Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 37 ตอนที่ 25-34

 ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 25 พาลโกรธ

 

“จัดการเขาอย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางจ้าวภูเขาค้างคาว“พี่หิมะเหินคิดจะจัดการเช่นไร ก็จัดการตามนั้นเถิด” จ้าวภูเขาค้างคาวถ่ายเสียงพูด


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งทวีความรู้สึกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้ไม่มี ‘ความหยิ่งทะนง’ ของยอดฝีมือเลยแม้แต่น้อย ทว่าแม้จะไม่มีความหยิ่งทะนง แต่กลับไม่เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าจ้าวภูเขาค้างคาวนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือของเมืองจวิ้นซาน หากไม่ใช้ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ตนก็ยากที่จะทำอะไรเขาได้! และเมื่อค้นดูความทรงจำ ผู้ที่มีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณเยี่ยมยอดพอจะสู้ตนได้ อย่างน้อยในเมืองจวิ้นซานก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน


 


ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงไม่ใช้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณมาต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งง่ายๆ! เพราะหากสำแดงออกไปเมื่อใด แล้วข่าวเล็ดรอดขึ้นมา เกรงว่าตนก็คงจะไม่มีคืนวันอันสงบสุขแล้ว


 


“ข้าอยากจะไปดูเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้เสียก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด


 


“ดีๆๆ บัดนี้เถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้อยู่ในภูเขาค้างคาวของพวกเรา” จ้าวภูเขาค้างคาวกระตือรือร้นเป็นอันมาก


 


จากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากวังภูเขาลอยมุ่งหน้าไปยังภูเขาค้างคาวพร้อมกัน


 


……


 


ภายในเมืองจวิ้นซาน ภูเขาค้างคาวกินพื้นที่ใหญ่โตมาก สิ่งก่อสร้างทอดยาวต่อเนื่องกัน มีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่มากมาย


 


ภายในตำหนักใหญ่แห่งหนึ่ง


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปด้านในพร้อมกับจ้าวภูเขาค้างคาว ภายในนี้มีจ้าวเทพหลายคนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว


 


“ยังไม่คารวะจ้าวเทพหิมะเหินอีก” เมื่อจ้าวภูเขาค้างคาวเข้ามาก็พูดพลางแค่นเสียงเฮอะ


 


“คารวะจ้าวเทพหิมะเหิน” จ้าวเทพเหล่านี้พากันทำความเคารพ


 


บุคคลระดับสูงของภูเขาค้างคาวเหล่านี้ได้ยินมาแล้วว่า ‘เมื่อ จ้าวภูเขาค้างคาว’ หัวหน้าของพวกเขาประลองหยั่งเชิงกับจ้าวเทพหิมะเหินนั้นก็พ่ายแพ้ไป! จ้าวภูเขาค้างคาวกลายร่างเป็น ‘มังกรค้างคาว’ และยังคงได้รับบาดเจ็บ แต่จ้าวเทพหิมะเหินกลับมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผู้ที่คร้ามเกรงต่อ ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ทั้งหลายคร้ามเกรงต่อจ้าวเทพหิมะเหิน ผู้นี้เช่นเดียวกัน


 


“พี่หิมะเหิน เร็ว เชิญนั่งเถิด” จ้าวภูเขาค้างคาวพูดอย่างกระตือรือร้น เขาและตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลงตรงตำแหน่งประธานที่สูงที่สุดเคียงข้างกัน


 


เมื่อนั่งลง จ้าวภูเขาค้างคาวก็แค่นเสียงพูดว่า “นำตัวเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นั้นมา!”


 


“ขอรับ”


 


ไม่นานนัก


 


เถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นั้นก็ถูกนำตัวขึ้นมา บัดนี้ภายในร่างของเขามีตรวนแทงทะลุเข้าไป ทั้งร่างเดินตะกุกตะกัก สีหน้าซีดขาว เขาถูกคุมตัวมาจนถึงตำหนักใหญ่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นจ้าวภูเขาค้างคาวและตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงลิ่ว


 


“เป็นไปได้อย่างไรกัน” เถี่ยเฉิงหลิ่วสะดุ้ง


 


ภูเขาค้างคาวมิได้ส่งยอดฝีมือทั้งหลายไปลอบสังหารจ้าวเทพหิมะเหินหรอกหรือ มิใช่ว่าจ้าวเทพสิ้นใจไปสามคนแล้วหรอกหรือ ความเสียหายใหญ่โตถึงเพียงนี้ ผูกความแค้นเช่นนี้ จ้าวภูเขาค้างคาวกลับยังเชิญจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้มา ทั้งยังหน้าเคียงกันอยู่บนตำแหน่งสูงสุดอีกต่างหากอย่างนั้นหรือ


 


เขารู้ดีว่า  การสูญเสียจ้าวเทพสามคน สำหรับขุมอำนาจอย่าง ‘ภูเขาค้างคาว’ แล้ว ก็นับได้ว่าเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวงอย่างยิ่งแล้ว หลายวันมานี้ เขาถูกทรมานจนน่าอนาถเป็นอย่างมาก จึงเข้าใจดีว่าจ้าวภูเขาค้างคาวเคืองแค้นเพียงใด


 


“เดิมทีข้าคิดจะลงทัณฑ์เจ้าให้ตายเสียเลย” จ้าวภูเขาค้างคาวเหลือบมองลงไปเบื้องล่างแล้วพูดเสียงแหบแห้งว่า “แต่พี่หิมะเหินอยากพบเจ้าเสียหน่อย เจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้”


 


“พี่หิมะเหินหรือ” เถี่ยเฉิงหลิ่วฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ


 


จ้าวภูเขาค้างคาว! ยอดฝีมือตัวยงผู้องอาจที่ได้รับการยอมรับทั่วไปว่าอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซานอย่างเจ้า จ้าวเทพใต้บังคับบัญชาสิ้นใจไปสามคน แต่กลับเรียกพี่เรียกน้องกับ ‘มือสังหาร’ อย่างนั้นหรือ เจ้ายังมีหน้ามีตาอยู่หรือไม่


 


“เถี่ยเฉิงหลิ่ว ก่อนจะพบเรือใหญ่ลำนั้น ข้ากับเจ้าไม่เคยพบกันมาก่อนกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก


 


“ไม่เคยรู้จักมาก่อน” เถี่ยเฉิงหลิ่วพูดเสียงต่ำ


 


“ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เคยผูกความแค้นกับเจ้ากระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม


 


“ก่อนหน้านี้ไม่มีความแค้น” เถี่ยเฉิงหลิ่วพยักหน้า


 


“ก่อนหน้าวันนี้ พวกเราก็ยังไม่เคยพูดจากันสักประโยคเสียด้วยซ้ำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อ


 


“ใช่” เถี่ยเฉิงหลิ่วกล่าว


 


บนเรือใหญ่ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีเสน่ห์เพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมากด้วยวิธีการของวิถีเขตลวงโลกเทียม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่มีความรู้สึกดีต่อตงป๋อเสวี่ยอิง ผู้ที่รำคาญตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างแท้จริงมีเพียงเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้เท่านั้น ในเมื่ออีกฝ่ายรำคาญตนเอง ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ได้คิดจะไปสืบสาวราวเรื่อง และคร้านจะไปพูดให้มากความด้วย


 


“ก่อนหน้านี้เจ้าก็ไม่เคยพูดกับพี่หิมะเหินสักประโยคเดียว เจ้ายังคิดจะสังหารเขาให้ตายอย๋างนั้นหรือ”จ้าวภูเขาค้างคาวปริปากออกมาอย่างอดมิได้


 


“นั่นน่ะสิ ข้าเองก็อยากรู้มาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเถี่ยเฉิงหลิ่ว “เพราะเรื่องของศิษย์น้องหญิงเจ้าอย่างนั้นหรือ”


 


เมื่อเถี่ยเฉิงหลิ่วได้ยินคำว่า ‘ศิษย์น้องหญิง’ นั้น สีหน้าไม่น่ามองขึ้นมาทันใด สายตาก็กลายเป็นคลุ้มคลั่งขึ้นมา เขายิ้มเย็นชาพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิง “จ้าวเทพหิมะเหินนี่ช่างข่าวสารฉับไวจริงๆ”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


 


หลังค้นดูความทรงจำแล้วเขาจึงล่วงรู้ว่า ก่อนหน้านี้เมืองจวิ้นซานแห่งนี้ก็เคยมีผู้เหินทะยานมาก่อน ทั้งยังมาพร้อมกันสามคนอีกด้วย! บุรุษผู้หนึ่งพาฮูหยินมาสองคน ชายหนึ่งหญิงสองล้วนแต่เป็นผู้เหินทะยานทั้งสิ้น ผู้เหินทะยานชายคนนี้มีนามว่า ‘จ้าวเทพตงฟาง’ ฮูหยินทั้งสองล้วนมีรูปโฉมงดงามเช่นเดียวกัน หลังจากพวกเขามาถึงเมืองจวิ้นซานแล้ว ก็รอเป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน


 


ตอนนั้น ‘จ้าวเทพเซียวซวง’ ศิษย์น้องหญิงของเถี่ยเฉิงหลิ่ว เคยถูก ‘จ้าวเทพตงฟาง’ ช่วยชีวิตเอาไว้ ทั้งสองถึงขั้นมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจ้าวเทพตงฟางก็รับจ้าวเทพเซียวซวงเป็นภรรยาอย่างเปิดเผย


 


จ้าวเทพเซียวซวงเป็นจ้าวเทพช่วงต้น


 


ส่วน ‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’ ซึ่งเป็นศิษย์พี่นั้นเป็นแม่ทัพเทพระดับยอดซึ่งอ่อนแอกว่าอยู่ขุมหนึ่ง! เถี่ยเฉิงหลิ่วมีใจปฏิพัทธ์ต่อศิษย์น้องหญิงมาตลอด เสียดายก็แต่ว่าศิษย์น้องหญิงของเขาไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตามาก่อน


 


หลังจากจ้าวเทพตงฟางรับ ‘จ้าวเทพเซียวซวง’ เป็นภรรยาแล้ว เถี่ยเฉิงหลิ่วก็มีความแค้นแน่นเต็มอก และยังทุ่มเทสมบัติล้ำค่าจนสิ้นเพื่อซื้อหายาพิษ หมายจะสังหารจ้าวเทพตงฟาง! จ้าวเทพตงฟางได้รับบาดเจ็บด้วยเหตุนี้…ทว่าเพราะเห็นแก่หน้าของฮูหยินจ้าวเทพเซียวซวงจึงมิได้สังหารเถี่ยเฉิงหลิ่ว หากแต่ผนึกกำลังของเถี่ยเฉิงหลิ่วเอาไว้ แล้วแขวนไว้บนเสาของโรงสุราแห่งหนึ่งภายในเมืองจวิ้นซาน แขวนเอาไว้ถึงสามวันเต็มๆ ระหว่างนั้น ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปปล่อยเถี่ยเฉิงหลิ่วลงมาเลย


 


“นางเป็นศิษย์น้องหญิงของข้า!” เถี่ยเฉิงหลิ่วพูดพลางขบกรามกรอด “เป็นเพราะตอนนั้นท่านพ่อข้ารับนางเอาไว้ แล้วชี้แนะการบำเพ็ญให้นาง นางจึงมีทุกวันนี้ได้ เดิมทีนางควรจะเป็นของข้า จ้าวเทพตงฟางผู้นั้นหน้าด้านไร้ยางอาย มาแย่งภรรยาข้าไป”


 


“นางมิใช่ภรรยาเจ้าเสียหน่อย จ้าวเทพเซียวซวงไม่เคยเห็นเจ้าอยู่ในสายตาเลย” จ้าวภูเขาค้างคาวยิ้มหยัน


 


“หากมิใช่เพราะท่านพ่อข้า นางจะมีวันนี้ได้หรือ” เถี่ยเฉิงหลิ่วดวงตาแดงก่ำขึ้นมา “ท่านพ่อข้าสิ้นใจไปท่ามกลางความรกร้าง นางก็ลืมบุญคุณเสียอย่างนั้น”


 


“จ้าวเทพเซียวซวงมิได้ลืมบุญคุณเสียหน่อย ช่วยเหลือเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า จ้าวเทพตงฟางก็ทำดีกับเจ้ามาก ปล่อยให้เจ้าวางยาพิษได้สำเร็จ” จ้าวภูเขาค้างคาวยิ้มตาหยี “ท้ายที่สุด จ้าวเทพตงฟางก็ยังใจอ่อน เหลือทางรอดไว้ให้เจ้าอีก”


 


“ทางรอดอันใดกัน ไอ้คนหน้าด้านไร้ยางอายนี่…” เถี่ยเฉิงหลิ่วยิ่งคลุ้มคลั่งมากขึ้น


 


“เกี่ยวข้องกับข้าด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันโพล่งขึ้นมา


 


เถี่ยเฉิงหลิ่วจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง “เจ้ากับเขาเป็นผู้เหินทะยานเหมือนกัน!”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงจนคำพูด


 


เขาคิดไปคิดมา ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ แต่เหตุผลนี้ก็ออกจะเกินเหตุไปแล้ว


 


เถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้เกลียดชังผู้เหินทะยาน ‘จ้าวเทพตงฟาง’ จึงมาพาลโกรธตนอย่างนั้นหรือ


 


“ผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้า ถนัดด้านการล่อลวงผู้หญิงเป็นที่สุด ตอนนั้นบรรดาสาวใช้บนเรือใหญ่ไปจนถึงคุณหนูสาม แต่ละคนล้วนกระตือรือร้นเสียเหลือเกิน” เถี่ยเฉิงหลิ่วพูดพลางขบกรามกรอด


 


“เป็นคนเสียสติจริงๆ ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า เมื่อรู้สาเหตุที่อีกฝ่ายอยากให้ตนตายอย่างแน่ชัดแล้ว เขาก็ไม่สนใจจะฟังอีกต่อไป จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “จ้าวภูเขาค้างคาว มอบโทษตายให้เขาเสียเถิด”


 


“ดี” จ้าวภูเขาค้างคาวฟังแล้วก็รับคำทันที


 


เขายังคิดว่า จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้จะเหมือนกับผู้เหินทะยาน ‘จ้าวเทพตงฟาง’ ก่อนหน้านี้ที่เมตตาเหลือทางรอดชีวิตให้แก่เถี่ยเฉิงหลิ่วเสียอีก


 


“มอบโทษตายหรือ” เถี่ยเฉิงหลิ่วยิ่งคลุ้มคลั่งมากขึ้นไปอีก ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง


 


“ปัง”


 


จ้าวภูเขาค้างคาวเพียงแค่มองแวบหนึ่ง ความเหน็บหนาวอันไร้ที่สิ้นสุดก็รวมตัวกันขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วทำให้เถี่ยเฉิงหลิ่วจับตัวแข็งเป็นน้ำแข็งก้อนโตสูงจั้งกว่าๆ จากนั้นก้อนน้ำแข็งก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที  เถี่ยเฉิงหลิ่วจึงถูกทำให้เยือกแข็งและแตกทำลายไปเช่นนี้เอง


 


หากพูดถึงสถานะแล้ว


 


จ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็มีสถานะสูงส่ง แม้แต่พวกนายน้อยอวี้เฟิงเหลยก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจและรักษามารยาทเลย


 


แต่ ‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’ ผู้นี้เป็นเพียงคนระดับล่างทั่วไปเท่านั้น มิใช่คนสกุลอวี้เฟิงด้วย! ตอนที่ท่านพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ก็ยังดีหน่อย บัดนี้ท่านพ่อเขาสิ้นใจไปแล้ว ศิษย์น้องหญิง ‘จ้าวเทพเซียวซวง’ ก็ติดตามพวกจ้าวเทพตงฟางและจากไปพร้อมกันแล้ว จ้าวภูเขาค้างคาวก็ย่อมไม่มีอะไรให้เกรงกลัว


 


เรื่องของเถี่ยเฉิงหลิ่วทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอะไรไม่ออกเป็นอันมาก


 


“จ้าวเทพตงฟางผู้นั้นมิได้สังหารเขา แต่เขาก็ยังรนหาที่ตายเองอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า ส่วนภูเขาค้างคาว แม้เขาจะมิได้รู้สึกดีกับจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้ก็ตาม! แต่ข้อแรก เขาสังหารจ้าวเทพของภูเขาค้างคาวไปถึงสามคนด้วยกัน ส่วนตนเองก็มิได้เสียหายอันใดเลย ข้อสอง เขาไม่อยากเปิดเผยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นของตนออกมาเพราะจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้ นอกจากนี้จ้าวภูเขาค้างคาวก็กระตือรือร้นมากอย่างแท้จริง และยัง ‘ไม่เห็นแก่หน้า’ ใช้ได้อีกด้วย จึงได้พูดเสียงต่ำว่าจะระบายโทสะเพื่อชดใช้ ตนก็สามารถคลี่คลายเรื่องนี้ไปได้แล้ว


 


*******


 


ณ จวนหลังใหม่ของตงป๋อเสวี่ยอิงในเมืองจวิ้นซาน


 


เนื่องจากการสำแดงพลังออกมา ครั้งนี้นายน้อยอวี้เฟิงเหลยจึงแตกต่างออกไปแล้ว เขามอบจวนอันหรูหราแห่งหนึ่งซึ่งกินพื้นที่กว่าร้อยลี้ให้ ทั้งยังมอบบ่าวรับใช้และสาวใช้กลุ่มใหญ่ให้คอยปรนนิบัติด้วย สำหรับนายน้อยอวี้เฟิงเหลยแล้ว หากในภายหน้าเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ หากสามารถเกี่ยวโยงกับยอดฝีมือหน้าใหม่ผู้นี้ได้ ก็ต้องพยายามข้องเกี่ยวให้เต็มที่ ขอเพียงเป็นผู้ที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ ก็จะยิ่งได้รับผลประโยชน์มากขึ้น ถึงตอนนั้น เมื่อถึงคราวต้านทานศัตรูจากภายนอกก็จะยิ่งตั้งใจสกัดกั้นมากขึ้นไปอีก


 


วันคืนต่อจากนี้ ก็สงบขึ้นแล้ว


 


นอกจากจะมีจ้าวเทพมาเยี่ยมเยียนอย่างต่อเนื่อง และมี ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ศิษย์ผู้นี้มาเยี่ยมเยียนและขอให้ชี้แนะแล้ว ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็สงบจิตบำเพ็ญโดยตลอด เพื่อรับรู้กฎเกณฑ์วิถีอากาศของโลกใบนี้

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...

 

ตอนที่ 26 ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา

 

ณ ส่วนยอดของหอสูงราวร้อยจ้างแห่งหนึ่ง ภายในจวนของตงป๋อเสวี่ยอิง


เขานั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพัง ตรงหน้ามีโต๊ะยาวอยู่ตัวหนึ่งซึ่งมีสุราชั้นเลิศที่ตนชมชอบวางอยู่ไหหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตามองข้ามราวระเบียงตรงหน้าไปยังเมืองจวิ้นซานอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้


“จะสำแดงเคล็ดวิชาทะลุทะลวงทั้งหลายในโลกใบนี้ มีเพียงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาเท่านั้นที่มีหวัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพูด


เมื่อมีคัมภีร์กลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศเล่มนั้นคอยชี้นำ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมเข้าใจกฎเกณฑ์วิถีอากาศของโลกใบนี้ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านการรับรู้สองพันกว่าปี กระบวนท่าทางด้านวิถีอากาศมากมายของเขาก็เริ่มไปถึงระดับ ‘จ้าวเทพขั้นสุดยอด’ แล้ว! แม้แต่การฝึกกายคละถิ่นก็บรรลุถึงจ้าวเทพขั้นสุดยอดอีกครั้ง


แต่กลับมิได้เข้าถึงวิธีการทะลุอากาศมาโดยตลอด!


“โลกใบนี้เหิมเกริมเกินไปแล้ว กดดันทั้งหมด อากาศก็เหมือนกับแข็งค้างไปอย่างไรอย่างนั้น มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า หากกล่าวว่าโลกกำเนิดก่อนหน้านี้เหมือนกับ ‘สายน้ำ’ ท่ามกลางระลอกคลื่นน้ำ สามารถทะลุผ่านและเคลื่อนที่ในพริบตาได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้น อากาศจองโลกใบนี้ กลับเหมือนถูกกดดันจนแข็งค้างไปอย่างสิ้นเชิง


เคลื่อนที่ในพริบตาหรือ ฝันไปเถอะ!


“ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาก็ไม่ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมสามารถชมดูแก่นห้วงอากาศได้ เมื่อเขาจะสอดส่องดูอณูทรงกลมหมอกดำลูกแล้วลูกเล่าผ่านรูทรงกลมหมอกดำนั้น กลับพบว่าปลายอีกด้านหนึ่งของรูก็คือสายฟ้าสีทองอันน่าหวาดหวั่น


สายฟ้าสีทองอันสับสนที่ปะทุออกมาทำลายทุกสิ่ง สติรับรู้ของเขาลองแทรกซึมผ่านรูทรงกลมหมอกดำไป เพิ่งจะพบสายฟ้าสีทองของโลกภายนอก  ก็ถูกทำลายเสียแล้ว


น่ากลัวเกินไปแล้ว


แม้แต่การจะเฝ้าดูการส่งถ่ายทลายโลกาก็ยังทำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเปิด ‘ทางเชื่อมส่งถ่ายทลายโลกา’ สายหนึ่งขึ้นมาเลย


“การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศหรือ อากาศแข็งค้างเช่นนี้ มิอาจเคลื่อนย้ายได้เลย”


“ห้วงอากาศบิดหมุนระดับบริเวณเมฆาแดงก็ล้วนไร้ประโยชน์ไปสิ้น”


ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ


เคลื่อนที่ในพริบตา การเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ห้วงอากาศบิดหมุนและศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา…ในโลกใบนี้ ไม่มีหวังเลยแม้แต่น้อย


แม้โลกเทพแห่งนี้จะมีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ แต่ก็มีเพียงสิ่งมีชีวิตในตำนานจำนวนน้อยจนยกนิ้วนับได้เท่านั้นที่สามารถสำแดงการเคลื่อนที่ผ่านอากาศออกมาได้!


“สิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมา น่าจะเป็นวิธีการจำพวก ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ


ตามหลักแล้ว ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาสามารถทำได้


เนื่องจากในฐานะเคล็ดวิชาทะลุทะลวงระดับยอดสุดวิชาหนึ่ง มันถูกคิดค้นขึ้นมา ก็สามารถเปิดทางเชื่อมเล็กจิ๋วอย่างยิ่งจากโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง ทะลุผ่านไปยังมิติคละถิ่นไปถึงโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งได้!


“แม้มิติจะกดดันโลกที่มีชื่อว่า ‘โลกเทพ’ ใบนี้ได้ร้ายกาจอย่างยิ่ง แต่เมื่อเทียบกับการกดดันของมิติคละถิ่นแล้ว ก็นับได้ว่าเพียงพอจะเทียบกันได้เท่านั้น ข้าสามารถทะลุผ่านไปในมิติคละถิ่นได้ ที่นี่ก็ทำได้เช่นเดียวกัน!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ปัญหาเดียวก็คือ…เดิมทีความเร้นลับของกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ใช้นั้น มีมากมายที่ถูกโลกใบนี้ต้านทาน”


“ต้องเปลี่ยนแปลง”


“ใช้ความเร้นลับวิถีอากาศของโลกใบนี้เป็นหลัก แล้วคิดค้นศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว


เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย…


โลกกำเนิดอื่นๆ นั้น กฎเกณฑ์วิถีอากาศครบสมบูรณ์! แต่โลกใบนี้ ทั้งบ้าคลั่งและวุ่นวาย ตัวกฎเกณฑ์เองก็บกพร่อง! ผู้เหินทะยานของพวกเขาเชื่อว่า ‘มหาวิถีมีข้อบกพร่อง’ เป็นฟ้าดินที่สร้างกฎขึ้นมา


“ใช้วิถีที่บกพร่อง…”


“คิดค้นศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาขึ้นมา ช่างท้าทายดีจริงๆ” จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็รวบรวมสมาธิผลักดัน เพระาถึงอย่างไรตอนที่เขาเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองก็เข้าถึงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาแล้ว หลังจากบรรลุถึงระดับขั้นสุดยอดก็ยังปรับปรุงให้ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาสมบูรณ์ขึ้น และสามารถพาคนทะลุผ่านมิติคละถิ่นได้ บัดนี้เมื่ออยู่ในโลกใบนี้ เขาจึงมั่นใจว่าจะสามารถคิดค้นศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาอย่างหยาบๆ ขึ้นมาได้


******


ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังผลักดันศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกานั้น ภายในสกุลอวี้เฟิง กลับมีข่าวร้ายข่าวหนึ่งแพร่มา


ภายในโถงตำหนักอันหรูหรา


อวี้เฟิงจวิ้นซานนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานอันสูงส่ง อวี้เฟิงเหลย พ่อบ้านถงและผู้อาวุโสสกุลอวี้เฟิงทั้งสามคนล้วนอยู่ที่นี่พร้อมหน้ากัน พวกเขาก็คือบุคคลระดับสูงที่สำคัญที่สุดของสกุลอวี้เฟิง


“จิ่นเอ๋อร์ส่งข่าวมาจากเมืองไม้บูรพา” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองลงไปเบื้องล่างพลางเอ่ยขึ้น


“น้องรองว่าอย่างไร” อวี้เฟิงเหลยถาม คนอื่นๆ ต่างก็หัวใจรัดแน่นขึ้นมา โลกเทพกว้างใหญ่ไพศาล เรือใหญ่เหินทะยานเร่งไปสองพันกว่าปีแล้ว กองกำลังเทวทูตเมืองจวิ้นซานที่มีอวี้เฟิงจิ่นเป็นผู้นำไปถึงเมืองไม้บูรพาแล้ว เสียเวลาภายในเมืองไม้บูรพาไปกว่าร้อยปี เพื่อมอบของกำนัลเชื่อมสัมพันธ์กับฝ่ายต่างๆ ถึงขั้นยอมให้อวี้เฟิงชิงอินสมรสกับคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา แต่ข่าวที่ส่งมาก่อนหน้านี้ กลับไม่สำเร็จมาโดยตลอด


“ล้มเหลวแล้ว” เสียงของอวี้เฟิงจวิ้นซานเรียบนิ่ง แต่ผู้ใดก็สัมผัสได้ว่า ภายใต้ความสงบนั้นข่มความเคืองแค้นและไม่ยอมจำนนเอาไว้


“ล้มเหลวแล้วรึ”


“นี่…”


แต่ละคนในที่นั้นรู้สึกหัวใจหนักอึ้งไปหมด


แม้จะคาดคะเนไว้ก่อนแล้ว เพราะถึงอย่างไรข่าวที่แพร่สะพัดกลับมาหลายปีก่อนหน้านี้ล้วนแต่ไม่ดีทั้งสิ้น แต่บัดนี้รู้ผลสรุปสุดท้ายแล้ว ก็ยังรู้สึกตระหนกอยู่ดี


“พวกเราสกุลอวี้เฟิงมอบสมบัติล้ำค่าให้ไปตั้งมากมาย เสียไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือนี่” ชายชราผมแดงคนหนึ่งของสกุลอวี้เฟิงร้องคำรามอย่างอดมิได้


“ทำไมรึ เจ้าคิดว่าพวกคนโลภในเมืองไม้บูรพาจะยอมคืนมาอย่างนั้นหรือ เฮอะๆ เมืองไม้บูรพา” นัยน์ตาของอวี้เฟิงจวิ้นซานเต็มไปด้วยแววหนาวเหน็บ มอบสมบัติล้ำค่าผูกสัมพันธ์กับบุคคลผู้ทรงอำนาจฝ่ายต่างๆ ของเมืองไม้บูรพาให้ช่วยผลักดันเรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงไม่สำเร็จ สมบัติล้ำค่าก็ย่อมไม่มีแล้ว


“นายท่าน” พ่อบ้านถงกลับพูดพลางขมวดคิ้ว “หรือว่าคุณชายรองจะทดลองต่อไปมิได้แล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ มั่นใจว่าไม่มีหวังแน่แแล้วหรือ”


“จิ่นเอ๋อร์ส่งข่าวมา บอกว่าเจ้าโจรเฒ่ามารจิตนั่นมิได้สวามิภักดิ์ต่อจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วอีกแล้ว” อวี้เฟิงจวิ้นซานกล่าว “เมืองไม้บูรพาจะไล่วงเกินจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วเพียงเพราะเมืองจวิ้นซานของเราได้อย่างไรกัน”


อวี้เฟิงเหลย พ่อบ้านถงและบรรพบุรุษทั้งสามต่างพากันชะงักค้างไป


จ้าวหุบเขาฝูหลิ่วหรือ


หุบเขาฝูหลิ่ว…


ในโลกเทพก็มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดมากมาย อย่าง ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ ก็เป็นคนหนึ่งที่จัดอยู่ในสามอันดับแรก ร่างที่แท้จริงของเขาคือต้นไม้โบราณอันแปลกประหลาดต้นหนึ่งซึ่งถูกขนานนามว่า ‘ต้นฝูหลิ่ว’ ร่างกายของเขาตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น ต่อให้มีจักรพรรดิเทพกลุ่มหนึ่งมาล้อมโจมตีก็แค่จักจี้เท่านั้น ความแข็งแกร่งของเขา ต่อให้เป็นสามตระกูลราชันย์ก็ยังต้องเคาระโดยมิกล้าละเลย


เกรงว่าคงจะมีเพียงบรรพเทวะคละถิ่นสามท่าในตำนานซึ่งเป็นผู้รังสรรค์โลกใบนี้ขึ้นมาเท่านั้น ที่จะสามารถทำลายจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วได้กระมัง


สิ่งมีชีวิตระดับอย่าง ‘จ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว’ มีสถานะสูงส่งยิ่งนัก


อย่างเจ้าเมืองจวิ้นซานอย่างอวี้เฟิงจวิ้นซานคิดจะสวามิภักดิ์ เกรงว่าจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วก็คงดูแคลน!


เนื่องจากพลังของประมุขสมาคมจิตมารก้าวหน้าเป็นอันมาก จัดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของ ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ ที่ตระกูลจิตฟ้ากำหนดขึ้น นับได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อทั้งโลกเทพแล้ว เขาเป็นฝ่ายเข้าไปสวามิภักดิ์เอง จึงถูกจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วรับเข้าไว้ในสำนัก เนื่องจากร่างกายของจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วเป็นต้นไม้ จึงแทบจะไม่ค่อยปรากฏกายไปเคลื่อนไหวภายนอกมากสักเท่าใดนัก แต่เขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดอยู่ใน ‘สิบสองอันดับแรกของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’


สามสิบอันดับแรกของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ แต่ละคนล้วนมีพลังที่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อด้วยกันทั้งนั้น


“ก็แค่ช่วยเหลือพวกเรากดดันประมุขสมาคมจิตมารผู้นั้นสักแรงหนึ่ง เรื่องราวเล็กน้อยเท่านี้จะสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตระดับตำนานอย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วแตกตื่นได้หรือ” ผู้อาวุโสประจำตระกูลผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้


“หากเย้ายวนใจพอ เจ้าเมืองไม้บูรพาอาจจะยินยอมก็เป็นได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานพูดเสียงเรียบ “แต่ลำพังแค่สมบัติล้ำค่าธรรมดาทั่วไป เพียงแค่ยกธิดาของข้าให้แต่งกับคุณชายเก้า…ผลประโยชน์เล็กน้อยเท่านี้ คุณชายเก้าผู้นั้นก็ไม่ค่อยใส่ใจสักเท่าใดนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าเมืองไม้บูรพาเลย”


คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาเป็นโจรเด็ดบุปผา


หญิงสาวก็แล้วไปเถิด…


ตอนนั้นเนื่องจากคุณชายเก้าท่องหาประสบการณมาถึงเมืองจวิ้นซาน แม้จะมองอวี้เฟิงชิงอินตาเป็นมัน แต่เนื่องจากไม่อยากยั่วโทสะอวี้เฟิงจวิ้นซาน และไม่อยากบีบบังคับ จึงได้จากไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่า หากคุณชายเก้าได้ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ มาก็คงดีใจ แต่หากไม่ได้ ก็ไม่แยแส


“โจรเฒ่าจิตมารสวามิภักดิ์ต่อจ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว ผู้ใดจะช่วยพวกเราได้เล่า” พ่อบ้านถงพูดเสียงต่ำ


“ไม่อย่างนั้นก็หนีกันเถิด! หนีไปจากเมืองจวิ้นซาน” ผู้อาวุโสประจำตระกูลผู้หนึ่งกล่าว


“หนีรึ” อวี้เฟิงเหลยยิ้มเย็น “หากเป็นคนตัวเล็กๆ ที่อ่อนแอของตระกูลอวี้เฟิง จะหนีไปยังตัวเมืองอื่น ก็อาจจะพออยู่ได้อย่างอึดอัดเล็กน้อย แต่ระดับอย่างข้าแล้ว เกรงว่าโจรเฒ่าจิตมารคจะไม่ปล่อยไปสักคน ต่อให้สะกดรอย ก็คงจะไล่สังหารไปทีละคนๆ”


……


วันนั้น


อวี้เฟิงชิงอินที่อยู่ในสวนดอกไม้ก็ได้ทราบข่าว


“น้องสาม ทางเมืองไม้บูรพานั่นไม่มีหวังแล้ว!” อวี้เฟิงเหลยมองน้องสาวของตนพลางเอ่ยขึ้น


อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้ง “พี่รองมิได้ไปถึงเมืองไม้บูรพาแล้วคิดหาวิธีมาตลอดหรอกหรือ” แม้จะไม่ยินดีเป็นอย่างมาก แต่เพื่อตระกูล อวี้เฟิงชิงอินก็ยอมเสียสละ เพราะถึงอย่างไรหากไร้ผู้แกร่งกล้าปกป้อง เมื่อถึงเวลา ตระกูลอวี้เฟิงก็จะสลายไป! ทายาทสายตรงอย่างนางก็มิอาจดิ้นหลุดไปได้เช่นเดียวกัน

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...

 

ตอนที่ 27 สำเร็จแล้ว!

 

“ประมุขสมาคมจิตมารสวามิภักดิ์ต่อสำนักของจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วแล้ว ผู้ใดจะยอมช่วยเมืองจวิ้นซานเล็กๆ ของข้าหยุดยั้งเรื่องนี้อีกเล่า” อวี้เฟิงเหลยยิ้มเยาะ นัยน์ตาฉายแววขมขื่น เขาหยิ่งทะนงเพียงใด ตอนนั้นก็เคยบุกฝ่าความรกร้างเพียงลำพังเพื่อเคี่ยวกรำตนเอง บัดนี้พลังของเขาพอจะพูดได้ว่าเป็นอันดับสองของเมืองจวิ้นซาน เป็นรองเพียงท่านพ่อของเขาเท่านั้น! สิ่งที่น้องสาวเสียสละ ได้ช่วยกอบกู้ทั้งสกุลอวี้เฟิงเอาไว้ สำหรับเขาแล้ว เดิมทีเรื่องพรรค์นี้ก็คือการเหยียดหยามอยู่แล้ว! แต่เพื่อคนสกุลอวี้เฟิงจำนวนนับไม่ถ้วน เขาก็ทำได้เพียงเห็นด้วยกับวิธีนี้เท่านั้น แต่บัดนี้เมื่อมาส่งถึงหน้าประตูเมืองไม้บูรพาก็คร้านจะรับไว้อีก


เหยียดหยาม!


แต่จะทำเช่นไรได้อีกเล่า


“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี ยังมีวิธีใดอีก” อวี้เฟิงชิงอิงพูดอย่างร้อนรน


“อย่างน้อยน้องสามก็ไม่จำเป็นต้องไปยังเมืองไม้บูรพาอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ข้าและท่านพ่อก็จะพยายามคิดหาวิธี โจรเฒ่าจิตมารผู้นั้นเพิ่งจะบรรลุได้ไม่นานสักเท่าไหร่นัก คงจะมีธุระมากมาย เกรงว่านานแสนนานหลังจากนี้จึงจะมาโจมตีเมืองจวิ้นซานของพวกเรา ขอเพียงมีเวลานานพอ ทุกสิ่งก็ล้วนเปลี่ยนแปลงได้ ต่อให้เป็นผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดก็แค่อาศัยความได้เปรียบทางด้านพื้นที่ของเมืองจวิ้นซานมาต้านทานโจรเฒ่าจิตมารผู้นั้นเท่านั้น! เฮอะๆ อย่างมากก็แค่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่งสักยกหนึ่ง ต่อให้สู้จนตัวตาย ก็ต้องสังหารยอดฝีมือใตบังคับบัญชาทั้งหลายของโจรเฒ่าจิตมารให้จงได้ ทำให้โจรเฒ่าจิตมารต้องชดใช้มากพอตัว” อวี้เฟิงเหลยแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา


“พี่ใหญ่ คิดหาวิธีอื่นเถอะ” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว


“ฮ่าฮ่า” อวี้เฟิงเหลยลูบศีรษะของน้องสาวเบาๆพลางพูดยิ้มๆ ว่า “อย่ากังวลใจไปเลย เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของข้ากับท่านพ่อเถิด”


อวี้เฟิงชิงอินรู้สึกไม่สบายใจนักแต่นางก็ไม่มีวิธีอื่นได้อีก  แล้วอวี้เฟิงเหลยก็จากไป


อวี้เฟิงชิงอินมองเงาหลังของพี่ชายจากไป ในใจก็เต็มไปด้วยตระหนก แม้จะมิต้องแต่งให้กับคุณชายเก้า แต่เมื่อนึกถึงว่าทั้งตระกูลจะต้องเผชิญกับหายนะอันจวนตัว ถึงตอนนั้นท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง ไปจนถึงพี่สาวคนโตที่แต่งงานออกไปไกลลิบ รวมทั้งคนคุ้นเคยมากมายในตระกูลจะต้องตายตกไป หัวใจของนางก็รู้สึกเหมือนโดนมีดกรีดอย่างไรอย่างนั้น


นางยินดีเสียสละเพื่อกอบกู้วงศ์ตระกูลเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่เมืองไม้บูรพาไม่ต้องการ!


“ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี” อวี้เฟิงชิงอินตื่นตระหนกและรู้สึกจิตใจไม่สงบไปหมด นางมองเห็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เข้าประชิดขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตา แต่กลับไม่มีวิธีอันใดเลย


******


แม้บุคคลระดับสูงของสกุลอวี้เฟิงจะไม่สบายใจ แต่กลับไม่ได้เผยแพร่ข่าวออกไป ทั้งเมืองจวิ้นซานยังคงสงบสุขเป็นอย่างมาก


ตอนนั้นประมุขสมาคมจิตมารและอวี้เฟิงจวิ้นซาน ก็แค่มีความแค้นส่วนตัวกันเท่านั้น ผู้ที่ล่วงรู้มีน้อยนิดยิ่งนัก


“ฟิ้ว!”


กลางฟากฟ้าเหนือลำธารใหญ่และทุ่งร้างที่ห่างไกลจากเมืองจวิ้นซานลิบลับแห่งหนึ่ง รอยแยกสีดำสายหนึ่งกับกะพริบวาบขึ้นมา เงาร่างอาภรณ์สีขาวสายหนึ่งเดินออกมาจากในนั้นคือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง


“ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดก็สำเร็จเสียที!” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางฟากฟ้าพลางมองดูความรกร้างอันกว้างใหญ่นี้ ความยินดีอดระบายไปทั่วหน้ามิได้ แม้ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาที่สร้างขึ้นตามโลกใบนี้จะหยาบอยู่บ้าง แต่การทะลุไปภายในโลกเทพ กลับสามารถทำได้สบายๆ”


“เมื่อมีเคล็ดวิชานี้แล้ว แม้โลกเทพจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ในที่สุดทั้งหมดก็ล้วนนับว่าราบเรียบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดียิ่งนัก


ก่อนหน้านี้การเร่งเดินทางไปในโลกใบนี้ยากเย็นยิ่งนัก ทำได้เพียงค่อยๆ บินไปอย่างเชื่องช้าเท่านั้น!


จากเมืองแห่งหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองอีกแห่ง ต่อให้เป็นตัวเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด ก็เกรงว่าคงจะต้องบินไปหลายสิบปี ที่อยู่ไกลจริงๆ นั้น บินไปเป็นล้านเป็นสิบล้านปีก็เป็นเรื่องปกตินัก


‘เมืองไม้บูรพา’ และ ‘เมืองจวิ้นซาน’ ก็นับว่าค่อนข้างใกล้ มิเช่นนั้นแล้ว ตอนนั้นคุณชายเก้าคงจะไปไม่ถึงเมืองจวิ้นซาน


เนื่องจากการเร่งเดินทางนั้นยุ่งยากเกินไปแล้ว


จึงทำให้สามตระกูลราชันย์และผู้แกร่งกล้าที่น่าหวาดหวั่นบางคน แม้พลังจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่กลับมิอาจก่อให้เกิดประเทศที่มีการปกครองเข้มงวดขึ้นมาได้


“โลกใบนี้ เดิมทีชาวโลกเทพล้วนแต่อาศัยสายเลือดกันทั้งนั้น มีหลายคนที่สายเลือดสามารถส่งถ่ายทลายโลกาได้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า “ส่วนผู้เหินทะยาน เดิมทีจำนวนก็น้อยอยู่แล้ว ทางด้านวิถีอากาศก็ยิ่งหาได้ยาก! มหาวิถีบกพร่อง การใช้วิถีอากาศที่บกพร่องสร้างศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาขึ้นมามิใช่เรื่องง่าย ข้ามีประสบการณ์เดิมอยู่ มีทิศทางที่ชัดเจน จึงทำได้สำเร็จ”


เรื่องนี้ทำให้ผู้ที่สามารถเคลื่อนที่ผ่านอากาศในโลกเทพได้นั้นมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้


แต่บัดนี้ ผู้ที่สามารถทะลุผ่านอากาศในโลกเทพได้ ก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง!


อย่างผู้ทรงอำนาจที่ไร้เทียมทานซึ่งมีชื่อเสียงเกรียงไกรบางคนอย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว ก็ล้วนมิอาจทะลุผ่านจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง ทำได้เพียงค่อยๆ บินไปอย่างเชื่องช้าเท่านั้น!


“ครั้งนี้สามารถทำอะไรต่างๆ ได้มากขึ้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา


……


ณ เมืองจวิ้นซาน


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ บนโต๊ะยาวตรงหน้ามีม้วนสาส์นหลายม้วนวางอยู่


“วิถีอากาศ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบม้วนสาส์นม้วนหนึ่งขึ้นมาแล้วมองดูอย่างละเอียด


ม้วนสาส์นเหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้อมูลที่เขาเคยซื้อจาก ‘หอจิตฟ้า’ หอจิตฟ้านั้นสร้างขึ้นโดย ‘ตระกูลจิตฟ้า’ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลราชันย์ แทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งโลกเทพ ข่าวสารก็ฉับไวที่สุด


“เส้นทางวิญญาณของโลกใบนี้เหมือนจะธรรมดาสามัญ รู้สึกว่าคงจะไม่มีผู้ใดสูงกว่าข้าแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า “แม้โลกใบนี้จะมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดมากมายเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่มีผู้ที่เชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณเลยแม้แต่คนเดียว”


สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่นี่มีจำนวนมากกว่าหุบเขาเขี้ยวหักเสียอีก


บวกกับที่นี่มีผู้แกร่งกล้ามากยิ่งกว่า ภายใต้การห้ำหั่นกัน ก็มีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมากมาย


ระดับขั้นอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว การค้นคว้าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็มีประโยชน์อย่างมหาศาล! เนื่องจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านั้นมิได้บำเพ็ญจากตอนที่ยังอ่อนแอแล้วก้าวขึ้นมาทีละขั้นๆ หากแต่เป็นเช่นนี้โดยกำเนิด ร่างกายของพวกมันจำนวนมากล้วนปรากฏขึ้นจากกฎเกณฑ์! การค้นคว้าร่างและอวัยวะของพวกมันก็จะทำให้ล่วงรู้ได้ อย่าง ‘สิ่งมีชีวิตพันเนตร’ ของหุบเขาเขี้ยวหักที่สิ้นใจไปแล้วนั้น ก็ได้ชี้นำเส้นทางวิถีเขตลวงโลกเทียม


แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่เชี่ยวชาญทางด้านวิญญาณก็คงจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อย่างน้อยในโลกใบนี้ก็หาไม่พบ!


“วิถีเขตลวงโลกเทียมคงทำได้เพียงค้นคว้าด้วยตนเองเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ


โชคดีก็คือ วิถีเขตลวงโลกเทียมอยู่ในโลกใบนี้ มิได้ถูกต่อต้านเลยแม้แต่น้อย สามารถสำแดงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ


“อาจารย์ อาจารย์” น้ำเสียงเสนาะหูดังขึ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ยิ้มออกมา เขาหันกลับไปมองทันที


ในโลกใบนี้ ผู้ที่เขาสนิทสนมด้วยก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ศิษย์คนนี้ นับได้ว่าเป็นคนที่เขาใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่ง เขาโบกมือคราหนึ่ง บนโต๊ะยาวก็มีจอกสุราเปล่าเพิ่มขึ้นมาอีกใบหนึ่ง


“คุณหนูสาม” สาวใช้สองนางที่อยู่ไกลออกไปต่างก็ทำความเคารพ


อวี้เฟิงชิงอินกลับสาวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ละก้าวกะพริบวาบแล้วมาถึงตรงข้ามตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างรวดเร็วก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงไป นางคว้าจอกสุรามารินสุราให้ตนเองโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “อาจารย์ ข้ามาดื่มสุราเป็นเพื่อนท่านแล้ว”


“อะไรที่เรียกว่าดื่มสุราเป็นเพื่อนข้า เจ้าชอบดื่มเองหรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ก่อนจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะชอบดื่มสุราถึงเพียงนี้”


“ใครใช้ให้อาจารย์มีสุราชั้นดีตั้งมากมายกันเล่า ที่เมืองจวิ้นซานของข้าไม่มีเลย” อวี้เฟิงชิงอินพูดยิ้มๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม ที่เขามีสุรามากมายจริงๆ


มีจำนวนมากที่หยิบติดมือมาจากตอนที่ยังอยู่ในดินแดนจิตโลกา สุรานี้ นอกจากจำนวนน้อยนิดอย่างยิ่งที่พิเศษแล้ว ก็ล้วนอยู่ในโลกใบนี้อย่างมั่นคงโดยไม่เผยพิรุธออกมา เพราะถึงอย่างไรโลกเทพก็กว้างใหญ่ไพศาล ผู้ใดจะไปรู้เล่าว่าที่ใดมีสุราใหม่เกิดขึ้นมาอีกแล้ว


“อึ้กๆ” อวี้เฟิงชิงอินดื่มอย่างต่อเนื่องกันหลายจอกก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เอ๊ะ ท่านอาจารย์ ท่านกำลังดูอะไรอยู่น่ะ”


“พวกรายงานที่ซื้อมาจากหอจิตฟ้าน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ


“ข้าขอดูหน่อยจะได้หรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินพูดอย่างอยากรู้อยากเห็น


“ได้สิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


จากนั้นอวี้เฟิงชิงอินก็หยิบม้วนสาส์นม้วนหนึ่งขึ้นมาพลิกดู ก่อนจะพูดพลางพยักหน้าว่า “รายงานเกี่ยวกับคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญของผู้เหินทะยานจำพวกวิถีอากาศหรือ ทั้งยังเป็นระดับจักรพรรดิเทพอีกด้วย อาจารย์ แม้ผู้เหินทะยานจะร้ายกาจ โดยทั่วไปสามารถเหินทะยานไปถึงโลกเทพได้ ผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นจ้าวเทพได้ก็มีมากมาย แต่กลับมีผู้ที่สำเร็จเป็นจักรพรรดิเทพน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ขีดจำกัดระหว่างจ้าวเทพและจักรพรรดิเทพนั้นบรรลุได้ยากยิ่งนัก!”


“ผู้เหินทะยานขั้นจักรพรรดิเทพนั้นมีน้อยมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพทางด้านวิถีอากาศก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่”


ในโลกเทพ ผู้เหินทะยานขั้นจักรพรรดิเทพทางด้านวิถีอากาศ ที่มีบันทึกเอาไว้มีทั้งหมดแปดคนเท่านั้น!


ทำให้คัมภีร์สำหรับบำเพ็ญของผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ มีน้อยมาก


“อาจารย์ ท่านอยากจะหาคัมภีร์ของผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพทางด้านวิถีอากาศ ทั้งโลกเทพก็มีอยู่เพียงแปดชนิดเท่านั้น บางเล่มยังไม่เผยแพร่สู่ภายนอกอีกด้วย! ที่เผยแพร่ออกมานั้นมีน้อยกว่าเสียอีก” อวี้เฟิงชิงอินอ่านสิ่งที่เขียนเอาไว้ในรายงานแล้วก็อดร่ำร้องมิได้


“น้อยมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย


ทว่าก็ยังคงมีอยู่


ผู้เหินทะยานก็มีการแลกเปลี่ยนกับขุมอำนาจอื่นเช่นเดียวกัน อย่างการเขียนต้นฉบับขึ้นมาสักเล่มเพื่อทำการแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่ากับขุมอำนาจอื่นๆ! ผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งสามารถเขียนต้นฉบับขึ้นมาหลายฉบับได้


คัมภีร์ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพทางด้าน‘วิถีอากาศ’มีทั้งหมดแปดชนิดด้วยกัน มีห้าชนิดที่เผยแพร่ออกมาภายนอก มีต้นฉบับหลายเล่ม แต่โดยทั่วไปแล้วล้วนถูกขุมอำนาจใหญ่เก็บสะสมเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรก็ให้ความสำคัญกับคัมภีร์ ‘ระดับจักรพรรดิเทพ’ เป็นอย่างมาก


“กระจัดกระจายอยู่ในโลกเทพ จะตามหาก็ยากยิ่งนัก” อวี้เฟิงชิงอินปิดม้วนสาส์นลง ไม่ดูอีกต่อไป


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มมองต่อไป เขากำลังเลือกเป้าหมาย


สำหรับเขาแล้ว โลกเทพกว้างใหญ่ยิ่งนัก


แต่สำหรับเขาแล้ว หลังจากสามารถส่งถ่ายมหาทลายโลกาได้แล้ว กลับสามารถไปถึงเมืองใหญ่ในโลกเทพไม่ว่าแห่งใดก็ตามได้อย่างรวดเร็ว


“อึ้กๆ” อวี้เฟิงชิงอินกำลังดื่มสุราอยู่อีกแล้ว “ท่านอาจารย์ มาๆๆ ดื่มสุราด้วยกันเถอะ”


“ดีเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ เขากลับไม่รู้ว่า ก่อนหน้าที่จะมีภัยคุกคามมาถึงสมาคมจิตมาร อวี้เฟิงชิงอินดื่มสุราน้อยมาก

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 28 การล่ากลางความรกร้าง

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูม้วนสาส์นแล้วก็ลอบทอดถอนใจ


โลกใบนี้มีผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ แม้กฎเกณฑ์จะมีข้อบกพร่อง แต่จำนวนผู้แกร่งกล้ายังมากกว่าหุบเขาเขี้ยวหักแห่งดินแดนจิตโลกาเสียอีก! ทั้งยังมีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามคนที่มีชีวิตอยู่อีกด้วย


ผู้เหินทะยานขั้นจักรพรรดิเทพทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ ทั้งแปดคนนี้ ตามรายงาน มีจักรพรรดิเทพช่วงต้น จักรพรรดิเทพช่วงกลางสองคน และมีจักรพรรดิเทพช่วงท้าย! ผู้ที่สามารถสำแดงการส่งถ่ายทลายโลกาทะลุทะลวงได้มีเพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญของสองคนนั้นไม่เคยเล็ดรอดออกมาเลย! เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มีเคล็ดวิชาหลบหนีรักษาชีวิตพรรค์นี้ ก็ไม่อยากจะเผยแพร่เคล็ดวิชาของตนออกมาเลย


“ห้าชนิดที่เผยแพร่อยู่ในโลกภายนอกนั้น มีสามชนิดที่เป็นระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น อีกสองชนิดเป็นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด


“คัมภีร์เหล่านี้แทบจะถูกขุมอำนาจใหญ่เก็บสะสมเอาไว้หมดแล้ว”


“คิดอยากได้คัมภีร์เหล่านี้ โดยทั่วไปแล้วล้วนต้องเข้าร่วมกับขุมอำนาจใหญ่แล้วอุทิศตนด้วยความภักดี หรือถึงขั้นต้องทำคุณประโยชน์มหาศาล”


ในโลกใบนี้


ในบรรดาคัมภีร์สำหรับบำเพ็ญ ‘ระดับจ้าวเทพ’ ยังนับว่าได้มาค่อนข้างง่าย เพราะถึงอย่างไรจ้าวเทพก็มีมากมายยิ่งนัก นอกจากนี้อาศัยคัมภีร์ ต่อให้บำเพ็ญจนมีจ้าวเทพเกิดขึ้นมาจริงๆ สำหรับขุมอำนาจใหญ่แล้วก็ไม่มีภัยคุกคามแต่อย่างใด ส่วน ‘คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพ’ นั้นได้มายากเสียยิ่งกว่ายาก อย่างสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานก็เก็บสะสมคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพเอาไว้ถึงสามชนิดเลยทีเดียว และวางเอาไว้ในชั้นสูงสุดของหอสะสมคัมภีร์ทั้งสิ้น!


จะต้อง ‘จงรักภักดีอย่างสิ้นเชิง’ เท่านั้น! จึงจะมีหวังได้คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพมา


“คัมภีร์ผู้เหินทะยานทั้งห้าชนิดนี้ ยังได้มายากกว่าคัมภีร์ของชาวโลกเทพเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า วัตถุหาได้ยากจึงจะล้ำค่า! ยอดฝีมือเก้าจุดเก้าส่วนของโลกเทพล้วนแต่เป็นชาวโลกเทพซึ่งบำเพ็ญสายเลือด ดังนั้น ‘คัมภีร์จักรพรรดิเทพ’ ทางด้านการฝึกสายเลือดจึงมีมากมาย แต่คัมภีร์ของผู้เหินทะยานกลับน้อยกว่ามากทีเดียว!


“จะต้องจงรักภักดีและสวามิภักดิ์ต่อขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งอย่างสิ้นเชิงเช่นนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกต่อต้านขึ้นมา


ในเมืองจวิ้นซาน เขาก็แค่รับหน้าที่ในยามว่างเท่านั้น! มิอาจนับได้ว่าจงรักภักดีอย่างสิ้นเชิง จึงย่อมไม่มีคุณสมบัติพอจะพลิกอ่านคัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพได้


ขุมอำนาจที่สามารถเก็บสะสมคัมภีร์ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพได้ ล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าเมืองจวิ้นซานมากทีเดียว! เมืองจวิ้นซานอยู่ในโลกเทพอันกว้างใหญ่ไพศาล ก็แค่นับได้ว่าเป็นขุมอำนาจที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญแห่งหนึ่งเท่านั้น


“มีเพียงสองวิธีเท่านั้น”


“วิธีหนึ่งก็คือได้สมบัติล้ำค่าที่เพียงพอจะทำให้ขุมอำนาจใหญ่ตาเป็นมันอย่างมาก และทำการแลกเปลี่ยน”


“อีกวิธีหนึ่งก็คือ บัดนี้ในหอจิตฟ้าแห่ง ‘เมืองเจียงหยวน’ กำลังจัดงานชุมนุมประมูลสมบัติระดับยอดอยู่ ในจำนวนนั้นก็มีคัมภีร์ผู้บำเพ็ญระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นอยู่เล่มหนึ่งก็คือคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ข้าจะไปเข้าร่วมประมูลสมบัติแล้วซื้อคัมภีร์เล่มนั้นมา หรืออาจถึงขั้นไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยซ้ำ คิดหาวิธีศึกษาสักครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด


ไปแลกเปลี่ยนกับขุมอำนาจใหญ่น่ะหรือ


ขุมอำนาจใหญ่ล้วนแต่มั่งคั่งมาก คัมภีร์ระดับจักรพรรดิเทพเป็นสมบัติล้ำค่าซึ่งเป็นรากฐานของขุมอำนาจใหญ่! ทว่าจงรักภักดีแล้วก็จะศึกษาน่ะหรือ เช่นนั้นก็จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีแรงดึงดูดมากพอจึงจะสามารถแลกเปลี่ยนได้


“เฮ้อ”


“ตอนนั้นข้าเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ก็ได้เสียสละร่างแยกไปร่างหนึ่ง มิได้พกสมบัติล้ำค่าอะไรติดตัวมาด้วยเลย”


“แม้แต่หอกยาวที่ข้าใช้อยู่เล่มนี้ ก็เป็นของที่สกุลอวี้เฟิงมอบให้ ยากจนเกินไปแล้ว มิอาจไปแลกเปลี่ยนกับขุมอำนาจใหญ่ได้เลย! ทำได้เพียงคิดหาวิธีสะสมสมบัติล้ำค่า เพื่อไปเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติของเมืองเจียงหยวนเท่านั้น


งานชุมนุมประมูลสมบัติ


ยิ่งมีผู้แกร่งกล้าระดับยอดเข้าร่วมมากเท่าใด ท้ายที่สุดจึงจะดันราคาขึ้นไปได้สูงพอ


ดังนั้นหอจิตฟ้าจึงจงใจปล่อยข่าว ประกาศเรื่องวัตถุล้ำค่าบางอย่างที่จะนำมาประมูลออกมาก่อนแล้ว! เมืองเจียงหยวนก็เป็นเมืองใหญ่ที่จัดอยู่ในร้อยอันดับแรกของโลกเทพ บวกกับการประกาศอย่างเหิมเกริม ถึงตอนนั้นการประมูลสมบัติก็จะยิ่งดุเดือดเข้าไปใหญ่


“งานชุมนุมประมูลสมบัติจะเริ่มต้นในอีกหนึ่งพันสองร้อยปีข้างหน้า เมืองเจียงหยวนห่างจากเมืองจวิ้นซานไกลลิบ โดยสารเรือใหญ่ก็ต้องใช้เวลากว่าล้านปี งานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ก็ประกาศออกมานานแสนนานแล้ว ทว่าหากข้าสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาออกมากลับสามารถไปถึงได้อย่างรวดเร็ว เวลาก็ยังสบายๆ ในเวลาหนึ่งพันสองร้อยปีนี้ พยายามสะสมสมบัติล้ำค่าให้ได้มากที่สุด การจะสะสมสมบัติล้ำค่า…ก็มีแต่ต้องไปบุกฝ่าความรกร้างเท่านั้น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจออกมา


ความรกร้างนั้นอันตรายมาก


แต่ซากสัตว์ถิ่นร้างระดับยอดทั้งหลายก็ล้ำค่ายิ่งนัก หลายตัวมีส่วนช่วยอย่างมากต่อการบำเพ็ญสายเลือดของชาวโลกเทพ


“ชิงอิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุรากับศิษย์อยู่ จู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้นมา


“ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง


“ข้าเตรียมจะเก็บตัว หากเจ้ามีเรื่องสำคัญอันใดก็สามารถส่งสารตรงมาหาข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


อวี้เฟิงชิงอินสะดุ้ง จากนั้นก็พยักหน้ารัว “เจ้าค่ะ การเก็บตัวของท่านอาจารย์เป็นเรื่องเร่งด่วน”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม


ตนจะไปล่าสัตว์ท่ามกลางความรกร้าง รอจนถึงหนึ่งพันสองร้อยปีให้หลัง ก็จะไปยังเมืองเจียงหยวนเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติ! ระยะเวลาช่วงนี้สำหรับคนภายนอกแล้วก็แจ้งว่าเป็นการ ‘เก็บตัว’ ก็แล้วกัน! ต่อให้มีเรื่องสำคัญ เมื่อศิษย์ส่งสารมา ตนแค่สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาออกไปก็สามารถกลับมาได้อย่างรวดเร็ว


“อาจารย์จะเก็บตัวแล้ว” ในใจของอวี้เฟิงชิงอินรู้สึกหดหู่ขึ้นมา “การเก็บตัวครั้งหนึ่งคงจะต้องนานกว่าร้อยล้านปีเลยกระมัง เกรงว่าอาจารย์ยังมิทันได้ออกมา ประมุขสมาคมจิตมารก็คงจะบุกสังหารมาแล้ว”


ลูกหลานที่มิใช่สายตรงของสกุลอวี้เฟิง คนในตระกูลที่ไม่มีชื่อเสียงอะไร อาจจะยังสามารถหนีไปได้


แต่บุคคลระดับสูงคนสำคัญของวงศ์ตระกูลอย่างและบุตรธิดาของ ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ เกรงว่าประมุขสมาคมจิตมารคงจะไม่ปล่อยไปแน่


……


หลังจากศิษย์จากไปแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ประกาศออกไปว่าจะเก็บตัว!


ภายในห้องเงียบ ร่างกายสั่นเครือคราหนึ่ง รูปร่างก็พลันเปลี่ยนแปรไป กลายเป็นหนุ่มน้อยชุดดำรูปร่างหน้าตาธรรมดาสามัญคนหนึ่ง


“ไป” ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยแยกสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งแล้วอันตรธานหายไปในนั้นทันที


เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นกลางความรกร้างแห่งหนึ่งที่ห่างจากเมืองจวิ้นซานลิบลับ หากใช้เรือใหญ่บินไป ก็เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายแสนปีจึงจะไปถึงที่แห่งนี้ได้


“การล่ากลางความรกร้าง”


รอยแยกสีดำกลางอากาศกะพริบวาบคราหนึ่ง ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งก็ลอดออกมาจากในนั้น แล้วยืนอยู่กลางอากาศพลางหันมองไปยังความรกร้างรอบกาย “สำหรับข้าแล้ว สัตว์ถิ่นร้างทั่วไปนั้นมีราคาต่ำยิ่งนัก หากจะหาก็ต้องหาสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพขั้นสุดยอด! หากโชคดี พบสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทั่วไปก็ถือว่าโชคดี”


ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ


ความรกร้าง…


หากพูดถึงอันตราย นั่นก็คือเป็นอันตรายมากต่อชาวโลกเทพส่วนใหญ่ เพราะสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพยังคงมีอยู่มากมาย


สำหรับผู้แกร่งกล้าขั้นจักรพรรดิเทพ ความรกร้างก็เหมือนกับทางอันราบรื่น! เพราะสัตว์ถิ่นร้างนั้นแทบจะไม่มีพลังระดับจักรพรรดิเทพเลย! ดังนั้นอย่างเรือใหญ่ลำหนึ่งของเมืองจวิ้นซานสามารถบินมาถึงเมืองไม้บูรพาได้ในเวลาสองพันกว่าปี ก็ไม่กังวลว่าจะประสบกับอันตราย เพราะระหว่างทางแทบจะไม่มีโอกาสได้พบกับภัยคุกคามของระดับจักรพรรดิเทพเลย ระดับจักรพรรดิเทพโดยทั่วไปนั้นล้วนแต่เป็น ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด’ ระดับต่ำทั้งสิ้น


สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ร่างกายล้วนแต่แปรมาจากกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น! ร่างกายล้วนปรากฏขึ้นมาแล้ว แม้จะเป็นระดับต่ำ แต่สำหรับผู้แกร่งกล้าในโลกใบนี้แล้ว ก็แทบจะเป็นสมบัติล้ำค่าไปหมด! มีจำนวนมากที่สามารถใช้บำเพ็ญพลังสายเลือดได้! แม้แต่สำหรับผู้เหินทะยาน สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดก็มีส่วนช่วยอย่างมากต่อการบำเพ็ญของพวกเขาเช่นเดียวกัน


สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว หากมีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่ปรากฏขึ้นจากวิถีอากาศ ราคาก็คงจะเหนือกว่าคัมภีร์ของผู้เหินทะยานลิบลับ!


“น่าเสียดาย”


“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านี้ มีสติปัญญาสูงส่งยิ่งนัก ผู้แกร่งกล้าในโลกเทพมีมากเกินไปแล้ว สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านี้จึงไม่ท่องไปทั่วความรกร้างตามอำเภอใจอย่างโง่งม แล้วซ่อนตัวอยู่แทบจะทั้งหมด บางตัวก็ลี้ภัยจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ


เช่นจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วผู้นั้น


จ้าวหุบเขาฝูหลิ่วก็คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด นอกจากนี้หากบรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามไม่ออกหน้า  ผู้ใดก็ทำอะไรจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วมิได้ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดที่อ่อนแอหลายสิบตนสวามิภักดิ์ต่อสำนักของจ้าวหุบเขาฝูหลิ่ว!


สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำที่กล้าท่องไปท่ามกลางความรกร้างเพียงลำพังนั้น…


โดยทั่วไป ล้วนแต่มีพรสวรรค์ที่ไร้เทียมทาน ยากจะสังหารได้


“หากสามารถสังหารได้ตัวหนึ่ง เช่นนั้นก็จะได้กำไรมากมายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำอาจจะสำแดงพลังออกมาได้ธรรมดาๆ แต่ร่างกายก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง จึงยากนักที่จะสังหารมัน ยากลำบากกว่าสังหารชาวโลกเทพและผู้เหินทะยานที่มีพลังทัดเทียมกันมากมายยิ่งนัก! ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัย ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ก็อาจจะพอมีหวังที่จะรับมือกับตัวที่อ่อนแอที่สุดในจำนวนนั้นได้บ้าง


น่าเสียดายที่หาไม่พบเลย


……


ความรกร้างกว้างใหญ่ไพศาล สัตว์ถิ่นร้างระดับ ‘จ้าวเทพขั้นสุดยอด’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตามหาอยู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ถิ่นร้างระดับยอดสุดแล้ว จำนวนก็มีน้อยยิ่งนัก


มิเช่นนั้นแล้ว พวกที่มีพลังระดับจ้าวเทพก็คงไม่กล้าบุกฝ่าความรกร้างเพื่อเคี่ยวกรำแล้ว


“สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพขั้นสุดยอดหายากเกินไปแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงตามหาอย่างไม่หยุดหย่อน


เขาอาศัยบริเวณอากาศเป็นฝ่ายออกตามหาเอง หลังจากตามหาได้หนึ่งปีกว่า ในที่สุดก็พบสัตว์ถิ่นร้างตนหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลสาบแห่งหนึ่ง

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...

 

ตอนที่ 29 เมืองเจียงหยวน

 

การควบคุมกลิ่นอายของสัตว์ถิ่นร้างนั้นย่ำแย่เกินไป ต่อให้เก็บงำมากยิ่งกว่านี้ เขตพลังห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังสามารถสัมผัสและจัดการได้อย่างง่ายดาย นี่คือระดับขั้นจ้าวเทพช่วงสุดยอด


“สิ้นเปลืองเวลาไปหนึ่งปีกว่าๆ ทำการเสาะหา ในที่สุดก็พบกับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเข้าตนหนึ่งเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดจึงมีมูลค่าสูงพอ เพราะนี่หมายถึงเกือบจะสุดยอดของสัตว์ถิ่นร้าง อีกทั้งผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพทั่วไปจึงสามารถสังหารได้ แน่นอนว่าผู้เหินทะยานระดับ ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ ทั่วไปก็มีหวังที่จะทำได้สำเร็จเช่นกัน “ยังดีที่ข้ามีเวลาหนึ่งพันสองร้อยปี เชื่อว่าจะสามารถสังหารสัตว์ถิ่นร้างได้มากพอ”


พรึ่บ


ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินทะยานเคลื่อนผ่านทะเลสาบแห่งนี้โดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว


ตอนที่เหินทะยานไปถึงบริเวณท้องฟ้าสักแห่งหนึ่งเหนือทะเลสาบ


“พรวด!” เงาร่างโปร่งแสงใหญ่มหึมาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางทะเลสาบในทันใด เงาร่างโปร่งแสงของมันยาวถึงสิบกว่าลี้ การพุ่งออกมานี้ก็รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แล้วเงาร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มก็ห่อหุ้มร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ในทันใด!


“แคว่ก!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือขวาคราหนึ่ง


รอยแยกห้วงอากาศเส้นหนึ่งก็แผ่ลงมา ทาบทับลงบนร่างมหึมาที่อ่อนนุ่มโปร่งแสงร่างนั้น บนร่างกึ่งโปร่งแสงนี้ยังมีใบหน้าอยู่ใบหน้าหนึ่ง การโจมตีนี้ ร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มร่างนั้นกลายเป็นคลื่นตลอดร่าง ทำให้พลังการโจมตีนี้ถูกถอนไปอย่างสมบูรณ์ แต่อัตราเร็วของมันก็ช้าลงเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงร่นถอยไปในทันที ถอยหลังออกไปตามรอยแยกที่ห่อหุ้มอยู่อย่างรวดเร็ว


“จ้าวเทพช่วงสุดยอดหรือ ฮ่าฮ่า ยากนักที่จะได้พบกับอาหารอันโอชะเช่นนี้” ใบหน้าบนร่างกายอันโปร่งแสงขนาดมหึมาบิดเบี้ยว เสียงโครมครามดังก้องทั่วฟ้าดิน


เสียงยังคงดังสนั่น


มันบินทะยานเข้ามาอีกครั้ง ร่างโปร่งแสงของมันคล้ายกับไม่ได้รับแรงต้านทานใดๆ อัตราเร็วในการเหินทะยานรวดเร็วอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะสำแดงเคล็ดวิชาเหินทะยานวิถีอากาศก็ยังเร็วขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้อยากจะหนี จุดประสงค์ของเขาคือเพื่อสังหารสัตว์ถิ่นร้างตนนี้ต่างหาก


“ปัง ปัง ปัง…”


สัตว์ถิ่นร้างตนนี้พุ่งปะทะไม่หยุด หมายจะห่อหุ้มคุมขังตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้โดยสมบูรณ์


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เห็นสัตว์ถิ่นร้างตนนี้เป็นเป้าหมาย สำแดงเคล็ดวิชาวิถีอากาศต่างๆ มากมายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็มิอาจทำร้ายสัตว์ถิ่นร้างตนนี้ได้เลย “สัตว์ถิ่นร้างตนนี้มีความสามารถในการรักษาชีวิตรอดแข็งแกร่งเหลือเกิน การโจมตีของข้าก็เป็นการเกาตรงที่คันให้มันล้วนๆ แข็งแกร่งกว่าร่างมังกรค้างคาวของจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่มากนัก” ร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มนั้นกระเพื่อมไหวระลอกหนึ่งก็ทำให้พลังการโจมตีทั้งหมดลดลงไปจนสิ้น


“ยังสามารถซ่อนตัวได้จริงๆ ไม่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าแล้วดีกว่า” สัตว์ถิ่นร้างโปร่งแสงขนาดมหึมานี้พูดขึ้นมาในทันใด พร้อมกันนั้นร่างโปร่งแสงอ่อนนุ่มของมันกลับแยกออกเป็นเส้นไหมโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วน เพราะเส้นไหมโปร่งแสงที่แยกแปรออกมามีมากมายเกินไป ร่างกายของมันจึงหดเล็กลงไปเล็กน้อยด้วยเหตุนี้


เส้นไหมโปร่งแสงจำนวนมหาศาลแน่นขนัดห่อหุ้มเข้ามาทางตงป๋อเสวี่ยอิงจนหมดสิ้น


“หืม”


นิ้วมือที่ยื่นออกมาของตงป๋อเสวี่ยอิงขยับเบาๆ


พรึ่บ


ฟองห้วงอากาศขนาดมหึมาฟองหนึ่งห่อหุ้มสัตว์ถิ่นร้างที่อ่อนนุ่มโปร่งแสงตนนี้เอาไว้ในทันใด อีกทั้งยังห่อหุ้มเส้นไหมโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นเอาไว้อีกด้วย ทันใดนั้นฟองห้วงอากาศก็หดเล็กลงกลายเป็นจุดดำ! แล้วระเบิดจนหมดสิ้นภายใต้นิ้วมือนิ้วหนึ่ง หลังจากระเบิดแล้วก็เผยตัวสัตว์ถิ่นร้างที่มิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่ปลายเส้นผมออกมา


“ตายเสีย” สัตว์ถิ่นร้างตนนี้อับอายจนโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เส้นไหมโปร่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่มันแยกออกมากระหวัดรัดเกี่ยวกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


เกี่ยวกระหวัดกันเป็นแส้โปร่งแสงเก้าอัน


ขวับ ขวับ ขวับ ขวับ…


แส้โปร่งแสงเก้าอันมีพลังคุกคามอันดุร้ายเป็นที่สุด ฟาดฟันตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างอุกอาจครั้งแล้วครั้งเล่า


แต่ถึงแม้ว่าพลังคุกคามจะโหตเหี้ยมยิ่งกว่านี้ ในความเป็นจริงแล้วด้วยพลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับต้านทานขึ้นมาได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพราะเขาสามารถหลบซ่อนตัวได้อย่างสบายๆ


“ถึงแม้ว่าสัตว์ถิ่นร้างตนนี้จะเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอด แต่การรักษาชีวิตของตัวมันนั้นก็แข็งแกร่งเหลือเกิน เคล็ดวิชาวิถีอากาศของข้ามิอาจทำร้ายมันได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบทอดถอนใจ ถ้าหากสามารถทำร้ายได้ สิ้นเปลืองเวลาก็ยังอาจจะสามารถเอาชีวิตได้ แต่จะทำร้ายก็ยังทำร้ายมิได้เลย! เช่นนั้นห้ำหั่นนานกว่านี้ก็เป็นการสิ้นเปลืองเวลา


“ข้ายังทำร้ายมันมิได้ ในบรรดาสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด มันก็คงจะนับได้ว่าเป็นส่วนน้อยแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยคาดเดา


ใช่แล้ว


ถึงแม้ว่าจะมาออกล่าในถิ่นรกร้าง แต่เขาก็มิได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ถิ่นร้าง ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ มาได้อย่างเพียงพอ


หนึ่งก็คือข้อมูลสัตว์ถิ่นร้างที่สกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานเปิดเผย มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเพียงน้อยนิดยิ่งนัก สองก็คือหอจิตฟ้าสามารถซื้อหาข้อมูลสัตว์ถิ่นร้างโดยละเอียดจำนวนมากพอได้ แต่ก็มีมูลค่าสูงพอดูเลยทีเดียว อีกทั้งตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องการจะอาศัยสิ่งนี้ขัดเกลาตนเองสักคราหนึ่งด้วย! ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้ว เพียงแค่ได้พบเข้ากับสัตว์ถิ่นร้างของ ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเหยื่อของเขาทั้งสิ้น ไม่รู้ข้อมูลเลย ถึงอย่างไรก็ยิ่งมีผลในการขัดเกลาดีขึ้นมิใช่หรือ


สำหรับอันตรายเล่า


สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด สำหรับเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็มิได้เป็นอันตรายต่อเขาเลย


“เอาล่ะ มันก็มีเคล็ดวิชาแค่นี้เท่านั้นแหละ มิได้มีผลในการขัดเกลาอีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว


ปัง…


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางสัตว์ถิ่นร้างโปร่งแสงขนาดมหึมาตนนั้น สัตว์ถิ่นร้างตนนั้นยังอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง แต่เขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นก็โจมตีตรงเข้าใส่วิญญาณของสัตว์ถิ่นร้างตนนี้แล้ว


พร้อมกันนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ใช้หมัดหนึ่งโจมตีสัตว์ถิ่นร้างตนนี้ หมัดนี้เป็นเพียงแค่การปกปิดเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงหากโลกเทพนี้มีผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดที่สามารถย้อนเวลามาถึงภาพเหตุการณ์การต่อสู้นี้ เคล็ดวิชาวิญญาณนั้นมิอาจมองเห็นได้ ภายใต้การย้อนเวลาก็สามารถมองเห็นได้แค่เพียงว่าตนโจมตีสัตว์ถิ่นร้างตนนี้จนตายภายในหมัดเดียว!


“พลั่ก” หมัดหนึ่งกระแทกโจมตี


ใบหน้าบนร่างกายโปร่งแสงขนาดมหึมาของสัตว์ถิ่นร้างกลับเผยสีหน้าหวาดหวั่นออกมาในทันใด จากนั้นร่างกายก็ถูกหมัดหนึ่งกระแทกจนลอยกระเด็นออกไปไกล กลิ่นอายของมันกลับลดฮวบลงไปอย่างฉับพลัน กลิ่นอายวิญญาณสลายไปอย่างสมบูรณ์แบบ


ปัง…


ร่างกายใหญ่มหึมากระแทกลงบนผิวทะเลสาบทำให้น้ำในทะเลสาบจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระเซ็นขึ้นมา ร่างกายของมันอ่อนยวบล่องลอยไปบนผิวทะเลสาบ


ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไปแล้วยื่นมือออกมาคว้าจับซากของสัตว์ถิ่นร้างตนนี้เอาไว้ ความคิดวูบไหวคราหนึ่งแล้วก็เก็บเข้าไปไว้ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์


ล้อเล่นแล้ว


เคล็ดเขตลวงโลกเทียมของเขาที่หุบเขาเขี้ยวหัก เผ่ามรณะทมิฬที่เป็นระดับจักรพรรดิขั้นกลางและแม่ทัพเทพของชนพื้นเมืองดั้งเดิมจำนวนหนึ่งต่างก็ยังต้องจ่อมจมลงไป! ระดับจักรพรรดิขั้นกลางนั้นก็เทียบเท่ากับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ของโลกแห่งนี้ ผู้แกร่งกล้าจักรพรรดิเทพช่วงกลาง มีบางส่วนที่อาจจะสามารถต้านทานได้ แต่ตนนี้ยังเป็นเพียงแค่จ้าวเทพช่วงสุดยอด อีกทั้งยังเป็นสัตว์ถิ่นร้างสามัญธรรมดาที่มีอุปนิสัยโหดเหี้ยม ก็ย่อมไม่สามารถต้านทานได้อยู่แล้ว


ดังนั้นสัตว์ถิ่นร้างที่โหดเหี้ยม แต่ไหนแต่ไรก็มิได้เป็นอันตรายต่อตงป๋อเสวี่ยอิงเลย เขาสามารถจัดการได้อย่างสบายๆ ที่เขาห้ำหั่นอยู่นี้ก็เพียงเพื่อขัดเกลาวิถีอากาศเท่านั้น!


“ไปหาตัวต่อไปดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเสาะหาต่อไป


……


กาลเวลาเคลื่อนผ่าน


สัตว์ถิ่นร้างจ้าวเทพช่วงสุดยอดนั้นยากจะพบเห็นได้จริงๆ หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงล่าไปตนหนึ่งแล้ว ปกติก็จะสามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไปถึงสถานที่อีกแห่งหนึ่งเพื่อทำการเสาะหาต่อไปได้


เมื่อถึงตอนที่ห่างจากวันจัดงานชุมนุมประมูลสมบัติของหอจิตฟ้าอีกหนึ่งเดือน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงค่อยหยุดลง


“ควรไปยังเมืองเจียงหยวนได้แล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางท้องฟ้าสูง รอยแยกสีดำสายหนึ่งกะพริบวาบขึ้นที่ด้านข้าง เขาก็ก้าวเข้าไปภายในนั้น


ผ่านการสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสามครั้งเพื่อการปรับเปลี่ยนเป้าหมายเป็นสำคัญ ถึงอย่างไรเขาก็รู้เพียงแค่ตำแหน่งที่ตั้่งคร่าวๆ ของเมืองเจียงหยวนเท่านั้น


“ถึงแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนทะยานด้วยความเร็วสูง อยู่ห่างๆ ก็มองเห็นปราการเมืองมโหฬารสูงตระหง่านแห่งหนึ่งเบื้องหน้า เมืองเจียงหยวนก็เป็นเมืองใหญ่ในระดับยอดสุดของทั้งโลกเทพแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับมัน เมืองจวิ้นซานก็เป็นเมืองเล็กจ้อยอันแสนห่างไกลแล้วจริงๆ


พรึ่บ


เขาแปลงร่างเป็นลำแสงสายหนึ่งลอยไปถึงบริเวณประตูเมือง ยามรักษาการณ์ที่อยู่ที่ประตูเมืองมองผู้ที่เข้ามายังเมืองเจียงหยวนแห่งนี้ด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย ผู้แกร่งกล้าจากภายนอกที่มายังเมืองเจียงหยวนมีจำนวนมากมายยิ่งนัก มีเรือใหญ่จำนวนหนึ่งมาเยือนอยู่เป็นประจำ


“หอจิตฟ้า”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอาคารสูงตระหง่านกว่าพันลี้ตรงหน้า ด้านหลังยังมีหมู่อาคารยาวต่อเนื่องกัน ประกอบกันเป็น ‘หอจิตฟ้า’ แห่งเมืองเจียงหยวน


ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีอาณาบริเวณกว้างขวางโอ่อ่ากว่า แต่เค้าโครงก็เหมือนกับหอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซานเป็นอย่างยิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงยังชั้นที่สามของหอสูงตรงหน้าแห่งนี้ด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างมาก


“ข้ามีซากสัตว์ถิ่นร้างอยู่จำนวนหนึ่ง ต้องการจะขายให้กับหอจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดกับผู้ดูแลคนหนึ่งโดยตรง


“ซากสัตว์ถิ่นร้างหรือ” ผู้ดูแลที่ต้อนรับเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่ามีพลังยุทธ์เป็นเช่นไรบ้าง”


“จ้าวเทพช่วงสุดยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“เชิญตามข้ามา”


ผู้ดูแลตกตะลึง ซากสัตว์ถิ่นร้างที่ยอดฝีมือระดับจ้าวเทพผู้หนึ่งนำมาขาย เป็นถึงระดับขั้น ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ เชียวหรือ เขานำทางตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปบนระเบียงทางเดิน เคลื่อนผ่านอาณาบริเวณแห่งแล้วแห่งเล่า ในที่สุดก็เข้ามาภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูบริเวณรอบๆ แล้วก็ลอบรำพึง “หอจิตฟ้าชั้นที่สามของทางเมืองจวิ้นซานแบ่งออกเป็นโถงตำหนักเพียงแค่สามแห่งเท่านั้น แต่ที่นี่กลับมีอยู่หลายสิบแห่ง ผู้ดูแลก็มีอยู่มากมายกว่าร้อยคน”


“จ้าวเทพท่านนี้ โปรดแสดงซากสัตว์ถิ่นร้างที่ท่านต้องการขายออกมาด้วย” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนั่งอยู่ที่นั่น ด้านหน้ายังมีค่ายกลห้วงมิติล่องลอยอยู่ เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นห้วงมิติที่มีอาณาเขตเพียงแค่ร้อยเมตรเท่านั้น แต่ห้วงมิติที่บีบอัดอยู่ภายในกลับมีอาณาเขตถึงร้อยลี้


ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง


ฟึ่บๆๆ…


ซากสัตว์ถิ่นร้างร่างแล้วร่างเล่าลอยคว้างตรงเข้าไปภายในค่ายกลห้วงมิติแห่งนั้น สัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน ที่ตัวใหญ่ก็มีรูปลักษณ์คล้ายกิ้งก่าความยาวกว่าสามสิบลี้ ที่ตัวเล็กก็มีความยาวเพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งเมตรราวกับแมลง กลิ่นอายก็แตกต่างกัน แต่ละตัวที่ลอยเข้าไปก็ล่องลอยอยู่ภายในค่ายกลห้วงมิติ


“อะไรกันนี่” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองคนที่รับผิดชอบประเมินสิ่งของมองดูฉากนี้อย่างตกตะลึงอยู่บ้างเพียงพริบตาเดียวก็มีซากสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดเกินกว่าสิบร่างแล้วที่ลอยเข้าไป ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังลอยเข้าไปอย่างรวดเร็วด้วย ซากสัตว์ถิ่นร้างร่างแล้วร่างเล่าลอยเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะตายไปกันหมดแล้ว แต่กลิ่นอายที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง


“ที่แท้แล้วมีซากสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดมากน้อยเพียงใดกันแน่ เป็นเขาล่าสังหารแต่เพียงผู้เดียวทั้งหมดเลยหรือ” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้ต่างพากันกลั้นหายใจ


ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง เหตุผลที่เขาค่อยๆ ทยอยขว้างเข้าไปก็เพราะเป็นกังวลว่าหากโยนออกไปในคราวเดียวแล้วจะอุดกั้นทางเข้าค่ายกลห้วงมิติ เขาล่าสังหารพวกมันเหล่านี้ก็เพียงเพื่องานชุมนุมประมูลสมบัติที่จะตามมาในภายหลังเท่านั้นเอง!

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 30 ประมูลสมบัติ

 

ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนั้นและผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างต่างก็กลั้นหายใจมองดูซากสัตว์ถิ่นร้างที่สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หัวใจที่สั่นไหวของพวกเขาขมวดแน่น ซากทุกซากนี้ล้วนเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอดทั้งสิ้น ถึงขนาดที่ในบรรดานั้นมีบางส่วนที่พวกเขาดูแล้วว่าเป็น ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ซึ่งยอดฝีมือก็ยังยากที่จะสังหารได้


“เรียบร้อยแล้ว มีเท่านี้นี่แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลงในที่สุด “ตีราคาเถิด”


“ได้ๆๆ จ้าวเทพท่านนี้โปรดรอสักครู่ พวกเราจะตีราคาให้อย่างละเอียดเลย” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าผู้มีเขาเดี่ยวสีแดงคนหนึ่งในนั้นเอ่ยถาม พูดแล้วเขาก็ควบคุมซากสัตว์ถิ่นร้างซากหนึ่งในค่ายกลห้วงมิติให้ลอยไปยังด้านบนสุด “นี่คือซากอันสมบูรณ์ของ ‘อสูรควันพันโอษฐ์’ พวกเราหอจิตฟ้าสามารถจ่ายได้หกพันห้าร้อยศิลาอสนี” พูดแล้วเขาก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง สังเกตสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิง ยอดฝีมือจิตฟ้าอีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน “ราคาที่พวกเราหอจิตฟ้าเสนอไม่แย่กับจ้าวเทพอยู่แล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้คิดประเมิน หากแต่เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ต่อไป”


“ได้ พวกเราดูกันต่อเถิด” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้เอ่ยว่า “ซากสัตว์ถิ่นร้างซากนี้คือ ‘อูฐภูเขามหานคร’ แก่นชีวิตถูกทำลาย แต่ส่วนอื่นๆ ล้วนสมบูรณ์ดี พวกเราหอจิตฟ้าจ่ายให้ได้สามพันหนึ่งร้อยศิลาอสนี”


พวกเขาก็เป็นเพียงแค่ผู้รับผิดชอบประเมินราคาในหอจิตฟ้าเท่านั้น


กับผู้ที่สามารถหยิบเอาซากสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดกว่าร้อยร่างออกมาได้ในคราวเดียวเช่นนี้ พวกเขาก็มิกล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเองก็เคยได้ยินมาก่อนว่ามี ‘ผู้เหินทะยานจ้าวเทพ’ ที่แกร่งกล้าอย่างยิ่งจำนวนหนึ่งที่บุกฝ่าอยู่ในดินแดนรกร้างเป็นเวลานานถึงหมื่นล้านปี สังหารสัตว์ถิ่นร้างฝูงใหญ่ แต่กลับสามารถเอาชนะสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดได้ โดยทั่วไปแล้วกลับสังหารได้ยากยิ่ง


“จ้าวเทพผู้ลึกลับท่านนี้คงจะบุกฝ่าอยู่ในดินแดนรกร้างมาเป็นเวลาเนิ่นนานมากแล้ว จึงล่าสังหารได้มากมายถึงเพียงนี้ หรือว่าเป็นจักรพรรดิเทพสักท่านล่าสังหารแล้วจัดแจงให้เขามาเจรจาการค้าที่นี่กันเล่า” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้มีการคาดเดาขึ้นมา


ความจริงก็คือซากสัตว์ถิ่นร้างกว่าร้อยร่างนี้ มีซากจำนวนมากพอสมควรที่ต่างก็มีความสามารถในการรักษาชีวิตรอดที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง จักรพรรดิเทพช่วงต้นต่างก็ยังยากที่จะสังหารได้จึงจะถูกต้อง


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังการเสนอราคาครั้งแล้วครั้งเล่า


แล้วแอบพยักหน้า


หอจิตฟ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังแต่ก็ยังคงตรงไปตรงมา สัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้ที่ตนล่าสังหารมีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยยี่สิบหกตน ตนเองก็เข้าใจกระจ่างเพียงแค่สิบห้าตนในนั้นเท่านั้นเอง อย่างน้อยราคาของซากสัตว์ถิ่นร้างสิบห้าตนนี้ที่ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านนี้เสนอให้ก็ยังมี ‘สามัญสำนึก’ อยู่! สำหรับสัตว์ถิ่นร้างอื่นๆ เล่า อ้างอิงจากระดับความยากในตอนที่ตนล่าสังหาร ในบรรดานั้นก็มีหลายตนที่ยามที่ตนสำแดงวิถีอากาศ ก็มีบ้างที่มีพลังคุกคามถึงชีวิตตนได้ ทั้งยังถูกบีบให้แสดงวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมากวาดล้าง


ตนเองห้ำหั่นครั้งแล้วครั้งเล่าก็มีความเข้าใจในพลังยุทธ์ของพวกมันขึ้นมาบ้าง ก็สามารถประเมินราคาคร่าวๆ ได้


ดูท่าทางเรื่องราคานี้ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด


“ซากสุดท้ายนี้ อสูรเขมือบเมฆทะมึน ข้ารับผิดชอบประเมินราคาสินค้าอยู่ที่นี่ก็เพิ่งจะเคยเห็นซากอสูรเขมือบเมฆทะมึนเป็นครั้งแรก ซากสมบูรณ์ดี เพียงแต่แก่นชีวิตแตกสลาย หอจิตฟ้าของข้าสามารถให้ราคาห้าชิ้นหยกแก้วคละถิ่นกับอีกแปดพันศิลาอสนี”


“ซากสัตว์ถิ่นร้างทั้งหมดเป็นราคาทั้งสิ้นสิบหกชิ้นหยกแก้วคละถิ่นกับอีกสามพันศิลาอสนี” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าเขาเดี่ยวสีแดงผู้นั้นพูด ยอดฝีมือจิตฟ้าอีกคนหนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


ซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้มีราคาต่ำสุดสองพันกว่าศิลาอสนี ราคาสูงสุดสูงกว่าเก้าชิ้นหยกแก้วคละถิ่น


‘หยกแก้วคละถิ่น’ นั้นว่ากันว่าเป็นสิ่งที่บรรพเทวะสามท่านตกผลึกและเจียระไนขึ้นมาด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในค่าเงินของทั้งโลกเทพ ส่วน ‘ศิลาอสนี’ นั้นเป็นสิ่งที่บ่มเพาะเกิดขึ้นตามธรรมชาติในโลกเทพ ก็พบเห็นได้ยากยิ่งเช่นกัน


“ถ้าหากจ้าวเทพไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ต่อราคานี้ หอจิตฟ้าของข้าก็สามารถซื้อซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้ในราคานี้ได้” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าสองท่านต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิง ราคาของซากสัตว์ถิ่นร้างที่กำหนดเอาไว้นี้ก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง กำหนดราคาอย่างง่ายดายโดยอ้างอิงจากชนิดและระดับความสมบูรณ์ของซาก


“เอาล่ะ ก็เป็นราคานี้แหละ ข้าเชื่อมั่นในชื่อเสียงของหอจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


“ฮ่าฮ่า จ้าวเทพท่านนี้โปรดรอสักครู่” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าที่มีเขาเดี่ยวสีแดงผู้นั้นอดที่จะเอ่ยอย่างตื่นเต้นมิได้ “ขอบังอาจถามจ้าวเทพท่านนี้สักหน่อย ซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านี้ มีหลายร่างทีเดียวที่พบเห็นได้ยากยิ่ง สังหารได้ยากเป็นที่สุด จ้าวเทพล่าสังหารตามลำพังทั้งหมดเลยหรือ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง มิเอ่ยวาจา


“อา เป็นข้าที่ปากมากไปเอง” ยอดฝีมือหอจิตฟ้าผู้นี้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากตอบคำถามจึงแสดงความขอโทษขอโพยในทันที


เพียงไม่นาน


ผู้ดูแลหญิงรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเดินเข้ามา นางโบกมือคราหนึ่ง ก็เห็นเพียงแค่หยกแก้วสีเทากึ่งโปร่งแสงชิ้นแล้วชิ้นเล่าลอยมา หยกแก้วสีเทาเหล่านี้มีขนาดครึ่งฝ่ามือ ตัดเป็นก้อนรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่บางอย่างยิ่ง กลิ่นอายจางๆ ที่ปกคลุมทุกก้อนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง มันบริสุทธิ์กว่า ‘พลังคละวิถี’ เสียอีก แม้กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ แต่กลับมิได้เป็นอันตรายต่อตงป๋อเสวี่ยอิงแต่อย่างใด ต้องรู้ไว้ว่าพลังคละวิถีนั้นสามารถกัดกร่อนร่างกายและวิญญาณได้ หยกแก้วนั้นบริสุทธิ์กว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับมิได้เป็นอันตรายเลย ในทางกลับกันกลับผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง


หยกแก้วคละถิ่นชนิดนี้กลับเป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย


 หยกแก้วคละถิ่นเก้าสิบหกก้อนล่องลอยอยู่ทั้งหมด ด้านข้างยังมีศิลาอสนีก้อนแล้วก้อนเล่า ศิลาอสนีนั้นมีสีทองระยิบระยับจับตา มีขนาดใหญ่ประมาณนิ้วมือ แต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากันหมด ไม่เพียงแต่ระยิบระยับจับตาเท่านั้น ถึงขนาดที่ยังมีสายฟ้าสีทองแลบแปลบปลาบอยู่ภายใน น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งดีว่าหยกแก้วคละถิ่นนี้เป็นขนาดมาตรฐานที่บรรพเทวะคละถิ่นเจียระไนขึ้นมา หยกแก้วคละถิ่นชิ้นหนึ่งสามารถแลกเปลี่ยนเป็นศิลาอสนีหนึ่งหมื่นก้อนได้พอดี


“จ้าวเทพท่านนี้ หยกแก้วคละถิ่นและศิลาอสนีอยู่ที่นี่หมดแล้วเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วโบกมือคราหนึ่งเก็บเข้าไปจนหมดก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าอยากจะเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นของหอจิตฟ้าของพวกเจ้า เจ้าช่วยข้าจัดการให้ทีสิ”


“จ้าวเทพต้องการจะเข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติหรือ ได้สิเจ้าคะ” ผู้ดูแลหญิงเอ่ยขึ้นในทันใด


“ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้ จะจัดแจงห้องหับให้จ้าวเทพเป็นอย่างดีเลยเจ้าค่ะ”


มีหยกแก้วคละถิ่นมากมายถึงเพียงนี้ ก็ย่อมเป็นแขกผู้มั่งคั่งอย่างแน่นอน!


ถึงแม้ว่าเมืองเจียงหยวนจะเป็นเมืองใหญ่ระดับบนสุดของทั้งโลกเทพ แต่ผู้แกร่งกล้าที่งานชุมนุมประมูลสมบัติดึงดูดมาได้นั้นก็มีขีดจำกัด ผู้มั่งมีอย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ย่อมสามารถเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นที่มาประมูลสมบัติคนหนึ่งแล้ว ก็ย่อมต้องจัดแจงให้ดีๆ อยู่แล้ว


“จ้าวเทพมีที่พักในเมืองเจียงหยวนแล้วหรือยังเจ้าคะ ถ้าหากไม่มี ก็อยู่เสียที่หอจิตฟ้าของข้า ภายในหอจิตฟ้ามีลานเล็กที่เลิศหรูอยู่มากมาย งานชุมนุมประมูลสมบัติก็ใกล้มาถึงแล้ว จ้าวเทพพักเสียที่นี่ พอถึงเวลาพวกเราก็สามารถแจ้งให้จ้าวเทพทราบได้ อีกทั้งที่หอจิตฟ้าก็ยังปลอดภัยอย่างปน่นอน ไม่มีผู้ใดกล้ามาสามหาวที่หอจิตฟ้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงผู้นี้พูด


“ก็ดี เช่นนี้ก็อยู่ที่หอจิตฟ้าของพวกเจ้าก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


……


หอจิตฟ้ามีอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง อาคารมากมายทอดยาวต่อเนื่องกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงพักอาศัยอยู่ชั่วคราวภายในลานเล็กแห่งหนึ่งในนั้น


ระยะเวลาหนึ่งเดือนต่อมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาเยี่ยมเยียนเมืองเจียงหยวนแห่งนี้รอบหนึ่ง ลิ้มชิมรสอาหารเลิศรสมากมาย พร้อมกันนั้นเขาก็ศึกษาหยกแก้วคละถิ่นนี้โดยละเอียด แต่กลับค้นพบว่านอกจากการ ‘หล่อเลี้ยงวิญญาณ’ และ ‘หล่อเลี้ยงร่างกาย’ ที่เคยได้ยินมาก่อนแล้ว ตัวหยกแก้วคละถิ่นนี้เองก็ยังมีความเร้นลับอีกมากมาย เป็นการใช้งานที่พิเศษอย่างยิ่งชนิดหนึ่งของ ‘พลังคละวิถี’


“หยั่งรู้ไม่ทะลุปรุโปร่งในระยะเวลาอันสั้น รอจนธุระในคราวนี้เสร็จเรียบร้อยก่อน พอกลับไปถึงเมืองจวิ้นซานแล้วค่อยศึกษาอย่างละเอียดอีกทีก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ วันเวลาที่โลกแห่งนี้ ตอนนี้เขาก็ตัดสินใจอยู่อาศัยระยะยาวที่เมืองจวิ้นซานแล้ว เพราะว่ามีศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เขาก็สามารถไปมายังเมืองใหญ่แห่งใดๆ ได้อย่างง่ายดาย อาศัยอยู่ในเมืองเล็กที่อิทธิพลค่อนข้างอ่อนแอสักแห่งหนึ่งก็ยังอาจมีเรื่องวุ่นวายน้อยกว่าสักหน่อย


เมืองใหญ่ระดับยอดสุดเช่นเมืองเจียงหยวนพรรค์นี้ ก็มียอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาทุ่มเทสุดกำลังก็ยังไม่สามารถสู้ได้อยู่


แต่ที่เมืองจวิ้นซานนั้น ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไร้ซึ่งศัตรู


“จ้าวเทพเมฆาเขียว” ภายนอกลานบ้านมีน้ำเสียงเสนาะหูเสียงหนึ่งลอยมา


ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังกุมหยกแก้วคละถิ่นชิ้นหนึ่งพลางรับสัมผัสอย่างละเอียดอยู่ภายในลานเล็กอันงามหรูนี้  เมื่อได้ยินเสียงตะโกน เขาก็พลิกมือเก็บหยกแก้วคละถิ่นขึ้น เดินไปถึงประตูลานบ้านแล้วดึงประตูลานบ้านเปิดออก ก็มองเห็นผู้ดูแลหญิงคนนั้นยืนอยู่ด้านนอก


“จ้าวเทพเมฆาเขียว” ผู้ดูแลหญิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ “อีกหนึ่งชั่วยามงานชุมนุมประมูลสมบัติก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตอนนี้จ้าวเทพก็ไปได้แล้วนะเจ้าคะ”


“ดีเลย รบกวนนำทางด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เขาเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ และถึงขนาดที่ปกปิดเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายด้วย พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ก็เพราะเป็นกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการเปิดเผยตัวตน ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ เขาอยู่อาศัยระยะยาวที่เมืองจวิ้นซาน จึงไม่อยากจะก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมายเกินไป


เพียงไม่นาน


ที่ชั้นยอดสุดของหอจิตฟ้า ก็คือสถานที่จัดงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ สถานที่จัดงานชุมนุมชิงสมบัมีอาณาบริเวณกว่าร้อยลี้ ตอนนี้มีผู้แกร่งกล้ามากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว จึงเต็มไปด้วยความคึกคัก


“จ้าวเทพ เดินมาทางนี้เจ้าค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในครอบครองค่อนข้างมาก จึงเป็น ‘แขกผู้มีเกียรติ’ ของหอจิตฟ้า ผู้ดูแลหญิงผู้นั้นนำทางมาถึงยังห้องส่วนตัวแห่งหนึ่ง ที่นี่มีห้องส่วนตัวอยู่มากมาย ซึ่งต่างก็ต้องเป็นผู้ที่มีสถานะและพลังยุทธ์ไม่ธรรมดา หรือไม่ก็ต้องมีสมบัติล้ำค่ามากเพียงพอ จึงจะมีสิทธิ์เข้าไปข้างในได้


ภายในห้องส่วนตัว


มีสุราผลไม้ชั้นเลิศ ทั้งยังมีสาวใช้ชุดเขียวอีกคนหนึ่งคอยท่าอยู่ที่นี่ด้วย


ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปข้างใน เขานั่งขัดสมาธิลงข้างตั่ง สามารถมองลงไปยังงานชุมนุมเบื้องล่างทั่วทั้งงานได้ สาวใช้ชุดเขียวผู้นั้นช่วยรินสุราชั้นเลิศส่งให้ “จ้าวเทพอยากจะรับประทานสิ่งใดก็สามารถสั่งมาได้เลยนะเจ้าคะ”


“ไม่ต้องแล้วล่ะ เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบม้วนสาส์นที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา บนม้วนสาส์นบันทึกลำดับสมบัติล้ำค่าที่จะประมูลสมบัติกันในคราวนี้เอาไว้โดยละเอียด พอมองดูแล้วสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าหอจิตฟ้าจะปล่อยข่าวออกไปแล้ว เกี่ยวกับว่างานชุมนุมประมูลสมบัติคราวนี้มีสมบัติล้ำค่าประเภทใดบ้าง แต่เมื่อเห็นรายละเอียดแล้วก็ยังทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก


“ขายตำราระดับจักรพรรดิสามเล่มพร้อมกันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว


คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศที่ตนจะต้องคว้ามาให้ได้นั้นขายพร้อมกันกับตำราผู้บำเพ็ญระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นอีกสองเล่ม! เช่นนี้แล้วราคาของตำราสามเล่มก็ย่อมแพงขึ้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว


“หยกแก้วคละถิ่นที่ข้าเตรียมเอาไว้ในครั้งนี้ค่อนข้างมาก ก็น่าจะได้มาครอบครองอยู่แล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง


“เตร๊ง…”


เสียงระฆังเป็นท่วงทำนองดังขึ้น ทั่วทั้งสถานที่จัดงานชุมนุมประมูลสมบัติก็เงียบลง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็วิญญาณสั่นสะท้าน


งานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 31 ตำรา

 

งานชุมนุมประมูลสมบัติเริ่มต้น ผู้จัดการก็คือชายชราอาภรณ์เงินคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ ‘จักรพรรดิเทพเยี่ยน’ เจ้าของหอจิตฟ้าแห่งเมืองเจียงหยวนแห่งนี้ เขาอธิบายสมบัติล้ำค่าชิ้นเปิดงานชิ้นแรกอย่างช่ำชองยิ่ง บอกเล่าประโยชน์ต่างๆ มากมาย แล้วก็บอกราคาต่ำสุด เพียงไม่นานก็เริ่มต้นเสนอราคาประมูลสมบัติครั้งแล้วครั้งเล่า


ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในห้องส่วนตัวของตนเอง จิบสุราไปพลาง ชมดูการต่อสู้แย่งประมูลสมบัติล้ำค่าชิ้นแล้วชิ้นเล่าไปพลาง


“…ฮ่าฮ่า พูดอะไรมากมายเช่นนี้ หากพูดมากไปอีก เกรงว่าจักรพรรดิเทพมากมายก็จะพากันร้อนรนเสียแล้ว นี่ก็เตรียมตัวจะเริ่มต้นประมูลสมบัติ แต่ท้ายที่สุดแล้วข้าก็ขอเตือนประโยคหนึ่ง ‘ไข่มุกทองคำดำ’ มิได้ปรากฏโฉมต่อโลกมาเนิ่นนาน เนิ่นนานเหลือเกินแล้ว หากพลาดเม็ดนี้ไป เกรงว่าไม่รู้อีกเนิ่นนานเท่าใดจึงจะมีเม็ดใหม่ปรากฏขึ้นมาในโลกเทพอีก หรือแม้กระทั่งอาจจะไม่เกิดขึ้นมาใหม่อีกแล้วตลอดกาลก็เป็นได้” ชายชราอาภรณ์เงินพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ราคาประมูลสมบัติต่ำสุดสามร้อยชิ้นหยกแก้วคละถิ่น ราคาทุกครั้งเพิ่มขึ้นอย่างต่ำที่สุดหนึ่งชิ้นหยกแก้วคละถิ่น เริ่มกันเถิด”


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ตกตะลึง


นี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นที่สิบสองของงานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ ทั้งยังเป็นชิ้นที่ราคาตั้งต้นแพงที่สุดอีกด้วย ถึงแม้ว่าสมบัติล้ำค่าชิ้นเปิดงานจะมีราคาสูง แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้ราคาเพียงแค่หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยก้อนกว่าๆ เท่านั้นเอง


ทั่วทั้งสถานที่จัดงานชุมนุมเต็มไปด้วยความเงียบสงัด


เงียบงันไปเป็นเวลาหลายอึดใจ ในที่สุดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “สามร้อยเอ็ดชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”


หลังจากการเสนอราคานี้ก็มีการเสนอราคาตามติดมาอย่างรวดเร็ว


“หยกแก้วคละถิ่นสามร้อยห้าก้อน”


……


“หยกแก้วคละถิ่นสามร้อยสามสิบก้อน”


เสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง


ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ตะตะลึงเพราะเหตุนี้ เพียงแต่ว่าวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ที่มีส่วนช่วยเหลือต่อการบำเพ็ญสายโลหิตคละถิ่นเป็นอย่างมากพรรค์นี้มีแรงดึงดูดต่อตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงน้อยนิดจนสามารถมองข้ามได้


ราคาสุดท้ายของ ‘ไข่มุกทองคำดำ’ ชิ้นนี้พุ่งทะยานไปถึงหยกแก้วคละถิ่นสามร้อยเก้าสิบก้อน!


ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะส่งเสียงจุ๊ปากชื่นชม แต่เขาก็รู้ว่าสมบัติล้ำค่าปิดงานของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ก็คือซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำซากหนึ่ง! ก็เหมือนกับตอนนั้นที่ราชันย์อนธการอมตะโจมตีบนเส้นทางของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น อาศัยซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำซากหนึ่งก็หลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นออกมาได้ โลกเทพแห่งนี้ถึงแม้ว่าจะมิได้มีความเชี่ยวชาญในการหลอมหุ่นเชิดเหมือนกับราชันย์อนธการอมตะ แต่กับการใช้งานซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำเหล่านี้ก็สูงส่งเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ย่อมนำไปสู่ราคาที่สูงเสียจนเกินจริงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว


******


สมบัติล้ำค่าชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกขายออกไปอย่างต่อเนื่อง


“นี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นที่สิบเก้าของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้” ชายชราอาภรณ์เงินชี้ตำราสามเล่มที่ลอยอยู่ด้านข้างพร้อมแผ่ระลอกคลื่นของตัวเองออกมา “นี่คือต้นฉบับตำราการบำเพ็ญระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นสามเล่ม แบ่งออกเป็นร่างไร้ทลายเพลิงทอง เงาฉาย และคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ในบรรดาตำราเหล่านี้ คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศก็คือตำราผู้เหินทะยานวิถีอากาศ ตำราผู้เหินทะยานวิถีอากาศนั้นพบเห็นได้ยากเป็นที่สุด ส่วนอีกสองเล่มเป็นตำราในระดับจักรพรรดิเทพ ร่างไร้ทลายเพลิงทองนั้นเป็นเคล็ดวิชาที่ขึ้นชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญในด้านการรักษาชีวิต ถ้าหากสามารถบำเพ็ญได้สำเร็จแล้วความมั่นใจในการรักษาชีวิตรอดเมื่อเผชิญกับอุปสรรคก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ส่วนเงาฉายเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร”


ชายชราอาภรณ์เงินยิ้มพลางกวาดสายตามองไปทั่วทุกทิศ “ต่อให้ตนเองมิอาจใช้ได้ ก็สามารถซื้อเอาไว้เก็บเป็นสมบัติภายในตระกูลของตนได้ สะสมเอาไว้เป็นขุมทรัพย์ของตระกูล ตำราระดับจักรพรรดิเทพพรรค์นี้สามารถเพิ่มพูนพื้นฐานของขุมอำนาจฝ่ายหนึ่งได้ สามารถบ่มเพาะผู้แกร่งกล้าออกมาเพิ่มมากขึ้นได้ จำหน่ายตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มพร้อมกัน หรือว่าครั้งต่อไปจะยังมีตำราจำหน่ายออกมาอีก แต่อยากจะพบเจอตำราสามเล่มนี้ได้ก็ยากเย็นแล้ว เอาล่ะ ตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มนี้ ราคาขั้นต่ำคือหยกแก้วคละถิ่นแปดสิบก้อน! ทุกครั้งต้องเพิ่มราคาไม่ต่ำกว่าหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งชิ้น! เริ่มการประมูลสมบัติได้!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งตื่นเต้นทั้งแอบโมโห


โมโหที่อีกฝ่ายจำหน่ายตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มพร้อมกัน! ต้องรู้ไว้ว่า ผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพจำนวนหนึ่ง อย่างเช่นจักรพรรดิเทพช่วงกลาง ตำราเหล่านี้มิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อตัวพวกเขามากมายสักเท่าใดนัก แต่สามเล่มรวมกันขึ้นมาแล้ว จะนำมาใช้เสริมคลังขุมทรัพย์ของขุมอำนาจของพวกเขาก็ไม่เลวเลย เพียงพอที่จะทำให้จักรพรรดิเทพจำนวนหนึ่งยอมจ่ายแล้ว


รอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบสงบ


ตามปกติแล้วฝ่ายที่ราคาขั้นต่ำสูงต่างก็ไม่มีทางเสนอราคาง่ายๆ ราคาเช่นนี้ ผู้ที่สามารถเสนอราคาขึ้นมาได้ ตามปกติแล้วก็ต้องเป็นขุมอำนาจของผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพ


“หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบเอ็ดก้อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังเสนอราคาออกนำไปก่อน เขาสังเกตดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในใจก็คาดหวังรอคอย หากผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ล้วนไม่เสนอราคาออกมาเลยจะเป็นการดีที่สุด


“หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบห้าก้อน” น้ำเสียงบาดหูเล็กน้อยสายหนึ่งดังขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น หัวใจขมวดรัดเล็กน้อย วุ่นวายเสียแล้วสิ! เรื่องราวย่อมไม่มีทางเป็นไปตามที่ใจคนปรารถนาได้ทั้งหมด ก็ได้แต่พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว คราวนี้ตำราสามเล่มขายพร้อมกันก็ทำให้ตนรู้สึกเฉยๆ เป็นอย่างยิ่งจริงๆ


“หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบหกก้อน” เสียงกังวานอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน้อยก็มีผู้ที่ต้องการจะครอบครองตำราสามเล่มนี้มากถึงสามฝ่ายแล้ว


คิดไปคิดมาก็เป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง


เช่นสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน เก็บสะสมตำราระดับจักรพรรดิเทพมาเป็นระยะเวลายาวนานจนกระทั่งบัดนี้ก็เพิ่งจะได้เพียงแค่สามชนิดเท่านั้น ตำราสามเล่ม แม้กระทั่งขุมอำนาจที่ค่อนข้างใหญ่จำนวนหนึ่งก็ต้องจิตใจสั่นไหวเพราะสิ่งนี้แล้ว


“หยกแก้วคละถิ่นเก้าสิบก้อน” น้ำเสียงบาดหูนั้นเสนอราคาเพิ่มในทันใด


เงียบสงบไปทั่ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกรามแล้วเอ่ยปากในทันใด “หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยก้อน!” จะเพิ่มราคาก็ยกระดับให้มากสักหน่อย เพื่อจะให้อีกฝ่ายยอมแพ้ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อย ไม่แน่ว่าก็อาจจะถึงขีดจำกัดราคาที่ตนตั้งไว้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงก็เป็นได้


และการเสนอราคาในครั้งนี้ก็คือขีดจำกัดของตนแล้ว! ขายซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้นได้หยกแก้วคละถิ่นมาเก้าสิบหกก้อนกับอีกสามพันศิลาอสนี แต่วันเวลาที่ตนออกล่าอยู่ที่ดินแดนรกร้างมาหนึ่งพันสองร้อยปี, ยามที่ล่าสังหารสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้น ก็ได้ค้นพบสมบัติล้ำค่าต่างๆ ของผู้แกร่งกล้าที่ถูกสัตว์ถิ่นร้างสังหาร รวมกันขึ้นมาแล้วตนก็ประมาณว่าน่ามูลค่าน่าจะเกือบๆ ห้าชิ้นหยกแก้วคละถิ่นกระมัง


“หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยก้อนก็สูงพอแล้ว ควรจะสิ้นสุดได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดหวัง เขาได้พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์เท่านั้นแล้ว


“หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยสามก้อน” น้ำเสียงอาจหาญนั้นดังขึ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าซีดเผือดในทันใด


พลาดเสียแล้ว!


สมบัติล้ำค่าหมดเนื้อหมดตัวก็ยังไม่เพียงพอ


เวลาเคลื่อนผ่านไปก็ยังไม่มีการเสนอราคาที่สูงกว่าออกมา


“ยังมีสูงกว่านี้อีกหรือไม่” ชายชราอาภรณ์เงินมองไปรอบพลางพูดเสียงดังพร้อมรอยยิ้ม


ไม่มีการเสนอราคาที่สูงกว่าออกมา


“หากไม่มีราคาที่สูงกว่าแล้ว ตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มนี้ก็สิ้นสุดการประมูลสมบัติแล้ว” ชายชราอาภรณ์เงินค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นช้าๆ พลางมองไปทั่วทั้งสี่ทิศ จากนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาในที่สุดพร้อมโบกมือคราหนึ่ง “เอาล่ะ ตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มนี้ประมูลสมบัติสิ้นสุดแล้ว! เริ่มการประมูลสมบัติล้ำค่าชิ้นต่อไปได้”


ยามที่เขาโบกมือ ผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างก็เก็บตำราระดับจักรพรรดิเทพสามเล่มขึ้นมาแล้วร่นถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว


แล้วก็มีสมบัติล้ำค่าชิ้นใหม่ ไหสุราหน้าตาแปลกประหลาดใบหนึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ชายชราอาภรณ์เงินก็เริ่มต้นอธิบายสมบัติล้ำค่าชิ้นต่อไป


……


แต่ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่เป็นสุขสักเท่าใดนัก เขาก็รู้ว่าเรื่องราวในโลกยากจะเป็นไปได้ตามใจนึกทั้งหมด แต่ว่าราคาสุดท้ายคือหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งร้อยสามก้อน! ขาดเพียงแค่หยกแก้วคละถิ่นสามก้อนเท่านั้น ขาดอีกเพียงนิดเดียวแค่นี้เท่านั้นเอง! ทำให้ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงทุกข์ระทมเป็นอย่างยิ่ง


“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเคร่งขรึมพลางรับสัมผัสอย่างละเอียด


เป็นถึงยอดฝีมือระดับวิถีอากาศขั้นสุดยอด โดยเฉพาะในตอนนี้ระดับขั้นของเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว การโคจรกฎเกณฑ์ของโลกเทพนี้ เขาก็ศึกษาจนเข้าใจอย่างกระจ่างชัดยิ่งขึ้นแล้ว สายเหตุปัจจัยสายแล้วสายเล่าในบรรดานั้นเขาก็สามารถตรวจสอบล่วงรู้ได้เช่นกัน คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศที่จะต้องได้มาครอบครองให้จงได้มาถูกผู้อื่นช่วงชิงไป นี่ก็เป็นเหตุปัจจัยอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน! ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถตามสายเหตุปัจจัยนี้ ค้นพบว่าสายเหตุปัจจัยก็เชื่อมต่ออยู่ภายในห้องส่วนตัวอีกแห่งหนึ่งของสถานที่จัดงานชุมนุมประมูลสมบัติแห่งนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่ได้ครอบครองตำราสามเล่มนั้นก็อยู่ภายในห้องส่วนตัวแห่งนั้นนั่นเอง


พูดถึงพลังยุทธ์


เขาเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอด แต่สำหรับการควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ผิวเผินเกินไป พูดถึงการสะกดรอยนั้นเกรงว่าเขาจะสามารถเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายบางคนเลยทีเดียว อย่างเช่นระดับความร้ายกาจของการสะกดรอยของ ‘เจ้าเมืองอนันต์’ ที่ดินแดนจิตโลกานั้นยังร้ายกาจกว่าบรรดายอดเคารพของหุบเขาเขี้ยวหักเสียอีก


“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้นแล้วเดินตรงออกไปจากห้องส่วนตัว


“จ้าวเทพไม่ประมูลสมบัติแล้วหรือเจ้าคะ” สาวใช้ชุดเขียวภายในห้องส่วนตัวเอ่ยถาม


“ออกไปเดินเล่นสักหน่อยน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เจ้าไม่ต้องตามมาหรอก”


สาวใช้ชุดเขียวก็ย่อมมิกล้าซักไซ้ต่อไปอีก ได้แต่คอยท่าอยู่ภายในห้องส่วนตัว


ออกมาจากห้องส่วนตัวแล้ว


เดินไปตามทางเดิน ด้านข้างก็มีห้องส่วนตัวอื่นๆ อยู่อีก


ถึงแม้ว่าเมื่อครู่จะต่างคนต่างเสนอราคา แต่ด้วยวิธีการของหอจิตฟ้า ลำพังแค่ฟังเสียงก็ย่อมไม่มีทางแยกแยะได้อยู่แล้วว่าเป็นห้องส่วนตัวห้องไหนที่เสนอราคา


สำหรับ ‘เหตุปัจจัย’ นั้นหอจิตฟ้าก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้


“ห้องนี้แหละ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินมาถึงด้านนอกห้องส่วนตัวห้องหนึ่งแล้วถ่ายเสียงตรงเข้าไปอย่างค่อนข้างเกรงอกเกรงใจ เสียงส่งผ่านเข้าไปภายในห้องส่วนตัวแห่งนี้ “ข้าคือจ้าวเทพเมฆาเขียว อยากจะใช้หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบก้อนซื้อต้นฉบับตำราการบำเพ็ญคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ หรือว่าจะให้หยั่งรู้คัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศนี้สักครั้งก็ได้ หยั่งรู้ครั้งหนึ่งจะให้จ่ายราคาเท่าไหร่ก็สามารถเสนอมาได้เต็มที่เลย”


เสียงส่งผ่านเข้าไปเพียงแค่ในห้องส่วนตัว มิได้กระจายออกไปภายนอก


ตงป๋อเสวี่ยอิงรอคอย


หยกแก้วคละถิ่นแปดสิบก้อนเพียงเพื่อคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศ ราคาก็สูงพอสมควรเลยทีเดียว! ต่อให้อีกฝ่ายต้องการจะเก็บสะสมต้นฉบับเอาไว้ ตนศึกษาครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว!


“ไสหัวไป!” น้ำเสียงห้าวหาญที่ค่อนข้างจะโกรธเคืองสายหนึ่งส่งถ่ายออกมา พร้อมกันนั้นก็ยังได้ยินเสียงก่นด่า “หอจิตฟ้าของพวกเจ้ารักษาความลับกันเช่นนี้หรือ ให้เขาไสหัวไปให้พ้นหูพ้นตาข้าเสีย!”

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 32 กระต่ายตื่นตูม

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย ตนเองก็เพียงแค่ยื่นข้อเสนอให้เท่านั้น อีกทั้งเงื่อนไขก็ยังดียิ่งนัก ถึงขนาดที่เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้อีกฝ่ายโกรธเคือง เขาก็ยังจงใจถ่ายเสียง และมิให้เสียงแพร่กระจายออกไปกระทบกับอีกฝ่าย


“เอี๊ยด” ประตูห้องส่วนตัวเปิดออก


สาวใช้ชุดเขียวคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ผู้ดูแลหญิงผู้นี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงพลางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “จ้าวเทพท่านนี้ ตอนนี้งานชุมนุมประมูลสมบัติกำลังดำเนินไปอยู่ ได้โปรดอย่ามารบกวนแขกผู้มีเกียรติภายในห้องส่วนตัวเลยนะเจ้าคะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองห้องส่วนตัวปราดหนึ่งก่อนจะหันหน้าเดินไป


หลังจากที่ผู้ดูแลหญิงผู้นี้มองส่งตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปด้วยสายตาแล้วจึงกลับไปยังห้องส่วนตัว


ภายในห้องส่วนตัว


มีเงาร่างในอาภรณ์ดำตัวหลวมโพรกนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ตลอดร่างของเขาปกคลุมด้วยชั้นหนังกำพร้าที่มีเกล็ดสีเขียว บนใบหน้าเต็มไปด้วยชั้นหนังกำพร้าที่มีเกล็ดอันบิดเบี้ยว อัปลักษณ์เป็นที่สุด นัยน์ตาทั้งคู่ก็ราวกับอำพันสีเหลือง แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายจางๆ เขามองผู้ดูแลหญิงอาภรณ์เขียวที่เดินเข้ามาผู้นั้นอย่างเยียบเย็นปราดหนึ่ง ถึงแม้ว่าผู้ดูแลหญิงจะค่อนข้างเคารพนบนอบ แต่ก็สงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง พวกนางต่างก็เป็นผู้ดูแลของหอจิตฟ้า ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติต่อแขกด้วยความเคารพ แต่บรรดาแขกเหรื่อก็ไม่กล้าลงมือกับบรรดาผู้ดูแลเหล่านี้


“จ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นั้นจากไปแล้วเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงผู้นี้เอ่ยรายงาน


“เฮอะ หอจิตฟ้าควรจะรักษาข้อมูลของแขกในงานชุมนุมประมูลสมบัติเอาไว้เป็นความลับอย่างสมบูรณ์แบบนะ ข้าเพิ่งจะประมูลตำราสามเล่มนั้นมาได้ เขาหาตัวข้าพบแล้วได้อย่างไรกัน” เงาร่างอาภรณ์ดำนี้เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ นัยน์ตาสีเหลืองเข้มดุจอำพันจ้องมองผู้ดูแลหญิงอาภรณ์เขียว


ผู้ดูแลหญิงอาภรณ์เขียวกลับกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “จักรพรรดิเทพ ชื่อเสียงของหอจิตฟ้าของข้านั้นไม่มีข้อกังขาเลย หอจิตฟ้าดูเหมือนว่าจะกระจายตัวอยู่ในปราการเมืองทุกแห่งทั่วทั้งโลกเทพ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีเรื่องการเปิดเผยข้อมูลของแขกในงานชุมนุมประมูลสมบัติมาก่อนเลย นอกจากนี้ ท่านจักรพรรดิเทพเพิ่งจะประมูลได้ จ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นี้ก็มาถึงที่นี่แล้ว เกรงว่าคงจะอาศัยพวกเคล็ดการสะกดรอยค้นพบตัวตนของท่านจักรพรรดิเทพ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหอจิตฟ้าของข้าเลยเจ้าค่ะ! เรื่องที่เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของหอจิตฟ้าของข้า ขอท่านจักรพรรดิเทพได้โปรดอย่าเอ่ยถึงอีกเลยนะเจ้าคะ”


เงาร่างอาภรณ์ดำส่งเสียงเฮอะเสียงหนึ่งแล้วก็มิได้พูดอะไรอีก


ตัวเขาเองก็เข้าใจกระจ่างดีว่าหอจิตฟ้าให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมากเพียงใด แล้วจะรั่วไหลได้อย่างไรกัน ต่อให้รั่วไหลก็ไม่มีทางรวดเร็วถึงเพียงนี้อยู่แล้ว


“จ้าวเทพผู้หนึ่งหรือ” เงาร่างอาภรณ์ดำมองลงไปยังการประมูลสมบัติที่กำลังดำเนินอยู่ภายในสถานที่จัดงานชุมนุม แต่ความคิดมากมายกลับพรั่งพรู “จ้าวเทพพลังยุทธ์ต้อยต่ำ น่าจะยังไม่สามารถสะกดรอยได้ เบื้องหลังของเขาคงจะมีจักรพรรดิเทพท่านไหนอยู่สักท่านหนึ่ง หรือว่านอกจากน้องโลหิตทมิฬที่กำลังไล่ล่าสังหารข้าแล้ว ยังมีจักรพรรดิเทพคนอื่นเพ่งเล็งข้าอยู่อีกหรือ”


นัยน์ตาดุจอำพันของเงาร่างอาภรณ์ดำนั้นมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้าง


“สมควรตาย! ไม่ว่าอย่างไรก็ได้ร่างไร้ทลายเพลิงทองมาไว้ในมือแล้ว มีตำราการบำเพ็ญศาสตร์นี้เป็นแหล่งอ้างอิง เชื่อว่าข้าก็จะสามารถหลอมแปรควบคุมไข่มุกทองคำดำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาน้องโลหิตทมิฬจะทำอะไรข้าได้อีกเล่า” นัยน์ตาของเงาร่างอาภรณ์ดำสาดประกายเยียบเย็น “หึๆ ไม่ว่าจะยังมีจักรพรรดิเทพท่านไหนจับจ้องข้า กาเหว่าภูษา ผู้ที่จะหัวเราะจนถึงนาทีสุดท้ายได้ก็ยังคงเป็นข้าเช่นเคย”


ถึงแม้ว่าจะคิดเช่นนี้ แววตาของเงาร่างอาภรณ์ดำก็ยังเยียบเย็นเป็นอย่างยิ่ง แววตาก็ยังมีความกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างไรจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลัง ‘จ้าวเทพเมฆาเขียว’ ท่านนั้น ที่แท้แล้วมีพลังยุทธ์เช่นไรก็ยังรู้ไม่กระจ่างชัดนัก


พละกำลังการบำเพ็ญสายโลหิตคละถิ่น โดยทั่วไปแล้วต่างก็ไม่เชี่ยวชาญการสะกดรอย แน่นอนว่าบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นจำนวนหนึ่งในบรรดาจักรพรรดิเทพ โดยทั่วไปแล้วฝีมือในการสะกดรอยต่างก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง! ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ รู้สึกว่าบุคคลระดับนั้นคงไม่น่าจะมาคิดบัญชีกับเขา เพราะว่าเพียงแค่ออกคำสั่งเสียงหนึ่ง เขาก็ยอมก้มหัวอย่างเชื่อฟังแล้ว


“ผู้ที่ชื่อว่าจ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นี้ จักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังเขา เกรงว่าพลังยุทธ์ก็คงจะมิได้แข็งแกร่งไปกว่าข้าสักเท่าใดนักหรอก! อย่างมากก็แค่เชี่ยวชาญในการสะกดรอยเท่านั้นกระมัง” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาพึมพำ


ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ฝืมือการสะกดรอยก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว


……


กลับไปถึงห้องส่วนตัวของตน


ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปตรงหน้าตั่งแล้วนั่งขัดสมาธิลง พลางยกจอกสุราขึ้นจิบอึกหนึ่ง สาวใช้ด้านข้างช่วยรินสุราเพิ่มให้ในทันใด


“ผู้ที่ประมูลตำราสามเล่มรวมถึงคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศไปได้ผู้นั้นเป็นคนบ้าหรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค่อนข้างเดือดดาล รู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่ายออกจะ ‘เกินไป’อยู่บ้าง แต่เขาย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าขณะนี้อีกฝ่ายกำลังเป็น ‘กระต่ายตื่นตูม’ เขาไปเจรจาอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่อีกฝ่ายกลับเผยความรู้สึกไม่เป็นสุขและความหวาดหวั่นที่ถูกพบตัว


ถ้าหากในใจสงบ ก็ย่อมสามารถเจรจาต่อรองดีๆ ได้อยู่แล้ว


‘กระต่ายตื่นตูม’ ตัวหนึ่ง การคุกคามใดๆ ก็ย่อมทำให้อีกฝ่ายระแวดระวังอย่างหาใดเปรียบอยู่แล้ว!


“คราวนี้มาประมูลสมบัติที่หอจิตฟ้า แต่กลับไม่สามารถประมูลคัมภีร์แมลงมารห้วงอากาศนี้ไปได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงผิดหวังอยู่บ้าง เขาพลิกดูม้วนสาส์นที่บันทึกลำดับการประมูลสมบัติตรงหน้า ถึงอย่างไรก็เข้าร่วมงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้แล้ว งานชุมนุมประมูลสมบัติระดับนี้ แม้กระทั่งโลกเทพก็ยังนานๆ ครั้ง จึงจะมีได้สักคราหนึ่ง ย่อมไม่มีทางกลับไปมือเปล่าอยู่แล้ว


เพียงแต่ว่างานชุมนุมประมูลสมบัตินี้ สมบัติล้ำค่ามากมายต่างก็มีแรงดึงดูดต่อประชากรโลกเทพเป็นอย่างมาก แต่สำหรับเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง กลับมีแรงดึงดูดเพียงน้อยนิดอย่างยิ่ง!


“เอาชิ้นนี้ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกใจสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง


อย่างช้าๆ…


ในที่สุดก็มาถึงสมบัติล้ำค่าชิ้นที่สามสิบสองของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ จักรพรรดิเทพ ชายชราอาภรณ์เงินชี้หอกยาวเล่มหนึ่งที่ลอยอยู่ด้านข้าง หอกยาวเป็นสีทองอร่ามตาตลอดทั้งเล่ม แต่บนปลายหอกกลับมีพื้นผิวสีแดงโลหิต “ทุกท่านล้วนรู้จักหอกเทพเปลวทองกันดีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรพเทวะคละถิ่นแห่งตระกูลจินเซิ่งหลอมขึ้นมาเองกับมือในตอนนั้น เมื่อใดที่ถูกทิ่มแทงเข้าไป ตลอดร่างก็จะราวกับถูกแผดเผา ทำลายร่างกายได้อย่างมหาศาล ฮ่าฮ่า หอกเทพพรรค์นี้ก็คงไม่ต้องให้ข้าพูดอะไรมากแล้ว ราคาต่ำสุดคือหยกแก้วคละถิ่นห้าสิบก้อน ราคาที่เพิ่มขึ้นแต่ละครั้งต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชิ้นหยกแก้วคละถิ่น เริ่มประมูลสมบัติได้!”


“ห้าสิบเอ็ดชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”


“ห้าสิบสองชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”


มีการเสนอราคาอย่างต่อเนื่องในทันใด


ฟังดูแล้วหอกเทพเปลวทองนี้มีความเป็นมาอันยิ่งใหญ่นัก เป็นถึงสิ่งที่บรรพเทวะคละถิ่นเบื้องหลังตระกูลจินเซิ่ง หนึ่งในสามตระกูลราชันย์ผู้นั้นหลอมขึ้นมาเองกับมือ แต่ในความเป็นจริงแล้วเหล่าผู้แกร่งกล้าของโลกเทพต่างก็รู้กระจ่างกันดีว่าบรรพเทวะคละถิ่นท่านนั้นได้หลอมอาวุธขึ้นมาเป็นจำนวนมากเพื่อลูกหลานรุ่นหลังของตน ในบรรดาอาวุธเหล่านั้น ‘หอกเทพเปลวทอง’ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะสามัญธรรมดาได้หลอมเอาไว้เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว


ว่ากันว่า ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ มีพลพรรคอยู่กลุ่มหนึ่ง ยอดฝีมือภายในนั้นดูเหมือนว่าแต่ละคนต่างก็มีหอกเทพเปลวทองกันทั้งสิ้น ร่วมมือกันขึ้นมาแล้วก็ยังสามารถสำแดงเคล็ดการร่วมโจมตีอันน่าหวาดหวั่นได้


ลำพังแค่หอกเทพเปลวทองเล่มหนึ่งก็นับได้ว่าไม่เลวแล้ว แต่ตามปกติแล้วก็มีแต่บรรดายอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นเท่านั้นที่จะเห็นอยู่ในสายตา


ต่อให้ความเป็นมายิ่งใหญ่กว่านี้แล้วอย่างไรเล่า เหล่าผู้แกร่งกล้าสนใจอาวุธที่มีส่วนช่วยส่งเสริมพลังยุทธ์ของตนเองมากกว่า


“ห้าสิบแปดชิ้นหยกแก้วคละถิ่น”


“หยกแก้วคละถิ่นหกสิบชิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เสนอราคาออกไปเช่นกัน


หลังจากที่เขาเสนอออกไปแล้วกลับไม่มีการเสนอราคาตามมาอีกเลย


หอกเทพเปลวทองเล่มนี้ย่อมต้องถูกเขาประมูลมาไว้ในมืออยู่แล้ว เพราะว่าอาวุธมาตรฐานชิ้นหนึ่งที่เป็นของภายในตระกูลจินเซิ่ง ในความเป็นจริงแล้วที่สืบทอดต่อกันมาก็มีอยู่มากพอสมควรแล้ว ราคาโดยทั่วไปน้อยนักที่จะสูงเกินกว่าหยกแก้วคละถิ่นหกสิบก้อน


สิ่งที่มีจำนวนมาก เมื่อเทียบกันแล้วราคาก็ค่อนข้างนิ่งกว่า


จะมีก็แต่พวกที่พบเห็นได้ยากถึงขนาดที่เกิดขึ้นมาอันหนึ่งแล้วยากที่จะมีชิ้นที่สองปรากฎขึ้นมาอีก ราคาก็บอกได้ยากแล้ว


พบเจอกับสิ่งที่อยากได้เป็นที่สุด ราคาจะเพิ่มเป็นเท่าตัวก็เป็นไปได้


เพียงไม่นาน


หอกเทพเปลวทองเล่มนั้นก็ถูกส่งมาถึงยังห้องส่วนตัวของตงป๋อเสวี่ยอิง


“อืม” เมื่อกุมหอกเทพเปลวทองเล่มนี้ หอกยาวก็หนักแน่นราวกับภูเขาสูงพันลี้แห่งหนึ่งภายในโลกเทพ ตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมแปรอย่างรวดเร็ว สัมผัสรับรู้แทรกผ่านทุกอณูของหอกยาว หอกยาวดูเหมือนจะหลอมแปรอย่างง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเร้นลับเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่หนึ่งในสามผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่ก่อกำเนิดโลกเทพแห่งนี้หลอมขึ้นมากับมือตนเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นอาวุธมาตรฐาน แต่ก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน


เมื่อหลอมแปรแล้วหอกเทพเล่มนี้ยามอยู่ในมือก็เบาลง เขาขัดเกลาโดยละเอียดรอบหนึ่ง “วัสดุของหอกยาวเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะมีเม็ดทรายอลวนผสมอยู่ด้วยใช่หรือไม่”


อาวุธเทพคละถิ่น ‘ชิงเหอ’ ของตนเล่มนั้น ดูเหมือนว่าจะมีเม็ดทรายอลวนเป็นองค์ประกอบหลัก อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่หยวนตั้งใจดัดแปลงขึ้นเพื่อตน ทว่าหอกเทพเล่มนี้มีเม็ดทรายอลวนเป็นส่วนผสมอยู่น้อยกว่า  เมื่อเทียบกันแล้ววัสดุที่ใช้ก็ธรรมดากว่า แต่หลังจากที่ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นหลอมขึ้นมาแล้ว พูดถึงความทนทานของอาวุธเพียงอย่างเดียว ‘หอกเทพเปลวทอง’ เล่มนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่าหอกเทพชิงเหอเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่ามิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อการแสดงพลังคละวิถีมากเท่ากับหอกเทพชิงเหอ


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆแล้วเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยความแข็งแรงของวัสดุของหอกเทพเปลวทองเล่มนี้ เกรงว่าก่อนที่จะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็คงยากที่จะทำลายได้ อีกทั้งเมื่อปลายหอกนี้แทงทะลุศัตรูก็มีพลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งเป็นที่สุด ก็นับเป็นตัวช่วยที่ดีทีเดียว”


มีอาวุธเทพชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ ก็สามารถสำแดงวิชาหอกของตนออกมาได้


เคล็ดวิชาวิถีอากาศของตนจำนวนมากพอสมควรต่างก็มีผลลัพธ์ดีที่สุดเมื่อสำแดงด้วยหอกยาว


……


งานชุมนุมประมูลสมบัติดำเนินต่อไปอีกเป็นระยะเวลากว่าครึ่งวัน ในที่สุดก็มาถึงสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายในครั้งนี้ ทั้งยังเป็นสมบัติล้ำค่าดาวเด่นอีกด้วย


“เมื่อการประมูลสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายสิ้นสุดลงแล้ว งานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้ก็จะสิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน” จักรพรรดิเทพเยี่ยน ชายชราอาภรณ์เงิน พูดพลางยิ้มน้อยๆ “ฮ่าฮ่า เชื่อว่าจักรพรรดิเทพจำนวนมากคงจะรอคอยกันไม่ไหวแล้ว เชื่อว่าทุกท่านคงจะทราบกันดีว่าสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทั่วทั้งโลกเทพมีอยู่ทั้งสิ้นกว่าพันชนิด ยังมีบางส่วนที่ถูกผู้แกร่งกล้าอย่างจ้าวหุบเขาฝูหลิ่วและเจ้าลัทธิค้ำฟ้าคุ้มครองเอาไว้อีกด้วย ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทุกซากล้วนล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง สมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายของงานชุมนุมประมูลสมบัติในครั้งนี้ก็คือซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากหนึ่ง”


พูดแล้วเขาก็โบกมือคราหนึ่ง ห้วงมิติด้านบนก็บิดเบี้ยว ภายในห้วงมิติที่บิดเบี้ยวก็มีซากศพซากหนึ่งล่องลอยอยู่


โลกเทพ ทุกฝ่ายต่อสู้ห้ำหั่นกัน เหล่าผู้แกร่งกล้าและเหล่าผู้เหินทะยานของโลกเทพห้ำหั่นกันก็แล้วไปเถิด พวกเขาล่าสังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำเหล่านั้นก็เพื่อปีนป่ายไปถึงระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกเช่นกัน

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 33 นกกระจาบเหลืองตามหลัง

 

“ซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าอธิบายอะไรให้มากความ ทุกท่านสามารถตรวจสอบทุกอย่างดูได้โดยตรงเลย ตอนนี้การประมูลสมบัติก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ราคาขั้นต่ำหยกแก้วคละถิ่นหนึ่งหมื่นสองพันก้อน การเสนอราคาทุกครั้งต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งชิ้นหยกแก้วคละถิ่น” จักรพรรดิเทพเยี่ยน ชายชราอาภรณ์เงินมองไปรอบทิศพลางพูดเสียงดัง สมบัติล้ำค่าอื่นๆ ทั้งหมดในงานชุมนุมประมูลสมบัติครั้งนี้รวมกันขึ้นมาแล้วจึงพอจะเทียบเคียงกับซากศพนี้ได้อย่างพอถูไถ ราคาขั้นต่ำนี้ก็ทำให้เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายภายในสถานที่จัดงานชุมนุมแห่งนี้ตกตะลึงแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ทอดถอนใจเช่นกัน


หยกแก้วคละถิ่นหนึ่งหมื่นสองพันก้อนอย่างนั้นหรือ


อ้างอิงจากความรู้ความเข้าใจของตน เกรงว่าผู้แกร่งกล้าระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงกลาง’ ก็ยังจ่ายหยกแก้วคละถิ่นมากมายถึงเพียงนี้ออกมาไม่ไหวเลย ต้องเป็นบุคคลระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’! อย่าว่าแต่จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเลย ตามปกติแล้วต่างก็สามารถมีชื่ออยู่ใน ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ แล้วด้วยซ้ำ!


“หนึ่งหมื่นสามพันหยกแก้วคละถิ่น” น้ำเสียงบาดหูเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้แกร่งกล้ามากมายในที่นั้นรวมถึงตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้วต่างก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนยวบ นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย นี่เพิ่งจะแค่เอ่ยปากพูดเท่านั้นเอง ถ้าหากสำแดงเคล็ดวิชาออกมาจริงๆ เกรงว่าตนเองคงต้านเอาไว้ไม่ไหวแม้แต่กระบวนท่าเดียวกระมัง


“หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยหยกแก้วคละถิ่น” เสียงของผู้เฒ่าอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น


ผู้ที่ประมูลซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากนี้หลักๆ ก็คือผู้แกร่งกล้าสามฝ่าย เห็นได้ชัดว่าแต่ละคนล้วนมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา


ราคาสุดท้ายกำหนดอยู่ที่ ‘หนึ่งหมื่นเก้าพันแปดร้อยหยกแก้วคละถิ่น’ ราคานี้ทำให้เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายตกตะลึง แต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดทุกตนต่างก็เป็นหนึ่งไม่มีสอง หากพลาดไปแล้วก็คือพลาดไปตลอดกาล จะมีมูลค่าสูงจนชวนให้คนตื่นตกใจก็เป็นเรื่องปกติ


“เพียงแต่ว่าซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดซากนี้ไม่มีประโยชน์ต่อข้าเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำนี้แฝงไว้ด้วยพลังของวารีเพลิง ส่วนใหญ่ของร่างกายต่างก็เป็นการแสดงความเร้นลับของกฎเกณฑ์วารีเพลิงในระดับขั้นอลวน ก็ย่อมมิได้มีประโยชน์อะไรมากมายต่อเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญวิถีอากาศและวิถีเขตลวงโลกเทียมคนหนึ่งอยู่แล้ว


******


งานชุมนุมประมูลสมบัติสิ้นสุดลง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงพำนักอยู่ที่หอจิตฟ้าแห่งนี้เป็นการชั่วคราวต่อไป


“หลังจากที่งานชุมนุมประมูลสมบัติของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว ก็ปลีกวิเวกอยู่ที่หอจิตฟ้าเลยก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่โรงสุราริมถนนแห่งหนึ่งในเมืองเจียงหยวน กินอาหารจานเด็ดและสุราชั้นเลิศที่โรงสุราแห่งนี้เชี่ยวชาญ เขาอาศัยเคล็ดการสะกดรอยก็ย่อมสามารถล่วงรู้ได้อยู่แล้วว่าผู้ที่ซื้อตำราไปก็คือจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา “จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ชื่อเสียงไม่ใคร่จะดีนัก ในข้อมูลสาธารณะบันทึกเอาไว้ว่าเขาเคยสังหารจักรพรรดิเทพคนอื่นมาแล้วถึงสองครั้ง”


จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้น


จักรพรรดิเทพที่เขาเคยสังหาร ก็ย่อมเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นกันทั้งหมด ในความเป็นจริงแล้ว ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ทั่วทั้งโลกเทพ ก็ปาเข้าไปร้อยละเก้าสิบเก้าของจักรพรรดิเทพทั้งหมดแล้ว อย่างเช่น ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ผู้ปกครองของเมืองจวิ้นซาน ก็เป็นเพียงแค่จักรพรรดิเทพช่วงต้นเท่านั้น มาถึงขั้นนี้แล้ว การยกระดับทุกก้าวต่างก็ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง


‘การปลิดชีพชิงสมบัติ’ ก็ย่อมทำกำไรได้รวดเร็วแน่นอนอยู่แล้ว


ถ้าหากเสาะหาสัตว์ถิ่นร้างอย่างยากลำบากอยู่ท่ามกลางดินแดนรกร้าง ข้อแรก ไม่มีศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ตามปกติแล้วภายในอาณาเขตอันใหญ่โตผืนหนึ่งก็จะมีสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอยู่เพียงแค่ตนเดียวเท่านั้น จากอาณาเขตผืนหนึ่งไปยังอาณาเขตที่มีสัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอีกแห่งนั้นจำเป็นต้องใช้เวลายาวนาน ข้อสอง สัตว์ถิ่นร้างระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดจำนวนมากต่างก็มีการรักษาชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่ง จักรพรรดิเทพช่วงต้นก็ยังสังหารได้ยากนัก พวกเขามิได้เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ กวาดล้างสังหารได้อย่างง่ายดาย


สังหารสัตว์ถิ่นร้างอย่างยากลำบาก กินระยะเวลายาวนาน ทั้งยังลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง


แต่การปลิดชีพจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ น่ะหรือ


สังหารคนหนึ่งก็ได้กำไรงามแล้ว! กำไรที่ได้จากจักรพรรดิเทพที่ถูกสังหาร ก็แทบจะเป็นการสั่งสมมาทั้งชีวิต!


ที่โลกเทพก็มีผู้แกร่งกล้าอยู่มากพอสมควรที่ชอบทำเรื่องพรรค์นี้ ถึงอย่างไรบนเส้นทางของผู้แกร่งกล้า พวกเขาก็จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อทรัพยากร นี่คือวิธีการที่เป็นอันตรายแต่สามารถกอบโกยได้มากที่สุด


“จ่ายในราคาสูงพอ หอจิตฟ้าก็สามารถอารักขาความปลอดภัยหมื่นปีของผู้พำนักได้เป็นหมื่นปี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ระยะเวลาหมื่นปีผ่านไป หอจิตฟ้าก็มิอาจอารักขาต่อไปได้อีกแล้ว”


เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง


หอจิตฟ้ากระจายตัวอยู่แทบทุกเมืองในโลกเทพ ลำพังแค่พลังของเมืองแห่งหนึ่งก็มิได้แข็งแกร่ง ผู้ที่พวกเขาพึ่งพาก็คือ ‘เผ่าจิตฟ้า’ หนึ่งในสามตระกูลราชันย์ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่มีผู้แกร่งกล้าหน้าไหนกล้าไปยั่วยุกฎเกณฑ์ที่สามตระกูลราชันย์กำหนดเอาไว้ แต่เผ่าจิตฟ้าก็มิอาจทำอะไรมากเกินไปได้ อารักขาหมื่นปีก็เพียงพอแล้ว ถ้าหาก ‘อารักขาชั่วนิรันดร์’ ก็อาจจะบีบให้บรรดาจักรพรรดิเทพที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งฉีกหน้าเอาได้!


ไม่ไว้หน้าอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าสามตระกูลราชันย์จะแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากบรรพเทวะคละถิ่นไม่มาเยือน พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรบุคคลที่น่าหวั่นเกรงที่สุดบางคนในบรรดาจักรพรรดิเทพได้เลย


เพียงแค่อารักขาหมื่นปีเท่านั้น ทุกคนยังอยากที่จะไว้หน้าหอจิตฟ้าอยู่


……


เพียงพริบตา งานชุมนุมประมูลสมบัติก็ผ่านพ้นไปแปดพันปีเศษแล้ว


ราตรีกาล


“สวบ”


จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาห่อหุ้มร่างด้วยอาภรณ์สีดำแล้วจากหอจิตฟ้ามาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง เคลื่อนผ่านบนถนนภายใต้มุมมืดราวกับเงาสีดำสายหนึ่งก็มิปาน


“หึ ในที่สุดจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ก็ไปจากหอจิตฟ้าแล้ว ยังคิดว่าเขาจะหลบซ่อนตัวไปจนถึงระยะเวลาหนึ่งหมื่นปีเต็มเสียอีก” บริเวณข้างหอจิตฟ้าห่างออกไปไม่ไกล เงาร่างสองสายปรากฏตัวกลางอากาศ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมองไม่เห็นจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาที่ซ่อนเร้นร่องรอยระหว่างการหลบหนี ทว่ากลับสามารถรับสัมผัสถึงเขาได้อย่างง่ายดาย


“ตราคำสาปวิญญาณที่พวกเราทิ้งเอาไว้บนร่างของเขา ไม่ว่าเขาจะหนีไปที่ไหน เขาก็ไม่มีทางหนีการล่าสังหารของพวกเราได้พ้นหรอก! สังหารน้องรองแล้วก็ไล่ล่าไปทั่วทั้งโลกเทพด้วยความแค้น ก็จะต้องทำให้เขาชดใช้ด้วยชีวิตให้ได้” บุรุษโหดเหี้ยมร่างบึกบึนผู้หนึ่งขบกรามพูด ข้างกายเขาก็คือหนุ่มน้อยผู้เย็นชาคนหนึ่ง “ความแค้นของพี่รองต้องชำระอย่างแน่นอน ตามไปเร็ว”


“ตามไปเร็วเข้า”


เงาร่างสองสายนี้ไล่ตามไปอย่างรวดเร็วด้วยการรับสัมผัสตามรอยตราคำสาปวิญญาณ


ในขณะเดียวกันกับที่พวกเขาสองคนสะกดรอย


เงาร่างสายหนึ่งก็บินมาจากกลางหอจิตฟ้า ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง


“ผู้ที่ไล่ตามติดจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาไป ก็คือน้องโลหิตทมิฬกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ น้องสามโลหิตทมิฬก็คือสหายร่วมเป็นร่วมตาย เป็นพี่น้องที่สามารถเป็นตายพร้อมกันได้ นับตั้งแต่หลังจากที่พี่น้องรองของพวกเขาถูก ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ ลอบสังหารชิงสมบัติแล้ว สองคนที่น้องโลหิตทมิฬเหลือเอาไว้ ตลอดมาก็ยังไล่ตามมิได้ ไล่ตามจนจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาหนีหัวซุกหัวซุน


ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วตามติดไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงติดตามไปชั่วขณะหนึ่ง


“หืม ไม่มีคนแล้วหรือ”


สายลมอ่อนสายหนึ่งรวมตัวกันเป็นเงาร่างสายหนึ่ง เขามองทิศทางที่น้องโลหิตทมิฬและตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตามไปอยู่ห่างๆ “ฟังสิ่งที่กาเหว่าภูษาพูด น้องโลหิตทมิฬ และเบื้องหลังจ้าวเทพเมฆาเขียวน่าจะยังมีจักรพรรดิเทพคอยจับจ้องเขาอยู่ ข้าสังเกตการณ์อยู่ในความมืดมาเนิ่นนานพอสมควร จ้าวเทพเมฆาเขียวผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ เสียด้วย ทว่ากลับไม่เห็นจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังเขาเลยอย่างนั้นหรือ”


เงาร่างเลือนรางที่เกิดจากสายลมอ่อนรวมตัวกันขึ้นมาร่างนี้มีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่บ้าง เขาออกจะไม่เชื่อสักเท่าใดนัก จ้าวเทพผู้หนึ่งถึงกับกล้าสะกดรอยจักรพรรดิเทพคนหนึ่ง! ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพ จ้าวเทพช่วงสุดยอดก็เพียงแค่เทียบเคียงได้กับจักรพรรดิเทพช่วงต้นในบรรดาประชากรธรรมดาทั่วไปของโลกเทพเท่านั้น ย่อมไม่สามารถคุกคามไปถึงชีวิตของ ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปไกลได้อยู่แล้ว


แต่เรื่องจริงเป็นเช่นนี้!


“ย่อมไม่มีอะไรสามารถหนีการตรวจสอบของข้าไปได้อยู่แล้ว รอบกายของจ้าวเทพเมฆาเขียวไม่มีจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ อยู่แล้วจริงๆ จักรพรรดิเทพผู้ยิ่งใหญ่ คงจะไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของจ้าวเทพผู้หนึ่งได้หรอกกระมัง” เงาร่างเลือนรางนี้ลอบบ่นพึมพำ จักรพรรดิเทพต่างก็มีความทะนงตนกันเป็นอย่างยิ่ง มิใคร่จะเห็นจ้าวเทพอยู่ในสายตากันสักเท่าใดนัก


แม่ทัพเทพไปถึงจ้าวเทพเป็นการก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่


จ้าวเทพไปถึงจักรพรรดิเทพก็เป็นการก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่เช่นเดียวกัน


“น้องโลหิตทมิฬนั้นยากยิ่งที่จะจัดการได้ รีบตามมาด้วยกันเร็วเข้า” วัตถุส่งสารได้รับข้อความที่ส่งมา เงาร่างเลือนรางหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งแล้วถ่ายเสียงตอบกลับไปในทันที “กาเหว่าภูษา วางใจเถิด ข้าจะไป!”


พรึ่บ!


ร่างกายของเขากระจัดกระจายกลายเป็นสายลม ไล่ตามไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง

 

 

 


ภาคที่ 37 บนเส้นทาง

 

ตอนที่ 34 ฆ่าทิ้งเสียเลยเป็นดี

 

กลางราตรีอันมืดมิด ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นเส้นสายเล็กละเอียดมุ่งหน้าไปกลางอากาศอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง


“ตู้ม” “แคว่ก…”


ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นพลันปะทุออกมาเบื้องหน้า


“เริ่มประมือกันแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางทอดสายตามองไปยังสายน้ำที่ทอดตัวออกไปไกล สายน้ำนั้นกว้างแปดร้อยลี้ ทั้งยังคดเคี้ยวทะลุทะลวงไปทั่วทั้งเมืองเจียงหยวน มีเงาร่างสายหนึ่งยืนอยู่เหนือผิวน้ำนี้ ยามนี้อาภรณ์สีดำของ ‘จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา’ อันตรธานไป เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเขา หลังของเขาค้อมลงเล็กน้อย ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย กรงเล็บคมกริบคู่หนึ่งยังคว้าหอกยาวเอาไว้ด้วย


ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ เกราะเหนือผิวกายของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับมีลำแสงสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้น


“กาเหว่าภูษา ไปตายเสียเถอะ” แสงสีทองกะพริบวาบคราหนึ่ง ค้อนใหญ่เล่มหนึ่งก็ทุบลงมาอย่างกราดเกรี้ยว บุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งเปล่งแสงสีทองออกมาจากทั่วร่าง อานุภาพสูงเทียมฟ้า


จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับตั้งหอกยาวขึ้นมา สกัดกั้นค้อนที่น่าหวาดหวั่นนี้เอาไว้ แต่กลับยังคงถูกกระแทกเสียจนกระเด็นลอยถอยหลังไปหลายลี้ สายน้ำรอบกายก่อตัวเป็นคลื่นขนาดมหึมาขึ้นมา


“พลังของกาเหว่าภูษานี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว” บุรุษร่างกำยำซึ่งมีแสงสีทองอาบไล้ไปทั่วร่างเห็นเข้ากลับสีหน้าเปลี่ยนแปรไป เขาเป็นหัวหน้าของสามพี่น้องโลหิตทมิฬซึ่งฝึกฝนพละกำลังอันเหิมเกริมหาใดเปรียบออกมา ที่ผ่านมาเขาไล่สังหารหลายครั้ง แม้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาจะนับได้ว่ามีร่างกายแข็งแกร่ง แต่กลับไม่กล้าต้านทานกระบวนท่าของเขาซึ่งหน้าเลย ตอนนี้กลับต้านทานขึ้นมา และเพียงแค่ถอยหลังไปหลายลี้เท่านั้นโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย!


“ฟิ้ว!”


แสงสีเขียวอันแปลกประหลาดสายหนึ่งแทงลงบนร่างของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาที่กระเด็นถอยไป ลำแสงสีดำเหนือผิวของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับแข็งแกร่งทนทานหาใดเปรียบและสามารถต้านทานการแทงครั้งนี้ได้อย่างสิ้นเชิง แสงสีเขียวอันแปลกประหลาดนั้นก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา…เป็นชายหนุ่มท่าทางเย็นชาที่ถือกริชเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ในมืออีกข้างก็ยังถือกริชเอาไว้อีกเล่มหนึ่ง


ยามนี้ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาผู้นี้ก็เผยสีหน้าแตกตื่นขึ้นมา “แทงไม่ทะลุหรือนี่”


“ฮ่าฮ่าฮ่า บัดนี้ข้าสามารถควบคุมไข่มุกทองคำดำได้แล้ว และยังได้อาศัยมันสร้าง ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’ ขึ้นมาอีกด้วย พวกเจ้าสังหารข้ามิได้หรอก ฮ่าฮ่า” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาหัวเราะดังลั่น ที่ผ่านมาเขามีชื่อเสียงด้านการป้องกันของเกราะเกล็ดอันแข็งแกร่ง แต่พี่น้องโลหิตทมิฬร้ายกาจยิ่งนัก พละกำลังอันเหิมเกริมหาใดเปรียบของพี่ใหญ่ล้วนกระแทกเขาจนได้รับบาดเจ็บจนต้องกระอักโลหิตออกมาทุกครั้ง การแทงสังหารทั้งหลายของเจ้าสามก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เช่นกัน


เคล็ดวิชาที่เขาใช้ปรับปรุงตนเองให้สมบูรณ์ รวมทั้ง ‘ไข่มุกทองคำดำ’ และคัมภีร์สามเล่มนั้นที่ซื้อมาจากงานชุมนุมประมูลสมบัติ ในที่สุดอาศัยพละกำลังของไข่มุกทองคำดำ ทำให้การป้องกันร่างกายของเขาบรรลุถึงระดับขั้นใหม่ เขาเรียกมันว่า ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’


“สังหารเจ้ามิได้รึ”


“วันนี้เจ้าต้องตาย”


พี่น้องโลหิตทมิฬบ้าคลั่งไปแล้ว พวกเขาเริ่มสำแดงวิธีการสู้สุดชีวิตต่างๆ ออกมา


ตู้มๆๆ…


คนหนึ่งเหิมเกริม คนหนึ่งแปลกประหลาด พวกเขาสองคนร่วมมือกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำเอาจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาแทบจะไร้เรี่ยวแรงต้านทาน แต่ ‘แสงสีดำ’ เหนือผิวกายของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาชั้นนั้นทนทานยิ่งนัก ต่อให้แทงทะลุแสงสีดำได้อย่างพอถูไถ อานุภาพที่หลงเหลืออยู่ก็เหลือเพียงน้อยนิดเท่านั้น แทบจะคุกคามจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษามิได้เลย


“เจ้าสาม ระวัง!” บุรุษร่างกำยำที่อาบไล้อยู่ภายใต้แสงสีทองสีหน้าเปลี่ยนแปรไป


เดิมทีชายหนุ่มท่าทางเย็นชายังคิดจะลอบโจมตีเข้ามาอีกครั้ง แต่สีหน้ากลับพลันเปลี่ยนแปรไป ท่ามกลางความว่างเปล่าด้านข้างพลันมีลมรวมตัวกันขึ้นมา กลายเป็นเงาร่างอันเลือนรางพุ่งตรงไปยังชายหนุ่มท่าทางเย็นชา


ปัง!!!


เงาร่างอันเลือนรางนั้นพลันออกดาบกว่าหมื่นครั้งในชั่วพริบตา ดูแน่นขนัดประหนึ่งพายุคลั่งอย่างไรอย่างนั้น มือทั้งสองของชายหนุ่มท่าทางเย็นชาถือกริชไว้ข้างละเล่ม ทันใดนั้นลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนก็กะพริบวาบ สกัดกั้นประกายดาบอันบ้าคลั่งนั้นเอาไว้


“ฟึ่บ”


ท่ามกลางประกายดาบแน่นขนัด แสงโลหิตสายหนึ่งพลันวาบขึ้นมา


“อ๊ากกก” ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาร้องด้วยความเจ็บปวด


“เจ้าสาม” บุรุษร่างกำยำรู้ก่อนแล้วว่าท่าไม่ดี จึงเร่งมาถึงในที่สุด เขาทุบค้อนลงไปเต็มแรงครั้งหนึ่งทันที ค้อนขนาดมหึมาขยายใหญ่ขึ้นตามลม ทุบไปทางเงาร่างอันเลือนรางนั้นเสียงดังโครมคราม


เงาร่างอันเลือนรางนั้นกลับถอยหลบไปทันทีโดยไม่กล้าต้านทาน พี่ใหญ่ของสามพี่น้องโลหิตทมิฬ…มีชื่อเสียงเกรียงไกรในบรรดายอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้น มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าต้านทานกระบวนท่าของเขา อย่างน้อยเขาก็ไม่กล้า


“เจ้าสาม เจ้าสาม” บุรุษร่างกำยำคว้าพี่น้องของตนเอาไว้ ร่างกายของชายหนุ่มท่าทางเย็นชาสั่นสะท้านเล็กน้อย ทั้งร่างแผ่ไอหมอกสีแดงโลหิตออกมา ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาขบกรามพลางพูดเสียงสั่นเครือว่า “คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงเลยว่ากาเหว่าภูษาจะมอบ ‘เข็มพิษเงาโลหิต’ นี้ให้ผู้อื่น”


เข็มพิษเงาโลหิตเป็นอาวุธที่ ‘เจ้าลัทธิเงาโลหิต’ ซึ่งจัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของโลกเทพหลอมขึ้นมา ‘พิษเงาโลหิต’ ด้านบนนั้นสามารถใช้ได้ครั้งเดียว เมื่อแทรกซึมเข้าไปในร่างกายศัตรูแล้วก็จะหายวับไป แต่เนื่องจากใช้ได้ครั้งเดียวนั่นเอง…อานุภาพของเข็มพิษเงาโลหิตนี้จึงยิ่งใหญ่นัก! โดยทั่วไปแล้วเจ้าลัทธิเงาโลหิตจะมอบเข็มพิษเงาโลหิตให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาสักคนละสามอันห้าอัน


จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้นี้ได้รับเข็มพิษเงาโลหิตมาจำนวนหนึ่งด้วยความบังเอิญ!


“พี่รองถูกเข็มพิษเข้า พลังลดลงเป็นอย่างมากจนถูกเขาสังหาร” ชายหนุ่มท่าทางเย็นชาขบกรามกรอด “คิดไม่ถึงว่าข้าก็จะถูกกระบวนท่าเข้าไปด้วย”


“เฟิงเซียว เจ้าถึงกับกล้าช่วยเหลือจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา ลงมือกับพวกเราหรือนี่” บุรุษร่างกำยำตะโกนด้วยความแค้นเคือง


เงาร่างอันเลือนรางนั้นก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เป็นบุรุษที่ผอมจนเหมือนหนังหุ้มกระดูกคนหนึ่ง เขาหัวเราะคิกคัก “พี่กาเหว่าภูษาให้ผลประโยชน์มากพอ เมื่อรับผลประโยชน์จากใคร ก็ย่อมต้องลงมือแทนเขา พี่น้องอย่างพวกท่านจะตำหนิข้ามิได้หรอก”


“ประเสริฐๆ”


สายตาของบุรุษร่างกำยำกวาดมองไปทางจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผู้มีแสงสีดำแผ่ออกมาจากผิวกายซึ่งอยู่ไกลออกไป “จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา เจ้ากล้ามอบเข็มพิษเงาโลหิตให้แก่จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวที่อยู่ไกลออกไป โดยไม่กลัวจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวหันกลับมาลอบโจมตีเจ้าเลยหรือ”


จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษายิ้มหยัน


ด้วยนิสัยระมัดระวังของเขา หากไม่มีความมั่นใจมากพอ จะกล้ามอบสมบัติล้ำค่าในการลอบสังหารที่น่าหวาดหวั่นอย่าง ‘เข็มพิษเงาโลหิต’ ให้แก่จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวได้อย่างไรกัน


แม้เข็มพิษเงาโลหิตจะร้ายกาจ แต่ก็ต้องแทงเข้าไปในร่างกายก่อนถึงจะสามารถสำแดงเดชได้! แต่บัดนี้จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาฝึก ‘ร่างทองคำดำไม่ดับสลาย’ จนสำเร็จ เขาเชื่อมั่นในตนเองว่าจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวมิอาจแทงทะลุร่างเขา และทำให้เขาบาดเจ็บได้ แล้วจะกลัวอะไรกันเล่า


“ครั้งนี้นับว่าเจ้ากาเหว่าภูษาโชคดี” บุรุษร่างกำยำไม่ยอมจำนนเป็นอย่างมาก เขากำหนดจิตคราหนึ่งก็เก็บพี่น้องของตนลงไปในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์


สวบ!


เขาแปรเป็นลำแสงแล้วทะยานออกไปไกลอย่างรวดเร็วทันที


จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวและจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาก็ มิได้ไล่ตามไปแต่อย่างใด เพราะพวกเขาเข้าใจดีมากว่าพี่ใหญ่ของพวกเขาเหล่าพี่น้องโลหิตทมิฬรับมือได้ยากเพียงใด… มีพละกำลังที่เหิมเกริมหาได้เปรียบ! ร่างกายแข็งแกร่งไม่แพ้ จักรพรรดิเทพช่วงกลางเลย! และนี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวลอบลงมือกับเจ้าสามเท่านั้น มิได้ลงมือกับพี่ใหญ่เลย


“ในที่สุดพี่น้องโลหิตทมิฬนี่ก็ไปเสียที ถูกพวกเขาไล่สังหารมาตลอดจนอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้เลย” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาผ่อนลมหายใจออกมา


“พี่กาเหว่าภูษา เจ้าสามของพี่น้องโลหิตทมิฬต้องพิษของเข็มพิษเงาโลหิตเข้า จะต้องคิดหาวิธีถอนพิษเงาโลหิตอย่างแน่นอน แต่การถอนพิษเงาโลหิต มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น เกรงว่าคงจะไม่ได้มายุ่มย่ามกับท่านอีกพักใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นไม่อาจถอนพิษเงาโลหิตออกไปและสิ้นชีวิตในที่สุดก็เป็นได้” จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวพูดยิ้มๆ


“อื้ม” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาพยักหน้าน้อยๆ


เขาก็รอคอย


ทว่าเขาเข้าใจดีว่า พี่น้องโลหิตทมิฬจะต้องขอให้ยอดฝีมือคนอื่นช่วยเหลืออย่างแน่นอน แม้จะได้รับความยากลำบากอยู่บ้าง แต่คาดว่าก็คงจะสามารถถอนพิษได้ในท้ายที่สุด


“พี่น้องโลหิตทมิฬไปแล้ว ยังเหลือแมลงตัวจ้อยอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่ได้จัดการ” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากวาดตามอง “จ้าวเทพเมฆาเขียวออกมาเถิด”


“ออกมา!”


จักรพรรดิเทพเฟิงเซียวก็โบกมือไปมา


ที่ฟ้าดินไกลออกไป พายุคลั่งจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับภูเขาแห่งหนึ่งกดดันลงไปบนต้นไม้ใหญ่ที่ตงป๋อเสวี่ยอิเร้นกายอยู่ต้นนั้น ปัง…ลำแสงสายหนึ่งกะพริบวาบแล้วทะยานจากมาอย่างรวดเร็ว ส่วนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นกลับกลายเป็นผุยผงไปเสียงดังโครมคราม ลำแสงทะยานมาถึงผิวน้ำก่อนจะกลายเป็นชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง


“คิดไม่ถึงว่าจะถูกพวกเจ้าพบเข้าจนได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวผู้นั้นด้วยความตกตะลึงแวบหนึ่ง เขาเข้าใจว่าเป็นจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวผู้นี้ที่พบเขาเข้า ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพช่างมิอาจดูแคลนได้เลยจริงๆ


จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษากลับไม่เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย หากแต่มองไปรอบด้านพลางพูดเสียงดังลั่นว่า “ไม่ทราบว่าเป็นจักรพรรดิเทพท่านใด ปรากฏกายเสียเถิด! ทำไมรึ ได้แต่ให้จ้าวเทพใต้บังคับบัญชาเอาชีวิตมาทิ้งอย่างนั้นหรือ”


“ทั้งสองท่าน เบื้องหลังข้าไม่มีจักรพรรดิเทพคนอื่นอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก


“ไม่มีจักรพรรดิเทพคนอื่นหรือ” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาและจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ไม่เชื่อเอาเสียเลย


จ้าวเทพคนหนึ่งกล้าตามมา เอาชีวิตมามอบให้หรือ


“บอกมานะ ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าคือผู้ใดกัน หากพูดออกมาข้าอาจจะให้เจ้าได้ตายอย่างเป็นสุขเสียหน่อย” ใบหน้าเหี่ยวย่นที่เต็มไปด้วยเกราะเกล็ดและรอยยับย่นของจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษานั้นอัปลักษณ์มาก นัยน์ตาสีเหลืองดุจอำพันจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง เต็ฒไปด้วยแววโหดเหี้ยม


“เจ้าเล่ห์เพทุบาย ร้ายกาจเห็นแก่ตัว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษา “ตอนนั้น ในงานชุมนุมประมูลสมบัติ ข้าแลกเปลี่ยนกับเจ้าอย่างจริงใจ ทว่าต่อมาเมื่อสืบรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้า ก็รู้ว่าคนชั่วร้ายเช่นเจ้าสังหารไปเสียเลยจะดีกว่า! การมอบหยกแก้วคละถิ่นให้เจ้านั้นเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เสียดายก็แต่ว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ในหอจิตฟ้ามาโดยตลอด ข้ามิอาจลงมือได้สะดวกในช่วงหมื่นปีนี้ คืนนี้เจ้าหนีออกมา ก็เป็นโอกาสดีที่ข้าจะได้กำจัดเจ้า วางใจเถิด ข้าน่ะวางแผนจะสังหารเจ้าจริงๆ อยู่แล้ว เจ้าก็อย่าได้คิดเพ้อเจ้อสะเปะสะปะว่าเบื้องหลังข้ามีจักรพรรดิเทพคนอื่นๆ อยู่ด้วย ”


“เจ้าจะสังหารข้าหรือ” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษารู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก


เขาฝึกร่างทองคำดำไม่ดับสลายได้สำเร็จ พี่น้องโลหิตทมิฬก็มิอาจสังหารเขาได้ จ้าวเทพคนหนึ่งมาพูดจาใหญ่โต ไม่ละอายเลยหรือ


ต่อให้เป็นผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพ ระดับยอดสุดก็แค่เทียบได้กับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ เท่านั้นเอง


จ้าวเทพคนหนึ่งบอกว่าจะสังหารเขาอย่างนั้นหรือ


ช่างเป็นเรื่องตลกอย่างยิ่งจริงๆ!


“เฮอะๆ เช่นนั้นเจ้าก็ตายเสียเลยเถิด! ข้าจะดูสิว่าหากสังหารแล้ว เบื้องหลังเจ้าจะมีจักรพรรดิเทพโผล่ออกมาหรือไม่” จักรพรรดิเทพกาเหว่าภูษาคร้านที่จะใช้อาวุธ ร่างกายพุ่งตรงออกไปแล้วกลายเป็นเงาราง ทิ้งร่องรอยคลื่นน้ำเอาไว้เหนือสายน้ำที่ทอดตัวยาวออกไป ทันใดนั้นก็พลันไปถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วตะปบกรงเล็บเข้ามาทันที


ส่วนจักรพรรดิเทพเฟิงเซียวที่อยู่อีกข้างหนึ่งก็มองไปรอบด้านด้วยความระแวดระวัง แม้จะมิได้พบจักรพรรดิเทพคนอื่น แต่พวกเขากลับถือว่าอีกฝ่ายซ่อนเร้นลูกไม้ไว้ได้อย่างร้ายกาจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)