Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 37 ตอนที่ 35-38
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 35 อาชาไร้หญ้าราตรีก็ไม่อ้วนพี
นัยน์ตาของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นหนาวเหน็บและชั่วร้าย แม้จะกำลังมองตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ แต่ก็สอดส่องรอบกายอย่างระมัดระวังไปด้วย จู่ๆ ก็มีจักรพรรดิเทพคนหนึ่งโผล่มาอย่างนั้นหรือ หรือว่าในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ที่จ้าวเทพเมฆาเขียวพกติดตัวจะมีจักรพรรดิเทพแอบซ่อนอยู่แล้ว
“เอ๊ะ สายตาของจ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นี้นี่มันอะไรกัน” เมื่อจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาปัดป่ายกรงเล็บ หมายจะตะปบชายหนุ่มชุดดำตรงหน้าให้กลายเป็นผุยผงไปนั้น ก็พบว่า ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ที่เดิมทีควรจะเกรงกลัวนั้น กลับยืนอยู่เหนือผิวน้ำอย่างสงบ สายตาฉายแววสงสาร
สายตาที่น่าสงสาร มองตนอย่างนั้นหรือ
จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษามิอาจเข้าใจได้
“ตู้ม”
จากนั้นจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาก็สัมผัสได้ว่ารอบด้านทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว กลายเป็นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ภายในโลกใบนั้นมีดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ซ้ำยังมีบางคนที่เขาคุ้นเคยดีมากตลอดคืนวันอันยาวนานกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเขา โลกใบนี้ฉุดรั้งวิญญาณของเขาด้วยแรงดึงดูดอันน่าเหลือเชื่อ ทำให้เขาตกเข้ามา
ในฐานะผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ แม้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาจะมิอาจต้านทานได้ แต่ในใจกลับเข้าใจว่า หากปล่อยให้ถูกฉุดรั้งเข้าไปในโลกอันกว้างใหญ่นี้ ก็คงต้องจบเห่
“ไม่…” เขาตื่นตระหนก จิตใจไม่สงบ เขาจะต้านทาน!
แต่เขาก็ต้านทานไม่ได้
ในโลกลวงใบนี้ ฟ้าดินมีแววอาฆาตครั้งใหญ่ร่อนลงมา พละกำลังอันไร้รูปร่างพุ่งตรงเข้าสู่วิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง วิญญาณของเขาถูกเชือดเฉือนเสียจนแหลกสลายเป็นผุยผงโดยไร้เรี่ยวแรงต้านทาน
ชั่วขณะที่สิ้นใจนั่นเอง จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานึกถึงสายตาของสายตาสงสารของจ้าวเทพเมฆาเขียวขึ้นมา
“จนตาย ก็ยังไม่รู้เลยว่าคู่ต่อสู้ที่แท้จริงเป็นใคร” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาซึ่งเดิมมีท่าทีสูงส่งเทียมฟ้าตรงหน้า กลิ่นอายดับวูบไปในชั่วพริบตา เหลือเพียงกายหยาบที่ทิ้งกลิ่นอายเอาไว้
ไม่ใช่แค่จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาเท่านั้น
แม้แต่จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวที่ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป เดิมทียังเตรียมพร้อมอยู่ ขณะเดียวกันก็ยิ้มเย็นพลางมองดูภาพที่ชายหนุ่มชุดดำนาม ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ถูกสังหาร แต่ว่า…โลกลวงที่น่าหวาดหวั่นแบบเดียวกันได้เข้าปกคลุมเขา
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดการกับจักรพรรดิเทพสองคนพร้อมกันในชั่วพริบตาเดียว
แม้แผนการเดิมจะเพียงแค่สังหารจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ แต่ ‘จักรพรรดิเทพเฟิงเซียว’ ก็พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองเจียงหยวน และเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิต จึงย่อมต้อง ‘ถือโอกาส’ สังหารไปด้วย! อันที่จริงหากจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวเกลียดความชั่วร้ายดุจศัตรูคู่แค้น ไม่ชอบเรื่องการเข่นฆ่าสังหารพรรค์นี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อาจจะไม่ถือโอกาสสังหารไปด้วย แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาก็คงไม่กล้าเรียกหาเขามาช่วยหรอก!
บัดนี้ ทั้งสองคนนี้ล้วนตายตกไปด้วยน้ำมือของตงป๋อเสวี่ยอิง
“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่เหนือผิวน้ำ เขาโบกมือคราหนึ่งก็เก็บซากของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวรวมทั้งสมบัติล้ำค่าที่ทิ้งเอาไว้ลงไป
“เมืองเจียงหยวนเป็นถึงหนึ่งในเมืองใหญ่ระดับยอดสุดของโลกเทพ เมืองใหญ่เช่นนี้ มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน มีการรบราฆ่าฟันมากมายเกิดขึ้นทุกวัน การประมือกันลับๆ ครั้งนี้ คาดว่าคงจะมีไม่กี่คนที่ล่วงรู้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ โลกใบนี้แตกต่างจากดินแดนจิตโลกา โลกใบนี้มิอาจสำแดงการส่งถ่ายทลายโลกาเพื่อสอดแนมได้ มิอาจสอดแนมจากระยะทางอันไกลโพ้นได้…
แม้แต่ขอบเขตบริเวณก็มีจำกัด!
ดังนั้นหากจะชมดู ก็ต้องเข้าไปค่อนข้างใกล้จึงจะสามารถชมดูได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า เรื่องที่ตนสังหารจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียว ก็คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
“ต่อให้เปิดเผยไปก็ไม่เป็นไร ตัวตนจ้าวเทพเมฆาเขียวนี้ ข้าปลอมแปลงมันขึ้นมา” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ เขาโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศของราตรีอันมืดมิดมีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น ไม่สะดุดตาอย่างมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งก็หายวับไปเสียแล้ว
******
พี่ใหญ่ของพี่น้องโลหิตทมิฬ กำลังหนีไปทางหอจิตฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด
“เจ้าสาม ข่มพิษเงาโลหิตเอาไว้ ข่มเอาไว้นะ” พี่ใหญ่โลหิตทมิฬร้อนใจเป็นอันมาก ร่างแปรร่างหนึ่งของเขากำลังดูแลน้องสามอยู่ในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ “หอจิตฟ้าเชี่ยวชาญด้านข้อมูลเป็นที่สุด จะต้องมีวิธีช่วยเจ้าขับพิษออกไปได้อย่างแน่นอน”
“เอ๊ะ”
พี่ใหญ่โลหิตทมิฬซึ่งกำลังเร่งเหินทะยานไปสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย เขาหันกลับไปมองแวบหนึ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ตราคำสาปวิญญาณสลายไปแล้วหรือ ตอนนั้นพวกเราได้ลงตราคำสาปวิญญาณเอาไว้บนร่างของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา ซึ่งตราประทับนี้ได้ประทับแน่นอยู่บนวิญญาณของเขา แทบจะไม่สามารถกำจัดออกไปได้เลย”
ตราคำสาปวิญญาณเองนั้น มิได้ทำให้บาดเจ็บอะไร เป็นเพียงตราประทับอย่างหนึ่งเท่านั้น
“หากวิญญาณไม่สลาย ตราประทับก็จะคงอยู่ตลอดกาล”
“ตอนนี้ตราคำสาปได้สลายไปแล้ว…หรือว่าวิญญาณของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาได้สลายไปแล้ว เขาตายไปแล้ว” พี่ใหญ่โลหิตทมิฬไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง เมื่อครู่นี้เอง จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวยังร่วมมือกันทำให้พวกเขาพี่น้องโลหิตทมิฬเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงอยู่เลย บัดนี้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาได้ฝึก ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’ อันแข็งแกร่งขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวกลับสิ้นใจเสียแล้วหรือนี่
“ช่วยเจ้าสามขับพิษเสียก่อน รอให้พิษเงาโลหิตภายในกายของเจ้าสามถูกข่มไว้จนสงบแล้วค่อยตรวจสอบดู ให้ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดรอยตรวจสอบดูสักรอบว่าจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นสิ้นใจไปแล้จริงหรือไม่” พี่ใหญ่โลหิตทมิฬยังคงไม่ยอมเชื่อ
……
ณ เมืองอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองเจียงหยวนไปไกลลิบลับ
ตัวเมืองแห่งนี้ทัดเทียมกับเมืองจวิ้นซาน
ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านจะสนใจชื่อของเมืองนี้ เขาเพียงแค่สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาออกมาครั้งหนึ่งเท่านั้น ก็บังเอิญมาอยู่ในตัวเมืองแห่งนี้พอดี ทั้งยังบังเอิญอยู่ในห้องเงียบที่ปิดผนึกของจวนแห่งหนึ่งอีกด้วย ภายในห้องเงียบที่ปิดผนึกนี้ยังมีสตรีนางหนึ่งกำลังบำเพ็ญอยู่ด้วย เมื่อสตรีนางนี้มองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปรากฏขึ้นจากรอยแยกสีดำก็ตกใจใหญ่
“บังเอิญถึงเพียงนี้เชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงลบความทรงจำช่วงที่อีกฝ่ายพบตนเองออกไปผ่านวิถีเขตลวงโลกเทียม
จากนั้นเขาก็จากจวนแห่งนี้ไปอย่างเงียบเชียบ
เขาตามหาโรงสุราแห่งหนึ่งซึ่งคึกคักอย่างยิ่งริมถนนสายหนึ่งภายในตัวเมืองแห่งนี้
“สามารถคึกคักถึงเพียงนี้ได้ แขกเหรื่อมากมายถึงเพียงนี้ อาหารและสุราชั้นยอดจะต้องไม่ด้อยอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงหรี่ตาลงแล้วเดินเข้าไปภายในโรงสุรา แล้วหาที่ว่างที่หนึ่งก่อนจะนั่งลง เขากำชับสาวใช้คนหนึ่งของโรงสุราว่า “นำอาหารรสเลิศที่มีชื่อเสียงที่สุดเก้าอย่างของพวกเจ้าและสุราชั้นเลิศที่พวกเจ้าเชี่ยวชาญที่สุดมาสองไห”
“เจ้าค่ะๆ”
สาวใช้รีบไปตระเตรียมสุราอาหารอย่างรวดเร็ว
ภายในโรงสุราแห่งนี้ ชาวโลกเทพส่วนใหญ่มีพลังระดับแม่ทัพเทพ และมีบางคนที่นับได้เพียงว่าเป็น ‘ระดับเทพกำเนิด’ เท่านั้น ระดับเทพกำเนิด…หมายถึง ‘เทพโดยกำเนิด’ เป็นระดับขั้นที่มีพลังอ่อนแอที่สุดในโลกเทพ ทารกที่เพิ่งเกิดมาในโลกเทพล้วนนับได้ว่าเป็นระดับเทพกำเนิดด้วยกันทั้งสิ้น พวกเขาเติบโตขึ้นและฝึกฝน มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถสำเร็จเป็นระดับแม่ทัพเทพได้
เมื่อสำเร็จเป็นระดับแม่ทัพเทพ จึงมีคุณสมบัติพอจะรับตำแหน่งเป็นทหารรักษาการณ์และอื่นๆ ได้
“อื้ม พอไหว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดี เขากินอาหารและสุราที่มีเอกลักษณ์พิเศษ ขณะเดียวกันก็ใช้สติรับรู้แทรกเข้าไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ พลิกดูสิ่งที่ตนได้จากการชนะการต่อสู้!
เขาพลิกดูสมบัติล้ำค่าที่จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาทิ้งเอาไว้ก่อน แล้วพบคัมภีร์สามเล่มนั้นเข้าอย่างรวดเร็ว
“ได้คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศมาอยู่ในมือแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ แล้วตรวจดูวัตถุอื่นๆ ต่อไป
“สหายเอ๋ย จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว จักรพรรดิเทพที่รู้กันไปทั่วว่าถูกเขาสังหารนั้นมีถึงสองคนด้วยกัน ส่วนที่มิได้รู้กันไปทั่วก็เกรงว่าคงจะมีกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ หากจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาลอบคิดบัญชีกับจักรพรรดิเทพคนใดคนหนึ่ง เกรงว่าก็คงจะไม่เปิดเผยออกไป เนื่องจากเขายิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังเท่าไหร่ ผู้แกร่งกล้าที่จับตามองเขาก็คงยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
“เอ๊ะ”
ขณะที่ตรวจสอบซากของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั่นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ในหัวใจของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา มี ‘ไข่มุกทองคำดำ’ นั้นอยู่
“ไข่มุกทองคำดำหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
ไข่มุกทองคำดำเม็ดนี้ ก็เป็นของชิ้นหนึ่งในงานชุมนุมประมูลสมบัติก่อนหน้านี้ ท้ายที่สุดราคาสูงถึงหยกแก้วคละถิ่นสามร้อยเก้าสิบก้อนเลยทีเดียว
“จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาซื้อมาหรือนี่ เขาวางไข่มุกทองคำดำเอาไว้ในหัวใจ มีวิธีใช้งานพิเศษอะไรหรือ” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มออกมา เขาคว้าจอกสุราแล้วดื่มลงไปคำหนึ่ง ช่างมันเถิด สำหรับเขาแล้วไข่มุกทองคำดำก็แค่สามารถขายได้ในราคาสูงลิ่วเท่านั้นเอง!
เขาตรวจดูสมบัติล้ำค่ามากมายทีละชิ้นๆ
ไม่ใช่แค่ของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาเท่านั้น แต่ยังมีของจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวด้วย เขาตรวจดูทั้งหมดรอบหนึ่ง
“กำไรมหาศาลแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน
สังหารจักรพรรดิเทพระดับนี้ ได้กำไรรวดเร็วจริงๆ!
ไม่เสียทีที่จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษามีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งสมบัติล้ำค่าของเขาและคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญ เมื่อรวมๆ กันแล้ว มีมูลค่ากว่าหนึ่งพันสองร้อยหยกแก้วคละถิ่น ช่างน่าหวาดหวั่นเสียจริง
แม้จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวจะมีวิธีการที่โหดร้ายอำมหิต แต่เนื่องจากไม่มีวัตถุสำหรับลอบสังหารอย่าง ‘เข็มพิษเงาโลหิต’ เมื่อรวมกันแล้ว สมบัติล้ำค่าของเขาจึงมีมูลค่าไม่ถึงห้าร้อยหยกแก้วคละถิ่น!
“ได้กำไรง่ายกว่าที่ข้าไปล่าสัตว์ถิ่นร้างด้วยความยากลำบากตั้งมากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางทำเสียงฮึดฮัด การล่าสัตว์ถิ่นร้างนั้น สังหารได้ง่าย แต่จะหาให้พบก็ยากยิ่งนัก ตลอดหนึ่งพันสองร้อยปีนั้นของเขาก็ไม่เคยได้หยุดหย่อนเลย ขนาดที่ว่าเขามีศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา ไปตามหาแห่งแล้วแห่งเล่าด้วยความยากลำบาก ก็เพิ่งจะพบเพียงร้อยกว่าตัวเท่านั้น
เฉลี่ยสิบปีจึงจะพบสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพสักตัวหนึ่ง
ตามหาตลอดเวลา สิบปีจึงจะพบสักตัว ความรู้สึกในการหานั้นช่างรับไม่ได้เอาเสียเลย
แต่การสังหารจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวนั้นสบายเพียงใด เพียงพริบตาเดียว ก็จัดการได้แล้ว! สมบัติล้ำค่าที่ได้มาก็ยังมากกว่าตั้งมากโข!
อาชาไร้หญ้าราตรีก็ไม่อ้วน!
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงทำอะไรก็ขีดเส้นจำกัดเอาไว้แล้ว อย่างจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา หากมิใช่คนที่ชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงพยายามแลกเปลี่ยนตามปกติ คงไม่มาสังหารหรอก!
ส่วนการสังหารมารร้ายภายในโลกเทพตามอำเภอใจน่ะหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า ภายในโลกเทพที่มีบรรพเทวะคละถิ่นอยู่สามท่านนั้น ตนถ่อมเนื้อถ่อมตัวไว้หน่อยจะดีกว่า! นอกจากนี้สำหรับตนแล้ว สมบัติล้ำค่าที่ได้มาในครั้งนี้ก็มากพอแล้ว
“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงสุรา เขาดื่มสุราเพียงลำพังพลางครุ่นคิด “ครั้งนี้ได้สมบัติล้ำค่ามามากมายถึงเพียงนี้ ก็สามารถ ‘ใช้ของแลกของ’ ได้แล้ว นำสมบัติล้ำค่าไปที่ขุมอำนาจใหญ่แล้วแลกเปลี่ยนเอาคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญมา”
คัมภีร์ผู้เหินทะยานทางด้านวิถีอากาศระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ทั้งโลกเทพมีเพียงเล่มเดียวเท่านั้น! ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกเด็ดขาด
สมบัติล้ำค่าน้อยนิดของตนนี้ ก็ไม่มีทางทำให้ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายคนหนึ่งละเว้นให้ได้
“มีระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางอยู่สองเล่มซึ่งล้วนแต่เผยแพร่ออกไปภายนอก ข้าอาจจะสามารถใช้ของแลกของได้ก็เป็นได้ แลกได้เล่มหนึ่ง ก็ถือว่าโชคดี สามารถแลกได้สองเล่มน่ะหรือ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอย
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 36 สังหารกลับ
“ใช้ของแลกของ มีปัญหาอยู่สองอย่าง!”
“คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง เป็นมรดกตกทอดที่สำคัญที่สุดของขุมอำนาจใหญ่ทางฝ่ายหนึ่ง ไม่มีทางเผยแพร่ออกไปภายนอกโดยง่าย! ปัญหาแรกก็คือ จะต้องทุ่มเทมากพอจะให้พวกเขายอมยกเว้นให้ได้ เมื่อกำจัดจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียว สมบัติล้ำค่าของข้าก็มีมากพอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ สมบัติล้ำค่ามูลค่าเทียบเท่าหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งพันกว่าก้อน น่าจะพอซื้อคัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงกลางได้สักสองเล่มแล้ว
“ปัญหาที่สองก็คือ เมื่อข้าคิดจะไปแลกเปลี่ยน แม้แต่คนโง่ก็คงจะเดาได้ว่าข้ามีสมบัติล้ำค่ามากพอจะไปแลก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ “เรื่องการฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์ก็อาจจะเกิดขึ้นได้”
หากตนเป็นจักรพรรดิเทพที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ลงมือง่ายๆ
สังหารจ้าวเทพคนหนึ่งเพื่อชิงทรัพย์อย่างนั้นหรือ
ยั่วยวนใจมากทีเดียว!
“เฮอะ ข้าใช้ของแลกของ ให้ได้มาอยู่ในมือโดยเร็วที่สุด เมื่อได้มาแล้วก็รีบจากไป หากมีผู้แกร่งกล้าจับตามองข้าจริงๆ เช่นนั้นก็คงทำเพียงนับว่าเขาโชคไม่ดีแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ในโลกเทพนี้มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นจำนวนมากที่ตนรับมือไม่ไหวจริงๆ แต่สิ่งมีชีวิตระดับนั้น ก็คงรังเกียจที่จะมาช่วงชิงสมบัติล้ำค่าน้อยนิดเท่านี้ของตนไป
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกินดื่มอยู่ในโรงสุราข้างทางแห่งนี้ และตัดสินใจได้ในที่สุด
******
เช้าตรู่วันต่อมา
บุรุษในอาภรณ์สีนวลดุจจันทราแบกกระบี่เทพเล่มหนึ่งเอาไว้บนหลัง มาถึงหน้าประตู ‘วังเมฆจรัส’ วังขนาดมหึมาซึ่งลอยล่องอยู่กลางฟากฟ้าของ ‘เมืองเมฆจรัส’ หนึ่งในเมืองใหญ่ระดับยอดสุดของโลกเทพ
คัมภีร์ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางทางด้านวิถีอากาศนั้นมีทั้งหมดสองชนิดด้วยกัน แม้จะมีการเผยแพร่สู่ภายนอกทั้งหมด แต่ผู้ที่สามารถเก็บสะสมต้นฉบับเอาไว้ได้ก็ล้วนแต่เป็นขุมอำนาจใหญ่ของโลกเทพทั้งสิ้น! ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บรวบรวมรายงานเกี่ยวกับคัมภีร์ จึงย่อมรู้ดีว่าคัมภีร์เหล่านี้อยู่แห่งหนใด เมื่อผ่านการคัดเลือก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กำหนดจุดหมายแรกว่าเป็นวังเมฆจรัส
วังเมฆจรัสแห่งเมืองเมฆจรัสมีชื่อเสียงโด่งดังมากในโลกเทพ แม้พลังของประมุขวังเมฆจรัสจะเป็นเพียงจักรพรรดิเทพช่วงกลางเท่านั้น แต่ว่ากันว่าประมุขวังเมฆจรัสนั้นเป็นถึงหนึ่งในฮูหยินของบรรพเทวะคละถิ่นผู้อยู่เบื้องหลัง ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลราชันย์! เมื่อมีสถานะเช่นนี้ สถานะของประมุขวังเมฆจรัสก็ย่อมไม่ธรรมดา
“ได้ยินมาว่า ประมุขวังเมฆจรัสผู้นี้ไม่ชอบการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นที่สุด ในวังของนาง ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือสังหารข้าเพื่อชิงทรัพย์หรอก ส่วนเมื่อออกจากวังไปแล้วน่ะหรือ ข้าสามารถหนีจากไปได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงบินไปถึงหน้าประตูวังเมฆจรัส สายตาของทหารรักษาการณ์หญิงตรงหน้าประคูวังเมฆจรัสกลุ่มนั้นหยุดลงที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงทันใด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยุดลงทันทีอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยจ้าวเทพชิงเฟิง ผู้เหินทะยานซึ่งบำเพ็ญทางด้านวิถีอากาศบนเส้นทางการบำเพ็ญอันแสนยากลำบาก ตั้งใจมาที่วังเมฆจรัสโดยเฉพาะ ข้ายินดีอุทิศดอกจิ้นหลานอันล้ำค่าสามดอก ขอเพียงได้ยลคัมภีร์ฟ้าดินซึ่งเป็นคัมภีร์ของผู้เหินทะยานสักครั้ง”
“อุทิศดอกจิ้นหลานอันล้ำค่าหรือ” ทหารรักษาการณ์หญิงเหล่านั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็มีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า “จ้าวเทพท่านนี้ โปรดรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปรายงานเดี๋ยวนี้แหละ”
แม้อันที่จริงแล้วจะเป็นการใช้ของแลกของ แต่ก็มิอาจพูดออกไปตรงๆ เช่นนี้ได้
ผู้แกร่งกล้าก็ต้องการหน้าเช่นเดียวกัน
“ท่านก็คือจ้าวเทพชิงเฟิงหรือ” ชั่วจอกชาให้หลัง ยายเฒ่าคนหนึ่งก็เดินออกมา กลิ่นอายที่แผ่ออกมาเป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นวังเมฆจรัสซึ่งมีชื่อเสียงเกรียงไกรในโลกเทพ แม้ประมุขวังจะมีพลังอ่อนแออยู่บ้าง แต่ยอดฝีมือกลับมีไม่น้อย ภายในวังแห่งนี้มีระดับจักรพรรดิเทพกว่าร้อยคนเลยทีเดียว!
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ วางตนให้เป็นผู้เหินทะยานผู้นอบน้อมคนหนึ่ง
“ตามข้ามาเถิด” ยายเฒ่าหมุนกายเดินเข้าไปข้างใน
ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีอยู่ลึกๆ ในใจ เขารีบตามเข้าไปในวัง
“ภายในวังเมฆจรัสมิอาจเดินสะเปะสะปะได้ จำเอาไว้ เดินตามข้ามาให้ตลอดล่ะ” ยายเฒ่ากวาดตามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง
“ขอรับๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างเชื่อฟัง
“ได้ยินมาว่าเจ้าจะอุทิศดอกจิ้นหลานอันล้ำค่าให้หรือ เพราะอยากจะดูคัมภีร์ผู้เหินทะยานอย่างคัมภีร์ฟ้าดินครั้งเดียวน่ะหรือ” ยายเฒ่าเอ่ยขึ้นอีก
“ข้าและผู้เหินทะยานคนอื่นๆไม่มีสายเลือดอย่างบรรพเทวะคละถิ่น บำเพ็ญอย่างยากลำบาก แม้ข้าจะอยากได้คัมภีร์ของบรรพชนมาโดยตลอด แต่ก็ลำบากที่ไม่มีสมบัติล้ำค่า พลังก็อ่อนแออยู่เล็กน้อย เคราะห์ดีที่ก่อนหน้านี้เมื่อบุกฝ่าอยู่ท่ามกลางความรกร้างได้พบดอกจิ้นหลานเข้าสามดอก จึงกล้ามาที่นี่เพื่อวิงวอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ยายเฒ่าฟังแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย “แม้ผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าจะมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่งกันทั้งนั้น แต่เมื่อไม่มีสายเลือดบรรพเทวะ ผู้ที่สำเร็จเป็นจักรพรรดิเทพก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เจ้าสามารถมอบดอกจิ้นหลานให้ได้สามดอก ก็นับว่ามีความจริงใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ท่านรองประมุขวังของเราทราบเรื่องนี้แล้วก็ตอบตกลง หากได้คัมภีร์มา ความหวังที่เจ้าจะสำเร็จเป็นจักรพรรดิเทพก็อาจจะเพิ่มขึ้นหลายส่วนกระมัง”
“ขอบคุณท่านรองประมุขวังที่เมตตา” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
รองประมุขวังทั้งสามของวังเมฆจรัสล้วนแต่เป็นสตรีทั้งสิ้น ได้ยินมาว่าเป็นคนที่บรรพเทวะคละถิ่นผู้นั้นจัดมาเพื่ออารักขาประมุขวังเมฆจรัส ตามปกติแล้ว ธุระต่างๆล้วนเป็นบรรดารองประมุขวังที่ตัดสินใจ
ทั้งสองเดินไปพลาง สนทนากันไปพลางด้วยความเร็วสูงยิ่งนัก ไม่นานนักก็มาถึงตรงหน้าหอแห่งหนึ่ง
“เทวทูตอิ่ง รองประมุขวังกำชัยมาว่า นี่คือคัมภีร์เจ้าค่ะ” มีทหารรักษาการณ์คนหนึ่งเดินออกมาจากภายในหอทันที แล้วส่งคัมภีร์เล่มหนึ่งให้ยายเฒ่า
“เอ๊ะ” หลังจากยายเฒ่ารับคัมภีร์มาแล้วก็หันกลับมา แต่กลับมิได้มอบให้เขาทันที หากแต่มองมาที่ตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจทันที จากนั้นเขาก็พลิกมือหยิบกล่องศิลาใบยาวกล่องหนึ่งออกมาแล้วเปิดออก ภายในก็คือดอกไม้ซึ่งเปล่งแสงสีฟ้ารำไรสามดอก จากนั้นเขาก็ปิดฝากล่องแล้วส่งให้ยายเฒ่าผู้นี้ “นี่ก็คือดอกจิ้นหลาน”
ยายเฒ่าจึงรับกล่องไป แล้วโยนคัมภีร์มาให้ตงป๋อเสวี่ยอิง “รีบอ่านอยู่ตรงนี้ให้เร็วๆ เถิด อ่านจบแล้วก็คืนมาให้ข้า”
“เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูทันที สติรับรู้แทรกซึมเข้าไป ด้วยวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขา ไม่นานนักก็จดจำเนื้อหาของคัมภีร์เล่มนี้ได้หมดแล้ว
เพียงอ่านครั้งแรก ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ
ไม่เสียทีที่เป็นคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง
ผู้คิดค้นเคล็ดวิชานี้ขึ้นมามีผลสำเร็จทางด้านวิถีอากาศเหนือกว่าตนอย่างแท้จริง คัมภีร์ฟ้าดินเป็นคัมภีร์ทางด้านวิถีอากาศที่น่าพิศวงมาก ใจความสำคัญก็คือจะฝึกตนให้เป็น ‘ฟ้าดินของโลก’ กายหยาบก็คือโลกใบหนึ่ง ทุกกระบวนท่าจึงย่อมมีพละกำลังหาใดเปรียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านจบแล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่า…ตามเส้นทางของเคล็ดวิชานี้ จุดสุดขั้วตามหลักการ กายหยาบนั้นสามารถเป็นดั่ง ‘โลกกำเนิด’ ใบหนึ่งได้ เช่นนั้นพลังก็ย่อมแข็งแกร่งเสียจนน่ากลัว
แน่นอนว่าบัดนี้เคล็ดวิชานี้ มีขีดจำกัดพลังอยู่ที่จักรพรรดิเทพช่วงกลาง ก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว! อย่างเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นที่ตนคิดค้นขึ้นในดินแดนจิตโลกา ท้ายที่สุดก็มีพลังแค่ระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ เท่านั้น ทั้งยังไม่เสถียรอีกด้วย! แน่นอนว่าระยะเวลาในการบำเพ็ญของตนยังสั้นนัก หากนานเข้า เคล็ดวิชาของตนจะต้องเหนือกว่าของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
เพียงแต่โลกใบนี้ทำให้การรับรู้มากมายของตนต้องถูกต้านทาน
การศึกษาคัมภีร์เหล่านี้ สามารถทำให้ตนเติบโตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
“ได้มาอยู่ในมือแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงดีใจ
……
หลังจากอ่านคัมภีร์จบแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อำลาจากวังเมฆจรัสมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่อยู่แล้วรึ”
เงาร่างสายหนึ่งทะยานออกจากวังเมฆจรัส เป็นสตรีอาภรณ์สีเทานางหนึ่ง นางกวาดตามองรอบด้านด้วยสายตาเย็นชา “หนีได้เร็วจริงๆ”
อุทิศดอกจิ้นหลานให้ถึงสามดอก เพียงเพื่อได้เห็นคัมภีร์ครั้งเดียวเท่านั้น
เมื่อบุคคลระดับสูงของวังเมฆจรัสได้ทราบแล้ว ในจำนวนนั้นก็มีคนที่รู้สึก ‘ใจสั่น’ เพราะถึงอย่างไรการสังหารจ้าวเทพคนหนึ่งก็ง่ายดายยิ่งนัก! พวกนางมิกล้าทำตามอำเภอใจเมื่ออยู่ในวังเมฆจรัส แต่เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปก็มีบางคนที่ตามออกมาทันที น่าเสียดายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจากไปอย่างเงียบๆ ก่อนแล้ว
******
ครั้งนี้ วังเมฆจรัสนั้นสบายที่สุด
จากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปลอมแปลงตัวตนอีกครั้ง จำแลงกายเป็นมือสังหารไปยัง ‘เมืองฝ่าหมาน’ อีกแห่งหนึ่ง ไหนเลยจะไปคิดว่าเพิ่งจะเข้ามายังจวนท่านเจ้าเมือง ภายในจวนท่านเจ้าเมืองก็มีจักรพรรดิเทพลงมือลอบสังหารตนเสียแล้ว! ช่วยไม่ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียง ‘ถือโอกาส’ สังหารอีกฝ่ายเท่านั้น ขณะเดียวกับที่สังหารอีกฝ่าย ก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาจากมาทันที!
ต่อมา เขาทำได้เพียงแปลงกายไปยัง ‘เมืองหลินเฟิง’ อีกแม้ครั้งนี้จะถูกลอบสังหารเช่นกัน แต่นั่นก็เกิดขึ้นเมื่อเขาศึกษาคัมภีร์เรียบร้อยแล้ว เพิ่งจะออกจากจวนท่านเจ้าเมือง ตนยังมิทันได้หาพื้นที่ลับสักแห่งเพื่อสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาเลย ศัตรูก็ลงมือเสียแล้ว! ครั้งนี้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นสองคนที่ร่วมมือกันจะมาสังหารเขา
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียง ‘ถือโอกาส’ จัดการไปเท่านั้น จากนั้นก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาหนีไปทันที
……
ภายในห้องลับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บตัวอยู่ในเมืองจวิ้นซาน บุรุษอาภรณ์สีม่วงคนหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้นที่นี่ ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงที่แปลงกายไปนั่นเอง
“ดิ้นรนไปยกหนึ่ง ก็มีแต่ครั้งที่ไปยังวังเมฆจรัสเท่านั้นที่นับว่าดีหน่อย อีกสองครั้งที่เหลือล้วนต้องลงมือทั้งสิ้น เมื่อนับรวมครั้งที่ไปยังเมืองเจียงหยวนด้วยแล้ว ข้าได้สังหารยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นไปทั้งหมดห้าคนตามลำดับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า เขาก็ไม่ยอมอ่อนข้อ เพราะถึงอย่างไร แม้ตนจะไม่รู้ข้อมูลของสามคนหลัง แต่ก็เป็นผู้ที่มาสังหารตนเพื่อชิงทรัพย์เอง ก็ย่อมต้องสังหารกลับโดยไม่ไว้น้ำใจแม้แต่น้อย
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 37 มาถึง
“ทว่าคัมภีร์ก็ศึกษาหมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา
เขาได้ต้นฉบับคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศมาอยู่ในมือ ส่วนคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางอีกสองวิชาที่เหลือได้แก่คัมภีร์ฟ้าดินและคัมภีร์ไร้ขอบเขต ตนก็ได้ศึกษาแล้ว ตลอดคืนวันอันยาวนานในโลกใบนี้ สติปัญญาที่ตกผลึกของผู้เหินทะยานทางด้านวิถีอากาศระดับยอดสุดก็คือคัมภีร์ ‘ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ หนึ่งเล่มและคัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงกลางสองเล่มที่พวกเขาคิดค้นขึ้น
คัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเล่มนั้นไม่เคยเผยแพร่ออกไปภายนอก และยังศึกษามิได้ด้วย
ส่วนจักรพรรดิเทพช่วงกลาง เนื่องจากมีเผยแพร่ออกไปสู่โลกภายนอก ตนจึงสามารถใช้ของแลกของเพื่อศึกษาได้
“ซึมซับสติปัญญาของผู้แกร่งกล้าคนอื่นให้ตนเองใช้” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มตั้งใจรับรู้ขึ้นมา
ผู้แกร่งกล้าคนหนึ่ง ควรจะรู้จักศึกษาสิ่งอื่น
ศึกษาจากฟ้าดิน!
ศึกษาจากหมื่นสรรพสิ่ง!
ศึกษาจากผู้อื่น!
ซึมซับและรับรู้จากบริเวณต่างๆ หลอมรวมเข้าไปในกายตนเอง แล้วบุกเบิกเส้นทางของตนเองขึ้นมา
……
คัมภีร์ทั้งสามเล่มนี้ล้วนแต่เยี่ยมยอดมาก ต่อให้เป็นคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ยอดเยี่ยมมาก เพราะถึงอย่างไรนี่ก็คือเคล็ดวิชาอันมั่นคง สิ่งที่คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศเชี่ยวชาญที่สุดก็คือศาสตร์การเหินทะยาน เมื่อทะยานไปก็เหมือนกับแมลงมารตัวหนึ่งที่เคลื่อนไหว แม้จะมิอาจทะลุอากาศไปได้ แต่ความเร็วกลับเหนือกว่าจักรพรรดิเทพช่วงต้นคนอื่นๆ อยู่มากทีเดียว โดยทั่วไปแล้วจักรพรรดิเทพช่วงกลางก็มิอาจไล่ตามได้ทัน!
ทว่าเคล็ดวิชานี้ หนีเอาชีวิตรอดได้ร้ายกาจ แต่ทางด้านการต่อสู้กลับอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง
ส่วนคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางทั้งสองคือคัมภีร์ฟ้าดินและคัมภีร์ไร้ขอบเขตนั้นก็ร้ายกาจนัก! พวกมันล้วนแต่เป็นเคล็ดวิชาฝึกกาย
คัมภีร์ฟ้าดิน เป็นการฝึกให้ทั้งร่างกลายเป็นฟ้าดินขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง กล้ามเนื้อก็เหมือนกับผืนดินอันหนักแน่นซึ่งไร้ที่สิ้นสุด กระดูกประหนึ่งเทือกเขา โลหิตดุจดั่งสายน้ำกลางอากาศที่ทอดตัวออกไป และยังมีดาวเคราะห์ เทหวัตถุต่างๆ ล่องลอยอยู่ สายน้ำทอดตัวออกไป…โลกใบนี้กว้างใหญ่หาใดเปรียบ มีเทหวัตถุและผืนดิน
ร่างกายร่างหนึ่ง ภายในมีโลกหลายใบที่หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อฝึกเคล็ดวิชานี้จนถึงช่วงท้าย ขณะต่อสู้ก็จะถูกบีบบังคับจนเผยให้เห็น ‘ร่างจริง’ อันแข็งแกร่ง ออกมา ต่อให้อยู่ในโลกเทพ ร่างจริงที่เผยออกมาก็ใหญ่โตถึงหลายหมื่นลี้! ใหญ่กว่าชาวโลกเทพระดับจักรพรรดิเทพหลายคนมากทีเดียว ร่างกายใหญ่โต พลังยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด! แต่ละกระบวนท่าล้วนเหิมเกริมหาใดเปรียบ ในฐานะผู้เหินทะยาน ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง พลังรบก็เทียบได้กับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้ว
แม้คัมภีร์ไร้ขอบเขตจะเป็นเคล็ดวิชาฝึกกายเช่นเดียวกัน แต่กลับแตกต่างกับคัมภีร์ฟ้าดินอย่างสิ้นเชิง
ฟ้าดิน แทบจะเป็นการนำเอาโครงสร้างโลกชนิดต่างๆ หลอมรวมเข้าไปภายในกายหยาบอย่างสมบูรณ์แบบ
ส่วนคัมภีร์ไร้ขอบเขตกลับมีเพียงคำเดียว…ว่างเปล่า!
ทุกอณูภายในกายหยาบล้วนเหมือนกับมิติอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง ทั้งกายหยาบก็คือมิติใหญ่ห่อหุ้มมิติขนาดเล็ก มิติขนาดใหญ่ยิ่งหุ้มมิติขนาดใหญ่เอาไว้อีกที…ห่อหุ้มชั้นแล้วชั้นเล่า ผู้แกร่งกล้าที่ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ กายหยาบก็คือมิติที่มีจำนวนชั้นจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งก่อให้เกิดเป็นร่างรวมอันสมบูรณ์แบบขึ้นมาในท้ายที่สุด หากฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ ขณะสู้รบก็พิสดารมากทีเดียว
ต่อให้อยู่ภายใต้การกดดันของโลกเทพ ใหญ่ ก็สามารถแปรเป็นยักษ์ตัวใหญ่นับล้านลี้ได้! เล็ก ก็เหมือนมดแมลง
หากยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายโจมตีอย่างสุดกำลังครั้งหนึ่งลงบนร่างของเขา มิติซึ่งมีชั้นจำนวนนับไม่ถ้วนภายในกายหยาบก็สามารถดูดซึมพละกำลังที่เข้ามาโจมตีได้อย่างง่ายดาย! เขายืนอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ศัตรูโจมตี ศัตรูก็มิอาจทำให้เขาบาดเจ็บได้แม้แต่น้อย ต่อให้เป็นบรรดาสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นซึ่งจัดอยู่ในสามสิบอันดับแรกของโลกใบนี้ ก็ทำได้เพียงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ยากจะสังหารเขาได้
หากพูดถึงความสามารถในการรักษาชีวิต
คัมภีร์ไร้ขอบเขต เหนือกว่าคัมภีร์ฟ้าดินเสียอีก
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คัมภีร์ฟ้าดินนั้นสมดุลกว่า ไม่ว่าจะเป็นด้านการรักษาชีวิตหรือการห้ำหั่นซึ่งหน้า ล้วนสามารถเทียบได้กับระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย
“ผู้คิดค้นเคล็ดวิชานี้ ได้ทุ่มเทเลือดเนื้อและจิตใจไปจำนวนนับไม่ถ้วนบนเส้นทางเหล่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจดีมากว่า ตนอาจจะสามารถศึกษาได้ แต่ต่อจากนั้นจะคิดค้นต่อไปน่ะหรือ ไหนเลยจะเทียบได้กับผู้คิดค้นซึ่งบุกเบิกขึ้นมาทีละก้าวๆ ด้วยความลำบากยากเข็ญจนถึงทุกวันนี้ได้เล่า
“เคล็ดวิชาทั้งสองนี้ล้วนแต่มีจุดบกพร่อง”
“คัมภีร์ฟ้าดินทะเยอทะยานไปหน่อย จะทำให้ร่างกายกลายเป็นโลก เกี่ยวโยงกับการหมุนเวียนของโลกมากมายเกินไป การหมุนเวียนต่างๆ ซับซ้อนเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ต่อให้เป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง ข้าก็รู้สึกว่าซับซ้อนจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ จะไปถึงช่วงท้าย ไปจนถึงขั้นครบสมบูรณ์ หรือกระทั่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นน่ะหรือ คิดๆ ดูก็รู้สึกว่าทางเส้นนี้ยากเกินไปแล้ว”
แน่นอนว่าผู้แกร่งกล้าแต่ละคนรู้เกี่ยวกับเข้าใจเรื่อง ‘วิถี’ แตกต่างกัน
ตัวเขาตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทางเส้นนี้แทบจะเป็นทางตัน แต่คนอื่นกลับรู้สึกว่าเป็นเส้นทางที่มีความหวังมากที่สุด
“คัมภีร์ไร้ขอบเขตก็สุดโต่งเกินไปแล้ว ใฝ่หาความสามารถในการรักษาชีวิตขั้นสุดเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
……
คัมภีร์ทั้งสามเล่มนี้ล้วนมีสิ่งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บตัวแล้วตั้งใจขัดเกลา ร่างแยกที่อยู่ไกลถึงในดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดก็ล้วนกำลังรับรู้อยู่เช่นกัน เมื่อรับรู้มัน ซึมซับความเร้นลับของกฎเกณฑ์ หลอมรวมเข้าไปในการฝึกกายคละถิ่นของตน
ด้านการฝึกกายคละถิ่นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ ฟื้นฟูพลังจนถึงระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ในที่สุด แม้แต่เคล็ดวิชาฝึกกายซึ่งเดิมทีไม่มั่นคงเท่าใดนักก็ยังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป และซึมซับการโอบอุ้มของคัมภีร์ไร้ขอบเขต ซึมซับการหมุนเวียนของคัมภีร์ฟ้าดิน เคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นของตนก็ค่อยๆ มั่นคงขึ้นมา อีกทั้งเนื่องจากอยู่ในดินแดนจิตโลกาและอยู่ในโลกใบนี้ ได้ใช้ความเร้นลับวิถีอากาศที่แตกต่างกัน บรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นได้ต่อเนื่องกัน และทำให้เขาสั่งสมได้อย่างหนาแน่นมากขึ้น
******
เพียงพริบตาเดียวก็เป็นเวลาแปดล้านกว่าปีหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงโลกใบนี้แล้ว
……
ท่ามกลางเมฆหมอกอันเวิ้งว้าง เรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังบินเหินไปด้วยความเร็วสูง
บนเรือใหญ่ บรรดาทหารรักษาการณ์ซึ่งแผ่กลิ่นอายระดับจ้าวเทพออกมากระจายตัวกันอยู่ทั้งซ้ายขวา
“ฟิ้ว”
เงาร่างองอาจสายหนึ่งเดินออกมาจากห้องโดยสารห้องหนึ่งบนเรือ เขาสวมอาภรณ์สีดำหนาเตอะ เขาเดินไปยังหัวเรือ ด้านหลังเขามีเงาร่างห้าสายติดตามมา ทั้งห้าคนนั้นมีทั้งชายหญิงซึ่งแผ่กลิ่นอายของจักรพรรดิเทพช่วงต้นออกมา
“ใกล้ถึงเมืองจวิ้นซานแล้วกระมัง” ชายชราผู้องอาจผู้นี้เอ่ยปาก
“ด้วยความเร็วในตอนนี้ คาดว่าต้องใช้เวลาราวห้าวัน” สตรีอาภรณ์เขียวคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังสัมผัสรับรู้ดูห่างๆ คราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ยังเหลืออีกห้าวัน!” ชายชราผู้องอาจมองดูอยู่ไกลๆ มุมปากกระดกขึ้นเล็กน้อย “อวี้เฟิงจวิ้นซาน วันคืนอันสงบสุขของเจ้าเหลือเพียงห้าวันเท่านั้น”
“พี่ใหญ่ นับตั้งแต่พลังของท่านบรรลุแล้ว สกุลอวี้เฟิงนี่ก็เตรียมกองวาณิชมุ่งหน้าไปยังตัวเมืองอื่นๆ มากมาย แม้จะกล่าวว่าเป็นกองวาณิช แต่อันที่จริงแล้วกลับพาลูกหลานสกุลอวี้เฟิงจำนวนมากไปด้วย ลูกหลานสกุลอวี้เฟิงกระจายตัวกันอยู่ตามตัวเมืองต่างๆ มากมายยิ่งนัก! ลูกหลานเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามอะไรนัก จะหาตัวให้พบก็ยากมาก” บุรุษอาภรณ์ขาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ทำเช่นไรได้เล่า”
ชายชราผู้องอาจพูดเสียงเรียบ “นี่เป็นวิธีที่สง่าผ่าเผย ลูกหลานสกุลอวี้เฟิงกระจัดกระจายไปหลายเมืองถึงเพียงนั้น อีกทั้งแต่ละคนก็ยังเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกด้วย ไม่มีทางตามหาได้พบ และไม่คุ้มค่าที่จะหาด้วย”
ตามหาหรือ
โดยทั่วไปแล้วก็อาศัยวิชาสะกดรอย ซึ่งการสะกดรอยนั้น อย่างแรกจะต้องสร้างเหตุปัจจัยต่อกันเสียก่อน! ลูกหลานทั่วไปของสกุลอวี้เฟิงนั้น จะมาสร้างเหตุปัจจัยกับพวกเขาก็ยากยิ่งนัก คงเล็กละเอียดเสียจนยากจะจะตรวจสอบได้ เพราะถึงอย่างไรบัดนี้ก็หาไม่พบกันหมดแล้ว
“ในภายหน้าก็มีแต่ต้องจับตามองเอาไว้ก็เท่านั้น หากพบว่ามีผู้ใดรุ่งโรจน์ขึ้นมาด้วยชื่อเสียงของสกุลอวี้เฟิง ก็ค่อยไปกำจัดก็เท่านั้นเอง” บุรุษผู้องอาจกล่าว “ขอเพียงพวกเขามิได้รุ่งโรจน์ขึ้นมา ก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจลูกหลานที่อ่อนแอเหล่านั้นหรอก”
“ใช่แล้ว ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาเลย”
“สกุลอวี้เฟิงเป็นขุมอำนาจเล็กๆ ในโลกเทพ คิดจะมีจักรพรรดิเทพขึ้นมาสักคนก็ทำได้เพียงฝันไปเท่านั้น”
พวกเขาแต่ละคนล้วนรังเกียจ
อัตรส่นที่จะให้กำเนิดจักรพรรดิเทพขึ้นมานั้นยากเย็นเพียงใดกัน
ต่อให้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว คนสมาคมจิตมารก็สามารถกำจัดทิ้งได้หมด!
“กำจัดอวี้เฟิงจวิ้นซานและบุตรธิดาที่รักของเขารวมทั้งยอดฝีมือคนสำคัญทั้งหลายของสกุลอวี้เฟิงให้หมด ล้างเผ่าพันธุ์ของทั้งสกุลอวี้เฟิงที่ยังคงอยู่ในเมืองจวิ้นซานให้สิ้นซาก ความแค้นนี้ ก็จะดับลงไปชั่วคราว! ข้ายังเมตตามากนัก” บุรุษผู้องอาจยิ้มน้อยๆ แต่รอยยิ้มกลับเหี้ยมเกรียมอยู่บ้าง “อวี้เฟิงจวิ้นซานผู้นี้ก็นับได้ว่าหาญกล้าอยู่เหมือนกัน อยู่ในเมืองมาตลอด มิได้หนีไปข้างนอกเลย”
“เขาจะหนีก็หนีไม่พ้น! พวกเราสะกดรอยคอยจับตามองเขา เขาไม่มีที่ให้หนีไปหรอก ”
“เกรงว่าเขาอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็เพราะจะอาศัยความได้เปรียบทางด้านพื้นที่สู้กับพวกเราให้รู้ดำรู้แดงสักตั้งน่ะสิ”
“สู้กับพวกเราสมาคมจิตมารให้รู้ดำรู้แดงอย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่า ช่างน่าขันนัก ด้วยการโจมตีของพวกเรา เกรงว่าทั้งเมืองจวิ้นซานคงจะต้านรับไม่ได้สักชั่วจอกชาเดียวเสียด้วยซ้ำ”
จักรพรรดิเทพอีกห้าคนพากันยิ้มหยัน
ด้วยพลังของคนสมาคมจิตมารที่บัดนี้จัดอยู่ในรายนามจักรพรรดิเทพ ผู้ใต้บังคับบัญชามียอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นเพียงห้าคนเท่านั้น สาเหตุเพราะเขาบรรลุได้ไม่นานเท่าใดนัก โดยทั่วไปพลังระดับคนสมาคมจิตมารนั้น มีผู้ใต้บังคับบัญชาระดับจักรพรรดิเทพสิบกว่าคนก็ถือเป็นเรื่องปกตินัก
“แม้พลังของเมืองจวิ้นซานจะธรรมดาทั่วไป แต่เจ้าและคนอื่นๆ ก็ต้องระมัดระวัง อีกฝ่ายจะสู้เอาเป็นเอาตายแล้ว พวกเราไม่ใช่แค่ต้องฆ่าพวกเขาให้เกลี้ยงเท่านั้น แต่ยังต้องลดความเสียหายของตนให้ต่ำที่สุดด้วย” คนสมาคมจิตมารหมุนกายกลับมามองลูกน้องทั้งห้าแวบหนึ่ง
“ขอรับ พี่ใหญ่” จักรพรรดิเทพทั้งห้ารับคำ
คนสมาคมจิตมารพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็สาวเท้าเข้าไปในห้องโดยสาร
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 38 ศิษย์และอาจารย์
เกล็ดหิมะใสกระจ่าง ลอยละล่องไปทั่วฟ้าดิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี้เฟิงชิงอินกำลังดื่มสุราด้วยกันพลางฟังเสียงพิณด้านข้าง ด้านข้างไม่ไกลออกไปนักมีสตรีโฉมงามนางหนึ่งกำลังดีดพิณอย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงพิณอันไพเราะแผ่ไปทั่วทั้งสวน ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็รู้สึกดื่มด่ำเป็นอันมาก
รอจนเสียงพิณหยุดลง ปรมาจารย์พิณหญิงนางนั้นหยุดแล้วก็ยิ้มร่าพลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี้เฟิงชิงอิน
“เชิญจ้าวเทพหิมะเหินและคุณหนูสามแสดงความเห็นเสียหน่อยเถิด” ปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้พูด
“ทุกครั้งที่ได้ฟังพี่เหลิ่งดีดพิณ ก็ราวกับอยู่ในฝันอย่างไรอย่างนั้น ช่างงดงามเหลือเกิน” อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยชม ดวงตาเปล่งประกายออกมา
ใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยยิ้มระบายอยู่บนหน้า ตลอดคืนวันอันยาวนานก่อนหน้านี้ แม้เขาจะชมชอบดนตรีเป็นอันมาก แต่ก็ไม่เคยใส่ใจมาตลอด นับตั้งแต่อวี้เฟิงชิงอินผู้เป็นศิษย์ยืนกรานจะแนะนำปรมาจารย์พิณ ‘เหลิ่งซิน’ ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งแห่งเมืองจวิ้นซานให้ ตอนนั้นเขาก็พยักหน้าตกลงให้ปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้มาดีดพิณที่จวนของตน แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเก็บซ่อนพลังมาโดยตลอด แต่ดีร้ายอย่างไรพลังที่เผยออกมาภายนอกเพียงผิวเผินก็สามารถสังหารจ้าวภูเขาค้างคาวได้ปรมาจารย์พิณหญิง ‘เหลิ่งซิน’ ผู้นี้ก็ย่อมตั้งใจแสดงเป็นอันมาก
ตอนเริ่มแรก ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าล้ำเลิศ
แต่หลังจากที่นางมาที่จวนของตนและได้ฟังหลายครั้งเข้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อยๆ ขัดเกลาจุดที่เหมือนกันของ ‘เสียงพิณ’ นี้กับ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ของตนออกมาได้ ในวิถีเขตลวงโลกเทียมมี ‘ภาพลวง’ อยู่สายหนึ่ง ทางสายภาพลวงบางครั้งก็สามารถอาศัยเสียงสำแดงออกมาได้
“ไม่เสียทีที่เป็นปรมาจารย์พิณอันดับหนึ่งแห่งเมืองจวิ้นซาน สามารถสำเร็จเป็นปรมาจารย์พิณอันดับหนึ่งได้ มีชื่อเสียงโด่งดังถึงเพียงนี้ ผลสำเร็จทางด้านดนตรีของนางก็บรรลุถึงขั้นสูงส่งอย่างยิ่งทีเดียว สายเลือดบรรพเทวะของนางก็เชี่ยวชาญทางสายนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้หลายๆ เสียงของนางยังใช้ได้ค่อนข้างหยาบอยู่มาก แต่ความรู้สึกอิสระที่มาจากใจล้วนๆ กลับเป็นสิ่งที่ข้าสู้ไม่ได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
วิถีเขตลวงโลกเทียมของเขาเคยรู้แจ้งได้ถึงสองกระบวนท่า หนึ่งคือทำให้ศัตรูจมจ่อมลงไป หนึ่งคือผลาญทำลายวิญญาณของศัตรู ทั้งสองกระบวนท่านี้คือสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรับรู้จาก ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ แต่เขามิอาจทำให้ทั้งสองรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบได้
แต่หลังจากได้ฟังเสียงพิณแล้ว เขาก็รู้ปัญหาของตน
“ข้ารู้มาตลอดว่า สิ่งที่แก่นแท้ที่สุดของวิญญาณไม่ว่าดวงไหนปรารถนาก็คือ ‘อิสระ’ นั่นคือเส้นทางของวิถีเขตลวงโลกเทียม” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง “ข้าเคยได้เห็นหยาดน้ำพันเนตรในตอนนั้นครั้งหนึ่ง และพยายามทบทวนความทรงจำตลอด พยายามหลอมรวมท่าไม้ตายทั้งสองเข้าด้วยกัน แต่อันที่จริงกลับจงใจเกินไปแล้ว! ข้ารู้ทั้งรู้ว่า ‘อิสระ’ จึงจะเป็นแก่นแท้ของวิญญาณ นี่ต่างหากจึงจะเป็นการหลอมรวมแก่นสำคัญของท่าไม้ตายทั้งสองเข้าด้วยกัน”
ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ฮึดฮัด
การบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้เอง
ต่อให้คนอื่นบอกวิธีให้ทราบ หากตนเองไม่เผชิญความลำบากมากพอ ก็มิอาจรู้แจ้งถึงแก่นของวิธีนี้
หลังจากกระจ่างแจ้งในข้อนี้แล้ว
ร่างแยกของเขาที่อยู่ในดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิดเก็บตัวเพื่อรับรู้ในทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงมีลางสังหรณ์ว่า เชื่อว่าหากใช้เวลานานพอ ท่าไม้ตายทั้งสองของวิถีเขตลวงโลกเทียมจะต้องสามารถรวมกันได้อย่างแท้จริงแน่นอน
……
นี่เป็นเพราะเสียงพิณนี้ไปกระตุ้นการบำเพ็ญทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียมของเขา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมักจะเชิญปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้มาเป็นประจำ
“จ้าวเทพหิมะเหินยังมิได้ออกความเห็นเลย” ปรมาจารย์พิณหญิงมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
“เสียงพิณของแม่นางเหลิ่งเหินทะยานตามอำเภอใจ ทำให้จิตใจคนหลอมรวมกับมัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ทว่าแม่นางเหลิ่งก็สามารถเก็บรวบรวมเคล็ดวิชาทางด้านเสียงต่างๆ แล้วรับรู้ให้มากหน่อย อาจจะมีส่วนช่วยแม่นางเหลิ่งบ้างก็เป็นได้”
ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พูด ก็เพราะกังวลว่าหากนางตั้งใจค้นคว้าทางด้านเสียง อาจทำให้สูญเสียความอิสระที่มีแต่เดิมไป ทว่าเมื่อพูดจากมุมมองทางด้านการบำเพ็ญแล้ว ต่อให้ลำบางบ้าง ก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี
“เสียงหรือ” ปรมาจารย์พิณหญิงงุนงง “ดนตรีก็คือดนตรี เสียงก็คือเสียงกระมัง”
“รับรู้ดูเสียหน่อย จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ขอบคุณจ้าวเทพที่ชี้แนะ” แม้ปรมาจารย์พิณหญิงจะงุนงง แต่ก็ยังคงตัดสินใจฟังคำชี้แนะของผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพคนนี้ และไปตามหาคัมภีร์สำหรับการบำเพ็ญทางด้านเสียงต่างๆ มาบำเพ็ญเสียหน่อย ที่ผ่านมานางบำเพ็ญพละกำลังสายเลือดล้วนๆ ดนตรีนั้นสำแดงออกมาจากพละกำลังของสายโลหิตตามธรรมชาติ เป็นพรสวรรค์
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
แม้จะอยู่กับศิษย์และกำลังสนทนากับปรมาจารย์พิณหญิงผู้นี้ แต่ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยังคงมีความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากมายผุดขึ้นมา ระดับขั้นอย่างเขาแล้ว การแบ่งสมาธิทำหลายสิ่งพร้อมกันนั้นเป็นเรื่องตามธรรมชาติราวกับการกินข้าวหรือดื่มน้ำอย่างไรอย่างนั้น
“ผู้อาวุโสสองท่านนั้นสามารถคิดค้นคัมภีร์จักรพรรดิเทพช่วงกลางอย่างคัมภีร์ฟ้าดินและคัมภีร์ไร้ขอบเขตขึ้นมาได้ ส่วนข้าอยากให้การฝึกกายคละถิ่นบรรลุถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง กลับยังมีปัญหามากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด ตอนนี้การฝึกกายคละถิ่นของเขาในระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ นั้นมั่นคงอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขายังถึงขั้น คิดค้นขึ้นมาหลายฉบับ แต่การสำแดงพลังระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ออกมาอย่างพอถูไถนั้น กลับยังไม่มั่นคง
“ทว่าการบำเพ็ญภายใต้อารยธรรมที่แตกต่างกันก็มีส่วนช่วยอย่างแท้จริง” ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจนัยยะของ ‘หยวน’ แล้ว
อารยธรรมที่แตกต่างกัน
ในดินแดนจิตโลกาและโลกปัจจุบันนี้ การกดดันของกฎเกณฑ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของอารยธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งระหว่างกระบวนการปรับตัวนี้ ก็ทำให้ ‘วิถี’ ของเขาสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่สามารถทะลุผ่านโลกทุกใบได้อย่างแท้จริง จึงจะเป็นนิรันดร์ และมีคุณสมบัติพอจะกระโดดออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้
“จ้าวเทพหิมะเหิน รีบมาในจวนข้าเร็วเข้า” สารหนึ่งถูกส่งมา
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ถือจอกสุราเอาไว้ในมือพลางไตร่ตรองเรื่องการฝึกกายคละถิ่นพลันสะดุ้งเฮือก “เป็นสารจากท่านเจ้าเมืองอวี้เฟิงจวิ้นซานหรือ”
“ท่านพ่อ” อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้งเฮือก นางก็ได้รับสารเช่นกัน
“ชิงอิน ท่านเจ้าเมืองก็เรียกตัวเจ้าไปด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นสีหน้าของศิษย์ก็พูดยิ้มๆ ขึ้นมา
“เจ้าค่ะ” อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว จากนั้นก็มองไปทางปรมาจารย์พิณหญิงเหลิ่งซินที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “แม่นางเหลิ่ง ข้าและชิงอินยังมีธุระบางอย่าง เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
ปรมาจารย์พิณหญิงเหลิ่งซินอำลาและจากไปทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พาอวี้เฟิงชิงอินมุ่งหน้าไปยังจวนท่านเจ้าเมือง
******
ณ จวนท่านเจ้าเมืองซึ่งก็คือที่ตั้งของสกุลอวี้เฟิงที่กินพื้นที่กว้างขวางนัก
ภายในตำหนักหลัก
ยามนี้มีผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ มีลูกหลานสกุลอวี้เฟิงเอง และมีเหล่าผู้แกร่งกล้าอย่างจ้าวภูเขาค้างคาว จ้าวเทพเจียนอิ่นและตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ด้วย คนส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนแต่เป็นจ้าวเทพช่วงกลาง และจ้าวเทพช่วงกลางขึ้นไป ผู้ที่มีพลังอ่อนแออย่างอวี้เฟิงชิงอินนั้นมีให้เห็นน้อยมาก เนื่องจากนางมีสถานะสูงส่งเป็นถึงธิดาของท่านเจ้าเมือง จึงมีสิทธิ์มาอยู่ที่นี่ได้
“พี่หิมะเหิน ท่านว่าจู่ๆ ท่านเจ้าเมืองผู้นี้เรียกคนมากมายเช่นนี้มารวมตัวกันทำไม ยอดฝีมือถูกเรียกตัวมาแทบจะครบทั้งเมืองแล้ว” จ้าวภูเขาค้างคาวเดินเข้ามา ศีรษะทรงสามเหลี่ยมอัปลักษณ์โดยแท้ แต่สีหน้ากลับกระติอรือร้นเป็นอันมาก
“ผู้ใดจะไปรู้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ใส่ใจ เขาอยู่ในเมืองจวิ้นซาน ก็เพื่อพำนักและบำเพ็ญเป็นหลัก
“เมืองจวิ้นซานมิได้เรียกผู้แกร่งกล้ามากมายถึงเพียงนี้มารวมตัวกันตั้งนานแล้ว ข้าว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่” จ้าวภูเขาค้างคาวกล่าว มิใช้แค่เขาเท่านั้น ผู้แกร่งกล้าหลายคนในที่นั้นก็ตื่นตระหนกอยู่ในใจ
จู่ๆ ก็เรียกรวมตัวอย่างกะทันหัน ทั้งยังมิได้บอกสาเหตุ ทุกคนพากันคาดเดากันไปต่างๆ นานา
“มาแล้ว”
“ท่านเจ้าเมืองมาแล้ว”
ในโถงตำหนักเงียบลงทันใด ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ บุรุษวัยกลางคนผมสีดอกเลาผู้เจนโลก เดินออกมาจากประตูข้างของโถงตำหนัก มีพ่อบ้านถงติดตามอยู่ข้างกาย
อวี้เฟิงจวิ้นซานผู้นี้ทำให้สกุลอวี้เฟิงรุ่งเรืองขึ้นมา ตนเองสามารถบำเพ็ญจนถึงระดับขั้นจักรพรรดิเทพได้ และถึงขั้นบุกเบิกขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งขึ้นมา ช่างเป็นวีรบุรุษโดยแท้ เพียงแต่วันนี้ใบหน้าของอวี้เฟิงจวิ้นซานเคร่งขรึมดุจวารี เขาเดินไปถึงหน้าบัลลังก์ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งประธานแล้วก็ยืนตรงแน่วโดยมิได้นั่งลง เขามองลงไปเบื้องล่างแล้วเอ่ยปากว่า “ข้ารู้ว่าทุกท่านคงกำลังคาดเดากันอยู่ ว่าจู่ๆ ข้าก็เรียกทุกท่านมารวมตัวกันอย่างกะทันหันด้วยเหตุใดกัน!”
ฝูงชนเบื้องล่างพากันเงยหน้ามองอวี้เฟิงจวิ้นซาน
“มีศัตรูที่แข็งแกร่งกำลังมุ่งสังหารมาทางเมืองจวิ้นซานของเรา” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองไปเบื้องล่าง “คาดว่าอีกครึ่งชั่วยามให้หลังก็จะมาถึงแล้ว”
“อะไรนะ”
“ศัตรูที่แข็งแกร่งหรือ”
“ครึ่งชั่วยามหรือ”
ทันใดนั้นภายในโถงตำหนักก็เต็มไปด้วยความอลหม่าน ข่าวนี้มาอย่างกะทันหันเกินไปแล้ว
“ท่านเจ้าเมือง ศัตรูที่แข็งแกร่งอะไรกัน เหตุใดจึงมาโจมตีเมืองจวิ้นซานของเราเล่า” เบื้องล่างราวกับเกิดจลาจลขึ้นมา
อวี้เฟิงจวิ้นซานขมวดคิ้วน้อยๆ พลางแค่นเสียงเบาๆ คราหนึ่ง โถงตำหนักเงียบลงทันที
“ศัตรูมีพลังแข็งแกร่งมาก นอกจากนี้ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของสกุลอวี้เฟิงเราอีกด้วย ไม่มีทางแก้ไขได้เลย” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองลงไปเบื้องล่าง พูดพลางยิ้มเย็น “ข้ารู้ว่าทุกท่านกำลังคิดว่า มีความแค้นกับสกุลอวี้เฟิงมิได้มีความแค้นกับพวกท่านเสียหน่อย ถูกต้องหรือไม่”
ผู้แกร่งกล้าหลายคนด้านล่างสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
“ข้าอวี้เฟิงจวิ้นซานปกครองเมืองจวิ้นซานมาจวบจนบัดนี้ ดูแลพวกท่านดีไม่น้อย บัดนี้เมื่อเผชิญกับวิกฤต ก็ขอเชิญให้ทุกท่านช่วยอุทิศแรงสักหน่อย” อวี้เฟิงจวิ้นซานกล่าว แม้ปากจะพูดว่า ‘เชิญ’ แต่ทุกคนในที่นั้นต่างก็สัมผัสได้ถึงปณิธานอันแรงกล้าของอวี้เฟิงจวิ้นซาน! เห็นได้ชัดว่าทุกคนในที่นั้นต้องตอบตกลงสถานเดียว มิเช่นนั้นแล้วค่ายกลต่างๆ ทั่วจวนสกุลอวี้เฟิงก็มีสกุลอวี้เฟิงเป็นผู้ควบคุมทั้งสิ้น
เดิมทีสกุลอวี้เฟิงก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว ทั้งยังควบคุมค่ายกลด้วย
แล้วพวกเขาจะกล้าต่อต้านได้อย่างไรกัน
“ข้าและคนอื่นๆ ย่อมทำอย่างสุดกำลังแน่นอน”
“ท่านเจ้าเมือง สกุลอวี้เฟิงมีบุญคุณต่อพวกเรา บัดนี้ย่อมไม่ถอยแน่นอน” ทันใดนั้นก็มีผู้แกร่งกล้หลายคนเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง ผู้ที่สามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ได้ก็ล้วนแต่ไม่โง่งม พวกเขาล้วนรู้ว่าเวลานี้คิดจะหนีก็หนีไม่พ้นแล้ว
“อื้ม” อวี้เฟิงจวิ้นซานพยักหน้า “วางใจให้เต็มที่เถิด ถึงตอนนั้นข้าจะรับมือศัตรูที่อันตรายที่สุดเอง และผู้แกร่งกล้าทั้งหลายของสกุลอวี้เฟิงเราก็จะไปรับมือด้วยเช่นกัน พวกเจ้ามีพละกำลังของค่ายกลคอยช่วยเสริมแรง ศัตรูที่เผชิญหน้าก็แข็งแกร่งไปไม่ถึงไหนหรอก”
ทุกคนในที่นั้นทำได้เพียงเลือกที่จะเชื่อเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอยู่เงียบๆ ท่ามกลางกลุ่มคน
ศัตรูที่แข็งแกร่งหรือ
ทำให้อวี้เฟิงจวิ้นซานต้องบีบบังคับยอดฝีมือทั้งหลายในเมือง เห็นทีศัตรูคงจะมีภัยคุกคามมากทีเดียว
อวี้เฟิงชิงอินซึ่งยืนอยู่ข้างกายเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลอบส่งสารให้ตงป๋อเสวี่ยอิงว่า “ท่านอาจารย์ ศัตรูแข็งแกร่งนัก พวกเราสกุลอวี้เฟิงต้านทานเอาไว้ไม่ไหว ท่านอาจารย์จะต้องไปซ่อนตัวให้ไกลหน่อย ถ่อมตัวหน่อย หากสบโอกาสก็รีบหนีไปเสียเถิด ไม่จำเป็นต้องตายไปพร้อมกับสกุลอวี้เฟิงของข้าหรอก” พวกอวี้เฟิงชิงอินได้รับคำสั่งอันเข้มงวดมาก่อนแล้วว่าห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนภายนอกรู้
“ต้านไว้ไม่ไหวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ เขาหันกลับไปมองศิษย์ของตน
อวี้เฟิงชิงอินมองเขาพลางพยักหน้าน้อยๆ ขณะเดียวกันก็ส่งสารไปว่า “ท่านอาจารย์ นี่คือหายนะของสกุลอวี้เฟิงเรา ได้รู้จักท่านอาจารย์ก่อนหายนะครั้งใหญ่ นับได้ว่าเป็นโชคดีของชิงอินแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้หายนะอันตรายเกินไป อาจารย์อย่าได้ถลำลึกเข้าไปมากนักเลย ไม่มีประโยชน์หรอก ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งเกว่าสกุลอวี้เฟิงของข้ามากนัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิสัมผัสได้ถึงความร้อนรนใจและความเป็นห่วงของศิษย์
พวกชิงอินเตรียมตัวสู้จนตัวตายแล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าศิษย์ทึ่มนี่!
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอวี้เฟิงชิงอิน ยิ้มแล้วยิ้มอีกก่อนจะถ่ายเสียงบอกว่า “วางใจเถิด แต่ไหนแต่ไรอาจารย์ไม่เคยทำเรื่องที่ไม่มั่นใจอยู่แล้ว”
อวี้เฟิงชิงอินฟังแล้วก็ทั้งวางใจ ทั้งผิดหวังอยู่บ้างที่อาจารย์ไม่สนใจความเป็นความตายของศิษย์อย่างตนเลยแม้แต่น้อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น