Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 37 ตอนที่ 39-42
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง
ตอนที่ 39 ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!
ภายในโถงตำหนักกำลังปั่นป่วนเล็กน้อย อวี้เฟิงจวิ้นซานนั่งอยู่บนบัลลังก์ตำแหน่งประธาน สีหน้าเย็นชา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเยียบเย็น
เขาเลือกที่จะรั้งอยู่ต่อไป เตรียมตัวต่อสู้จนตัวตายเป็นอย่างดี!
สกุลอวี้เฟิงขยายเผ่าพันธุ์มาเป็นระยะเวลายาวนาน สมาชิกตระกูลก็มีอยู่มากมายเป็นอย่างยิ่ง บรรดาคนวัยเยาว์หรือว่าผู้ที่มีพลังยุทธ์ค่อนข้างอ่อนแอจำนวนหนึ่งในนั้นที่ถูกอวี้เฟิงจวิ้นซานคิดว่ามีความคุ้มค่าที่จะบ่มเพาะได้ ต่างก็ถูกส่งตัวไปยังปราการเมืองแห่งแล้วแห่งเล่าในช่วงแปดล้านปีที่ผ่านมา เขายิ่งกำชับอย่างเข้มงวดให้บรรดาสมาชิกตระกูลที่จากไปกบดาน ไม่ให้อาศัยชื่อเสียงของ ‘สกุลอวี้เฟิง’ ไปเดินร่อนเร่อยู่ข้างนอก
“หึ สกุลอวี้เฟิงของข้ามีสมาชิกตระกูลมากมายถึงเพียงนั้นสมาคมจิตมารจะรู้จักมากมายสักเท่าใดกัน ต่อให้สามารถตรวจหารายนาทส่วนใหญ่ออกมาได้! แต่ยอดฝีมือที่สมาคมจิตมารสามารถสะกดรอยได้ทั้งหมดจะมีสักกี่คนกันเล่า จะไปที่เมืองทุกแห่ง เสาะหาทั่วทุกที่อย่างนั้นหรือ”
“สกุลอวี้เฟิงของข้าติดตั้งค่ายกลมากมายโดยไม่เสียดายมูลค่า ต่อสู้กับเจ้า โดยอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์”
“คิดจะผลาญสกุลอวี้เฟิงของข้า ก็มาดูกันว่ายอดฝีมือของเจ้าจะต้องตายไปมากมายเท่าใด”
ในขณะนี้ความอาฆาตของอวี้เฟิงจวิ้นซานกำลังพุ่งทะยาน เขาคิดเพียงแต่ว่าจะสังหารศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะตาย!
……
จ้าวภูเขาค้างคาวและจ้าวเทพเจียนอิ่นต่างก็เดินมาถึงยังตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ พวกเขาทั้งสามคนล้ว
เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิง
“น้องหิมะเหิน น้องเจียนอิ่น” จ้าวภูเขาค้างคาวถ่ายเสียงพูด “ท่านเจ้าเมืองให้พวกเราอยู่ที่นี่ทั้งหมด อยู่ภายในบ้านประจำตระกูลสกุลอวี้เฟิง ดูท่าทางจะทอดทิ้งเมืองชั้นนอกตั้งแต่เริ่มต้น! หมายจะปกป้องเมืองชั้นในนี้อย่างสุดกำลังแล้ว ศัตรูสามารถบีบให้สกุลอวี้เฟิงละทิ้งเมืองชั้นนอก ปกป้องเมืองชั้นในอย่างสุดกำลัง ศัตรูจะต้องน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุดอย่างแน่นอน”
“จ้าวภูเขาค้างคาวพูดก็มีเหตุผล น้องหิมะเหิน เจ้าเห็นว่าอย่างไร” จ้าวเทพเจียนอิ่นมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ก็ดูกันไปก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พูดอะไรมาก
จ้าวภูเขาค้างคาวและจ้าวเทพเจียนอิ่นอดที่จะลอบสงสัยมิได้ ที่พวกเขามาก็หมายจะสร้างทัพหน้าร่วมกันกับจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ พวกเขาทั้งสามคนต่างก็จัดอยู่ในแถวหน้าในบรรดาจ้าวเทพช่วงสุดยอด สามคนร่วมมือกัน เผชิญกับจักรพรรดิเทพช่วงต้น ก็สามารถรับมือได้พอสมควรแล้ว แต่ตอนนี้ทัศนคติของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิใคร่จะเป็นเชิงรุกสักเท่าใดนัก
สายตาของตงป๋อเสวี่ยทะลุผ่านประตูโถงตำหนัก เพ่งมองออกไปยังโลกภายนอก
ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานก็มีอาณาเขตอยู่เพียงแค่หนึ่งล้านลี้เท่านั้น ซึ่งก็คือเมืองชั้นนอก ส่วนบ้านประจำตระกูลสกุลอวี้เฟิงก็มีอาณาเขตหลายหมื่นลี้ ค่ายกลที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดต่างก็ติดตั้งอยู่ที่บ้านประจำตระกูลสกุลอวี้เฟิง ซึ่งก็คือเมืองชั้นในนั่นเอง
ภายในโถงตำหนัก กาลเวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปทีละเล็กละน้อยท่ามกลางความวุ่นวายและไม่สงบ
“ในที่สุดก็มาแล้ว!” อวี้เฟิงจวิ้นซานลุกขึ้นยืนทันควัน มิได้ปิดบังกลิ่นอายบนร่างเลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายล้นฟ้า จากนั้นก็เคลื่อนออกไปจากโถงตำหนักราวกับลำแสง
“น้องรอง น้องหญิงสาม พวกเจ้ารักษาตัวพวกเจ้าเองให้ดีล่ะ!” คุณชายใหญ่อวี้เฟิงเหลยมองน้องชายน้องสาวของตนปราดหนึ่งแล้วก็พุ่งตัวออกไปจากโถงตำหนักเช่นเดียวกัน พ่อบ้านถงก็พุ่งตามออกไปด้วย
สวบๆๆ…
เงาร่างกลุ่มหนึ่งเหินทะยานออกมาอย่างต่อเนื่องกัน ยอดฝีมือระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดของสกุลอวี้เฟิงกว่าครึ่งต่างก็ออกไปจากโถงตำหนักแล้ว พวกเขาสร้างค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างคุ้นเคยยิ่ง
แต่บรรดายอดฝีมืออย่างพวกตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ก็มิได้ตื่นตัวเช่นนั้น แต่ละคนก็เดินไปถึงยังปากประตูโถงตำหนัก เพ่งมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ
“มาแล้ว”
“เรือรบ”
ทุกคนมองเห็นว่าที่ขอบฟ้าไกลลิบๆ มีเรือใหญ่ลำหนึ่งปรากฏขึ้น
เบื้องล่างทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานมีค่ายกลป้องกันเมืองขนาดมหึมาปรากฏขึ้น ราวกับฉากกั้นที่ปกป้องทั่วทั้งปราการเมืองเอาไว้
ทันใดนั้นมือใหญ่ข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากเรือรบลำนั้น ฝ่ามือขนาดใหญ่ยื่นออกมาครั้งหนึ่งก็มีความยาวหลายลี้ ปกป้องบนที่ครอบแสงของทั่วทั้งปราการเมืองเสียงดังโครมคราม ที่ครอบแสงถูกกระแทกเปิดออกภายใต้ความบิดเบี้ยว เรือรบใหญ่ลำนั้นดูเหมือนว่าจะมิได้ชะลอตัวลงเลย มันทะยานตรงเข้าไปภายในเมืองจวิ้นซานทางปากถ้ำที่ครอบแสงที่ระเบิดออก
“ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บรรดายอดฝีมือของเมืองจวิ้นซานกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวอยู่ในโถงตำหนักนี้ได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็หน้าถอดสี
“ถึงแม้ว่าท่านเจ้าเมืองจะละทิ้งเมืองชั้นนอก มิได้ต้านรับอย่างสุดกำลัง แต่ค่ายกลป้องกันเมืองถึงกับถูกระเบิดทำลายภายในฝ่ามือเดียว พลังยุทธ์ของศัตรูก็น่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว”
“จักรพรรดิเทพช่วงต้นไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนี้กระมัง”
“หรือว่า…”
ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างก็มีความคิดต่างๆ นานาปรากฏขึ้นภายในใจ
การก้าวข้ามทุกระดับขั้นเล็กของระดับจักรพรรดิเทพต่างก็ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง ร้อยละเก้าสิบเก้าของ ‘จักรพรรดิเทพ’ ทั่วทั้งโลกเทพต่างก็เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้น การจะไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้นั้นช่างลำบากยากเย็นยิ่งนัก! จักรพรรดิเทพช่วงกลางโดยทั่วไปต่างก็มีสิทธิ์เข้าชื่อในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพแล้ว บนบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพทั้งหมดก็เพิ่งจะมีเพียงหนึ่งพันชื่อเท่านั้น! เห็นได้ว่า ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ นั้นหาตัวได้ยากเย็นเพียงใด
……
เรือใหญ่มาถึง
ฝ่ามือหนึ่งระเบิดทำลายค่ายกลป้องกันเมืองของเมืองชั้นนอกแล้วเข้าไปภายในเมือง
บรรดาประชากรจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในโลกเทพเงยหน้าขึ้นมองแล้วต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี มีบางคนถึงขนาดที่หลบซ่อนตัวเข้าไปภายในบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการต่อสู้
“รีบซ่อนตัวเร็วเข้า”
“พวกเจ้าเข้าไปในห้องเงียบใต้ดินกันให้หมด”
ทั่วทั้งปราการเมืองเต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย
ทว่าเรือใหญ่ลำนั้นกลับมิได้สนใจประชากรโลกเทพธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่น้อย แล้วเหินลอยไปถึงยังท้องฟ้าเบื้องบนของจวนสกุลอวี้เฟิงในระยะเวลาเพียงชั่วอึดใจ
“อวี้เฟิงจวิ้นซาน” เสียงหนึ่งดังก้องทั่วฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยความอาฆาตอันไร้ที่สิ้นสุด ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานล้วนเงียบสงัดไปชั่วขณะ
ชายชราทรงอำนาจที่สวมอาภรณ์หนาสีดำผู้หนึ่งเดินออกมาจากเรือใหญ่แล้วยืนอยู่กลางอากาศ ด้านหลังเขามีจักรพรรดิเทพห้าท่านติดตามมาด้วย
ชายชราทรงอำนาจผุ้นี้มองดูจวนสกุลอวี้เฟิงพลางหัวเราะอย่างเย็นชา “อวี้เฟิงจวิ้นซาน วันตายของเจ้ามาถึงแล้ว! วันนี้ทั้งสกุลอวี้เฟิงก็จะต้องถูกข้าขุดรากถอนโคน”
“จิตมาร!” อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ยืนอยู่กลางท้องฟ้าเหนือจวนเช่นกัน พลานุภาพของค่ายกลบ้านตระกูลอันแน่นหนาส่งเสริมร่างกาย ผิวกายของเขาในขณะนี้มีประกายชั้นแล้วชั้นเล่า เปล่งประกายระยับจับตากว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารอยู่พอสมควรเลยทีเดียว อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยอย่างเดือดดาล “คิดอยากจะล้างผลาญสกุลอวี้เฟิงของข้า หึหึ ก็มาดูกันว่ายอดฝีมือที่เจ้าพามาในวันนี้จะรอดชีวิตกลับไปได้สักกี่คนกัน”
“เจ้าก็ยกยอปอปั้นตัวเองเกินไปเสียแล้ว” ชายชราทรงอำนาจเอ่ยเสียงแหบพร่า “ข้าคือจิตมาร ขอเพียงแค่ยอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงภายในเมืองจวิ้นซานไม่เป็นอริต่อข้า ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากให้เลยแม้แต่น้อย วันนี้สกุลอวี้เฟิงจะต้องถูกผลาญย่อยยับอย่างแน่นอน พวกเจ้าก็อย่าได้โง่เง่าไปถูกฝังเป็นเพื่อนพวกเขาเลย”
จากนั้นชายชราทรงอำนาจก็โบกมือคราหนึ่ง “ลงมือ”
“ขอรับ”
ทันใดนั้นจักรพรรดิเทพห้าท่านทางด้านหลังและเหล่าจ้าวเทพกลุ่มใหญ่บนเรือก็เหินทะยานออกมาจนหมด ก่อตัวกันเป็นค่ายกลรบขนาดมหึมาแห่งแล้วแห่งเล่าอย่างมีระบบระเบียบยิ่ง แล้วเริ่มต้นโจมตีจวนสกุลอวี้เฟิงตรงหน้า
‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ชายชราผู้ทรงอำนาจเคลื่อนไหวตามลำพัง และกำลังโจมตีอยู่เช่นเดียวกัน
“ขัดขวางพวกเขาเอาไว้”
อวี้เฟิงจวิ้นซานเข้าไปรับมือกับนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร แต่ทั่วทั้งชั้นนอกของจวนสกุลอวี้เฟิงก็มีค่ายกลคุ้มกันอยู่ นอกจากนี้ เพราะว่าอาณาเขตค่อนข้างเล็ก บวกกับเมื่อเร็วๆ นี้ ในช่วงหนึ่งล้านปีนี้ สกุลอวี้เฟิงได้สร้างค่ายกลใหม่แห่งแล้วแห่งเล่าโดยไม่คำนึงถึงราคา พลังคุกคามของค่ายกลของจวนสกุลอวี้เฟิงก็แข็งแกร่งเพียงพอ
“พลั่ก”
อวี้เฟิงจวิ้นซานเคลื่อนผ่านค่ายกลของบ้านเป็นระยะๆ ทำการโจมตีและลอบโจมตี หลังจากโจมตีแล้วก็ซ่อนตัวกลับเข้าไปภายในค่ายกลทันที
เขาควบคุมแก่นสำคัญของทั้งค่ายกลของบ้าน ก็ย่อมเข้าไปถึงหัวใจหลักของค่ายกล แต่นายท่านแห่งสมาคมจิตมารนั้น ก่อนหน้าที่จะระเบิดทำลายค่ายกล ก็ย่อมไม่มีทางเข้ามาได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว
“โครม…”
จักรพรรดิเทพห้าท่านนำขบวนจ้าวเทพสามร้อยท่านก่อตัวเป็นค่ายกลรบ พลังคุกคามยังแข็งแกร่งยิ่งกว่า ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ หัวหน้าของพวกเขาเสียอีก
นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเคลื่อนไหวตามลำพัง ก็มีพลังคุกคามเกือบครึ่งของผู้ใต้บังคับบัญชา!
……
“เตรียมรับการต่อสู้” อวี้เฟิงเหลยกวาดสายตามองจ้าวภูเขาค้างคาว ตงป๋อเสวี่ยอิง จ้าวเทพเจียนอิ่นและผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่คนอื่นๆ ปราดหนึ่ง “ตลอดมาสกุลอวี้เฟิงของข้าไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อทุกท่านเลย ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกท่านต้องแสดงฝีมือแล้ว! หวังว่าทุกท่านจะไม่ทรยศหักหลังในช่วงเวลาวิกฤติ เมื่อใดที่หักหลัง พลังของค่ายกลก็จะไม่ช่วยส่งเสริมทุกท่านอีกต่อไป แต่กลับจะกดดันทุกท่านแทน! ยอดฝีมือสกุลอวี้เฟิงของข้าก่อตัวเป็นค่ายกลรบ แล้วยังมีค่ายกลส่งเสริม พอถึงเวลาก็สามารถสังหารผู้ทรยศได้อย่างสบายๆ นี่คือช่วงเวลาแห่งความเป็นตายของสกุลอวี้เฟิงของข้า ย่อมไม่มีทางอดทนต่อผู้ทรยศคนใดๆ ได้อยู่แล้ว”
เหล่าผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างก็หวาดหวั่นในใจ
“ตอนนี้ก็ฟังการจัดการของข้า” อวี้เฟิงเหลยจัดการในทันที
แบ่งเหล่าผู้แกร่งกล้าที่อยู่ในสกุลอวี้เฟิงออกเป็นค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่า ภายในค่ายกลรบทุกแห่งต่างก็มียอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงคนหนึ่ง เช่นนี้แล้วต่อให้ยอดฝีมือคนอื่นๆ ของค่ายกลรบต่างพากันหักหลัง เพราะว่าระหว่างกลางมียอดฝีมือคนหนึ่งของสกุลอวี้เฟิงอยู่ พวกเขาทรยศแล้วก็ไม่มีทางก่อตัวเป็นค่ายกลรบอันสมบูรณ์แบบได้
“ก็ได้แต่ล่าช้าไปชั่วคราวแล้ว”
“ต้านรับสักหน่อยก็แล้วกัน”
จ้าวภูเขาค้างคาวและคนอื่นๆ สีหน้ามิใคร่จะหน้าดูสักเท่าใดนัก แต่ก็มิกล้าต่อต้าน
พวกเขาต่างก็รู้จักบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ ก็ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ที่มีชื่ออยู่ในนั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด! มองไม่เห็นอีกฝ่ายส่งตัวผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพห้าท่านกับจ้าวเทพสามร้อยคนมาอย่างง่ายดายหรืออย่างไร ถึงแม้ว่าจะนับรวมยอดฝีมือทุกประเภทในเมืองจวิ้นซาน ก็เพิ่งจะเกินจ้าวเทพสามร้อยท่านมาเท่านั้น แต่ก็มีบางส่วนที่มิได้มาในวันนี้ อย่างเช่นยอดฝีมือของ ‘หอจิตฟ้า’ หรืออย่างเช่นกองกำลังย่อยเพลิงพิสดาร ก็มีจำนวนมากพอสมควรที่ไม่ฟังการจัดการของสกุลอวี้เฟิง
“ปัง ปัง ปัง…”
ท้องฟ้าเบื้องบนส่งเสียงอึกทึกไม่หยุดหย่อน
อวี้เฟิงจวิ้นซานและบรรดายอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงคนอื่นๆ ทะลุผ่านผนังกั้นของค่ายกลแล้วทำการลอบโจมตีเป็นระยะๆ
ถึงแม้ว่าจะลอบโจมตี อิทธิพลของทางด้านสมาคมจิตมารก็ยังครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง ยังคงทำให้ทั้งค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
“แย่แล้ว” สองพี่น้องอวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินที่ยืนอยู่ตรงปากประตูโถงตำหนักมองพื้นดิน ผิวดินของบ้านประจำตระกูลจำนวนมากต่างก็เริ่มแตกร้าว เห็นได้ชัดว่าศัตรูโจมตีอย่างแข็งแกร่งเกินไป ทำให้ค่ายกลจำนวนหนึ่งต่างก็เริ่มสั่นสะท้านและแตกกระจาย ต้องรู้ไว้ว่าในความเป็นจริงแล้วที่ครอบแสงนั้นเกิดขึ้นจากพลังของค่ายกลหลายสิบแห่งซ้อนทับกัน พลังคุกคามของที่ครอบแสงก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ หลังจากที่ค่ายกลจำนวนหนึ่งค่อยๆ แตกสลาย
“น้องหญิง” อวี้เฟิงจิ่นมองน้องสาว “พี่ชายไร้ประโยชน์ ปกป้องเจ้ามิได้”
“ไม่มีอะไรหรอก” อวี้เฟิงชิงอินเผยรอยยิ้มออกมา “พวกเราก็อยู่กันที่นี่ ดูท่านพ่อ ดูพวกพี่ใหญ่ต่อสู้ด้วยกันเถิด”
“อืม” อวี้เฟิงจิ่นพยักหน้า
พวกเขาพลังยุทธ์อ่อนแอ ไปเข้าร่วมรบก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด
นอกจากนี้ เมื่อรู้ว่าคราวนี้ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาสองคนก็ไม่อยากซ่อนตัว หากแต่ดูผู้แกร่งกล้าของตระกูลต่อสู้อยู่ด้วยกัน
“ปัง…”
เมื่อหลายบริเวณของบ้านแตกเปิดออก ค่ายกลจำนวนมากพอสมควรต่างก็แตกสลายไปอย่างควบคุมไม่อยู่ ในที่สุดที่ครอบแสงซึ่งริบหรี่ลงแล้วที่อยู่กลางอากาศก็ส่งเสียงระเบิดเสียงหนึ่ง ถูกค่ายกลรบขนาดมหึมาของจักรพรรดิเทพห้าท่านระเบิดออกเป็นปากถ้ำขนาดใหญ่
“ทลายแล้ว ทลายเปิดเสียแล้ว” จ้าวภูเขาค้างคาวและผู้แกร่งกล้าจำนวนมากตื่นตระหนก พวกเขามิได้อยากจะตายเป็นเพื่อนสกุลอวี้เฟิง
“มาแล้ว! ”อวี้เฟิงชิงอินร้อนรน
“น้องหญิง ดูสิ ดูพวกท่านพ่อเขาต่อสู้เถิด” พี่รองอวี้เฟิงจิ่นเองก็ขบกรามจ้องมอง
“ฆ่ามันให้ข้าเสีย! ล้างผลาญมันทั้งสกุลอวี้เฟิง ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” เสียงของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารทรงพลังกึกก้องทั่วฟ้าดิน
“ขอรับ!” จักรพรรดิเทพห้าท่านและจ้าวเทพสามร้อยคนพากันรับบัญชา!
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง
ตอนที่ 40 ปรมาจารย์ลงมือ
จักรพรรดิเทพห้าท่านทุกคนต่างก็นำขบวนจ้าวเทพยี่สิบท่าน นี่คือข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการที่สมาคมจิตมารโจมตีสกุลอวี้เฟิง! สกุลอวี้เฟิงมีเพียงแค่ ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ที่เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่สมาคมจิตมารนอกจากหัวหน้าแล้วยังมีจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่ถึงห้าท่าน! พวกเขานำขบวนจ้าวเทพกลุ่มหนึ่งก่อตัวเป็นค่ายกลรบก็ย่อมเอาชนะทุกสนามรบได้อยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าสกุลอวี้เฟิงจะมีค่ายกลช่วยเหลือ แต่ความแตกต่างระหว่างจ้าวเทพและ ‘จักรพรรดิเทพ’ ก็ชัดเจนเกินไป นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของระดับขั้นใหญ่
มิใช่ว่าใครต่อใครต่างก็สามารถต่อสู้ข้ามชั้นเหมือนกับผู้เหินทะยานกันได้ทั้งหมด
“จัดการกับบุตรชายบุตรสาวของอวี้เฟิงจวิ้นซานก่อนเถิด”
“อวี้เฟิงเหลย บุตรชายคนโตของเขาแข็งแกร่งนัก ตอนนี้ก็มีผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งก่อตัวเป็นค่ายกลรบอยู่ ข้าจะไปจัดการเขาเอง”
“บุตรชายบุตรสาวอีกคู่หนึ่งของเขาที่มือชื่อว่าอวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินนั่นก็ให้ข้าจัดการแล้วกัน ฮ่าฮ่า ข้าต้องจัดการพวกเขาได้อย่างรวดเร็วแน่นอน”
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!!!!!
กองกำลังย่อยห้ากองแยกกันเคลื่อนไหวแล้วยังเหลือจ้าวเทพอยู่ถึงสองร้อยท่าน จ้าวเทพสองร้อยท่านนี้ก็ได้เตรียมตัวมาเรียบร้อยแล้ว ก่อตัวเป็นค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่าโจมตีเบื้องล่างในทันที!
……
ถ้าหากทางด้านสมาคมจิตมารร่วมมือกันทั้งหมด ทางด้านสกุลอวี้เฟิงร่วมมือกันทั้งหมด อาศัยค่ายกลก็ยังสามารถประคับประคองไปได้
แต่เมื่อแบ่งแยกกันแล้ว
ข้อได้เปรียบของยอดฝีมือสมาคมจิตมารก็แสดงออกมา กองกำลังย่อยที่จักรพรรดิเทพห้าท่านนั้นนำทัพ ก็เป็นเขี้ยวเล็บอันแหลมคม!
“ต้านรับศัตรู” ผุ้อาวุโสของตระกูลสกุลอวี้เฟิงคนหนึ่งคำรามอย่างเดือดดาล
“ฆ่ามัน” บรรดายอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิงก็พากันตะเบ็งเสียง
พวกเขาแต่ละคนต่างก็กกกอดความคิดที่จะต่อสู้จนตัวตาย บ้าคลั่งหาใดเปรียบ
“อะไรกัน พอเริ่มต้นก็จะจัดการพวกเราแล้วหรือ” อวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินสองพี่น้องเงยหน้าขึ้นมอง มองเห็นชายหนุ่มผู้เยียบเย็นคนหนึ่งนำทัพจ้าวเทพถึงยี่สิบท่าน ก่อตัวเป็นค่ายกลรบพุ่งลงมา มุ่งหน้าสังหารมาทางพวกเขาสองคน! ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นผู้นั้นกำลังจ้องมองพวกเขาสองพี่น้อง เห็นได้ชัดว่ามีเป้าหมายก็คือพวกเขาสองคน
“ยังอยากจะดูสมาชิกสกุลอวี้เฟิงของข้าสังหารศัตรูให้มากอีกสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าพอเริ่มต้น จักรพรรดิเทพก็นำค่ายกลรบมาจัดการพวกเราเลย” อวี้เฟิงจิ่นมองไปทางน้องสาวที่อยู่ข้างๆ
“พวกเราเดินไปก่อนสักก้าวหนึ่งเถิด” อวี้เฟิงชิงอินเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบ นางหันหน้ามองไปยังบริเวณรอบๆ รอบตัวนั้นมีคนที่นางคุ้นเคยมากมายเหลือเกิน ทั้งบิดาของนาง พี่ชายทั้งสองของนาง พี่น้องร่วมตระกูลของนางจำนวนหนึ่ง ทั้งยังมีท่านปรมาจารย์ของนางอยู่อีกด้วย! อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางถ่ายเสียงพูดว่า “ท่านปรมาจารย์ รักษาตัวให้ดีนะเจ้าคะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นสาวน้อยผู้นี้เป็นเช่นนี้แล้วก็อดที่จะยิ้มมิได้
อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้ง ยิ้มหรือ ท่านปรมาจารย์กำลังยิ้มหรือ
“อวี้เฟิงจวิ้นซาน ฮ่าฮ่า นี่คงเป็นบุตรชายบุตรสาวของเจ้ากระมัง!” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นผู้นั้นเอ่ยเสียงสูง
อวี้เฟิงจวิ้นซานที่ฝืนต้านทานอยู่ที่บริเวณไกลออกไปซึ่งกำลังถูกนายท่านแห่งสมาคมจิตมารโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาดที่อาศัยพลังค่ายกลแล้วก็ยังตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิงสังเกตเห็นบุตรของตนที่ยืนอยู่ที่ประตูโถงตำหนัก เขาอดที่จะเจ็บปวดในใจมิได้ “จิ่นเอ๋อร์ ชิงอิน พวกเจ้าเดินไปก่อนสักก้าวหนึ่งเถิด อีกประเดี๋ยวพ่อก็จะตามไปแล้ว” แต่หลังจากนั้นอวี้เฟิงจวิ้นซานก็ตกตะลึงไปเสียแล้ว
เพราะว่าตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างที่ยืนอยู่ตรงประตูโถงตำหนักเช่นเดียวกันก็ถูกจัดการให้เป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของค่ายกลรบ แต่กลับมิได้สนใจค่ายกลรบแต่อย่างใด แล้วเงยหน้ามองกองกำลังย่อยที่จักรพรรดิเทพท่านหนึ่งนำทัพพุ่งสังหารตรงมานั้น
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง เหยียบย่างไปบนอากาศ
การเหยียบย่างไปบนอากาศก้าวนี้กลับก่อให้เกิดพายุห้วงอากาศอันน่าหวาดหวั่นราวกับกระแสคลื่นปะทะโจมตีตรงออกไปยังเบื้องหน้า ส่งผลกระทบไปถึงชายหนุ่มผู้เยียบเย็นที่สังหารเข้ามาอย่างโหดเหี้ยมเทียมฟ้าและจ้าวเทพใต้บังคับบัญชายี่สิบท่าน! ถึงแม้ว่าพวกเขาจะก่อตัวเป็นค่ายกลรบ แต่ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักรู้นั้นมีวิธีการอันละเอียดอ่อนเพียงใด อีกทั้งยุทธวิธีเมฆาแดงก่อนหน้านี้ก็มีวิธีการทำลายค่ายกลรบอยู่ด้วย ตอนนี้ก็ยิ่งทั้งสมบูรณ์แบบทั้งกล้าแกร่ง
“ระวัง” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะตื่นตระหนก แต่ก็ยังมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งต่อการประกอบเป็นค่ายกลรบกับจ้าวเทพใต้บังคับบัญชายี่สิบท่าน
แต่ยามที่กระแสคลื่นอากาศโจมตีบนค่ายกลรบของพวกเขานั้นเอง พลังคุกคามก็ช่างรุนแรงเหลือเกิน!พวกเขาที่เดิมทีพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงกลับถูกทำให้ตระหนกจนต้องหยุดลงอย่างมิอาจหักห้ามได้
นอกจากนี้ในขณะที่กำลังถูกปะทะนั้นเอง ก็มีระลอกคลื่นแปลกประหลาดแทรกผ่านตรงเข้าไปภายในร่างกายของจักรพรรดิเทพท่านนั้นและจ้าวเทพยี่สิบท่านอย่างไม่แยแสการป้องกันของค่ายกลรบของศัตรู
“ปัง” “ปัง” “ปัง” “ปัง” “ปัง” “ปัง”
…
ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นรู้สึกว่าพลังแปลกประหลาดขุมหนึ่งกำลังระเบิดอยู่ภายในร่างกาย แต่เขาเป็นถึงจักรพรรดิเทพ บำเพ็ญพลังสายโลหิตก็ย่อมปรามเอาไว้ได้อยู่แล้ว
แต่บรรดาจ้าวเทพคนอื่นๆ ยี่สิบท่านกลับเหินบินออกไป มีจำนวนมากพอสมควรที่กระอักเลือดลอยออกไป ร่างกายที่หนักหน่อยก็ระเบิดออกเป็นส่วนใหญ่แล้วพยายามฟื้นฟูร่างกาย!
“อะไรกันนี่” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นตกตะลึง
ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกปะทะลอยออกไปกันหมดแล้วอย่างนั้นหรือ เหลือไว้เพียงแค่จักรพรรดิเทพอย่างเขาเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกทำให้ตกใจจนบินหนีไปเช่นนั้นหรือ
ก็เพียงแค่ย่างก้าวเดียวเท่านั้น
ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงย่างก้าวก็มิได้ปกปิดกลิ่นอายอีกต่อไปแล้ว กลิ่นอายฝึกกายคละถิ่นอันแกร่งกล้าพุ่งทะยานสู่ฟ้า! ถ้าหากมิใช่ลงมือเพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ ถ้าหากสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบต่อไปได้ เกรงว่าเขาก็ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษเจียมเนื้อเจียมตัวไปโดยตลอดมากกว่า
จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ก้าวยาวๆ อีกครั้ง ทว่าเงาร่างรางเลือน ผู้ที่อยู่ในที่นั้นรวมทั้งนายท่านแห่งสมาคมจิตมารด้วย ไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียวที่สามารถมองเห็นเงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างชัดเจน! ถึงแม้ว่าจะช้ากว่านี้หมื่นเท่าล้านเท่า อัตราเร็วเชื่องช้ากว่านี้ เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงก็รางเลือนอยู่ดี เพราะว่าเคล็ดการหลบหลีกที่เขาแสดงก็คือคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ด้วยระดับขั้นของเขา ตอนนี้ก็ย่อมศึกษาเคล็ดการหลบหลีกศาสตร์นี้ได้สำเร็จไปนานแล้ว
เงาร่างอันรางเลือนแต่กลับรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น เพียงพริบตาก็มาถึงเบื้องหน้าของชายหนุ่มผู้เยียบเย็นผู้นี้เสียแล้ว
“ใคร เขาเป็นใครกัน!” ชายหนุ่มผู้เยียบเย็นเกิดความรู้สึกไม่สงบอันแรงกล้า ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้าทำให้เขารู้สึกถึงความหวาดหวั่นอันรุนแรง แต่เป็นถึงผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ เขาก็มีความมั่นใจในตนเอง ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวแล้วแปลงเป็นแมลงเปลือกสีดำที่มีขานับพันอันแน่นขนัดตัวหนึ่ง ร่างของกิ้งกือยาวประมาณร้อยเมตร เลื้อยคดเคี้ยวพุ่งตรงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง ปากใหญ่อันกระหายเลือดนั้นยังมีเมือกอยู่ด้วย ปากใหญ่ก็อ้างับมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
การงับในครั้งนี้ก็คือพลังดูดกลืนอันน่าหวาดหวั่นที่ส่งผลกระทบบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง
“พรึ่บ”
มือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีหอกยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ หอกยาวดำขลับตลอดทั้งเล่ม ดูสามัญกธรรมดายิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คือหอกเทพเปลวทอง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงปกปิดเอาไว้เล็กน้อย
หอกยาวอยู่ในมือ
เริ่มต้นก็ทิ่มแทงเลย!
ร่างของกิ้งกือเลื้อยคดเคี้ยว ถึงแม้ว่าปากใหญ่กระหายเลือดหมายจะกลืนกิน แต่ทันใดนั้นก็สะบัดหาง กรงเล็บเท้าจำนวนมากก็ห่อหุ้มไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ปลายหอกก็ปะทะเข้าด้วยกันกับกรงเล็บเท้าหนึ่งในบรรดานั้น
“ปะทะกับข้าดูสิ” กิ้งกือยิ้มเยาะอยู่ในใจ เปลือกหุ้มสีดำของเขานั้นร้ายกาจอย่างที่สุด คิดจะระเบิดทำลายนั้นยากเย็นยิ่งนัก
“ฉึก”
การทิ่มแทงนี้
ก็คือระลอกคลื่นอันปั่นป่วนไร้ที่สิ้นสุดแทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกาย พลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แบ่งออกเป็นระลอกคลื่นถึงสามสาย นอกจากนี้ระลอกคลื่นเหล่านี้ยังถึงกับมาบรรจบกัน ยิ่งทวีความน่าหวาดหวั่นมากขึ้นอีกด้วย ร่างของกิ้งกือยังบิดเบี้ยวขึ้นมา เขานึกอยากจะกดดันระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นภายในร่างกายเหล่านี้เอาไว้ แต่ว่าในที่สุดก็เกิดเสียงปังดังขึ้นเสียงหนึ่ง ร่างกายของมันก็ระเบิดกลายเป็นสามชิ้นส่วนในทันใด เลือดเนื้อและเกล็ดจำนวนมหาศาลลอยกระจัดกระจาย
“ไม่ ไม่” ร่างของกิ้งกือที่กระจายออกเป็นสามชิ้นส่วน ลอยมารวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่าร่างกายก็หดเล็กลงไปเป็นอันมากแล้ว
มันก็มิกล้าแปลงกลับไปเป็นร่างมนุษย์ ก็ยิ่งยากที่จะหนีเอาชีวิตรอด
“ฉึก!”
แล้วก็ทิ่มแทกอีกคราหนึ่ง
ฝีหอกที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ่มแทงออกไปรวดเร็วเพียงใด ฝีหอกนี้ทิ่มแทงลงไปบนร่างของกิ้งกือที่เพิ่งจะรวมร่างเข้าด้วยกัน ถึงแม้ว่ากิ้งกือจะหลบหนี แต่ว่าจะรวดเร็วสู้อัตราเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างไรกัน เงาร่างอันรางเลือนของตงป๋อเสวี่ยอิงตามติดราวกับเงา ท่ามกลางฝีหอกที่ทิ่มแทงคราหนึ่ง ร่างของกิ้งกือนั้นก็บิดเบี้ยวอีกครั้งแล้วระเบิดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คราวนี้ก็แหลกสลายอย่างสาหัสยิ่งขึ้น
“ทำลายมัน!” ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ่มแทงอีกครั้ง
แต่คราวนี้กลับมีฟองอากาศขนาดมหึมาปรากฏขึ้น ฟองอากาศนี้ห่อหุ้มเลือดเนื้อที่กระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทุกส่วนของกิ้งกือนี้เอาไว้ จากนั้นก็หดตัวลงกลายเป็นจุดสีดำอย่างรวดเร็ว แล้วระเบิดออกมาตรงตำแหน่งปลายหอก
กิ้งกือแหลกลาญ!
เหลือเอาไว้เพียงแค่วัตถุบางอย่างเท่านั้น
ทั่วทั้งสนามรบล้วนเงียบสงบโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว กองกำลังย่อยสี่กองที่มีจักรพรรดิเทพนำทางเช่นกัน ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ที่กดดันอวี้เฟิงจวิ้นซานเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบท่านนั้น ยังมีจ้าวภูเขาค้างคาว และเหล่าผู้แกร่งกล้าภายในเมืองกลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากจะถูกฝังเป็นเพื่อน แต่ละคนล้วนตกตะลึงไปเสียแล้ว!
พูดไปก็ยืดยาว ในความเป็นจริงแล้วก็ช่างรวดเร็วเหลือเกิน
ก้าวย่างเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิง จ้าวเทพฝ่ายศัตรูก็หลบหนี! กลิ่นอายอันแกร่งกล้าก็ระเบิดออกมาด้วย!
อีกก้าวย่างหนึ่งก็คือสามฝีหอกทิ่มแทงอย่างต่อเนื่องกัน ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นคนหนึ่งก็ถูกล้างผลาญโดยสมบูรณ์แบบ!
“นี่…นี่คือท่านอาจารย์ของข้าหรือ” อวี้เฟิงชิงอินที่ยืนอยู่ข้างพี่ชายมองดูอย่างตกตะลึง ในห้วงสมองเต็มไปด้วยความอลหม่านวุ่นวาย
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง
ตอนที่ 41 หนีกระจัดกระจายทั่วสารทิศ
เพราะว่าท่ามกลางดินอันรกร้างมีสัตว์ถิ่นร้างจำนวนนับไม่ถ้วน นับตั้งแต่อวี้เฟิงชิงอินเกิดมาก็แทบจะใช้ชีวิตอยู่ภายในเมืองจวิ้นซานมาโดยตลอด เป็นถึงบุตรสาวของท่านเจ้าเมือง นางก็ย่อมราวกับเป็นบุตรีแห่งสวรรค์ ในเมืองจวิ้นซานไม่มีผู้ใดกล้าวางแผนจัดการนาง การเจริญเติบโตภายใต้สภาวะแวดล้อมเช่นนี้ นางกลับไม่มีความหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อย หากแต่มีจิตใจเมตตา ถึงอย่างไรก็มีชีวิตอยู่มาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว ตัวนางเองก็แทบจะไม่เคยเผชิญกับด้านมืดมาก่อน แต่นางกลับ ‘มองเห็น’ ด้านมืดภายในเมือง
นางเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง
ตระกูลเผชิญกับภัยคุกคามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่านพ่อและพี่ใหญ่ที่เคยบังลมกันฝนให้นางในอดีตต่างก็ตื่นตระหนกด้วยเหตุนี้ ต้องการให้นางทำการเสียสละ นางก็เต็มใจแบกรับภาระ! เพียงแต่‘เมืองไม้บูรพา’ นั้นเห็นได้ชัดว่ามิได้เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ในสายตาแต่อย่างใด ไม่อยากจะพัวพันเข้ามาด้วย นาง อวี้เฟิงชิงอินไม่สามารถทำอะไรได้เลย ได้แต่มองดูภัยคุกคามสุดท้ายมาเยือนตาปริบๆ
สิ่งที่นางสามารถทำได้ก็คือการอยู่กับพี่ชาย เดินมุ่งหน้าไปสู่ความตายพร้อมกัน!
ค่ายกลกำลังแตกสลาย ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ศัตรูผู้น่าหวาดหวั่นนำทัพเหล่ายอดฝีมือใต้บังคับบัญชาบุกสังหารเข้ามา ความใต้เฉียดเข้ามาใกล้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ในขณะนี้เอง…
“ท่านปรมาจารย์หรือ” อวี้เฟิงชิงอินมองอย่างตกตะลึง นางรู้สึกว่าตนเองกำลังล่องลอย ลอยเคว้งคว้าง จนวิงเวียน
“สวรรค์เอ๋ย”
“นี่ นี่ นี่…”
“นี่คือจ้าวเทพหิมะเหินอย่างนั้นหรือ”
“บ้าไปแล้ว!”
เหล่าผู้ชมดูที่อยู่ในบริเวณรอบๆ ต่างพากันตกตะลึง
“อะไรกัน!” ภายใต้อิทธิพลอันหนาแน่นของค่ายกล ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงย่างก้าวก่อให้เกิดกระแสคลื่นอากาศทำให้จ้าวเทพกลุ่มหนึ่งตื่นตระหนกจนเหินบินหนีไปนั้นเอง ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ชายชราทรงอำนาจผู้นั้นที่ยังคงกดดันอวี้เฟิงจวิ้นซานอย่างสมบูรณ์อยู่เช่นเดิมหัวใจขมวดรัดแน่น จากนั้นจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิงผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ถูกสังหารในชั่วขณะอันแสนสั้นด้วยฝีหอกเพียงแค่สามฝีหอกเท่านั้น
“ร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน ความแข็งแกร่งของเกราะหุ้มตลอดร่างของจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง คุ้มกันชีวิตได้อย่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด ต่อให้ข้าลงมือเองก็ยังต้องใช้หลายสิบกระบวนท่าจึงจะสามารถสังหารเขาได้ ทว่าคนเสื้อขาวผู้นี้กลับสามารถสังหารได้ภายในสามกระบวนท่าเท่านั้นเองหรือ” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารตกใจ แต่เขาก็มองออกว่าถึงแม้กลิ่นอายที่คนเสื้อขาวผู้นี้ระเบิดออกมาจะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นเท่านั้น นอกจากนี้ยามที่หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงแทงไปบนร่างของกิ้งกือนั้นเกราะหุ้มบนร่างของกิ้งกือก็มิได้แตกออก หากแต่ร่างกายระเบิดจากภายใน “เปลือกเกราะด้านนอกถึงกับไร้ประโยชน์ การโจมตีของคนเสื้อขาวผู้นี้แทรกผ่านเข้าไปในร่างกายของจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิงโดยตรง! ยังมีกระแสคลื่นอากาศที่ก่อตัวขึ้นจากการย่างก้าวเมื่อครู่ของเขาสามารถทำให้บรรดาจ้าวเทพตกใจจนเหินบินหนีไปได้ เห็นได้ชัดว่าการป้องกันของค่ายกลรบก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน”
นายท่านแห่งสมาคมจิตมารตื่นตกใจ การใช้ประโยชน์จากพลังระดับนี้ช่างร้ายกาจอย่างแท้จริง!
“พี่ใหญ่ คนเสื้อขาวผู้นี้น่าจะเป็นจ้าวเทพหิมะเหินในบันทึกข้อมูล! เขาเป็นผู้เหินทะยานคนหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงกลางนะขอรับ”
“จ้าวเทพช่วงกลางหรือ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้น! นอกจากนี้ยังเป็นผู้เหินทะยานอีกด้วย” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเข้าใจแล้ว ผู้เหินทะยานคนหนึ่งที่ไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น พลังยุทธ์ย่อมสามารถเทียบเคียงได้กับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้ว! นอกจากนี้เคล็ดวิชาของผู้เหินทะยานยังใช้ประโยชน์จากความเร้นลับ ย่อมไม่เหมือนกับพวกเขาประชากรโลกเทพเหล่านี้ที่ทำได้เพียงกระตุ้นพลังสายโลหิต สามารถแสดงเคล็ดวิชาที่ชวนให้คนอุทานมากมายได้อยู่เป็นประจำ
นายท่านแห่งสมาคมจิตมารตื่นตกใจ การจัดการอวี้เฟิงจวิ้นซานก็ย่อมชะลอไป
อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ให้ความสนใจกับชะตาชีวิตของบุตรชายบุตรสาวที่อยู่ด้านล่างเช่นกัน
“อะไรกัน จ้าวเทพหิมะเหินเขา…” อวี้เฟิงจวิ้นซานตื่นตระหนกเสียแล้ ‘จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง’ ฝ่ายศัตรูที่มีพลังยุทธ์เทียบเคียงกันกับเขาถึงกับถูกสังหารภายในสามกระบวนท่า “ที่แท้แล้วผู้ที่มีพลังยุทธ์สูงส่งที่สุดในเมืองจวิ้นซานมิใช่ข้า หากแต่เป็นจ้าวเทพหิมะเหิน ไม่สิ เป็นจักรพรรดิเทพหิมะเหินต่างหากเล่า!”
ขณะนี้หัวใจของอวี้เฟิงจวิ้นซานกลับกลายเป็นยินดีจนแทบคลั่ง!
สามารถปลิดชีพจักรพรรดิเทพช่วงต้นได้ภายในสามกระบวนท่า!
นี่คือผู้ทรงพลังคนหนึ่ง!
โอบกอดไว้! จะต้องโอบกอดผู้ทรงพลังคนนี้เอาไว้ ชะตาชีวิตของพวกเขาสกุลอวี้เฟิงก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างสิ้นเชิง!
……
แต่ละฝ่ายมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่ไม่ตื่นตระหนกเพราะพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิง
“เฮอะ” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารจักรพรรดิเทพท่านหนึ่งแล้วกลับมิได้หยุดมือ เขากวาดสายตาปราดหนึ่งก็ร่อนลงบนร่างของหนึ่งในจักรพรรดิเทพสี่ท่านที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร นั่นก็คือบุรุษอาภรณ์เทาโฉมหน้าอัปลักษณ์ ผิวกายมีกลิ่นอายสีเทาขาวคุกรุ่นผู้หนึ่ง เดิมทีเขากำลังบัญชาการจ้าวเทพยี่สิบท่านก่อตัวเป็นค่ายกลรบ บุกสังหารไปทางเหล่ายอดฝีมือของสกุลอวี้เฟิง หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงระเบิดออกมาแล้ว บุรุษอาภรณ์เทาผู้นี้ก็มองมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
พรึ่บ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงาร่างวูบไหวแล้วสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศอีกครั้ง เงาร่างรางเลือนไม่ชัดเจน แต่กลับพุ่งเข้าใส่บุรุษอาภรณ์เทาผู้นั้นอย่างรวดเร็วเป็นที่สุด
“แย่แล้ว” บุรุษอาภรณ์เทาสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงแล้วล่าถอยไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ถอยออกไปให้หมด!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่อยู่ห่างออกไปได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ตะโกนอย่างร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงตะคอกว่า “จักรพรรดิเทพหิมะเหิน หากมีความกล้าก็มาสู้กับข้าสิ!”
พูดแล้วเขาก็จะไปช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชา
ถึงอย่างไรผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของเขาก็มีจักรพรรดิเทพอยู่ทั้งสิ้นเพียงห้าคนเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ถูกสังหารไปคนหนึ่งแล้ว จะถูกสังหารต่อไปอีกได้อย่างไร คราวนี้ต่อให้สามารถล้างผลาญสกุลอวี้เฟิงได้แล้วจะมีจักรพรรดิเทพสักกี่คนกันที่สามารถเอาชีวิตรอดได้ นอกจากนี้ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่จักรพรรดิเทพช่วงต้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝีมือน่าอัศจรรย์ยากคาดคะเน โดยทั่วไปแล้วการจัดการจักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ง่ายราวกับปอกกล้วย!
“คิดจะหนีหรือ” อวี้เฟิงจวิ้นซานพยายามถ่วงเวลาอย่างสุดกำลัง ถึงขนาดที่ควบคุมพลังค่ายกลสกัดกั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเอาไว้อย่างสุดกำลัง
“รวดเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” บุรุษอาภรณ์เทาที่กำลังหลบหนีสีหน้าไม่น่าดู เงาร่างอันรางเลือนด้านหลังดูคล้ายว่าเพียงชั่วพริบตาก็บีบคั้นเข้ามาใกล้แล้ว รวดเร็วเกินไปเสียแล้ว!
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองบุรุษอาภรณ์เทาที่กำลังหลบหนีอย่างรวดเร็วผู้นี้ เพิ่งจะเตรียมตัวลงมือ กลิ่นอายสีขาวเทาที่พลุ่งพล่านอยู่บนผิวกายของบุรุษอาภรณ์เทาที่อยู่ตรงหน้าก็พุ่งทะยานในทันใด ร่างกายของเขาแยกสลายออกอย่างไร้สุ้มเสียง แปลงเป็นกลิ่นอายสีขาวเทาอันเข้มข้นหลบหนีไปทุกทิศทุกทาง นี่คือ ‘จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยน’ หนึ่งในห้าจักรพรรดิเทพใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร เป็นผู้ที่มีความอาฆาตหนักแน่นที่สุด ทั้งยังเป็นผู้ที่โหดเหี้ยมที่สุดด้วย ตอนนี้กลับถูกตงป๋อเสวี่ยอิงทำให้ตกใจเสียจนร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นร่างเพลิงปีศาจ หมายจะหลบหนี
“ล้างผลาญ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับกุมหอกยาวเอาไว้ด้วยมือทั้งสอง เดือดดาลขึ้นมาในทันใด!
ปัง!
ภายใต้ความเดือดดาล ห้วงมิติเบื้องหน้าก็บีบคั้นลงมาในทันใด
“นี่คือ…” ‘จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยน’ ที่แปลงกายเป็นเพลิงปีศาจสีเทาขาวกระจายตัวหลบหนีไปทั่วทุกสารทิศกลับรู้สึกว่าห้วงมิติบริเวณรอบๆ กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน กดดันมาอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนจากห้วงมิติปกติเป็นห้วงมิติสองมิติ ราวกับกระดาษแผ่นหนึ่งก็มิปาน! ท่ามกลางความหวาดหวั่น เพลิงปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีมีความสูงอยู่ถูกฝืนกดดันด้วยหมายจะสังหาร จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนก็ดิ้นรนอย่างสุดกำลัง
เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าถ้าหากถูกกดดันจนกลายเป็น ‘กระดาษแผ่นหนึ่ง’ เขาก็ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว!
ใช่แล้ว
ระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ย่อมเหนือชั้นกว่าท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยู่มากนัก กระบวนท่า ‘งดงามดุจภาพวาด’ นี้ พอสำแดงออกมาก็ห่างชั้นจากตอนแรกแล้ว นอกจากนี้กระบวนท่านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ทำเพื่อหยุดยั้งศัตรู หากแต่เป็นการสังหารศัตรู หมายจะปลิดชีพศัตรู ก็ย่อมไม่ไว้ไมตรีอยู่แล้ว!
“ปัง ปัง ปัง…” เพลิงปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรน ถูกลดทอนลงอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุดพลานุภาพของห้วงมิติที่บีบอัดอย่างบ้าคลั่งก็สลายไปจนสิ้น! จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนยังหลงเหลือ ‘เพลิงปีศาจ’ อยู่ไม่น้อย ในใจยินดี แล้วกำลังจะทะยานหนีขึ้นสู่ฟากฟ้า
แต่ในขณะที่ห้วงมิติที่บีบอัดกำลังสลายไปนั้นเอง กลับมีหอกยาวอันน่าหวาดหวั่นเล่มหนึ่งปะทะมาถึงตรงหน้า
“ปัง!”
ห้วงมิติทั้งอันตรงหน้าถูกบีบอัดจนระเบิดออกมาราวกับเต้าหู้ก้อนหนึ่งก็มิปาน
‘เพลิงปีศาจ’ ส่วนหนึ่งที่จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนหลงเหลือเอาไว้ภายในห้วงมิติแห่งนี้สูญสลายไปจนหมดสิ้นตามการระเบิดอันน่าหวาดหวั่นนี้ ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
กระบวนท่านี้ก็คือ ‘ทลายเวหา’ นั่นเอง!
งดงามดุจภาพวาดและทลายเวหา…ก็คือกระบวนท่าที่สร้างชื่อเสียงให้กับประมุขรัฐเมฆทักษิณา ตงป๋อเสวี่ยอิงปรับปรุงบนพื้นฐานนี้ กระบวนท่าทั้งสองนี้ก็ผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ กระบวนท่าหนึ่งกดดันศัตรูเอาไว้ภายในห้วงมิติแห่งหนึ่ง ส่วนอีกกระบวนท่าก็ทำให้ทั้งห้วงมิติแหลกสลายโดยตรง สองกระบวนท่าผสานรวมกัน พลังคุกคามก็ยิ่งมหาศาล! หลักๆ แล้วเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นร่างกายของจักรพรรดิเทพผู้นี้แปลงเป็นเพลิงปีศาจสีขาวเทา จึงรู้สึกว่าอาณาบริเวณเล็กๆ เช่นนี้ ใช้สองกระบวนท่าจึงจะเหมาะสมที่สุด
“ตายไปอีกคนแล้ว!”
“สวรรค์เอ๋ย”
“หนีเร็ว!”
จักรพรรดิเทพคนอื่นๆ อีกสามท่านภายใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารต่างก็หวาดหวั่นจนท้องไส้ปั่นป่วนเลยจริงๆ กุญแจสำคัญก็คือผู้ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหาร คนหนึ่งคือผู้ที่การป้องกันภายนอกแข็งแกร่งที่สุด ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้ที่ร่างกายแปลงเป็นพลิงปีศาจ รักษาชีวิตได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด คนหนึ่งแหลกสลายในสามกระบวนท่า ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นแหลกสลายในสองกระบวนท่า! พวกเขาจักรพรรดิเทพสามท่านที่เหลืออยู่ถามตนเอง เกรงว่าก็คงจะเดินหนีภายใต้เงื้อมมือของจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ได้ไม่เกินสามกระบวนท่าเช่นกัน
“เมืองจวิ้นซานแห่งนี้มียอดฝีมือเช่นนี้โผล่ออกมาได้อย่างไรกัน หนีเร็ว หนีเร็ว” จักรพรรดิเทพสามท่านนี้หนีอย่างตื่นตระหนกมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน
“สมควรตาย!”
เสียงคำรามอย่างโมโหเสียงหนึ่งดังขึ้น
นายท่านแห่งสมาคมจิตมารกลับพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง ในที่สุดเขาก็วางมือจากอวี้เฟิงจวิ้นซาน จนใจที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารจักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนได้อย่างรวดเร็วเหลือเกิน เขาไม่สามารถเข้ามาได้ทันการณ์
“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน หากเจ้ามีความกล้าก็มาสู้กับข้าสักยกหนึ่งสิ!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเส้นผมปลิวสยายดูราวกับวิปลาส พลังคุกคามล้นฟ้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพสามท่านที่หลบหนีไปไกลแล้วปราดหนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามองไปทางนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร มือหนึ่งกุมหอกยาวพลางเอ่ยว่า “ตามที่เจ้าประสงค์เลย!”
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง
ตอนที่ 42 คิดจะหนีหรือ
เสียงยังคงก้องสะท้อน
เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงรางเลือนไปแล้ว เขาสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศอีกครั้งแล้วเหินบินไปเหนือท้องฟ้าเบื้องบน มือกุมหอกยาว มุ่งเข้าโจมตีนายท่านแห่งสมาคมจิตมารผู้นั้น
“มาได้ดีนี่!” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารข่มกลั้นเพลิงโทสะในใจ ขณะนี้แววอาฆาตล้นฟ้า สองมือของเขายื่นออกไป ไอหนาวเหน็บอันไร้ที่สิ้นสุดก็ห่อหุ้มไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ห้วงมิติล้วนถูกแช่แข็งเอาไว้ ผิวกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารต่างก็รวมตัวกันเป็นชั้นน้ำแข็งชั้นหนึ่ง พลังน้ำแข็งนี้… โอหังยิ่งกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวมากมายนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมิได้เผชิญกับมันก็รู้สึกไม่ดีรางๆ แล้ว รู้สึกว่ามิอาจถูกแช่แข็งได้ ทันใดนั้นหอกยาวในมือก็หมุนควง
ขวับๆๆ
หัวหอกยาวหมุนโคจร โคจรเอากระแสคลื่นหมุนวนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ห้วงมิติที่หมุนโคจรแต่ละชั้นส่งผลกระทบออกไปทั่วทุกสารทิศ ต้านทานไอหนาวเหน็บน่าหวาดหวั่นนั้นชั้นแล้วชั้นเล่า! สิ่งนี้ร้ายกาจกว่า ‘รุดหนีหมื่นโลกา’ เคล็ดวิชาคุ้มกันชีพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาก่อนหน้านี้มากมายเหลือเกิน อาศัยความเร้นลับบางส่วนในคัมภีร์ไร้ขอบเขต บวกกับระดับขั้นในตอนนี้ จึงคิดค้นเคล็ดวิชาหอกในตอนนี้ออกมาได้
ไอหนาวเหน็บดุจน้ำแข็งนั้นผ่านการลดทอนชั้นแล้วชั้นเล่า กว่าจะมาถึงยังตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ ถึงแม้ว่าจะยังคงมีพลังคุกคามมหาศาลเช่นเดิม แต่สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงที่ฝึกกายคละถิ่นอีกทั้งยังเชี่ยวชาญการกลายเป็นอากาศธาตุแล้วก็สามารถมองข้ามไปได้
“อะไรกัน” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารหน้าถอดสี จักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ถึงกับสามารถฝ่าไอน้ำแข็งหนาวเหน็บตรงมาถึงยังเบื้องหน้าเขาได้
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่บุกสังหารเข้ามา หอกยาวที่หมุนควงอยู่ในมือทิ่มแทงอย่างฉับพลัน แทงมาทางนายท่านแห่งสมาคมจิตมาร
นายท่านแห่งสมาคมจิตมารรู้สึกเพียงว่าห้วงอากาศกำลังสั่นคลอนและบิดเบี้ยว เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าไม่มีทางหลบหลีกจากฝีหอกนี้ได้เลย “ข้าเองก็รังเกียจที่จะหลบหลีกเช่นกัน! ย่อยยับให้ข้าเสีย!” กำปั้นทั้งสองของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารระเบิดพลังทำลายล้างออกมา ถึงขนาดที่กำปั้นมีสีแดงเข้มปรากฏขึ้น กำปั้นทั้งสองระเบิดพุ่งออกไปยังเบื้องหน้าพร้อมกันเสียงดังตูมตาม ยามที่ระเบิดออกไปนั้นกำปั้นก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นทันควัน กำปั้นทั้งสองบดขยี้เสียงดังปึงปังไปทางหัวหอกราวกับภูเขาลูกย่อมๆ สองแห่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ดีอยู่แล้วว่าร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารผู้นี้ล้ำเลิศ ก่อนหน้านี้ก็ทลายเปิดค่ายกลป้องกันเมืองของเมืองจวิ้นซาน แม้กระทั่งมือข้างหนึ่งก็พุ่งออกไปได้ยาวหลายลี้ ตรงไปบดขยี้ค่ายกลป้องกันเมือง
แต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ที่เมืองจวิ้นซานจนถึงบัดนี้ ก็อยากจะหาศัตรูสักคนเพื่อทดสอบกระบวนท่ามานานแล้ว!
“ปัง!!!”
หอกยาวทิ่มแทงลงบนกำปั้นที่กระแทกมาราวกับภูเขาสองลูก
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยน เขารู้สึกเพียงว่าพลังอันโหดเหี้ยมหาใดเปรียบขุมหนึ่งแพร่ผ่านหอกยาวส่งมาถึงภายในร่างกาย ถึงแม้ว่าการกลายเป็นอากาศธาตุอย่างสุดกำลังของตนจะอ่อนลง พลังขุมนี้ก็ยังคงโจมตีอย่างหนักหน่วงราวกับภูเขาไฟอันดุดัน ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกปะทะจนลอยถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว ลอยกระเด็นออกไปหลายร้อยเมตรจึงค่อยหยุดยั้งลง
สีหน้าของเขาไม่น่าดูอยู่บ้าง เมื่ออ้าปากก็แฝงไว้ด้วยเปลวเพลิงของสายโลหิตพ่นพรวดออกมา
“ร่างกายจักรพรรดิเทพช่วงต้นของข้านี้ อาศัยความเร้นลับของเคล็ดวิชา ก็สามารถแสดงพลังคุกคามออกมาได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถสำแดงท่าไม้ตายโดยมุ่งเป้าไปยังจุดอ่อนของศัตรูได้ด้วย การจัดการกับระดับเดียวกันนั้นก็สามารถสังหารได้อย่างสบายๆ หากแต่เผชิญกับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง… ถึงแม้ว่ากระบวนท่าของเขาจะโง่งมอยู๋บ้าง แต่ก็ย่อมมีพลังคุกคามแข็งแกร่งพออยู่แล้ว ปะทะกันขึ้นมา ข้าก็ยังต้องเผชิญเคราะห์ร้ายอยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
“หืม” ส่วนนายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่ยืนอยู่กลางอากาศโดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยก็ทนรับไม่ไหวเช่นกัน ฝีหอกนั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพื่อต่อกรกับท่าไม้ตายของ ‘จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง’ แล้วแพร่ไปถึงภายในร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารโดยไม่แยแสการป้องกัน ระลอกคลื่นอันปั่นป่วนแผ่กวาดภายในร่างกายเขาอย่างใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังรวมตัวจนถึงขีดสุดแล้วจึงระเบิดออก!
ระเบิดจากภายในเหมือนกับ ‘ร่างกิ้งกือ’ ของจักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง
ร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารแข็งแกร่งยิ่งกว่า แข็งแกร่งเหมือนกันทั้งภายในและภายนอก แรงปะทะของการระเบิดภายในทำให้คอหอยของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็มีรสหวานปะแล่ม โลหิตคำหนึ่งถูกเขาฝืนกล้ำกลืนลงไปในท้อง
“ร่างน้ำแข็งของข้าถึงกับไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารพึมพำ ชั้นน้ำแข็งที่ผิวกายของเขาเป็นเคล็ดวิชาการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้ว แต่เมื่อเผชิญกับกระบวนท่านี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วกลับไม่มีประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย ก็นับได้ว่าเขาได้สัมผัสถึงความร้ายกาจน่าอัศจรรย์ของเคล็ดวิชาของผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพแล้ว
“เอาใหม่อีกสิ” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารบุกเข้ามาพร้อมส่งเสียงคำราม
“เอาใหม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงบุกสังหารเข้าไปเช่นกัน
คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจสู้หัวชนฝาอย่างทื่อๆ ได้อีกแล้ว เขาสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศ เงาร่างเลือนราง โอบล้อมนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเอาไว้อย่างประหลาด อาศัยข้อได้เปรียบของเคล็ดร่างกายบุกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า! สำแดงเคล็ดวิชาวิถีอากาศแต่ละอันอย่างต่อเนื่อง ค้นหาท่าไม้ตายที่มีผลต่อนายท่านแห่งสมาคมจิตมารผู้นี้มากที่สุด ส่วนนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็ต้านรับอย่างบ้าคลั่ง คราวนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามีจักรพรรดิเทพตายไปแล้วถึงสองคน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิอาจรามือโดยง่ายได้
“ปัง ปัง ปัง…”
นายท่านแห่งสมาคมจิตมารรุนแรงหาใดเปรียบ ไอหนาวเหน็บบริเวณรอบกายเขาแผ่ไปทั่วทุกทิศ ทว่าการโจมตีจากมือเท้าและส่วนใดๆ ของร่างกายกลับมีพลังอันร้อนแรง
“ตายเสีย!”
นายท่านแห่งสมาคมจิตมารคลั่งไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาถึงขนาดแปลงกายเป็นร่างยักษ์สูงตระหง่านกว่าสิบลี้ และถึงขนาดที่ฝ่ามือทั้งสองฟาดเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ราวกับมดปลวก การฟาดครั้งหนึ่ง ฝ่ามือหนึ่งเป็นน้ำแข็ง ส่วนฝ่ามืออีกข้างเป็นเปลวเพลิงอันร้อนรุ่ม ฝ่ามือทั้งสองร่วมกันโจมตีก็ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นจนทำให้ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานสั่นสะเทือนไปด้วย นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็ถูกทำให้ร้อนรนจนคลั่งไปเสียแล้ว ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น ถึงแม้ว่าพลังคุกคามของเขาจะสามารถแข็งแกร่งได้มากขึ้นถึงห้าเท่า แต่ทางด้านความรวดเร็วและความคล่องแคล่วนั้นกลับได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด เพื่อเอาชนะ นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็คิดหาทุกวิถีทาง
……
“นี่ นี่มัน…”
มองดู ‘นายท่านแห่งสมาคมจิตมาร’ ผู้สูงกว่าสิบลี้ที่อยู่กลางอากาศผู้นั้นประมือกับตงป๋อเสวี่ยอิงครั้งแล้วครั้งเล่า นายท่านแห่งสมาคมจิตมารบินออกมาจากค่ายกลของจวนสกุลอวี้เฟิงแล้ว เพราะว่าภายในค่ายกลก็เผชิญกับการกดดันของค่ายกลอยู่เป็นระยะๆ
เหล่ายอดฝีมือจำนวนมากของทั้งจวนสกุลอวี้เฟิงแต่ละคนต่างพากันจิตใจสั่นไหว
“มิเสียทีที่เป็นพลังยุทธ์ที่สามารถมีชื่อจัดอยู่ในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพได้” ทว่าอวี้เฟิงจวิ้นซานกลับจิตใจสั่นไหวด้วยเหตุนี้ “ถ้าหากไม่มีจักรพรรดิเทพหิมะเหิน ผู้ใต้บังคับบัญชาของโจรเฒ่าจิตมาร ถึงแม้ว่าข้าจะมีค่ายกลส่งเสริม โจรเฒ่าจิตมารมีค่ายกลกดดัน ข้าทานทนอีกไม่กี่สิบอึดใจก็เกรงว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว”
“นี่คือน้องหิมะเหินหรือ” จ้าวภูเขาค้างคาวตื่นเต้น “ข้า ข้า ภูเขาค้างคาว ถึงกับเคยส่งยอดฝีมือไปปลิดชีพน้องหิมะเหินด้วยอย่างนั้นหรือ”
เขาหวาดหวั่นไปชั่วครู่!
โชคดีที่การท้าทายจ้าวเทพหิมะเหินในเวลาต่อมานั้นอยู่บนเวทีประลองภายในจวนสกุลอวี้เฟิงซึ่งเพียงแค่รู้ผลแพ้ชนะเท่านั้น ไม่ทำร้ายจนถึงชีวิต! โชคดีที่ภายหลังได้ทำการขอโทษขอโพยแล้ว!
“เถี่ยเฉิงหลิ่วที่สมควรตาย” ในขณะนี้จ้าวภูเขาค้างคาวก็อดที่จะด่าทอเถี่ยเฉิงหลิ่วที่ตายไปแล้วในใจประโยคหนึ่งมิได้
“ปรมาจารย์หิมะเหิน…” อวี้เฟิงจิ่นเงยหน้าขึ้นมองแล้วมองน้องสาวที่อยู่ข้างกาย
……
และภายในเมืองจวิ้นซานก็มียอดฝีมือบางส่วนที่มิได้พัวพันกับการต่อสู้ อย่างเช่นประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้า หรืออย่างเช่นจ้าวเทพชวนชิ่งแห่งกองกำลังย่อยเพลิงพิสดาร
พวกเขาต่างก็เพียงแค่ชมดูอยู่ห่างๆ มองดูคนร่างยักษ์ที่กลางเวหาเหนือจวนสกุลอวี้เฟิงประมือกับจักรพรรดิเทพหิมะเหิน
“น้องหิมะเหินถึงกับมีพลังยุทธ์เช่นนี้ เขามิใช่จ้าวเทพ หากแต่เป็นจักรพรรดิเทพ” จ้าวเทพชวนชิ่งมองแล้วก็อุทานขึ้น “มิเสียทีที่เป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ ถึงแม้ว่าขณะนี้ผู้นำของสมาคมจิตมารจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่น้องหิมะเหินกลับมิได้ตกเป็นรองเลยแม้แต่น้อย”
ส่วนประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้าก็มองดูอยู่ห่างๆ มือหนึ่งถือตำราเล่มหนึ่งเอาไว้ พลางบันทึกภาพเหตุการณ์การต่อสู้ลงไปบนตำราอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังจดบันทึกตัวอักษรลงไปเป็นจำนวนมากด้วย
หอจิตฟ้ารวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่าย ทั้งยังจัดทำ ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ ด้วย
นายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็คือยอดฝีมือบนบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ การต่อสู้เช่นนี้ก็ย่อมมีความสำคัญเป็นที่สุดอยู่แล้ว เพราะมีความเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ
“คิดไม่ถึงว่าข้าผู้อยู่ที่เมืองเล็กอันห่างไกลอย่างเช่นเมืองจวิ้นซานนี้ จะมีวันที่ต้องรับผิดชอบบันทึกการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงการเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพด้วย” ประมุขหอสิงก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง จดบันทึกเหตุการณ์การต่อสู้ไปพลาง บันทึกความคิดเห็นของตนลงไปพลาง
“จักรพรรดิเทพหิมะเหินมีเคล็ดร่างกายอันล้ำเลิศ รวดเร็วกว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารอยู่มากนัก ครองการริเริ่มอย่างสิ้นเชิง เคล็ดวิชามากมายร้ายกาจเร้นลับ แต่ก็ทำอะไรนายท่านแห่งสมาคมจิตมารมิได้ ขณะนี้ถึงแม้ว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารจะพยายามอย่างสุดกำลัง พลังคุกคามแข็งแกร่งเป็นที่สุด แต่กลับมิอาจตีถูกจักรพรรดิเทพหิมะเหินได้เลย…”
จักรพรรดิเทพสามท่านใต้บังคับบัญชาของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่โชคดีหนีไปถึงยังท้องฟ้าเบื้องบนได้แล้ว พวกเขาต่างก็พากันเหินบินไปถึงบนเรือใหญ่ แล้วยืนอยู่บนเรือใหญ่มองลงมายังการต่อสู้เบื้องล่าง
“เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้ว” พวกเขาสามคนประสานสายตากัน ต่างก็หวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง พวกเขาย่อมไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอยู่แล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่าค่ายกลรบมิได้มีผลอันใดต่อจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้เลย! เคล็ดวิชาการโจมตีของจักรพรรดิเทพหิมะเหินมิได้แยแสการป้องกัน แต่แทรกผ่านเข้าไปภายในร่างกายโดยตรง พวกเขาก็มิกล้าลองเสี่ยงดูแม้สักครั้งเดียว
*******
ทุกฝ่ายกลั้นหายใจชมดูการต่อสู้
ทว่านายท่านแห่งสมาคมจิตมารเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาบ้างเสียแล้ว
“โฮก…” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารที่สูงตระหง่านสิบกว่าลี้อ้าปาก แต่ในปากกลับพ่นลูกกลมที่มีน้ำแข็งและเพลิงกระหวัดรัดเกี่ยวกันออกมา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อยแล้วร่นถอยอย่างรุนแรง พร้อมกันนั้นหอกยาวก็ขยับเล็กน้อย
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปะทะลงบนทรงกลมน้ำแข็งเพลิงนั้นจากระยะทางไกลๆ เสียงปังเสียงหนึ่ง ซึ่งก็คือการระเบิดครั้งใหญ่อันน่าหวาดหวั่น!
“ไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์ทั้งนั้นเลย ถึงแม้ว่าร่างกายจะแปรเปลี่ยนจนถึงขีดสุด ถึงแม้ว่าจะสามารถสำแดงเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งกว่ามากพอสมควรออกมาได้ แต่กลับไม่สามารถปะทะถูกเขาได้เลย” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเดือดดาลหาใดเปรียบ เดิมทีเขาก็รู้สึกว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้ลื่นไหลเกินไปแล้ว หลังจากที่ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นก็ยิ่งยากที่จะรับได้มากขึ้นไปอีก
เขาเศร้าโศกและหงุดหงิด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลอบบ่นพึมพำเช่นกัน “ดูท่าทาง ด้วยร่างกายของระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น คิดอยากจะโจมตียอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่ง ก็คงจะยังทำมิได้กระมัง”
ก็ถูกต้องอยู่
ทั่วทั้งโลกเทพก็ไม่มีใครสามารถทำได้!
แน่นอนว่าถ้าหากสำแดงเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว แต่เช่นนั้นก็มิใช่พลังยุทธ์วิถีอากาศของตนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่มีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ ตัวของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้พลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาลภายใต้เคล็ดวิชาเขตลวงของตน เกรงว่าก็ไม่มีทางจ่อมจมได้โดยง่าย! ขอเพียงแค่รักษาสติตื่นรู้เอาไว้ได้ เกรงว่าก็คงสามารถทำให้ข่าวคราวของ ‘เคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียม’ ของตนแพร่ออกไปถึงโลกภายนอกได้
ดูอย่างหุบเขาเขี้ยวหัก เมื่อแสดงเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมของตนออกไปก็ทำให้ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักสั่นสะเทือน
ที่โลกแห่งนี้ ถ้าหากเคล็ดวิชาวิญญาณของตนเปิดเผยก็เกรงว่าคงยากที่จะมีชีวิตอันสงบสุขต่อไปได้อีก! นอกจากนี้ผู้แกร่งกล้าของโลกนี้ก็มีอยู่มากยิ่งกว่า เขาก็ยังไม่อยากจะเปิดเผยเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมของตนเป็นการชั่วคราว
“พรึ่บ”
ร่างกายของนายท่านแห่งสมาคมจิตมารหดเล็กลงอย่างฉับพลันในทันใด เพียงพริบตาก็กลับมาเป็นรูปลักษณ์ดังเดิม
เขากวาดตามองไปยังอวี้เฟิงจวิ้นซานที่อยู่ไกลออกไปพลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “อวี้เฟิงจวิ้นซาน เจ้าช่างโชคดีเสียจริงที่คราวนี้มีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพคนหนึ่งเต็มใจจะช่วยเหลือเจ้า แต่ข้าก็อยากจะเห็นเหลือเกินว่าผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นี้จะอยู่คุ้มครองเมืองจวิ้นซานของเจ้าไปได้ชั่วชีวิตเลยหรือไม่!”
อวี้เฟิงจวิ้นซานหัวใจสั่นสะท้านในทันใด
ใช่แล้ว
ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพ ผู้แกร่งกล้าเช่นนี้จะมาหยุดชะงักอยู่ที่เมืองเล็กจ้อยอันห่างไกลอย่างเมืองจวิ้นซานแห่งนี้ไปตลอดกาลได้อย่างไรกัน
“ยังมีจักรพรรดิเทพหิมะเหินอีก” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “ดีมาก ข้าทำอะไรเจ้ามิได้เลย ความแค้นนี้ ข้า จิตมาร ได้จดจำเอาไว้แล้ว หึๆ”
นายท่านแห่งสมาคมจิตมารแยกเขี้ยวอย่างเดือดดาลแล้วหมุนกายหมายจะจากไป
“คิดจะหนีหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยปากพูดขึ้น “กลัวอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“กลัวหรือ”
นายท่านแห่งสมาคมจิตมารเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง เขาหันหน้ามองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง การต่อสู้ในครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่งเหนือธรรมดา เพียงแต่ว่าผู้เหินทะยานผู้นี้ลื่นไหลเกินไปเท่านั้นเอง
แต่จากนั้นนายท่านแห่งสมาคมจิตมารก็สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
เพราะว่ากลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังพุ่งทะยานขึ้น! ก่อนหน้านี้ก็เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่ชัดๆ แต่ขณะนี้เห็นเพียงว่าท่อนแขนทั้งคู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มหนาขึ้น นอกจากนี้พื้นผิวของท่อนแขนก็มีเนื้อเยื่อสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าปรากฏชัดขึ้นมา กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนเป็นพลุ่งพล่านและไม่มั่นคง ตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีท่อนแขนหนาใหญ่ก็กำยำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลิ่นอายพลุ่งพล่านแกร่งกล้า ทั้งยังเหนือชั้นกว่าก่อนหน้านี้มากมายนัก
“หรือว่าก่อนหน้านี้จะมิใช่พลังยุทธ์ทั้งหมดทั้งมวลของเขากัน” นายท่านแห่งสมาคมจิตมารหัวใจสั่นสะท้าน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น