Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 37 ตอนที่ 1-6
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 1 ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง
บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลสองคนยืนเคียงบ่ากัน ผ้าคลุมไหล่โบกสะบัด แต่ละคนมองดูจุดกำเนิดของความเคลื่อนไหวอันน่าหวาดหวั่นอยู่ห่างๆ… ผนังกั้นโลกกำเนิดโพรงดำทะมึนระเบิดออก เงาร่างในอาภรณ์ขาวก็ทะยานออกมาจากโพรงดำทะมึน มือหนึ่งถือหอกชิงเหอ อีกมือถือมงกุฎมรณะ กลิ่นอายร้ายกาจอันไร้รูปร่างนั้น แม้กระทั่งอยู่ห่างออกไปเป็นระยะทางไกลก็ยังสามารถรู้สึกได้
“โชคดีนะ โชคดีที่เจ้า ราตรีนิรันดร์ยอมก้มหัวไปก่อนหน้านี้แล้ว” บรรพชนนิจรัตติกาลพูดยิ้มๆ
“มิฉะนั้นหลังจากราชันย์อนธการอมตะ บุคคลผู้ไร้เทียมทานคนต่อไปที่จะต้องตายก็คือเจ้าแล้วล่ะ”
“ถูกต้อง” บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็มองดู นัยน์ตาของเขามีประกายสีทองจางๆ “โชคดีที่ยอมก้มหัว ข้าคาดการณ์ว่าเมื่อใดที่เขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ถึงแม้จะเป็นวิถีอากาศ แต่พลังยุทธ์ก็ยังสามารถกดดันราชันย์อนธการอมตะได้เลยทีเดียว ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของเขา พลังยุทธ์ของข้าก็ลดต่ำลงอย่างมหาศาล ถึงแม้จะอยู่ที่เมืองราตรีนิรันดร์ เกรงว่าข้าก็อาจจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ดี แต่คิดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งราชันย์อนธการอมตะก็ยังถูกสังหารได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”
ถึงแม้ว่ากระบวนการจะพลิกผันไปบ้างเล็กน้อย แต่ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาก่อนหน้านี้ตายไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ก็ยังเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเกินไปอยู่ดี!
“ราชันย์อนธการช่างร้ายกาจยิ่งนัก ในท้ายที่สุดก็ใช้เคล็ดวิชาต่างๆ นานาอย่างสุดชีวิต มีเป็นจำนวนมากที่ข้าเองก็ยังมองไม่ทะลุปรุโปร่ง ถึงขนาดที่รู้สึกว่ามีพลังคุกคามอย่างมหาศาลเลยทีเดียว” บรรพชนนิจรัตติกาลพูดยิ้มๆ “เพียงแต่ว่าเคล็ดวิชาของเขาล้วนไร้ประโยชน์ต่อจ้าวหิมะเหินก็เท่านั้นเอง”
“ต่อจากนี้เป็นต้นไป เหนือศีรษะก็มีหอกยาวอันน่าหวาดหวั่นเพิ่มขึ้นมาอีกเล่มหนึ่งแล้ว ถ้าหากพวกเราตระบัดสัตย์ก็สามารถปลิดชีวิตพวกเราได้ตลอดเวลาเลยสินะ” บรรพชนราตรีนิรันดร์หัวเราะเยาะตนเองเสียงหนึ่ง
พวกเขาบุคคลผู้ไร้เทียมทานเหล่านี้
แม้กระทั่งเหล่าบุคคลขั้นสุดยอดระดับสามัญก็ดำรงชีวิตเป็นอิสระมาโดยตลอด มีบางทีที่เรียกได้ว่า ‘ทำอะไรตามใจชอบ’ สังหารหมู่เมืองสักแห่งหนึ่งแล้วจะนับเป็นอะไรได้ ทำการบูชาโลหิตแล้วจะนับเป็นอะไรได้ ถึงอย่างไรก็มิได้เกรงกลัวฟ้าดิน ไม่มีผู้ใดสามารถคุกคามเอาชีวิตพวกเขาได้ ต่อให้เป็น ‘หยวน’ ผู้สูงส่ง ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบของสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา หยวนก็คร้านที่จะมาสนใจมดปลวกจำนวนนับไม่ถ้วน
แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่กล้า ‘ทำอะไรตามใจชอบ’ อีกแล้ว
ซ่อนตัวอยู่ในที่มั่นก็ไร้ประโยชน์! การจะสร้างค่ายกลขนาดใหญ่แต่ละแห่งใน ‘ที่มั่น’ และยิ่งเป็นสุดยอดค่ายกล มูลค่าก็ยิ่งมหาศาล! พลังยุทธ์ไปถึงระดับไร้เทียมทาน พลังยุทธ์ยิ่งยกระดับขึ้นไปอีกอย่างนั้นหรือ มูลค่าก็ยิ่งสูงเกินไปเสียแล้ว! อย่างเช่นจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนราตรีนิรันดร์ และคนอื่นๆ ที่ร้ายกาจอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในที่มั่นของตน แต่การเพิ่มพูนขึ้นของพลังยุทธ์ก็ไม่สามารถเพิ่มได้อย่างมหาศาลมากนัก ก็เป็นเพราะว่าพวกเขาก็ไม่สามารถสร้างค่ายกลระดับสุดยอดได้มากเพียงพออย่างไร้ซึ่งขีดจำกัด
ในทางกลับกัน พลังยุทธ์ยิ่งอ่อนแอกลับยิ่งยกระดับได้อย่างน่าเหลือเชื่อกว่า
อย่างเช่นขั้นสุดยอดระดับสามัญ เพราะไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า พลังรบของตนเองก็อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง ได้รับความช่วยเหลือของค่ายกลในที่มั่นจึงเด่นชัดยิ่งขึ้น มีพลังรบเทียบได้กับ ‘ระดับไร้เทียมทาน’ ภายในที่มั่น
ก็เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิง!
มาถึงระดับขั้นเช่นเขา การสร้างค่ายกลมากมายที่เหมาะสมกับระดับขั้นในตอนนี้ภายในที่มั่น มูลค่าก็ต้องสูงจนเหนือธรรมดาแล้ว จะต้องเสาะหาวัสดุที่สามารถทนต่อค่ายกลเจ็ดกระบวนคละถิ่นกระบวนที่เจ็ดได้ ช่างหาได้ยากยิ่ง! ราชันย์อนธการอมตะก็อึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากก่อสร้างที่มั่นโดยไม่คำนึงถึงมูลค่า แต่อาศัยพลังยุทธ์ซึ่งที่มั่นแสดงออกมา เกรงว่าผลลัพธ์ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ผลของการเผาผลาญโลหิตหัวใจได้!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า แม้กระทั่งยอมจ่ายมูลค่ามหาศาลในการก่อสร้างที่มั่น ยึดติดกับที่มั่น! ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะเทียบเคียงได้กับการเผาผลาญโลหิตหัวใจอย่างพอถูไถ ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ง ‘ประมุขโลก’ กลุ่มใหญ่ไป สร้างเป็นค่ายกลรบล้อมโจมตี เขาก็ยังต้องหนีเอาชีวิตรอด!
“ร่างกายแกร่งกล้า!”
“เคล็ดวิชาวิญญาณน่าอัศจรรย์!”
“ทั้งยังสามารถเรียกตัวประมุขโลกกลุ่มใหญ่มาได้อย่างง่ายดายอีกด้วย”
เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็หวาดหวั่นพรั่นพรึง
‘จ้าวหิมะเหิน’ ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศผู้นี้ก็คือขั้นสุดยอดที่มีพลังคุกคามกล้าแกร่งที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ในประวัติศาสตร์เคยมีมา
“สังหารราชันย์อนธการ หลังกลับมาแล้วยังระเบิดทำลายผนังกั้นโลกกำเนิด ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตอีกด้วย ถึงขนาดที่ยังเจตนาถือมงกุฎมรณะเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะข่มขู่ทั้งใต้หล้า ในภายภาคหน้าดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปแล้วล่ะ!” ผู้แกร่งกล้ามากมายต่างก็คาดการณ์กันถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าได้อย่างรางๆ จากการที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจงใจถือมงกุฎมรณะ
******
เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้
นอกจากพญามารที่ยอมก้มหัวศิโรราบให้สัตย์สาบานตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ตนอื่นๆ ที่จองหองอหังการจำนวนหนึ่ง เดิมทียังคิดจะลองทดสอบดูสักหน่อย ยังไม่อยากจะยอมก้มหัวไปให้สัตย์สาบานผูกมัดตนเอง! แต่ตอนนี้นึกอยากจะขอร้องก็สายเกินไปเสียแล้ว!
“จ้าวท่าน ข้าอยากจะให้สัตย์สาบาน ข้า…”
“สายไปแล้วล่ะ”
……
“จ้าวท่าน ข้าจะไม่ทำการสังหารอีกแล้ว ข้าจะไม่ทำการสังหารตลอดไป”
“แต่เจ้าเคยทำการสังหารมาก่อนแล้วนี่”
……
เพียงแค่คืนเดียวเท่านั้น
ก็ทำให้ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาพลิกผัน ในรายนามก็มีชื่อของบรรดาพญามารที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจำนวนมากพอสมควรที่ล้วนเป็นระดับจอมเคารพ ขอเพียงแค่มิได้มาก้มหัว มาให้สัตย์สาบานก่อนหน้าที่ตนจะต่อสู้กับ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว!
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางผืนฟ้ายามราตรี มองดูมารตนหนึ่งที่สูญสลายอยู่ไกลออกไป “ถ้าหากข้าอภัยให้เจ้า แล้วใครจะไปชดใช้ให้กับล้านล้านชีวิตที่ถูกเจ้าสังหารหมู่ไปกันเล่า”
สำหรับบรรดามาร รวมถึงพญามารมากมายอย่างบรรพชนราตรีนิรันดร์ ประมุขรัฐจันทร์บุปผา และประมุขเกาะจันปา ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็นึกอยากสังหารอยู่แล้ว เพราะว่าบรรดามารเหล่านี้มือเปื้อนหยาดโลหิตมากมายเหลือคณา
แต่ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เขาก็ไม่มีพลังยุทธ์เพียงพอ
บรรดาพญามารฝ่ายต่างๆ ล้วนสามารถคาดเดาได้ว่า… เมื่อใดที่จ้าวหิมะเหินผู้นี้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก็เป็นวันจบชีวิตของพวกเขาแล้ว จำนวนมากมายต่างก็มาก้มหัวให้! ถ้าหากตนไม่ให้โอกาส ‘รอดชีวิต’ กับพวกเขาสักหน่อยก็เกรงว่าบรรดาพญามารเหล่านี้อาจจะบ้าคลั่งขึ้นมาก็เป็นได้
ดังนั้นก็ได้แต่ ‘ประนีประนอม’
เพียงแค่ยอมก้มหัว ให้สัตย์สาบานผูกมัด ก็จะยอมมองข้ามอดีตไป!
“ตอนนี้ข้ามีพลังยุทธ์ที่จะลงโทษได้แล้ว! ขอความปรานีอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความโหดเหี้ยมอย่างยิ่งขึ้นในใจ “ไม่ทำการสังหารให้มากพอแล้วจะข่มชนรุ่นหลังได้หรือ จะเปลี่ยนแปลงยุคสมัยได้อย่างไรกัน”
******
มารระดับเทพจักรวาล ถ้ามิได้มาก้มหัวให้สัตย์สาบานแต่เนิ่นๆ ผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวก็ถูกผลาญไปจนหมดสิ้น!
หลังจากผ่านวารวันอันน่าหวาดหวั่นที่ขนานนามว่าเป็น ‘ราตรีผลาญมาร’ ไปแล้ว บรรยากาศทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็ไม่มี ‘การบูชาโลหิต’ อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าผู้ที่รู้จักการหลอมแก่นวิญญาณโลหิตออกมาก็มีเพียงแค่พญามารระดับสุดยอดไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็ไม่กล้าทำตัวชั่วช้าอีกต่อไปแล้ว การบูชาโลหิตสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ก็ไม่มีมารที่กล้ารนหาที่ตายเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อใดที่มารถูกค้นพบ
ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือ เหล่าผู้แกร่งกล้าที่ตนเองมิอาจทนเห็นความชั่วร้ายได้จำนวนมากก็จัดการลงมือกันเองไปแล้ว
……
“ยุคสมัยเปลี่ยนไปจริงๆ เสียแล้วสิ”
“เขาเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาจริงๆ เสียด้วย”
เทพจักรวาลมากมายมองดูความเปลี่ยนแปลงของดินแดนจิตโลกาแล้วก็อดตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่งมิได้
……
ตามกาลเวลาที่เคลื่อนผ่าน
บนดินแดนจิตโลกา ผู้บำเพ็ญยุคใหม่จำนวนมากต่างก็พากันตกตะลึง “อะไรนะ ในอดีตมีการบูชาโลหิตด้วยหรือ สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตในเมืองแห่งหนึ่งถึงกับถูกสังหารหมู่บูชาโลหิตจนหมดสิ้นไม่เหลือเลยแม้แต่คนเดียวอย่างนั้นหรือ จริงหรือเท็จกันนี่”
“พญามารในอดีตสามารถทำการสังหารสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตได้อย่างง่ายดายเลยหรือ เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง! จะมีมารที่บ้าคลั่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนก็ย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว
เพราะดินแดนจิตโลกาในตอนนี้ ‘มาร’ นั้นเป็นที่รังเกียจของทุกคน! เมื่อใดที่ค้นพบมารก็จะมีเหล่าผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งไปทำการไล่ล่าสังหาร แต่ละคน ‘รักความยุติธรรม’ กันเป็นอย่างยิ่ง ในความเป็นจริงแล้วมารที่เรียกกันในตอนนี้… ก่อนหน้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรุ่งเรืองขึ้นมาก็นับได้เป็นเพียงแค่ตัวเล็กตัวน้อยบางส่วนที่รวมตัวกันอยู่ที่สถานที่รวมตัวของมารเหล่านั้นเท่านั้นเอง
“มารเฒ่าลวี่ซา เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”
“พลพรรคที่ทดลองหลอมหลายกลุ่มถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง พวกเรายังคิดว่าทดลองหลอมแล้วประสบกับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า มารเฒ่าผู้นี้ รับความตายเสียเถิด!”
เงาร่างเจ็ดสายไล่ตามชายชราอาภรณ์เขียวที่วิ่งหนีอย่างรวดเร็วผู้หนึ่ง
และบนยอดเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปแห่งหนึ่ง
มีเงาร่างสองสายยืนอยู่ คนหนึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาว ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจักรพรรดิเซี่ยในอาภรณ์ดำตัวหลวม พวกเขาสองคนยืนเคียงบ่ากันมองดูทุกสิ่งทุกอย่างนี้
“ฮ่าฮ่า หิมะเหิน ช่างล้ำเลิศเสียจริง เหมือนเจ้าเพิ่งปลิดชีพราชันย์อนธการอมตะไปเมื่อวานนี้เอง
ตอนนี้บรรยากาศทุกระดับทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ยังไม่กล้าคิดเลยว่า…ดินแดนจิตโลกาจะเปลี่ยนมาเป็นดังเช่นทุกวันนี้ได้” จักรพรรดิเซี่ยพูดยิ้มๆ “แบบนี้ยังถูกเรียกว่ามารเฒ่าได้ด้วยหรือ ถึงขนาดที่ถูกไล่ล่าสังหารอย่างน่าอนาถหาใดเปรียบเช่นนี้น่ะหรือ”
“เมื่อวานนี้อะไรกัน นี่ผ่านไปกว่าสองแสนล้านปีแล้วนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างอดมิได้ สำหรับจักรพรรดิเซี่ยแล้วช่างเป็นเวลาแสนสั้น แต่สำหรับเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ผ่านมาเป็นระยะเวลาเนิ่นนานพอดูเลยทีเดียว
สองแสนล้านปี
ก็เพียงพอที่จะมีผู้มีพรสวรรค์ขั้นอลวนยุคแล้วยุคเล่าถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว! จำนวนสิ่งมีชีวิตบนดินแดนจิตโลกาก็มากมายกว่าเมื่อก่อนอย่างมหาศาลเหลือเกินแล้ว เพราะว่าเมืองเล็กแห่งหนึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า แม้กระทั่งมารระดับขั้นอลวนก็ยังพบเห็นได้ยากยิ่ง
“สองแสนล้านปีกว่า ช่างแสนสั้นนัก” จักรพรรดิเซี่ยรำพึง “แต่พูดขึ้นมาแล้วข้าก็ยังชมชอบโลกเช่นนี้มากกว่านะ”
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 2 ท่าไม้ตายที่สองของวิถีเขตลวง...
“ข้าเองก็ชมชอบโลกเช่นนี้เหมือนกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่บนยอดเขาพลางมองดูโลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้แล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา
เมื่อก่อนภายในใจอยากจะเปลี่ยนแปลงทั้งโลก ทำให้เหล่ามารไม่มีทางเหิมเกริมทำตามอำเภอใจได้อีกต่อไป แม้กระทั่งตัวเองก็ยังคิดว่าเป้าหมายนี้ช่างห่างไกลเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มองเขาในแง่ดี เหล่าผู้แกร่งกล้าของดินแดนจิตโลกาในตอนนั้นคุ้นเคยกับความเป็นระเบียบในตอนนั้นอยู่ก่อนแล้ว คุ้นเคยกับการที่ผู้แกร่งกล้า ‘ขั้นสุดยอด’ เป็นอิสระเสรี ไม่มีใครสามารถคุกคามได้
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปในที่สุด!
“แต่เจ้าเห็นภัยร้ายที่แฝงอยู่เบื้องหลังแล้วหรือไม่” จักรพรรดิเซี่ยพูด
“ภัยร้ายที่แฝงอยู่เบื้องหลังหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“จำนวนคนอย่างไรเล่า” จักรพรรดิเซี่ยพูด“ ถึงแม้ว่าเหล่าผู้บำเพ็ญจะขยายเผ่าพันธุ์อย่างเนิ่นช้ายิ่ง โดยทั่วไปแล้วก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจึงจะปลอดภัยกว่า ที่ว่างภายในเมืองก็มีอยู่จำกัด แต่ในที่สุดก็ผ่านไปสองแสนล้านปีแล้ว ตอนนี้การสร้างปราการเมืองก็มากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้บำเพ็ญก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาระรับผิดชอบต่อดินแดนจิตโลกาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เท่าที่ข้ารู้ ดินแดนจิตโลกานั้นไม่เหมือนกับโลกกำเนิดแห่งอื่นๆ โลกกำเนิดอื่นสามารถเกิดมหาวินาศขึ้นได้ ทั้งหมดทั้งมวลกลับไปสู่จุดเริ่มต้น แล้วเริ่มขยับขยายใหม่อีกครั้ง ทว่าดินแดนจิตโลกาเป็นสิ่งที่ ‘หยวน’ สร้างขึ้น จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีทางเกิดมหาวินาศ แต่จำนวนคนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดินแดนจิตโลกาไม่มีทางทนรับได้อย่างไร้ซึ่งขีดจำกัดหรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ “ใช่แล้ว”
“ตอนนี้สองแสนล้านปี ภาระรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นยังอยู่ในอาณาบริเวณที่ดินแดนจิตโลการับได้ แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ต้องมีสักวันที่เกรงว่าดินแดนจิตโลกาจะเกิดการตอบโต้ขึ้นมา” จักรพรรดิเซี่ยพูด “หรือว่า ‘หยวน’ จะกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่ ในท้ายที่สุดก็จะต้องกดดันผู้คนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาอย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่า หยวนกำหนดกฎเกณฑ์ ก็ไม่มีทางสังหารหมู่ในทันทีหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด อย่างเช่นโอกาสที่วังเทพจิตโลกาเหลือเอาไว้ โอกาสเพื่อให้เหล่าขั้นสุดยอดแต่ละคนเตรียมตัว และสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าต่างๆ เป็นต้น เห็นได้ชัดว่า ‘หยวน’ ก็ยังปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอด้วยความปรานีเป็นอย่างยิ่ง
จักรพรรดิเซี่ยก็พยักหน้าน้อยๆ
พวกเขาสองคนมิได้พูดอะไรกันมากมายอีก เพราะ ‘หยวน’ จะทำเช่นไรนั้นพวกเขาก็มิอาจพูดให้ชัดเจนได้
อาจจะมีเมตตาสักหน่อย อย่างเช่นเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์โดยตรง กำหนดให้ระดับความยากในการขยายเผ่าพันธุ์ของผู้บำเพ็ญเพิ่มพูนขึ้น! เช่นนี้การเพิ่มจำนวนประชากรก็ย่อมยากเย็นเป็นธรรมดา
แล้วก็เป็นไปได้ว่าจะโหดเหี้ยมกว่า เช่นให้ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง เป็นต้น……
ทั้งหมดล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น
“ไปกันเถิด”
เงาร่างของคนทั้งสองหายลับไปกลางอากาศในทันใด
……
ณ คีรีมารสกุลฝาน
“ท่านอาจารย์ ข้าพลิกอ่านตำราภายในชนเผ่า ได้ทราบมาว่าภายในสกุลฝานของพวกเรามี ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ อยู่ ซึ่งมันมีส่วนช่วยเหลือในการบำเพ็ญวิถีวิญญาณอย่างมหาศาล ตอนนี้ข้าห่างจากการเป็นเทพจักรวาลอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สามารถให้ข้าไปบำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตได้หรือไม่ขอรับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดกับชายชราอาภรณ์ดำข้างกาย
“ต้นไม้เทพผลาญจิตหรือ” ชายชราอาภรณ์ดำถลึงตาจ้องมอง “ตอนนี้สกุลฝานของข้ายกให้จ้าวหิมะเหินผู้นั้นไปหมดแล้ว โอกาสที่จะได้สมบัติล้ำค่ามาก็เพิ่มขึ้นมิใช่น้อย เช่นนี้ข้าส่งเจ้าไปยัง ‘ตำหนักมารลวง’ ก็แล้วกัน ส่วนต้นไม้เทพผลาญจิตนั่น เจ้าก็อย่าได้ไปนึกถึงมันอีกเลยนะ”
ชายหนุ่มเอ่ยว่า “เพราะเหตุใดกัน ข้าพลิกอ่านตำรา ในตำราบันทึกเอาไว้ว่าตั้งแต่บรรพชนคิดค้นเคล็ดวิเศษไร้ภาพออกมาภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต ก็ใช้ต้นไม้เทพผลาญจิตในการบำเพ็ญเพียงน้อยนิดยิ่งนัก ศิษย์ภายในเผ่าก็ควรจะสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ แต่ข้ากลับหาของสิ่งนี้ไม่พบบนสายพานแลกเปลี่ยนเลยนะขอรับ”
“หาไม่พบก็ถูกต้องแล้วนี่! ”ชายชราอาภรณ์ดำถ่ายเสียงพูด “ตอนนี้จ้าวหิมะเหินผู้นั้นก็บำเพ็ญอยู่ใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตนั่นแหละ!”
“จ้าวหิมะเหินหรือ” ชายหนุ่มจับจ้อง
จ้าวหิมะเหิน
ผู้ที่มีผลกระทบยิ่งใหญ่เหลือเกินในดินแดนจิตโลกาในตอนนี้ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา! นั่นเป็นเพราะอิทธิพลของการสังหาร ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ผู้เคยเป็นอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา ทำให้บรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานและขั้นสุดยอดระดับสามัญต่างก็ต้องพรั่นพรึง ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญมากมายเท่าใดที่เคารพนบนอบต่อ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้
อย่างเช่นรัฐโบราณคิมหันตวายุ เพราะว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวหิมะเหิน ก็ได้รับผลประโยชน์มากพอสมควร ตอนนี้ก็มีอิทธิพลแข็งแกร่งกว่ารัฐโบราณสหโลกาอยู่ขั้นหนึ่ง
“รู้แล้วกระมัง ข้าจะส่งเจ้าไปยังตำหนักมารลวง อย่าได้คิดถึงต้นไม้เทพผลาญจิตเป็นการชั่วคราว รอให้จ้าวหิมะเหินผู้นั้นจากไปแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็คงมีโอกาสแล้วล่ะ” ชายชราอาภรณ์ดำเอ่ยแนะนำ
“ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าจ้าวหิมะเหินก็อยู่บนคีรีมารสกุลฝานของพวกเราอย่างนั้นหรือ ข้า ข้า ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่เคยรู้เลย” ชายหนุ่มตื่นเต้นอย่างที่สุด “ท่านอาจารย์ขอรับ ข้าจะไปคารวะเขาสักคราหนึ่งได้หรือไม่ขอรับ”
ยามเยาว์วัย ก็โตขึ้นมากับการฟังเรื่องราวของจ้าวหิมะเหินผู้นี้นั่นเอง
“คารวะหรือ จ้าวหิมะเหินกำลังสงบจิตใจบำเพ็ญ เจ้าว่าจะไปรบกวนได้หรืออย่างไรกัน” ชายชราอาภรณ์ดำเอ่ยเสียงแข็ง “ท่านบรรพชนเคยมีบัญชาเอาไว้แล้วว่าห้ามไปรบกวนเขาเด็ดขาด”
โอ้” ชายหนุ่มฟังแล้วก็คันยุบยิบในใจ
“ท่านอาจารย์ ท่านสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าต้นไม้เทพผลาญจิตอยู่ในทิศทางใดหรือขอรับ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
ชายชราอาภรณ์ดำส่ายหน้าพลางแย้มยิ้มแล้วชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “อยู่ที่นั่น”
ชายหนุ่มมองตามไปไกล นัยน์ตาเผยแววตื่นเต้นคาดหวัง
ทิศทางนั้นนั่นเอง…
อยู่ที่คีรีมารสกุลฝาน ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาผู้นั้น บำเพ็ญอยู่ที่นั่นเอง!
……
ในความเป็นจริงแล้วเหล่าเทพจักรวาลส่วนใหญ่ต่างก็รู้ว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับรัฐโบราณคิมหันตวายุ
อย่างเช่น ‘จ้าวหิมะเหิน’ และ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ก็สนทนากันอยู่บ่อยๆ คนทั้งสองดื่มสุราด้วยกันอยู่เป็นประจำ และปรากฏตัวขึ้นที่ใดสักแห่งในดินแดนจิตโลกาเพื่อประลองเรียนรู้ซึ่งกันและกันอยู่เสมอ! พวกเขาสองคนต่างก็เป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ นอกจากนี้คนทั้งสองต่างก็ได้รับสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ สื่อสารระหว่างกันขึ้นมาก็มีประโยชน์ต่อทั้งคู่เป็นอย่างยิ่ง
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง ‘จ้าวหิมะเหิน’ กับ ‘บรรพชนฝาน’ ก็แพร่หลายออกไปนานแล้ว
บรรพชนฝานถึงกับจงใจปล่อยข่าวให้แพร่ออกไปภายนอก ทำให้เหล่าเทพจักรวาลทั่วหล้าล่วงรู้ว่าจ้าวหิมะเหินมีร่างแยกร่างหนึ่งที่อาศัยบำเพ็ญอยู่ที่คีรีมารสกุลฝานเป็นระยะเวลายาวนาน! นี่ทำให้เหล่าเทพจักรวาลทั่วหล้าต่างพากันอิจฉาตาร้อน เพราะพวกเขาแต่ละคนต่างก็มุ่งมาดปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้ เพราะว่านอกจาก ‘จ้าวหิมะเหิน’ จะมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งแล้วก็ยังมีอิทธิพลภายในหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอย่างยิ่ง มีโอกาสได้สมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน
ไม่เห็นหรือว่าจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จอมกระบี่ปีศาจ และจักรพรรดิชางได้รับประโยชน์ด้วยเหตุนี้
ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเดินยืดอกไปทั่ว
ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้แม่เฒ่าอิงซานก็สำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว
“พรึ่บ…”
ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ ใบไม้สีม่วงเข้มปลิวว่อนตามสายลม เขาลืมตาขึ้น นัยน์ตามีแววเศร้าสลดสายหนึ่ง
“ก็ยังไม่สำเร็จอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำเสียงต่ำกับตนเอง “ตอนนั้นระยะเวลาที่สังเกตการณ์หยาดน้ำพันเนตรสั้นเกินไปเสียแล้ว ถ้าหากสามารถให้ข้าหยั่งรู้โดยละเอียดได้ก็ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะคิดค้นท่าไม้ตายที่สามของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมาได้แล้วก็เป็นได้”
ระยะเวลาเนิ่นนานเช่นนี้
เกาะลอยคว้างที่มีดวงตาลึกลับของหุบเขาเขี้ยวหัก เขาเคยบุกเข้าไปทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง และได้จดจำส่วนประกอบโลกเขตลวงภายในดวงตาลึกลับเหล่านั้นเอาไว้จนหมด ตอนนั้นเขาอ้างอิงจากส่วนประกอบโลกเขตลวงของดวงตาสีเทา จนในที่สุดก็ตระหนักรู้ท่าไม้ตายแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียม…ความสว่างไสวของโลกลวง! เพราะเคยสำรวจดวงตาสีทองมาหมดแล้ว หลังจากที่สังหารราชันย์อนธการอมตะไปแปดหมื่นล้านปี เขาก็คิดค้นท่าไม้ตายที่สองของวิถีเขตลวงโลกเทียม…การสังหารของโลกลวง ออกมาได้!
“เหมือนกันกับที่ข้าคาดการณ์เอาไว้เลย ท่าไม้ตายทั้งสองนี้ไม่สามารถใช้การกับศัตรูคนหนึ่งๆ พร้อมกันได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า
ความสว่างไสวของโลกลวงคือการดึงดูดศัตรูให้จ่อมจมและหลงใหล
ส่วนการสังหารของโลกลวงคือความต้องการที่จะผลาญสังหารวิญญาณของศัตรูโดยตรง สังหารมิได้ก็ต้องได้รับบาดเจ็บ!
ทั้งสองเป็นโลกลวงที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
วิญญาณของศัตรูสามารถเข้าไปในโลกลวงได้เพียงแห่งเดียวในชั่วขณะหนึ่งๆ
“นอกจากโลกลวงของข้า การจะสามารถรวบรวม ‘ความสว่างไสว’ และ ‘การสังหาร’ เข้าไว้ด้วยกันนั้นช่างยากเย็นยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะลองดูหยาดน้ำพันเนตรอีกครั้งเป็นอย่างยิ่ง เพราะส่วนประกอบภายในหยาดน้ำพันเนตรก็คือโลกพันเนตรอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
“จักรพรรดิเป่ยเหอ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงตรงนี้แล้วก็ไม่ยอมจำนนใจอยู่บ้าง
ถ้าหากมีหยาดน้ำพันเนตรก็ไม่แน่ว่าอาจจะคิดค้นท่าไม้ตายที่สามออกมาได้ ท่าไม้ตายที่สามผสานรวมกับท่าไม้ตายทั้งสองก่อนหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ ก็ย่อมมีการยกระดับพื้นฐานเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าตนเองก็อาจจะสามารถอาศัยงวิถีเขตลวงโลกเทียมนี้ไปถึง ‘ขั้นสุดยอด’ ได้! แน่นอนว่าการไปถึงขั้นสุดยอดก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ยังจำเป็นต้องเผชิญกับอุปสรรคอันสาหัสต่างๆ แต่อย่างน้อยคิดค้นออกมาได้ ความเข้าใจต่อวิถีเขตลวงโลกเทียมของตนก็สามารถลึกล้ำยิ่งขึ้นไปได้อีกขั้นหนึ่ง
แต่ทั้งหมดนี้กลับถูกทำลายเสียแล้ว
“จักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้เข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ เข้าไปคราวนี้แล้วก็มิได้กลับออกมาอีกเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “กลัวว่าข้าจะแก้แค้น ดังนั้นจึงคอยอยู่ข้างในมาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ขอเพียงแค่พลังของหยาดน้ำพันเนตรหมดสิ้นไป เขาก็จำเป็นต้องออกมาแล้ว มิฉะนั้นก็จะมิอาจออกมาได้อีกไปตลอดกาลแล้วล่ะ”
ต่อให้เขาออกมา
เกรงว่าหยาดน้ำพันเนตรก็คงมลายหายไปเพราะพลังภายในหมดสิ้นไป!
“หยาดน้ำพันเนตร” หลายปีมานี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปยังเกาะลอยคว้างมากมาย แต่ก็ไม่เคยได้หยาดน้ำพันเนตรหรือว่าไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษใดๆ มาอีกเลยสักอันเดียว! ในประวัติศาสตร์ การจะได้มาซึ่งสมบัติชั้นยอดทั้งสองนี้ช่างลำบากยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง โดยทั่วไปล้วนเป็นห้ายอดเคารพที่ได้มาครอง อย่างเช่นคราวก่อนที่ ‘ทะเลสาบใบไม้ดำ’ มีเพียงแค่แรงกดดันที่มีต่อวิญญาณ ไม่มีอันตรายอื่นๆ ตนก็โชคดีมีโอกาสสามารถได้หยาดน้ำพันเนตรหยดหนึ่งมาครอบครอง แต่กลับไม่เคยมีโอกาสอีกเลย
“ไม่มีโอกาสได้หยาดน้ำพันเนตรมาครองอีกแล้วหรือ เอาเถิด ต่อให้ไม่มี ข้าก็สามารถคิดค้นออกมาได้อยู่ดี บางทีการที่เป็นเช่นนี้ การสั่งสมวิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าก็อาจจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นอีกก็เป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่ปลอบประโลมตนเองเช่นนี้ สงบจิตใจลงในทันทีแล้วสำรวมจิตใจบำเพ็ญต่อไป ขัดเกลาท่าไม้ตายทั้งสองของวิถีเขตลวงโลกเทียมที่ผสานรวมกัน
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 3 เชื้อเชิญ
ณ จวนจ้าวในเมืองหิมะเหิน
ภายใต้ศาลาริมทะเลสาบ ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเซี่ยนั่งประจันหน้ากัน คนทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่
“เดิมทีการฝึกกายคละถิ่นก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดค้นขึ้นมาอยู่แล้ว น้องหิมะเหิน เจ้าก็เชื่อข้าเถิด” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “อาศัยมิติคละถิ่นเป็นครรภ์มารดา ฟูมฟักหลอมรวมเป็นร่างกาย ถ้าหากสามารถทำได้สำเร็จ เชื่อว่าเมื่อสำเร็จแล้วก็จะเป็นร่างกายของระดับชีวิตคละถิ่นแล้ว เส้นทางสายนี้ จึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง!”
“พวกเราก็เคยทดลองกันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว นอกจากนี้ ข้าก็รู้สึกว่า คิดอยากจะก้าวข้ามแต่ละก้าวจากขั้นสุดยอดไปจนมีร่างกายระดับคละถิ่น หรือแม้กระทั่งอาศัยสิ่งนี้สำเร็จเป็นคละถิ่น ก็ออกจะเป็นการมองการสำเร็จเป็น ‘คละถิ่น’ นี้อย่างง่ายดายเกินไปสักหน่อย” แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เอ่ยต่อไปว่า “ข้ารู้สึกว่าการก้าวเดินไปทีละก้าว ใช้พลังทำลายกฎ ก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น”
“ข้าก็มิได้รู้สึกว่าง่ายหรอก การอาศัยมิติคละถิ่นเป็นครรภ์มารดา ฟูมฟักหลอมรวมเป็นร่างกายนั้น เดิมทีก็ลำบากยากเย็นอยู่แล้ว ข้าหวังว่าเจ้า น้องหิมะเหินจะช่วยเหลือข้า พวกเราสองคนศึกษาค้นคว้าเส้นทางสายนี้ไปพร้อมกัน” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ย
“ให้ห้วงมิติเป็นครรภ์มารดา… แค่ก้าวแรกก้าวเดียวนี้ข้าก็ก้าวไม่ออกแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “จักรพรรดิเซี่ย ท่านกับข้าต่างคนต่างแยกกันเดินบนเส้นทางของตนเองเถิดนะ มาดูกันว่าในท้ายที่สุดแล้วใครจะสามารถคิดค้นฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามออกมาได้จริงๆ ก่อนกัน”
จักรพรรดิเซี่ยฟังแล้วก็อดที่จะส่ายหน้ามิได้
สองแสนล้านปีมานี้ พวกเขาสองคนก็สนทนากันอยู่เป็นประจำ สิ่งที่สนทนากันมากที่สุดก็คือฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามในปุจฉวิถีคละถิ่น!
เคล็ดวิชานี้เดิมทีก็เป็นสิ่งที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้นอยู่แล้ว! น่าเสียดายที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นเพียงแค่ฝึกกายคละถิ่นสองขั้นแรกออกมาเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับเจ็ดกระบวนคละถิ่น มีวิธีการพิเศษมากมายในการผสานรวมวิถีอากาศและพลังคละวิถี ดังนั้นเขาเขาจึงได้ดัดแปลงบนพื้นฐานดั้งเดิมของจักรพรรดิเซี่ยไปมากพอสมควรแล้ว หลังจากไปถึง ‘ขั้นสุดยอด’ แล้ว เขาก็ปรารถนาจะคิดค้นฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามออกมา! นอกจากนี้ตั้งแต่ที่เขาคิดค้นท่าไม้ตายออกมา วิญญาณของเขาก็มีอิทธิพลต่อร่างกาย สิ่งเหล่านี้ทำให้เขามีทิศทางในการยกระดับร่างกายขึ้นมาบ้างพอสมควรแล้ว
คนทั้งสองสนทนากัน เดิมทีต่างก็ได้อะไรกันไปมากมาย
เพราะว่าจักรพรรดิเซี่ยก็มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับเช่นกัน ทั้งยังเป็นวิถีอากาศด้วย แต่มีชื่อเรียกว่าเคล็ดดอกไม้ห้วงอากาศเบ่งบาน
สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือเจ็ดกระบวนคละถิ่น เข้าคู่กันอย่างสมบูรณ์แบบกับอาวุธเทพคละถิ่นหอกชิงเหอ
สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับของคนทั้งสองแตกต่างกัน… บวกกับสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับของพวกเขาสองคนล้วนมิอาจเล็ดรอดออกไปภายนอกได้ ได้แต่กระทบกันด้วยแนวความคิดบางอย่างเท่านั้น
การสนทนาเป็นระยะเวลายาวนาน
พวกเขาสองคนเพิ่งจะเริ่มได้การ ถึงขนาดที่ต่างก็คิดค้น ‘ฉบับแรก’ ของ ‘ฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สาม’ ออกมาได้แล้ว นี่คือฉบับที่ไม่สมบูรณ์ฉบับหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ก็ทำให้ร่างกายของพวกเขาสองคนไปถึงระดับที่เทียบเคียงได้กับระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์ และอาศัยร่างกายเพียงอย่างเดียวก็มีพลังยุทธ์เหมือนบุคคลผู้ไร้เทียมทานอย่างบรรพชนราตรีนิรันดร์แล้ว
เพราะว่าคิดค้น ‘ฉบับแรก’ ออกมาได้ จิตวิญญาณการต่อสู้ของคนทั้งสองก็พุ่งทะยาน ต่างก็มองเห็นความหวังในการหนีออกจากกรงขังแล้ว
คนทั้งสองติดต่อสื่อสารและค้นคว้ากันอยู่เป็นประจำ
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ค่อยๆ เกิดความไม่ลงรอยขึ้นมา นอกจากนี้ความไม่ลงรอยก็ยังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย!
“วิถีสายนี้ลำบากยากเข็ญเพียงใด เดินตามลำพังคนเดียวแล้วเมื่อใดจะสามารถใช้พลังทำลายกฎได้เล่า ถ้าหากมีสองคนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ก็ไม่แน่ว่าทั้งเจ้าและข้าอาจจะบรรลุกันทั้งคู่เลยก็เป็นได้” จักรพรรดิเซี่ยทอดถอนใจ เขาค้นพบแล้วจริงๆ ว่าพรสวรรค์ของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นสูงส่งเป็นที่สุด กับด้านการหลอมกายก็ค้นพบจุดที่จะบรรลุมากมายได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากเขา จักรพรรดิเซี่ยคลำทางตามลำพังคนเดียวแล้วล่ะก็…
ถึงแม้ว่าจะมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับดอกไม้ห้วงอากาศเบ่งบาน ก้าวแรก อาศัยมิติคละถิ่นเป็นครรภ์มารดา เขาสามารถทำได้ แต่ทว่าการฟูมฟักหลอมรวมเป็นร่างกายต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ตัวเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย
เขาอยากจะดึงเอาตงป๋อเสวี่ยอิงร่วมเส้นทางสายนี้ไปด้วยกัน
แต่เห็นได้ชัดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการจะเดินบนเส้นทางที่มีความมั่นใจเท่านั้น
“พวกเรามีเวลาเหลือเฟือ แยกกันเดินบนเส้นทางของตัวเอง ถ้าหากในอนาคตข้าเดินผ่านไปไม่ได้ก็ค่อยมาทดลองเส้นทางที่จักรพรรดิเซี่ยชี้ทางเอาไว้ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เดิมทีพรสวรรค์ด้านการหลอมกายของเขาก็มิได้สูงถึงเพียงนั้นอยู่แล้ว เป็นเพราะหลังจากที่คิดค้นท่าไม้ตายวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมาได้แล้ว วิญญาณก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ทำให้ร่างกายเกิดวิวัฒนาการ
วิญญาณแข็งแกร่งก็มีอิทธิพลต่อร่างกายเช่นเดียวกัน! อิทธิพลเช่นนี้ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นหนทางที่จะบรรลุโดยสมบูรณ์แบบแล้ว
……
พวกเขาสองคนวางความเห็นที่ต่างกันลงชั่วคราวแล้วสนทนากันถึงสิ่งที่แต่ละคนได้ตระหนักรู้มากมายเกี่ยวกับฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามต่อไป
“หืม”
ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยุดลงแล้วแหงนหน้ามองดูไกลออกไป
“เป็นอะไรไปหรือ” จักรพรรดิเซี่ยสงสัย เขาก็มิได้ฝืนตรวจตราในเมืองหิมะเหินแต่อย่างใด
“มีแขกมาเยือนน่ะสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม ไกลออกไปมีเงาร่างสายหนึ่งรวมตัวขึ้นมา ซึ่งก็คือบุรุษร่างผอมสูงในอาภรณ์ขาวผู้หนึ่ง เมื่อบุรุษร่างผอมสูงผู้นั้นมาถึงแล้วก็ทักทายด้วยความเคารพน้อยๆ “จาฟูคารวะจ้าวหิมะเหิน”
“เจ้าเป็นใครกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
เขามองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิมของหุบเขาเขี้ยวหัก แต่เป็นใครนั้นก็มิอาจรู้ได้เลย
ถึงอย่างไรผู้ที่เป็นจักรพรรดิระดับต้นในหุบเขาเขี้ยวหักก็มีจำนวนมากมายมหาศาลและไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก
“ข้าคือผู้ดูแลใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่คนหนึ่งขอรับ” บุรุษร่างผอมสูงพูดยิ้มๆ “รับบัญชายอดเคารพให้มาเชื้อเชิญจ้าวท่านขอรับ”
“ยอดเคารพเฮ่ากู่หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจ “มิทราบว่ายอดเคารพมีความประสงค์อันใด”
“เรื่องนี้ข้าก็มิทราบเช่นกัน ยอดเคารพสั่งให้ข้ามาที่นี่เพื่อเชิญจ้าวท่านไปพบขอรับ” บุรุษร่างผอมสูงพูด
“ยอดเคารพเฮ่ากู่อยากพบเจ้า เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ” จักรพรรดิเซี่ยพูดยิ้มๆ
“ก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ทันใดนั้นด้านข้างก็มีร่างแยกร่างหนึ่งจำแลงออกมา แล้วร่างแยกก็พูดกับบุรุษร่างผอมสูง “ไป ไปพบยอดเคารพกัน”
……
สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาตรงมาถึงยังชายแดนของโลกเฮ่ากู่
ตงป๋อเสวี่ยอิงและบุรุษร่างผอมสูง ‘จาฟู’ ปรากฏกายขึ้น จาฟูมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยว่า “จ้าวหิมะเหิน ได้โปรดตามข้ามา”
“ยอดเคารพเฮ่ากู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิดใคร่ครวญในใจ
สองแสนล้านปีมานี้เขาก็เคยทำข้อตกลงกับยอดเคารพห้าท่านมาก่อนแล้ว
เพราะอยากจะหยั่งรู้ ‘หยาดน้ำพันเนตร’ เป็นอย่างยิ่ง แต่เกรงว่าสมบัติชั้นยอดที่สามารถช่วยให้เข้าไปสู่ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้พรรค์นี้ก็คงมีเพียงแค่ห้ายอดเคารพเท่านั้นที่มี! ดังนั้นเขาไปคารวะ ก็นับว่าห้ายอดเคารพไว้หน้าเป็นอย่างยิ่งแล้ว อย่างน้อยก็ได้พบเขาแล้ว น่าเสียดาย ตอนที่เขาหยิบยกเรื่องอยากจะสำรวจหยั่งรู้หยาดน้ำพันเนตรสักครา ไม่บริโภคพลังงานภายในเลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่รับปากว่าร่างแยกจะรั้งอยู่ที่เคหาสน์ของยอดเคารพขณะที่ทำการหยั่งรู้ แต่ห้ายอดเคารพทั้งหมดต่างพากันบอกว่าไม่มี
‘หยาดน้ำพันเนตร’
ตอนนั้นยามที่เขาไปพบยอดเคารพเฮ่ากู่ ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็อารมณ์ดีพูดมาประโยคหนึ่งว่า “ข้ามีไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษอยู่เม็ดหนึ่ง แต่ไม่มีหยาดน้ำพันเนตรจริงๆ สมบัติชั้นยอดที่เข้าไปสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษนี้ ที่ค้นพบในประวัติศาสตร์ ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็มีจำนวนมากกว่าหยาดน้ำพันเนตรจริงๆ จนกระทั่งถึงตอนนี้ รวมทั้งหยาดน้ำพันเนตรเม็ดที่จ้าวหิมะเหินค้นพบนั้นด้วย ที่เปิดเผยสู่สาธารณะก็มีอยู่เพียงแค่สามเม็ดเท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังถูกบริโภคไปตอนเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษจนหมดแล้วอีกด้วย”
พรึ่บ พรึ่บ
ตำหนักเทพเฮ่ากู่โอ่อ่าอลังการ เป็นถึงหนึ่งในสองมหายอดเคารพของชนพื้นเมืองดั้งเดิม ก็ไม่ต้องพูดถึงอิทธิพลของยอดเคารพเฮ่ากู่ให้มากความ
ตำหนักเทพแห่งนี้รักษาการณ์อย่างแน่นหนา มียามรักษาการณ์มากมาย
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไร้ซึ่งการขัดขวางตลอดทาง บรรดายามรักษาการณ์เหล่านั้นแม้กระทั่งระดับแม่ทัพเทพก็ยังค่อนข้างให้ความเคารพต่อตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขาต่างก็รู้ดีว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้ ไม่เพียงแต่เคล็ดวิชาวิญญาณร้ายกาจเท่านั้น แม้กระทั่งพลังยุทธ์ในการต่อสู้ประชิดตัวก็ยังสามารถจัดเป็นแถวหน้าในบรรดาแม่ทัพเทพได้
“คารวะยอดเคารพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นบุคคลผู้หนึ่งที่อยู่ไกลออกไปแล้วก็ทักทายขึ้นในทันที
“จ้าวหิมะเหินมาแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่นั่งอยู่ที่นั่น เขามองดูอากาศอันเวิ้งว้างแล้วก็ชี้ไปยังม้านั่งหินด้านข้างตัวหนึ่ง “มา นั่งสิ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไปแล้วนั่งลง
ขณะนี้ยอดเคารพเฮ่ากู่เก็บงำกลิ่นอายจนหมดสิ้น สีหน้าของเขาสงบเยือกเย็น สามารถเก็บงำกลิ่นอายได้ก็แสดงออกว่าเกรงใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว มิฉะนั้นหากปล่อยกลิ่นอายออกมา นั่นก็จะคล้ายกับลูกไฟอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบ พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ก็อาจจะรู้สึกว่ายากจะทนรับได้เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะมีการบรรลุไปบ้าง ฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามก็มีฉบับแรกแล้ว แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์เท่านั้นเอง
“มิทราบว่ายอดเคารพให้หาตัวข้าด้วยเรื่องอันใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม เพราะว่าตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปบุกฝ่าเกาะลอยคว้างอย่างบ้าคลั่งอีกต่อไปแล้ว ยามปกติก็มิได้ทิ้งร่างแยกเอาไว้ที่หุบเขาเขี้ยวหัก หากมีเรื่องก็ให้พวกเขาออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปหาตนยังเมืองหิมะเหินก็ใช้ได้แล้ว
“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้ามีไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษอยู่เม็ดหนึ่ง” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูด
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ยอดเคารพเฮ่ากู่พลิกมือคราหนึ่ง บนฝ่ามือก็มีไข่มุกกลมเกลี้ยงสีดำสองเม็ดปรากฏขึ้น ไข่มุกสีดำสองเม็ดนี้ลึกล้ำหาใดเปรียบ ทำให้สายตาคนถูกดึงดูดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว แล้วยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่าไข่มุกสีดำนี้คล้ายกับกำลังดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างราวกับโลกอันกว้างใหญ่หาใดเปรียบ พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมสามารถประคับประคองจิตใจเอาไว้ได้ แต่ก็ยังคงตกตะลึงอยู่ดี แล้วอดที่จะเอ่ยขึ้นมิได้ว่า “ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษสองเม็ดอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง สองเม็ด” ยอดเคารพเฮ่ากู่พยักหน้า “เดิมทีข้ามีอยู่เม็ดหนึ่งก็มิได้รีบร้อนจะไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ถึงอย่างไรข้าก็เคยไปมาหลายครั้งแล้ว อยากจะเตรียมตัวให้เต็มที่เสียก่อนแล้วค่อยไปอีกครั้งหนึ่ง! เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ข้าเดินทางไปยังเกาะลอยคว้างจำนวนหนึ่งแล้วกลับได้ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเม็ดหนึ่งมา”
“ขอแสดงความยินดีกับยอดเคารพด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เกาะลอยคว้างบางแห่งก็มีภยันตรายยิ่งใหญ่อยู่จริงๆ มิใช่สถานที่ที่ตนจะสามารถเข้าไปได้ แต่ยอดเคารพกลับมีโอกาสเข้าไป โดยทั่วไปแล้วไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษและหยาดน้ำพันเนตรต่างก็อยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายทั้งสิ้น
“ข้าสามารถมอบไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษให้เจ้าเม็ดหนึ่งได้” ยอดเคารพเฮ่ากู่มองตงป๋อเสวี่ยอิง
“มอบสมบัติชั้นยอดพรรค์นี้ให้ข้าโดยไม่มีเหตุมีผลอย่างนั้นน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองยอดเคารพยิ้มๆ แต่ในใจกลับเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ผู้ใดจะไม่อยากเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษบ้างเล่า
ยอดเคารพเฮ่ากู่เอ่ยต่อไป “เจ้าจะต้องเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษพร้อมกันกับข้า อีกทั้งหลังจากที่เข้าไปแล้วก็ยังต้องฟังคำสั่งจากข้าทั้งหมดด้วย”
“ขอยอดเคารพโปรดพูดให้กระจ่างว่าข้าจะต้องทำสิ่งใดบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย มอบสมบัติชั้นยอดระดับนี้ให้กับตน หากไม่มีข้อแลกเปลี่ยนจึงจะเป็นเรื่องแปลก แต่ไม่ว่าอย่างไรหากสามารถเข้าไปยังสถานที่ต้องห้ามในตำนานอย่าง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ ได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าเฉลิมฉลองแล้ว
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 4 เข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ
“จ้าวหิมะเหิน เรื่องที่เจ้าต้องทำนั้นง่ายมาก” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “ตามข้าเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ต่อจากนี้ไปจะทำเรื่องใดก็ต้องฟังที่ข้าจัดการ จะตัดสินเอาเองตามอำเภอใจมิได้ ทว่าเจ้าวางใจได้เต็มที่ ภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษมีสถานที่อันตรายมากมาย ที่ล้วนต้องอาศัย ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’ คุ้มกายเอาไว้! เมื่อพละกำลังภายในไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษถูกเผาผลาญไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ข้าก็จะต้องกลับมา หากไม่สามารถกลับมายังหุบเขาเขี้ยวหักได้ก่อนพลังงานของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษจะเผาผลาญจนสิ้นไป เช่นนั้นก็จะกลับมามิได้อีกแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจ
ทางเดินเขี้ยวอสรพิษนั้นอันตรายหาใดเปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณน้ำวนตรงทางเข้าออก หากอาศัยตนเองก็ไม่มีทางต้านทานได้เลย จะต้องอาศัยพละกำลังที่แฝงอยู่ใน ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’ หรือว่า ‘หยาดน้ำพันเนตร’ เท่านั้น
จะเข้าไปหรือจะออกมา ล้วนแต่ต้องอาศัยพลังทั้งสิ้น
หากระหว่างทางที่ออกมา…พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเผาผลาญจนหมดเสียแล้ว ภายใต้น้ำวนของทางเดิน เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ก็คงจะหาไม่แล้ว
“ดังนั้นขณะที่ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษยังเหลือพละกำลังราวสามส่วน ข้าก็ต้องเดินทางกลับแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่มองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “แต่เจ้านั้นไม่เหมือนกัน เจ้ามีร่างแยกมากมาย เจ้าสามารถบุกฝ่าภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษต่อไปได้ จนกว่าพละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษจะเผาผลาญไปหมด! ต่อให้ร่างแยกร่างหนึ่งของเจ้าไม่กลับมา ก็คงไม่มีผลกระทบใดต่อเจ้าหรอกกระมัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ก่อนข้าจะเดินทางกลับ ทุกสิ่งเจ้าต้องฟังข้า รอให้ข้ากลับไปแล้ว เจ้าก็สามารถไปบุกฝ่าอย่างอิสระได้” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “เงื่อนไขของข้า เจ้าสามารถรับปากได้หรือไม่”
“ฮ่าฮ่า ยอดเคารพยินยอมมอบของล้ำค่าอย่าง ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’ ให้แก่ข้าทั้งที ก็แค่ส่งร่างแยกไปช่วยเท่านั้นเอง สำหรับข้าแล้ว เรื่องพรรค์นี้ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า
ยอดเคารพเฮ่ากู่เผยรอยยิ้มออกมาในทันใด
เขาก็รู้สึกว่าจ้าวหิมะเหินผู้นี้คงจะไม่ปฏิเสธ แต่ก็กลัวว่านิสัยของเขาจะหยิ่งผยองเกินไปจนไม่ยอมฟังการปรับเปลี่ยนใดๆ
“ไม่ทราบว่าต้องการให้ข้าส่งร่างแยกไปสักกี่ร่างหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ร่างแยกร่างเดียวก็ใช้ได้แล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่อธิบาย “ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษสามารถปกป้องร่างแยกได้เพียงร่างเดียวเท่านั้น”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ร่างแยกของตนมีจำนวนนับไม่ถ้วน หากสุดท้ายแล้วร่างแยกร่างหนึ่งจะต้องสูญสิ้นไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
สามารถเข้าไปได้สักรอบหนึ่ง ร้องขอก็ยังไม่ได้มาเลย!
“ก่อนจะมอบไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษให้แก่จ้าวหิมะเหิน ขอเชิญจ้าวหิมะเหินตั้งสัตย์สาบานด้วย” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว สมบัติล้ำค่าอันสูงส่งพรรค์นี้ เขามิกล้าเชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงง่ายๆ
“ได้สิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตั้งสัตย์สามบานขึ้นมาทันที
ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็เบิกบานใจนัก เขารู้ว่า ผู้บำเพ็ญทั้งหลายล้วนให้ความสำคัญกับสัตย์สาบานเป็นอันมาก
……
ทั้งสองฝ่ายตรงไปตรงมาเป็นอันมาก ยอดเคารพเฮ่ากู่เตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งนานแล้ว ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็แค่ส่งร่างแยกออกไปเพียงแค่ร่างเดียวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเตรียมการอันใด วันนั้น พวกเขาทั้งสองก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษ
“ตู้มๆๆ…”
พวกเขาทั้งสองมาถึงบริเวณใกล้กับน้ำวนดำมืดอันน่าหวาดหวั่นของทางเดินเขี้ยวอสรพิษ
แรงฉีกทึ้งของน้ำวนแข็งแกร่งนัก คลื่นสะท้อนและระลอกคลื่นที่ก่อตัวขึ้นมาทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงใจสั่นเล็กน้อย ลำพังแค่เสียงก็ไม่ถึงขั้นนี้ แต่น้ำวนก่อให้เกิดระลอกคลื่นอันไร้รูปร่าง ระลอกคลื่นทะลุผ่านทั้งกายหยาบและวิญญาณ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอดหวาดหวั่นใจขึ้นมามิได้ เขาเงยหน้ามองดูหัวอสรพิษสูงตระหง่านหาใดเปรียบซึ่งมีขนาดใหญ่โตพอๆ กันกับอาณาเขตของรัฐเมฆทักษิณา “สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นซึ่งมีพลังระดับใกล้เคียงกับ ‘หยวน’ ต่อให้สิ้นใจไปไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว อานุภาพบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ก็ยังน่าเหลือเชื่อเช่นนี้! น่ากลัว ช่างน่ากลัวเสียจริง! นอกจากนี้ ตามปกติแล้วหัวอสรพิษก็กินพื้นที่แค่ส่วนเล็กมากของตัวอสรพิษเท่านั้น ต่อให้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนี้มีสัดส่วนร่างกายแตกต่างจากอสรพิษทั่วไปอยู่บ้าง แต่หัวอสรพิษก็ยังคงกินพื้นที่ร่างกายเล็กอย่างยิ่งอยู่ดี ขนาดหัวอสรพิษยังใหญ่โตถึงเพียงนี้ หากร่างกายสมบูรณ์ดี จะใหญ่โตมโหฬารสักแค่ไหนกัน”
หัวอสรพิษก็เทียบได้กับรัฐเมฆทักษิณาแล้ว
ร่างกายจะยาวใหญ่เพียงใด
อย่าได้มองว่า ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ ใหญ่โตกว่ารัฐเมฆทักษิณาตั้งมากมายเลย เพราะนั่นก็เพียงพื้นที่เท่านั้น! ลำพังแค่ความยาวของอาณาเขตรัฐ ก็ไม่กี่เท่าแค่นั้นเอง
ความยาวของร่าง ‘อสรพิษ’ ตัวนี้…เกรงว่าคงจะยาวกว่าอาณาเขตรัฐโบราณคิมหันตวายุมากมายนัก
“นั่นใครน่ะ”
“ยอดเคารพเฮ่ากู่ จ้าวหิมะเหินหรือ”
รอบทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ก็มีผู้เฝ้าดูที่ยอดเคารพทั้งห้าจัดเตรียมเอาไว้ พวกเขาพบตงป๋อเสวี่ยอิงและยอดเคารพเฮ่ากู่อย่างรวดเร็ว
คนหนึ่งคือยอดเคารพ อีกคนหนึ่งคือจ้าวหิมะเหินผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกร ผู้ที่คอยเฝ้าดูอยู่ก็ย่อมมิกล้ามารบกวนเป็นธรรมดา
“ทุกครั้งที่มองดูใกล้ๆ ก็รู้สึกหวาดหวั่นหาใดเปรียบ” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านี้ ร่างกายใหญ่โตเสียจนถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ ส่วนผู้แกร่งกล้าคละถิ่นอย่าง ‘หยวน’ นั้น บำเพ็ญขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ยังตัวเล็กอ่อนแอ ร่างกายของพวกเขาทัดเทียมกับพวกข้า แต่พลังแข็งแกร่งถึงขั้นเหนือกว่าสิ่ง มีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตรงหน้าผู้นี้อยู่บ้าง เมื่อย้อนคิดดู ก็ทั้งอิจฉาและนับถือเขา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ไปเถอะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “อย่ากังวลไปเลย เมื่อเข้าใกล้ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ พละกำลังที่แฝงอยู่ภายในไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็จะถูกกระตุ้นขึ้นเองตามธรรมชาติ”
สวบๆ
ทั้งสองทะยานไปยังน้ำวนดำมืดอย่างรวดเร็ว
เมื่อถลาเข้าไปใกล้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษที่วางเอาไว้ในอ้อมแขนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงพิเศษบางอย่าง ทันใดนั้นไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็เปล่งแสงสีดำรำไรออกมา แสงสีดำล้อมรอบผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ส่วนเหนือผิวกายของยอดเคารพเฮ่ากู่ก็มีแสงสีดำรำไรปรากฏขึ้นมาคุ้มกันเช่นเดียวกัน
“พวกเขาเข้าไปแล้ว”
“ยอดเคารพเฮ่ากู่และจ้าวหิมะเหินเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษกันแล้วหรือ”
ผู้ที่เฝ้าดูอยู่ไกลออกไปต่างก็ตกใจเป็นอันมาก ยอดเคารพเฮ่ากู่เข้าไปก็แล้วไปเถิด แม้แต่จ้าวหิมะเหินก็ยังเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้วหรือ ส่วนผู้เฝ้าดูที่ยอดเคารพอีกสี่คนส่งมา ต่างก็ถ่ายเสียงให้แก่ยอดเคารพซึ่งเป็นเจ้านายตนทันที
ข่าวแพร่ออกไป
ยอดเคารพหลายคนได้ข่าว
“เข้าไปหมดแล้ว จ้าวหิมะเหินก็เข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้วอย่างนั้นหรือ ในเมื่อเข้าไปด้วยกัน เห็นทียอดเคารพเฮ่ากู่คงจะมอบสมบัติชั้นยอดเป็นหลักประกันให้จ้าวหิมะเหินเข้าไป ครั้งนี้ยอดเคารพเฮ่ากู่ จะสำรวจบริเวณทะเลแห่งการรับรู้” ยอดเคารพนภาอสนีได้รับข่าว ก็อดขมวดคิ้วแล้วคาดเดาขึ้นมาเล็กน้อยมิได้
“เจ้าเฮ่ากู่ตัวดี! มีสมบัติชั้นยอดตั้งสองชิ้นเป็นหลักประกัน”
“เขาช่างโชคดีเสียจริง”
ยอดเคารพคนอื่นอีกสี่คนพากันอิจฉา
ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษและหยาดน้ำพันเนตรล้วนได้มายากนัก ได้มาชิ้นหนึ่งก็แล้วไปเถิด แต่จะได้มาสองชิ้นนั้นยากเกินไปแล้ว! เดิมทียอดเคารพเฮ่ากู่ก็มีไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษอยู่เม็ดหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่เขาอยากเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจึงค่อยเข้าไป ไหนเลยจะไปคิดว่าระหว่างนั้น…ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรุ่งโรจน์ขึ้นมาก่อน จากนั้น ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็โชคดีได้ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษมาอีกเม็ดหนึ่ง
ดังนั้น จึงกระตุ้นให้เกิดการเดินทางครั้งนี้ขึ้นมา
ยอดเคารพคนอื่นๆ ก็ได้แต่อิจฉาเท่านั้น
……
“โครมมม…”
รอบด้านมีคลื่นสะท้อนอย่างต่อเนื่อง
เพิ่งจะทะยานเข้าไปกลางน้ำวนอันดำมืด ก็ถูกฉีกทึ้งเสียจนมิอาจควบคุมเค้าร่างได้อีกต่อไป ทำได้เพียงถูกหอบม้วนให้จมดิ่งลงไปกลางน้ำวนเท่านั้น
เคราะห์ดีที่เหนือผิวกายมีแสงสีดำคุ้มกันอยู่ แสงสีดำนี้ดูเหมือนจะเป็นแค่ชั้นบางๆ ชั้นหนึ่ง แต่ต่อให้พลังจากโลกภายนอกฉีกทึ้งทำลายอย่างไร ก็มิอาจทำลายได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ว่า พละกำลังอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ใน ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ ค่อยๆ ถูกเผาผลาญไปเรื่อยๆ
สวบๆ
ยอดเคารพเฮ่ากู่และตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงร่วงดิ่งลงไปกลางทางเดินเขี้ยวอสรพิษอย่างรวดเร็วตามการดูดกลืนและลื่นไหลไปตามคลื่นเท่านั้น
มุ่งหน้าเข้าไปภายในน้ำวน มิติก็บิดเบี้ยวและแหลกสลายกลายเป็นผุยผง รวดเร็วยิ่งนัก
แต่ภายในปากกว้างดุจแอ่งโลหิตของอสรพิษตัวนี้ใหญ่โตเกินไปแล้วจริงๆ เพราะถึงอย่างไรทั้งหัวอสรพิษก็ใหญ่โตจนเทียบได้กับอาณาเขตของรัฐเมฆทักษิณา ลำพังแค่ถูกหอบม้วนแล้วบินร่อนไป คงเอาไว้กว่าครึ่งชั่วยาม แรงฉีกทึ้งของน้ำวนรอบด้านจึงจะลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ยอดเคารพเฮ่ากู่และตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็สามารถควบคุมเค้าร่างได้
“ตอนนี้พวกเราอยู่ในปากอสรพิษอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูรอบด้าน เพียงแวบเดียวก็เห็นเขี้ยวอสรพิษขนาดมหึมาที่อยู่ไกลออกไปซี่นั้น
เขี้ยวอสรพิษแผ่กลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงออกมา
“อย่ารั้งอยู่ที่นี่เลย ลมที่นี่ทำให้พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษถูกเผาผลาญไป” ยอดเคารพเฮ่ากู่เร่งเร้า “มุ่งหน้าต่อไปเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า อันที่จริงแล้ว อานุภาพน้ำวนลดต่ำลง บัดนี้ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเผาผลาญน้อยมากแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่ายอดเคารพเฮ่ากู่ให้ความสำคัญกับพละกำลังแต่ละสายมากทีเดียว
สวบ สวบ!!
ยอดเคารพเฮ่ากู่พาตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานไปในปากอสรพิษอันกว้างขวางด้วยความเร็วสูงพร้อมกัน
พวกเขาบินไปนานสองนาน จึงสามารถบินผ่านเขี้ยวอสรพิษขนาดมหึมาซี่หนึ่งไปได้ ฟันหักซี่หนึ่งยังสูงกว่ายอดเขาบนดินแดนจิตโลกาตั้งมากมาย
“พวกเราจะไปไหนกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“เจ้าสนใจแค่ตามข้ามาก็พอ ถึงเมื่อไหร่เจ้าก็จะรู้เองนั่นแหละ” ยอดเคารพเฮ่ากู่ยิ้มน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าเขาคุ้นเคยดีมาก เมื่อเคยมาหลายครั้งแล้ว เขาก็ไม่อยากเสียพลังไปอีกสักสายเมื่ออยู่กลางทาง เขาพาตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานไปด้วยความเร็วสูงไปตลอดทาง
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 5 ทะเลแห่งการรับรู้ของอสรพิษ
เขี้ยวอสรพิษแต่ละซี่ล้วนแต่สูงตระหง่านราวขุนเขา แผ่กลิ่นอายสังหารอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดความเกรงกลัวด้วยสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต
นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก เดิมทีเขี้ยวอสรพิษก็เป็น ‘อาวุธ’ ซึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นใช้ต่อกรกับศัตรูอยู่แล้ว อย่าง ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ เหตุใดจึงได้ชื่อว่าเขี้ยวหักเล่า ก็เพราะว่าเทือกเขาอันยิ่งใหญ่นี้ มีฟันที่หักอยู่ซี่หนึ่ง และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของดินแดนจิตโลกา! ตำนานกล่าวไว้ว่า บนยอดเขาซึ่งมีฟันที่หักอยู่นี้…ก็คือฟันซี่ที่ทำให้ ‘หยวน’ บาดเจ็บนั่นเอง หยวนจึงจงใจทำเช่นนี้
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบความเปลี่ยนแปลง
เขาบินไปด้วยความเร็วสูงภายใต้การนำทางของยอดเคารพเฮ่ากู่ ได้ผ่านเขี้ยวอสรพิษไปแปดซี่แล้ว! เขี้ยวอสรพิษอยู่ทางซ้าย เมื่อทอดสายตามองไปก็จะเห็นเป็นสองแถวด้วยกัน ทางขวาก็มีสองแถวด้วยกัน!
หรือกล่าวได้ว่า ภายในปากของอสรพิษตัวนี้ มีเขี้ยวอสรพิษทั้งหมดสี่แถวด้วยกัน
บัดนี้เพิ่งบินผ่านไปแปดซี่เท่านั้น จะเห็นได้ว่าช้ามาก
“เฮ้อ ฟันแปดซี่ก่อนหน้านี้ล้วนแผ่กลิ่นอายดำมืดที่ชวนให้คนประหวั่นใจออกมา ส่วนเขี้ยวอสรพิษตรงหน้านี้ กลับให้ความรู้สึกคมกล้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูด้วยความงุนงง เขาทอดสายตามองออกไปยังฟันมหึมาสูงตระหง่านซี่หนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ฟันที่อยู่ถัดออกไปจากนั้นอีก ก็มีรูปร่างฟันที่คมยิ่งขึ้น กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกไปก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
……
เมื่อบินไปเรื่อยๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พบว่า ทุกๆ แปดซี่ กลิ่นอายของฟันก็จะเปลี่ยนแปลงไปครั้งหนึ่ง ฟันบางซี่ยังถึงขั้นมีรูปร่างเปลี่ยนแปลงไปด้วย
บินมานานแสนนาน
เขี้ยวอสรพิษที่ได้เห็นก็เกินกว่าแปดสิบซี่แล้ว
“นั่นมันอะไรน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย เขี้ยวอสรพิษสีดำอันสูงตระหง่านที่ผุดขึ้นมาใหม่ไกลออกไปกลับมีรอยแยกมิติจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นโดยรอบ “วิถีอากาศหรือ”
เขาสัมผัสได้ว่า
เขี้ยวอสรพิษที่ผุดขึ้นมาใหม่นี้ แฝงไว้ด้วยการใช้วิถีอากาศเป็นรากฐานเป็นหลัก ทั้งยังมีระดับขั้นสูงกว่าด้วย
เพียงครู่เดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกคันยุบยิบในใจ เขาอยากจะเข้าไปดู เข้าไปสำรวจใกล้ๆ เสียหน่อย!
“จ้าวหิมะเหิน ข้ารู้ว่าวิถีอากาศของเจ้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่ที่อยู่ข้างๆ เหลือบมองออกไปไกลแวบหนึ่ง เขาถ่ายเสียงพูดว่า “เขี้ยวอสรพิษแปดซี่นี้มีความเร้นลับของวิถีอากาศแฝงเอาไว้มากมายอย่างแท้จริง และมีโอกาสมากมายแฝงเอาไว้ภายในด้วย แต่การจะเข้าไปบุกฝ่านั้นต้องเผาผลาญพลังงานของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ เจ้าไปกับข้าเสียโดยดีเถิด รอข้ากลับไปแล้ว เจ้าค่อยมาใหม่ก็ยังไม่สาย”
“วางใจเถิด ในเมื่อข้ากับท่านสัญญากันแล้ว ข้าเองก็ตั้งสัตย์สาบานแล้ว ข้าก็ย่อมไม่ฝ่าฝืนอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“จ้าวท่านเข้าใจก็ดีแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่มิได้พูดให้มากความอีกต่อไป อันที่จริงเขาเข้าใจดีอยู่แล้ว ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง โอกาสภายในทางเดินเขี้ยวอสรพิษนั้นหมายความว่าอะไร ดังนั้นจึงจงใจเตือนไว้
เขาไม่สามารถสิ้นเปลืองพละกำลังอีกสายหนึ่งเพิ่มเพื่อตงป๋อเสวี่ยอิงได้
“เขี้ยวอสรพิษอากาศแปดอัน”
“นี่ช่าง…”
ระหว่างที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบินไปนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกคันไม้คันมือไปหมด แม้จะมองดูอยู่ไกลๆ เขาก็ยังสัมผัสรับรู้ได้รางๆ “รอให้อยู่เป็นเพื่อนยอดเคารพเฮ่ากู่เสร็จแล้ว ข้าจะต้องมาสำรวจที่นี่สักตั้งอย่างแน่นอน”
สวบๆ
ทั้งสองบินเหินไปอย่างต่อเนื่อง
ลำพังแค่เขี้ยวอสรพิษที่สามารถมองเห็นได้ก็บินผ่านมาถึงหนึ่งร้อยยี่สิบซี่แล้ว โดยไม่นับเขี้ยวอสรพิษ ที่อยู่ในน้ำวนอันดำมืดที่มองเห็นได้ไม่ชัดเหล่านั้น ในที่สุดเส้นทางการบินเหินของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงทางแยก
ทางแยกสายหนึ่งตรงต่อไปข้างหน้า ส่วนอีกสายหนึ่งขึ้นไปข้างบน
“ไปตามทางนี้”
ทางเดินกว้างขวาง
และยิ่งสงบขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งก็มีพายุคลั่งพัดผ่านมาบ้าง จึงทำให้พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเหนือผิวกายของพวกเขาถูกเผาผลาญไปบ้างเล็กน้อย
ยอดเคารพเฮ่ากู่และตงป๋อเสวี่ยอิงบินตรงขึ้นไปด้านบน ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามขึ้นว่า “ยอดเคารพ ตอนที่พวกเราเข้ามา พละกำลังของน้ำวนอันดำมืดนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก จนพวกเรามิอาจควบคุมเค้าร่างได้เลย ทั้งยังมิอาจบินเหินไปได้อีกด้วย ทำได้เพียงเข้ามาตามทางเท่านั้นเช่นนั้นตอนออกไปควรจะออกไปอย่างไรเล่า พวกเรามิอาจต้านน้ำวนออกไปได้หรอกกระมัง”
“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่ามิอาจต้านน้ำวนออกไปได้อยู่แล้ว น้ำวนอันดำมืดเป็นทางเข้า พวกเราเข้ามาทางปากของอสรพิษ แต่ตอนออกไปกลับต้องออกไปตามทางเดินตรงรูจมูกของอสรพิษ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ “ในปากของเขี้ยวอสรพิษนั้นก่อตัวเป็นน้ำวนดูดกลืนลงไป แต่รูจมูกกลับมีลมหายใจที่พ่นออกไปภายนอก เพียงแต่อานุภาพถูกน้ำวนอันดำมืดบดบังเอาไว้ก็เท่านั้น”
“ที่แท้แล้วเป็นเช่นนี้เอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“สำหรับจ้าวหิมะเหินแล้ว เกรงว่าคงไม่จำเป็นต้องออกไปอีกแล้วล่ะ” ยอดเคารพเฮ่ากู่พูดยิ้มๆ “นอกเสียจากจะได้สมบัติล้ำค่าอะไรบางอย่างแล้วอยากจะนำออกไป”
……
ทางเดินก็คือเส้นเลือดต่างๆ ที่ก่อตัวขึ้นภายในหัวอสรพิษ กลางทางเดินก็มีทางแยกมากมาย
แน่นอนว่า ‘จุดเชื่อมต่อ’ มากมายกลับมั่นคงมาก ถึงขั้นมีสถานที่หลายแห่งที่ไม่มีระลอกพายุคลั่งเลย หากรอคอยอยู่ตรงนั้น พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็ไม่ถูกเผาผลาญแต่อย่างใด!
เมื่อทางเดินค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ และบินทะยานมาเป็นเวลานานเกินไปแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถามขึ้นอย่างอดมิได้ว่า “ที่แท้แล้วพวกเราจะบินไปที่ใดกันแน่”
“ใกล้ถึงแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่ยิ้ม “อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง อย่าตกใจนักล่ะ”
“ตกใจหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทำได้เพียงข่มความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้
แม้ทางเดินจะค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ แต่กลับยังคงกว้างถึงร้อยล้านลี้ เพียงแต่เมื่อเทียบกับความใหญ่โตของ ‘หัวอสรพิษ’ นี่ก็นับว่ายิบย่อยมากแล้ว
“นั่นมัน…”
ตรงหน้าคือผนังเยื่อสีแดงโลหิตขนาดมหึมา บดบังเส้นทางตรงหน้าเอาไว้
กล่าวว่าเป็นผนังเยื่อสีแดงโลหิต แต่อันที่จริงแล้วก็มีลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่ ราวกับม่านน้ำตกสีแดงโลหิตขนาดมหึมาอย่างไรอย่างนั้น
“ทะลุผ่านไป!” ยอดเคารพเฮ่ากู่ตื่นเต้นอยู่บ้าง
สวบๆ
ทั้งสองทะลุผ่านผนังเยื่อสีแดงโลหิตนั้นไปพร้อมกัน
ผนังเยื่อสีแดงโลหิตมิได้ขัดขวางแต่อย่างใด เพียงแต่มีพละกำลังพิเศษบางอย่างวาบผ่านร่างของตนไป พิเศษมาก ผนังเยื่อสีแดงโลหิตนั้นหนามาก บินผ่านไปหลายชั่วลมหายใจจึงทะลุผ่านไปได้ในที่สุด
“ถึงแล้ว!” ยอดเคารพเฮ่ากู่หัวเราะพลางหยุดลง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง
ตรงหน้าคือมิติกว้างใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งภายในมีทางเดินเส้นเลือดซึ่งแผ่รัศมีอันอบอุ่นสายแล้วสายเล่าออกมา! ทางเดินเส้นเลือดเหล่านี้พันพาดกัน และมีกลุ่มแสงมหึมาหลายร้อยกลุ่มกระจายตัวกันอยู่ภายในมิตินี้ กลุ่มแสงแต่ละกลุ่มล้วนมีทางเดินเส้นเลือดเส้นหนึ่งเชื่อมต่อเอาไว้ แม้กลุ่มแสงจะใหญ่โตมาก แต่ขนาดก็ยังคงเล็กใหญ่ต่างกันอยู่ดี
“นี่คือที่ไหนน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสงสัย ตามเส้นทางที่บินมา เขาก็วิเคราะห์ออกมาว่า “สมองของอสรพิษหรือ”
“สมองอสรพิษใหญ่กว่าที่นี่มากนัก หากพูดให้ถูกต้อง ควรจะเรียกว่าเป็นทะเลแห่งการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนี่ต่างหาก” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว
“ทะเลแห่งการรับรู้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง
ทะเลแห่งการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งคือส่วนที่พิเศษที่สุด
“ไป มุ่งหน้าไปยังกลุ่มแสงแรกกันก่อน” ยอดเคารพเฮ่ากู่เต็มไปด้วยความรอคอย เขาพาตงป๋อเสวี่ยอิงบินมุ่งหน้าต่อไป
ทางเดินเส้นเลือดของทะเลแห่งการรับรู้เล็กละเอียดขึ้นเรื่อยๆ แม้เส้นทางที่พวกเขาโบยบินไปจะเป็นเส้นที่กว้างที่สุดแล้ว แต่กลับกว้างแค่ล้านลี้เท่านั้น ทางเดินเส้นเลือดก็พันพาดกันและมีจุดเชื่อมต่อเช่นกัน ตรง ‘จุดเชื่อมต่อ’ กลับสงบเงียบมาก ไม่มี ‘พายุดำ’ ใดๆ รุกราน! ใช่แล้ว ภายในทะเลแห่งการรับรู้ ก็ยังคงมีพายุดำพัดหวีดหวิว รุกล้ำร่างกายของพวกตงป๋อเสวี่ยอิง
บินเหินไปครู่หนึ่ง
ยอดเคารพเฮ่ากู่จึงหยุดลงตรงจุดเชื่อมต่อแห่งหนึ่งก่อนจะชี้ไปยังกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป “ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้ามุ่งหน้าต่อไป เข้าไปในกลุ่มแสงนั้น ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงที่กลุ่มแสงนั้นเพรียกหาข้า เป็นแรงดึงดูดชีวิตข้า! แต่ว่าภายในทะเลแห่งการรับรู้ของอสรพิษ กลุ่มแสงแต่ละกลุ่มล้วนมีแรงกดดันวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งแรงกดดันก็มีทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่ง ข้ามิอาจเข้าไปในกลุ่มแสงตรงหน้ากลุ่มนี้ได้เลย! ระดับขั้นอานุภาพกดดันของมันเทียบเท่ากับทะเลสาบใบไม้ดำ คิดว่าเจ้าจะต้องเข้าไปได้แน่”
“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา
กลุ่มแสงภายในทะเลแห่งการรับรู้ ล้วนแต่มีแรงกดดันวิญญาณอยู่อย่างนั้นหรือ
มิน่าเล่า มิน่าเล่าจึงให้ตนมาด้วย
“จำเอาไว้ว่าสัตย์สาบานของเจ้ากล่าวเอาไว้ว่า ทั้งหมดจะฟังที่ข้ากำชับ” ยอดเคารพเฮ่ากู่กล่าว “หลังจากเจ้าเข้าไปแล้ว หากพบสิ่งที่สามารถนำออกมาได้ ก็นำออกมาให้ข้าให้หมด หากเก็บซ่อนอะไรเอาไว้ หรือมิได้พยายามนำออกมาอย่างสุดกำลังแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็จะเป็นการฝ่าฝืนสัตย์สาบาน”
ยอดเคารพเฮ่ากู่ตักเตือนอีกครั้ง
เขาส่งไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษเม็ดหนึ่งให้ตงป๋อเสวี่ยอิง เพื่อให้เขาช่วยเหลือ
“ได้ ยอดเคารพวางใจได้เต็มที่ ถึงตอนที่ข้าออกมา ท่านสามารถค้นตัวได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ล้อเล่นหรือ ก็แค่ของนอกกายเท่านั้น จะทำให้เขาฝ่าฝืนสัตย์สาบานได้อย่างไรกัน ต่อให้เป็นอาวุธเทพคละถิ่น ก็ไม่มีคุณสมบัติพอให้เขาฝ่าฝืนสัตย์สาบานได้ เพราะถึงอย่างไรหากฝ่าฝืน เกรงว่าเส้นทางการบำเพ็ญก็คงจะถูกตัดขาดไป
ฟิ้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานมุ่งหน้าไปยังกลุ่มแสงตรงหน้า ตามทางเดินเส้นเลือดที่เล็กลงเรื่อยๆ
“ฟิ้วๆๆ” พายุดำก็พัดหวีดหวิวลงบนร่าง แสงสีดำชั้นหนึ่งเหนือผิวกายสกัดกั้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็ถูกเผาผลาญไปช้าอย่างยิ่ง
“เอ๊ะ” เมื่อห่างออกไปเพียงล้านลี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันวิญญาณ เมื่อบินเข้าไปใกล้ แรงกดดันวิญญาณนี้ก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะดูสิว่า ที่แท้แล้วภายในกลุ่มแสงนี้คืออะไรกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงบินไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
ภาคที่ 37 บนเส้นทาง...
ตอนที่ 6 เศษเสี้ยวโลก
“อานุภาพกดดันแข็งแกร่งนัก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าเลียบทางเดินไป กลุ่มแสงก็ดูใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อานุภาพกดดันทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทนรับได้ยากนัก
ยอดเคารพเฮ่ากู่ยืนอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของทางเดินเส้นเลือดพลางมองดูด้วยความตื่นเต้น “ต้องเข้าไป ต้องเข้าไปให้ได้ ในบรรดากลุ่มแสงมิติมากมายภายในทะเลแห่งการรับรู้ นี่คือกลุ่มแสงที่มีเสียงเพรียกร้องข้าแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”
ครั้งนี้เขาเสีย ‘ไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ’ ไปเม็ดหนึ่งเพื่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้ามา กลุ่มแสงมิติตรงหน้านี้ก็คือเป้าหมายหลักที่สุดแล้ว
“เข้าไปแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่เผยสีหน้ายินดีออกมา
……
ฟิ้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานเข้าไปในกลุ่มแสงมิติขนาดมหึมา
“กลุ่มแสงมิตินี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าตกใจ กลุ่มแสงมิตินี้มีขอบเขตหลายพันล้านลี้ ภายในกลับมีเศษเสี้ยวโลกหลายเสี้ยวลอยคว้างอยู่ เมื่อทอดสายตามองไป ก็มีเศษเสี้ยวโลกซึ่งดูเหมือนกับ ‘กระดาษขนาดมหึมา’ ถึงเจ็ดแผ่นด้วยกัน ภายในเศษเสี้ยวโลกแต่ละชิ้นล้วนมีต้นกำเนิดอันร้อนระอุที่น่าหวาดหวั่น
ภายในเศษเสี้ยวโลกทั้งเจ็ด แต่ละเสี้ยวล้วนมีวัตถุที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดอยู่
มีกริชสีดำอยู่ด้วย เศษเสี้ยวโลก!
และมีเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มอันลุกโชนกลุ่มหนึ่ง เศษเสี้ยวโลกก่อตัวขึ้นโดยมีเปลวเพลิงสีน้ำเงินเข้มเป็นศูนย์กลาง
“ไปอันไหนดีล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงวิกฤตที่แฝงเอาไว้ในเศษเสี้ยวโลกเหล่านี้
“อื้ม”
“อันที่มีกริชสีดำก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตัดสินใจขึ้นมาทันที นี่เป็นเศษเสี้ยวโลกเพียงหนึ่งเดียวในเจ็ดเสี้ยวที่มีอาวุธเป็นต้นกำเนิด!
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงทะยานไปทางเศษเสี้ยวโลกนั้น เมื่อมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ ‘เศษเสี้ยวโลก’ ซึ่งมีรูปร่างเหมือนแผ่นกระดาษขนาดมหึมาก็ดูดเขาเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“เข้ามาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ว่าภาพตรงหน้าเลือนรางไป แล้วเขาก็ยืนอยู่กลางทุ่งร้างขนาดมหึมา กลางทุ่งร้างมีทหารเกราะดำยืนอยู่แน่นขนัดไปหมด ส่วนตรงกลางสุดของทุ่งร้างกลับมีบัลลังก์สูงตระหง่านราวขุนเขาตั้งอยู่ บนบัลลังก์นั้นมีเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำร่างหนึ่งนั่งอยู่ ในมือกำลังถือกริชสีดำเล่มนั้นพลิกเล่นไปมา นัยน์ตาทั้งคู่เหลือบมองตงป๋อเสวี่ยอิงไกลๆ แวบหนึ่ง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงอานุภาพกดดันอันทำให้ต้องหยุดหายใจ
“ฆ่ามัน” เดิมทีทหารเกราะดำทั้งหมดยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับหุ่นอย่างไรอย่างนั้น แต่หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึง ทหารเกราะดำทั้งหมดก็พากันมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
บรรดาทหารเกราะดำกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงเข้ามาราวกับสายน้ำที่ทะลักล้น
ลำแสงปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน โอบล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้จากทุกทิศทุกทาง
“ทำลาย!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางทุ่งร้าง เผชิญหน้ากับทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วน เขาสำแดงท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียมออกมาทันที
ตู้มมม…
เขตลวงพลันปกคลุมลงไป ปกคลุมทั่วทุกบริเวณของเศษเสี้ยวโลกรวมทั้งบนบัลลังก์นั้นด้วย เขตลวงโจมตีทหารเกราะดำตนแล้วตนเล่า กระบวนท่านี้ให้ผลดียิ่งนัก ทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันสลายไปราวกับฟองอากาศที่แตกออก ในชั่วพริบตาเดียว นอกจากตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว บนทุ่งร้างก็เหลือเงาร่างเพียงสิบสามสายเท่านั้น
นอกจากเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แล้ว เบื้องล่างยังมีพลทหารเกราะดำร่างสูงใหญ่อีกสิบสองนายที่ยังคงสมบูรณ์ดีอยู่
“สวบๆๆ…” พลทหารสิบสองคนที่สามารถต้านทานเขตลวงได้แข็งแกร่งกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาล้อมโจมตีเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“ปังๆๆ”
พวกเขาต่างก็ถือกริชเข้ามาลอบโจมตีอย่างแปลกพิสดารยากเกินคาดเดา ถึงขั้นเหนือกว่าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะสามารถเข้าใจได้ วิธีการต้านทานของเขาไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย กริชเหล่านั้นทะลุผ่านการป้องกันของเขาแล้วโจมตีลงบนร่างราวกับเงารางอย่างไรอย่างนั้น ทว่าแสงสีดำรำไรที่คุ้มกันอยู่เหนือผิวกายกลับต้านทานการลอบโจมตีเหล่านี้เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
“เกรงว่าต่อให้เป็นยอดเคารพมาเอง ลำพังแค่อาศัยพลังของตน ก็คงต้านทานเอาไว้มิได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
ในขณะนั้นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า บนทุ่งร้างไกลออกไปมีทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำลายไปแล้วก็ปรากฏขึ้นมาใหม่อีกอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบสำแดงวิถีกายออกมา วิถีกายของยอดฝีมือทางด้านวิถีอากาศก็เยี่ยมยอดมาก ทหารเกราะดำสิบสองนายมีกระบวนท่าโจมตีอันแข็งแกร่งและพิสดารอย่างเห็นได้ชัด แต่วิถีกายกลับทึ่มทื่อกว่าอย่างชัดเจน
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงไปพลาง กวาดล้างทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนไปพลาง
และอาศัยวิถีกายพุ่งทะยานไปทางเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำบนบัลลังก์ผู้นั้น เพราะถึงอย่างไรเป้าหมายก็คือ ‘กริชสีดำ’ ที่เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำถือเล่นอยู่ในมือ พละกำลังที่แผ่ออกมาจากกริชสีดำเล่มนั้นยิ่งใหญ่ น่าจะเป็นต้นกำเนิดของเศษเสี้ยวโลกนี้
สวบ
บรรดาทหารเกราะดำสลายไปราวกับฟองอากาศที่แตกออก จากนั้นก็ถือกำเนิดขึ้นใหม่อีก! ส่วนทหารเกราะดำเหล่านั้นก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงสะบัดออกไปอย่างต่อเนื่อง ขัดขวางเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อาศัยแสงสีดำคุ้มกายนั้นฝืนต้านทานเอาไว้
“เอามา” ตงป๋อเสวี่ยอิงบีบเข้าไปใกล้บัลลังก์ เงาร่างราวกับภูตผีปีศาจปรากฏขึ้นนับพันนับหมื่นร่าง เงาร่างแต่ละร่างก่อตัวเป็นจริงขึ้นมา เพียงแต่มีมิติในระดับชั้นที่แตกต่างกัน เงาร่างนับพันนับหมื่นพุ่งตรงไปทางบัลลังก์พร้อมกัน
“ตู้ม”
เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำเล่นกริชในมือ เขากวัดแกว่งกริชสีดำพลางยิ้มเย็นออกมาในที่สุด
แคว่กก…
กริชหนึ่งวาดผ่านตงป๋อเสวี่ยอิงไป
“ตู้ม!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าสติรับรู้อื้ออึงไปหมด รอจนได้สติกลับคืนมา กลับพบว่าร่างกายอยู่นอกเศษเสี้ยวโลกนั้นแล้ว กระบวนท่านั้นกระแทกเขาออกมาเสียแล้ว!
“ข้าออกมาแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับเปลี่ยนแปลงไป “กระบวนท่านั้นเผาผลาญพละกำลังไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษของข้าไปมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
แม้เมื่อกริชนั้นโจมตี อาศัยแสงสีดำคุ้มกายจะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่กลับเผาผลาญมากมายยิ่งนัก ราวร้อยละหนึ่งของพละกำลังทั้งหมดภายในไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษ
เขามองดูเศษเสี้ยวโลกตรงหน้าเสี้ยวนั้น
เศษเสี้ยวโลกยังคงเลือนรางไปหมด มองเห็นได้เพียงต้นกำเนิดซึ่งสะดุดตาที่สุดของทั้งเศษเสี้ยวโลก…กริชสีดำเล่มนั้นนั่นเอง! ส่วนทหาร นายพลและเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำเหล่านั้น กลับมองได้ไม่ชัดเจนจากโลกภายนอก
“ทหารพวกนั้นมันอะไรกัน ทำลายไปตั้งหลายครั้งก็ยังคงเกิดขึ้นมาใหม่ เงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำก็แข็งแกร่งเสียจนเกินจริง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ ทว่าก่อนที่จะเข้ามา ยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ได้เตือนเอาไว้ว่า ภายในกลุ่มแสงมิติของทะเลแห่งการรับรู้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ขอเพียงเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถนำวัตถุออกมาได้สำเร็จ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลแล้ว
“เข้าไปอีกสักครั้ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลองเข้าไปภายในเศษเสี้ยวโลกกริชสีดำนั้นอีกครั้ง
โครม…
เมื่อเขาเข้าไปในโลก แล้วร่อนลงบนทุ่งร้างอีกครั้ง ตรงหน้าก็ยังคงมีทหารเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา ไกลออกไปยังคงมีบัลลังก์สูงตระหง่านดุจขุนเขาซึ่งด้านบนมีเงาร่างสวมเสื้อเกราะกันลมสีดำที่ถือ ‘กริชสีดำ’ เล่นอยู่ ราวกับทุกสิ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาก่อน
ดังนั้นสายตาของเงาร่างมากมายที่จับจ้องร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น ก็กำลังจะเปิดฉากรุกเข้ามาอีกอย่างเห็นได้ชัด
“ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงเลือกที่จะปล่อยไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ด้วยผลสำเร็จทางด้านอากาศของเขา จึงสามารถจากเศษเสี้ยวโลกนี้ไปได้อย่างง่ายดาย
……
“เศษเสี้ยวโลกกริชสีดำอันตรายเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังเศษเสี้ยวโลกอีกหกแห่งที่เหลือ
สายตาของเขาหยุดลงที่เศษเสี้ยวโลกขนาดมหึมาแห่งหนึ่งในจำนวนนั้น ต้นกำเนิดของเศษเสี้ยวโลก แห่งนี้คือ ‘ขนนกสีแดงเพลิงหนึ่งก้าน’ ตงป๋อเสวี่ยอิงลองคาดคะเนดูว่า เมื่อเทียบกันแล้วอาจจะง่ายกว่าอยู่บ้างก็เป็นได้กระมัง
เขาตัดสินใจโดยอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ
สวบ
เขาทะยานตรงไปทางเศษเสี้ยวโลกขนนกสีแดงเพลิงนี้ แล้วถูกดูดเข้าไปอีกครั้ง
ที่นี่ก็เป็นโลกที่บกพร่องเช่นกัน พรมแดนโลกเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ตรงกลางโลกคือต้นไม้ขนาดมหึมาต้นหนึ่ง ซึ่งบนยอดสุดของต้นไม้มีขนนกสีแดงเพลิงหนึ่งก้านลอยคว้างอยู่ รอบด้านมีสัตว์ปีกสามตัวบินรายล้อมอยู่ บนต้นไม้ขนาดมหึมาต้นนั้นก็มีสัตว์ปีกและนกน้อยมากมายหยุดพักผ่อนอยู่
ชั่วขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปนั่นเอง สัตว์ปีกทั้งมวลก็หันมามองตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกัน นัยน์ตาของพวกมันฉายแววโหดเหี้ยมและแค้นเคือง
ชั่วพริบตาเดียว เสียงกรีดร้องอันแสบเก้าหูดังก้องขึ้นมา
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทรกซึมเข้ามา ก็ทำให้แสงสีดำรำไรเหนือผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านน้อยๆ พละกำลังของไข่มุกไขกระดูกเขี้ยวอสรพิษก็กำลังได้รับความเสียหาย
“ทำลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเขตลวงโลกเทียมออกมาปกคลุมโลกอันบกพร่องนี้เอาไว้ทันที ภายใต้เขตลวง สัตว์ปีกจำพวกนกจำนวนนับไม่ถ้วนบนต้นไม้ต้นนั้นต่างก็หายวับไปเสียงดังพึ่บพั่บ เหลือเพียงสัตว์ปีกที่มีอานุภาพแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัดซึ่งกำลังบินอยู่รอบ ‘ขนนกสีแดงเพลิง’ ที่ยังคงอยู่
“เหลือสัตว์ปีกแค่สามตัวแล้ว ขนนกนี่ก็ไม่มีผู้ใดควบคุมหรอกกระมัง ดูท่าแล้วคงจะง่ายกว่าเศษเสี้ยวโลกกริชสีดำนั่นอยู่เล็กน้อยกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบร่ำร้องในใจ อย่างน้อยเศษเสี้ยวโลกนั้น สิ่งมีชีวิตที่สามารถคงอยู่ต่อภายใต้เขตลวงของเขานั้นมีถึงสิบสามคนด้วยกัน เศษเสี้ยวโลกนี้เหมือนจะอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง
……………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น