Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 37 ตอนที่ 12-20
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 12 ก็มิใช่แค่ร่างแยกร่างเดียวเ...
“แม้กระทั่งทำให้มั่นคงก็ยังทำมิได้ ข้อบกพร่องก็ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบจิตใจแล้วคิดใคร่ครวญย้อนกลับไปถึงเคล็ดวิชาที่ตนคิดค้นขึ้นมา ถึงขนาดที่แปลงเป็นลำแสงเหินบินไปยังภูเขาเขี้ยวอสรพิษสีดำสูงตระหง่านแห่งแล้วแห่งเล่าในบริเวณรอบๆ ภูเขาเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศแปดแห่ง บริเวณรอบๆ ของแต่ละแห่งมีช่องว่างห้วงอากาศอยู่ มองแล้วก็ทำให้หัวใจคนสั่นสะท้าน รู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ในทัศนวิสัยของเขาสามารถเห็นภูเขาเขี้ยวอสรพิษได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น แต่เขากลับคาดเดาถึงปัญหาที่เคล็ดวิชาของตนมีอยู่ได้อย่างรางๆ แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เขี้ยวอสรพิษสีดำ แฝงไว้ด้วยความเร้นลับมากมายของวิถีอากาศ เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับขั้นคละถิ่น ระดับขั้นสูงกว่าข้ามากมายเหลือเกิน ข้าเห็นแล้วก็ชมชอบหลงใหล! หากแต่เขี้ยวอสรพิษนี้ในท้ายที่สุดแล้วก็มีไว้ใช้โจมตี ส่วนประกอบของใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยอดเขาเขี้ยวอสรพิษก็เอาไว้ใช้สังหารโจมตีเช่นเดียวกัน ข้าอยากจะดึงเอาความเร้นลับมาซึมซับเข้าสู่ร่างกายก็ย่อมมีการสังหารโจมตีที่แข็งแกร่ง แต่อยากจะทำให้มั่นคงนั้นก็ยากเย็นเสียแล้ว!”
สิ่งที่โจมตีเพียงอย่างเดียวสามารถมั่นคงได้หรือ
ได้!
อย่างเช่นอาวุธเทพคละถิ่น! หรืออย่างเช่นเขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศนี้! ต่างก็เป็นวัตถุที่โจมตีในระยะใกล้ ก็สามารถอยู่อย่างมั่นคงชั่วนิรันดร์ได้
แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการทำให้ทุกด้านของร่างกายสมดุลกันก็ง่ายกว่าอยู่พอสมควร ส่วน ‘การคงความสมดุลแม้การกัดกร่อนแข็งแกร่ง’ ก็ยากกว่าอยู่มากอย่างเห็นได้ชัด
“น่าเสียดาย ข้าไม่มีวัตถุอื่นๆ ที่สามารถศึกษาได้อีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
ถึงแม้ว่าจะได้ดูเศษเสี้ยวความทรงจำมาแล้ว
แต่ก็เพียงแค่ได้เห็นภาพเหตุการณ์จำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางวิเคราะห์ได้อย่างแท้จริง อย่างเช่นเขี้ยวอสรพิษนี้ ตนเองก็สามารถมองเห็นส่วนประกอบภายในได้แล้วศึกษาจากมัน ดัดแปลงส่วนประกอบร่างกายของตนเอง
“อาวุธเทพคละถิ่น พื้นฐานคือเม็ดทรายอลวนซึ่งเป็นวัตถุไร้ชีวิต” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ดีร้ายอย่างไรเขี้ยวอสรพิษก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย”
“ไปดูที่อื่นๆ อีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจดจำส่วนประกอบภายในเขี้ยวอสรพิษเอาไว้จนหมด ถึงขนาดที่ไม่มีทางก้าวหน้าได้อีกในระยะเวลาอันสั้น จะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
พรึ่บ!
เขาแปลงเป็นลำแสง เดินทางอยู่ในทางเดินเขี้ยวอสรพิษอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นตรวจตราไปทุกหนทุกแห่ง
……
ในวันต่อมา ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทจิตใจสำรวจทุกหนแห่งของทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเคยถามยอดเคารพเฮ่ากู่ถึงข้อมูลเกี่ยวกับทางเดินเขี้ยวอสรพิษมาก่อนแล้ว ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ได้บอกมาเป็นจำนวนมาก แต่เกี่ยวกับ ‘วิถีอากาศ’ นั้น วิธีการพูดของยอดเคารพเฮ่ากู่ก็คือ “เขี้ยวอสรพิษห้วงอากาศเก้าอันนั้นสะดุดตาเป็นที่สุด ส่วนสิ่งอื่นๆ นั้นข้าก็มิได้ค้นพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีอากาศ แน่นอนว่าข้าก็มิได้เชี่ยวชาญทางด้านห้วงอากาศ สายตาไม่กว้างไกลพอ บางทีหากมีวัตถุวิถีอากาศอยู่ต่อหน้า ก็มีความเป็นไปได้ที่ข้าจะมองไม่ออก”
สำหรับ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ถึงแม้ว่าทางเดินเขี้ยวอสรพิษจะเป็นสถานที่ต้องห้ามในตำนาน แต่กลับไม่มีวัตถุใดๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับมันเลย
******
ณ บ้านเกิด ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ โลกทิพย์นิจนิรันดร์
ภายในเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวกำลังอยู่ที่โรงสุราริมทาง เสพสุขกับอาหารเลิศรสสุราชั้นเลิศที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงสุราแห่งนี้
เหล่าผู้ดูแลของโรงสุราต่างก็กำลังตั้งอกตั้งใจดูแลบรรดาแขกเหรื่อ วิ่งพล่านอยู่ภายในโรงสุรา คอยยกอาหารเลิศรสสุราชั้นเลิศถาดแล้วถาดเล่า
“เหล่าซาน ค่าคารวะอาจารย์ของเจ้าเพียงพอแล้วหรือ”
“พี่ใหญ่ วางใจเถิด ใกล้แล้วล่ะ คราวหน้าที่สำนักฝูเทียนรับศิษย์อีกครั้ง ข้าก็สามารถคารวะอาจารย์ได้แล้ว พอถึงเวลานั้นข้าก็จะต้องบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นเทพอากาศได้อย่างแน่นอน” ที่ด้านข้าง เหล่าผู้ดูแลผ่อนคลายกันเล็กน้อย ผู้ดูแลวัยเยาว์สองคนถ่ายเสียงสนทนาระหว่างกัน
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวมีระดับขั้นเช่นไร วิธีการที่เทพแท้สองคนถ่ายเสียงกัน พวกเขาสองคนก็ได้ยินอย่างง่ายดาย
อวี๋จิ้งชิวเอ่ยเสียงเบาว่า “ในยุคนี้ยังคงมีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังบำเพ็ญ กำลังดิ้นรน แต่ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านกลับกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่องจนใกล้จะถึงมหาวินาศ”
“ยังเร็วไปมากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ยังเหลืออีกกว่าสิบล้านล้านปีเลยทีเดียวนะ”
“ใช่ แต่ยุคนี้แหลกสลายไป ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เจ้า เสวี่ยอิงสามารถช่วยพาจากไปได้” อวี๋จิ้งชิวมองบรรดาผู้ดูแลวัยเยาว์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหล่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
พกพาสิ่งมีชีวิตไปยังโลกกำเนิดแห่งอื่นๆ สำหรับเขาผู้เป็นวิถีอากาศขั้นสุดยอดแล้วก็มิใช่เรื่องง่ายเลย
แม้กระทั่งบรรดาญาติสนิทมิตรสหาย ก็ยังต้องต้องแบ่งออกเป็นหลายครั้งอย่างยิ่งในการพาไป ที่เขาสามารถพาไปได้ก็ถูกกำหนดให้น้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง!
“ยุคสมัยนี้…” ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านเกิดหรือว่าที่ดินแดนจิตโลกา ตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งที่ยืนอยู่ที่จุดยอดสุดทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังมิได้ทำให้เสร็จสิ้น อย่างเช่นการสังหารศัตรูของปรมาจารย์กู่ฉี…จอมเทพศักดิ์สิทธิ์! ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่ก่อการสังหารจำนวนนับไม่ถ้วน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมไม่อยากให้เขามีชีวิตรอดอยู่แล้ว
“แต่ถ้าหากไปถึงยุคต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราจะต้านทานกฎเกณฑ์สูงสุดเอาไว้ได้ ก็ต้องให้กำเนิดตอนแรกเริ่มในยุคต่อไป เข้าสู่ห้วงนิทราอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ “พลังยุทธ์ของข้าแข็งแกร่งกว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ระยะเวลาที่ข้าเข้าสู่ห้วงนิทราก็อาจจะเนิ่นนานกว่า ระหว่างช่วงเวลานี้ก็สามารถเกิดการผันแปรขึ้นได้มากมาย”
ภายในโลกกำเนิดก็ไม่มีทางต้านทานกฎเกณฑ์สูงสุดได้เลย
แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นที่กล้าแกร่งอย่าง ’หยวน’ และ ‘เจ้าเมืองหลัว’ เข้าไปยังโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง ภายใต้การเผชิญกับความกดดัน พลังยุทธ์ที่สามารถแสดงออกมาได้ก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
“อยากจะสังหารเขา ยุคนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่สุดแล้ว”
“แต่ตอนแรกจอมกระบี่ไล่ล่าสังหารหลายครั้ง ก็เพียงแค่ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น พลังชีวิตก็สูญเสียไปไม่ถึงครึ่ง ตอนนี้ข้าสามารถรักษาพลังยุทธ์เอาไว้อย่างมั่นคงได้ ก็เป็นเพียงแค่ระดับไร้เทียมทานเท่านั้น แข็งแกร่งกว่าจอมกระบี่อยู่เล็กน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจกระจ่างแจ้งเป็นอย่างยิ่ง พลังยุทธ์ไร้เทียมทานก็ไม่มีทางสังหารขั้นสุดยอดระดับสามัญในกระบวนท่าเดียวได้
ถึงแม้ว่าตนเองจะมีร่างแยกมากมายก็ยังทำมิได้เช่นกัน
ตอนนี้เขายังซ่อนตัวอยู่ในทางเดินโลกาพิศวง อยากจะหาตัวให้พบนั้นยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรเมื่อใดที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แปลงร่างกลายเป็นฝูงมารผลาญทำลายธรรมดา ตนเองก็ไม่มีทางจำได้! ในท้ายที่สุดแล้วตนก็ไม่มีความสามารถในการ ‘สะกดรอย’ ขั้นสุดยอดอยู่ดี
“รอให้ข้าแข็งแกร่งกว่านี้มากอีกหน่อยเถิด”
“ก็จะเริ่มต้นกวาดล้างทางเดินโลกาพิศวง ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางปล่อยให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถมีชีวิตรอดไปถึงยุคต่อไปได้หรอก” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายหนาวเหน็บวาบผ่าน ก่อนหน้านี้เขายังไม่มีความมั่นใจ แต่ความก้าวหน้าในเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว
ขอเพียงแค่เคล็ดวิชาฝึกกายก้าวหน้าขึ้นอีกสักหน่อยก็จะมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในการไปกวาดล้างแล้ว
……
สถานที่ต้องห้ามทะเลแห่งการรับรู้ของ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงที่ใหญ่ที่สุดแห่งนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงยังที่แห่งนี้ ผ่านประสบการณ์สำรวจทุกหนแห่งในระยะเวลานี้ พลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษในร่างกายเขาก็ถูกใช้ไปจนเหลือเพียงแค่สายสุดท้ายแล้ว
ยืนอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงนี้ มองดูซากศพของงูยักษ์ขนาดมหึมาตนนั้น และซากศพสัตว์ประหลาดพันเนตรที่อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหักอยู่ห่างๆ
“ที่ดินแดนจิตโลกา ที่อากาศอันสับสนอลหม่าน ข้าก็ไร้ซึ่งศัตรูแล้ว เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิของหุบเขาเขี้ยวหักก็มีอยู่มากมายที่แข็งแกร่งกว่าข้า แต่สิ่งที่พวกเขาบำเพ็ญล้วนเป็นพลังสายโลหิตทั้งสิ้น มิได้มีส่วนช่วยเหลือต่อข้าแต่อย่างใดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “แต่ถึงแม้ว่าจะบำเพ็ญมาจนถึงระดับในตอนนี้แล้ว วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าก็ยังไปไม่ถึงขั้นสุดยอดเลยเสียด้วยซ้ำ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคละถิ่นเลย วิถีอากาศ แม้กระทั่ง ‘จักรพรรดิระดับต้น’ ก็ยังไม่มั่นคงพอ ยังห่างไกลจากการสำเร็จเป็นคละถิ่นอยู่มากมายนัก”
“ทุ่มเทบำเพ็ญ”
“นึกอยากจะใช้พลังทำลายกฎสำเร็จเป็นคละถิ่นนั้นยากเย็นเพียงใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ
ไปดัดแปลงเส้นทางมากมาย ทดลองควบคุมจุดกำเนิดของโลกกำเนิด บางทีอาจยังมีหวังมากยิ่งกว่าอีกกระมัง
เผยแพร่ความเชื่อ อาศัยศรัทธาของสรรพชีวิตมาควบคุมจุดกำเนิดโลกอย่างนั้นหรือ การที่จะให้ผู้บำเพ็ญที่ไขว่คว้าอิสรภาพอย่างยิ่งใหญ่ศรัทธาได้นั้นยากเย็นเหลือเกิน แต่วิธีการควบคุมวิญญาณนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้สนใจมากมายนัก
“ไปลองดูที่แหล่งอารยธรรมอื่นๆ หน่อยดีกว่า”
“ที่แท้แล้วเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่ เพียงแค่รับสัมผัสอยู่ห่างๆ ก็สามารถทำให้สัญชาตญาณของข้ารู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาได้แล้ว ส่งผลกระทบต่อพลังยุทธ์ของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงตรงหน้าก้อนหินใหญ่สีดำนั้น ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเป่ยเหอก็เคยเข้าไปและออกมาก่อนแล้ว! อย่างเช่นเหล่าห้ายอดเคารพที่เคยมาถึงที่นี่ ต่างก็รู้สึกได้ว่าการไปนี้ช่างอันตรายเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่เลือกทางเส้นนี้ง่ายๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเยาว์วัยเกินไป
ต่อให้ไม่ออกไปวิ่งบุกฝ่า ทุ่มเทบำเพ็ญอย่างเดียว ด้วยความรวดเร็วในการบำเพ็ญของเขาก็มีความหวังที่จะสำเร็จเป็นคละถิ่น
แต่ว่า…
“ก็มิใช่แค่ร่างแยกร่างเดียวเท่านั้นหรือไร”
ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน เคยใส่ใจร่างแยกร่างเดียวเสียที่ไหนกัน
“ไป ไปดูหน่อยดีกว่า” ร่างกายที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้และคาดหวังรอคอยของตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสบนก้อนหินใหญ่สีดำแล้วแทรกเข้าไปภายใน ถูกดึงดูดเข้าไปในนั้นทันที
…………………………………
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 13 มาเยือน
พรึ่บ!
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงแค่ว่าตลอดทั้งร่างถูกกักเอาไว้ ติดกับอยู่ภายในฟองวารีสีแดงโลหิตฟองหนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนย้ายอยู่ภายในมิติคละถิ่นอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว
“รวดเร็วเกินไปแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปรอบทิศ มองผ่าน ‘ฟองวารี’ ก็สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้ แต่ทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นรางเลือน ถึงขนาดที่ ‘โลกกำเนิด’ อันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปหายลับไปภายในทัศนวิสัยของตน ตนเองก็ยังไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของโลกกำเนิดแห่งนั้นได้อย่างชัดเจน จากนั้นก็ พรึ่บๆๆ…
โลกกำเนิดแห่งแล้วแห่งเล่ากะพริบวาบผ่านไป
หรือแม้กระทั่งมองเห็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมาจำนวนหนึ่งอยู่เป็นครั้งคราว สามารถระบุรูปทรงได้อย่างคร่าวๆ อีกฝ่ายก็หายลับไปจากสายตาเสียแล้ว
“นั่นคือใครกัน เคลื่อนที่ภายในมิติคละถิ่นก็ยังร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” สัตว์ประหลาดหลายหัวขนาดมหึมาตนหนึ่ง ดวงตากว่าร้อยคู่มองดูทิศทางที่ร่องรอยสายนั้นกะพริบวาบผ่านแล้วก็อดที่จะลอบบ่นพึมพำมิได้ “ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นพรรค์นี้ เกรงว่าคงจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา แต่ก็ยังหลบอยู่ไกลพอสมควร” สัตว์ประหลาดหลายหัวนี้เคลื่อนที่เตร็ดเตร่เปลี่ยนทิศทางไปในทันที
……
รวดเร็วยิ่งกว่าการอาศัยป้ายคำสั่งจิตโลกามาถึงดินแดนจิตโลกาในตอนนั้นเสียอีก ทั้งยังรวดเร็วกว่าศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาที่ตนสำแดงเป็นอย่างมาก
‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ เป็นสิ่งที่ตนสร้างรอยแยกเส้นหนึ่งขึ้นมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตัดแยกพลังคละวิถีไปอย่างระมัดระวังแล้วเคลื่อนที่ไปข้างหน้า แต่ในขณะนี้ก็ถูกฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ห่อหุ้มและส่งถ่าย เป็นการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างตรงไปตรงมา! พลังคละวิถีก็ไม่มีทางรบกวนได้ รวดเร็วถึงขนาดที่แม้กระทั่ง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ก็ได้แต่มองเห็นร่องรอยที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยได้อย่างทุลักทุเลเท่านั้น แล้วหายลับไปภายในอาณาบริเวณการรับสัมผัสของเขา
รวดเร็วเหลือเกิน
ฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ผ่านโลกกำเนิดมาสามร้อยกว่าแห่ง ทุกแห่งที่ผ่านไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้จดจำเอาไว้จนหมดแล้ว
“ครืน…”
บริเวณไกลออกไปมีโลกสีทองแห่งหนึ่ง
โลกสีทองแห่งนั้นแผ่สายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนมาปะทะโจมตีกับ ‘พลังคละวิถี’ ของมิติคละถิ่นอย่างต่อเนื่อง! นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจและสงสัย “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน โลกกำเนิดที่ข้าเคยเห็นต่างก็อยู่ร่วมกันกับมิติคละถิ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น! ระลอกคลื่นที่โลกกำเนิดแผ่ออกมาทำให้พลังคละวิถีร่นถอยไปเล็กน้อย ทั้งสองมิได้มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงแต่อย่างใดเลย แต่เหตุใดโลกใบนี้จึงได้ขัดแย้งกับมิติคละถิ่นอย่างร้ายกาจเช่นนี้เล่า”
ในใจยังคงสงสัยอยู่
ฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ กะพริบวาบคราหนึ่งก็พุ่งเข้าไปในโลกสายฟ้าสีทองแห่งนั้นแล้ว
รวดเร็วเกินไปแล้ว!
ฟองวารีสีแดงโลหิตเคลื่อนผ่านมิติคละถิ่น เหลือร่องรอยสีแดงโลหิตสายหนึ่งเอาไว้ ถึงแม้ว่าโลกสายฟ้าสีทองจะมีความรุนแรงไม่ธรรมดา แผ่สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีมิติคละถิ่นบริเวณรอบๆ แต่กลับมิอาจสั่นสะเทือนถึง ‘ฟองวารีสีแดงโลหิต’ นี้ได้เลยแม้แต่น้อย ฟองวารีสีแดงโลหิตกระแทกกับสายฟ้าทั้งหมดที่แผ่มาอย่างอุกอาจ อีกทั้งยังพุ่งเข้าไปภายในโลก ‘สายฟ้าสีทอง’ ในทันทีอีกด้วย
“หืม นี่มันเรื่องอันใดกัน”
“ผู้ใดกันที่มายังโลกของพวกเรา”
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ
หลังจากที่ฟองวารีสีแดงโลหิตที่ปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงฝืนเข้าไปยังโลกแห่งนี้แล้ว เพียงไม่นานก็มีเงาร่างสามสายปรากฏขึ้นมาจากกลางโลกสายฟ้าสีทองอย่างต่อเนื่องกัน พวกเขาทั้งสามต่างก็แผ่กลิ่นอายของผู้แกร่งกล้าคละถิ่นออกมา กลิ่นอายแผ่กระจายอย่างยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ ถึงขนาดที่ทำให้สายฟ้าสีทองและพลังคละวิถีที่อยู่รอบๆ อ่อนลงไปเป็นอันมาก
พวกเขาทั้งสามมองไปทั่วทั้งสี่ทิศอย่างละเอียด ทำการสำรวจด้วยวิธีการสะกดรอยและย้อนเวลาต่างๆ
“ไม่มีหรือ”
“รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีวัตถุภายนอกพุ่งเข้ามาในโลกของพวกเรา! แต่เหตุใดจึงตรวจสอบไม่พบเล่า คราวก่อนก็รู้สึกได้ว่ามีวัตถุภายนอกเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถหาพบได้เช่นกัน”
“ประหลาดนัก”
หลังจากที่บุคคลสามท่านนี้ปรึกษากันแล้วก็สิ้นไร้หนทาง ได้แต่ล่าถอยไปชั่วคราวก่อน
******
“ปึงๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ภายในฟองวารีสีแดงโลหิต รู้สึกได้เพียงว่าสายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนอันบ้าคลั่งรุนแรงนั้นปะทะกับฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ไม่หยุดหย่อน ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงการคุกคามของความตาย แต่ทั้งหมดล้วนถูกฟองวารีสีแดงโลหิตต้านทานเอาไว้เสียแล้ว
“บ้าคลั่งและรุนแรงเช่นนี้ โลกที่รับสัมผัสได้ตอนที่ข้าอยู่ภายในห้วงมิติกลุ่มแสงของทางเดินเขี้ยวอสรพิษนั้นก่อนหน้านี้ ก็คงเป็นโลกแห่งนี้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดา
พรึ่บ…
ฟองวารีสีแดงโลหิตพุ่งเข้าไปภายในโลกสายฟ้าสีทองแล้ว ถึงขนาดที่ตกลงไปที่ใดสักแห่งอย่างไร้ซึ่งสุ้มเสียง ปราศจากร่องรอย
“ความรวดเร็วนี้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังยืนอยู่บนดินแดนรกร้างแห่งหนึ่งพลางเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเพิ่งผ่านด้านนอกโลกสายฟ้าสีทอง จากนั้นตนก็มาถึงบนดินแดนรกร้างแห่งนี้! เพราะว่ารวดเร็วเกินไปจริงๆ ตนเองมิอาจมองเห็นให้ชัดเจนได้เลย! แต่ก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง อย่างเช่นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นของโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง เคลื่อนที่ผ่านได้ในพริบตาโดยอาศัยความเร็วของฟองวารีสีแดงโลหิต ก็รวดเร็วเสียจนตนเองก็ยังมองเห็นไม่ชัด
“ถ้าหากกระตุ้นจะสามารถมุ่งตรงไปยังโลกแห่งต่อไปได้หรือไม่หนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มหน้าลงมองไปยังข้อมือ บนข้อมือมีรอยประทับสีแดงโลหิตปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน จากนั้นรอยประทับก็เลือนหายไป เกิดการซ่อนเร้นขึ้นมา
พลังที่แฝงอยู่ในฟองวารีสีแดงโลหิตนี้ก็กระตุ้นขึ้นมาอีกสองครั้ง
ทุกครั้งที่กระตุ้นก็ส่งตนมุ่งหน้าไปยังโลกแห่งหนึ่ง
โลกที่แหล่งอารยธรรมแตกต่างกันสามแห่ง…
นี่ก็คือโอกาสที่ ’หยวน’ มอบให้กับผู้แกร่งกล้าที่สามารถไปถึงส่วนลึกของทะเลแห่งการรับรู้ของทางเดินเขี้ยวอสรพิษได้อย่างพวกเขา
“จักรพรรดิเป่ยเหอก็คงจะมาถึงโลกแห่งนี้แล้วเช่นเดียวกันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันใด ทั่วทุกบริเวณของร่างกายตนค่อยๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ก็ราวกับก้อนอิฐก้อนแล้วก้อนเล่าของอาคารสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่งกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แน่นอนว่าทั้งอาคารสูงเสียดฟ้าก็ค่อยๆ เข้าสู่ ‘การแตกสลาย’ อย่างช้าๆ เช่นเดียวกัน
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ร่างกายของข้า ร่างกายของข้า เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว
ร่างกายกำลังแตกสลาย!
นอกจากนี้ยังเริ่มแตกสลายจากทุกอนุภาคที่ละเอียดอ่อนที่สุดอีกด้วย
ไม่เพียงแต่เป็นเช่นนี้เท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้ว่าการรับสัมผัสต่อห้วงอากาศบริเวณรอบๆ ก็กลายเป็นรางเลือนอีกด้วย เป็นถึงผู้แกร่งกล้า ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ เดิมทีการควบคุมห้วงอากาศของเขาก็ร้ายกาจเป็นที่สุดอยู่แล้ว แต่ ‘ห้วงมิติ’ ของโลกนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ฟังคำเอาเสียเลย ความเร้นลับของวิถีอากาศที่ตนควบคุม เมื่ออยู่ต่อหน้ามิติของโลกแห่งนี้ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใดเลย
“กลายเป็นอากาศธาตุ”
เมื่อทดลองกลายเป็นอากาศธาตุ ห้วงอากาศบริเวณรอบๆ ร่างกายบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ว่าร่างกายกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยังคงค่อยๆ แตกสลายต่อไปเช่นเดิม
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน ข้าเป็นถึงวิถีอากาศขั้นสุดยอด เหตุใดวิถีอากาศจึงไร้ผลเสียแล้วเล่า”
“โลกกำเนิดที่แตกต่างกัน กฎเกณฑ์ระดับล่างก็อาจเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ แต่กฎเกณฑ์ที่เหล่าเทพจักรวาลสร้างขึ้นเอง วิถีของเทพจักรวาลก็ควรจะใช้ได้ด้วยกันในทุกโลกกำเนิดสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในทันใด “แต่ว่าถ้าหากสถานที่ที่ข้าเข้าไปมิใช่โลกกำเนิดเล่า”
เมื่อดูจากสถานการณ์ที่ตนส่งถ่ายตัวเข้ามา
โลกสายฟ้าสีทองนั้นโจมตีมิติคละถิ่นอยู่ตลอดเวลาอย่างรุนแรงและบ้าคลั่ง ทั้งสองมิได้เข้ากันอย่างสมบูรณ์
“นอกจากนี้ ดินแดนแห่งนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มลงมองพื้นดินเบื้องล่างแล้วยื่นมือออกไปสัมผัสเบาๆ กรวดหินดินทรายบนพื้นนั้นหนาแน่นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่มีกลิ่นอายพลังคละวิถีอยู่อย่างหนาแน่นด้วย! คล้ายกับว่ากรวดหินดินทรายทุกก้อนต่างก็เป็นพลังคละวิถีจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน กรวดหินดินทรายทุกก้อนล้วนหนาแน่นหาใดเปรียบ เกรงว่าเทพแท้ทั่วไปก็คงไม่สามารถเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ! พลังดึงดูดก็ยิ่งใหญ่เหนือธรรมดา
กลิ่นอายอันบ้าคลั่งอันอลหม่านและรุนแรงที่ทั่วทั้งโลกแผ่ออกมา กฎเกณฑ์ก็เอนเอียงไปทางความอลหม่านและความรุนแรง
“นี่คงจะมิใช่โลกกำเนิดหรอก”
“โลกกำเนิด ฟูมฟักสรรพชีวิต ทะนุถนอมสรรพชีวิตให้เจริญเติบโต จะอลหม่านและรุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“วิถีของระดับเทพจักรวาลนั้นใช้ได้เหมือนกันในโลกกำเนิดต่างๆ แต่นี่คงจะมิใช่โลกกำเนิด แม้กระทั่งวิถีอากาศของข้าก็ยังได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ “อ้างอิงจาก ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ที่วิถีอากาศสรรสร้างขึ้นก็คงจะเข้ากันไม่ได้กับโลกแห่งนี้จากพื้นฐานที่สุด ดังนั้นร่างกายนี้ของข้าจึงเริ่มแหลกสลายอย่างนั้นหรือ”
ถึงแม้ว่าร่างกายจะกำลังแหลกสลาย
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ตื่นตระหนก เพราะว่านอกจากเขาจะค้นพบข่าวร้ายมากมายแล้วก็ยังมีข่าวดีอยู่ข่าวหนึ่ง!
“วิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าไม่มีผลกระทบแต่อย่างใดเลยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดี
วิถีเขตลวงโลกเทียมก็คือวิถีวิญญาณ
สิ่งที่ต่อต้านก็คือวิญญาณ!
วิญญาณ…
ไม่ว่าจะเป็นที่โลกกำเนิดต่างๆ หรือแม้กระทั่งโลกแห่งนี้ที่เข้ามาในตอนนี้ก็คงจะมีพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน สามารถสำแดงวิถีเขตลวงโลกเทียมได้เช่นเดียวกัน
“แต่ร่างกายของข้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว ร่างกายเริ่มต้นแหลกสลายจากภายในส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุด หรือว่าตนจะทำได้เพียงแค่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกโดยอาศัย ‘วิญญาณ’ กันเล่า
“เมื่อครู่ข้าควบคุมวิถีอากาศ ค้นพบข้อบกพร่องมากมาย แต่กลับยังมีส่วนน้อยที่ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิวัฒน์อย่างรวดเร็ว วิญญาณของเขาแกร่งกล้าเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่สามารถเชื่อมต่อความทรงจำกับร่างแยกมากมายที่ดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่าน ทั้งสองโลกกำเนิดได้! เพียงชั่วครู่ร่างแยกมากมายต่างก็พากันวิวัฒน์เหตุการณ์ในตอนนี้กันอย่างสุดความสามารถเพื่อแก้ไขสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยเร็วที่สุด
ดีร้ายอย่างไรก็ต้องคงสภาพร่างกายเอาไว้ให้ได้!
……
ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนดินแดนรกร้าง ทางหนึ่งก็พยายามถ่วงเวลาที่ร่างกายแหลกสลายไปพลาง ทางหนึ่งก็พยายามวิวัฒน์หยั่งรู้ ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นจากกลิ่นอายอันไม่มั่นคงของร่างกายเขากลับดึงดูดแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่งมาเสียแล้ว
“พรึ่บ!” ลำแสงสีดำที่อยู่ไกลออกไปสายหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ตรงมาหาตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นมอง
นั่นคือสัตว์ปีกที่ปกคลุมด้วยขนนกสีดำตลอดร่างตนหนึ่ง มีนัยน์ตาดุร้ายสีเขียวมรกต ปีกทั้งสองกางออกยาวหลายพันเมตร ในขณะนี้สัตว์ปีกตนนี้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาหาร จึงพุ่งตรงลงมา!
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 14 ผู้เหินทะยาน
สัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนี้ทะยานลงมา พายุคลั่งที่เกิดจากปีกคู่นั้นก่อให้เกิดคมวายุจำนวนนับไม่ถ้วนตัดเฉือนผ่านอากาศไป มันเชือดเฉือนผืนดินส่วนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่เสียงดังฉึบฉับ เมื่อคมวายุตัดเฉือนเข้ามา รอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีดอกไม้สีดำดอกหนึ่งปรากฏขึ้น ดอกไม้สีดำหุบเข้าหากันแล้วปกป้องตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ คมวายุเหล่านั้นเชือดเฉือนลงบนดอกไม้สีดำทำให้ดอกไม้สั่นสะท้าน เหมือนจะถล่มทลายลงไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ตกใจเพราะเรื่องนี้ แต่กลับยินดีเสียด้วยซ้ำ “เป็นสิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจนัก วิถีเขตลวงโลกเทียม ‘ภาพลวงร่อนลงสู่ความจริง’ ของข้า มิได้ทุ่มเทความคิดจิตใจให้กับด้านการห้ำหั่นซึ่งหน้าสักเท่าไหร่นัก แต่กระบวนท่าเหล่านี้ก็มีพลังระดับเทพจักรวาลทั่วไปแล้ว ลำพังแค่คมวายุที่ปีกทั้งคู่ของสัตว์ปีกตัวนี้เหนี่ยวนำขึ้นมาก็มีอานุภาพเช่นนี้แล้ว เกรงว่าการห้ำหั่นซึ่งหน้าคงจะมีพลังระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้วกระมัง”
กระบวนท่าภาพลวงร่อนลงสู่ความจริง
เขาเคยค้นคว้าตอนที่ยังเป็นขั้นอลวน ต่อมาหลังจากวิถีอากาศก้าวเข้าสู่ระดับขั้นเทพจักรวาลแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ค้นคว้ากระบวนท่าจำพวกนี้อีก เพราะต่อให้ทุ่มเทจิตใจมากกว่านี้ก็เกรงว่าคงจะอยู่ที่ระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรวิถีเขตลวงโลกเทียมก็ไม่เชี่ยวชาญทางด้านการห้ำหั่นซึ่งหน้าอยู่แล้ว ทำเช่นนี้ก็ออกจะเปลืองเวลาอยู่บ้าง
“มาถึงโลกใบนี้ในที่สุดก็ได้พบสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ
วิ้ง!
เพียงชั่วความคิดเดียว
เขตลวงโลกเทียมก็เข้าปกคลุมสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนั้นเอาไว้ เดิมทีมันยังมุทะลุดุดันผิดธรรมดา จากนั้นสายตาก็หม่นลง ร่างกายโจมตีลงบนผืนดินเสียงดังโครมครามตามความเคยชิน ก่อให้เกิดก้อนกรวดจำนวนนับไม่ถ้วน ก้อนกรวดเหล่านี้หนักอึ้งหาใดเปรียบ สามารถก่อตัวขึ้นมาได้มากมายเช่นนี้ก็หาได้ยากยิ่งแล้ว
“น่าแปลก” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สติรับรู้ของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตัวนี้ถูกลากดึงเข้าไปในเขตลวงโลกเทียม สติรับรู้ของมันกลับแค่ดีกว่าสัตว์ป่าทั่วไปอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ในชีวิตของมันเคยได้พบกับผู้แกร่งกล้าที่มีรูปร่างเป็น ‘มนุษย์’ อยู่บ้าง บางตนก็ถูกมันกินลงไปทันที! บางตนมันก็มองเห็นอยู่ไกลๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย มันก็หลบหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่กล้าเยื้องกรายเข้าใกล้
ในความทรงจำตลอดชีวิตอันยาวนานของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหด มีข้อมูลที่มีประโยชน์น้อยมาก ทว่ากลับมีภาพของผู้แกร่งกล้าชาวมนุษย์มากมายซึ่งถูกมันโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือก่อนจะถูกมันกลืนกินแล้วตะคอกและพูดจาด้วยความโมโห เมื่อรวมๆ กันแล้วก็มีวาจาหลายพันประโยค ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยสิ่งเหล่านี้วิเคราะห์ภาษาของโลกใบนี้อย่างรวดเร็ว
วาจาหลายพันประโยคนี้ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาได้น้อยเสียจนน่าสงสาร
“มันรู้อะไรน้อยมากจริงๆ”
“ช่างเถิด ปล่อยมันไปก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง สำหรับยอดฝีมือชั้นเอกผู้ไร้เทียมทานทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียมอย่างเขาแล้ว ก็สามารถส่งผลกระทบต่อสติรับรู้ของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนี้ได้ง่ายดายยิ่งนัก
สัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดที่กระแทกลงกับพื้นตนนั้นฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างงุนงง มันมองดูรอบกาย เมื่อมองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิง กลับทำท่าเหมือนเห็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นบางอย่าง มันกระพือปีกทันที แล้วกลายเป็นลำแสงทะยานไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายวับไปยังขอบฟ้าไกลออกไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดสายตามองออกไปไกลพลางครุ่นคิด “ในความทรงจำของสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนี้ ในบรรดาผู้แกร่งกล้าชาวมนุษย์ที่มันพบนั้น เหมือนจะไม่เคยพบผู้ที่เคลื่อนที่ในพริบตาเลย ในโลกใบนี้ การเคลื่อนที่ในพริบตายากนักหรือไร”
เขาเป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ สำหรับเขาแล้ว การเคลื่อนที่ในพริบตานั้นเหมือนกับสัญชาตญาณ แต่บัดนี้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของวิถีอากาศมากมายเข้ากับโลกใบนี้ไม่ได้สักเท่าใดนัก แม้แต่กายหยาบอันแข็งแกร่งที่เขาสร้างขึ้นด้วยการฝึกกายคละถิ่นก็กำลังถล่มทลายลง
“ไม่คิดมากแล้ว”
“ทำให้กายหยาบมั่นคงก่อนดีกว่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามทำให้กายหยาบมั่นคง
ร่างแยกทั้งหลายของเขาที่อยู่ในโลกกำเนิดทั้งสองคือดินแดนจิตโลกาและอากาศอันสับสนอลหม่านรับรู้พร้อมกันจนมีทิศทางอยู่ก่อนแล้ว! แม้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์หลายอย่างของ ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ จะไม่เข้ากับโลกใบนี้นัก แต่ก็มีบางอย่างที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ วิธีการในตอนนี้ก็คือ…อาศัยความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้เหล่านี้เป็นพื้นฐาน แล้วพยายามผลักดันความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกับโลกใบนี้มากกว่าขึ้นมา
นอกจากนี้ ยังต้องปรับปรุงเคล็ดวิชา ‘ฝึกกายคละถิ่น’ ใหม่ ให้ง่ายดายขึ้นบ้าง
ยิ่งง่ายเท่าไหร่ ก็ยิ่งขัดแย้งกับโลกใบนี้น้อยลงเท่านั้น!
หากเป็นเคล็ดวิชาที่เกิดขึ้นจากความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่สามารถหลอมรวมกับโลกใบนี้ได้ทั้งหมด แล้วสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่ เชื่อว่าก็จะไม่มีความขัดแย้งแล้ว แต่หากเป็นเช่นนั้น กายหยาบก็อ่อนแอยิ่งนัก! ดังนั้นจึงพยายามสร้างความสมดุลทางด้าน ‘ความแข็งแกร่ง’ และ ‘ความมั่นคง’ ให้ได้มากที่สุด
แต่เรื่องนี้ต้องการเวลา!
……
เรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังบินไปท่ามกลางชั้นเมฆด้วยความเร็วสูง เรือลำใหญ่หรูหราบนระเบียงมีพลทหารยืนอยู่มากมาย คอยดูแลรอบด้าน
สตรีวัยกำดัดรูปโฉมงดงามคู่หนึ่งอยู่บนดาดฟ้า เกาะราวระเบียงพลางเหลือบมองลงไปยังผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง ไกลออกไปก็มีทะเลสาบสะท้อนประกายแวววับ เมื่อทอดสายตามองไป ภายในทะเลสาบอันกว้างใหญ่นั้นก็มี ‘สัตว์ถิ่นร้าง’ ตัวเขื่องกำลังดื่มน้ำอยู่
“ภาพของความรกร้างนี่ช่างงดงามจริงๆ” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนนางหนึ่งพูดยิ้มๆ พลางมองภาพความรกร้างใต้แสงตะวันที่สาดส่อง “อยากจะเหมือนกับพี่ใหญ่ในตอนนั้น ที่ท่องไปในความรกร้างเพียงลำพัง”
“คุณหนู ความรกร้างนั้นอันตรายนัก” สาวใช้ชุดเขียวด้านข้างเอ่ยขึ้น “ชนเผ่าที่มีชีวิตรอดอยู่ท่ามกลางความรกร้างนั้นมีน้อยเสียจนน่าสงสาร นอกจากนี้แต่ละคนล้วนใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เพราะต้องห้ำหั่นกับสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้น! หากคุณหนูพาองครักษ์กลุ่มใหญ่ไปด้วยก็ยังดีหน่อย หากไปบุกฝ่าความรกร้างเพียงลำพังคนเดียวน่ะหรือ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีพลังระดับจ้าวเทพกระมัง บัดนี้คุณชายใหญ่มีพลังขั้นจ้าวเทพระดับยอดแล้ว”
“ซีเอ๋อร์ ความหมายของเจ้าคือพลังของคุณหนูบ้านเจ้าเช่นข้าไม่เพียงพอหรือไร” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนมองไปทางสาวใช้พลางแค่นเสียงเฮอะ
“สายเลือดของคุณหนูสูงส่ง มีท่านเจ้าเมืองคอยชี้แนะด้วยตนเอง แน่นอนว่าต้องสำเร็จเป็นจ้าวเทพได้อย่างง่ายดายอยู่แล้วเจ้าค่ะ ทว่าตอนนี้น่ะหรือ ยังคงด้อยไปหน่อยจริงๆ” สาวใช้ชุดเขียวพูดพลางหัวเราะคิกคัก
“เจ้านี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ แม้แต่คุณหนูบ้านเจ้าเช่นข้า ก็ยังกล้ามาหัวเราะล้อเลียนอีก” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนแค่นเสียงเย็นชา ทว่าจากนั้นก็หัวเราะออกมา นางรู้จักกับสาวใช้มาเนิ่นนาน ตั้งแต่เล็กก็อยู่เคียงข้างมาจวบจนบัดนี้ จึงสนิทสนมกันดั่งพี่น้องเป็นธรรมดา สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนมองดูภาพความรักร้างอันไร้ขอบเขตนี้ด้วยสายตาดื่มด่ำ
ยอดฝีมือกลุ่มใหญ่บนเรือ สัตว์ถิ่นร้างท่ามกลางความรกร้างเหล่านั้นล้วนมิกล้ามาล่วงเกิน
“เอ๊ะ” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนพลันนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมาในทันใด นางรีบชี้ออกไปไกล “รีบดูเร็ว รีบดูเร็วเข้า ตรงนั้นมีคนด้วย”
“โอ๊ะ” สาวใช้ชุดเขียวด้านข้างก็เอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง “มีคนจริงๆ ด้วยหรือนี่”
…
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนทุ่งร้าง เขาก็สัมผัสได้ว่าเรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังทะยานเข้ามาจากกลางอากาศไกลออกไป อานุภาพของเรือใหญ่เกรียงไกร และไม่มีสัตว์ถิ่นร้างเช่นพวก ‘สัตว์ปีกที่เหี้ยมโหด’ กล้าเข้าไปล่วงเกิน
“วิเคราะห์ตั้งนมนาน ก็สามารถทำให้กายหยาบนี้สามารถครองพลังรบได้ที่ระดับขั้นสุดยอดอย่างพอถูไถเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกจนใจอยู่บ้าง เขาใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของวิถีอากาศที่ทำให้โลกใบนี้ไม่ต่อต้านเป็นพื้นฐาน แล้วทำให้เคล็ดวิชา ‘ฝึกกายคละถิ่น’ เรียบง่ายขึ้น! แม้จะทำให้เรียบง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงมีหลายความเร้นลับที่ยังคงมีการต่อต้านอยู่
มิเช่นนั้นแล้วลำพังแค่อาศัยความเร้นลับจำนวนน้อยนิดเหล่านั้น ภายในระยะเวลาสั้นๆ มิอาจผลักดันเคล็ดวิชาฝึกกายที่แข็งแกร่งพอขึ้นมาได้แน่
เคล็ดวิชาอ่อนแอเกินไปอย่างนั้นหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิงรังเกียจว่าอ่อนแอไป
“บัดนี้ก็พอจะทำให้กายหยาบมั่นคงขึ้นมาได้แล้ว”
“แม้ภายในจะยังมีการถล่มลงเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา แต่การฟื้นฟูตามธรรมชาติของร่างกาย สามารถชดเชยการถล่มทลายเล็กน้อยนี่ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ร่างกายของเขาอยู่ระหว่างการ ‘ได้รับบาดเจ็บ’ และ ‘ฟื้นฟู’ มาตลอดเวลา บัดนี้ความเร็วในการฟื้นฟูนั้นรวดเร็วกว่าการได้รับบาดเจ็บแล้ว จึงสามารถรักษาร่างกายให้มั่นคงได้!
ดีร้ายอย่างไร กายหยาบก็คงพลังรบระดับขั้นสุดยอดเอาไว้
ต้องรู้ไว้ว่า…ก่อนหน้านี้ฉบับแรกของฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สามก็เป็นระดับไร้ศัตรูแล้ว! ฉบับที่สองที่เขาขัดเกลาขึ้นมาก็ถึงขั้นเข้าสู่ระดับจักรพรรดิขั้นต้นแล้ว
บัดนี้ เพียงครู่เดียวก็ลดลงมาถึงขีดจำกัดขั้นสุดยอด! ทั้งยังต้องข่มความเจ็บปวดเอาไว้ตลอดเวลา
“ต่อไปก็ต้องใช้เวลา ค่อยๆ ขัดเกลาไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ฟิ้ว…
เรือใหญ่ลำนั้นกลับบินมาถึงเหนือร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ตรงหัวเรือ สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนผู้นั้นเหลือบมองลงมาเบื้องล่างพลางสำรวจตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความสนใจใคร่รู้ อีกด้านหนึ่งกลับมีชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น ชายชราท่าทางเยียบเย็นเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูสามระวังหน่อยนะขอรับ แต่ละคนที่บุกฝ่าอยู่ท่ามกลางความรกร้างเช่นนี้ล้วนแต่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คุณหนูสามต้องรักษาระยะห่างกับเขาหน่อย”
“พ่อบ้านอวิ๋น เขาเป็นอะไรไปแล้ว เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยชอบมาพากลนัก” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนถาม
ชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้นี้ยืนอยู่ที่หัวเรือ ทันใดนั้นก็ลืมตาดวงที่สามตรงหว่างคิ้วขึ้นมา ตาดวงที่สามนี้เปล่งแสงสีเขียวมรกตเรืองรองออกมา มันเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง เมื่อมองดูแล้วชายชราท่าทางเยียบเย็นก็ยิ้มหยัน “พลังของคนผู้นี้บรรลุถึงระดับจ้าวเทพได้อย่างพอถูไถ แต่อาการบาดเจ็บของร่างกายสาหัสยิ่งนัก เขากำลังพยายามเยียวยาอาการบาดเจ็บของร่างกาย ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจ้าวเทพคนหนึ่งก็กล้าบุกฝ่าท่ามกลางความรกร้างด้วย เฮอะๆ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ”
“เขาได้รับบาดเจ็บแล้ว พวกเราไปช่วยเขากันเถอะ ท่ามกลางความรกร้าง อาจจะมีสัตว์ถิ่นร้างที่แข็งแกร่งโผล่มาโจมตีเขาได้ตลอดเวลา” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนกล่าว
“คุณหนูสามเมตตาเกินไปแล้ว” ชายชราท่าทางเยียบเย็นส่ายหน้า “ผู้ที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ ยังคง…โอ๊ะ”
ทันใดนั้นชายชราท่าทางเยียบเย็นก็เผยสีหน้าตกใจออกมา
“เป็นอะไรไปน่ะ”
“พ่อบ้านอวิ๋น”
รอบด้านยังมีแม้ทัพหลายนายและคนอื่นๆ อยู่ด้วย ทุกคนพากันมองไปทางพ่อบ้านอวิ๋น พ่อบ้านอวิ๋นคือผู้ควบคุมเรือลำนี้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าผู้นำในนามก็คือคุณหนูสาม
แสงสีเขียวมรกตสาดส่องจากตาดวงที่สามตรงหว่างคิ้วของชายชราท่าทางเยียบเย็นอย่างไม่ขาดสาย เขาเหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่เบื้องล่างแล้วสำรวจโดยละเอียด “เขามิได้ก่อจิตเทพขึ้นมาหรือนี่ ไม่ได้ก่อจิตเทพ ก็บำเพ็ญถึงระดับขั้นจ้าวเทพได้ ดูท่าแล้วคงจะฝึกกายล้วนๆ ฝึกกายหยาบเพียงอย่างเดียวก็บรรลุถึงขั้นนี้ได้เชียวหรือนี่ นอกจากนี้เมื่อข้าอยู่เหนือร่างเขา ก็สัมผัสรับรู้กลิ่นอายสายเลือดของเขามิได้เลยแม้แต่น้อย เขามิใช่ผู้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกเทพ แต่เป็นผู้เหินทะยานจากโลกล่าง!”
“เป็นผู้เหินทะยานหรือ”
“ได้ยินมาว่าโลกล่างมีมิติมากมาย ผู้ที่สามารถเหินทะยานขึ้นมาถึงโลกเทพของพวกเราได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย”
บนเรือพลันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
มีผู้เหินทะยานอยู่ในโลกเทพน้อยมาก
“ผู้เหินทะยานคนหนึ่ง มิได้ก่อจิตเทพขึ้นมา ทางด้านฝึกกายสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นจ้าวเทพได้” ชายชราท่าทางเยียบเย็นเหลือบมองลงไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา “คุณหนูสาม บ่าวเฒ่ารู้สึกว่าคุณหนูสามพูดได้มีเหตุผล ผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้ ควรไปช่วยเหลือเสียหน่อย!”
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 15 บรรพเทวะคละถิ่น
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่กลางทุ่งร้าง พลางเงยหน้ามองเรือใหญ่สูงตระหง่านกลางฟากฟ้า บนเรือใหญ่มีธงสองผืนโบกสะบัด บนธงสองผืนนั้นต่างก็มีตัวอักษรสองตัวที่แตกต่างกันอยู่ แม้เขาจะเข้าใจเพียงแค่ภาษาพูดของโลกใบนี้เท่านั้น โดยไม่รู้ว่าตัวอักษรเขียนอย่างไร แต่เมื่อได้เห็นอักษรสองตัวนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเข้าใจความหมายของอักษรเหล่านี้
เห็นได้ชัดว่าระดับขั้นถึงระดับที่ลึกล้ำอย่างยิ่งแล้ว ตัวอักษรยังแฝงไว้ด้วยความพิสดารอันไร้ที่สิ้นสุด
อักษรสองตัวบนธงผืนหนึ่งมีความหมายคือ ‘จวิ้นซาน’ ส่วนอักษรสองตัวบนธงอีกผืนหนึ่งคือ ‘อวี้เฟิง’
“เป็นวิธีสำรวจที่แปลกประหลาดนัก” เมื่อชายชราท่าทางเยียบเย็นบนเรือใหญ่กลางฟากฟ้าลืมตาดวงที่สามขึ้นมา แล้วนัยน์ตาสีเขียวมรกตเหลือบมองลงมาเบื้องล่างนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุทะลวง แน่นอนว่าวิถีเขตลวงโลกเทียมของเขามิได้รับผลกระทบแต่อย่างใด หากตั้งใจก็สามารถเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงได้ แต่เขาก็ยังจงใจเผยออกมาบางส่วน
เขาเก็บงำทางด้านวิญญาณเล็กน้อย ส่วนความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นสัตว์ปีกที่เหี้ยมโหดตนนั้น หรือว่าเหล่าทหารคุ้มกันบนเรือใหญ่ลำนั้น รวมทั้งยอดฝีมือเช่นชายชราท่าทางเยียบเย็นและคนอื่นๆ แทบทุกคนล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ดังเช่นร่างกายของชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้นั้น ความแข็งแกร่งของกลิ่นอาย…ยังเหนือกว่าตนเสียอีก!
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นเงาร่างหกสายก็ถลาลงมาจากเรือใหญ่ลำนั้น นำโดยชายชราท่าทางเยียบเย็นผู้นั้นนั่นเอง ด้านหลังเขามีพลทหารห้านาย ชายชราท่าทางเยียบเย็นมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง แล้วพูดเสียงเรียบว่า “ข้าและคนอื่นๆ เป็นคนสกุลจวิ้นซานอวี้เฟิง เห็นเจ้าอยู่ท่ามกลางความรกร้างเพียงลำพัง อีกทั้งร่างกายยังดูเหมือนจะบาดเจ็บสาหัสด้วย อาการบาดเจ็บยังไม่หายดีมาตลอด คุณหนูของข้าใจดีอยากช่วยเหลือเจ้า อยากจะพาเจ้าไปด้วย เจ้ายินดีจะตามข้าและคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังเมืองจวิ้นซานหรือไม่”
“ข้ากำลังรับมือกับอันตรายอันหนักหน่วงต่างๆ อยู่พอดี หากสามารถหนีไปจากที่แห่งนี้ได้ ย่อมยินดีอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นมาก่อนแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
เขาต้องการสถานที่เงียบสงบและปลอดภัยแห่งหนึ่งเพื่อบำเพ็ญให้ดีๆ เพื่อยกระดับพลังให้ได้โดยเร็วที่สุด
อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องการรวมกลุ่มเข้ากับเหล่าผู้แกร่งกล้าของโลกใบนี้ เพื่อจะได้เข้าใจโลกใบนี้ให้ถ่องแท้มากขึ้น
“เจ้ามีนามว่าอะไร และมาจากไหนหรือ” ชายชราท่าทางเยียบเย็นถาม
“ข้าน้อยหิมะเหิน ไม่มีบ้านอะไรหรอกขอรับ ข้าบุกฝ่าไปตามลำพังตัวคนเดียวมาตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ
ชายชราท่าทางเยียบเย็นพยักหน้าน้อยๆ “ก็ถูกต้องแล้ว บ้านเกิดของผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าก็คงจะมาจากมิติสักแห่งในโลกล่าง หิมะเหิน เจ้าสามารถเรียกข้าว่าพ่อบ้านอวิ๋นได้ ตอนนี้ตามข้ามาเถอะ”
ชายชราท่าทางเยียบเย็นพูดพลางพาพลทหารทั้งห้านายทะยานมุ่งหน้าไปยังเรือใหญ่กลางฟากฟ้าลำนั้นอย่างรวดเร็ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตามไปแล้วบินไปพร้อมกันทันที
เมื่อบินขึ้นไปบนเรือใหญ่
“ข้าคืออวี้เฟิงชิงอิน” สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนผู้หนึ่งนัยน์ตาเป็นประกาย นางมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสนอกสนใจ พลางพูดยิ้มๆ ว่า “ได้ยินพ่อบ้านอวิ๋นบอกว่า เจ้าเป็นผู้เหินทะยานหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
ผู้เหินทะยานหรือ
นั่นคือสิ่งใดกัน
เมื่อครู่พ่อบ้านอวิ๋นผู้นั้นก็พูดถึงผู้เหินทะยานเช่นกัน แต่ห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเต็มไปด้วยความมึนงง ยามนี้สตรีที่เห็นได้ชัดว่ามีศักดิ์ค่อนข้างสูงส่งผู้นี้ถามขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำได้เพียงยิ้มรับเท่านั้น
“นี่คือคุณหนูสามของบ้านข้า” นัยน์ตาเยียบเย็นของพ่อบ้านอวิ๋นมองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ที่ยอมช่วยเหลือเจ้า และพาเจ้าไปจากที่นี่ด้วยกัน ล้วนแต่เป็นคำสั่งของคุณหนูสามทั้งสิ้น”
“หิมะเหินขอบคุณคุณหนูสามที่ช่วยชีวิตเอาไว้ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขึ้นทันที
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย” คุณหนูสาม ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้นี้กลับไถ่ถามต่อว่า “ได้ยินมาว่าบ้านเกิดของผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าแตกต่างกับโลกเทพของพวกเราอย่างสิ้นเชิง เจ้าเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยากรู้มากมาตลอด น่าเสียดายที่ชาวโลกเทพอย่างพวกเรามิอาจไปยังโลกล่างได้”
“แค่กๆๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันกระแอมไอขึ้นมาหลายที สีหน้าแดงก่ำ มุมปากมีรอยเลือดจางๆ
ทำได้เพียงแสร้งได้รับบาดเจ็บเท่านั้น!
เขาไม่กล้าตอบเลย! เพราะถึงอย่างไรตนก็ ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผู้เหินทะยานหรือโลกเทพเลย หากตอบไปส่งเดชแล้วเผยพิรุธออกมา ผู้ใดจะไปรู้ว่าจะส่งผลอะไรตามมา ดูท่าแล้ว กองกำลังนี้คงจะมีที่มาไม่ใช่ย่อย ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีติดต่อกับตระกูล หากตนความแตกขึ้นมา เกรงว่าตระกูลของอีกฝ่ายคงจะล่วงรู้ทันที หากเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ก็คงไม่ดีต่อตนเองเอามากๆ
เก็บเนื้อเก็บตัวเสียหน่อย แล้วพยายามเข้ากับโลกใบนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดจะดีกว่า
“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ ต้องให้พวกเราช่วยเหลือหรือไม่” อวี้เฟิงชิงอินมองไปทางพ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ “พ่อบ้านอวิ๋น ท่านลองดูทีว่าพอจะมีวิธีรักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้หรือไม่”
“อาการบาดเจ็บของเขาพิเศษมาก ข้ามองให้มะลุปรุโปร่งมิได้เลย รู้เพียงว่าแม้ร่างกายของเขาจะพยายามข่มเอาไว้ แต่ก็ไม่มีทางหายดีอย่างสิ้นเชิงได้” พ่อบ้านอวิ๋นส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรหรอก ก่อนหน้านี้ข้ามิอาจเยียวยาอาการบาดเจ็บได้ทั้งกายทั้งใจมาตลอด ขอเพียงอยู่ในที่ปลอดภัย แล้วบำเพ็ญให้ดีๆ สักยกหนึ่ง ใช้เวลาสักหน่อยก็สามารถฟื้นฟูได้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
โดยทั่วไปแล้วพลังชีวิตของผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งล้วนแกร่งกล้าหาใดเปรียบ พลังฟื้นฟูก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงพูดว่าตนสามารถจัดการเองได้ ทุกคนก็เชื่อหมด
“อื้ม เช่นนั้นเจ้าระวังหน่อยก็แล้วกัน” คุณหนูสาม ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ กำชับ “พ่อบ้านอวิ๋นรีบเตรียมที่ทางให้เขาพักผ่อนเร็วเข้า ให้เขาได้รักษาอาการบาดเจ็บให้ดีๆ หน่อย”
“ขอรับ คุณหนูสาม” พ่อบ้านอวิ๋นรับคำ
…
เอี๊ยดด…
ณ ห้องเดี่ยวห้องหนึ่งที่ไม่สะดุดตาอันใดภายในเรือใหญ่ พ่อบ้านอวิ๋นผลักประตูเข้ามาแล้วพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าอยู่ห้องนี้ก็แล้วกัน อ้อ แล้วก็คุณหนูสามมีนิสัยใจดี ไม่เหมือนกับผู้เหินทะยานอย่างพวกเจ้าที่ไต่ขึ้นมาจากความอ่อนแอทีละขั้นๆ แต่ละคนล้วนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เจ้าอย่ามาเล่นลูกไม้เจ้าเล่ห์อะไรกับคุณหนูสามล่ะ คุณหนูสามอาจจะถูกเจ้าหลอกได้ แต่เข้าหลอกข้ามิได้หรอก หากกล้าหลอกตระกูลจวิ้นซานอวี้เฟิงเจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถมาก เข้าใจแล้วหรือไม่”
“พ่อบ้านอวิ๋นวางใจเถิด คุณหนูสามมีบุญคุณช่วยชีวิตข้า ข้าจะตอบแทนบุญคุณยังไม่ทันเลย ไหนเลยจะเอาความแค้นไปตอบแทนบุญคุณได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบ
“เฮอะ คนที่เอาความแค้นไปตอบแทนบุญคุณนั้นมีมากมายถมไป วาจาข้าก็ได้พูดไปแล้ว เจ้าจำเอาไว้ในใจให้ดีก็แล้วกัน” พ่อบ้านอวิ๋นมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็น จากนั้นก็หมุนกายจากไป
ประตูปิดลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงไปเพียงลำพัง จึงนับว่าถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาได้
ตอนที่เพิ่งจะเข้ามาในโลกแห่งนี้ก็เป็นเวลาที่อ่อนแอและสับสนที่สุด ที่กลัวที่สุดก็คือหากประมาทแล้วความแตก ก็อาจจะดึงดูดศัตรูจำนวนมากขึ้นมา หรือแม้กระทั่งยิ่งก่อเรื่องก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
“ผู้ที่สามารถเข้ามายังสถานที่ต้องห้าม ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้และเลือกการห้ำหั่นครั้งสุดท้ายเหล่านั้นล้วนถูกหยวนส่งมาที่นี่! สถานที่ระดับนี้จะปกติทั่วไปได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “อย่างน้อยก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถคุกคาม ‘ยอดเคารพ’ ระดับจักรพรรดิที่ครบสมบูรณ์ได้อยู่บ้างกระมัง”
เมื่ออยู่ในสถานที่ระดับนี้ เพิ่งเริ่มต้นก็ต้องเก็บเนื้อเก็บตัวเอาไว้หน่อยจะดีกว่า
…
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บนเรือ ก็มิได้ค้นความทรงจำของผู้อื่น เพื่อป้องกันมิให้ถูกจับได้
เขาเพียงแค่ใช้วิธีการง่ายๆ บางอย่างของ ‘เขตลวงโลกเทียม’ ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อเขา และจงใจดึงดูดให้คนบางคนเล่าเรื่องราวมากมายออกมา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ รู้สถานการณ์บางอย่างขึ้นมา เรื่องเกี่ยวกับ ‘ผู้เหินทะยาน’ เขาก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง
“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา “โลกใบนี้คือโลกเทพอย่างนั้นหรือ ยังมีมิติระดับต่ำอื่นๆ อีกมากมาย ถูกพวกเขาเรียกว่าโลกล่าง โลกล่างมีมิติตั้งมากมาย ผู้แกร่งกล้าที่สุดในจำนวนนั้นจึงจะมีหวังเหินทะยานมาถึงโลกเทพได้อย่างนั้นหรือ”
“พี่หิมะเหิน”
ผู้ที่กำลังพูดคุยกับตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือทหารคุ้มกันที่ยืนอยู่ข้างกราบเรือ ทหารคุ้มกันก็ว่างเสียจนเบื่อหน่าย เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็แค่เคยได้ยินเรื่องผู้เหินทะยานอยู่บ้างเท่านั้น ท่านคือผู้เหินทะยานคนแรกที่ข้าได้พบเสียด้วยซ้ำ! ตามตำนาน แม้จะมีผู้เหินทะยานมาถึงโลกเทพมิใช่น้อย แต่ก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกเทพอันกว้างใหญ่ไพศาล จึงย่อมกลายเป็นหาได้ยากเป็นธรรมดา บวกกับต่อให้อยู่ตรงหน้า พวกข้าก็จำแนกไม่ออก! ครั้งนี้เป็นเพราะมีพ่อบ้านอวิ๋นอยู่ ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ของพ่อบ้านอวิ๋นมองออกว่าพี่หิมะเหินไม่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่น จึงมั่นใจว่าท่านคือผู้เหินทะยาน”
“ข้าติดค้างพ่อบ้านอวิ๋น เพราะท่านข้าจึงสามารถขึ้นมาบนเรือลำนี้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ในใจกลับแอบจำชื่อ ‘สายเลือดบรรพเทวะคละถิ่น’ เอาไว้ก่อนแล้ว
ไม่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นก็เป็นผู้เหินทะยานแล้วอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้น เดิมทีชาวโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนแต่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นกันหมดอย่างนั้นหรือ
บรรพเทวะคละถิ่นผู้นี้…เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือ สิ้นใจไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่หนอ
หากเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งซึ่งยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นโลกใบนี้ก็ออกจะน่ากลัวอยู่บ้างแล้ว!
“ท่านต้องขอบคุณคุณหนูสาม เคราะห์ดีที่เป็นคุณหนูสาม คุณหนูสามเป็นคนดีจึงช่วยเหลือท่าน” ทหารคุ้มกันผู้นั้นเอ่ย “หากมิใช่เพราะคุณหนูสามเอ่ยปาก พ่อบ้านอวิ๋นไหนเลยจะเปลืองแรงจงใจสำแดงตาทิพย์ออกไปสำรวจท่านได้เล่า”
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 16 ในเมืองจวิ้นซาน
โลกเทพกว้างใหญ่ไพศาล
เรือใหญ่บินไปท่ามกลางเมฆหมอก ตามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รู้จากการสอบถาม ยังต้องใช้เวลาอีกสองเดือนกว่าจะไปถึงเมืองจวิ้นซาน
วันคืนบนเรือลำนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอย่างเงียบๆ เพื่อผลักดันกฎเกณฑ์วิถีอากาศของโลกใบนี้ไปพลาง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นของตน ทำให้สถานการณ์การถล่มทลายของร่างกายทุเลาเบาบางลง อีกด้านหนึ่ง ก็คือต้องรับมือกับคุณหนูสาม ‘อวี้เฟิงชิงอิน’ ผู้นี้นั่นเอง
“เจ้าคนที่ชื่อเซี่ยงผางอวิ๋นนั่น สุดท้ายเล่า มิได้สังหารน้องชายเจ้าไปหรอกกระมัง” ภายในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งในเรือใหญ่ อวี้เฟิงชิงอินนั่งอยู่ตรงข้ามกับตงป๋อเสวี่ยอิง นางถามด้วยความตื่นเต้น
“เมื่อถึงคราวคับขันที่สุด พลังของข้าก็บรรลุ และสังหารเซี่ยงผางอวิ๋นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เมื่อนึกถึงภาพตอนวัยเยาว์ฉากนั้น ก็ยังคงต้องทอดถอนใจ เพียงแต่บัดนี้ พวกท่านพ่อท่านแม่และน้องชายล้วนแต่ไม่อยู่แล้ว ทว่าพวกเขาล้วนมีชีวิตอยู่มานานแสนนาน แม้บัดนี้เขาจะสามารถอาศัย ‘จักรวาลภาพลวง’ สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้ก็ตามที
แต่ทว่า การสร้างท่านพ่อท่านแม่และน้องชายขึ้นมาใหม่จะมีความหมายอันใดกันเล่า
“เฮ้อ” อวี้เฟิงชิงอินถอนหายใจเสียงหนึ่ง “นี่ก็ดีแล้วๆ ข้าฟังจนตกอกตกใจไปหมดแล้ว”
“คุณหนูสาม หิมะเหินผู้นี้สามารถเหินทะยานขึ้นมาจนถึงโลกเทพได้ จะต้องเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานในโลกล่างเป็นแน่ ผู้ที่เป็นศัตรูกับเขา ท้ายที่สุดเกรงว่าคงจะต้องมีจุดจบไม่สวยอย่างแน่นอน” พ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างพูดยิ้มๆ
“ก็ใช่” อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้า
ทันใดนั้นอวี้เฟิงชิงอินก็โพล่งขึ้นว่า “ใช่แล้ว จ้าวเทพหิมะเหิน นับจากวันนี้ไปท่านวางแผนอันใดเอาไว้หรือไม่”
“ข้าเคยบอกไว้แล้วว่า ข้าอยู่ในโลกเทพก็ไร้บ้าน ได้แต่บุกฝ่าไปทั่วเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“ไม่อย่างนั้น เจ้าก็อยู่ในเมืองจวิ้นซานของพวกเราเถอะ” อวี้เฟิงชิงอินเอ่ย “ความรกร้างนี่อันตรายถึงเพียงนี้ ในเมืองปลอดภัยกว่าอยู่ดี”
“ข้าอยากจะบำเพ็ญอยู่ในเมืองสักช่วงหนึ่งจริงๆ ครั้งนี้พบวิกฤตเข้า ทำให้ข้ารู้สึกว่าพลังยังคงไม่พออยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นจ้าวเทพก็กล้าบุกฝ่าท่ามกลางความรกร้างแล้ว” พ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่ด้านข้างยิ้มหยัน
อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อจ้าวเทพหิมะเหินจะอยู่บำเพ็ญในเมืองนี้ก็เป็นเรื่องดี ใช่แล้ว จ้าวเทพหิมะเหิน ที่แท้แล้วพลังของท่านอยู่ระดับใดกันแน่”
“จ้าวเทพช่วงกลางกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เพียงแต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ พลังจึงมิอาจฟื้นฟูได้ตลอดมา คาดว่าอีกสักช่วงหนึ่ง เมื่ออาการบาดเจ็บหายดีอย่างสิ้นเชิงแล้ว ก็จะสามารถฟื้นคืนพลังระดับจ้าวเทพช่วงกลางได้
หลายวันมานี้ เคล็ดวิชาฝึกกายของเขาก็ค่อยๆ ก้าวหน้าขึ้น อาการบาดเจ็บทุเลาเบาบางลง ร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย
“อ้อ”
พ่อบ้านอวิ๋นที่อยู่อีกข้างหนึ่งเห็นเข้า ในใจก็แตกตื่นเล็กน้อย
จ้าวเทพช่วงกลางหรือ
ผู้เหินทะยานนั้นค่อยๆ บำเพ็ญขึ้นมาจากความอ่อนแอทีละขั้นๆ จริงๆ ถึงขั้นไม่มีแรงช่วยจากสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นด้วย! หากเป็นระดับขั้นเดียวกัน ผู้เหินทะยานก็แข็งแกร่งกว่าชาวโลกเทพดั้งเดิมอยู่ขุมใหญ่ หากจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้พลังฟื้นฟูกลับมาจนสมบูรณ์ดี บรรลุถึงจ้าวเทพช่วงกลาง เกรงว่าพลังก็คงจะแตกต่างกับเขา พ่อบ้านอวิ๋นไม่มากสักเท่าใดนัก
เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงจ้าวเทพช่วงท้าย ทว่ามีความพิเศษของ ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ควบคู่กันด้วย! พลังจึงร้ายกาจกว่าจ้าวเทพช่วงท้ายทั่วไปอยู่บ้าง
“ดี”
อวี้เฟิงชิงอินเผยสีหน้ายินดีออกมา “เจ้ามีพลังระดับจ้าวเทพช่วงกลาง ทั้งยังเป็นผู้เหินทะยาน ข้าจะต้องเกลี้ยกล่อมท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายข้าได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น จ้าวเทพหิมะเหินก็รับงานเสริมเป็น ‘ปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญ’ ให้กับตระกูลอวี้เฟิงของข้าก็แล้วกัน งานเสริมเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญก็ไม่มีภารกิจอันตรายอันใด จะมีก็แต่ลูกหลานคนสำคัญของตระกูลอวี้เฟิง ของข้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะเชิญเจ้าไปชี้แนะได้บ้างเล็กน้อย เมื่อมีสถานะนี้ จ้าวเทพหิมะเหินอยู่ในเมืองจวิ้นซานก็จะแตกต่างออกไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีการมอบผลประโยชน์ให้เป็นระยะอีกด้วย ถึงขั้นมีคุณสมบัติพอจะเข้าไปใน ‘หอสะสมคัมภีร์ ’ แล้วเลือกคัมภีร์สำหรับการบำเพ็ญได้ด้วย หากจ้าวเทพหิมะเหินยินดี สร้างคุณูปการขึ้นมาบ้าง ก็จะสามารถแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ได้มากขึ้น”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ใจเต้นขึ้นมา
หอสะสมคัมภีร์หรือ
การค้นคว้ากฎเกณฑ์ของโลกสักใบหนึ่ง ต้องทำเช่นไรจึงจะตรงไปตรงมาที่สุดกันเล่า
ก็ย่อมต้องเป็นการชมดูเคล็ดการบำเพ็ญของผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ อยู่แล้ว! ผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ได้สรุปเส้นทางการบำเพ็ญออกมาแล้ว ขอเพียงมองดู การค้นคว้ากฎเกณฑ์โลกของตนก็จะง่ายดายขึ้นตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว
“มีคัมภีร์ของผู้เหินทะยานหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
อวี้เฟิงชิงอินฟังแล้วก็ยิ้มอย่างได้ใจ ดวงตายิ้มเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “คัมภีร์การบำเพ็ญของผู้เหินทะยานนั้นหายากยิ่งนัก แต่พวกเราสกุลจวิ้นซานอวี้เฟิงก็มีสะสมไว้หลายเล่มด้วยกัน”
“เช่นนั้นหิมะเหินก็คงต้องหน้าหนาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างซาบซึ้งขึ้นมาทันที “ขอบคุณคุณหนูสามขอรับ”
“อย่าเพิ่งรีบดีใจจนเกินไป มิใช่ว่าผู้ใดก็มีคุณสมบัติพอจะรับตำแหน่งปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญได้หรอกนะ” พ่อบ้านอวิ๋นพูดเสียงเรียบ “เรื่องนี้ยังต้องให้นายท่านและนายน้อยเห็นด้วยเสียก่อน”
อวี้เฟิงชิงอินกลับพูดอย่างมั่นใจว่า “วางใจเถิด ท่านพ่อกับพี่ใหญ่จะต้องเห็นด้วยแน่”
พ่อบ้านอวิ๋นเห็นเข้าก็รู้สึกจนใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
เขาเพิ่งจะรู้จักกับคุณหนูสามผู้นี้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น แต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่าคุณหนูสามผู้นี้จิตใจดีอย่างแท้จริง เพราะทำดีกับตน จึงตั้งใจคิดแทนตนด้วย มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้พ่อบ้านอวิ๋นจึงได้ขู่ตนว่า ‘อย่าได้วางแผนร้ายกับคุณหนูสาม’
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าเพิ่งจะมาถึงโลกใบนี้ และได้รับบุญคุณจากคุณหนูสามผู้นี้ไม่น้อย จากวันนี้ไป มีแต่ต้องหาโอกาสตอบแทนเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ถึงอย่างไรตนก็วางแผนจะอยู่ในเมืองจวิ้นซานสักช่วงหนึ่ง! เพราะถึงอย่างไร ขอเพียงเป็นสถานที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลกใบนี้ ตนก็ล้วนสามารถค้นคว้ากฎเกณฑ์โลกได้ทั้งสิ้น
……
บนเรือใหญ่ลำนี้ มีแม่ทัพ พลทหาร ทหารคุ้มกันและบ่าวรับใช้รวมหลายร้อยคน
ผลสำเร็จของตงป๋อเสวี่ยอิงทางด้านวิถีเขตลวงโลกเทียมก็นับว่าได้เพิ่มพูน ‘เสน่ห์’ ของตนด้วย ทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีกับตนมากขึ้นเป็นกอง แต่ว่าเนื่องจากมิอาจทำอย่างโจ่งแจ้งเกินไปได้ และปณิธานของผู้แกร่งกล้าบางคนก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้ง่ายๆ จึงยังคงมีหลายคนที่มิได้รู้สึกดีกับตนสักเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีทหารคุ้มกันผู้หนึ่งถึงกับเรียกได้ว่า ‘เดียดฉันท์’ ตน
ทหารคุ้มกันผู้นี้มีนามว่า ‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’
เถี่ยเฉิงหลิ่วมีร่างกายสูงใหญ่ เพียงแต่นัยน์ตาเย็นชา แม้แต่ในกองกำลังทหารคุ้มกันก็ได้รับความนิยมกลางๆ สายตาของเขาที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเยียบเย็นดุจน้ำแข็งและออกจะรำคาญอยู่บ้าง ด้วยความไวสัมผัสด้านวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง จึงสามารถสัมผัสได้ถึง ‘ความเกลียดชัง’
“คนอย่างข้าที่เพิ่งมาถึงโลกใบนี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยพานพบเขามาก่อน เหตุใดเขาจึงเดียดฉันท์ข้าถึงเพียงนี้กันหนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอึดอัดด้วยความไม่เข้าใจ
ทว่าเขาก็ไม่ใส่ใจ
ก็แค่ทหารคุ้มกันคนเดียวเท่านั้น พลังก็เป็นแค่แม่ทัพเทพระดับยอด ห่างจากจ้าวเทพอยู่ด้วยเส้นบางๆ เส้นหนึ่ง แต่เส้นนี้กลับเหมือนฟ้ากับเหว พลังก็แตกต่างกันเป็นอย่างมาก
“ถึงแล้ว”
“ถึงเมืองจวิ้นซานแล้ว”
วันหนึ่ง บนเรือก็กึกก้องไปด้วยเสียงโห่ร้อง
คุณหนูสาม พ่อบ้านอวิ๋น แม่ทัพ พลทหารทั้งหลายซึ่งยืนอยู่ตรงหัวเรือ ไปจนถึงบ่าวรับใช้ทั้งปวงล้วนพากันเผยสีหน้ายินดีออกมา เพราะถึงอย่างไรระหว่างมุ่งหน้าไปท่ามกลางความรกร้าง พวกเขาแต่ละคนก็ล้วนมิกล้าประมาทหละหลวม
“เมืองจวิ้นซาน” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทอดสายตามองออกไปไกล นั่นคือตัวเมืองอันใหญ่โตแห่งหนึ่ง ทว่ามิได้ใหญ่โตมโหฬารจนน่าหวาดหวั่นเหมือนกับตัวเมืองของดินแดนจิตโลกา ตามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคะเนด้วยสายตา เมืองจวิ้นซานแห่งนี้ก็มีขอบเขตแค่ไม่กี่แสนลี้เท่านั้น
เพราะถึงอย่างไร กรวดหินดินทรายเหล่านั้นก็หนักอึ้งเสียจนเกินจริง
การจะสร้างตัวเมืองเช่นนี้ขึ้นมา ก็ยากไม่แพ้การสร้างนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาเลย!
******
ผู้ที่ปกครองเมืองจวิ้นซานก็คือตระกูลอวี้เฟิงนี่นั่นเอง!
ในวันที่ไปถึงเมืองจวิ้นซาน ภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่งในจวนตระกูลอวี้เฟิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้พบกับคุณชายใหญ่แห่งตระกูลอวี้เฟิง! ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าคือผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลอวี้เฟิง…อวี้เฟิงเหลย!
“น้องสาม นี่คือผู้เหินทะยานที่เจ้าชมนักชมหนาหรือ” บุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาทั้งคู่มีสายฟ้าไหลเวียนอยู่ ท่าทางไม่ธรรมดา
“คารวะคุณชาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงคารวะเล็กน้อย
อวี้เฟิงเหลยเห็นเข้าก็หัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่ง “ว่ากันว่าผู้เหินทะยานทะนงตนกันนัก ที่แท้แล้วก็ไม่ใช่ข่าวลวง อยู่ตรงหน้าข้ายังเป็นเช่นนี้อีก”
“เพราะถึงอย่างไรเมื่ออยู่ในมิติโลกล่าง ก็ล้วนแต่เคยเป็นอันดับหนึ่งของบ้านเกิดมาด้วยกันทั้งนั้น ก็ย่อมต้องมีความหยิ่งทระนงอยู่ในใจ” อวี้เฟิงชิงอินซึ่งอยู่ด้านข้างกลับพูดขึ้น “ว่ากันว่าผู้เหินทะยานบำเพ็ญในโลกเทพได้อย่างยากลำบาก โลกเทพ แต่จ้าวเทพหิมะเหิน กลับบรรลุถึงจ้าวเทพช่วงกลางแล้ว นี่ก็ไม่ง่ายเอามากๆ เลยทีเดียว”
อวี้เฟิงเหลยพยักหน้าเล็กน้อย “หาได้ยากนัก ในเมื่อน้องสาวข้าเอ่ยปากออกมาแล้ว จ้าวเทพหิมะเหิน นับแต่นี้ไป เจ้าก็รับตำแหน่งปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญแห่งจวนตระกูลอวี้เฟิง ควบคู่กันไปด้วยก็แล้วกัน ข้าจะจัดเตรียมที่พำนักดีๆ ในเมืองให้เจ้าสักแห่งด้วย”
“ขอบคุณคุณชายใหญ่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างนอบน้อม
……
ใช่แล้ว
เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายใหญ่อวี้เฟิงเหลย ตงป๋อเสวี่ยอิงได้พูดเพียงสองประโยคเท่านั้น ประโยคหนึ่งก็คือ ‘คารวะคุณชายใหญ่’ และอีกประโยคหนึ่งก็คือ ‘ขอบคุณคุณชายใหญ่’ จากนั้นก็ถูกจัดแจงให้จากไปเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าคุณชายใหญ่อวี้เฟิงเหลยผู้นั้นกระตือรือร้นอยากฟังเรื่อง ‘การออกเดินทาง’ ของน้องสาวในครั้งนี้เสียมากกว่า
จวนแห่งซึ่งกินพื้นที่ครึ่งลี้ สมบัติล้ำค่าที่มอบให้เขาก็มีถึงสองหีบใหญ่ด้วยกัน
“ท่านอาจารย์หิมะเหิน ของมาส่งครบหมดแล้ว พวกข้าขอตัวจากไปก่อนแล้วนะขอรับ”
“ขอบใจพวกเจ้ามาก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองส่งเหล่าทหารของตระกูลอวี้เฟิงจากไป เมื่อมองดูจวนแห่งนี้เขาก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ที่นี่จะกลายเป็น ‘บ้าน’ ของตน ในโลกแห่งนี้อีกเป็นเวลานานระยะหนึ่งเลยทีเดียว
……
ดึกสงัดของวันที่สองหลังจากมาถึงเมืองจวิ้นซาน
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องเงียบ ยามรัตติกาล ดวงจันทร์สีแดงหนึ่งดวงสีขาวเงินหนึ่งดวงกำลังลอยคว้างอยู่กลางท้องฟ้ายามราตรี แสงจันทร์สาดส่องลงมาทั่วลาน ดูแล้วเงียบสงัดนัก
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
วิญญาณของเขาไวต่อสัมผัสเพียงใด
แววอาฆาตบีบเข้ามา!
“มีคนจะสังหารข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เข้าใจ “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองจวิ้นซานเป็นวันที่สองเท่านั้น ก็มีคนอยากจะสังหารข้าเสียแล้วหรือนี่”
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 17 สังหาร (1)
ก่อนหน้านี้เขาโดยสารเรือใหญ่มากว่าสองเดือน ตลอดช่วงนั้นก็ได้สนทนากับเหล่าทหารคุ้มกัน ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพอจะเข้าใจ ‘เมืองจวิ้นซาน’ อยู่บ้าง แม้ภายในเมืองจวิ้นซานแห่งนี้จะมีขุมอำนาจซับซ้อนยุ่งเหยิงไปหมด แต่ ‘ระดับจ้าวเทพ’ ก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว ตนมาจากดินแดนจิตโลกาอันไกลโพ้น เพิ่งจะมาถึงที่นี่สดๆ ร้อนๆ คนที่รู้จักก็มีน้อยยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศัตรูคู่แค้นเลย
ลอบสังหารยอดฝีมือระดับจ้าวเทพหรือ
“ข้าจะดูสิว่าเป็นใครกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอย่างสงบ เปลือกตาปิดลง
แต่ยามนี้ บนถนนนอกลาน เงาร่างสามสายเร้นกายท่ามกลางความว่างเปล่าแล้วมาถึงที่นี่อย่างเงียบเชียบ ยอดฝีมือทั้งสามคนนี้มองดูลานตรงหน้า นัยน์ตาฉายแววอาฆาต
“ไม่ผิดกระมัง”
“วางใจเถิด เป็นที่นี่แหละ! ผู้เหินทะยานคนนั้นพำนักอยู่ที่นี่”
“เจ้าห้า เจ้าเก้า ตามแผนเจ้าห้าจะต้องสำแดงบริเวณออกมา ส่วนเจ้าเก้าก็ลอบสังหาร จะให้ดีที่สุดก็คือสังหารได้ในกระบวนท่าเดียว แม้จะฆ่าไม่ตาย ข้าก็จะตามไปสังหารเขาติดๆ” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่ที่สุดในนั้นถ่ายเสียงพูด
“พี่สาม! ท่านวางใจเถิด ข้ากับเจ้าห้าร่วมมือกันก็เพียงพอแล้ว”
“พี่สาม คอยดูพวกเราเถิด”
คนตัวผอมเล็กอีกสองคนมั่นใจมาก พวกเขาทั้งสองร่วมมือกันมากมายเกินไปแล้ว
พวกเขาทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง
สวบ สวบ!
พวกเขากะพริบวาบพร้อมกันแล้วเข้ามาในจวนของตงป๋อเสวี่ยอิง ชั่วขณะที่เข้ามานั้น พวกเขาทั้งสองก็สำแดงกระบวนท่าออกมาแล้ว
“ฟิ้วๆๆ” หนึ่งในคนตัวผอมเล็กก็คือสตรีอาภรณ์สีแดง ปากของนางพ่นออกมาเบาๆ ขณะเดียวกันหมอกเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนก็พลันทะลักล้นออกมา แล้วโอบล้อมไปทางห้องเงียบที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้สำหรับบำเพ็ญแห่งนั้น! ภายใต้การปกคลุมของหมอกสีเขียว ทั้งสิ่งก่อสร้างที่ห้องเงียบแห่งนั้นตั้งอยู่กลายเป็นผุยผงอย่างรวดเร็วเสียงดังฟึ่บๆๆ
“เป็นหมอกพิษที่ร้ายกาจนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องเงียบพลางเลิกคิ้วขึ้นมา รู้สึกแตกตื่นอยู่บ้าง
ต่อให้โลกใบนี้เป็นกรวดหินดินทรายที่หนักอึ้งอย่างยิ่ง ประหนึ่งกรวดหินดินทรายแต่ละชิ้นเกิดจากพลังคละถิ่นรวมตัวกัน แรงดึงดูดก็ยิ่งใหญ่เสียจนเกินจริง ทำให้ลูกหลงจากการต่อสู้ลดขอบเขตลงเป็นอันมาก เนื่องจากเดิมทีวัตถุก็มั่นคงและหนักอึ้งอย่างยิ่งอยู่แล้ว บวกกับเคล็ดลับค่ายกลต่างๆ ที่สร้างจวนแห่งนี้ขึ้นมา คิดจะทำลายกำแพงได้ก็เกรงว่าคงจะต้องมีพลังระดับเทพจักรวาลเลยทีเดียว! จะกัดกร่อนอย่างเงียบเชียบจนกลายเป็นผุยผง ก็ย่อมยากยิ่งเช่นกัน
หมอกพิษกัดกร่อนเข้ามาแล้วชอนไชไปทั่วทุกอณู
อากาศของโลกใบนี้มั่นคงเสียจนน่ากลัว จนถึงบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมิทันได้เคี่ยวกรำวิธี ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ ออกมาเลย เมื่อเผชิญหน้ากับหมอกพิษพรรค์นี้ ก็ทำได้เพียงสกัดกั้นซึ่งหน้าเท่านั้น! จะหลบก็หลบไม่พ้น!
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เพียงแค่นเสียงเฮอะออกมาอย่างเย็นชาคราหนึ่ง รอบด้านพลันมีน้ำวนห้วงอากาศปรากฏขึ้นรายล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงทันที และสกัดกั้นหมอกพิษสีเขียวนี้ไว้ภายนอก หมอกพิษกัดกร่อนอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับมิอาจทะลุผ่านน้ำวนห้วงอากาศชั้นแล้วชั้นเล่าได้เลย ตงป๋อเสวี่ยอิงที่บำเพ็ญกฎเกณฑ์มาจนถึงระดับนี้ สามารถใช้งานพละกำลังได้อย่างพิสดารจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว หมอกพิษของสตรีอาภรณ์สีแดงซึ่งเป็นเพียง ‘จ้าวเทพช่วงต้น’ ผู้นั้น อาจทำให้จ้าวเทพคนอื่นๆรู้สึกว่ากระบวนท่าที่ชอนไชไปทุกอณูเช่นนี้ยากรับมือ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสามารถแก้ไขได้สบายๆ
“หยิ่งผยองเสียจนยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างนั้นหรือ” คนชุดดำซึ่งจัดเป็น ‘อันดับเก้า’ ลอบโมโหขึ้นมา ทั้งร่างของเขาบิดเบี้ยวไป ก่อนจะกลายเป็นงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวหนึ่ง
งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวนี้มิได้ยาวเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น
ฟิ้ว!
งูตัวเรียวยาวกะพริบวาบคราหนึ่ง ทิ้งร่องรอยสีแดงเข้มสายหนึ่งเอาไว้ หมายจะแทงให้ทะลุร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น แต่บนตักของเขากลับมีหอกยาวเล่มหนึ่งวางอยู่ นี่คือหอกยาวที่เขาแลกเปลี่ยนมาด้วยรางวัลที่ได้รับมาเป็นจำนวนมากหลังจากกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของ ‘สกุลจวิ้นซานอวี้เฟิง’ ภายในโลกใบนี้ หอกยาวเล่มนี้นับได้เพียงว่าเป็นอาวุธที่ค่อนข้างธรรมดาสามัญเท่านั้น เมื่อเทียบกับอาวุธของทางฝั่งดินแดนจิตโลกาแล้ว ยังหยาบกว่าเสียด้วยซ้ำ
ทว่ามีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง…ก็คือหนักอึ้งอย่างยิ่ง!
“อสรพิษจำแลงหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าหอกยาวที่วางไว้บนตักด้วยมือข้างเดียว จากนั้้นก็ส่งตรงไปด้านหน้า ปลายหอกแทงตรงไปทางงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวนั้นทันที
“เฮอะๆๆ ช่างน่าขันนัก” เมื่องูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มตัวนั้นโจมตีเข้ามาแล้วเห็นเข้าก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ ทั้งร่างของมันมิใช่แค่คมกริบหาใดเปรียบประหนึ่งอาวุธเทพเท่านั้น แต่ยังคล่องแคล่วอย่างยิ่ง น่ากลัวกว่าอาวุธที่แท้จริงมากนัก
“ฟึ่บๆๆ…”
ขณะที่งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มลอบโจมตีเข้ามานั่นเอง
ท่ามกลางหมอกสีเขียวทั้งหลายด้านข้างที่รายล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่นั้น กลับมีแมลงมากมายปรากฏขึ้นมาทันที แมลงเหล่านี้รวมตัวเข้าด้วยกันแล้วกัดกินน้ำวนห้วงอากาศพร้อมกันอย่างบ้าคลั่ง แมลงเหล่านี้กำลังฝืนทำลายน้ำวนห้วงอากาศอันไร้รูปร่าง
“ข้าอาจไม่จำเป็นต้องลงมือกระมัง” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำซึ่งมีร่างกายสูงใหญ่ที่สุดถือมีดโค้งสีแดงโลหิตเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ เขาตามมาด้านหลังติดๆ
ยอดฝีมือทั้งสามลอบโจมตี!
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น แล้วแทงหอกออกมาคราหนึ่งอย่างสงบ ทันใดนั้นอากาศตรงหน้าปลายหอกพลันหดเล็กลงและยุบตัวไปราวกับฟองอากาศ ฟองอากาศนั้นห่อหุ้ม ‘งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้ม’ ที่แทงเข้ามาพอดิบพอดี
“นี่มันเรื่องอันใดกัน นี่มัน นี่มันอะไรน่ะ ทำลายให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
แม้งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มจะตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่กลับหมายจะทำลายให้ได้ด้วยความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
แต่เมื่อหัวงูอันคมกริบประหนึ่งอาวุธเทพของมันปะทะเข้ากับขอบฟองอากาศกลับสัมผัสได้ถึงอุปสรรคชั้นแล้วชั้นเล่า การโจมตีของมันในครั้งนี้เหมือนไร้เรี่ยวแรง มิอาจโจมตีให้แตกได้เลย นอกจากนี้ฟองอากาศยังหดเล็กลงและยุบตัวไปอย่างรวดเร็วอีกด้วย!
ทันใดนั้น บริเวณที่ปลายหอกแทงออกไป…ฟองอากาศโอบล้อมงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มเอาไว้ แล้วยุบตัวกลายเป็นหลุมดำอย่างรวดเร็ว งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับดิ้นไม่หลุด
แม้ ‘พี่สาม’ และ ‘เจ้าห้า’ ที่อยู่ข้างๆ จะตกใจมากเช่นกัน แต่กลับช่วยเหลือเอาไว้ไม่ทัน นอกจากนี้พวกเขายังมั่นใจในตัว ‘เจ้าเก้า’ เป็นอันมาก ร่างกายของเจ้าเก้าประหนึ่งอาวุธเทพ มิได้ทำลายได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
“ปัง”
หอกยาวในมือตงป๋อเสวี่ยอิงแทงลงบนจุดดำจุดหนึ่ง จุดดำนี้ก็คือฟองอากาศที่ยุบตัวจนถึงขั้นสุด
จุดดำระเบิดออก!
เผยให้เห็นงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มที่ตัวขาดเป็นสามท่อนอยู่ด้านใน นัยน์ตาทั้งคู่ของงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ยามนี้มันบาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก มันถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรนว่า “พี่สาม พี่ห้า ช่วยข้าด้วย”
“ปัง” “ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น หอกยาวในมือแทงออกไปอีกสองครั้งต่อเนื่องกันอย่างสบายๆ
เขาแทงออกไปด้วยความรวดเร็วเพียงใดกัน
ทุกครั้งที่แทงแต่ละหอกออกไป ก็มีฟองอากาศปรากฏขึ้นมาและโอบล้อมงูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มเอาไว้ก่อนจะยุบตัวกลายเป็นจุดดำ! หอกยาวแทงลงบนจุดดำ จุดดำก็ระเบิดออก
รวมทั้งหมดสามครั้ง
ครั้งที่หนึ่ง งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้ขาดเป็นสามท่อน ยังดิ้นรนขอความช่วยเหลือ
ครั้งที่สอง งูตัวเรียวยาวสีแดงเข้มกลับแหลกสลายเป็นผุยผง เหลือร่างกายเพียงบางส่วน มันสิ้นหวังเสียแล้ว
ครั้งที่สาม ทั้งร่างสลายไปโดยไม่เหลือแม้แต่ซาก
ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งนัก!
ถึงระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว โดยเฉพาะการโจมตีด้วยหอกยาว รวดเร็วเสียยิ่งกว่ารวดเร็ว ยอดฝีมืออีกสองคนที่อยู่ด้านข้าง คนหนึ่งยังคงควบคุมหมอกพิษและแมลงพิษก็ไม่สามารถทำลายน้ำวนห้วงอากาศได้ดังเดิม ส่วน ‘พี่สาม’ ที่ถือมีดโค้งสีแดงโลหิตไว้ในมือ แม้จะลงมือด้วยความร้อนรน แต่ก็ยังคงช้าไปก้าวหนึ่งอยู่ดี
“นี่คือผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงต้นหรือ ทั้งยังบาดเจ็บสาหัสด้วยน่ะหรือ”
“สมควรตายนัก”
พี่สามและสตรีอาภรณ์สีแดงผู้นั้นต่างก็หวาดหวั่นและร้อนใจยิ่งนัก
ข้อมูลที่ได้รับมาผิดพลาดอย่างมหันต์
เมื่อสตรีอาภรณ์สีแดงลงมือ ก็ยังคงสามารถสังหาร ‘เจ้าเก้า’ ซึ่งมีร่างกายแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาได้ทันทีที่พบหน้า พลังระดับนี้ เกรงว่าจ้าวเทพช่วงกลางคงจะทำมิได้ ต้องเป็นผู้แกร่งกล้าระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดกระมัง!
จ้าวเทพระดับยอด…และจ้าวเทพช่วงต้นที่บาดเจ็บสาหัส พลังแตกต่างกันมิใช่แค่สิบเท่าเท่านั้น!
“ข้อมูลไม่ถูกต้อง พลังของศัตรูเหนือกว่าที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้ไปไกลโข! แยกย้าย แยกย้าย” แม้บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำผู้นั้นจะเคืองแค้น แต่ก็ยังคงถ่ายเสียงพูด ขณะเดียวกันก็หมายจะหนีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“คิดจะมาฆ่าข้าก็มา คิดจะไปก็ไป ไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนี้ได้!” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงยังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น เงาร่างพลันขยับเขยื้อนขึ้นมาทันใด
ฟิ้ว
การขยับครั้งนี้ ราวกับเส้นสายเล็กละเอียดวาดข้ามขอบฟ้า
ในฐานะยอดฝีมือวิถีอากาศขั้นสุดยอด แม้พลังในการฝึกกายของตงป๋อเสวี่ยอิงจะฟื้นฟูถึง ‘จ้าวเทพช่วงกลาง’ ซึ่งเทียบเท่ากับระดับอ๋องช่วงกลางในหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว แต่บัดนี้เขาผลักดันและเข้าถึงความเร้นลับของอากาศบางส่วนของโลกนี้แล้ว ทำให้กระบวนท่าของเขาเก่งกาจกว่ายอดฝีมือที่อาศัย ‘ความสามารถตามสายโลหิตของบรรพเทวะคละถิ่น’ เหล่านี้มากมายยิ่งนัก
“เขารวดเร็วเกินไปแล้ว!” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำหมายจะหนีไปข้างนอก
เขาหนี ตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตาม
แต่ความเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมากกว่าเขากว่าสองเท่า! ทำเอาบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำสีหน้าเปลี่ยนแปรไป
“ฟึ่บ”
แทงออกไปหอกหนึ่งเช่นเดียวกัน! บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำสัมผัสได้ว่าอากาศรอบกายตนเริ่มถล่มทลายลงทันที ราวกับฟองอากาศใหญ่เริ่มยุบตัวลงด้วยความเร็วสูงยิ่งนัก จนมันมิอาจขอชีวิตได้ทัน! ทั้งฟองอากาศยุบลงกลายเป็น ‘จุดดำ’ เสียแล้วบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำรู้สึกเพียงว่าตนเองกำลังหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว หดเล็กลงจนเหมือนกับมดตัวจ้อยอย่างไรอย่างนั้น ขณะเดียวกับที่ยุบตัวลง บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำก็รู้สึกว่าอากาศรอบกายเหนียวหนึบขึ้นมาก เขารู้สึกว่าตนจวนจะถูกบีบจนแบนแล้ว!
ส่วนที่โลกภายนอก ปลายหอกยาวใหญ่โตหาใดเปรียบกำลังแทงลงบนโลกจุดดำซึ่งเขาถูกกักขังอยู่นี้ โลกจุดดำที่ยุบตัวถึงขีดสุดเองก็หมายจะระเบิดออก การแทงจากโลกภายนอกในครั้งนี้…
พลังภายในและภายนอก!
ตู้ม!!!
พูดแล้วเหมือนจะเชื่องช้า แต่อันที่จริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่แทงหอกออกไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น กระบวนท่านี้รวดเร็วเพียงใด สิ่งที่บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำสามารถทำได้ ก็คือกวัดแกว่งมีดโค้งสีแดงโลหิตในมือออกไปอย่างสุดกำลัง!
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 18 สังหาร (2)
“ทำลายให้ข้าเดี๋ยวนี้!!!” บุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง เขาถึงขั้นเกิดความรู้สึกขึ้นมารางๆ ว่า เขากำแหงมาตลอดคืนวันอันยาวนานจนถึงบัดนี้ คงจะต้องสะดุดลงที่ค่ำคืนนี้เสียแล้ว
การโจมตีอย่างสุดกำลังของบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำนี้ ก็มีอานุภาพไม่ธรรมดา ถึงขั้นมีการคุ้มกายแฝงไว้ด้วย ขณะเดียวกับที่มีดโค้งฟันลงไปอย่างบ้าคลั่งนั้น ประกายมีดอันไร้รูปร่างก็ปกป้องทั่วทั้งร่าง หมายจะพุ่งออกจากโลกจุดดำที่ระเบิดออกนี้
แต่กระบวนท่านี้ของตงป๋อเสวี่ยอิง
เป็นการระเบิดของอากาศที่หดตัวลงจนถึงขีดสุด เป็นแรงระเบิดรอบด้าน ประกายมีดอันไร้รูปร่างของบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำก็ต้านทานเอาไว้มิได้ มีดโค้งในมือเขาก็ยิ่งทำได้เพียงสกัดกั้นเพียงบางทิศเท่านั้น กายหยาบเริ่มระเบิดออกท่ามกลางการระเบิด
“ตู้ม”
“ข้าพุ่งออกมาแล้ว!”
เลือดเนื้อบางส่วนพุ่งออกมาตามมีดโค้งสีแดงโลหิต เลือดเนื้อเหล่านี้บิดเบี้ยวหมายจะรวมตัวกันขึ้นมาเป็นร่างคนอีกครั้ง
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแทงออกไปอีกหอกหนึ่งอย่างเยียบเย็น เป็นกระบวนท่าแบบเดียวกัน ไม่ไว้น้ำใจเลยแม้แต่น้อย! อันที่จริงที่เขาสำแดงกระบวนท่านี้ออกไป ก็เพราะนี่คือกระบวนท่าซึ่งมีอานุภาพมากที่สุดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสำแดงออกมาได้ในขณะนี้แล้ว! ช่วยไม่ได้ เพราะความเร้นลับมากมายมิอาจใช้ได้ เมื่อประสบกับการปะทะของโลกใบนี้ เขาก็ทำได้เพียงสำแดงกระบวนท่าบางส่วนออกมาเท่านั้น
ทั้งที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ ทั้งหนีเอาชีวิตรอด และที่ใช้รับมือการโจมตีแบบหมู่นั้น…
หลังจากผลักดันหลายกระบวนท่าอย่างง่ายๆ แล้ว เขาก็ค้นคว้าฝึกกายคละถิ่นเป็นหลัก! เนื่องจากขอเพียงร่างกายยิ่งแข็งแกร่งขึ้น อานุภาพของกระบวนท่าที่สำแดงออกมาก็ย่อมสามารถยกระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ปัง”
ภายใต้หอกที่สองของบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำนี้ ก็สลายไปในทันที
แม้เขาจะเป็น ‘จ้าวเทพช่วงกลาง’ หากพูดถึงพลังของกการห้ำหั่นซึ่งหน้าแล้วก็ยังเหนือกว่าเจ้าเก้าเสียอีก! แต่ร่างกายและความสามารถในการรักษาชีวิตของเขากลับด้อยกว่าขุมหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับวิถีหอกอันน่าหวาดหวั่นของตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างกายก็ต้องแข็งแกร่ง เขาย่อมน่าอนาถกว่า ‘เจ้าเก้า’ ผู้นั้นมากทีเดียว
“ยังมีคนสุดท้าย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปนอกลาน
สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นั้นกลับหนีออกไปแล้ว
“หนีพ้นรึ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันกลายร่างเป็นเส้นสายเล็กละเอียดทะลุผ่านลานของตนออกไปไล่สังหารทันที
……
จนถึงบัดนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่พบผู้ใดที่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาในโลกใบนี้ได้! เขาเองก็มิได้ค้นคว้าต่อ แต่ก็มีข้อดีเช่นกัน ก็คือหากศัตรูคิดจะหนีขึ้นมาน่ะหรือ ก็เป็นเรื่องยากมากทีเดียว
แม้สตรีอาภรณ์สีแดงซึ่งจัดเป็น ‘เจ้าห้า’ ซึ่งอยู่ไกลที่สุดเพราะรับหน้าที่สำแดงหมอกพิษและแมลงพิษจะหนีออกไปนอกลานก่อนใครเมื่อเห็นท่าไม่ดี แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารบุรุษอาภรณ์เขียวร่างกำยำซึ่งเป็นจ้าวเทพช่วงกลางได้รวดเร็วยิ่งนัก แค่แทงหอกออกไปเพียงสองครั้งเท่านั้น เวลาน้อยนิดเท่านี้ สตรีอาภรณ์สีแดงหนีไปได้ไม่ไกลสักเท่าใดนัก
“แกร่งเกินไปแล้ว”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว! เหตุใดวิถีหอกของเขาจึงน่ากลัวถึงเพียงนี้ได้ ร่างกายของเจ้าเก้าประหนึ่งอาวุธเทพ แต่กลับถูกทำลายไปด้วยการแทงหอกสามครั้งอย่างนั้นหรือ” สตรีอาภรณ์สีแดงหวาดหวั่นใจเหลือแสน ร่างกายของเจ้าเก้ายังแข็งแกร่งกว่าจ้าวเทพช่วงกลางจำนวนมากเสียอีก หากนางไปแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะต้านทานไม่ได้แม้แต่หอกเดียว
“ไม่ดีแล้ว”
สตรีอาภรณ์สีแดงค้นพบแล้วว่า
เส้นสายเล็กละเอียดสายหนึ่งด้านหลังทะลุฟ้ามาอย่างรวดเร็วเสียจนน่าตกใจ
“ไล่ตามมาแล้ว!” สตรีอาภรณ์สีแดงตกใจใหญ่ “พี่ใหญ่ ไยท่านจึงยังไม่มาอีก ยังไม่มาอีก!!!”
ตอนที่ตัดสินใจหนีนั้น นางและ ‘พี่สาม’ ก็ได้ขอความช่วยเหลือแล้ว!
แต่พวกพี่ใหญ่เร่งตรงมาจากรัง ก็เกรงว่าต้องใช้เวลาชั่วจอกชาหนึ่ง เวลายาวนานถึงเพียงนี้…ไหนเลยจะมาช่วยพวกเขาได้ทันกาล
“ไว้ชีวิตด้วยๆ จ้าวเทพหิมะเหิน ไว้ชีวิตพวกเราด้วย” สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นี้รีบถ่ายเสียงร้องขอชีวิต นางหยุดลงแล้วหันไปมองด้วยท่าทางน่าสงสาร
สตรีผู้งดงามวิงวอนอย่างน่าสงสาร
ตงป๋อเสวี่ยอิงจะทำเช่นนี้ลงหรือ
“ขอชีวิตรึ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือเก็บหอกยาวลงไป ภาพนี้ทำให้สตรีอาภรณ์สีแดงถอนหายใจออกมา “เก็บหอกยาวแล้วหรือ เห็นทีเขาคงจะไม่สังหารข้าแล้ว”
แต่หลังจากนั้นติดๆ มือขวาของเขาก็ยื่นออกมา!
มือขวาปกคลุมเข้ามา อากาศอันไร้รูปร่างโอบล้อมสตรีอาภรณ์สีแดงเอาไว้แล้วกดดันอย่างรวดเร็ว สตรีอาภรณ์สีแดงมองดูอากาศรอบกายถล่มลงไป ตัวนางเองก็หดเล็กลงไปตาม ฝ่ามือข้างนั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงขยายใหญ่ขึ้นในสายตาของนาง สิ่งก่อสร้างรอบด้านก็กลายเป็นสูงตระหง่านหาใดเปรียบ
“ฟิ้ว” มือหนึ่งคว้าลูกกลมห้วงอากาศเอาไว้ ลูกกลมเล็กจิ๋วนี้ใหญ่ราวนิ้วมือหนึ่ง มันวางอยู่กลางฝ่ามือ
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลายร่างเป็นเส้นสายเล็กละเอียดสายหนึ่งแล้วกลับไปอย่างรวดเร็ว “ช้าเกินไปแล้วจริงๆ แรงดึงดูดของโลกใบนี้มากเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นข้า ความเร็วในการเหินทะยานก็ช้าเสียยิ่งกว่าช้า เมืองจวิ้นซานแห่งนี้ไม่นับว่าใหญ่โตสักเท่าใดนัก แต่จะทะลุลงมาก็เกรงว่าคงต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง”
ภายในจวนของตน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องพลางคีบลูกกลมห้วงอากาศลูกหนึ่งเอาไว้ในมือ ภายในลูกกลมห้วงอากาศก็คือ ‘สตรีอาภรณ์สีแดง’ ผู้นั้นนั่นเอง ยามนี้สตรีอาภรณ์สีแดงกลับหลับใหลโดยไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเคล็ดลับเขตลวงโลกเทียมออกมา สตรีอาภรณ์สีแดงผู้นี้จึงไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย และจมจ่อมลงไปทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยจังหวะนี้ก็สามารถพลิกความทรงจำของนางได้อย่างง่ายดาย
“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง”
“ภายในโลกเทพแห่งนี้ ผู้ที่มีสถานะสูงส่งที่สุดก็คือสามตระกูลราชันย์อย่างนั้นหรือ” จวบจนวันนี้ จึงนับได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้ที่เขาได้พูดคุยกับทหารคุ้มกันบนเรือใหญ่เหล่านั้น ก็แค่ได้รับข้อมูลยิบย่อยเท่านั้น
ยามนี้เมื่อพลิกความทรงจำดู กลับเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งหมด
โลกเทพ…
ตามตำนาน ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพเทวะคละถิ่นสามท่าน
บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามท่านได้ทิ้งสายเลือดโดยตรงเอาไว้ ซึ่งก็คือสามตระกูลราชันย์! สามตระกูลราชันย์เองแข็งแกร่งหาใดเปรียบ เบื้องหลังยังมีท่านบรรพชนผู้ลึกล้ำเกินหยั่งอย่างบรรพเทวะคละถิ่นอยู่ด้วย! แน่นอนว่าขุมอำนาจแต่ละฝ่ายทั่วทั้งโลกเทพล้วนแต่คร้ามเกรงสามตระกูลราชันย์เป็นอันมากด้วยกันทั้งสิ้น
นอกจากนี้แล้ว
โลกเทพกว้างใหญ่ไพศาล มีขุมอำนาจมากมาย แก่งแย่งชิงดีกัน
สามตระกูลราชันย์เหนือกว่าใคร พวกเขาชายตามองขุมอำนาจต่างๆ ต่อสู้แย่งชิงกัน!
‘ตระกูลจวิ้นซานอวี้เฟิง’ ก็คือหนึ่งในขุมอำนาจจำนวนมากทั่วทั้งโลกเทพ ในโลกเทพ ชาวบ้านดั้งเดิมของโลกเทพอยู่ในตำแหน่งปกครองอย่างเด็ดขาด เมื่อเทียบกันแล้วผู้เหินทะยานก็น้อยกว่ามากทีเดียว ขุมอำนาจก็เบาบางกว่ามาก มีหลายแห่งที่เข้าร่วมกับขุมอำนาจท้องถิ่น
“บรรพเทวะคละถิ่นทั้งสามท่านรังสรรค์โลกใบนี้ขึ้นมาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงใจสั่น “สามารถสร้างโลกเช่นนี้ขึ้นมาได้ จะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอย่างไร้ข้อกังขา และคงจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย!”
นอกจากนี้
ทั้งสามท่านนี้ยังมีชีวิตอยู่ด้วย! เบื้องหลังของสามตระกูลราชันย์แต่ละตระกูลล้วนแต่มีบรรพเทวะคละถิ่นอยู่คนหนึ่ง
“หยวนให้ข้าและคนอื่นๆ มาที่นี่เพื่อขัดเกลาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอ้าปากค้าง
“ช่างเถิด สามตระกูลราชันย์มีสถานะเหนือธรรมดา เกรงว่าโดยทั่วไปแล้วข้าคงจะแตะต้องไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ‘บรรพเทวะคละถิ่น’ ที่แทบจะเป็นตำนานเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบโจมตี สถานะของบรรพเทวะคละถิ่นพิเศษยิ่งนัก ชาวโลกเทพทั้งหลายล้วนมีสายเลือดของบรรพเทวะคละถิ่น เห็นได้ชัดว่าเมื่อผ่านคืนวันอันยาวนาน หากไล่ย้อนต้นกำเนิดของชาวโลกเทพไม่ว่าคนใด ก็สามารถสืบย้อนไปถึงบรรพเทวะคละถิ่นได้
มีเพียงผู้เหินทะยานเท่านั้นที่ไม่มีสายเลือดบรรพเทวะคละถิ่นอยู่ในกาย!
“ผู้ที่ลอบโจมตีข้าในครั้งนี้ก็คือขุมอำนาจภายในเมืองจวิ้นซานที่มีชื่อว่า ‘ภูเขาค้างคาว’ อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ภูเขาค้างคาวมีพื้นฐานลึกล้ำอย่างยิ่งในเมืองจวิ้นซาน
จ้าวภูเขาค้างคาวเป็นยอดฝีมือระดับจ้าวเทพขั้นสุดยอด และเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของ ‘สกุลจวิ้นซานอวี้เฟิง’! เพราะถึงอย่างไรเจ้าเมืองจวิ้นซาน…ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือสกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน! ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายล้วนสยบให้กับสกุลจวิ้นซานอวี้เฟิงทั้งสิ้น
……
ยามราตรี
ภายในเรือนหลังหนึ่ง มีเงาร่างห้าสายยืนอยู่บนหอ แต่ละคนทอดสายตามองไปยังจวนซึ่งตั้งอยู่ทางทิศหนึ่ง…จวนของตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง!
“พี่ใหญ่ พวกเราจะมัวแต่ดูอยู่อย่างนี้โดยไม่เข้าไปหรือ” อีกสี่คนล้วนร้อนใจเหลือประมาณ
“สมควรตาย”
ผู้ที่เป็นหัวหน้าก็คือชายชราหน้าตาอัปลักษณ์ซึ่งมีศีรษะรูปสามเหลี่ยม เขาก็คือ ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองจวิ้นซาน หากพูดถึงพลังแล้ว ก็สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซานได้!
จ้าวภูเขาค้างคาวจ้องมองจวนที่อยู่ไกลออกไปเขม็งพลางพูดเสียงแหบแห้งว่า “เจ้าสาม เจ้าห้า เจ้าเก้า พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันมิใช่แค่ล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังหนีไม่รอดสักคน ภายในสองชั่วลมหายใจ พวกเขาก็แทบจะสลายไปจนสิ้น แม้ข้าจะสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งสามคนได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำลายพวกเขาได้ในสองชั่วลมหายใจ
อีกสี่คนเงียบงันไป
ใช่แล้ว
ขณะที่หนีเอาชีวิตรอดนั้น ต่างคนต่างแยกย้ายกันหนีไป! หากไล่ตามไปทางทิศหนึ่ง อีกสองคนที่เหลือก็สามารถหนีไปได้ไกลโขแล้ว
จะสังหารทั้งสามคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้ยังทำได้ภายในสองชั่วลมหายใจ คิดๆ ดูแล้วก็ออกจะน่ากลัวอยู่บ้าง
“ดวงตาทิพย์แสงมรกตของพ่อบ้านอวิ๋นไม่เคยมองพลาดเลย” จ้าวภูเขาค้างคาวพูดเสียงต่ำ “ข้าก็รู้ว่าพ่อบ้านอวิ๋นเคยสำรวจผู้เหินทะยานคนนี้มาก่อน และมั่นใจว่ามีพลังเพียงระดับจ้าวเทพช่วงต้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องคอยข่มอาการบาดเจ็บสาหัสของร่างกายเอาไว้ด้วย ข้าจึงได้สั่งให้พวกเขาทั้งสามคนลงมือ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้…พ่อบ้านอวิ๋นจะมองพลาดไปเสียแล้ว”
“พี่ใหญ่ ทำอย่างไรดี”
“พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปกันดี” พวกเขาแต่ละคนพากันมองไปทางจ้าวภูเขาค้างคาว
จ้าวภูเขาค้างคาวพูดเสียงเย็นชาว่า “กลับไปกันก่อนเถอะ”
“ขอรับ”
ทั้งสี่คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งพากันรับคำสั่ง แม้เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้วจะไม่ยอมจำนนอยู่บ้าง แต่ส่วนลึกในใจกลับพากันถอนหายใจออกมา
พวกเขาพากันมารวมตัวอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของจ้าวภูเขาค้างคาว ก็เพราะอำนาจของเขาเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องความรู้สึกระหว่างกันลึกล้ำเท่าไหร่น่ะหรือ เป็นแค่เรื่องน่าขันทั้งเพ!
“จ้าวเทพสิ้นใจไปตั้งสามคน เกรงว่าอีกไม่นานท่านเจ้าเมืองก็คงจะทราบข่าวกระมัง ครั้งนี้เสียหน้าครั้งใหญ่จริงๆ ทว่าจ้าวเทพหิมะเหิน ผู้นี้รับมือไม่ได้ง่ายๆ เลย ควรต้องใคร่ครวญให้ดีเสียก่อนว่าควรจะรับมืออย่างไรดี” สายตาของจ้าวภูเขาค้างคาวเย็นชา ตอนนั้นท่านเจ้าเมืองจวิ้นซาน ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ใช้อำนาจบังคับปกครองเมืองจวิ้นซาน จึงกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดของทั้งเมืองจวิ้นซาน จ้าวเทพสิ้นใจไปตั้งสามคน ไหนเลยจะปิดบังท่านเจ้าเมืองได้
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 19 ออกจากการปลีกวิเวก
“จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้มิอาจยั่วยุได้โดยง่าย แต่กลับไม่สามารถอภัยให้เถี่ยเฉิงหลิ่วที่ปล่อยข่าวเท็จได้ง่ายๆ” จ้าวภูเขาค้างคาวสายตาเยียบเย็นแล้วเอ่ยด้วยเสียงหยาบกระด้าง “เจ้าแปด เจ้าไปสักรอบหนึ่ง จับตัวเถี่ยเฉิงหลิ่วมาเสีย”
“ขอรับ พี่ใหญ่ จะปล่อยเจ้าเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นี้ไปมิได้เด็ดขาด บอกว่าจ้าวเทพช่วงต้นยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรกัน!” ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงผู้หนึ่งขบกรามพูด เรื่องนี้พอพูดขึ้นมาแล้วเขาก็ยังมีส่วนรับผิดชอบ ‘ภูเขาค้างคาว’ กลุ่มอิทธิพลนี้ดำเนินการอยู่ที่เมืองจวิ้นซานมาเป็นระยะเวลายาวนาน เรื่องการสังหารปล้นชิงก็ทำมาไม่น้อย คราวนี้เถี่ยเฉิงหลิ่วมาพบและดื่มสุรากับเขาแล้วเอ่ยถึงผู้เหินทะยาน ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้ขึ้นมา แล้วยังพูดอย่างเป็นตุเป็นตะว่า “จ้าวเทพหิมะเหินผู้นั้นเตร็ดเตร่อยู่ในดินแดนรกร้างเป็นเวลานาน ได้ยินว่าเดิมทีเขามีพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงกลาง และกำลังได้สมบัติมาครอบครองไม่น้อยในดินแดนรกร้าง แต่ตอนนี้บาดเจ็บสาหัสพลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล ไม่เพียงแต่ตกต่ำไปถึงระดับจ้าวเทพช่วงต้นเท่านั้น แต่ในร่างกายยังมีอาการบาดเจ็บสาหัสที่มิอาจขจัดออกไปได้อีกด้วย หึๆ ถ้าหากข้ามีพลังยุทธ์เพียงพอก็จะต้องกำจัดเขาแล้วชิงสมบัติมาทำกำไรงามๆ สักครั้งอย่างแน่นอน”
ดังนั้นเจ้าแปดผู้นี้ก็ดวงตาเป็นประกายในทันใดแล้วรายงานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงระดับสูงของภูเขาค้างคาวก็ล่วงรู้ว่าเถี่ยเฉิงหลิ่วผู้นั้นคิดจะหลอกใช้ภูเขาค้างคาวกำจัด ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ผู้นั้น ด้วยเหตุผลที่พวกเขาต่างก็รู้กันดี
ทว่าข่าวคราวเกี่ยวกับ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ นั้น พวกเขาผ่านการตัดสินใจมาแล้วว่าเป็นเรื่องจริง!
หลังจากที่พวกเขาตรวจสอบแล้ว…ก็ได้รู้ว่าพ่อบ้านอวิ๋นเคยใช้ ‘ดวงตาทิพย์แสงมรกต’ ตรวจสอบมาก่อนแล้ว พวกเขาต่างก็มีความเชื่อมั่นในดวงตาทิพย์แสงมรกตกันเป็นอย่างยิ่ง! ถึงขนาดที่เพื่อผลสำเร็จในการเคลื่อนไหว คราวนี้ไม่เพียงแต่ ‘เจ้าห้าและเจ้าเก้า’ เท่านั้นที่เคลื่อนไหว แม้กระทั่งผู้ที่เป็นจ้าวเทพช่วงกลางอย่าง ‘เจ้าสาม’ ก็ยังถูกส่งตัวไปด้วย! ก็ควรจะมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง จะคิดเสียที่ไหนกันว่า ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่พลังยุทธ์ยังดูเหมือนเกินกว่าที่จะจินตนาการได้อีกด้วย
แม้กระทั่ง ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ ที่พลังยุทธ์จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองจวิ้นซานก็ยังต้องตกตะลึงตาค้าง
……
ภายในเรือนพักอันสามัญธรรมดาแห่งหนึ่ง
‘เถี่ยเฉิงหลิ่ว’ ผู้มีร่างกายสูงใหญ่นั่งดื่มสุราอยู่ที่นั่นตามลำพังด้วยสายตาเยียบเย็น
นับตั้งแต่หลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้นแล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นและบ้าคลั่ง! ความนิยมก็ย่อมลดน้อยถอยลงไปเป็นธรรมดา
“ผู้เหินทะยาน ผู้เหินทะยานล้วนสมควรตาย สมควรตายกันทั้งสิ้น” เถี่ยเฉิงหลิ่วเอ่ยเสียงต่ำ “อาศัยอะไรกัน อาศัยอะไรกันผู้เหินทะยานจึงสมควรจะถูกมองด้วยสายตาที่แตกต่างไป หึๆ ด้วยวิธีการจัดการเรื่องราวของภูเขาค้างคาว เกรงว่าไม่กี่วันนี้ก็คงมีบทสรุปแล้วกระมัง”
เถี่ยเฉิงหลิ่วดื่มสุราอยู่ที่นั่นแล้วดูคล้ายว่าจะระลึกสิ่งใดขึ้นมาได้
สายตาก็ทวีความบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น…
“ปัง”
ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งก็ตกลงมาภายในลานบ้านในทันใด แล้วแปรเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วง เถี่ยเฉิงหลิ่วที่นั่งดื่มสุราอยู่เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาแล้วสีหน้าก็ไม่น่าดู หัวใจอดที่จะขมวดแน่นคราหนึ่งมิได้ เมื่อได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เอ่ยว่า “น้องเซวี่ย”
“เพราะคนหน้าโง่อย่างเจ้า พวกพี่สามจึงเคราะห์ร้ายกันหมด” ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด แต่เขากลับลืมไปเสียแล้วว่าเหตุผลที่พวกเขาลงมือนั้นก็เพราะเห็นแก่ทรัพย์สินที่ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ได้มาตอนบุกฝ่าดินแดนรกร้างตามลำพัง และเห็นว่าขณะนี้จ้าวเทพหิมะเหินพลังยุทธ์อ่อนแอลง! ถึงอย่างไรสามารถบุกฝ่าดินแดนรกร้างได้เป็นระยะเวลายาวนาน มูลค่าของสิ่งที่ได้รับมาก็ย่อมสูงเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว
ดินแดนรกร้าง ถึงแม้ว่าจะอันตราย แต่ซากสัตว์ถิ่นร้างเหล่านั้นก็สูงค่ามากพอแล้ว
“อะไรนะ” เถี่ยเฉิงหลิ่วสีหน้าแปรเปลี่ยน
“ตามข้ามาเถิด ไปพบพี่ใหญ่ของข้า” ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงเดินก้าวยาวๆ ตรงเข้ามา
“พรึ่บ!”
เถี่ยเฉิงหลิ่วหลบหนีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พบจ้าวภูเขาค้างคาวอย่างนั้นหรือ เขาก็สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้แล้ว
ชายหนุ่มหล่อเหลาคมคายในอาภรณ์ม่วงยิ้มเย็นอย่างอำมหิต เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง ฝ่ามือก็ระเบิดลำแสงสีม่วงจำนวนมากออกมา ลำแสงสีม่วงบิดเบือนได้ตามใจปรารถนาแล้วพุ่งเข้าใส่เถี่ยเฉิงหลิ่วที่กำลังหลบหนีอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มพันธนาการเถี่ยเฉิงหลิ่วเอาไว้อย่างแน่นหนา
ถึงแม้ว่าพวกเขาสองคน คนหนึ่งจะเป็นแม่ทัพเทพช่วงสุดยอด อีกคนหนึ่งเป็นจ้าวเทพช่วงต้น
ก็ดูเหมือนว่าจะต่างกันอยู่เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
แต่ว่า…
แม่ทัพเทพ จ้าวเทพ และจักรพรรดิเทพ ทุกครั้งที่ก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่ ความแตกต่างของพลังยุทธ์ก็จะเห็นได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประชากรโลกเทพของพวกเขา บำเพ็ญสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่น ก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่ ก็จะทำให้เขามีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเกิดขึ้นได้
******
ตระกูลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน ตระกูลอวี้เฟิงมีอาณาเขตหลายหมื่นลี้ ด้วยสภาพแวดล้อมพิเศษของโลกเทพ อาณาเขตของตระกูลแห่งหนึ่งสามารถใหญ่โตถึงเพียงนี้ได้ ก็สามารถเห็นถึงอิทธิพลได้แล้ว
ขุมอำนาจน้อยใหญ่ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซาน ถึงแม้ว่าจะมีสงครามภายในอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลอวี้เฟิงแล้วกลับยอมสวามิภักดิ์อย่างว่าง่าย! อย่างเช่น ‘ปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญ’ อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงและจ้าวภูเขาค้างคาว หรืออย่างบรรดาพลทหารกองทัพเช่นเถี่ยเฉิงหลิ่ว ล้วนมิอาจนับได้ว่าเป็นแกนหลักของตระกูลอวี้เฟิง สานุศิษย์สกุลอวี้เฟิงและข้ารับใช้เก่าแก่จำนวนหนึ่งที่จงรักภักดีอย่างพ่อบ้านอวิ๋นจึงจะเป็นผู้ที่ตระกูลอวี้เฟิงเชื่อใจ
“โครม…”
ณ ตระกูลอวี้เฟิง ที่ยอดเขาสูงสิบลี้เศษแห่งหนึ่ง ประตูศิลาเปิดออกเสียงดังโครมคราม
เงาร่างสองสายยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูศิลา
คนหนึ่งคือ ‘อวี้เฟิงเหลย’ นายน้อยแห่งตระกูลอวี้เฟิง สถานะของเขาภายในตระกูลเป็นรองเพียงแค่บิดาของเขาเท่านั้น ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือพ่อบ้านอวิ๋นนั่นเอง สถานะของพ่อบ้านอวิ๋นภายในตระกูลอวี้เฟิงนั้นถึงแม้ว่าจะสูงส่งเช่นเดียวกัน แต่แม้กระทั่งในบรรดาพ่อบ้านมากมายเขาก็จัดเป็นเพียงแค่ลำดับสามเท่านั้น สามารถมีสิทธิ์มาต้อนรับ ‘เจ้าของบ้าน’ อยู่ที่นี่พร้อมกับนายน้อยได้ กลับเป็นเพราะเหตุผลอื่นต่างหาก
ประตูศิลาผลักเปิดออก ผู้ที่เดินออกไปจากข้างในก็คือชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาคนหนึ่ง เขาก้าวเดินเข้ามาก็ทำให้อวี้เฟิงเหลยและพ่อบ้านอวิ๋นต่างพากันโค้งกายลงทำความเคารพโดยไม่รู้ตัว
“ท่านพ่อ” อวี้เฟิงเหลยค้อมกายพูด
“นายท่าน” พ่อบ้านอวิ๋นก็ค้อมกายเอ่ยขึ้นเช่นกัน
บุคคลตรงหน้าผู้นี้ก็คือผู้ปกครองของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซาน! ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่สูงส่งที่สุดอย่างไร้ข้อโต้แย้ง!
อวี้เฟิงจวิ้นซานพยักหน้าเบาๆ แล้วหันหน้ามองไปทางพ่อบ้านอวิ๋น “คราวนี้เจ้ามุ่งหน้าไปยัง ‘เมืองรุ่งอรุณ’ ผลลัพธ์เป็นเช่นไรบ้างเล่า”
พ่อบ้านอวิ๋นเอ่ยด้วยความเคารพนบนอบว่า “เจ้านายขอรับ ของกำนัลล้วนถูกส่งกลับมาจนหมดสิ้น เจ้าสำนักรุ่งอรุณมิปรารถนาจะรับคุณหนูสามเป็นศิษย์ขอรับ”
อวี้เฟิงจวิ้นซานได้ฟังแล้วม่านตาก็หดลงเล็กน้อย กล้ามเนื้อตรงมุมตาก็บิดเกร็ง เขาเอ่ยเสียงต่ำเบาว่า “เจ้าสำนักรุ่งอรุณนั้นด้วยพลังยุทธ์ของเขาแล้วก็มิใช่เรื่องอย่างสำหรับเขาเลย แต่เขากลับปฏิเสธเสียนี่”
เขาเข้าใจดี
เจ้าสำนักรุ่งอรุณไม่อยากข้องเกี่ยวกับน้ำขุ่นนี้
“ท่านพ่อ ต่อให้อาศัยเมืองจวิ้นซานของพวกเราเอง ข้าก็ไม่เชื่อว่าจะเทียบกับ ‘สมาคมจิตมาร’ นั่นมิได้หรอกนะขอรับ” สายฟ้าปรากฏในดวงตาของอวี้เฟิงเหลย อากาศรอบๆ ดวงตาก็ส่งเสียงเปรี้ยงๆๆ มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
“พลังยุทธ์ของโจรเฒ่าจิตมารก้าวหน้าเป็นอย่างมาก สามารถถูก ‘เผ่าจิตฟ้า’ กำหนดให้เป็นลำดับที่เก้าร้อยแปดสิบเจ็ดใน ‘บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ’ ได้ ถึงแม้ว่าจะอยู่รั้งท้าย แต่อย่างน้อยก็สามารถเข้าไปอยู่ในบัญชีรายนามได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานส่ายหน้าพูดขึ้น “ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะไม่อยากเชื่อ แต่เรื่องจริงก็คือพลังยุทธ์ของโจรเฒ่าจิตมารเหนือชั้นกว่าพวกเราอยู่มากนัก อีกทั้งยังครองความได้เปรียบด้านภูมิประเทศของเมืองจวิ้นซานอีกด้วย เกรงว่าคงเอาชนะโจรเฒ่าจิตมารมิได้หรอกขอรับ”
บัญชีรายนามจักรพรรดิเทพบันทึกรายนามจักรพรรดิเทพที่น่าหวั่นเกรงหนึ่งพันท่านทั่วทั้งโลกเทพเอาไว้
ด้วยความกว้างใหญ่ของโลกเทพก็มีขุมอำนาจเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ที่สามารถจัดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกได้นั้น… แต่ละคนก็ต้องเป็นเจ้าในด้านใดด้านหนึ่ง
“เผ่าจิตฟ้าก็คือหนึ่งในสามเผ่าราชันย์ การประเมินของพวกเขาก็ย่อมไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอนอยู่แล้ว” อวี้เฟิงจวิ้นซานแววตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ตอนนั้นข้าก่อความบาดหมางกับโจรเฒ่าจิตมารเอาไว้ ด้วยอุปนิสัยของโจรเฒ่าจิตมารก็ย่อมไม่มีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน ตอนนี้พลังยุทธ์ของเขาก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก เพียงแค่ยังมิได้เตรียมตัวอย่างเต็มที่เท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่คิดจะเสียสละที่เมืองจวิ้นซานของเรามากเกินไปนักอยู่แล้ว และตอนที่พวกเขาลงมือก็คือตอนที่เตรียมตัวอย่างเต็มที่แล้ว!”
“ท่านพ่อ อาศัยความได้เปรียบด้านภูมิประเทศของเมืองจวิ้นซาน พวกเขาก็คงมิอาจจัดการกับตระกูลอวี้เฟิงของเราได้อย่างง่ายๆ หรอกขอรับ” อวี้เฟิงเหลยก็หายใจถี่กระชั้นอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าได้วิตกกังวลไปเลย”
อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยปาก “พ่อบ้านอวิ๋น เจ้าออกไปกับจิ่นเอ๋อร์รอบหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังเมืองไม้บูรพา! คุณชายเก้าแห่งเมืองไม้บูรพามายังเมืองจวิ้นซานของพวกเราในตอนนั้นก็เคยมีใจให้กับชิงอินอยู่บ้าง ไปคราวนี้… ดูว่าจะสามารถสานต่อเรื่องมงคลของชิงอินกับคุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา ได้หรือไม่ เพียงแค่เมืองไม้บูรพาเกี่ยวข้องด้วย เจ้าเมืองไม้บูรพามีสถานะอันทรงเกียรติ ให้เขาไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ให้ก็ย่อมง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง”
“คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาหรือ” อวี้เฟิงเหลยเผยสีหน้ากระวนกระวายออกมา “ท่านพ่อ หรือว่าต้องการจะให้น้องหญิงแต่งงานให้เขาจริงๆ หรือขอรับ…”
แต่งออกไปก็เป็นเนื้อเข้าปากเสืออย่างแท้จริง
ต่อให้น้องสาวจะน่าอนาถยิ่งกว่านี้ พวกเขาเมืองจวิ้นซานก็ยังไม่กล้าท้าทายเมืองไม้บูรพาอยู่ดี
“คุณชายเก้าชื่อเสียงไม่ใคร่จะดีนัก แต่ในขณะนี้ผู้ที่สามารถช่วยเหลือเมืองจวิ้นซานของเราได้ก็มีเพียงแค่เขาเท่านั้น” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยเสียงเย็น “เพื่อทั้งตระกูลอวี้เฟิง ชิงอินต้องเข้าใจเป็นแน่”
อวี้เฟิงเหลยเงียบงันไปเสียแล้ว
ใช่แล้ว
‘โจรเฒ่าจิตมาร’ มีชื่ออยู่ในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพ แล้วในขณะนี้ผู้ใดจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้เล่า อวี้เฟิงจวิ้นซานคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับเดียวกันกับอวี้เฟิงจวิ้นซาน แม้กระทั่งผู้ที่พลังยุทธ์สูงกว่าอีกขั้นหนึ่งก็ยังไม่อยากจะเป็นอริกับโจรเฒ่าจิตมารเลย ผู้ที่สามารถต่อกรได้อย่างค่อนข้างสบายจริงๆ ก็มีเพียงแค่ ‘เจ้าสำนักรุ่งอรุณ’ เท่านั้น น่าเสียดายที่เจ้าสำนักรุ่งอรุณไม่อยากช่วยเหลือ
สำหรับเจ้าเมืองไม้บูรพาน่ะหรือ
สถานะสูงกว่าก็จริง แต่น่าเสียดายที่อวี้เฟิงจวิ้นซานไม่มีสิทธิ์ติดต่อกับบุคคลระดับนี้ได้ มีเพียงแค่คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพาผู้นั้นเท่านั้นที่เคยผ่านทางมายังเมืองจวิ้นซานยามที่ท่องเที่ยว
“เรื่องนี้ก็จัดการเช่นนี้ก็แล้วกัน” อวี้เฟิงจวิ้นซานเข้าใจ ตอนนี้มีเพียงแค่ทางฝ่ายพวกเขานี้เท่านั้นที่ร้อนรน ไม่ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของทางด้านเมืองไม้บูรพานั้นเลย! ตอนนี้ก็ได้แต่ผูกสัมพันธ์กับคุณชายเก้าเท่านั้นจึงจะนับได้ว่าไม่เลว ส่ง ‘อวี้เฟิงจิ่น’ บุตรชายคนรองของตนไปเจรจา พูดเกริ่นเอาไว้ก่อนแล้ว ถ้าหากมีความเป็นไปได้ เกรงว่าอวี้เฟิงจวิ้นซานยังต้องไปคารวะเจ้าเมืองไม้บูรพาผู้นั้นด้วยตนเองด้วย!
“ใช่แล้ว ช่วงเวลาที่ข้าปลีกวิเวกนี้ในเมืองเป็นอย่างไรบ้างเล่า” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยปากพูด
อวี้เฟิงเหลยพูดว่า “ในเมืองก็ยังนับได้ว่าสงบเรียบร้อยดี แต่มีผู้เหินทะยานท่านหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ มาถึงยังเมืองจวิ้นซานของพวกเรา เป็นน้องหญิงสามช่วยเขากลับมา ข้าให้เขารับหน้าที่เป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิงเราชั่วคราวก่อน เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ภูเขาค้างคาวมีจ้าวเทพสามท่านหมายจะลอบสังหารจ้าวเทพหิมะเหินท่านนี้ แต่ในที่สุดกลับตกอยู่ในกำมือเขาแทน”
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 20 ภายในหอสะสมคัมภีร์
“อ้อ จ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้พลังยุทธ์เป็นเช่นไร คงจะเป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอดกระมัง” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยถาม
เขาย่อมมิได้ใส่ใจการต่อสู้ห้ำหั่นของขุมอำนาจมากมายภายในเมืองจวิ้นซานอยู่แล้ว ขอเพียงแค่ยังสามารถคงเสถียรภาพที่ฉากหน้าเอาไว้ได้ ใต้ดินมีการห้ำหั่นกันก็เป็นเรื่องเล็ก นอกจากนี้ อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ยังเชื่อมั่นว่าต้องมีการต่อสู้ห้ำหั่นจึงจะสามารถขัดเกลาผู้แกร่งกล้าออกมาได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ถ้าหากทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานเต็มไปด้วยความสงบ เกรงว่าจำนวนผู้แกร่งกล้าที่ถือกำเนิดขึ้นมาก้คงจะลดต่ำลงอย่างมหาศาลเสียแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นเลย
ผู้แกร่งกล้ายิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะนั่นล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทั้งสิ้น! สิ่งที่เขาสนใจที่สุดก็คือระดับขั้น ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ นี้ เพราะว่าถ้าหากระดับขั้นนี้มีจำนวนมากพอแล้ว อย่างเช่นสิบคนร่วมมือกันก็เพียงพอที่จะต่อกรกับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงต้น’ ได้แล้ว นี่ก็คือเหตุผลที่ผู้แกร่งกล้าระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอย่าง ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ มีอิทธิพลค่อนข้างยิ่งใหญ่ที่เมืองจวิ้นซาน อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ใจกว้างกับพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้เหินทะยานต่างก็ไม่มีสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่น บำเพ็ญขึ้นมาอย่างลำบากยากเย็น พลังยุทธ์ก็สูงกว่าระดับเดียวกันอยู่ขั้นหนึ่ง ถ้าหากมีระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด ก็คงจะสามารถต่อกรกับจักรพรรดิเทพช่วงต้นได้แล้ว ถ้าหากโจรเฒ่าจิตมารมาถึงก็สามารถให้ความช่วยเหลือได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานเอ่ยพึมพำ
“เขามิได้เป็นจ้าวเทพช่วงสุดยอดหรอกขอรับ” อวี้เฟิงเหลยส่ายศีรษะ “พ่อบ้านอวิ๋นเคยใช้ดวงตาทิพย์แสงมรกตตรวจสอบเขามาก่อนแล้วขอรับ”
อวี้เฟิงจวิ้นซานก็มองไปทางพ่อบ้านอวิ๋น
พ่อบ้านอวิ๋นเอ่ยอย่างเคารพขึ้นในทันใด “นายท่านขอรับ ตอนนั้นข้ากับคุณหนูสามไปพบกับจ้าวเทพหิมะเหินที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ในดินแดนรกร้างระหว่างเดินทางกลับ ตอนนั้นข้าก็สำแดงดวงตาทิพย์แสงมรกตตรวจสอบตื้นลึกหนาบางของเขา จึงได้พบว่าเขามิได้มีสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่นแต่อย่างใด
จะต้องเป็นผู้เหินทะยานอย่างแน่นอน! นอกจากนี้เขายังมิได้รวบรวมจิตเทพ หากแต่บำเพ็ญร่างกาย ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายเขาอยู่ที่ระดับจ้าวเทพช่วงต้น นอกจากนี้อาการบาดเจ็บภายในร่างกายยังสาหัสอย่างที่สุด ดูเหมือนจะยากยิ่งที่จะขจัดให้หมดสิ้นไปได้ แต่ต่อมาเขาก็พูดเองว่าแท้จริงแล้วก่อนหน้านี้เขามีพลังยุทธ์ระดับจ้าวเทพช่วงกลาง! แต่เพียงเพราะว่าบาดเจ็บสาหัสเป็นเหตุจึงได้ตกต่ำลง
ถึงอย่างไรเรื่องราวก็ผ่านไปสองปีกว่าแล้ว ถึงแม้ว่าระยะเวลาจะสั้น แต่เขาจัดการจ้าวเทพสามท่านแห่งภูเขาค้างคาวทิ้งไปได้ ข้าเดาว่าในระยะเวลาสองปีกว่านี้ พลังยุทธ์ของเขาอาจจะฟื้นฟูกลับมาแล้วก็เป็นได้นะขอรับ”
“จ้าวเทพสามท่านที่เขาสังหารนั้นสองคนเป็นจ้าวเทพช่วงต้น ส่วนอีกคนเป็นจ้าวเทพช่วงกลาง จ้าวเทพช่วงกลางท่านนั้นสามัญธรรมดาอย่างยิ่ง มิได้เหนือธรรมชาติแต่อย่างใดเลย” อวี้เฟิงเหลยพูด
“อ้อ” อวี้เฟิงจวิ้นซานผิดหวังอยู่บ้างแล้วพยักหน้า “ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงกลาง พลังยุทธ์สามารถต่อสู้ข้ามชั้นได้ ผลาญสังหารจ้าวเทพที่ค่อนข้างอ่อนแอสามคนก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง อ้อ จับตามองให้มากหน่อยก็แล้วกัน!”
ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง
แต่ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงกลางก็เทียบเคียงได้กับ ‘จ้าวเทพช่วงสุดยอด’ ของชาวโลกเทพ แล้ว เกรงว่าพลังยุทธ์จะพอๆ กันกับจ้าวภูเขาค้างคาวเลยทีเดียว ก็นับได้ว่าใต้บังคับบัญชามีแม่ทัพใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เสียดายก็แต่ผู้ที่เขารอคอยมากที่สุดก็คือ ‘ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด’ เท่านั้นเอง
“ขอรับ ท่านพ่อ ข้าจะคอยจับตามองตลอดเวลาเลยขอรับ” อวี้เฟิงเหลยรับคำ
แต่ไม่ว่าจะเป็นอวี้เฟิงจวิ้นซานหรือว่าอวี้เฟิงเหลย ในใจก็มิได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก เพราะว่าการคุกคามของ ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ อยู่ใกล้สายตาเหลือเกิน พวกเขาก็ย่อมไม่มีเวลามาเฝ้าดู ‘ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงกลาง’ คนหนึ่งค่อยๆ พัฒนาไปอย่างช้าๆ อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต่อให้มี ‘ผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอด’ เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งจริงๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขสมาคมจิตมารผู้น่าหวาดหวั่น เกรงว่าความช่วยเหลือก็คงจะมีขีดจำกัดเป็นอย่างยิ่งกระมัง
“คุณชายเก้าเมืองไม้บูรพา” อวี้เฟิงจวิ้นซานคาดหวังรอคอยอย่างเงียบๆ ฝากความหวังในการมีชีวิตรอดเอาไว้กับขุมอำนาจอื่น ถึงขนาดที่ยอมเสียสละบุตรสาว มิใช่เรื่องที่จะรับได้ง่ายๆ เลย
แต่ก็ช่วยไม่ได้
เดิมทีความขัดแย้งระหว่างขุมอำนาจมากมายของโลกเทพก็โหดร้ายอยู่แล้ว มีขุมอำนาจมากมายเท่าใดที่ต้องล่มสลายไป อวี้เฟิงจวิ้นซานไม่อยากให้ ‘สกุลอวี้เฟิงแห่งจวิ้นซาน’ กลายเป็นขุมอำนาจต่อไปที่ต้องล่มสลาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่เสียดายเลย
******
“ปรมาจารย์หิมะเหิน”
“ปรมาจารย์หิมะเหิน เชิญขอรับ”
ณ ตระกูลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซาน หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงแล้วก็พบกับองครักษ์ติดตามจำนวนมากของสกุลอวี้เฟิง บรรดาองครักษ์ติดตามเหล่านี้ต่างก็ร้อนใจหาใดเปรียบ ถึงอย่างไรการข่าวของพวกเขาก็ฉับไวเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งระดับจ้าวเทพก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานแล้ว ตายสิ้นไปถึงสามคนในชั่วครู่เดียวก็ย่อมเป็นเรื่องที่มิอาจปิดบังได้อยู่แล้ว อย่างน้อยเหล่าองครักษ์ติดตา
สกุลอวี้เฟิงก็ดูเหมือนจะรู้กันทั่วว่า ‘ภูเขาค้างคาว’ ประสบเคราะห์หนักอยู่ใต้บังคับบัญชาของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้! แต่ละคนก็ย่อมมิกล้าละเลยจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ นอกจากนี้เดิมทีสถานะของ ‘ผู้เหินทะยาน’ ก็ทำให้ใจคนมากมายหวาดหวั่นอยู่แล้ว
ถึงแม้ว่าผู้เหินทะยานจะมีอยู่เพียงน้อยนิด แต่ทุกคนที่สามารถเหินทะยานมาถึงโลกเทพได้ต่างก็ไม่ธรรมดากันทั้งสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “จัดการแมลงตัวน้อยสามตัวนั้นของภูเขาค้างคาวก็ทำให้ชื่อเสียงของข้าโด่งดังขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว”
ราบรื่นไร้ซึ่งการขัดขวางตลอดทาง
มาถึงยังหอสะสมคัมภีร์ของตระกูลอวี้เฟิงอย่างรวดเร็ว
“ปรมาจารย์หิมะเหิน” หอสะสมคัมภีร์ก็ย่อมมียามรักษาการณ์อยู่เช่นกัน เหล่ายามรักษาการณ์ต้อนรับตงป๋อเสวี่ยอิงกันอย่างกระตือรือร้น
“ข้าคงจะมีสิทธิ์เลือกตำราการบำเพ็ญสักเล่มหนึ่งได้กระมัง” ตงป๋อพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“ปรมาจารย์หิมะเหินเป็นถึงปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญก็ย่อมมีสิทธิ์อยู่แล้วขอรับ แต่สามารถเลือกได้เพียงแค่ตำราการบำเพ็ญเล่มใดๆ ที่อยู่ในชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สามของหอสะสมคัมภีร์เท่านั้นนะขอรับ” ยามรักษาการณ์เอ่ยอย่างกระตือรือร้น ปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญเป็นตำแหน่งที่ว่างจากภาระหน้าที่เป็นอย่างยิ่ง ล้วนเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์ มีเคล็ดวิชาพิเศษพอสมควร จึงมีคุณสมบัติพอจะถูกเชิญมาเป็นปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวเข้าไปในหอสะสมคัมภีร์ทันที
หอสะสมคัมภีร์มีอยู่ทั้งสิ้นหกชั้น
สามชั้นแรกนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถเลือกได้อย่างอิสระ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูเล่มแล้วเล่มเล่าอย่างลวกๆ ตำราเหล่ามีเพียงแค่คำอธิบายคร่าวๆ ในหน้าแรกเท่านั้นที่สามารถดูได้ ส่วนหน้าอื่นๆ ที่เหลือนั้นล้วนว่างเปล่าทั้งสิ้น!
……
ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมาเลือกตำราการบำเพ็ญ ข่าวที่เขามาถึงตระกูลอวี้เฟิงก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ถ้าหากพูดชื่อ ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ก็คงมีอิทธิพลแสนธรรมดายิ่ง ทว่าตั้งแต่ภูเขาค้างคาวตกอยู่ในกำมือของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ‘จ้าวเทพหิมะเหิน’ ก็กลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานขึ้นมาในทันที ผู้ที่การข่าวฉับไวสักหน่อยต่างก็เข้าใจกันดีว่าพลังยุทธ์ของจ้าวเทพหิมะเหินผู้นี้ เกรงว่าคงจะมีหวังในการปะทะกับสิบอันดับแรกของทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานแล้ว
ต่อให้เข้าไปไม่ได้ก็คงจะใกล้เคียงมากเลยทีเดียว
มิฉะนั้นจ้าวเทพสามท่านจะถูกล้างผลาญอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน แล้ว ‘จ้าวภูเขาค้างคาว’ จะยอมอดทนอดกลั้นมาจนถึงตอนนี้ได้หรือ
“เร็วๆๆ รีบไปดูเร็วเข้า
“ก่อนหน้านี้อยากจะสร้างความคุ้นเคยกับจ้าวเทพหิมะเหิน แต่น่าเสียดายที่จ้าวเทพหิมะเหินปลีกวิเวกบำเพ็ญมาโดยตลอด พวกเราก็ไม่กล้าไปรบกวน คราวนี้ก็เป็นโอกาสอันดีในการสร้างความคุ้นเคยแล้ว”
“เฮ้ มาดูเร็วเข้า จ้าวภูเขาค้างคาวมาแล้วล่ะ”
“เป็นจ้าวภูเขาค้างคาวนี่”
ผู้คนมากมายต่างก็มองเห็นชายชราอัปลักษณ์ศีรษะทรงสามเหลี่ยมผู้หนึ่งมาถึงยังดินแดนชนเผ่าของตระกูลอวี้เฟิงแล้วเช่นกัน เขาก็เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการบำเพ็ญของสกุลอวี้เฟิง จึงไร้ซึ่งการขัดขวางเช่นเดียวกัน
“น่าสนใจแล้วสิ”
“จ้าวเทพหิมะเหินเพิ่งปรากฏตัวได้ไม่นานเท่าใด จ้าวภูเขาค้างคาวก็มาแล้ว”
“ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวอาจยังมีสงครามใหญ่อีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้นะ”
……
ถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะอึกทึกวุ่นวาย แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ภายในหอสะสมคัมภีร์กลับพลิกดูตำราเล่มแล้วเล่มเล่าอย่างมีสมาธิยิ่ง สำหรับเขาแล้วการต่อสู้ทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องเล็กทั้งสิ้น การศึกษากฎเกณฑ์ของโลกแห่งนี้จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา! เขาเข้าใจได้อย่างรางๆ ถึงความหมายในสิ่งที่หยวนทิ้งเอาไว้ให้อย่าง ‘การขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน’ ‘การรับรองความเป็นนิรันดร์ของวิถีนั้น’ ‘หนีออกจากการพันธนาการของแหล่งอารยธรรมจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ทรงอิทธิพล’ แล้ว
ความเป็นนิรันดร์ของวิถี
ก็เหมือนกับวิถีของเทพจักรวาล สามารถผ่านไปยังโลกกำเนิดที่แตกต่างกันได้
และเห็นได้ชัดว่าโลกที่ตนเข้าไปในคราวนี้มิใช่โลกกำเนิด วิถีของเทพจักรวาลไม่มีทางเคลื่อนที่ผ่านไปได้ เช่นนั้นวิถีของผู้ใดจะสามารถเคลื่อนผ่านไปได้เล่า ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดถึงว่าโลกแห่งนี้เป็นสิ่งที่บรรพเทวะคละถิ่นสามท่านรังสรรค์ขึ้นแล้วก็อดที่จะคาดเดารางๆ มิได้ว่า…‘วิถีของระดับขั้นคละถิ่น’ เท่านั้นจึงจะสามารถเคลื่อนผ่านได้!
“การขัดเกลาภายใต้แหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกัน ความเร้นลับอันหยาบกระด้างมากมายถูกละเลย ที่เหลืออยู่และสามารถเคลื่อนผ่านแหล่งอารยธรรมที่แตกต่างกันได้ นั่นจึงจะเป็นนิรันดร์ จึงจะเป็นพื้นฐานที่ประกอบเป็นคละถิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีการคาดการณ์เช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
ให้พลังยุทธ์ฟื้นฟูโดยเร็วที่สุดก่อนแล้วค่อยว่ากัน ฟื้นฟูไปถึงระดับตอนที่อยู่ที่ดินแดนจิตโลกาในตอนแรก
แต่การอาศัยตัวเองบำเพ็ญเพียงอย่างเดียวนั้นช้าเกินไป! อาศัยประสบการณ์ของผู้แกร่งกล้าในโลกแห่งนี้ร่วมด้วยก็ย่อมรวดเร็วกว่าเป็นอันมาก
“ประชากรของโลกเทพแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการบำเพ็ญสายโลหิตเช่นเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเคล็ดวิชาต่างๆ นั้นสูงส่งกว่าเป็นอันมาก ถึงขนาดที่ยังสามารถบำเพ็ญสิ่งที่เหนือธรรมชาติออกมาได้ด้วยอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “เผ่ามรณะทมิฬและกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมแห่งหุบเขาเขี้ยวหัก
ถึงแม้ว่าจะมีสายโลหิตคละถิ่นเช่นเดียวกัน แต่นั่นคือผู้แกร่งกล้าคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นสองท่านที่ตกต่ำลงไป เคล็ดวิชาของพวกเขาเป็นสิ่งที่คลำทางกันเอง แต่โลกเทพแห่งนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์สายโลหิตของบรรพเทวะคละถิ่นสามท่านซึ่งยังมีชีวิตอยู่ทีขยายเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน… บรรพเทวะคละถิ่นสามท่านนั้นคงจะมีการชี้แนะรุ่นหลังของสายโลหิตของตนอยู่บ้างกระมัง”
“แต่ถึงอย่างไรก็มีสายโลหิตเป็นพื้นฐาน การหยั่งรู้วิถีน้อยนิดยิ่งนัก”
“สิ่งที่ข้าต้องการก็ยังเป็นตำราของผู้เหินทะยานอยู่ดี”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
เขาค้นพบตำราของผู้เหินทะยานแล้วสองเล่ม แต่น่าเสียดายที่ต่างก็มิใช่วิถีอากาศ!
ผู้เหินทะยาน ไม่มีสายโลหิตคละถิ่น
วิธีการบำเพ็ญของพวกเขาแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ดึงเอาพลังจากฟ้าดินมาทำให้ตนเองแกร่งกล้าขึ้นเช่นเดียวกัน ถึงขนาดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าไม่ด้อยไปกว่า ‘ทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ เลย ถึงอย่างไรเส้นทางที่แตกต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน ก็เหมือนกับ ‘ระบบทิพย์’ และ ‘ศาสตร์โบราณ’ ในท้ายที่สุดแล้วต่างก็ครอบครองวิถีที่เป็นขั้นสุดยอดด้วยกันทั้งสิ้น
ผู้เหินทะยานเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้! มีเพียงผู้เหินทะยานส่วนน้อยเท่านั้นที่รวบรวมสายโลหิตประชากรโลกเทพมาทำให้ตนเองแข็งแกร่ง เคล็ดวิชาเช่นนี้ดูเหมือนจะเป็นเคล็ดต้องห้ามที่โลกเทพ! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงแค่ล่วงรู้ตอนที่ตรวจค้นความทรงจำเท่านั้น
“สกุลอวี้เฟิงแห่งเมืองจวิ้นซานสะสมตำราเอาไว้มากพอสมควร ตำราผู้เหินทะยานก็มีอยู่หลายสิบศาสตร์ แต่มีวิถีอากาศอยู่เพียงแค่สองศาสตร์เท่านั้น ศาสตร์หนึ่งยังเป็นระดับแม่ทัพเทพ ส่วนอีกศาสตร์หนึ่งเป็นระดับจ้าวเทพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบตำราสีเขียวเข้มเล่มหนึ่งขึ้นมา บนตำรามีชื่อเคล็ดวิชาหนึ่งอยู่…กลยุทธ์กระบี่แยกนภากาศ
“ไม่ว่าอย่างไร หากสามารถค้นพบสักศาสตร์หนึ่งที่มีประโยชน์ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา ควรจะนับได้ว่าสามารถไปถึงระดับจ้าวเทพได้ ใช้การประเมินของผู้บำเพ็ญบ้านเกิด… นี่ก็นับได้ว่าเป็นตำราขั้นสุดยอดศาสตร์หนึ่งแล้ว
อีกทั้งการบำเพ็ญในโลกเทพของสายโลหิตบรรพเทวะคละถิ่น และไม่เห็นว่าการบำเพ็ญยากลำบาก อีกทั้งยังจำกัดไว้เพียงแค่ตำราผู้เหินทะยานระดับจ้าวเทพเท่านั้น จึงวางเอาไว้เพียงแค่ชั้นที่สาม
“ปรมาจารย์หิมะเหิน ท่านเลือกได้แล้วหรือขอรับ” ยามรักษาการณ์ผู้หนึ่งเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงถือตำราสีเขียวเข้มเล่มหนึ่งเดินมาแล้วก็เอ่ยอย่างกระตือรือร้น
“ใช่แล้ว เล่มนี้แหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นออกไป
ยามรักษาการณ์รับมาดูแล้วพูดว่า “ปรมาจารย์หิมะเหินโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปหาต้นฉบับสักหน่อย ปรมาจารย์หิมะเหินสามารถทำได้เพียงแค่อ่านต้นฉบับอยู่ภายในหอสะสมคัมภีร์จนจบแล้วก็ต้องส่งคืนนะขอรับ”
“เข้าใจแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า แต่ในใจของเขากลับคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตำราศาสตร์นี้จะช่วยเปิดหน้าต่างให้เขาได้เข้าใจโลกแห่งนี้ ช่วยประหยัดเวลาให้เขาได้เป็นอย่างมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น