขึ้นมา
โลกที่บกพร่องสลายไปอย่างเงียบเชียบทันทีตามแรงสั่นสะเทือน
หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันใด ราวกับภาพฝันฉากหนึ่ง!
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศ มือคว้าขนนสีแดงเพลิงเอาไว้ พลางมองดูเศษเสี้ยวโลกอีกหกแห่งที่ลอยคว้างอยู่
“เศษเสี้ยวโลกสลายไปเช่นนี้เองน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ “ที่แท้แล้วสัตว์ปีกเหล่านั้นคืออะไรกัน เป็นภาพลวงตาหรือ ไม่ถูกต้องสิ เห็นๆ อยู่ว่าสามารถทำร้ายข้าได้”
ตู้มมมม…
ขณะที่ครุ่นคิดนั้น ภายในกลุ่มแสงมิตินี้กลับมีพละกำลังอันไร้รูปร่างผลักไสร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงออกไปทันที
“เอ๊ะ” ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นคลอนคราหนึ่งก่อนจะยืนได้มั่นคงบนทางเดินเส้นเลือด
“ฮ่าฮ่าฮ่า ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว จ้าวหิมะเหิน เร็วๆๆ รีบมาหาข้าเร็ว” ณ จุดเชื่อมต่อทางเดินเส้นเลือดไกลออกไป ยอดเคารพเฮ่ากู่มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนนกสีแดงเพลิงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงถืออยู่ในมือก้านนั้น ทำให้เขาดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นเต้นหาใดเปรียบ เขาโห่ร้องขึ้นมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินแล้วก็บินมาทางยอดเคารพเฮ่ากู่ทันที
“ยอดเคารพ ที่แท้แล้วกลุ่มแสงมิตินี่มันเรื่องอันใดกัน ไยจึงพิสดารถึงเพียงนี้ได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงงเหลือแสน ขณะเดียวกันก็ก้มลงมองขนนกสีแดงเพลิงในมือ อุณหภูมิของขนนกสีแดงเพลิงนี้น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง เคราะห์ดีที่ผิวกายของเขามีแสงสีดำปกป้องอยู่ทั้งสิ้น
“รีบให้ข้าเร็วเข้า” ยอดเคารพเฮ่ากู่เร่งเร้า
“นี่ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งไปให้
ยอดเคารพเฮ่ากู่รับมา แต่กลับควบคุมพละกำลังของแสงสีดำให้คุ้มกายเอาไว้ด้วยความระมัดระวังเขายื่นมือขวาอันเปล่าเปลือยออกมา เขาจับขนนกสีแดงเพลิงนั้นไว้เบาๆ โดยไม่มีการป้องกันใดๆ
ฟึ่บๆๆ…
แม้อุณหภูมิของขนนกสีแดงเพลิงจะสูงยิ่งนัก จนมือขวาของยอดเคารพเฮ่ากู่แดงซ่านไปหมด มีเปลวเพลิงรายล้อม แต่มือขวากลับมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
“ดี ดีมาก นี่คือพละกำลังที่สูงส่งเพียงใด” ยอดเคารพเฮ่ากู่ตื่นเต้นเหลือประมาณ “พละกำลังแห่งไฟ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ข้างหนึ่ง
สิ่งที่เขาฝึกมิใช่วิถีเปลวเพลิง กลิ่นอายของ ‘กริชสีดำ’ และ ‘ขนนกสีแดงเพลิง’ ภายในกลุ่มแสงมิตินั้นแปลกพิสดารเกินคาดเดา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล่วงรู้ว่า คงจะเกี่ยวข้องกับวิถีเปลวเพลิง เห็นได้ชัดว่ายอดเคารพเฮ่ากู่ตื่นเต้นยินดีเป็นอันมาก
ยอดเคารพเฮ่ากู่พลิกมือคราหนึ่งแล้วนำขนนกสีแดงเพลิงไปไว้ในอ้อมกอด จากนั้นก็ยิ้มมองตงป๋อเสวี่ยอิง “จ้าวหิมะเหิน ครั้งนี้ติดค้างเจ้ามากทีเดียว หากเป็นข้า คงเข้าไปไม่ได้แน่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะได้มันมาจนได้”
“ที่แท้แล้วภายในกลุ่มแสงมิติคือสถานการณ์อันใดกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามไถ่ “เหตุใดจึงแปลกประหลาดเช่นนั้นได้ ข้าเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทั้งหลาย พอทำลายแล้วก็เกิดใหม่ขึ้นมาอีก เหมือนจะเป็นภาพลวง แต่พลังกลับแข็งแกร่งเป็นอันมาก”
“ข้าเองก็พูดได้ไม่กระจ่างนัก”
ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ “แต่ทว่า เจ้าก็รู้จักทะเลแห่งการรับรู้ วิญญาณล้วนแต่บำเพ็ญอยู่ในทะเลแห่งการรับรู้ ส่วนอสรพิษใหญ่ตัวนี้เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่น ทะเลแห่งการรับรู้ของมันจึงพิเศษพิสดารอยู่บ้าง เพียงแต่มันสิ้นใจไปแล้ว วิญญาณสลายไป ‘ทะเลแห่งการรับรู้’ นี้กลับยังคงแปลกพิสดารเหลือแสน บางครั้งก็มีวัตถุจริงๆ แอบซ่อนอยู่ บางครั้งก็ยังถึงขั้นยังมีเศษเสี้ยวความทรงจำเหลืออยู่ด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ทว่าขอเพียงได้วัตถุใดก็ตามในกลุ่มแสงมิติเหล่านั้น ก็จะถูกขับออกมา กลุ่มแสงมิติแบบเดิม แต่กลับมิอาจเข้าไปได้อีกแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “ข้าขอเดาว่า นี่คือกฎเกณฑ์ที่หยวนตั้งเอาไว้ เพื่อให้พวกเราไม่นำสมบัติออกมามากเกินไปกระมัง”
“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
เมื่อครู่เขารู้สึกได้รางๆ ว่าสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในมิติแห่งนั้นก็คือกริชสีดำเล่มนั้นนั่นเอง น่าเสียดายที่การจะได้มานั้นยากนัก เพราะ ‘เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำ’ จับกริชสีดำเอาไว้โดยตรง พลังการโจมตีครั้งเดียวก็สามารถกระแทกตนออกจากเศษเสี้ยวโลกนั้นได้อย่างง่ายดาย
“แต่ว่าท่านยอดเคารพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าเข้าไปแล้วจึงพบว่า เมื่อประสบอันตรายในกลุ่มแสงมิติก็จะเผาผลาญพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษไปอย่างรวดเร็ว ท่านรอคอยอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อ แต่ข้ากลับเสี่ยงอันตรายอยู่ในนั้นอย่างนั้นหรือ ข้าเผาผลาญพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าตอนที่ท่านกลับไป พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าก็อาจจะเผาผลาญไปจนเกลี้ยงแล้วก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มิอาจสำรวจสถานที่ที่ข้าอยากจะไปได้อีกแล้ว นี่ก็ออกจะไม่ยุติธรรมอยู่บ้างหรือไม่”
สัตย์สาบานได้ตั้งเอาไว้แล้ว
หากยอดเคารพเฮ่ากู่ไม่กลับไป ตนก็ยังคงต้องฟังคำบัญชาของเขา เพียงแต่หากสามารถ ‘เจรจา’ ได้ ตนก็ต้องเจรจาเสียหน่อย
ยอดเคารพเฮ่ากู่สะดุ้งแล้วพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “วางใจเถิด เจ้าช่วยข้าจนได้สมบัติสำคัญมาชิ้นหนึ่งแล้ว ขอเพียงเจ้าสามารถนำวัตถุออกมาได้อีกสองชิ้น เจ้าก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องสนใจข้าอีกแล้ว”
เขาได้ชิ้นหนึ่งมาไว้ในมือ ก็พึงพอใจมากแล้ว
หากมีสามชิ้น…ก็ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองแล้ว นอกจากนี้ ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็รู้ชัดว่า การเข้าไปในกลุ่มแสงมิใช่เรื่องง่าย วิญญาณจะต้องถูกกดดัน! การจะได้สมบัติภายในนั้นออกมาก็ยากยิ่งกว่า กลุ่มแสงมิติบางกลุ่มถึงขั้นไม่มีวัตถุอยู่เลย เพียงแต่มีเศษเสี้ยวความทรงจำอยู่บางส่วน
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางเผยรอยยิ้มออกมา หากได้มาสามชิ้น อีกฝ่ายก็จะให้ตน ‘เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ’ เช่นนั้นตนก็จะรักษาสัตย์สาบานและ ‘ฟังคำสั่งของยอดเคารพเฮ่ากู่’ โดยไม่นับว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสาบานแล้ว
“ไป ไปยังที่ต่อไปเถอะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ
เขาเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ไปบุกฝ่าทีละแห่งๆ ตามลำดับความสำคัญ
ทั้งสองบินเลียบไปตามทางเดินเส้นเลือดที่เปล่งแสงรำไรออกมา ผ่านจุดเชื่อมต่อแห่งแล้วแห่งเล่า ทางเดินเส้นเลือดเหล่านี้พันพาดกัน เชื่อมต่อกลุ่มแสงมิติแห่งแล้วแห่งเล่า
ระหว่างที่พวกเขาทั้งสองบินไปนั่นเอง…
“ล้มเหลวอีกแล้ว สมควรตาย”
สิ้นเสียงที่กราดเกรี้ยวเป็นอย่างมาก คนอาภรณ์เขียวคนหนึ่งก็บินออกจากกลุ่มแสงมิติกลุ่มหนึ่งด้วยสีหน้าเย็นชา เห็นได้ชัดว่าออกมามือเปล่าด้วยความผิดหวังเป็นอย่างมาก
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่ซึ่งเดิมทีกำลังบินเหินอยู่พากันสะดุ้ง แล้วหันไปมอง
คนอาภรณ์เขียวก็เงยหน้าขึ้นมามองราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
สายตาของทั้งสองฝ่ายสานสบกัน
“ยอดเคารพเฮ่ากู่ จ้าวหิมะเหินหรือ” คนอาภรณ์เขียวมึนงงไปทันที
“จักรพรรดิเป่ยเหอหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 8 อีกฟากหนึ่งของหุบเขาเขี้ยวหัก
แม้จักรพรรดิเป่ยเหอจะเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ กว่าสองแสนล้านปีแล้ว แต่ก็มีสถานที่หลายแห่งภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษที่ปลอดภัยอย่างยิ่ง เช่น ‘จุดเชื่อมต่อ’ ของทางเดินแห่งต่างๆ ซึ่งพายุคลั่งแผ่ไปไม่ถึง หรืออย่างภายในกลุ่มแสงมิติ หากตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้เข้าไปภายในเศษเสี้ยวโลกเอง ก็จะไม่ถูกโจมตีแต่อย่างใด เมื่ออยู่ในสถานที่ปลอดภัยเช่นนี้ ก็ย่อมไม่สูญเสียพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษหรือหยาดน้ำพันเนตร อยากจะบำเพ็ญนานเท่าใดก็ย่อมได้!
“ยอดเคารพเฮ่ากู่กับจ้าวหิมะเหินหรือ เหตุใดจึงบังเอิญถึงเพียงนี้ได้ มาพบพวกท่านทั้งสองเข้า” จักรพรรดิเป่ยเหอรู้สึกสั่นสะท้านใจ ถึงขั้นคิดไปว่าจ้าวหิมะเหินมาแก้แค้น! เพราะถึงอย่างไรการช่วงชิงสมบัติชั้นยอดระดับอย่างหยาดน้ำพันเนตรไป ก็เพียงพอให้เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิใช้ชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อมันได้แล้ว
แต่จากนั้นเขาก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป
ยอดเคารพเฮ่ากู่เข้ามาพร้อมกับจ้าวหิมะเหินสองคน ก็ต้องใช้สมบัติชั้นยอดถึงสองชิ้น คงไม่ใช่เพราะความแค้นเพียงเล็กน้อยหรอก!
“คิดไม่ถึงว่ายอดเคารพและจ้าวหิมะเหินจะมายังหุบเขาเขี้ยวหักด้วย ได้พบเข้า ช่างบังเอิญเสียจริง” จักรพรรดิเป่ยเหอเผยรอยยิ้มออกมาพลางพูดว่า “จ้าวหิมะเหิน ครั้งก่อนช่างน่าละอายนัก ข้ามีแต่จิตคิดอยากได้สมบัติล้วนๆ นอกจากนี้ท่านก็ยังเคยรับปากว่า ท้ายที่สุดแล้วก็จะมอบหยาดน้ำพันเนตรนั่นให้ข้า ข้าก็แค่เอามาไว้ในมือล่วงหน้าเท่านั้น แม้จะทำลายร่างแยกของท่านไปร่างหนึ่ง แต่ท่านมีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับท่านแล้วก็คงมิได้เสียหายอะไรหรอกกระมัง…”
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเข้มขึ้น พลางมองดูจักรพรรดิเป่ยเหอซึ่งยืนอยู่บนทางเดินเส้นเลือดที่เปล่งแสงรำไรอยู่ไกลออกไป
จักรพรรดิเป่ยเหอเห็นเข้าก็พูดว่า “ข้ารู้ว่าข้าผิดสัญญา จ้าวหิมะเหินโมโหมาก ข้าก็มีสิ่งชดใช้ให้! ขอเพียงจ้าวท่านไม่เก็บมาใส่ใจ ข้ามีสมบัติลับอันสูงส่งอยู่ชิ้นหนึ่ง ยินดีมอบให้จ้าวท่าน ขอจ้าวท่านโปรดคลายความโกรธด้วย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีความรู้สึกดีต่อจักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้แม้แต่น้อย
ตอนนั้น รับปากว่าจะช่วยเหลือ ก็เพราะไม่อยากเห็นโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมจำนวนมากต้องประสบกับหายนะ ตนช่วยให้เขาได้ ‘น้ำค้างบุปผาสีดำ’ มา จักรพรรดิเป่ยเหอเคยรับปากว่าจะให้ผลประโยชน์แก่เขาตั้งมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วก็มิได้ให้อะไรเลย ก็ทำลายร่างแยกของตนก่อนเสียแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอีกฝ่ายจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
เป่ยเหอผู้นี้…โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว! เพื่อเส้นทางของตน ก็ไม่สนใจวิธีการมดๆ
“จ้าวหิมะเหิน” ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกลับพูดยิ้มๆ “เป่ยเหอผู้นี้รังแกเจ้าเช่นนี้ วันนี้เจ้ากับข้ามาพบเขาที่นี่ ก็เป็นลิขิตมาแล้วว่าควรสังหารเขาเสีย! หากเจ้าไม่คัดค้าน พวกเรามาลงมือจัดการเขากันดีหรือไม่”
“ยอดเคารพ!” สีหน้าของจักรพรรดิเป่ยเหอเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ เขาร้องเสียงหลงว่า “เหตุใดยอดเคารพจึงต้องบีบบังคับข้าเช่นนี้ด้วยเล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สะดุ้งเฮือก
สังหารจักรพรรดิเป่ยเหอทิ้งอย่างนั้นหรือ
พวกเขาทั้งสามต่างก็มีพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษและหยาดน้ำพันเนตรคุ้มกาย แต่นี่ก็มิได้แปลว่าไร้ศัตรู! เนื่องจากพละกำลังคุ้มกายนี้ได้รับผลกระทบจากสถานที่ต้องห้ามจึงถูกกระตุ้นขึ้นมา และทำได้เพียงคุ้มกายเท่านั้น มิอาจใช้รุกโจมตีได้! หากสามารถรุกโจมตีได้ เกรงว่าตนก็คงจะได้ ‘กริชสีดำ’ ในกลุ่มแสงมิติก่อนหน้านี้มาไว้ในมืออย่างง่ายดายไปแล้ว
เนื่องจากมิอาจรุกโจมตีได้ พลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษและหยาดน้ำพันเนตรเมื่ออยู่บนผิวกายก็เหมือนกับเกราะซึ่งมีการป้องกันอันไร้เทียมทานชั้นหนึ่ง
แต่ต่อให้เกราะป้องกันไร้เทียมทานยิ่งกว่านี้
เมื่อถูกกระแทก ก็ยังต้องถูกกระแทกจนกระเด็นไปอยู่ดี!
ดังนั้นขณะที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงถูกน้ำวนอันดำมืดดูดเข้ามานั้น จึงมิอาจคงร่างกายเอาไว้ให้นิ่งได้ จนถูกหอบม้วนเข้ามาในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ! หรือกล่าวได้ว่าหากพวกตงป๋อเสวี่ยอิง ยอดเคารพเฮ่ากู่และจักรพรรดิเป่ยเหอประมือกันขึ้นมา ก็จะต้องถูกกระแทกจนกระเด็นลอยไป หากยอดเคารพเฮ่ากู่สู้กับจักรพรรดิเป่ยเหอแบบตัวต่อตัว แม้จักรพรรดิเป่ยเหอจะตกเป็นรอง แต่ก็พอจะรักษาสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างพอถูไถ
แต่กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงออกไป แสงสีดำคุ้มกายนั้นก็มิอาจคุ้มกันวิญญาณได้ พลังการห้ำหั่นของจักรพรรดิเป่ยเหอลดลงเป็นอย่างมาก ความแตกต่างก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนี่ก็คือความแตกต่างของ ‘ระดับแม่ทัพเทพ’ และยอดเคารพ
ความแตกต่างมากมายขนาดนี้ ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบเสียจนน่าอนาถเลยทีเดียว!
เกรงว่าเพียงหนึ่งหรือสองกระบวนท่าก็คงจะถูกกระแทกจนไปถึงความว่างเปล่าด้านข้างแล้ว
ต้องรู้ไว้ว่าพวกเขาบินเลียบทางเดินไป เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะหลายบริเวณนอกทางเดินมีพายุคลั่งพัดโหม จึงเผาผลาญพลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษและไข่มุกไขกระดูกพันเนตรมากยิ่งกว่า นอกจากนี้พลังแตกต่างกันมากเกินไป ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็อาจจะจับจักรพรรดิเป่ยเหอ ‘ทั้งเป็น’ ได้ จากนั้นก็จะส่งเขาไปยังสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่งยวด และทำลายพลังของหยาดน้ำพันเนตรในกายเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อพลังถูกเผาผลาญจนสิ้น ก็ถึงคราวตายของจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว
“ยอดเคารพ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในใจ เมื่อครู่ยอดเคารพเฮ่ากู่เพิ่งจะเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษโดยไม่ยอมเสียพลังแม้สักนิด แต่ตอนนี้กลับยินดีสูญเสียพลังเพื่อจัดการกับเป่ยเหออย่างนั้นหรือ
เขาจะเข้าใจเสียที่ไหนกัน
ข้อแรก จักรพรรดิเป่ยเหอออกจะแข็งกร้าวต่อยอดเคารพเฮ่ากู่อยู่ก่อนแล้ว เขารวบรวมแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกนายขึ้นมาก็เพื่อช่วงชิงทรัพยากรกับเหล่ายอดเคารพ ยอดเคารพเฮ่ากู่จึงไม่ค่อยชมชอบอยู่บ้างแล้ว ทว่าแม้จะสามารถกดดันได้ แต่กลับมิอาจจัดการได้ก็เท่านั้นเอง ครั้งนี้มีตงป๋อเสวี่ยอิงคอยช่วยเหลือ จึงสามารถจัดการได้ค่อนข้างง่าย ข้อสองก็คือเขาได้ขนนกสีแดงเพลิงนั้นมาแล้ว ผลประโยชน์ที่ได้จากการเข้ามาในทางเดินเขี้ยวอสรพิษครั้งนี้ใหญ่พอแล้ว จะเผาผลาญพลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษสักเล็กน้อย ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าใดแล้ว นอกจากนี้ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็อยากใช้โอกาสนี้สร้างบุญคุณให้ตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ในภายหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งใจช่วยเขาจัดการเรื่องต่างๆ มากขึ้น
“จ้าวหิมะเหิน ลงมือหรือไม่” ยอดเคารพเฮ่ากู่หัวเราะ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็มิได้ลังเลอีกต่อไป “ประเสริฐ ยอดเคารพ ขอบคุณท่านด้วย!”
สวบๆ
ยอดเคารพเฮ่ากู่และตงป๋อเสวี่ยอิงกลายเป็นลำแสงพุ่งไปสังหารจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ไกลออกไปพร้อมกัน
“โหดร้ายนัก เฮ่ากู่ เจ้าจะยืมมือจ้าวหิมะเหินมากำจัดข้ากระมัง” จักรพรรดิเป่ยเหอขบกรามกรอดพลางทะยานหนีไปอีกทิศหนึ่งของทางเดินเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว
ความเร็วในการบินของยอดเคารพเฮ่ากู่เพิ่มสูงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดแม้จะพาตงป๋อเสวี่ยอิงไปด้วยก็ตาม
สวบ,,,
คนหนึ่งรุก คนหนึ่งหนี!
แม้เดิมทีจะห่างกันค่อนข้างมาก แต่ระยะทางก็ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
“ช่างมันแล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอมองไปด้านหลังแวบหนึ่ง เขาผ่านจุดเชื่อมต่อของทางเดินเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว เข้าไปในทางแยกสายแล้วสายเล่า ทะยานไปทางกลุ่มแสงมิติสายหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป
“หนีเข้าไปในกลุ่มแสงมิติหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงง
หนีเข้าไป ก็มีแต่ทางตันเท่านั้น!
“เอ๊ะ หรือว่า…” นัยน์ตาของยอดเคารพเฮ่ากู่หรี่ลงเล็กน้อย
สวบๆๆ!
จักรพรรดิเป่ยเหอพุ่งเข้าไปภายในมิติกลุ่มแสงนั้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่แทบจะทะยานเข้าไปติดๆ ชั่วขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานเข้าไปก็ต้องตกใจขึ้นมา “กลุ่มแสงนี้ใหญ่โตนัก ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในทะเลแห่งการรับรู้เลยทีเดียว แต่กลับไม่มีอานุภาพกดดันเลยแม้แต่น้อยหรือนี่”
ฟิ้ว
หลังจากทะลุผ่านผนังเยื่อของกลุ่มแสงมาจนถึงมิติภายในแล้ว
หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาแล้วมองดูแวบหนึ่ง ก็อดเบิกตาโพลงมิได้ เขาอ้้าปากค้างอย่างมิอาจควบคุม ด้วยสายตาของเขาในตอนนี้ ก็ทำเอาตะลึงงันไปหมด นี่แทบจะเป็นภาพที่น่าตกตะลึงที่สุดที่เขาได้เห็นด้วยตาตนเองนับตั้งแต่เขาเกิดมาแล้ว
“นี่ นี่ นี่มัน…” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูด้วยความตะลึงงัน
เขายืนอยู่กลางอากาศภายในมิติ เมื่อทอดสายตามองไป ผนังเยื่อรอบด้านล้วนขยับเป็นจังหวะอย่างแปลกประหลาด
เมื่อมองผ่านผนังเยื่อเหล่านี้ไป ก็จะสามารถมองเห็นภาพหุบเขาเขี้ยวหักนอก ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้! นอกจากนี้เมื่ออยู่ภายในกลุ่มแสงมิตินี้ หุบเขาเขี้ยวหักที่ได้เห็น ก็แตกต่างกับที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
อสรพิษตัวเขื่องอันคดเคี้ยวหาใดเปรียบตัวหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา
สถานที่ต้องห้ามทางเดินเขี้ยวอสรพิษแห่งนี้ ก็คือหัวอสรพิษ! ร่างกายของอสรพิษกลับคล้ายมีคล้ายไม่มี มันทะลุทะลวงไปทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก อันที่จริงแล้ว ‘โลกชนพื้นเมืองดั้งเดิม’ แห่งต่างๆ ล้วนแต่เป็นมิติที่ถือกำเนิดขึ้นมาบนร่างกายที่คล้ายมีคล้ายไม่มีของอสรพิษขนาดมหึมาตัวนี้ โลกมิติแห่งต่างๆ ล้วนแต่ดำรงอยู่ตามซากของอสรพิษตัวเขื่องนี้
ที่อีกฟากหนึ่ง
สิ่งมีชีวิตพันเนตรก็ใหญ่โตตระหง่านง้ำเช่นกัน มันมีกรงเล็บหลายสิบอัน บนร่างมีดวงตาแน่นขนัดนับพันดวง ทั้งร่างคล้ายมีคล้ายไม่มีแต่กลับแทบจะสมบูรณ์ดี ‘เกาะลอยคว้าง’ แห่งต่างๆ ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของร่างอันใหญ่โตมโหฬารนี้ อย่าง ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ ต่างๆ นั้น ก็ตรงกับตำแหน่งต่างๆ ของซากศพพอดิบพอดี
ดวงตาอันเร้นลับบนยอดต้นไม้ประหลาดแต่ละต้น อันที่จริงแล้วต้นไม้ประหลาดแต่ละต้นก็คือเส้นเลือดเล็กจิ๋วภายในซากอันใหญ่โตนั่นเอง
การจะเด็ดเอาดวงตาอันเร้นลับจากศพที่แทบจะสมบูรณ์ดี ก็เท่ากับดึงเอาดวงตาไปจากซากศพ ซากของสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นระดับนี้ จะทำลายก็ยากยิ่งนัก ไม่ว่าดวงตาดวงไหนก็มิอาจเอาไปได้! บนเกาะลอยคว้างแห่งนี้มีสิ่งประหลาดอยู่หลายสิ่งที่แค่สัมผัสโดนก็จะถูกอานุภาพกดดันอันน่าหวาดหวั่นโจมตี
“ทั้ง..ทั้ง…ทั้งหุบเขาเขี้ยวหักแปรมาจากซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นสองร่างอย่างนั้นหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงเหลือแสน
เกาะลอยคว้างทั้งหลายล้วนอยู่บนซากของสิ่งมีชีวิตพันเนตร
โลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั้งหลายล้วนอยู่บนร่างของอสรพิษขนาดมหึมา
มิน่าเล่า เมื่อเหยียบย่างลงบนเกาะลอยคว้างจึงเผชิญกับแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ แม้แต่ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ก็ยังไร้ประโยชน์ ต้องรู้ไว้ว่าสามารถสำแดงในมิติคละถิ่นได้ แต่เมื่ออยู่ในเกาะลอยคว้างกลับมิอาจสำแดงได้! เห็นได้ชัดว่าถูกอานุภาพที่หลงเหลือจากซากของสิ่งมีชีวิตพันเนตรกดดันเอาไว้
“ผู้แกร่งกล้าจากหลายเผ่าพันธุ์ล้วนพากันตามหาซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั้งสองที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนาน พวกเจ้าผู้บำเพ็ญก็คงกำลังตามหาอยู่กระมัง แต่แทบจะไม่รู้กันเลยว่า ทั้งหุบเขาเขี้ยวหักแปรมาจากซากศพสองร่างนี้ พวกเราอยู่บนซากนี้กันตลอดเวลา” แม้ยอดเคารพเฮ่ากู่จะเห็นภาพตรงหน้ามามิใช่แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ก็ยังคงตะลึงงันอยู่ดี
ส่วนจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ไกลออกไปกลับมิได้สนใจมองภาพอันงดงาม เขาเคยเห็นมาก่อนแล้ว หากแต่เตรียมพร้อมจะมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่ก็เท่านั้นเอง
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 9 จากไป
เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงมีความสับสนเกี่ยวกับหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอันมาก อย่างเช่นเกาะลอยคว้างแต่ละแห่ง มีสภาวะแวดล้อมอันรุนแรงเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นไอหมอกขุมหนึ่งก็มีพลังกัดกร่อนอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด สามารถผลาญสังหารบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้ในพริบตา พลังคุกคามแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเสียอีก! สภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกันก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ในทางกลับกัน ’จักรพรรดิ’ เผ่ามรณะทมิฬบนเกาะแห่งหนึ่ง บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังสามารถต่อสู้ด้วยได้ หรือแม้กระทั่งมีหวังที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้
แต่สภาวะแวดล้อมกลับย่ำแย่จนถึงขนาดนั้น! จนถึงขั้นมิอาจจินตนาการได้อยู่บ้าง
เพราะ ‘ดินแดนจิตโลกา’ เป็นสิ่งที่หยวนสร้างขึ้น สภาวะแวดล้อมโดยรวมก็ยังปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หุบเขาเขี้ยวหักในตำนานก็เป็นสิ่งที่ ’หยวน’ สร้างขึ้น ต่อให้เพื่อการทดสอบ จะสรรสร้างสภาวะแวดล้อมที่ย่ำแย่ถึงเพียงนั้นออกมาเพื่ออะไรกัน การคุกคามของสภาวะแวดล้อมยังแกร่งถึงเพียงนั้นได้หรือ การจะสร้างสภาวะแวดล้อมที่อันตรายเช่นนั้นออกมา มูลค่าย่อมมิใช่น้อยอย่างแน่นอน ในความเป็นจริงแล้วสภาวะแวดล้อมเหล่านั้นมิได้ให้ผลการทดสอบแต่อย่างใด ในทางกลับกันก็อาศัย ‘โชคชะตา’ มากกว่า อาศัยการสั่งสมประสบการณ์
อย่างเช่นส่งร่างแยกร่างแล้วร่างเล่าไปตายเพื่อสั่งสมประสบการณ์
มิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อการทดสอบพลังยุทธ์แต่อย่างใด ใช้จ่ายเป็นมูลค่ามหาศาลเพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ออกมา ทั้งยังมิได้เป็นผลต่อการทดสอบ เพื่อเหตุใดกัน
ในตำนานก็ได้บอกเล่าเอาไว้ว่าภยันตรายมากมายของหุบเขาเขี้ยวหักนั้นเป็นสิ่งที่ ’หยวน’ เคลื่อนย้ายมาจากสถานที่อื่นๆ ในท้ายที่สุดแล้วก็บอกเล่ากันไปต่างๆ นานา แต่ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อไตร่ตรองดูอย่างละเอียดก็มีส่วนที่ขัดแย้งกันอยู่บ้าง
“ที่แท้”
“ที่แท้แล้วก็แปลงมาจากซากศพทั้งสองเพียงอย่างเดียวล้วนๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจขึ้นมา “ก็ถูกต้อง สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวั่นเกรงทั้งสองนี้มีขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบ ซากศพร่างหนึ่งก็เทียบเคียงได้พอๆ กันกับหนึ่งในสิบส่วนของโลกกำเนิดธรรมดาๆ แห่งหนึ่งแล้ว ซากศพขนาดมหึมาเช่นนี้สองร่างสร้างขึ้นมาเป็นหุบเขาเขี้ยวหักอันไพศาลเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ซากศพมีขนาดเป็นหนึ่งในสิบส่วนของโลกกำเนิดธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง
ความกว้างยาวต่างๆ นั้น ในความเป็นจริงแล้วก็เกินจริงยิ่งกว่าเสียอีก อย่างเช่นงูใหญ่ตัวนั้น ความยาวของตัวงูก็ยังยาวกว่าโลกกำเนิดแห่งหนึ่งเสียอีก ซากศพของมันบิดหมุนคดเคี้ยว มนุษย์น้ำแข็งก็มีอยู่ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก
“แต่ซากศพทั้งสองนี้ หยวนก็น่าจะเคยสำแดงเคล็ดวิชามากมายเอาไว้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
อย่างเช่นทางเดินเขี้ยวอสรพิษ
อย่างเช่นระหว่างหุบเขาเขี้ยวหักกับดินแดนจิตโลกา ก็มีกฎเกณฑ์กำหนดเอาไว้ว่าผู้ที่พลังยุทธ์สูงถึงระดับหนึ่งก็มิอาจเข้าไปในดินแดนจิตโลกาได้
หยาดน้ำพันเนตรและไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ สมบัติชั้นยอดทั้งสองชิ้นนี้ รับประกันว่าถึงทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้วจึงจะแสดงพลังออกมา เกรงว่าต่างก็เป็นกฎเกณฑ์ที่หยวนบัญญัติเอาไว้ทั้งสิ้น บนพื้นฐานของซากศพทั้งสอง วิวัฒน์เป็นโลก บัญญัติกฎเกณฑ์ ก็ย่อมง่ายดายเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว
“ร้ายกาจ ช่างเป็นวิธีการที่ร้ายกาจยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด ในที่สุดเขาก็เข้าใจวิธีการที่บุคคลระดับอย่าง ’หยวน’ สรรสร้างโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว
“หยวนย่อมร้ายกาจอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แม้กระทั่งในตำนานที่พวกเราได้ยินได้ฟังกันมา เขาก็ยังเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับยอดสุดเลย” ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็รำพึงออกมาประโยคหนึ่ง “อย่างเช่นพวกเรา ต่อให้โชคดีตื่นรู้ขั้นสุดยอด กลายเป็นเผ่าพันธุ์แรกเริ่ม ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์จะแข็งแกร่ง พวกเราตื่นรู้ก็เป็นเพียงแค่เด็กแรกเกิดเท่านั้น คิดอยากจะไปถึงระดับพลังยุทธ์เช่นซากศพทั้งสอง เกรงว่าคงต้องประสบกับความยากลำบากไม่รู้อีกมากมายเท่าใด ต่อให้ในท้ายที่สุดมีพลังยุทธ์เช่นนี้ก็ยังคงมิอาจเทียบกับ ’หยวน’ ได้อยู่ดี”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
หยวนได้โยนซากศพอันน่าหวาดหวั่นทั้งสองแล้วสร้างหุบเขาเขี้ยวหักออกมาเพื่อชนรุ่นหลัง
เกรงว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ตายด้วยน้ำมือของ ’หยวน’ คงมิใช่เพียงแค่สองตนนี้แน่นอน
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงสนทนากับยอดเคารพเฮ่ากู่ แต่ในชั่วขณะหนึ่งก็มิได้ใส่ใจจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเลย
“เฮ่ากู่ เจ้าจะไม่เหลือทางให้ข้าเดินเลยจริงๆ น่ะหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยปาก
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางจักรพรรดิเป่ยเหอแล้วก็ลอบประหลาดใจ ห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ก็เป็นสถานที่อันสุดยอดแล้ว ถึงแม้ว่าก็มีวัตถุวิเศษอยู่หลายชิ้นเช่นกัน แต่ก็ไม่มีสถานที่ให้หลบหนี แต่นี่จักรพรรดิเป่ยเหอกลับดูเหมือนยังมีที่ให้พึ่งพิงด้วยอย่างนั้นหรือ
“เป่ยเหอ เจ้าช่างทำอะไรสุดโต่งเกินไปนัก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แล้วก็ไม่เลือกวิธีการ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด “แม้กระทั่งยอดเคารพห้าท่านในสายตาของเจ้าก็เป็นเพียงแค่คู่ต่อสู้เท่านั้น ข้ายอมรับว่าพลังยุทธ์ของเจ้าก็มิได้แตกต่างจากพวกเรามากมายสักเท่าใดนัก อีกทั้งยังระดมสามสิบหกแม่ทัพเทพเอาไว้อีกด้วย เหล่ายอดเคารพต่างก็คร้านจะเปิดฉากสงครามเพราะเจ้า แต่เจ้ากลับล่วงเกินจ้าวหิมะเหิน นี่ก็เป็นความผิดอันเหนือธรรมดาแล้ว จ้าวหิมะเหินคนเดียวก็มีอิทธิพลต่อการต่อสู้เป็นอย่างมาก เขามีประโยชน์มากกว่าแม่ทัพเทพกลุ่มใหญ่เสียอีก วันนี้แม้แต่ยอดเคารพสองท่านร่วมมือกันก็ยังยากจะกำจัดเจ้า แต่มีจ้าวหิมะเหินอยู่ การกำจัดเจ้าก็เป็นเรื่องง่ายดายเสียแล้ว”
จักรพรรดิเป่ยเหอสีหน้าเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
ใช่แล้ว
ต่อให้เป็นยอดเคารพสองท่าน อย่างน้อยเขาก็ยังมีความมั่นใจในการหนีเอาชีวิตรอด
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถทำให้พลังยุทธ์ของเขาลดต่ำลงอย่างมหาศาลได้ ลดต่ำลงไปถึงระดับแม่ทัพเทพ ระดับแม่ทัพเทพจ่อสู้กับยอดเคารพอย่างนั้นหรือ ก็เป็นการรนหาที่ตายอย่างแท้จริงแล้ว!
“เดิมทีข้าคิดจะบำเพ็ญอยู่ที่นี่ดีๆ คว้าโอกาสเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นยอดเคารพ” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยเสียงต่ำ “แต่คิดไม่ถึงว่าข้าบริโภคพลังหยาดน้ำพันเนตรอย่างประหยัด แต่พวกเจ้าสองคนกลับเข้ามาเสียได้ ข้อแรก ยังมากันถึงสองคนอีกด้วยหรือ สมบัติชั้นยอดได้มาอย่างง่ายๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“เป่ยเหอ เดิมทีข้าเพียงแค่อยากจะหยั่งรู้หยาดน้ำพันเนตรดูหน่อยก็เท่านั้น มิได้บริโภคพลังเลยแม้แต่น้อย พอถึงเวลาก็ย่อมต้องมอบให้แก่เจ้าอยู่แล้ว ข้าเองก็ได้ให้สัตย์สาบานเอาไว้แล้ว มีหรือที่ข้าจะเลือกตัดขาดเส้นทางการบำเพ็ญแล้วมาตระบัดสัตย์กับเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอื้อนเอ่ย “เจ้ามิให้ทางเดินแก่ผู้อื่น ตอนนี้ตัวเองก็ไม่มีทางเดินหรอก!”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางตระบัดสัตย์แน่ แต่ข่าวของหยาดน้ำพันเนตรแพร่ออกไปแล้ว ระยะเวลาอันยาวนาน เหล่ายอดเคารพต่างก็อิจฉาตาร้อนกันทั้งสิ้น ใครจะไปรู้ได้เล่าว่าจะเกิดปัญหาอันใดขึ้น”
จักรพรรดิเป่ยเหอพูด
“เจ้ากับข้าร่วมมือกันแล้วจะต้านทานยอดเคารพมิได้หรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“เวลาเนิ่นนานไปแล้ว ใครจะไปรู้ได้เล่าว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดขึ้นบ้าง ข้าเอามาไว้ในมือเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ตรงเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษเลยจะดีกว่า” จักรพรรดิเป่ยเหอยิ้มเย็น
แต่ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่ข้างๆ กลับเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้าไม่ทรยศต่อหิมะเหิน ไม่เพียงแค่จะได้เม็ดนี้มาไว้ในมือในท้ายที่สุดเท่านั้น ในภายภาคหน้าบางทีอาจจะยังมีโอกาสได้เม็ดที่สองมาครองอีกด้วย”
“ข้า เป่ยเหอได้สมบัติชั้นยอดชิ้นหนึ่งมาครอบครองตั้งแต่ยังเป็นระดับจักรพรรดิก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่กล้าวาดหวังว่าจะได้เม็ดที่สองมาครอบครองอีกอยู่แล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยอย่างเรียบเฉย “นอกจากนี้ ด้วยอุปนิสัยของจ้าวหิมะเหิน เกรงว่าก็คงมิได้ชอบคนอย่างข้ามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าหากมิใช่ตอนนั้นข้าต้องการจะครอบครองโลกมากมาย หากมิใช่เพราะมดปลวกเหล่านั้น เกรงว่าจ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็คงไม่ช่วยเหลือข้าอย่างแน่นอน”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ” ยอดเคารพเฮ่ากู่เอ่ยขึ้นในทันใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความสงสัยอยู่บ้าง
แน่ใจหรือ
แน่ใจอะไรกัน
“พวกเจ้าจะไม่ให้ทางเดินข้าจริงๆ หรือ ข้ามีทางเลือกหรือไร” จักรพรรดิเป่ยเหอหัวเราะเยาะ “หึ พวกเจ้าห้ายอดเคารพแต่ละคนล้วนขลาดกลัวไม่กล้าพนัน เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองภายในหุบเขาเขี้ยวหักมาโดยตลอด ก็ดีเหมือนกัน ให้ข้าไป ก็ไม่แน่ว่าในภายภาคหน้าข้าอาจจะตื่นรู้ขั้นสุดยอดก่อนพวกเจ้าก้าวหนึ่งก็เป็นได้”
จักรพรรดิเป่ยเหอก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยพลางแยกเขี้ยวยิ้ม “จ้าวหิมะเหิน ผู้แกร่งกล้าที่สุดทางด้านวิถีวิญญาณเท่าที่หุบเขาเขี้ยวหักแห่งดินแดนจิตโลกาเคยมีมาอย่างเจ้าผู้นี้ได้ช่วยข้าจัดการงานใหญ่ แต่กลับไม่ให้หนทางถอยกับข้าเลย ฮ่าฮ่า ก็ดี นี่ก็เป็นแนวทางการจัดการของข้าพอดีเลย ไม่ให้หนทางถอยกับตัวเอง ฮ่าฮ่า… เจ้ากับข้าพบกันคราวหน้า บางทีข้าอาจจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้วก็เป็นได้ ฮ่าฮ่า…”
เอ่ยวาจาจบ จักรพรรดิเป่ยเหอก็พุ่งตรงเข้าใส่ก้อนหินใหญ่สีดำก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
ครืน…
พื้นผิวของก้อนหินใหญ่สีดำเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา จักรพรรดิเป่ยเหอพุ่งปะทะเข้าไปแล้วก็ตรงเข้าไปภายในก้อนหินใหญ่สีดำ หายลับไปมิอาจเห็นได้อีก
“อะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
หนีทางไหนไม่หนี แต่จักรพรรดิเป่ยเหอกลับหนีเข้าไปในห้วงมิติกลุ่มแสงที่ดูเหมือนจะเป็นทางตันแห่งนี้
มาถึงตรงนี้ ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็มิได้ลงมือต่ออีกแล้ว จักรพรรดิเป่ยเหอดูคล้ายว่าจะมีสิ่งใดให้พึ่งพาได้อยู่
เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว
ที่แท้แล้วเขาสามารถอาศัยก้อนหินใหญ่สีดำข้างกายหลบหนีไปได้อย่างรวดเร็ว
“ก้อนหินใหญ่สีดำนี้คือสิ่งใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม
“เจ้ามารับสัมผัสตรวจสอบดูอย่างละเอียดก็จะรู้แล้วล่ะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด “ที่นี่เป็นสิ่งที่หยวนเหลือทิ้งเอาไว้ให้กับพวกเรา ทั้งยังเป็นทางอีกเส้นหนึ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้ให้พวกเจ้าผู้บำเพ็ญด้วย! ที่นี่คือห้วงมิติกลุ่มแสงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งภายในทะเลแห่งการรับรู้ เมื่ออยู่ที่นี่ก็สามารถมองเห็นด้านที่แท้จริงของทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักได้ พร้อมกันนั้น… ที่นี่มีทางเดินอยู่แห่งหนึ่ง สามารถไปจากหุบเขาเขี้ยวหัก และไปจากดินแดนจิตโลกา ไปยังอาณาเขตที่ค่อนข้างพิเศษแห่งหนึ่งในมิติคละถิ่นได้”
ยอดเคารพเฮ่ากู่ยังคงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ ในสายตาก็มีความริษยาและคาดหวังรอคอย
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไปถึงตรงหน้าก้อนหินใหญ่สีดำแล้ว สติรับรู้สายหนึ่งแทรกผ่านเข้าไป
“ปัง…”
“ในเมื่อไม่มีทางให้เข้าไปได้อีกแล้ว ก็ไปยังแหล่งอารยธรรมอื่นเถิด การขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน โต้ตอบกับผู้แกร่งกล้าจากแหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน รับรอง ‘ความเป็นนิรันดร์’ ของวิถีสายนั้น หนีออกจากกรงขังอย่างแท้จริง หนีออกจากการพันธนาการของแหล่งอารยธรรมจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่กล้าแกร่งคนหนึ่ง” น้ำเสียงกังวานยิ่งใหญ่เสียงหนึ่งก้องสะท้อนอยู่ภายในห้วงความคิด
ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักได้ในทันใด
น้ำเสียงนี้คงเป็น ’หยวน’ กระมัง และที่นี่ก็คือเส้นทางสุดท้ายที่เหล่าผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักแห่งดินแดนจิตโลกาสามารถเลือกได้หลังจากที่ไม่มีทางบรรลุ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้แล้ว
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 10 เศษเสี้ยวความทรงจำ
“ปัง”
สติรับรู้แทรกผ่านก้อนหินใหญ่สีดำ นอกจากได้ยินเสียงอันยิ่งใหญ่กังวานนั้นแล้วก็รับสัมผัสได้ถึงทางเดินส่งถ่ายไปพร้อมๆ กัน
นี่คือวิธีการที่ชาญฉลาดยิ่งกว่า ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ เสียอีก รับสัมผัสเล็กน้อยก็สามารถรับสัมผัสถึงอาณาเขตอันไกลแสนไกลหาใดเปรียบที่ปลายอีกด้านหนึ่งของเส้นทางได้แล้ว! ห่างไกลจากดินแดนจิตโลกามากมายเหลือเกิน ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยไปกลับระหว่างบ้านเกิด ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ กับดินแดนจิตโลกามาก่อน ระยะทางระหว่างสถานที่ทั้งสองก็นับได้ว่าห่างไกลแล้ว แต่เมื่อเทียบกับระยะทางที่ก้อนหินใหญ่สีดำส่งถ่ายในตอนนี้ก็แตกต่างกันไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
อาณาเขตอันไกลแสนไกล!
นอกจากนี้ยังรับสัมผัสได้ถึง ‘ความรุนแรง’ และ ‘ความอลหม่าน’ รางๆ อีกด้วย ถึงขนาดที่เพียงแค่รับสัมผัสอยู่ห่างๆ กฎเกณฑ์อันน่าหวาดหวั่นของอาณาเขตแห่งนั้นก็ยังส่งผลกระทบผ่านระยะทางไกลมาถึงตงป๋อเสวี่ยอิงได้ ทำให้ร่างกายตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับผลกระทบ พลังยุทธ์ก็ลดลงไปส่วนหนึ่ง
“รับสัมผัสได้แล้วกระมัง” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดอยู่ข้างๆ “อาณาเขตผืนนั้นแตกต่างจากโลกกำเนิดอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เพียงแค่รับสัมผัสเท่านั้นก็สามารถส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของพวกเราได้แล้ว โลกกำเนิดไม่สามารถทำผ่านระยะทางห่างไกลเช่นนี้ได้ นอกจากนี้ มาถึงระดับขั้นอย่างพวกเรา การส่งพวกเราไปยังโลกกำเนิดอื่นนั้นเกรงว่าก็คงจะไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ข้าสงสัยว่าจะเป็นอาณาเขตที่ค่อนข้างพิเศษในมิติคละถิ่น”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็พยักหน้า
ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
ระยะทางห่างไกลถึงขนาดนั้น เพียงแค่รับสัมผัสก็สามารถส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของตนได้แล้ว ช่างน่าหวาดหวั่นเกินไปเสียแล้ว
“มันอยู่ห่างไกลจากดินแดนจิตโลกามากเกินไป ห่างไกลถึงขนาดที่พอพวกเราจากไปแล้วเกรงว่าคงจะไม่มีทางกลับมาได้อีกตลอดกาล นอกจากนี้ ’หยวน’ ยังบอกว่าการขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน โต้ตอบกับผู้แกร่งกล้าจากแหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกันด้วย” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด “เกรงว่าพวกเราอาจจะประสบกับคู่ต่อสู้ที่สามารถเทียบเคียงกับพวกเราได้เลยทีเดียว ข้าก็ไปถึงระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ ก็ยังสามารถเผชิญกับคู่ต่อสู้ได้ด้วยหรือ”
“อาณาเขตที่ก้อนหินใหญ่สีดำนี้นำทางไปดูเหมือนจะแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง”
“พวกเรายอดเคารพ หากไม่ถึงวินาทีสุดท้ายก็ไม่มีทางทำการต่อสู้ครั้งสุดท้ายหรอก” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“รอจนเสร็จเรื่องแล้วเจ้าก็สามารถมาใคร่ครวญให้ละเอียดอีกทีก็ได้ พวกเราควรไปได้แล้วล่ะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ
“ไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วไปจากห้วงมิติกลุ่มแสงนี้พร้อมกันกับยอดเคารพ
ยามที่จากไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังอดที่จะมองไปรอบทิศมิได้ มองผ่านผนังกั้นไปก็สามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ของซากศพสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นสองร่างนั้นที่หุบเขาเขี้ยวหักได้ แล้วก็มองก้อนหินใหญ่สีดำก้อนนั้นอีกแวบหนึ่ง
พรึ่บ พรึ่บ
คนทั้่งสองจากไป
……
อยู่ที่อาณาเขตของทะเลแห่งการรับรู้เคียงข้างยอดเคารพเฮ่ากู่ต่อไป มุ่งหน้าไปยังห้วงมิติกลุ่มแสงแห่งแล้วแห่งเล่า
บนทางเดิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็ค่อยๆ หยุดลง
“ฟิ้วๆๆ” สายลมดำทะมึนพัดกรรโชก พัดผ่านร่างกายตน ถึงแม้ว่าจะมิได้ดำทะมึนเหมือนกับพายุคลั่งหมุนวนที่บริเวณปากทางเข้าทางเดินเขี้ยวอสรพิษ แต่สายลมดำทะมึนน้อยๆ นี้ก็ยังคงมีพลังกัดกร่อนอันแกร่งกล้ายิ่งนัก ทำให้พลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพกติดตัวมาถูกบริโภคไป เขามองข้ามสายลมดำทะมึนเหล่านี้ไปแล้วพยายามเคลื่อนเข้าไปใกล้อย่างต่อเนื่อง แต่ความรู้สึกกดดันที่ห้วงมิติกลุ่มแสงตรงหน้าแผ่ออกมาก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน
ยิ่งอยู่ใกล้ ความกดดันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
“ต้านไม่อยู่แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตนเองวิงเวียนศีรษะ สติรับรู้ก็รางเลือน วิญญาณก็เจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า
“ถอย!”
ได้แต่แปลงเป็นลำแสงสายหนึ่งร่นถอยไปอย่างรวดเร็ว การเหินทะยานร่นถอยไปอย่างรวดเร็วนี้ แรงกดดันก็ลดทอนลงอย่างรวดเร็วยิ่ง เขาจึงผ่อนคลายลงเป็นอันมาก
“อีกนิดเดียวเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจ้าวหิมะเหินจะเข้าไปมิได้ เช่นนั้นผู้ใดจะสามารถเข้าไปได้กันเล่า”
ยอดเคารพเฮ่ากู่ส่ายหน้า
“แรงกดดันช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถอนหายใจ เขามีความมั่นใจในเคล็ดวิชาวิญญาณของตนเองเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังถูกกดดันให้ร่นถอยไปอยู่ดี
“ฮ่าฮ่า ไปที่ต่อไปเถิด” ยอดเคารพเฮ่ากู่มิได้นำมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อยแล้วพาตัวตงป๋อเสวี่ยอิงไปด้วยกันต่อ
ถ้าหากเข้าไปด้วยตนเองได้ ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็คงเข้าไปนานแล้ว
เขาส่งตงป๋อเสวี่ยอิงไป ตอนนี้ก็เป็นเพราะเขามิอาจเข้าไปได้ จึงให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปทดลองดู
……
ก็เป็นที่ห้วงมิติกลุ่มแสงอีกแห่งหนึ่ง
ถึงแม้ว่าแรงกดดันจะแข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน แต่เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยิ่งเกิดความยินดีขึ้นในใจ “ดูเหมือนว่าจะผ่อนคลายขึ้นหน่อยแล้วกระมัง มีหวังที่จะเข้าไปได้แล้วสิ!”
การคาดการณ์นั้นถูกต้อง
ถึงแม้ว่าจะอยู่ใกล้เป็นอย่างยิ่ง แรงกดดันก็ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งอยู่ดี แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังเข้าไปภายในห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ก่อนที่จะไปถึงขีดจำกัดที่จะทนรับได้ไหว
“เยี่ยม!” ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของเส้นทางได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เผยสีหน้ายินดีออกมาในทันที
“พรึ่บ”
ภายในห้วงมิติกลุ่มแสง
หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามาแล้ว มองไปแวบหนึ่ง ‘เกล็ดหิมะ’ แก้วผลึกเกล็ดแล้วเกล็ดเล่ากำลังปลิวว่อน มองไปแวบหนึ่งก็เกินกว่าร้อยล้าน เกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวว่อน ทำให้ทั่วทั้งห้วงมิติกลุ่มแสงราวกับภาพมายาแห่งความฝัน
“นี่คืออะไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดาในทันที “เศษเสี้ยวความทรงจำอย่างนั้นหรือ”
เขาเคยได้ยินยอดเคารพเฮ่ากู่พูดมาก่อนแล้วว่ามีห้วงมิติกลุ่มแสงจำนวนหนึ่งที่ภายในล้วนเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำที่เหลือทิ้งเอาไว้ แต่เศษเสี้ยวความทรงจำภายในทะเลแห่งการรับรู้นั้นแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ กัน ภายในกลุ่มแสงทุกกลุ่มถ้าหากมีเศษเสี้ยวความทรงจำอยู่ เช่นนั้นต่างก็เป็นเศษเสี้ยวความทรงจำชนิดเดียวกันทั้งสิ้น
เศษเสี้ยวความทรงจำไม่มีอันตรายแต่อย่างใดเลย
หลังจากที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นเช่นนั้นตายตกไปแล้วก็ยังคงเหลือเศษเสี้ยวความทรงจำทิ้งเอาไว้ ต่างก็เป็นรอยประทับที่ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งจึงเป็นเช่นนี้ได้
“นี่คืออะไรหรือ” สติรับรู้สายหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกผ่านเข้าสู่เกล็ดหิมะที่ลอยละลิ่วเกล็ดหนึ่งตรงหน้า
ในขณะที่แทรกผ่านนั้นเอง
สติรับรู้ก็คำรามลั่น
เขา ‘มองเห็น’ งูยักษ์ตัวหนึ่งแล้ว งูยักษ์ขนาดมหึมาหาใดเปรียบนอนขดตัวอยู่ในมิติคละถิ่นอันทึบทึมแห่งหนึ่ง มันส่งเสียงคำรามอย่างโมโห เห็นได้ชัดว่าเดือดดาลจนแทบคลั่ง ทันใดนั้นหางงูอันแปลกประหลาดนั้นก็สว่างวาบคราหนึ่งแล้วทะลุผ่านมิตินับล้านล้านแห่ง คล้ายกับร่างแปรหางงูนับล้านล้านในพริบตา! หางงูนับล้านล้านหางทะลุผ่านมิตินับล้านล้านแห่งแล้วแทงเข้าไปยังบุคคลที่น่าหวาดหวั่นเช่นกันคนหนึ่ง
บุคคลผู้นั้นพลานุภาพกว้างใหญ่ไพศาล มีกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างรบกวนอยู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมองไม่เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนได้อยู่แล้ว
เศษเสี้ยวความทรงจำชิ้นนี้ก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
“ต่อสู้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้นน่ะหรือ”
สามารถมองออกได้ สนามรบนั้นอยู่ภายในมิติคละถิ่น พลังคละวิถีอันน่าหวาดหวั่นที่กัดกร่อนตนอย่างแข็งแกร่งนั้น… สำหรับงูยักษ์แล้วก็ราวกับอากาศ กระบวนท่าเดียวของงูยักษ์ก็ส่งผลกระทบต่อมิติมากมายถึงเพียงนั้นแล้ว! แต่ผู้แกร่งกล้าที่สามารถห้ำหั่นกับงูยักษ์ได้โดยไม่ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย พูดถึงพลังยุทธ์ ถึงแม้ว่าจะมิอาจเทียบเคียงกับ ’หยวน’ ได้ แต่เกรงว่าคงจะมิได้แตกต่างกันสักเท่าใดนัก
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ดูเศษเสี้ยวความทรงจำอื่นๆ ต่อไป
เศษเสี้ยวกว่าร้อยล้านชิ้น…
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะดูเศษเสี้ยวความทรงจำไปกว่าร้อยชิ้น ต่างก็เป็นงูยักษ์สำแดงเคล็ดวิชาที่หางงูทะลุผ่านห้วงมิตินับล้านล้านแห่งในชั่วพริบตาทั้งสิ้น! กระบวนท่านี้คล้ายกับจะแทงทะลุศัตรูในท้ายที่สุดทั้งหมด
“ในที่สุดก็มีอะไรที่แตกต่างไปบ้างเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นเศษเสี้ยวความทรงจำชิ้นหนึ่ง ในเศษเสี้ยวความทรงจำนั้น งูยักษ์เลื้อยเหินทะยานท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านอันเวิ้งว้าง สามารถมองเห็นได้อย่างกระจ่างชัดเจน ความยาวของร่างกายมันยังยาวกว่าโลกกำเนิดแห่งหนึ่งอยู่มากพอสมควร แต่สำหรับปริมาตรร่างกายนั้นก็เล็กกว่าโลกกำเนิดมากมายนัก
รอจนดูเศษเสี้ยวความทรงจำหมดไปหลายล้านชิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คาดเดาขึ้นมาได้บ้างแล้ว
เศษเสี้ยวที่ตนได้เห็นนั้นมีอยู่ทั้งหมดสามชนิด ชนิดหนึ่งคือหางงูสำแดงกระบวนท่าทิ่มแทง อีกชนิดคืองูยักษ์เหินทะยาน ส่วนอีกชนิดหนึ่งก็คือภาพเหตุการณ์ที่งูยักษ์ขดตัว หลังจากนั้นก็กลายเป็นอากาศธาตุเข้าสู่ห้วงนิทรา ทุกครั้งที่เข้าสู่ห้วงนิทราล้วนกลายเป็นอากาศธาตุโดยสมบูรณ์
“ถึงแม้ว่าจะมีเศษเสี้ยวความทรงจำอยู่กว่าร้อยล้านชิ้น แต่ข้าก็สุ่มเลือกมาหลายล้านเศษเสี้ยวความทรงจำอย่างไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ ก็มีอยู่ทั้งหมดสามชนิดนี้แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “เกรงว่าเศษเสี้ยวความทรงจำที่มีอยู่ทั้งหมดนั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าก็มีอยู่เพียงแค่สามชนิดนี้นี่แหละ”
“แต่สามชนิดนี้ล้วนเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำวิถีอากาศอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงดวงตาเปล่งประกาย
เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
การได้เห็นเศษเสี้ยวความทรงจำนั้นเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง พวกยอดเคารพเฮ่ากู่ก็เคยดูเศษเสี้ยวความทรงจำกันมาก่อนแล้ว แต่ได้เห็นครั้งแรกก็ค้นพบว่าเป็นเศษเสี้ยวความทรงจำวิถีอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมต้องตื่นเต้นยินดีอยู่แล้ว
งูยักษ์เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด เคล็ดวิชาที่สำแดงก็เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เพียงแต่งูยักษ์ได้แสดงไปถึงขั้นสุดยอดสักอย่างหนึ่ง มิฉะนั้นก็ไม่มีสิทธิ์จะไปยั่วยุปลุกเร้า ’หยวน’ ได้ เคล็ดวิชาสามชนิดนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงหนทางที่วิถีอากาศจะไปถึง ‘ระดับขั้นคละถิ่นได้ ว่ากันอย่างจริงจังแล้วนี่ก็คือทิศทางสามเส้นที่แตกต่างกัน
ก็เหมือนกับเจ็ดกระบวนคละถิ่นที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงย้อนนึกถึงพื้นฐานของอากาศ…พลังคละวิถี
อย่างเช่นเคล็ดดอกไม้ห้วงอากาศเบ่งบาน สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับที่จักรพรรดิเซี่ยได้มาครอง ก็คือพลังชีวิตที่ฟูมฟักขึ้นมาชนิดหนึ่ง ไม่ด้อยไปกว่าพลังคละวิถีเลยแม้แต่น้อย
ทิศทางแตกต่างกันก็ตัดสินพลังที่จะได้มาครองที่แตกต่างกัน
“ข้ายังอยู่ห่างไกลจากระดับขั้นคละถิ่นมากมายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้กระจ่างดียิ่ง เทพจักรวาลชั้นที่สองไปถึงระดับสุดยอดนั้นยากเย็นเพียงใด ตนเองผ่านพ้นความยากลำบากมามากมายเพียงใด
ทว่าตั้งแต่ขั้นสุดยอดมาถึงระดับขั้นคละถิ่น
ในความเป็นจริงแล้วเป็นการก้าวข้ามที่สำคัญที่สุดจากสิ่งมีชีวิตของโลกกำเนิดไปสู่สิ่งมีชีวิตคละถิ่น! มีผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศมากมายเพียงใดที่ค้างอยู่ที่ก้าวนี้ ตั้งแต่ดินแดนจิตโลกาถือกำเนิดขึ้นมา ราชันย์อนธการอมตะ จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ บรรพชนฝานและคนอื่นๆ ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ หรืออย่างเช่นโลกกำเนิดบ้านเกิดของตงป๋อเสวี่ยอิง ในประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยมีใครสามารถสำเร็จเป็นคละถิ่นได้มาก่อนเลยเช่นกัน!
สำเร็จเป็นคละถิ่น ก้าวนี้ช่างยากเย็นจนถึงระดับที่มิอาจจินตนาการได้เลยทีเดียว
จะต้องมีจิตใจแน่วแน่ เตรียมตัวที่จะก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ เป็นอย่างดี
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ แต่ร่างกายกลับแปลงกายออกมาเป็นเงาร่างอาภรณ์ขาวสายหนึ่ง คนคนเดียวก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นคนสองคน
“ทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้ที่นี่ ที่นี่ไม่มีอันตรายใดๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษคุ้มกัน ให้ร่างแยกอยู่ที่ สามารถหยั่งรู้เศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านี้ไปตลอดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
ถึงแม้ว่าร่างแยกเพียงร่างเดียวของเขาเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ แต่ด้วยพลังยุทธ์ของเขาก็สามารถสร้างร่างแยกออกมาได้ตลอดเวลา ในตอนนี้ทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้ที่นี่แล้วร่างแยกที่พกไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเอาไว้ก็ไปจากห้วงมิติกลุ่มแสงอย่างรวดเร็ว
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 11 การฝึกกายที่ไม่มั่นคง
ภายนอกห้วงมิติกลุ่มแสง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางตามเครือข่ายเส้นทางมาถึงยังเบื้องหน้ายอดเคารพเฮ่ากู่ผู้เต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอยอย่างรวดเร็ว
“เป็นอย่างไรบ้าง” ยอดเคารพเฮ่ากู่เอ่ยถาม
“เป็นมิติเศษเสี้ยวความทรงจำ มิได้มีสมบัติล้ำค่าที่สามารถนำติดมาได้แต่อย่างใดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“อ้อ” ยอดเคารพเฮ่ากู่มองไปยังอาณาเขตอื่นๆ อย่างครุ่นคิด เศษเสี้ยวความทรงจำนั้นมีเพียงแค่การเข้าไปดูด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะยังนับว่าได้อะไรอยู่บ้าง! ภายใต้ความกดดันวิญญาณพรรค์นั้นเขาก็มิอาจเข้าไปได้ ก็ย่อมไร้ประโยชน์อยู่แล้ว แต่เขาก็มิได้ใส่ใจ เพราะว่ามีเพียงแค่ ‘เศษเสี้ยวความทรงจำ’ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังของตนเท่านั้นจึงจะมีประโยชน์อยู่บ้าง มิฉะนั้นก็จะมีประโยชน์เพียงน้อยนิดเท่านั้น…
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่ทะเลแห่งการรับรู้เป็นครั้งแรกก็ได้ ‘ขนนกแดงเพลิง’ อันนั้นมาครองแล้ว เดิมคิดว่าการนำเอาสมบัติล้ำค่าไปนั้นมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย
แต่ต่อมาเขาก็รู้ว่าตนเองผิดพลาดเสียแล้ว
เพราะว่าทั่วทั้งทะเลแห่งการรับรู้มีกลุ่มแสงอยู่ทั้งสิ้นเพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้น! ไม่นับแห่งที่ตนไม่สามารถเข้าไปได้ และไม่รวมแห่งที่ยอดเคารพเฮ่ากู่เคยเข้าไป ก็เหลืออยู่เพียงแค่ห้าสิบหกห้วงมิติกลุ่มแสงที่ตนสามารถบุกเข้าไปได้ ห้าสิบหกห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ ที่มีสมบัติล้ำค่าอยู่ก็มีเพียงแค่สามสิบสามแห่งเท่านั้น! ในบรรดานั้นก็มีเป็นจำนวนมากที่มีพลานุภาพน่าหวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกกวาดล้างโดยสมบูรณ์ ก็ย่อมไม่สามารถหยิบเอาสมบัติล้ำค่าใดๆ ไปได้อยู่แล้ว
มีกลุ่มแสงเพียงเจ็ดแห่งเท่านั้นที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความหวังที่จะนำสมบัติล้ำค่าไปได้ แต่ก็เพียงแค่มีความหวังเท่านั้น
พรึ่บ
ตงป๋อเสวี่ยอิงโซซัดโซเซออกมาจากห้วงมิติกลุ่มแสงแห่งหนึ่งแล้วร่อนลงบนเครือข่ายเส้นทาง ในมือของเขาถือแผ่นเกล็ดสีดำอันหนึ่งเอาไว้
“ได้มาแล้วหรือ” ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่ไกลออกไปได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เผยสีหน้ายินดีเป็นอย่างยิ่งแล้วบินตรงออกมาในทันที ไม่สนใจแล้วว่าจะสูญเสียพลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษไปอีกสายหนึ่ง
“เสี่ยงยิ่งกว่าเสี่ยง โชคดีที่ได้มาครอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูแผ่นเกล็ดสีดำในมือแล้วก็ทอดถอนใจอยู่บ้าง เมื่อครู่สิ่งที่ดึงดูดเขามากที่สุดในห้วงมิติกลุ่มแสงนั้นก็คือฟันเขี้ยวซี่หนึ่งซึ่งคมกริบดุจมีด แต่ฟันเขี้ยวซี่นั้นมีพลังคุกคามแข็งแกร่งเหลือเกิน ถึงขนาดที่พลังคุกคามอันไร้รูปร่างที่ปล่อยออกมาก็กดดันเสียจนตนมิอาจเข้าไปใกล้ได้ ถ้าหากมีพลังยุทธ์ระดับยอดเคารพเฮ่ากู่ก็น่าจะสามารถฝืนทนจนเข้าไปใกล้อย่างต่อเนื่องได้
ถึงแม้ว่าการได้มาซึ่งแผ่นเกล็ดสีดำนี้จะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ทุ่มเทอยู่ห้าครั้ง ในที่สุดก็สำเร็จจนได้
“ดีจริง” ยอดเคารพเฮ่ากู่หยิบเอาแผ่นเกล็ดสีดำมา รับสัมผัสพลังทำลายล้างที่แฝงอยู่ในส่วนลึกของแผ่นเกล็ดสีดำแล้วเผยสีหน้ายินดีพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยรอยยิ้ม “จ้าวหิมะเหิน อ้างอิงจากที่เจ้ากับข้าสัญญากันก่อนหน้านี้ เจ้าเพียงแค่ช่วยข้าให้ได้สมบัติล้ำค่ามาสามชิ้นเท่านั้น เจ้าก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแล้ว ตอนนี้เจ้าก็ไปบุกฝ่าอย่างอิสระเถิด”
“ยังคิดว่าการรวบรวมสมบัติล้ำค่าสามชิ้นจะค่อนข้างง่ายเสียอีก คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายครั้งเช่นนี้ พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าก็หมดลงไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างจนใจ “ถ้าหากต้องการได้สิ่งเหล่านั้นกลับคืน ก็เกรงว่าคงต้องกลับคืนแล้วล่ะ”
แต่เขาไม่คิดจะคืนกลับไป
อยากจะใช้พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษจนถึงหยาดหยดสุดท้าย
“ฮ่าฮ่า คราวนี้ต้องขอบคุณจ้าวหิมะเหินแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่พึงพอใจกับสิ่งที่ตนได้รับมาเป็นอย่างยิ่ง เขาเอ่ยว่า “พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าลดลงไปเร็วเหลือเกิน ข้ายังเตรียมตัวจะไปยังสถานที่แห่งอื่นๆ อีก อยากจะไปด้วยกันหรือไม่เล่า”
“ไม่แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
ยอดเคารพเฮ่ากู่พยักหน้า “เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะนะ”
พรึ่บ!
เขาแปลงร่างเป็นลำแสงเหินทะยานไปไกลในทันที ทั่วทั้งทางเดินเขี้ยวอสรพิษใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่ง ‘ส่วนหัว’ ของอสรพิษก็ยังกว้างขวางเป็นที่สุด ทะเลแห่งการรับรู้เป็นเพียงแค่สถานที่ที่ค่อนข้างพิเศษเท่านั้น พูดถึงอาณาบริเวณก็เป็นเพียงแค่มุมเล็กๆ มุมหนึ่งเท่านั้นเอง ยอดเคารพเฮ่ากู่ทะลุผ่านผนังกั้น ไปจากทะเลแห่งการรับรู้อย่างรวดเร็ว แล้วไปยังสถานที่แห่งอื่นในทางเดินเขี้ยวอสรพิษอีกครั้ง
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปจากทะเลแห่งการรับรู้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ใช้เวลาหลายอึดใจในการผ่านผนังกั้นสีแดงโลหิตของทะเลแห่งการรับรู้ มุ่งหน้าตามเส้นทางไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการเหินทะยานของเขาช้ากว่ายอดเคารพเฮ่ากู่อยู่มากนัก เหาะเหินอยู่เป็นเวลากว่าสามวันจึงมาถึงจุดหมาย
“ถึงแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหาะมาถึงตรงหน้า ‘เขี้ยวอสรพิษ’ ที่สูงตระหง่านดุจภูเขา เขี้ยวอสรพิษดำสนิท บริเวณรอบๆ มีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
พรึ่บ!
พุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงเสียดฟ้ามุ่งไปยังส่วนยอดของภูเขาสูงเขี้ยวอสรพิษ
“แคร่กๆๆ” รอยแยกห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้แล้วหลบเลี่ยงออกมาก่อน รอจนตอนที่บินไปถึงส่วนยอดสุดของภูเขาสูงเขี้ยวอสรพิษสีดำ มองปราดเดียวก็เห็นว่าส่วนยอดสุดของเขี้ยวอสรพิษนั้นแหลมคมหาใดเปรียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่งูยักษ์ใช้เขี้ยวอสรพิษนี้ขบกัดศัตรูได้ เกรงว่าเขี้ยวอสรพิษนี้ยังน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าอาวุธเทพคละถิ่นที่ตนดัดแปลงอยู่มากพอสมควร
ส่วนยอดสุดของเขี้ยวอสรพิษสีดำสูงตระหง่านคมกริบราวกับใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนประกอบกันเป็นค่ายกล นอกจากนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงดู ‘ใบมีด’ แต่ละอันอย่างละเอียด ใบมีดก็กำลังขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนภายใต้ทัศนวิสัยของเขา… มีขนาดใหญ่กว่าดินแดนแห่งหนึ่งเป็นอย่างมาก เขามองเห็นส่วนประกอบอันแปลกประหลาดภายใน ‘ใบมีด’ ได้อย่างชัดเจน
“น่าสนใจดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในทันใด หัวคิ้วขมวดน้อยๆ แล้วก็ร่อนลงมาอย่างรวดเร็ว นั่งขัดสมาธิอยู่บนส่วนยอดของเขี้ยวอสรพิษ นั่งขัดสมาธิอยู่ระหว่างกลางใบมีดสองอัน
หยั่งรู้อย่างละเอียด
******
ที่ห้วงอากาศเขี้ยวอสรพิษนี้ไม่มีอันตรายใดๆ มากล้ำกราย มิได้ใช้พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเลยแม้แต่น้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถทุ่มเทจิตใจฝึกฝนได้
ร่างแยกร่างหนึ่งของเขาอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสง สังเกตดูเศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่าและหยั่งรู้
ร่างแยกที่มีไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็หยั่งรู้อยู่บนยอดเขาเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศสีดำ
ในความเป็นจริงแล้ว ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นส่วนประกอบภายในของส่วนยอดของใบมีดอันคมกริบจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศ’ ก็ถูกดึงดูดแล้ว เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะส่วนประกอบนี้มีส่วนที่คล้ายคลึงกันกับฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามที่เขาวิวัฒน์ขึ้นเองอยู่เป็นอันมาก ฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สาม ความตั้งใจเดิมของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือคิดค้นเคล็ดวิชาฝึกกายที่สมบูรณ์แบบออกมา
‘ฉบับแรก’ ก่อนหน้านี้ เป็นสิ่งที่เขากับจักรพรรดิเซี่ยประชันปัญญากันจนสำเร็จก้าวแรกออกมาได้ในท้ายที่สุด ฉบับแรกนี้ก็ทำให้ร่างกายของเขาและจักรพรรดิเซี่ยมีพลังยุทธ์ของผู้แกร่งกล้าไร้เทียมทานระดับสามัญแล้ว
แต่ ‘ฉบับแรก’ ก็ยังคงหยาบกระด้าง มีส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ต่างๆ อยู่
ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเซี่ยต่างก็ต้องการเดินตามเส้นทางของตนเองกันทั้งคู่! จึงต้องต่างคนต่างเดินไปก่อน
“เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกเข้าไปในนั้นอย่างยินดี
ส่วนประกอบภายในของใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นลึกลับหาใดเปรียบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึมซับมัน
แล้วค่อยผสานรวมกับการตระหนักรู้ที่ตนมีอยู่เดิม ในที่สุด ‘ฉบับที่สอง’ ของฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เพียงพริบตา
ก็เป็นเวลาหนึ่งพันแปดร้อยล้านปีหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้ว
ที่ส่วนยอดของเขี้ยวอสรพิษสีดำอันสูงตระหง่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่า
นั่งขัดสมาธิอยู่ระหว่าง ‘ใบมีด’ สองอัน เขาเผยสีหน้ายินดี “คราวนี้จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน! ข้ารู้สึกว่าสมบูรณ์แบบมากพอแล้ว ลองดูสักหน่อยเถิด!” ทันใดนั้นก็ยื่นมือขวาของตนออกมาแล้วเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงจากส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดของร่างกาย ทำให้มือขวาเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไปด้วย
การคิดค้นเคล็ดวิชาฝึกกายก็เป็นเช่นนี้ อาศัยร่างกายของตนเองไปทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า ในระหว่างกระบวนการทดลอง ก็อาจทำให้ร่างกายของตนแตกสลายอยู่บ่อยครั้ง
แต่ว่าวิญญาณสมบูรณ์แบบ เพียงความนึกคิดเดียวก็สามารถรวมร่างกายได้อย่างรวดเร็วแล้ว
“พรึ่บๆๆ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองบางส่วนก่อนจากนั้นค่อยทำทั้งร่าง เปลี่ยนแปลงมือขวาของตนเองก่อน เห็นเพียงว่าเล็บมือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นทีละน้อยตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ราวกับอาวุธเทพก็มิปาน ผิวหนังนิ้วมือก็เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างและแหลมคม ผิวหนังนิ้วมือราวกับประกอบขึ้นจากใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วน พลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นสะสมรวมกันอยู่บนมือขวา
“แย่แล้ว”
เพียงแค่เปลี่ยนแปลงมือขวาเท่านั้น สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว
มือขวามีพลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่น ทำให้ทั่วทั้งร่างกายทนรับภาระอันกล้าแกร่ง ดูเหมือนว่าถ้าเปลี่ยนแปลงต่อไป ทั่วทั้งร่างกายก็จะแหลกสลายไปหมดแล้ว
ถึงแม้ว่ารักษา ‘มือขวาอันน่าหวั่นเกรง’ เอาไว้เพียงข้างเดียว พลังที่แฝงอยู่ในร่างกายก็ถูกใช้ไปอย่างบ้าคลั่งแล้ว
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เพียงแค่รักษามือขวาให้คงอยู่เอาไว้ได้ พลังร่างกายก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นร่างกายของตน เกรงว่าชั่วเวลาจิบชาเดียว ร่างกายก็ต้องแหลกสลายแล้ว
“ล้มเหลวแล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
ว่ากันตามเหตุผล
ร่างกายอันสมบูรณ์แบบ ลำพังแค่การคงอยู่ก็สามารถเป็นนิรันดร์ได้ อย่างเช่น ‘ฉบับแรก’ ของฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามก่อนหน้านี้ ยามปกติพลังที่ใช้ก็เพียงแค่น้อยนิดนอกจากนี้ยังมั่นคงเป็นอย่างยิ่งด้วย
ทว่าตอนนี้ ‘ฉบับที่สอง’ ที่ตนตระหนักรู้นั้นกลับไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่เพียงแค่รักษามือขวาเอาไว้ก็มีมูลค่ามหาศาลเป็นอย่างยิ่งแล้ว
“แต่นี่เป็นเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่ข้าหยั่งรู้แล้วนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ เขาถามตนเอง สิ่งที่ควรคิดก็คิดถึงหมดแล้ว เขาเองก็รู้สึกว่าสมบูรณ์แบบ ไม่มีทางก้าวหน้าได้อีกแล้ว แต่ตอนนี้ผลลัพธ์กลับยังห่างไกลกับที่เขาจินตนาการไว้เป็นอย่างมาก
“พลังคุกคามเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองโบกมือคราหนึ่ง
พลั่ก…
นิ้วมือทั้งห้าของมือขวา ไม่ว่าจะเป็นเล็บมือหรือว่าผิวหนัง ใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนบนผิวหนังต่างก็รวมพลังเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบในทันใด เพียงพริบตาเดียวก็ตัดแยกออกเป็นรอยแยกห้าสาย ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ตกตะลึงอยู่บ้างเล็กน้อย ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ สามารถมีพลังคุกคามเช่นนี้ได้ก็ถือว่าค่อนข้างร้ายกาจแล้ว “ถึงแม้ว่าจะยังห่างไกลจากระดับขั้นสมบูรณ์ที่ข้าไขว่คว้า แต่พูดถึงพลังคุกคามก็นับได้ว่าเป็นระดับจักรพรรดิแล้ว”
ขั้นสมบูรณ์ที่เขาและจักรพรรดิเซี่ยไขว่คว้า
ว่ากันตามเหตุผล ฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามขั้นสมบูรณ์นั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น! นั่นก็คือพลังรบ ‘ระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์’ แม้กระทั่งพวกเขาสองคนก็ยังมุ่งมาดปรารถนาที่จะอาศัยสิ่งนี้หนีออกจากกรงขังสักครา สำเร็จเป็นคละถิ่น
“ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยก็นับได้ว่ามีพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิขั้นต้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเยาะตนเองเสียงหนึ่ง “อยากจะสำเร็จเป็นคละถิ่นจะง่ายดายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน แม้กระทั่งร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ยังห่างไกลเป็นอย่างยิ่ง”
ฝึกกายคละถิ่น ‘ฉบับแรก’ ก่อนหน้านี้เป็นพลังยุทธ์ระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์
ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่มั่นคง แต่ก็นับได้ว่าเป็นพลังยุทธ์ระดับจักรพรรดิขั้นต้น มีพลังยุทธ์ราวๆ สามส่วนของตนเมื่อใช้อาวุธเทพคละถิ่นหอกชิงเหอกระมัง
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 12 ก็มิใช่แค่ร่างแยกร่างเดียวเ...
“แม้กระทั่งทำให้มั่นคงก็ยังทำมิได้ ข้อบกพร่องก็ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบจิตใจแล้วคิดใคร่ครวญย้อนกลับไปถึงเคล็ดวิชาที่ตนคิดค้นขึ้นมา ถึงขนาดที่แปลงเป็นลำแสงเหินบินไปยังภูเขาเขี้ยวอสรพิษสีดำสูงตระหง่านแห่งแล้วแห่งเล่าในบริเวณรอบๆ ภูเขาเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศแปดแห่ง บริเวณรอบๆ ของแต่ละแห่งมีช่องว่างห้วงอากาศอยู่ มองแล้วก็ทำให้หัวใจคนสั่นสะท้าน รู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ในทัศนวิสัยของเขาสามารถเห็นภูเขาเขี้ยวอสรพิษได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น แต่เขากลับคาดเดาถึงปัญหาที่เคล็ดวิชาของตนมีอยู่ได้อย่างรางๆ แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เขี้ยวอสรพิษสีดำ แฝงไว้ด้วยความเร้นลับมากมายของวิถีอากาศ เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับขั้นคละถิ่น ระดับขั้นสูงกว่าข้ามากมายเหลือเกิน ข้าเห็นแล้วก็ชมชอบหลงใหล! หากแต่เขี้ยวอสรพิษนี้ในท้ายที่สุดแล้วก็มีไว้ใช้โจมตี ส่วนประกอบของใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยอดเขาเขี้ยวอสรพิษก็เอาไว้ใช้สังหารโจมตีเช่นเดียวกัน ข้าอยากจะดึงเอาความเร้นลับมาซึมซับเข้าสู่ร่างกายก็ย่อมมีการสังหารโจมตีที่แข็งแกร่ง แต่อยากจะทำให้มั่นคงนั้นก็ยากเย็นเสียแล้ว!”
สิ่งที่โจมตีเพียงอย่างเดียวสามารถมั่นคงได้หรือ
ได้!
อย่างเช่นอาวุธเทพคละถิ่น! หรืออย่างเช่นเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศนี้! ต่างก็เป็นวัตถุที่โจมตีในระยะใกล้ ก็สามารถอยู่อย่างมั่นคงชั่วนิรันดร์ได้
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการทำให้ทุกด้านของร่างกายสมดุลกันก็ง่ายกว่าอยู่พอสมควร ส่วน ‘การคงความสมดุลแม้การกัดกร่อนแข็งแกร่ง’ ก็ยากกว่าอยู่มากอย่างเห็นได้ชัด
“น่าเสียดาย ข้าไม่มีวัตถุอื่นๆ ที่สามารถศึกษาได้อีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
ถึงแม้ว่าจะได้ดูเศษเสี้ยวความทรงจำมาแล้ว
แต่ก็เพียงแค่ได้เห็นภาพเหตุการณ์จำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางวิเคราะห์ได้อย่างแท้จริง อย่างเช่นเขี้ยวอสรพิษนี้ ตนเองก็สามารถมองเห็นส่วนประกอบภายในได้แล้วศึกษาจากมัน ดัดแปลงส่วนประกอบร่างกายของตนเอง
“อาวุธเทพคละถิ่น พื้นฐานคือเม็ดทรายอลวนซึ่งเป็นวัตถุไร้ชีวิต” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ดีร้ายอย่างไรเขี้ยวอสรพิษก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย”
“ไปดูที่อื่นๆ อีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจดจำส่วนประกอบภายในเขี้ยวอสรพิษเอาไว้จนหมด ถึงขนาดที่ไม่มีทางก้าวหน้าได้อีกในระยะเวลาอันสั้น จะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
พรึ่บ!
เขาแปลงเป็นลำแสง เดินทางอยู่ในทางเดินเขี้ยวอสรพิษอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นตรวจตราไปทุกหนทุกแห่ง
……
ในวันต่อมา ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทจิตใจสำรวจทุกหนแห่งของทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเคยถามยอดเคารพเฮ่ากู่ถึงข้อมูลเกี่ยวกับทางเดินเขี้ยวอสรพิษมาก่อนแล้ว ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ได้บอกมาเป็นจำนวนมาก แต่เกี่ยวกับ ‘วิถีอากาศ’ นั้น วิธีการพูดของยอดเคารพเฮ่ากู่ก็คือ “เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศเก้าอันนั้นสะดุดตาเป็นที่สุด ส่วนสิ่งอื่นๆ นั้นข้าก็มิได้ค้นพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีอากาศ แน่นอนว่าข้าก็มิได้เชี่ยวชาญทางด้านห้วงอากาศ สายตาไม่กว้างไกลพอ บางทีหากมีวัตถุวิถีอากาศอยู่ต่อหน้า ก็มีความเป็นไปได้ที่ข้าจะมองไม่ออก”
สำหรับ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ถึงแม้ว่าทางเดินเขี้ยวอสรพิษจะเป็นสถานที่ต้องห้ามในตำนาน แต่กลับไม่มีวัตถุใดๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับมันเลย
******
ณ บ้านเกิด ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ โลกทิพย์นิจนิรันดร์
ภายในเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวกำลังอยู่ที่โรงสุราริมทาง เสพสุขกับอาหารเลิศรสสุราชั้นเลิศที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงสุราแห่งนี้
เหล่าผู้ดูแลของโรงสุราต่างก็กำลังตั้งอกตั้งใจดูแลบรรดาแขกเหรื่อ วิ่งพล่านอยู่ภายในโรงสุรา คอยยกอาหารเลิศรสสุราชั้นเลิศถาดแล้วถาดเล่า
“เหล่าซาน ค่าคารวะอาจารย์ของเจ้าเพียงพอแล้วหรือ”
“พี่ใหญ่ วางใจเถิด ใกล้แล้วล่ะ คราวหน้าที่สำนักฝูเทียนรับศิษย์อีกครั้ง ข้าก็สามารถคารวะอาจารย์ได้แล้ว พอถึงเวลานั้นข้าก็จะต้องบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นเทพอากาศได้อย่างแน่นอน” ที่ด้านข้าง เหล่าผู้ดูแลผ่อนคลายกันเล็กน้อย ผู้ดูแลวัยเยาว์สองคนถ่ายเสียงสนทนาระหว่างกัน
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวมีระดับขั้นเช่นไร วิธีการที่เทพแท้สองคนถ่ายเสียงกัน พวกเขาสองคนก็ได้ยินอย่างง่ายดาย
อวี๋จิ้งชิวเอ่ยเสียงเบาว่า “ในยุคนี้ยังคงมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังบำเพ็ญ กำลังดิ้นรน แต่ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านกลับกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องจนใกล้จะถึงมหาวินาศ”
“ยังเร็วไปมากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ยังเหลืออีกกว่าสิบล้านล้านปีเลยทีเดียวนะ”
“ใช่ แต่ยุคนี้แหลกสลายไป ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เจ้า เสวี่ยอิงสามารถช่วยพาจากไปได้” อวี๋จิ้งชิวมองบรรดาผู้ดูแลวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหล่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
พกพาสิ่งมีชีวิตไปยังโลกกำเนิดแห่งอื่นๆ สำหรับเขาผู้เป็นวิถีอากาศขั้นสุดยอดแล้วก็มิใช่เรื่องง่ายเลย
แม้กระทั่งบรรดาญาติสนิทมิตรสหาย ก็ยังต้องต้องแบ่งออกเป็นหลายครั้งอย่างยิ่งในการพาไป ที่เขาสามารถพาไปได้ก็ถูกกำหนดให้น้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง!
“ยุคสมัยนี้…” ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านเกิดหรือว่าที่ดินแดนจิตโลกา ตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งที่ยืนอยู่ที่จุดยอดสุดทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังมิได้ทำให้เสร็จสิ้น อย่างเช่นการสังหารศัตรูของปรมาจารย์กู่ฉี…จอมเทพศักดิ์สิทธิ์! ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่ก่อการสังหารจำนวนนับไม่ถ้วน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมไม่อยากให้เขามีชีวิตรอดอยู่แล้ว
“แต่ถ้าหากไปถึงยุคต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราจะต้านทานกฎเกณฑ์สูงสุดเอาไว้ได้ ก็ต้องให้กำเนิดตอนแรกเริ่มในยุคต่อไป เข้าสู่ห้วงนิทราอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ “พลังยุทธ์ของข้าแข็งแกร่งกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ระยะเวลาที่ข้าเข้าสู่ห้วงนิทราก็อาจจะเนิ่นนานกว่า ระหว่างช่วงเวลานี้ก็สามารถเกิดการผันแปรขึ้นได้มากมาย”
ภายในโลกกำเนิดก็ไม่มีทางต้านทานกฎเกณฑ์สูงสุดได้เลย
แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นที่กล้าแกร่งอย่าง ’หยวน’ และ ‘เจ้าเมืองหลัว’ เข้าไปยังโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง ภายใต้การเผชิญกับความกดดัน พลังยุทธ์ที่สามารถแสดงออกมาได้ก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
“อยากจะสังหารเขา ยุคนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่สุดแล้ว”
“แต่ตอนแรกจอมกระบี่ไล่ล่าสังหารหลายครั้ง ก็เพียงแค่ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น พลังชีวิตก็สูญเสียไปไม่ถึงครึ่ง ตอนนี้ข้าสามารถรักษาพลังยุทธ์เอาไว้อย่างมั่นคงได้ ก็เป็นเพียงแค่ระดับไร้เทียมทานเท่านั้น แข็งแกร่งกว่าจอมกระบี่อยู่เล็กน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจกระจ่างแจ้งเป็นอย่างยิ่ง พลังยุทธ์ไร้เทียมทานก็ไม่มีทางสังหารขั้นสุดยอดระดับสามัญในกระบวนท่าเดียวได้
ถึงแม้ว่าตนเองจะมีร่างแยกมากมายก็ยังทำมิได้เช่นกัน
ตอนนี้เขายังซ่อนตัวอยู่ในทางเดินโลกาพิศวง อยากจะหาตัวให้พบนั้นยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเมื่อใดที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แปลงร่างกลายเป็นฝูงมารผลาญทำลายธรรมดา ตนเองก็ไม่มีทางจำได้! ในท้ายที่สุดแล้วตนก็ไม่มีความสามารถในการ ‘สะกดรอย’ ขั้นสุดยอดอยู่ดี
“รอให้ข้าแข็งแกร่งกว่านี้มากอีกหน่อยเถิด”
“ก็จะเริ่มต้นกวาดล้างทางเดินโลกาพิศวง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถมีชีวิตรอดไปถึงยุคต่อไปได้หรอก” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายหนาวเหน็บวาบผ่าน ก่อนหน้านี้เขายังไม่มีความมั่นใจ แต่ความก้าวหน้าในเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว
ขอเพียงแค่เคล็ดวิชาฝึกกายก้าวหน้าขึ้นอีกสักหน่อยก็จะมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในการไปกวาดล้างแล้ว
……
สถานที่ต้องห้ามทะเลแห่งการรับรู้ของ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงที่ใหญ่ที่สุดแห่งนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงยังที่แห่งนี้ ผ่านประสบการณ์สำรวจทุกหนแห่งในระยะเวลานี้ พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษในร่างกายเขาก็ถูกใช้ไปจนเหลือเพียงแค่สายสุดท้ายแล้ว
ยืนอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ มองดูซากศพของงูยักษ์ขนาดมหึมาตนนั้น และซากศพสัตว์ประหลาดพันเนตรที่อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหักอยู่ห่างๆ
“ที่ดินแดนจิตโลกา ที่อากาศอันสับสนอลหม่าน ข้าก็ไร้ซึ่งศัตรูแล้ว เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิของหุบเขาเขี้ยวหักก็มีอยู่มากมายที่แข็งแกร่งกว่าข้า แต่สิ่งที่พวกเขาบำเพ็ญล้วนเป็นพลังสายโลหิตทั้งสิ้น มิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อข้าแต่อย่างใดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “แต่ถึงแม้ว่าจะบำเพ็ญมาจนถึงระดับในตอนนี้แล้ว วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าก็ยังไปไม่ถึงขั้นสุดยอดเลยเสียด้วยซ้ำ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคละถิ่นเลย วิถีอากาศ แม้กระทั่ง ‘จักรพรรดิระดับต้น’ ก็ยังไม่มั่นคงพอ ยังห่างไกลจากการสำเร็จเป็นคละถิ่นอยู่มากมายนัก”
“ทุ่มเทบำเพ็ญ”
“นึกอยากจะใช้พลังทำลายกฎสำเร็จเป็นคละถิ่นนั้นยากเย็นเพียงใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ
ไปดัดแปลงเส้นทางมากมาย ทดลองควบคุมจุดกำเนิดของโลกกำเนิด บางทีอาจยังมีหวังมากยิ่งกว่าอีกกระมัง
เผยแพร่ความเชื่อ อาศัยศรัทธาของสรรพชีวิตมาควบคุมจุดกำเนิดโลกอย่างนั้นหรือ การที่จะให้ผู้บำเพ็ญที่ไขว่คว้าอิสรภาพอย่างยิ่งใหญ่ศรัทธาได้นั้นยากเย็นเหลือเกิน แต่วิธีการควบคุมวิญญาณนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้สนใจมากมายนัก
“ไปลองดูที่แหล่งอารยธรรมอื่นๆ หน่อยดีกว่า”
“ที่แท้แล้วเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่ เพียงแค่รับสัมผัสอยู่ห่างๆ ก็สามารถทำให้สัญชาตญาณของข้ารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาได้แล้ว ส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงตรงหน้าก้อนหินใหญ่สีดำนั้น ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเป่ยเหอก็เคยเข้าไปและออกมาก่อนแล้ว! อย่างเช่นเหล่าห้ายอดเคารพที่เคยมาถึงที่นี่ ต่างก็รู้สึกได้ว่าการไปนี้ช่างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่เลือกทางเส้นนี้ง่ายๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเยาว์วัยเกินไป
ต่อให้ไม่ออกไปวิ่งบุกฝ่า ทุ่มเทบำเพ็ญอย่างเดียว ด้วยความรวดเร็วในการบำเพ็ญของเขาก็มีความหวังที่จะสำเร็จเป็นคละถิ่น
แต่ว่า…
“ก็มิใช่แค่ร่างแยกร่างเดียวเท่านั้นหรือไร”
ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน เคยใส่ใจร่างแยกร่างเดียวเสียที่ไหนกัน
“ไป ไปดูหน่อยดีกว่า” ร่างกายที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้และคาดหวังรอคอยของตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสบนก้อนหินใหญ่สีดำแล้วแทรกเข้าไปภายใน ถูกดึงดูดเข้าไปในนั้นทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น