Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 37 ตอนที่ 21-24
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 21 พลังวัตรกระบี่อากาศ
เพียงแค่ชั่วครู่ ยามรักษาการณ์ชุดเขียวผู้นั้นก็กลับมาแล้วเอ่ยว่า “ปรมาจารย์หิมะเหินขอรับ ข้าหาต้นฉบับตำราเล่มนี้พบแล้วขอรับ” เขาพูดพลางยื่นส่งให้ตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาแล้วก็ก้มหน้าลงมองคราหนึ่งพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าต้องการห้องเงียบสักห้องเพื่อพินิจดูอย่างละเอียด”
“หอสะสมคัมภีร์มีห้องเงียบมากมายยิ่งนัก ที่ประตูศิลาเปิดอยู่ล้วนเป็นห้องว่างทั้งสิ้น ปรมาจารย์หิมะเหินเลือกเอาสักห้องหนึ่งได้ตามใจชอบเลยขอรับ” ยามรักษาการณ์นำทางอยู่ด้านหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกมาตามใจชอบห้องหนึ่งแล้วเดินเข้าไป โครม…ประตูศิลาก็ปิดสนิทลงอย่างรวดเร็ว
……
ห้องเงียบของหอสะสมคัมภีร์ก็สามัญธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงความเงียบสงบ ไม่มีการรบกวนจากคนนอก มูลค่าในการก่อสร้างก็ต่ำเป็นอย่างยิ่ง
โดยทั่วไปแล้วต่างก็มาใช้สถานที่แห่งนี้ตอนศึกษาตำราการบำเพ็ญเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะว่าเดิมที ‘ตำราการบำเพ็ญ’ ก็ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว นอกจากการจดจำจะต้องใช้ระยะเวลามากพอสมควรแล้ว ส่วนใหญ่แล้วผู้บำเพ็ญโดยทั่วไปก็มักอยากจะพินิจดู ‘ต้นฉบับ’ ให้มากสักหน่อย จะต้องสำเร็จกลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศนี้อย่างสมบูรณ์แล้วจึงจะสามารถเขียน ‘ต้นฉบับ’ ลงไปได้ ร่องรอยลายมือรอยพู่กันบนนั้นต่างก็แฝงไว้ด้วยเสน่ห์นานาชนิด เมื่อพินิจดูแล้วก็มีส่วนช่วยเหลือในการบำเพ็ญเป็นอย่างยิ่ง
แต่การพินิจดูต้นฉบับนั้นมีเพียงแค่การศึกษาครั้งแรกเท่านั้นจึงจะมีโอกาส
“กลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศเป็นเคล็ดวิชาที่ ‘ผู้เหินทะยาน’ ของโลกแห่งนี้คิดค้นขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกเปิดดูในทันที สติรับรู้ก็แทรกผ่านเข้าไปในตำราแล้วเริ่มต้นจดจำ
ว่ากันตามจริง
สำหรับผู้เหินทะยานที่เรียกกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
บรรดาประชากรของโลกเทพต่างก็เป็นทายาทของ ‘บรรพเทวะคละถิ่น’ เผชิญกับวิญญาณของมิติจำนวนนับไม่ถ้วนของโลกล่าง ก็ย่อมมีความรู้สึกเหนือกว่าอยู่แล้ว แต่เผชิญกับมิติจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘ผู้เหินทะยาน’ ที่สามารถมาถึงยังโลกเทพได้ภายในโลกล่าง บรรดาประชากรโลกเทพก็ค่อนข้างหวาดหวั่น ต่างก็ยอมรับว่าผู้เหินทะยานคนใดๆ ต่างก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง! หรือแม้กระทั่งระดับเดียวกัน ผู้เหินทะยานก็แข็งแกร่งกว่าประชากรโลกเทพอยู่ขั้นใหญ่ การต่อสู้ข้ามชั้นสำหรับผู้เหินทะยานนั้นก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อยอย่างยิ่ง
“ล้ำเลิศยิ่งนัก” วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแกร่งกล้าเพียงใด เพียงไม่นานก็ดูกลยุทธ์กระบี่นี้จนหมดรอบหนึ่งแล้ว ทั้งยังจดจำเอาไว้จนหมดด้วย
หลังจากดูหมดแล้ว สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
นับถือ!
กลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้ สำหรับการใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็ไปถึงขั้นสุดยอดเช่นเดียวกัน ไม่ด้อยไปกว่าวิธีการมากมายที่ตนคิดค้นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย! แม้กระทั่งเพราะว่าเคล็ดวิชาความเร้นลับของกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ตนตระหนักรู้ที่ดินแดนจิตโลกา เผชิญกับความขัดแย้งของโลกแห่งนี้ เคล็ดวิชาวิถีอากาศที่ตนแสดงออกมา… ยังห่างชั้นมิอาจเทียบกับกลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้ได้
“ความสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของข้า ต่อให้มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับช่วยเหลือ ก็เป็นเพียงแค่ข้ากับจักรพรรดิเซี่ยร่วมกันทำให้สมบูรณ์แบบเท่านั้น แล้วหยั่งรู้เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศ ขัดเกลา ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ที่ไม่มั่นคงออกมา สามารถกดดันเขาได้ในระดับหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
‘จักรพรรดิระดับต้น’ ในดินแดนจิตโลกาก็เทียบเคียงได้กับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ของโลกเทพแห่งนี้
“นอกจากนี้ ตอนนี้ข้าเผชิญกับความขัดแย้งของโลกแห่งนี้ พลังยุทธ์ก็ลดต่ำลงไปอย่างมหาศาลเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา “แต่ว่าตอนนี้สังเคราะห์ความลึกลับของกลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้ออกมาแล้ว ก็หยั่งรู้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของโลกแห่งนี้ได้อย่างรวดเร็วแล้ว”
เขาหลับตาลง กระบวนการบำเพ็ญกลยุทธ์กระบี่อันน่าหวาดหวั่นศาสตร์นี้ฉายวาบขึ้นมาในห้วงสมอง
กลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้…
สิ่งที่บำเพ็ญก็คือ ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ทุกสาย ล้วนคมกริบไร้เทียมทานราวกับอาวุธเทพก็มิปาน! หลังจากที่บำเพ็ญสำเร็จแล้ว ขย้อนออกมาคำหนึ่ง ก็มีประกายกระบี่สายหนึ่งลอยออกมา หรือขยับนิ้วสุ่มๆ คราหนึ่งก็มีประกายกระบี่พุ่งออกมา หรือแม้กระทั่ง… ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนในทันที! เพราะว่าทุกบริเวณทั่วทั้งร่างกาย ต่างก็ประกอบขึ้นจากพลังวัตรกระบี่อากาศ
ร่างกายสามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘ร่างกระบี่ห้วงอากาศ’ ร่างกายราวกับอาวุธเทพ รวมตัวและกระจายตัวอย่างไม่ธรรมดา การโจมตีก็แข็งแกร่งอย่างน่าหวาดหวั่น
พลังวัตรกระบี่อากาศนี้ในความเป็นจริงแล้วก็คือเคล็ดการใช้งานพิเศษหลังจากที่ตระหนักรู้ ‘วิถีอากาศ’ แล้ว ทักษะการใช้งานที่แข็งแกร่งก็ย่อมไม่ด้อยไปกว่าสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับเลย
‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ แบ่งออกได้ทั้งหมดหกระดับขั้น เมื่อเข้ามาใหม่ก็เป็นแม่ทัพเทพช่วงต้น
สามขั้นแรกเป็น ‘ขั้นแม่ทัพเทพ’
สามขั้นหลังเป็น ‘ขั้นจ้าวเทพ’
“ร้ายกาจ ร้ายกาจ”
“มหาวิถีหนึ่งเดียว”
“ทั่วทั้งวิถีอากาศผสานรวมกันเป็น ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์แบบ วิญญาณก็ก็ผสานเข้ากับพลังทุกสาย ตลอดร่างล้วนเป็นพลังวัตรกระบี่อากาศ มันคือพลังการต่อสู้ ทั้งยังเป็นร่างกาย และยังเป็นวิญญาณด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ “ผู้คิดค้นผู้นี้หมายจะอาศัยพลังวัตรกระบี่อากาศนี้ทลายเปิดกรงขัง สำเร็จเป็นคละถิ่น”
ถึงแม้ว่าจะนับถือ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่รู้สึกว่านี่เป็นวิถีของตน ทางด้านวิถีวิญญาณของเขาไปถึงระดับขั้นสูงยิ่ง ร่างกายและวิญญาณส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้เขาสามารถรู้สึกได้ถึงข้อบกพร่องของร่างกายได้อย่างแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น เขามีความก้าวหน้าบนเส้นทางการบำเพ็ญร่างกายอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
ก็ย่อมต้องการศึกษาฝึกกายคละถิ่นต่อไป! นี่จึงจะเป็นเส้นทางที่เหมาะสมกับเขา
ถึงแม้ว่าจะบำเพ็ญร่างกายเช่นเดียวกัน
แต่เขากับจักรพรรดิเซี่ยนั้นมีเส้นทางที่แยกจากกัน เพราะการฝึกกายคละถิ่นของพวกเขาสองคนนั้นเดินไปในทิศทางที่แตกต่างกัน
ถึงแม้ว่าจะนับถือเคล็ดการบำเพ็ญ ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ แต่สิ่งที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือความเร้นลับวิถีอากาศต่างๆ ที่ใช้ได้ในนั้น
“โลกแห่งนี้ไม่เหมือนกันกับโลกกำเนิดสองแห่งที่ข้าเคยมีประสบการณ์มา”
“สิ่งที่ผู้เหินทะยานเหล่านี้เชื่อมั่นก็คือ ‘มหาวิถีมีจุดบกพร่อง’” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ทว่าวิถีขั้นสุดยอดของโลกกำเนิดกลับสมบูรณ์แบบ”
อันหนึ่ง ‘มีจุดบกพร่อง’
ส่วนอีกอันนั้น ‘สมบูรณ์แบบ’
ตงป๋อเสวี่ยอิงไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ เขารู้สึกได้อย่างรางๆ ว่าความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของโลกกำเนิดสมบูรณ์แบบมากกว่าจริงๆ แต่โลกแห่งนี้ที่ตนเข้ามาในตอนนี้มี ‘ความรุนแรง’ และ ‘ความอลหม่าน’ ถึงแม้ว่าจะแกร่งกล้ากว่า แต่ก็ดูเหมือนว่าจะหยาบกระด้างกว่ามาก! ความเร้นลับของกฎเกณฑ์มากมายต่างก็มีข้อบกพร่อง แต่ถึงแม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง การบำเพ็ญก็ชี้นำไปสู่ ‘คละถิ่น’ ได้เช่นเดียวกัน
“ช่างเถิด ก็เก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่มีประโยชน์ต่อข้าไปก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่คิดอะไรมากอีก แล้วหยั่งรู้กลยุทธ์กระบี่ศาสตร์นี้โดยละเอียดต่อไป
การหยั่งรู้ในครั้งนี้ดำเนินไปเป็นระยะเวลาครึ่งวัน
ในระหว่างกระบวนการนี้เขาก็ยังอ่านต้นฉบับนี้ถึงสองรอบ จากนั้นก็ไม่อ่านอีกแล้ว! เพราะว่าต้นฉบับนี้ก็มิได้เป็นประโยชน์ต่อเขาแต่อย่างใดเลย ถึงอย่างไรความสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้เขียนตำราเล่มนี้เลย
“นี่ก็คือพลังวัตรกระบี่อากาศอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือขวาออกไป ปลายนิ้วก็มีประกายกระบี่กึ่งโปร่งแสงเปล่งประกายราวแก้วผลึกสายหนึ่งปรากฏขึ้น ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งวัน เขาก็วิวัฒน์พลังวัตรกระบี่อากาศนี้ไปถึงระดับขั้นที่ห้าแล้ว
“สิ่งที่มีประโยชน์ต่อข้าก็ได้จดจำเอาไว้ในใจหมดแล้ว ต้นฉบับนี้ไม่มีประโยชน์กับข้าแล้ว ต้องการเพียงแค่กลับไปแล้วบำเพ็ญให้ดีๆ เกรงว่าภายในระยะเวลาสามปีห้าปีก็จะสามารถฟื้นฟูไปถึงระดับขั้นจ้าวเทพช่วงสุดยอดได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายลุกขึ้นแล้วเปิดประตูศิลาของห้องเงียบออกไป
……
ประตูศิลาเปิดออกเสียงดังลั่น
“ปรมาจารย์หิมะเหินออกมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวผู้นั้นเดินเข้าไป
“นี่คือต้นฉบับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นไปให้
ยามรักษาการณ์ชุดเขียวรับมาตรวจดูแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ปรมาจารย์หิมะเหินขอรับ ตอนนี้ด้านนอกหอสะสมคัมภีร์คงจะมีผู้คนจำนวนมากพอดูรอคอยปรมาจารย์หิมะเหินอยู่กระมัง คราวนี้ปรมาจารย์หิมะเหินออกมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เกรงว่าคงจะเกินกว่าความคาดหมายของพวกเขาแล้วล่ะขอรับ”
“รอข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ
“ในนั้นก็มีจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ด้วยนะขอรับ” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวถ่ายเสียงพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหวคราหนึ่ง
จ้าวภูเขาค้างคาวหรือ
ยอดฝีมือที่จัดเป็นสิบอันดับแรกในเมืองจวิ้นซานแห่งนี้ แต่ตนเองผลาญสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาสามคนของเขาไปก่อนหน้านี้ไม่นาน! สำหรับผู้ที่หมายจะปลิดชีพตนสามคนนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมไม่มีทางออมมือให้อยู่แล้ว! ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเตรียมการต่อกรกับจ้าวภูเขาค้างคาวเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่น่าเสียดายที่จ้าวภูเขาค้างคาวผู้นั้นมิได้ลงมือ
“ขอบใจมาก ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าเป็นใคร” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองยามรักษาการณ์ชุดเขียวผู้นี้ยิ้มๆ
“ข้าคืออวี้เฟิงเหวินอี้” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวถ่ายเสียงพูด
“อ้อ ที่แท้แล้วก็เป็นสานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงนี่เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ผู้ที่สามารถรับหน้าที่เป็นยามรักษาการณ์ของสถานที่สำคัญอย่างหอสะสมคัมภีร์ได้ พลังยุทธ์ก็ย่อมไม่อ่อนแออยู่แล้ว
“สานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงหรือ สกุลอวี้เฟิงสืบเชื้อสายมาจนบัดนี้ก็มีคนในตระกูลมากมายยิ่งนัก” ยามรักษาการณ์ชุดเขียวถ่ายเสียงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าก็เป็นเพียงแค่เชื้อสายห่างๆ ของสกุลอวี้เฟิงเท่านั้นเอง ตอนนี้ก็เพิ่งเหยียบย่างเข้าสู่ระดับจ้าวเทพช่วงต้นอย่างหมิ่นเหม่ ตรากตรำบำเพ็ญก็ยากที่จะยกระดับได้แม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่าในภายหน้าจะยังสามารถขอให้ปรมาจารย์หิมะเหินชี้แนะบ้างสักหน่อยจะได้หรือไม่ขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาปราดหนึ่ง ยามรักษาการณ์ชุดเขียวกระวนกระวายใจอยู่บ้าง
“หากมีเวลาก็สามารถแวะมายังที่พักของข้าได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบแล้วก็มุ่งหน้าเดินออกจากตำหนักไป
ถ้าหากก่อนหน้าที่จะศึกษาตำราเล่มนี้ เขาก็ยังไม่กล้าที่จะชี้แนะผู้อื่นอย่างสบายๆ แต่หลังจากที่ศึกษาแล้ว อย่างน้อยเขาก็สามารถชี้แนะทางด้านวิถีอากาศของโลกแห่งนี้ได้บ้าง
ยามรักษาการณ์ชุดเขียวเผยสีหน้ายินดี
เส้นทางการบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้เอง! คิดหาวิธีไขว่คว้าโอกาสใดๆ สักเล็กน้อย พวกเขาต่างก็รู้ว่าผู้เหินทะยานมีความเข้าใจในการบำเพ็ญลึกล้ำเพียงใด สิ่งที่ชี้แนะล้วนมุ่งไปที่สาระสำคัญทั้งสิ้น
“หืม”
หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกไปจากทางเข้าหลักของหอสะสมคัมภีร์แล้ว มองปราดหนึ่งก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งกระจัดกระจายอย่างประปรายอยู่รอบๆ ในบรรดานั้นก็มีชายชราอัปลักษณ์ศีรษะสามเหลี่ยมคนหนึ่งกับบุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ขาวคนหนึ่งนั่งประจันหน้ากัน ร่ำสุราสนทนาเฮฮากันอยู่
เพราะว่าเคยค้นหาความทรงจำที่จ้าวเทพคนหนึ่งในบรรดานี้โจมตีตน ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเพียงปราดเดียวก็ย่อมจำได้อยู่แล้วว่าชายชราอัปลักษณ์ศีรษะสามเหลี่ยมผู้นั้นก็คือจ้าวภูเขาค้างคาวนั่นเอง
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 22 เวทีประลองบนยอดเขา
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เพียงแต่รู้จักจ้าวภูเขาค้างคาวเท่านั้น แต่ยังรู้อีกด้วยว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามจ้าวภูเขาค้างคาวคือยอดฝีมือที่มีชื่อว่า ‘จ้าวเทพเจียนอิ่น’ จ้าวเทพเจียนอิ่นก็เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิงแห่งจวิ้นซานเช่นกัน สถานะของเขากับจ้าวภูเขาค้างคาวล้วนพิเศษเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าพวกเขาต่างก็เป็นบุคคลซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานว่าพลังยุทธ์จัดอยู่ในสิบอันดับแรก!
ต้องรู้ไว้ว่าถึงแม้จ้าวเทพช่วงสุดยอดจะได้มายากยิ่ง แต่ยอดฝีมือจ้าวเทพช่วงสุดยอดของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานรวมกันขึ้นมาแล้วก็มีอยู่เกินกว่ายี่สิบท่านเลยทีเดียว! ก็มีเพียงแค่ใต้เท้าเจ้าเมือง นายน้อย ‘อวี้เฟิงเหลย’ พ่อบ้านถง เจ้าหอสิง จ้าวเทพเจียนอิ่น และจ้าวภูเขาค้างคาว หกคนนี้เท่านั้น ส่วนเหล่าจ้าวเทพคนอื่นๆ นั้นความแตกต่างของพลังยุทธ์ก็น้อยกว่า หากไม่แข่งขันห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ ก็ยังยากที่จะตัดสินสิบอันดับแรกออกมาจริงๆ ได้
เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน! ก็หมายความว่าพลังยุทธ์ของหกท่านนี้มีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดเจน
“หืม”
“จ้าวเทพหิมะเหินออกมาแล้ว”
“เขาออกมาแล้ว รวดเร็วถึงเพียงนี้เลยทีเดียว ยังคิดว่าเขาจะอยู่ในหอสะสมคัมภีร์นานเป็นปีสองปีเสียอีก”
สายตาของคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งกระจัดกระจายอย่างประปรายอยู่รอบๆ ต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง รวมทั้งจ้าวภูเขาค้างคาวท่านนั้น และจ้าวเทพเจียนอิ่น ต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นเดียวกัน
ประชากรโลกเทพ เกิดมาก็มีอายุขัยเป็นนิรันดร์ สำหรับพวกเขาแล้วระยะเวลาสามปีห้าปีนั้นช่างแสนสั้นยิ่งนัก! เข้าไปในหอสะสมคัมภีร์ พินิจดูตำราศาสตร์หนึ่งให้ดีๆ ใช้เวลาปีสองปีก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” จ้าวภูเขาค้างคาวหัวเราะเสียงแหลมบาดหู ก้องสะท้อนทั่วเวหาบริเวณรอบๆ
“จ้าวภูเขาค้างคาว มีสิ่งใดน่าขันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยปากขึ้นขัดจังหวะเสียงหัวเราะของจ้าวภูเขาค้างคาว
จ้าวภูเขาค้างคาวจึงยืดกายลุกขึ้นแล้วยิ้มตาหยีมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ได้ยินมานานแล้วว่าเมืองจวิ้นซานของพวกเรามีผู้เหินทะยานมาอีกคนหนึ่ง วันนี้ได้เห็นจ้าวเทพหิมะเหิน ก็ปรากฏว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว” บุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ขาวที่อยู่ข้างๆ เอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ
“สามารถกำจัดผู้ใต้บังคับบัญชาตัวน้อยสามคนของท่านได้ จะเป็นยอดฝีมือธรรมดาๆ ได้อย่างไรกันเล่า”
จ้าวภูเขาค้างคาวสีหน้าแข็งค้างไปเล็กน้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น “จ้าวเทพเจียนอิ่นหรือ”
“จ้าวเทพหิมะเหินรู้จักข้าด้วยหรือนี่” บุรุษวัยกลางคนอาภรณ์ขาวพูดยิ้มๆ อย่างประหลาดใจ “ดูท่าทางการข่าวของจ้าวเทพหิมะเหินก็ฉับไวใช้ได้เลยทีเดียวนะ”
“ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของจ้าวเทพเจียนอิ่น ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“จ้าวเทพหิมะเหิน” ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ชายชราอัปลักษณ์ศีรษะทรงสามเหลี่ยมเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ผู้ใต้บังคับบัญชาตัวน้อยสามคนของข้าไปขอคำชี้แนะ ไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
ขณะนี้รอบด้านล้วนเงียบสงัดไปเสียแล้ว
คนอื่นๆ ล้วนไม่กล้าสอดปาก แม้กระทั่งจ้าวเทพเจียนอิ่นก็ยังชมความครึกครื้นอยู่ข้างๆ
“พวกเขาไปสังหารข้า แต่สังหารข้ามิได้ ท่านว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่กันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้
จ้าวภูเขาค้างคาวขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “อ้อ เช่นนั้นข้าก็ต้องดูสักหน่อยแล้วว่าที่แท้จ้าวเทพหิมะเหินมีพลังยุทธ์เช่นไร เราสองคนมาประลองหยั่งเชิงกันดูสักรอบหนึ่ง ว่าอย่างไรเล่า”
“ได้สิ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ผู้ที่ชมดูอยู่รอบๆ จำนวนมากต่างก็เผยสีหน้ายินดี การประลองของสองยอดฝีมือนั้นพวกเขาก็ย่อมคาดหวังรอคอยอยู่แล้ว พวกเขาแต่ละคนถ่อมาถึงที่นี่ก็มิใช่เพื่อชมดูยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่สองคนนี้ประมือกันหรือไร คนหนึ่งคือผู้ที่พลังยุทธ์เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซาน ส่วนอีกคนหนึ่งก็เป็นผู้เหินทะยาน พลังยุทธ์ยังเป็นปริศนา สามารถล้างผลาญจ้าวเทพสามท่านได้อย่างสบายๆ
“ดูท่าทางจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้จะมิได้ระมัดระวังตัวอย่างธรรมดาๆ เสียด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “ก่อนหน้านี้ไม่กล้าไปจัดการข้า แต่กลับเลือกทำการประลองหยั่งเชิงภายในตระกูลอวี้เฟิง”
จ้าวเทพสามคนนั้นไปโจมตีตน ก็ถูกตนสังหารไปแล้ว
ถ้าหากตอนนั้นจ้าวภูเขาค้างคาวก็ไปลงมือด้วย! ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบโต้ สองฝ่ายห้ำหั่นกันขึ้นมา แม้ว่าสักฝ่ายหนึ่งตายตกไปก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง
แต่ภายในตระกูลอวี้เฟิง ที่นี่ห้ามมิให้ห้ำหั่นเอาชีวิตกัน แม้กระทั่ง ‘การประลองหยั่งเชิง’ ก็ยังต้องขึ้นไปบนเวทีประลองเฉพาะ การประลองหยั่งเชิงก็เพียงเพื่อแบ่งระดับสูงต่ำเท่านั้น ห้ามทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต
“จ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้ไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นจึงต้องการจะประลองหยั่งเชิงกับข้าภายในตระกูลอวี้เฟิง ถ้าหากหลังการประลองไปแล้วรู้สึกว่าสามารถสังหารข้าได้ เกรงว่าหลังไปจากตระกูลอวี้เฟิงแล้วก็คงจะลอบลงมืออย่างรวดเร็วเป็นแน่แท้ทีเดียวกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบหัวเราะเยาะ เขาย่อมมิได้เห็นจ้าวภูเขาค้างคาวผู้นี้อยู่ในสายตาเลย เขามาถึงโลกแห่งนี้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อการบำเพ็ญเท่านั้น
การบำเพ็ญภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน ขัดเกลากายตน รับรองความเป็นนิรันดร์ของวิถี หนีออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นคละถิ่น!
……
ทั่วทั้งตระกูลอวี้เฟิงล้วนปั่นป่วนขึ้นมาเสียแล้ว
“เร็วเข้าสิ ที่เวทีประลองยอดเขาอสนีบาต จ้าวภูเขาค้างคาวจะประมือกับจ้าวเทพหิมะเหินแล้ว”
“รีบไปดูเร็วเข้า”
“ก่อนหน้านี้จ้าวภูเขาค้างคาวประสบเคราะห์ใหญ่ ในที่สุดก็จะลงมือแล้ว”
หลังจากที่บรรดาสานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงจำนวนมากได้รับข่าวแล้วก็รีบมุ่งหน้าไปยังที่ ‘เวทีประลองยอดเขาอสนีบาต’ ที่สกุลอวี้เฟิงใช้สำหรับการประลองหยั่งเชิงโดยเฉพาะ
แต่ในขณะนี้เอง ภายในสวนดอกไม้แห่งหนึ่งของสกุลอวี้เฟิง
ชายหนุ่มใบหน้าขาวผ่องคนหนึ่งกำลังเดินเคียงไหล่กับหญิงสาวอาภรณ์สีเขียวเข้ม หญิงสาวอาภรณ์สีเขียวเข้มผุ้นั้นก็คือ ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ นั่นเอง
“น้องหญิง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้ายังโกรธอยู่อีกหรือ”
“ข้ามิได้เคยพูดเอาไว้ก่อนแล้วหรือไร ทุกสิ่งทุกอย่างข้าล้วนฟังคำท่านพ่อ ฟังคำพวกท่านพี่ใหญ่พี่รองทั้งสิ้น” อวี้เฟิงชิงอินพูด
ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ “คราวนี้ให้เจ้าแต่งงานกับคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาผู้นั้น เป็นเพราะสกุลอวี้เฟิงของเราไร้สามารถจริงๆ”
“อย่าได้พูดอีกเลย ข้าไม่ตำหนิท่านพ่อหรอก แล้วก็ไม่ตำหนิพวกท่านพี่ใหญ่พี่รองเช่นเดียวกัน” อวี้เฟิงชิงอินหันหน้ามองไปทางพี่รองของตน “อันที่จริงแล้วข้ามองดูการต่อสู้ห้ำหั่นต่างๆ นานาในเมืองจวิ้นซานมองดูผู้ที่บุกฝ่าความเป็นความตายท่ามกลางดินแดนรกร้าง ข้าก็รู้ว่าผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ตอนนี้เผชิญหน้ากับประมุขสมาคมจิตมารผู้นั้น พวกเราก็กลายเป็นผู้อ่อนแอไปแล้ว อย่าได้พูดเรื่องพวกนี้อีกเลย พี่รอง ท่านจะออกเดินทางไปยังเมืองไม้บูรพาเมื่อใดหรือ”
“ยังเตรียมการอยู่เลย” อวี้เฟิงจิ่นพูด “จำเป็นจะต้องตระเตรียมของกำนัลต่างๆ คิดหาวิธีเจรจาต่อรองในเรื่องนี้ เฮ้อ ถึงแม้ว่าจะให้น้องหญิงแต่งงานกับคุณชายเก้าผู้นั้น แต่เมืองไม้บูรพาจะรับปากด้วยหรือไม่นั้นก็ยังต้องว่ากันอีกที”
อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้าน้อยๆ แล้วหัวเราะกับตนเอง “ใช่แล้ว ยังต้องว่ากันอีกที”
อยากจะแต่งออกไปให้เขา
ก็ยังไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการ!
“หืม” อวี้เฟิงจิ่นเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาในทันใดแล้วเอ่ยต่อไปว่า “น้องสาว ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาว่าจ้าวเทพหิมะเหินที่เจ้าช่วยกลับมาและจ้าวภูเขาค้างคาวกำลังไปที่เวทีประลองยอดเขาอสนีบาต หมายจะประลองกันสักยกหนึ่ง”
“หา… จ้าวเทพหิมะเหินกับจ้าวภูเขาค้างคาวอย่างนั้นหรือ” อวี้เฟิงชิงอินก็เผยสีหน้าประหลาดใจวูบหนึ่งเช่นเดียวกัน
“ไปๆๆ พวกเราไปดูกันหน่อยดีกว่า” อวี้เฟิงจิ่นพูด
เรื่องที่จะแต่งออกไปให้เมืองไม้บูรพาก็จำเป็นจะต้องบอกอวี้เฟิงชิงอินอยู่แล้ว อีกทั้งนางยังต้องให้ความร่วมมือโดยสมัครใจอีกด้วย
อวี้เฟิงชิงอินยอมให้ความร่วมมือก็จริง… แต่ว่าหลายวันมานี้อารมณ์ก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัดเจน! อวี้เฟิงจิ่นก็อยากจะพาน้องสาวไปชมดู ‘การประลองระหว่างจ้าวเทพหิมะเหินกับจ้าวภูเขาค้างคาว’ ก็นับได้ว่าเป็นการผ่อนคลาย
……
เขาอสนีบาตตั้งอยู่ที่มุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจวนตระกูลอวี้เฟิง
ยอดเขาอสนีบาตมีเวทีประลองอยู่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่เอาไว้ใช้สำหรับการประลองหยั่งเชิงโดยเฉพาะ
ตอนที่อวี้เฟิงจิ่นพาตัว ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้เป็นน้องสาวมาถึงยังยอดเขาอสนีบาต สถานที่แห่งนี้ก็มีผู้มาชมดูการประลองจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว น่าจะมีจำนวนกว่าหมื่นคน โชคดีที่ภายในตระกูลอวี้เฟิงนี้มิใช่ว่าใครหน้าไหนก็มีสิทธิ์เข้ามาในตระกูลอวี้เฟิงได้หมด! ถ้าหากต่อสู้กันที่สถานที่สาธารณะในเมือง เกรงว่าอย่างน้อยต้องมีผู้ชมมากกว่านี้อีกเป็นหมื่นเท่า
“น้องหญิงสาม”
หลังจากที่อวี้เฟิงจิ่นและอวี้เฟิงชิงอินมาถึงแล้วก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย มองไปแวบหนึ่ง บริเวณไกลออกไปก็มีอวี้เฟิงเหลยรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ที่นั่นอยู่ก่อนแล้ว
“พี่ใหญ่”
“พี่ใหญ่” พวกเขาสองคนเดินเข้าไป
“นั่งเสียสิ” อวี้เฟิงเหลยมองดูน้องสาวของตนอย่างรักใคร่หวงแหน ในใจก็รู้สึกผิด เขาเป็นคนหยิ่งยโสเช่นนี้ แต่กลับให้น้องสาวแบกรับความยากลำบากของทั้งตระกูล ก็ย่อมรู้สึกละอายใจเป็นธรรมดา
“คิดไม่ถึงว่าผู้ที่มาชมดูจะมากมายถึงเพียงนี้ การประลองหยั่งเชิงนี้ถูกกำหนดขึ้นอย่างฉุกละหุก
เกรงว่าทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานจะมียอดฝีมือจำนวนไม่น้องยังคงปลีกวิเวกอยู่ ต่างก็ยังไม่ทราบข่าวนี้เลย” อวี้เฟิงจิ่นกวาดสายตามองปราดหนึ่งด้วยอารมณ์วูบไหวอยู่บ้าง “มนุษย์น้ำแข็งก็ยังมากันมากมายถึงเพียงนี้”
อวี้เฟิงชิงอินมองดูบนเวทีประลองนั้นอยู่ห่างๆ
บนเวทีประลอง มีเงาร่างสองสายกระจายตัวกันอยู่ที่สองฝั่งของเวทีประลอง ยืนปักหลักอยู่ห่างๆ กัน
“แล้วก็ไม่รู้เลยว่าพลังยุทธ์ที่แท้จริงของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้เป็นเช่นไร” จ้าวภูเขาค้างคาวหรี่ตามองตงป๋อเสวี่ยอิง ในใจคิดวางแผน “ถ้าหากพลังยุทธ์ของเขาแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่น อย่างน้อยย้ายมาที่นี่แล้วก็เพียงแค่เสียหน้าเท่านั้น ก็ไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้ง! ถ้าหากพลังยุทธ์ของเขาย่ำแย่กว่าข้ามาก หึหึหึ…ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็เป็นเวลาจบชีวิตของเขาแล้วล่ะ”
จ้าวภูเขาค้างคาว คนผู้นี้โหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งยังระแวดระวังหาใดเปรียบ
“จ้าวเทพหิมะเหิน เอาชนะจ้าวภูเขาค้างคาว!” ทันใดนั้นน้ำเสียงกระจ่างชัดสายหนึ่งก็ดังขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปมองอย่างประหลาดใจ เมื่อมองเห็นอวี้เฟิงชิงอินที่อยู่ห่างออกไปกำลังตะโกนเสียงดัง พร้อมกันนั้นนางยังเผยรอยยิ้มออกมาด้วย คล้ายกับกำลังคาดหวังรอคอยอย่างตื่นเต้น
“คุณหนูสามผู้นี้ ตั้งหน้าตั้งตาคอยการต่อสู้อย่างมากเลยหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม เขาจะรู้เสียที่ไหนกันว่าอวี้เฟิงชิงอินในขณะนี้เจตนาตะโกนออกมา เพื่อระบายความคับข้องใจ
“หึ”
จ้าวภูเขาค้างคาวได้ยินเสียงตะโกนนี้แล้วก็อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นมิได้ เพียงแต่สังเกตได้ถึงวาจาที่คุณหนูสามตะโกนออกมา ก็ได้แต่อดทนเอาไว้
“จ้าวเทพหิมะเหิน คุณหนูสามช่างเห็นดีเห็นงามในตัวเจ้าเสียเหลือเกิน เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นสักหน่อยว่าที่แท้แล้วเจ้ามีฝีมือสักแค่ไหน” จ้าวภูเขาค้างคาวเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง น้ำเสียงยังคงก้องสะท้อน ระหว่างนั้นก็ลงมืออย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงเสียแล้ว
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 23 มังกรค้างคาวเหินทะยาน
บอกว่าการต่อสู้ปะทุขึ้นก็ปะทุขึ้นเสียแล้ว
นี่ทำให้ผู้ชมที่นั่งดูอยู่ในบริเวณรอบๆ เวทีประลองจำนวนมากแต่ละคนชมดูอย่างใจจดใจจ่อ แม้กระทั่งผู้ที่หยิ่งยโสอย่างอวี้เฟิงเหลย และจ้าวเทพเจียนอิ่นก็ยังดูอย่างละเอียด เพราะว่าจ้าวภูเขาค้างคาวก็นับได้ว่ามีพลังยุทธ์เทียบเคียงกับพวกเขา
“ฟิ้ว!”
ไอยะเยือกอันน่าหวาดหวั่นเคลื่อนเข้ามาอย่างไร้ซึ่งสัญญาณเตือนใดๆ แม้แต่น้อย แล้วตรงเข้าห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ แล้วเยือกแข็งกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งสูงสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง!
“ติดกับเสียแล้วหรือ”
“แล้วก็มิได้ทลายเปิดออกมาด้วยหรือ”
อวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นสองพี่น้องต่างก็ตกตะลึงอยู่บ้าง อวี้เฟิงชิงอินตื่นเต้นขึ้นมา ผู้ใดในเมืองจวิ้นซานจะไม่รู้บ้างเล่า ว่าไอยะเยือกหนาวเหน็บที่ ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ควบคุมนั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด อีกทั้งยังสามารถทำให้ภูเขาสูงในรัศมีพันลี้เยือกแข็งกลายเป็นผุยผงได้ภายในความนึกคิดเดียวอีกด้วย! กรวดหินดินทรายก้อนใดๆ ของโลกเทพต่างก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ทิวเขาอาณาบริเวณนับพันลี้… แม้กระทั่งเทพจักรวาลต้องการจะมาทำลายก็ยังต้องสิ้นเปลืองเวลาเนิ่นนาน ความนึกคิดเดียวของจ้าวภูเขาค้างคาวก็สามารถทำให้เยือกแข็งกลายเป็นผุยผงได้แล้ว ก็สามารถเห็นถึงพลังคุกคามได้
ตอนนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเยือกแข็ง แต่เป็นเพียงแค่ภูเขาน้ำแข็งสูงสิบกว่าจั้งเท่านั้น นี่ก็คือจ้าวภูเขาค้างคาวบีบอัดพลานุภาพจนถึงขีดสุดแล้ว!
“มีพลานุภาพแค่นี้เองน่ะหรือ” น้ำเสียงสายหนึ่งดังขึ้น เห็นเพียงแค่เงาร่างที่รวมตัวอยู่ภายในภูเขาน้ำแข็งสูงสิบกว่าจั้งนั้นกลับก้าวเดินออกมาอย่างน่าประหลาดใจ ภูเขาน้ำแข็งก็มิได้เสียหายเลยแม้แต่น้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาแล้วอมยิ้มมองจ้าวภูเขาค้างคาว “จ้าวภูเขาค้างคาว อย่าได้แสดงเคล็ดวิชาอันกระจ้อยร่อยเช่นนี้อีกเลย ให้ข้าชมดูมังกรค้างคาวของท่านดีกว่า”
เขามีความมั่นใจทางด้านห้วงอากาศของโลกแห่งนี้อยู่บ้างแล้ว อย่างน้อยร่างกายก็กลายเป็นอากาศธาตุโดยสมบูรณ์แบบได้อย่างผ่อนคลายยิ่ง
กลายเป็นอากาศธาตุโดยสมบูรณ์แบบ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแก่นห้วงอากาศ!
ภูเขาน้ำแข็งจะสามารถหยุดยั้งห้วงอากาศได้อย่างไรกัน
ถึงแม้ว่าพลังกัดกร่อนของพลังน้ำแข็งนั้นจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ผ่านการกลายเป็นอากาศธาตุทำให้อ่อนแอลง ด้วยการฝึกกายคละถิ่นของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมต้านทานเอาไว้ได้อย่างสบายๆ อยู่แล้ว
“ชมดูมังกรค้างคาวของข้าอย่างนั้นหรือ คงมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นกระมัง” จ้าวภูเขาค้างคาวยิ้มเย็น
ตูม!
ภูเขาน้ำแข็งระเบิดออก
เห็นเพียงแค่กลางอากาศมีกระสวยน้ำแข็งสามร้อยอันรวมตัวกันออกมา กระสวยน้ำแข็งทุกอันต่างก็มีเส้นด้ายสีดำกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าพันเกี่ยวอยู่ ดูอย่างละเอียด เส้นด้ายสีดำนั้นในความเป็นจริงแล้วประกอบขึ้นจากลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วน ตอนที่กระสวยน้ำแข็งเหล่านี้เพิ่งรวมตัวกันขึ้นมา แต่ละอันก็แปรเป็นลำแสงสังหารไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงร่างเป็นเส้นด้ายละเอียดเส้นหนึ่งในทันใด
พรึ่บ!
อัตราเร็วในการเหินทะยานรวดเร็วเป็นที่สุด กระสวยน้ำแข็งเหล่านั้นถึงแม้ว่าแต่ละอันจะล้อมสังหารเข้ามา แต่เส้นด้ายละเอียดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลงกายนั้น ช่างละเอียดเหลือเกิน มันลอยเคลื่อนไปรอบๆ อย่างง่ายดายอยู่กลางอากาศ ถึงขนาดที่กระสวยน้ำแข็งอันแล้วอันเล่าไม่สามารถสัมผัสถูกเส้นด้ายละเอียดนี้ได้
“มิเสียทีที่เป็นผู้เหินทะยาน เคล็ดวิชาที่สำแดงช่างเร้นลับเหลือเกิน พลังของจ้าวภูเขาค้างคาวดูเหมือนว่าจะมีอิทธิพลแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่กลับไม่สามารถกระทบถูกจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ได้เลย” ผู้ที่ชมดูอยู่จำนวนมากตื่นตระหนกในใจ ลำพังแค่เคล็ดการเหาะเหินหลบหนีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงอยู่ในขณะนี้ ก็ทำให้พวกเขาแต่ละคนตกตะลึงมากพออยู่แล้ว
“หืม”
จ้าวภูเขาค้างคาวยืนอยู่ไกลออกไป มองดูเส้นด้ายละเอียดที่อยู่ห่างออกไปสายนั้นเคลื่อนผ่านเป็นเส้นโค้งสายแล้วสายเล่า หลบเลี่ยงจากกระสวยน้ำแข็งทุกอันได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังเคลื่อนตรงมาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้จ้าวภูเขาค้างคาวสีหน้าแปรเปลี่ยนเสียแล้ว “ค่ายกลผลาญสังหารทำลายล้างนับร้อยของข้าถึงกับไร้ประโยชน์” นี่คือเคล็ดวิชาสังหารหมู่ที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด พลังคุกคามของกระสวยน้ำแข็งทุกอันล้วนแข็งแกร่งเป็นที่สุด กวาดล้างออกไปตามอำเภอใจถึงสามร้อยอัน ก็สามารถกวาดล้างยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
ถึงแม้ว่าจะเชี่ยวชาญการโจมตีหมู่ แต่ลำพังแค่จัดการกับศัตรูเพียงคนเดียว โดยทั่วไปแล้วก็มีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ เพียงแต่ว่าเคล็ดการหลบหลีกของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ร้ายกาจเกินไป ถึงกับสามารถหลบหลีกไปได้
“ปัง”
เส้นด้ายละเอียดเส้นนั้นแปลงกายเป็นเงาร่างมนุษย์สายหนึ่งในทันใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกยาวเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือแล้วพุ่งแทงตรงไปบนกระสวยน้ำแข็งอันหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า ปลายหอกยาวและปลายกระสวยน้ำแข็งปะทะเข้าด้วยกัน ฟองห้วงอากาศห่อหุ้มกระสวยน้ำแข็งอันนี้เอาไว้แล้วหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็น ‘จุดสีดำ’ ปลายหอกยาวแทงออกไปก็ทำให้กระสวยน้ำแข็งเล่มนี้แหลกสลายไปอย่างง่ายดายเสียแล้ว!
“กระสวยน้ำแข็งทุกเล่มล้วนมีพลังคุกคามระดับจ้าวเทพช่วงต้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการคาดการณ์ออกมา “สามร้อยเล่มร่วมมือกันอย่างนั้นหรือ ถึงแม้ว่าทุกเล่มจะตรงไปตรงมาเกินไปสักหน่อย แต่จำนวนก็ชดเชยข้อบกพร่องนั้นได้ ไม่รู้ว่ามังกรค้างคาวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาจะมีพลังยุทธ์เช่นไร”
หลังจากที่เจตนาทดสอบพลังคุกคามของกระสวยน้ำแข็งแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงาร่างกะพริบวาบคราหนึ่งก็บุกไปถึงตรงหน้าจ้าวภูเขาค้างคาว หอกยาวแทงออกไปอย่างบ้าระห่ำราวกับภาพมายาเสียแล้ว
“โฮก…”
ศีรษะทรงสามเหลี่ยมนั้นของจ้าวภูเขาค้างคาวยังคงอัปลักษณ์เช่นเดิม เขาจ้องมองหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แทงออกมาแล้วอ้าปากส่งเสียงคำรามออกมาในทันใด!
ยามที่คำราม ศีรษะทรงสามเหลี่ยมของเขาก็เริ่มบิดเบี้ยว มีแผ่นเกล็ดสีดำมากมายงอกขึ้นมา แปรเปลี่ยนเป็นศีรษะทรงสามเหลี่ยมที่มีแผ่นเกล็ดสีดำ ร่างกายของเขากลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นร่างกายที่คดเคี้ยวซึ่งมีกรงเล็บแหลมคมคู่หนึ่ง
นี่คือสัตว์เหินทะยานเลื้อยคดเคี้ยวที่มีความยาวราวๆ ร้อยจั้ง ตลอดร่างปกคลุมด้วยแผ่นเกล็ดสีดำ… ‘มังกรค้างคาว’!
ในขณะที่คำราม มังกรค้างคาวก็พุ่งตรงเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง
“ปัง!!!”
ปลายหอกยาวกับกรงเล็บข้างหนึ่งของมังกรค้างคาวปะทะเข้าด้วยกัน
ฟองห้วงอากาศขนาดมโหฬารปรากฏขึ้น ห่อหุ้มมังกรค้างคาวเอาไว้ทั้งตัว แล้วจะหดตัวเล็กลง! แต่แผ่นเกล็ดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนบนผิวกายมังกรค้างคาวนั้นบนแผ่นเกล็ดสีดำทุกแผ่นล้วนมีลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนโคจรอยู่ แล้วประกอบกันเป็นชั้นเกราะป้องกันน้ำแข็งชั้นหนึ่งขึ้นมา
“ฉึก” ถึงแม้ว่าฟองห้วงอากาศที่หดเล็กลงจะระเบิดแตกออกในที่สุดภายใต้การแทงอย่างโหดเหี้ยมของตงป๋อเสวี่ยอิงในครั้งนี้ แต่ชั้นเกราะป้องกันน้ำแข็งบนผิวกายมังกรค้างคาวก็เพียงแค่แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเท่านั้น ส่วนแผ่นเกล็ดของร่างกายกลับไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย
“ผู้เหินทะยาน จ้าวเทพช่วงกลางคนหนึ่งอย่างเจ้า มาช่วยข้าเกาให้หายคันหรืออย่างไร” มังกรค้างคาวตนนี้ส่งเสียงคำรามออกมา แต่หางกลับกลายเป็นภาพมายาฟาดฟันเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดวิชา ควบคุมพละกำลังเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างเช่นเคล็ดวิชาที่ฟองห้วงอากาศหดตัวเล็กลงก็ดูคล้ายว่าจะมิได้มีพลานุภาพแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศ! อย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดการจ้าวเทพสามท่านที่มาลอบทำร้ายตน แม้กระทั่งกำแพงสวนของจวนที่ตนพำนักอยู่ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบเลย!
จ้าวภูเขาค้างคาวนั้นถึงแม้ว่าการควบคุมพลังจะนับได้ว่าไม่เลว แต่ขณะนี้แปลงร่างเป็น ‘มังกรค้างคาว’ ถึงแม้ว่าจะแผ่พลานุภาพออกไปเพียงเล็กน้อยก็ยังทำให้บริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน ทั่วทั้งเวทีประลองก็สั่นสะท้านไม่หยุด
“ปัง ปัง ปัง…”
สองฝ่ายต่อสู้กัน เกิดเสียงโครมครามไม่หยุดหย่อน
ที่นี่เป็นเวทีประลองที่จัดไว้สำหรับการประลองหยั่งเชิงโดยเฉพาะ ก็ย่อมมีค่ายกลโคจรอยู่ ตัดแยกผลกระทบจากการต่อสู้ทั้งหมดอย่างเด็ดขาด
“พลังคุกคามช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก”
บรรดาผู้คนที่รายล้อมอยู่เห็นแล้วก็หน้าถอดสี
มังกรค้างคาวที่ยาวกว่าร้อยจั้งตนนั้นเหินทะยานตามอำเภอใจอยู่ในอาณาบริเวณของเวทีประลอง ไล่ล่าสังหารจ้าวเทพหิมะเหินผู้นั้น ทุกกระบวนท่า ทุกความเคลื่อนไหวใดๆ ของมังกรค้างคาวต่างก็แฝงไว้ด้วยพลานุภาพอันน่าหวาดหวั่น ถึงขนาดที่จ้าวเทพหิมะเหินไม่สามารถทำร้าย ‘มังกรค้างคาว’ ตนนี้ได้เลย
“ร่างมังกรค้างคาวที่จ้าวภูเขาค้างคาวบำเพ็ญออกมาช่างร้ายกาจเสียจริง” อวี้เฟิงเหลยเอ่ยชมประโยคหนึ่ง “การควบคุมพลังของจ้าวเทพหิมะเหินก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเป็นเพียงแค่พลานุภาพระดับจ้าวเทพช่วงกลาง แม้จะตกเป็นรอง แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย” ไม่ได้รับบาดเจ็บแล้วอย่างไร เคล็ดวิชาของเขาล้วนไม่สามารถทำร้ายจ้าวภูเขาค้างคาวได้เลย” อวี้เฟิงจิ่นผู้เป็นน้องชายส่ายหน้า
“ถึงอย่างไรจ้าวภูเขาค้างคาวก็เป็นยอดฝีมือที่ติดอันดับในเมืองจวิ้นซานเลยนะ” อวี้เฟิงเหลยพูด “จ้าวเทพหิมะเหินร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งแล้ว ถ้าหากเขาสามารถไปถึงระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดได้ ผู้ที่น่าอนาถก็คือจ้าวภูเขาค้างคาวแล้วล่ะ! หืม…”
“นี่มัน…”
บรรดาผู้ชมแต่ละฝ่ายต่างก็พากันตกตะลึง
เพราะว่าจ้าวเทพหิมะเหินที่ถูกไล่ล่าอยู่บนเวทีประลองมาโดยตลอด สองมือกุมหอกยาวเอาไว้สูงเหนือศีรษะแล้วฟาดฟันเข้าใส่มังกรค้างคาวตนนั้นอย่างสุดกำลังในทันใด!
โครม…
หลังจากที่ฟาดฟันลงไปแล้ว ร่องรอยที่หอกยาวฟาดฟันก็มีรอยแยกห้วงมิติอันบิดเบี้ยวปรากฏขึ้น ฟันตรงลงบนร่างกายของมังกรค้างคาว ชั้นน้ำแข็งคุ้มกันบนพื้นผิวร่างกายนั้นก็ถูกทำลายในทันใด แผ่นเกล็ดสีดำก็ถูกฉีกขาด ตัดขาดเป็นบาดแผลฉกรรจ์รอยหนึ่งออกมา หยาดโลหิตปริมาณมหาศาลพุ่งกระฉูดออกมา
“อะไรกันนี่” บรรดาผู้ชมตื่นตะลึง จ้าวภูเขาค้างคาวก็ตื่นตะลึงยิ่งกว่า “เขาสามารถทำร้ายข้าได้ด้วยหรือ”
จ้าวภูเขาค้างคาวระมัดระวังตัวเกินไปจริงๆ ช่างรักตัวกลัวตายมากเกินไปแล้ว
ทันใดนั้นก็เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การต่อสู้ เริ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วโดยเน้นการรักษาตนเองเป็นหลัก แล้วตวัดกรงเล็บออกมาเป็นครั้งคราว หรือตวัดหางลอบโจมตี!
“ช่างรักตัวกลัวตายอะไรอย่างนี้ ช่างเห็นได้ยากยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบหัวเราะเยาะ
เคล็ดวิชาที่สำแดงเมื่อครู่ก็คือเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดที่สำเร็จในเบื้องต้นในตอนนี้หลังจากที่เขาศึกษากลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศแล้ว
ถึงอย่างไรก็มีตำราให้อ้างอิงได้ เขาสามารถศึกษาความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของวิถีอากาศต่างๆ มากมายของโลกแห่งนี้ได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยพื้นฐานของเขาก็วิวัฒน์ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วยิ่ง ถึงขนาดที่สามารถรวบรวม ‘พลังวัตรกระบี่อากาศ’ ระดับขั้นที่ห้าออกมาได้อย่างสบายๆ เลยทีเดียว อาศัยสิ่งที่ตระหนักรู้ใหม่ และสิ่งที่ตนสั่งสมมาแต่เดิม คิดค้น ‘สูตรแยกนภากาศ’ นี้ออกมาก่อน
การต่อสู้ของสูตรนี้ ก็พอจะถือได้ว่ามีพลังระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด! การควบคุมพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ร้ายกาจพอ แม้กระทั่งระดับอย่าง ‘ร่างมังกรค้างคาว’ ของจ้าวภูเขาค้างคาวนี้ก็ยังได้รับบาดเจ็บในทันที
“ปัง ปัง ปัง…”
สองฝ่ายประมือกันอย่างต่อเนื่องกว่าสิบรอบ
ก่อนหน้านี้จ้าวภูเขาค้างคาวก็ไม่สามารถทำร้ายตงป๋อเสวี่ยอิงได้ ตอนนี้ก็ยิ่งระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำร้ายไม่ได้เข้าไปอีก! แต่ ‘สูตรแยกนภากาศ’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งสำเร็จใหม่นี้ ดูเหมือนว่าจะสามารถโจมตีถูกจ้าวภูเขาค้างคาวได้ครั้งหนึ่งทุกๆ สามรอบห้ารอบ! ทุกครั้งล้วนทำให้จ้าวภูเขาค้างคาวต้องเสียเลือดเสียเนื้อทั้งสิ้น
“หยุดๆๆ” ‘มังกรค้างคาว’ ที่เลื้อยคดเคี้ยวเหินทะยานอยู่กลางอากาศตนนั้นคำรามเสียงสูง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยุดลงอย่างประหลาดใจ
มังกรค้างคาวบิดเบี้ยวและแปรเปลี่ยนหดขนาดเล็กลงในทันใด แปลงร่างกลายเป็น ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ชายชราอัปลักษณ์ศีรษะทรงสามเหลี่ยมผู้นั้น
จ้าวภูเขาค้างคาวรอยยิ้มระบายเต็มหน้าแล้วเอ่ยอย่างตื่นตะลึงและนับถือว่า “จ้าวเทพหิมะเหินช่างล้ำเลิศอย่างแท้จริง ข้ายอมแพ้ในการประลองคราวนี้ ยอมแพ้แล้ว จ้าวเทพหิมะเหินร้ายกาจกว่าข้าอยู่ขั้นหนึ่งจริงๆ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย
ช่างไม่รักษาหน้าเลยจริงๆ
“ดี จ้าวเทพหิมะเหินและจ้าวภูเขาค้างคาวก็ช่างล้ำเลิศจริงๆ ตอนนี้พวกเราไม่เพียงแต่ได้เห็น ‘มังกรค้างคาว’ ของจ้าวภูเขาค้างคาวอีกครั้งเท่านั้น แต่ยังโชคดีได้เห็นวิชาหอกของจ้าวเทพหิมะเหินอีกด้วย” อวี้เฟิงเหลยลุกขึ้นพูดยิ้มๆ
“คุณชายใหญ่ ก็ยังเป็นวิชาหอกของจ้าวเทพหิมะเหินที่ร้ายกาจเหลือเกิน หากมาอีกหลายๆ ครั้ง ข้าก็จะต้านทานเอาไว้ไม่อยู่แล้ว” จ้าวภูเขาค้างคาวน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ก็ยังคงหัวเราะคิกคักอยู่เช่นเดิม
แต่อวี้เฟิงชิงอินที่อยู่ข้างๆ สองพี่น้องกลับมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่บนเวทีประลองอย่างตกตะลึง
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 24 คารวะอาจารย์
ยามนี้ในใจของอวี้เฟิงชิงอินรู้สึกซับซ้อนไปหมด เดิมที นางแค่ช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิงจากความรกร้างเพียงเพราะนิสัยใจดีของนางเท่านั้น และยังรู้สึกเคารพในตัวสิ่งมีชีวิตที่กล้าหาญบุกฝ่าความรกร้างเพียงลำพังด้วย
ต่อมาเมื่อได้รู้ว่าเป็น ‘ผู้เหินทะยาน’ นางก็ยิ่งสนใจใคร่รู้ในตัว ตงป๋อเสวี่ยอิงมากขึ้นไปอีก
บวกกับ…
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงโลกใบนี้เป็นครั้งแรกโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คิดจะเข้ากับโลกใบนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ดังนั้นจึงลอบสำแดงวิธีการของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมา แม้จะมิได้สำแดงออกมาตามอำเภอใจ แต่ก็ได้เพิ่ม ‘เสน่ห์’ ให้กับเขาเป็นอย่างมาก บนเรือลำใหญ่ในตอนแรกนั้น คนส่วนมากมีความรู้สึกดีอย่างยิ่งต่อตงป๋อเสวี่ยอิง จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ชอบตงป๋อเสวี่ยอิง อย่างเช่น ‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’
ส่วน ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ที่ได้รับผลกระทบจากวิถีเขตลวงโลกเทียม กลับรู้สึกดียิ่งต่อตงป๋อเสวี่ยอิง! ถึงขั้นเชื้อเชิญให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรับหน้าที่เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญด้วยตนเอง
“คิดไม่ถึงว่าเขาจะเก่งกาจถึงเพียงนี้” อวี้เฟิงชิงอินลอบพึมพำ
“จ้าวเทพหิมะเหิน” อวี้เฟิงเหลยพูดพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน
ฟิ้วๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงและจ้าวภูเขาค้างคาวทะยานออกจากเวทีการต่อสู้ มาถึงช้างกายอวี้เฟิงเหลย
“คุณชายใหญ่” ตงป๋อเสวี่ยอิงและจ้าวภูเขาค้างคาวโค้งคารวะเล็กน้อย
“จ้าวเทพหิมะเหิน นี่คือความไม่ถูกต้องของเจ้า ก่อนหน้านี้เจ้าถ่อมเนื้อถ่อมตัวถึงเพียงนั้น ไหนเลยจะไปคิดว่าพลังยังแข็งแกร่งกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ขุมหนึ่ง” อวี้เฟิงเหลยหัวเราะพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิง
“จะว่าไปแล้วก็ยังต้องขอบคุณคุณชายใหญ่ ขอบคุณคุณหนูสาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ขอบคุณข้าหรือ” อวี้เฟิงเหลยตกตะลึง อวี้เฟิงชิงอินที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็สะดุ้ง ปากอ้าค้างเล็กน้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ต่อไป “อันที่จริงก่อนหน้านี้พลังของข้าเมื่อเทียบกับจ้าวภูเขาค้างคาวแล้ว เกรงว่าคงจะตกเป็นรองกว่าอยู่เล็กน้อย แต่เพราะคุณชายใหญ่และคุณหนูสาม ข้าจึงได้กลายเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญและสามารถแลกเปลี่ยนเอาคัมภีร์การบำเพ็ญกลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศมาจากในหอสะสมคัมภีร์ได้ หลังจากข้าดูคัมภีร์เล่มนี้แล้ว ได้รับการกระตุ้นก็คิดค้นท่าไม้ตายใหม่ขึ้นมาได้ จึงเหนือกว่าจ้าวภูเขาค้างคาวอยู่ขุมหนึ่งก็เท่านั้นเอง”
“อะไรนะ” จ้าวภูเขาค้างคาวที่อยู่อีกข้างหนึ่งตกตะลึง อ่านคัมภีร์ในหอสะสมคัมภีร์ จึงคิดค้นท่าไม้ตายใหม่ขึ้นมาได้ หรือกล่าวได้ว่า ก่อนหน้าที่จะเข้าไปยังหอสะสมคัมภีร์ จ้าวเทพหิมะเหินยังอ่อนแอกว่าเขาอยู่เล็กน้อยอย่างนั้นหรือ
ก็เพราะระมัดระวังเกินไป
เขาจึงพ่ายแพ้ใน ‘การประลองหยั่งเชิง’ ที่ไม่มีอันตรายถึงชีวิตภายในสกุลอวี้เฟิงอย่างนั้นหรือ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต่อให้ลงมือเร็วกว่านี้ ข้าก็มิอาจทำลายเขาได้แม้แต่น้อย” จ้าวภูเขาค้างคาวลอบปลอบใจตนเอง
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่อีกข้างหนึ่งพูดกับอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงชิงอินต่อไปว่า “ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่า ต้องขอบคุณคุณชายใหญ่และคุณหนูสาม! โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนูสามที่ช่วยข้าตอนบาดเจ็บสาหัสและอ่อนแอที่สุด”
“ฮ่าฮ่า นี่เป็นวาสนาทั้งนั้น” อวี้เฟิงเหลยพูดยิ้มๆ “เช่นนี้ วันนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงขึ้นในวังภูเขาลอย จ้าวเทพหิมะเหิน จ้าวภูเขาค้างคาว จ้าวเทพเจียนอิ่นและทุกท่าน มากันให้หมดล่ะ! มาเฉลิมฉลองที่เมืองจวิ้นซานของเรามียอดฝีมืออย่างจ้าวเทพหิมะเหินเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง”
……
กลางฟากฟ้าเหนือเมืองจวิ้นซาน มียอดเขาที่ลอยคว้างอยู่สามแห่ง เดิมทีเป็นจุดเชื่อมต่อของการหมุนเวียนค่ายกล
สกุลอวี้เฟิงสร้างวังอยู่ด้านบน กลายเป็นสถานที่เสพสุขซึ่งหรูหราที่สุดของทั้งเมืองจวิ้นซาน บัดนี้วังภูเขาลอยแห่งนี้ก็มียอดฝีมือมากมายรวมตัวกัน ยอดฝีมือระดับจ้าวเทพกลุ่มใหญ่มาที่นี่ก็เพื่อผูกสัมพันธ์กับ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ที่สามารถกดดันจ้าวภูเขาค้างคาวได้
“จ้าวเทพหิมะเหิน ข้าน้อยชวนชิ่งเป็นทหารตัวเล็กๆ ของกองกำลังเพลิงพิสดารที่ประจำการอยู่ในเมืองจวิ้นซาน” ชายชราผมเงินคนหนึ่งพูดยิ้มๆ
“ที่แท้แล้วเป็นจ้าวเทพชวนชิ่งแห่งกองกำลังเพลิงพิสดารนี่เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงก่อนจะขานรับ
หลังจากค้นดูความทรงจำแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ของเมืองจวิ้นซานดีเหมือนกับผู้แกร่งกล้าท้องถิ่นคนหนึ่งเลยทีเดียว ‘กองกำลังเพลิงพิสดาร’ นี้เป็นตัวแทนของ ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามตระกูลราชันย์ซึ่งมีสถานะไม่ธรรมดาที่สุดของทั้งโลกเทพ แม้สามตระกูลราชันย์จะสูงส่งเหนือใคร ไม่ร่วมการแก่งแย่งชิงดีกับขุมอำนาจทั้งหลายในใต้หล้าก็ตามที
แต่พวกเขาก็ยังคง ส่งผลกระทบต่อใต้หล้าผ่านวิธีการต่างๆ อยู่ดี
เช่นเมืองใหญ่แทบจะทุกแห่งของ ‘ตระกูลจิตฟ้า’ ล้วนมี ‘หอจิตฟ้า’ อยู่แห่งหนึ่ง และ ‘ประมุขหอสิง’ ซึ่งเป็นยอดฝีมือที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองจวิ้นซานก็คือประมุขของหอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซาน
หรืออย่าง ‘ตระกูลจินเซิ่ง’ ก็มีกองกำลังย่อยของกองกำลังเพลิงพิสดารอยู่แทบจะในทุกเมืองใหญ่ โดยทั่วไปมีเพียงห้าคนเท่านั้น พลังน้อยนิดเท่านี้ก็ย่อมมิอาจส่งผลกระทบต่อการห้ำหั่นช่วงชิงกันของขุมอำนาจใหญ่ได้ แต่ก็ทำให้ตระกูลจินเซิ่งเข้าใจทุกหนแห่งในใต้หล้านี้ได้ละเอียดยิบหาใดเปรียบ
“จ้าวเทพหิมะเหิน การประลองหยั่งเชิงของท่านกับจ้าวภูเขาค้างคาวรวดเร็วยิ่งนักเกินไปแล้ว ข้าเร่งไปชมการต่อสู้ไม่ทันเลย พวกท่านก็ยุติลงแล้ว” ประมุขหอสิงก็เข้ามาพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงสองสามประโยค
คนแล้วคนเล่ามาพูดคุยผูกสัมพันธ์ด้วย
ผู้ที่กล้าเข้ามาหาเอง อย่างน้อยก็ต้องเป็นจ้าวเทพคนหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่า ทุกคนล้วนรู้ว่ายอดฝีมือตัวฉกาจเช่นนี้คนหนึ่งจะต้องส่งผลกระทบต่อการแก่งแย่งของขุมอำนาจต่างๆ ภายในเมืองจวิ้นซานอย่างแน่นอน ในโลกเทพ การ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ ได้กลายเป็นตำนานอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว! หากเมืองใหญ่สองแห่งทำศึกกัน ก็ต้องโดยสารเรือลำใหญ่บินร่อนออกไปไกลลิบ ไปถึงเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยโจมตี! ลำพังแค่การเหินทะยานไปก็ยังต้องใช้เวลาเนิ่นนาน ทั้งยังทะลุผ่านความรกร้างอีกด้วย
ดังนั้นจึงหาได้ยากมากที่เมืองใหญ่ต่างๆ จะเปิดศึกกันเอง
เมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็เหมือนกับรัฐของฟากฝั่งหนึ่งเลยทีเดียว! อย่างประมุขหอสิงและพวกจ้าวเทพชวนชิ่ง แม้เบื้องหลังต่างมีตระกูลราชันย์อยู่ แต่พวกเขาก็หยั่งรากลึกอยู่ในเมืองจวิ้นซานมาตั้งนานแล้ว
“จ้าวเทพหิมะเหิน” อวี้เฟิงชิงอินเดินเข้ามาเอง เมื่อเดินมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงจึงนั่งลง ด้านข้างก็มีบ่าวรับใช้ช่วยรินสุราชั้นเลิศให้ทันที
“คุณหนูสาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ทั้งเมืองจวิ้นซาน ผู้ที่เขารู้สึกดีด้วยที่สุดก็คือคุณหนูสามผู้นี้นั่นเอง
“จ้าวเทพหิมะเหิน วันนี้ช่างโดดเด่นจริงๆ จ้าวเทพฝ่ายต่างๆ ล้วนปฏิบัติต่อท่านอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ แม้แต่พี่ใหญ่ของข้าก็ยังมอบจวน มอบบ่าวรับใช้ให้ท่าน” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว น้ำเสียงกลับหดหู่อยู่บ้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
น้ำเสียงนี้ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย เขาทำได้เพียงยิ้มรับเท่านั้น “หากไม่มีคุณหนูสามช่วยข้ามาที่นี่ บางทีข้าอาจจะยังต้องหนีเอาชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางความรกร้างก็ได้”
“ด้วยความสามารถของจ้าวเทพหิมะเหินแล้ว จะต้องพ้นช่วงอันตรายมาได้อย่างแน่นอน เกรงว่าคงจะสามารถไปถึงเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดได้” อวี้เฟิงชิงอินแค่นเสียงเฮอะเบาๆ คราหนึ่ง “ท่านทราบไหมว่า ครั้งก่อนที่ข้าโดยสารเรือใหญ่ออกจากเมืองจวิ้นซานไป ก็เพราะคิดจะไปคารวะเจ้าสำนักรุ่งอรุณเป็นอาจารย์”
“ไม่ทราบเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกันว่าเจ้าจะไปคารวะอาจารย์น่ะ
สายตาของอวี้เฟิงชิงอินล่องลอย พลางพูดเสียงเบาว่า “น่าเสียดายที่เจ้าสำนักรุ่งอรุณ ไม่ยอมรับข้าเป็นศิษย์ ก็ถูกต้องแล้ว ข้ายังมิได้บรรลุถึงขั้นจ้าวเทพเลย ทั้งยังมีปัญหายุ่งยากอยู่เป็นกองอีกด้วย เจ้าสำนักรุ่งอรุณ ไหนเลยจะยอมรับข้าเป็นศิษย์ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอยู่ข้างๆ โดยมิได้สอดปากพูด
“อีกไม่นานเท่าใดนัก ข้าก็จะไปยังเมืองไม้บูรพา หรือไม่ก็…” เสียงของอวี้เฟิงชิงอินต่ำลง ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะต้องตกเป็นของเล่นของคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา หรือว่าเมืองไม้บูรพาจะไม่ยอมช่วยเหลือ หากสกุลอวี้เฟิงเผชิญหน้ากับหายนะจนจวนตัว เกรงว่านาง อวี้เฟิงชิงอินก็คงคารวะอาจารย์ไม่สำเร็จ
“จ้าวเทพหิมะเหิน” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“ท่านเป็นอาจารย์ของข้าได้หรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินพลันปริปากออกมา
“เป็นอาจารย์ของท่านหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง “สายเลือดที่คุณหนูสามบำเพ็ญเป็นจำพวกอากาศหรือไม่”
“ไม่ใช่” อวี้เฟิงชิงอินตอบ
“เช่นนั้นสิ่งที่ข้าสามารถชี้แนะได้ก็มีน้อยแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ
“ข้าแค่ถามท่านว่า เป็นอาจารย์ของข้าได้หรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินมองตงป๋อเสวี่ยอิง
“เดิมทีข้าก็เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิอยู่แล้ว หากคุณหนูสามต้องการให้ข้าชี้แนะ แน่นอนว่าข้าย่อมสามารถชี้แนะได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ข้าต้องการอาจารย์ที่แท้จริง” อวี้เฟิงชิงอินมองตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ว่าคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คล้ายจะตกอยู่ท่ามกลางการครุ่นคิดบางอย่าง แต่จะรับศิษย์น่ะหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงลังเลเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็พยักหน้ายิ้มๆ ขึ้นมา “ได้ ข้าจะรับคุณหนูสามเป็นศิษย์ก็ได้”
ตนติดค้างน้ำใจคุณหนูสามอยู่ รับเป็นศิษย์ก็รับเป็นศิษย์
เดิมทีตนเป็นเพียงแขกที่ผ่านโลกใบนี้มาเท่านั้น ไม่เคยคิดจะรับศิษย์มาก่อน แต่ถึงอย่างไรก็ติดค้างน้ำใจคุณหนูสามผู้นี้อยู่ ต่อให้ไม่รับศิษย์ ในภายหน้าก็ต้องหาโอกาสตอบแทนน้ำใจครั้งนี้อยู่ดี
“ชิงอินคารวะท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินยืดกายขึ้นทันที ก่อนจะโค้งคำนับอย่างเป็นทางการ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับการคารวะครั้งนี้
ส่วนสองพี่น้องอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นที่อยู่ไกลออกไปก็มองดูฉากนี้อยู่เงียบๆ พวกเขารู้ดีว่าโอกาสรอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของทั้ง ‘สกุลอวี้เฟิง’ ในตอนนี้อยู่ที่เมืองไม้บูรพา! แม้คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาจะมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว หากน้องสาวไปที่นั่น วันคืนก็คงจะค่อนข้างน่าเศร้า แต่ช่วยไม่ได้ จะต้องทำเพื่อความอยู่รอดของคนสกุลอวี้เฟิงจำนวนนับไม่ถ้วน
คารวะอาจารย์หรือ
จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือตัวฉกาจที่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเมืองจวิ้นซาน คุณหนูสามสกุลอวี้เฟิงคารวะยอดฝีมือระดับนี้เป็นอาจารย์ก็ไม่นับว่าเสียหน้าอะไร
“คนเหล่านี้ จะร่วมเป็นร่วมตายกับสกุลอวี้เฟิงของเราจริงๆ สักกี่คนกันเชียว” อวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นมองดูเหล่ายอดฝีมือระดับจ้าวเทพภายในโถงตำหนักทั้งหลาย
ลูกหลานสกุลอวี้เฟิงเกิดมาล้วนมีตรา ‘สกุลอวี้เฟิง’ ประทับอยู่
แต่ก็ยังมียอดฝีมือมากมายที่อาจจะช่วยสกุลอวี้เฟิงสกัดกั้นศัตรูจากภายนอกในตอนเริ่มแรก แต่หากต้านทานไม่ไหวจนเมืองแตกขึ้นมาแล้ว เกรงว่ายอดฝีมือเหล่านั้นก็คงจะเก็บไม้เก็บมือแล้วคอยชมอยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ จะปกครองเมืองนี้ ก็เพื่อที่จะเก็บเอายอดฝีมือกลุ่มใหญ่นี้ไปด้วย สมาคมจิตมารก็ไม่อยากจะรับเมืองร้างแห่งหนึ่งไปอยู๋แล้ว ดังนั้นยอดฝีมือทั้งหลายเช่น ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ‘ประมุขหอสิง’ และ ‘จ้าวเทพเจียนอิ่น’
ผู้ปกครองตัวเมืองอาจจะเปลี่ยนตัวได้!
แต่บรรดายอดฝีมือเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนสามารถยืนหยัดได้โดยไม่ล้มลง!
……
หลังจากอวี้เฟิงชิงอินคารวะอาจารย์แล้วก็เหมือนจะเบิกบานใจขึ้นมาก นางพูดอะไรกับตงป๋อเสวี่ยอิงมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คอยฟังเป็นเพื่อน
ในที่สุด งานเฉลิมฉลองครั้งนี้ก็ยุติลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังจะจากไปด้วยแล้ว จ้าวภูเขาค้างคาวกลับมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง ยิ้มตาหยีพลางลอบถ่ายเสียงพูดว่า “พี่หิมะเหิน ก่อนหน้านี้ข้าภูเขาค้างคาวขัดแย้งกับท่านเล็กน้อย อันที่จริงแล้วก็เพราะเจ้าหนูคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเถี่ยเฉิงหลิ่ว”
“เถี่ยเฉิงหลิ่วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ เขารู้ความจริงตั้งแต่พลิกดูความทรงจำแล้ว และรู้ว่าเป็นทหารคุ้มกันบนเรือใหญ่ที่เมื่อตนปลดปล่อย ‘เสน่ห์’ ออกมาเล็กน้อยก็ยังคงรังเกียจตนผู้นั้นนั่นเอง
“ข้าอยากจะถามพี่หิมะเหินหน่อยว่า ควรจะจัดการเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นั้นอย่างไรดี เดิมทีข้าคิดว่าจะสังหารเขาตรงๆ เสียเลย แต่ก็อยากจะถามความคิดของพี่หิมะเหินเสียก่อน” จ้าวภูเขาค้างคาวถ่ายเสียงพูด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น