Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 36 ตอนที่ 56-59
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 56 ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่ง...
ปัง! ปัง! ปัง!
ทันใดนั้น บริเวณที่ตงป๋อเสวี่ยอิงประมือกับราชันย์อนธการอมตะก็มีระลอกคลื่นโจมตีปะทะเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากทุกทิศทุกทาง! ส่วนบริเวณตรงใจกลางสุดที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่ก็ยิ่งแหลกละเอียดและสับสนอลหม่านวุ่นวายไปหมด เมื่อถึงระดับอย่างพวกเขาแล้ว ประมือกันรวดเร็วเพียงใด พวกเขาออกท่าไม้ตายออกมาอย่างบ้าคลั่งหลายสิบกระบวนท่าในชั่วพริบตาเดียว ผู้ที่มีพลังอ่อนแอนั้นมิอาจชมการต่อสู้ให้ชัดเจนได้เลย
แต่ผู้ที่ชมการต่อสู้อยู่ในขณะนี้ ล้วนแต่เป็นเหล่าผู้แกร่งกล้าระดับยอดของดินแดนจิตโลกา พวกเขามองออกว่า ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ เป็นฝ่ายตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด! ร่างกายก็ประสบกับการโจมตีอันแสนสาหัสอย่างต่อเนื่อง!
ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว!
‘จ้าวหิมะเหิน’ ครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง ส่วนผู้ที่น่าอนาถก็คือ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’
“ห้ำหั่นกันซึ่งหน้าก็ไม่มีโอกาสเลยแม้แต่นิดเดียว” ราชันย์อนธการอมตะพลันร้องคำรามขึ้นมา
แฮ่!
ร่างกายของเขาพลันมีเงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งผุดขึ้นมา นี่คือสิงโตจำแลงตัวเขื่องซึ่งบดบังท้องฟ้าเอาไว้ ความแข็งแกร่งของอานุภาพทำให้สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองสิงโตจำแลงตัวนี้ “นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน อยู่ในดินแดนจิตโลกาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ เป็นกระบวนท่าที่ราชันย์อนธการอมตะใช้เหยียบย่างลงบนเส้นทางของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหรือ”
สิงโตจำแลงขนาดมหึมาอ้าปากเขมือบลงไป
ฟ้าดินดับมืด
ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกกลืนลงไปโดยไม่มีที่ให้หลบหลีก
ชั่วขณะที่ถูกกลืนลงไปนั่นเอง ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าระลอกความชั่วร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีวิญญาณของตน เพียงแต่ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่เดินไปถึงระดับยอดสุดบนเส้นทางวิญญาณของโลกกำเนิดทั้งหลาย จึงย่อมป้องกันได้อย่างไม่บกพร่องเลยแม้แต่น้อย ‘โลกเขตลวง’ ที่พลังวิญญาณของเขาสร้างขึ้นมาได้โอบล้อมและสลายการโจมตีทั้งปวง ความคิดที่เต็มไปด้วย ‘ความเคียดแค้น’ ‘ความตาย’ และ ‘การห้ำหั่น’ ถูกหลอมแปรอย่างต่อเนื่อง
“ปัง!” ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีสติแจ่มแจ้งนัก เขาไม่หยุดลงเลยแม้แต่น้อย หอกยาวกวัดแกว่ง แล้วพุ่งทะยานออกจากสิงโตจำแลงที่กำลังอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็วตัวนี้
“ไม่มีผลกระทบเลยจริงๆ ด้วย” ราชันย์อนธการอมตะเห็นเข้าสีหน้าก็ไม่น่ามองขึ้นมาทันที เดิมทีเขาบำเพ็ญเส้นทางมรณะจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว ตอนที่โจมตีไปบนเส้นทางสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้น ก็เคยได้พบกับผู้แกร่งกล้าจากอารยธรรมอื่นที่บรรลุถึงระดับขั้นที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ผู้แกร่งกล้าผู้นั้นก็เชี่ยวชาญการควบคุมความตาย หลังจากสิ้นใจไป สมบัติล้ำค่าบางส่วนก็ตกมาอยู่ในมือราชันย์อนธการอมตะ ราชันย์อนธการอมตะอาศัยระดับขั้นของตนทำความเข้าใจและควบคุม ก็นับว่าเป็นท่าไม้ตายหนึ่งแล้ว
“กระบวนท่าเหล่านี้ไม่มีประโยชน์กับข้าหรอก” หอกยาวอันยิ่งใหญ่ของตงป๋อเสวี่ยอิงแฝงไว้ด้วยอานุภาพอันไร้ที่สิ้นสุดกดดันเข้ามา
……
ทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกัน ความแข็งแกร่งและอ่อนแอก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนั้นราชันย์อนธการอมตะช่วงชิงกับผู้แกร่งกล้าหลากอารยธรรม กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือผู้ท่องมรณะ รองลงมาก็คือ ‘หัวใจเปลวทอง’ แน่นอนว่ากระบวนท่าอย่าง ‘สิงโตทิพย์คำสาปพิฆาต’ และอื่นๆ นั้น ก็ลดความสำคัญลงทุกทีๆ
ผู้ท่องมรณะวางมือตั้งนานแล้วเพื่อหนีกลับบ้านเกิด
โลหิตจากหัวใจเปลวทองแผดเผาอย่างต่อเนื่องจนหายไปกว่าครึ่งแล้ว! นอกจากนี้การห้ำหั่นซึ่งหน้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่มีข้อด้อยเลยแม้แต่น้อย เขาห้ำหั่นอย่างร้ายกาจโดยต่อเนื่อง กระบวนท่าทางด้านวิญญาณก็น่าหวาดหวั่น ทำให้วิธีการอันพิสดารต่างๆ ของราชันย์อนธการอมตะไร้ประโยชน์ไปเสียสิ้น ราชันย์อนธการอมตะก็ได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่องจากการห้ำหั่นกัน
“ดี ฆ่าเขา ฆ่าเขาเสีย”
“ฆ่าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้เสียเถอะ! จ้าวหิมะเหิน ฆ่าเขาเสีย”
ยามนี้ผู้แกร่งกล้าทั้งดินแดนจิตโลกา ในหกรัฐโบราณรวมไปถึงรัฐชั้นสองชั้นสามจำนวนมากหรือแม้กระทั่งขุมอำนาจต่างๆ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทั้งที่มีชื่อเสียงขจรขจายและรักสันโดษเก็บเนื้อเก็บตัวชมการต่อสู้อย่างรวดเร็ว พวกเขาถึงขั้นส่งสารแจ้งมิตรสหาย ทำให้จำนวนผู้แกร่งกล้าที่ชมการต่อสู่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
เบื้องหน้ากระจกยลฟ้าบานหนึ่งอาจจะมีผู้บำเพ็ญทั้งกลุ่มจับตามองอยู่
“ราชันย์อนธการอมตะก็มีวันนี้ด้วย!” ชายชราผู้หนึ่งกล่าวด้วยความตื่นเต้น “นับตั้งแต่เขากลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว ข้าก็รอคอยวันนี้มาโดยตลอด ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว มาถึงแล้ว!”
“ยินดีกับท่านอาจารย์ด้วยขอรับ จ้าวหิมะเหินจะต้องสามารถสังหารราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ได้สำเร็จแน่นอน” ศิษย์กลุ่มหนึ่งด้านข้างแสดงความยินดีกับอาจารย์ของตน ตระกูลดั้งเดิมของท่านอาจารย์ถูกราชันย์อนธการอมตะทำลายลงไป ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่ก่อนสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่งแล้ว
ยามนี้
ผู้แกร่งกล้ามากมายปรบมือเห็นดีเห็นงามด้วย และถึงขั้นตั้งตารอคอยด้วยความตื่นเต้น
เนื่องจาก ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ลงมือได้ร้ายกาจนัก ลงมือสังหารไปทั่วทิศด้วยความเห็นแก่ตัวของตนเพียงคนเดียว! ในตำนานเขาเป็นตัวแทนของ ‘ความตาย’! ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครหน้าไหนที่บ้าคลั่งและโหดเหี้ยมเช่นเดียวกับราชันย์อนธการอมตะเลย ท่ามกลางการเข่นฆ่าตามอำเภอใจเช่นนี้ เขาได้สร้างศัตรูคู่แค้นเอาไว้มากมายยิ่งนัก! ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอบางคนในตอนนั้น บัดนี้ได้สำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว
แต่ราชันย์อนธการอมตะไม่สนใจเลย!
เนื่องจากเขาเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา! ศัตรูคู่แค้นเหล่านั้นล้วนไม่กล้าปรากฏกายต่อหน้าเขา
“ดี”
ภายในวังหลวงแห่งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูกระจกยลฟ้าที่ล่องลอยอยู่ แม่เฒ่าอิงซาน จ้าวทานเผิง จ้าวฉุนอวี้และคนอื่นๆ บ้างก็เป็นร่างจริง บ้างก็เป็นร่างแปร พวกเขาต่างกำลังมองดูกระจกยลฟ้า
“ศิษย์น้องหิมะเหิน ทำได้สวยงามมาก” จ้าวทานเผิงอดชมเชยมิได้ คนอื่นๆ ต่างมองดูด้วยความตื่นเต้น
แม้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะมิได้เปล่งเสียง แต่ดวงตาของเขาก็กำลังทอประกาย
สำหรับ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ นั้น เขาเกลียดชังเสียจนอยากให้ตายๆ ไป! เขายอมรับว่าตอนนั้นมีโอกาสได้รับ ‘ดาบทวิภพ’ มา ก็เป็นหลักประกันให้เขากลับตัวได้ แต่อย่างแรก ตอนนั้นเขาก็ต้องฟันฝ่าอันตรายมากมายจึงได้มา นอกจากนี้ราชันย์อนธการอมตะก็ได้คุกคามหลายครั้ง ให้เขาช่วยเก็บรวบรวมวัตถุล้ำค่ามากมาย ซึ่งวัตถุล้ำค่าเหล่านั้นเหนือกว่าสมบัติลับระดับยอดสุดชิ้นหนึ่งไปตั้งมากมาย
หากไม่ยอมทำตาม ก็ขู่ว่าจะทำลายทั้งนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาให้สิ้นซากไป
ภัยคุกคามเช่นนี้ทำให้วีรบุรุษผู้ไร้เทียมทานอย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้นี้ความแค้นแน่นทรวงไปหมด! แต่ก็ไร้หนทาง เขามิอาจต่อต้านราชันย์อนธการอมตะได้เลย
……
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น
มีผู้บำเพ็ญมากมายยิ่งนักที่อยากให้ราชันย์อนธการอมตะตาย!
ทว่าราชันย์อนธการอมตะนั้นสูงส่งเหนือใครมาโดยตลอด ก่อนหน้าสงครามรัฐโบราณครั้งที่หนึ่ง ก็เป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาแล้ว หลังจากกลับมาครั้งนี้ ชื่อเสียงก็ยิ่งโด่งดังขึ้นไปอีก แม้แต่ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ก็ยังยอมรับเองว่าด้อยกว่าเขาอยู่ขุมหนึ่ง
อย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณา ก่อนหนานี้ก็ถอดใจไปแล้ว เขารู้สึกว่าไม่มีหวัง ทำได้เพียงปล่อยให้เขาบีบคั้นเท่านั้น! บรรดาศัตรูคู่แค้นของราชันย์อนธการอมตะเหล่านั้นก็เพียงแค่ปล่อยให้ความเกลียดชังคงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจต่อไปเท่านั้น โดยไม่กล้าคิดจะ ‘แก้แค้น’ เสียด้วยซ้ำ! เพราะแตกต่างกันมากมายเกินไปแล้ว
แต่กระนั้นภาพที่ได้เห็นในวันนี้ ก็ทำให้พวกเขาแต่ละคนตื่นเต้นนัก!
จ้าวหิมะเหิน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ โจมตีเสียจนราชันย์อนธการอมตะได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่องด้วยพลังที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตำแหน่งผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาได้เปลี่ยนคนแล้ว”จักรพรรดิเซี่ยยืนอยู่ในวังพลางทอดสายตามองออกไปไกกลลิบก่อนจะรำพึงออกมาประโยคหนึ่ง “เป็นดังที่พวกเราได้คาดการณ์ไว้ ในที่สุดจ้าวหิมะเหินผู้นี้ได้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาแล้ว”
“จะว่าไปแล้ว เขาสำเร็จเป็นเค่อชิงระดับบนของสกุลฝานเรา ก็เป็นเรื่องที่เห็นชัดอยู่กับตาอยู่แล้ว” บรรพชนฝานรำพึง
“เขาจะกลายเป็นอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว” จักรพรรดิชางที่อยู่อีกด้านหนึ่งเอ่ย “ในบรรดาขั้นสุดยอดทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่มีทั้งเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งและอาวุธเทพคละถิ่นก็มีแต่จ้าวหิมะเหินผู้นี้เท่านั้น! นอกจากนี้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขาก็ยังมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหุบเขาเขี้ยวหัก เมื่อสองวิธีการรวมตัวกันขึ้นมา ก็ทำเอาราชันย์อนธการอมตะไม่มีทางตอบโต้ได้”
จอมกระบี่ที่ยืนอยู่กับทั้งสามคนเผยรอยยิ้มออกมา “เสวี่ยอิง แอบซ่อนได้มิดชิดทีเดียว”
บัดนี้ ในใต้หล้า
สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งปวงและขั้นสุดยอดธรรมดาสามัญ ต่างก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว
เนื่องจากก่อนหน้านี้จ้าวหิมะเหินโดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก
ขณะที่อยู่ในระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้น ร่างแยกร่างหนึ่งก็เทียบได้กับขั้นสุดยอด! กระบวนท่าทางด้านวิญญาณถึงกับทำให้หุบเขาเขี้ยวหักสั่นสะท้าน อาวุธเทพคละถิ่นก็ทำให้คนละโมบขึ้นมาได้ เป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งดินแดนจิตโลกา
บัดนี้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว ก็เป็นขั้นสุดยอดที่น่าหวาดหวั่นที่สุด!
……
ระหว่างที่เหล่าผู้แกร่งกล้าทั่วฟ้าดินกำลังชมการต่อสู้ด้วยอารมณ์อันซับซ้อนนับพันนับหมื่นนั้น อาการบาดเจ็บของราชันย์อนธการอมตะก็หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
“ไปตายเสียเถอะ” ราชันย์อนธการอมตะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
ตู้มมม…
แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากความว่างเป่า แล้วปกคลุมเข้ามาทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น เพียงชั่วความคิดเดียว แมลงทั้งหมดก็สูญสิ้นสติรับรู้และร่วงกรูลงไปจนสิ้น
ราชันย์อนธการอมตะมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าไม่น่ามอง เขาเองก็รู้ว่าเมื่อปล่อยแมลงพิษที่เก็บรวบรวมมาด้วยความยากลำบากออกไปก็ยังไม่เป็นผล เพียงแต่ภายใต้ความสิ้นหวัง ก็นำออกมาลองใช้ดูก็เท่านั้น ส่วนลึกของหัวใจก็ยังคงตั้งตารอคอยให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
“ทำเช่นไรดี ตอนนี้ข้าจะทำเช่นไรดี” ราชันย์อนธการอมตะขบกรามกรอด
“จะมัวแต่สนใจมิได้แล้ว เอาชีวิตให้รอดเสียก่อนเถอะ อย่างมากก็แค่นับจากนี้ไปจะไม่ปรากฏกายอีกไปตลอดกาล”
สวบ
เงาร่างของราชันย์อนธการอมตะพลันแทรกตัวเข้าไปในทางเดินอันดำมืดก่อนจะหายวับไป
“หนีรึ”
“หนีไปแล”
“ราชันย์อนธการอมตะหนีไปแล้ว!”
บรรดาผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่รอบๆ ต่างก็เข้าใจจุดนี้ดี
“เห็นทีคงจะยอมแพ้อย่างสมบูรณ์เสียแล้ว” เหล่าผู้แกร่งกล้าจำนวนมากเข้าใจในข้อนี้ดี เพราะเรื่องนี้มีให้เห็นในดินแดนจิตโลกาบ่อยนัก บรรดามารร้ายขั้นสุดยอดมักจะใช้กระบวนท่านี้เป็นประจำ เมื่อหนีไปแล้วก็ยากนักที่จะไล้สังหารได้อีก
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การต่อสู้ในครั้งนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า นับแต่นี้ไป ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาก็คือจ้าวหิมะเหินผู้นี้ ส่วนราชันย์อนธการอมตะ เมื่อได้เห็นจ้าวหิมะเหินก็คงต้องเผ่นแน่บไปแล้วกระมัง” ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์กัน พวกเขาต่างก็เชื่อว่าศึกครั้งนี้ได้สำเร็จลงแล้ว
“หรือว่าเขาหนีไปแล้ว เรื่องนี้ก็ยุติลงแล้วอย่างนั้นหรือ” มีหลายคนรอเห็นราชันย์อนธการอมตะสิ้นใจมิได้ เมื่อเห็นเข้าก็รู้สึกไม่ยอมจำนน
แต่พวกเขาก็เข้าใจดี
ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอด จะเอาชนะนั้นง่าย แต่จะสังหารนั้นยาก!
“หนีรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศพลางกุมอาวุธเทพคละถิ่นหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ สติรับรู้ของเขาหลอมรวมเข้าไปกับระลอกคลื่น และปกคลุมทุกหนแห่งทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา และเพื่อป้องกันมิให้ราชันย์อนธการอมตะหนีพ้น เขาจึงได้ปกคลุมบริเวณทั้งหมดแม้แต่อาณาเขตของจักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจรและเจ้าเมืองอนันต์ด้วย จะมัวแต่กลัวพวกเขาแตกตื่นมิได้แล้ว
บริเวณปกคลุมทุกบริเวณทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา
ร่องรอยการหลบหนีของราชันย์อนธการอมตะ ตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนสามารถ ‘มองเห็น’ ได้ชัดเจนแจ่มแจ้งทั้งสิ้น
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 57 ความภาคภูมิใจของแม่เฒ่าอิงซาน
ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างก็เชื่อว่าศึกครั้งนี้น่าจะยุติลงแล้ว และมีจำนวนน้อยนิดยิ่งนักยังคงหวังว่าจะมี ‘ปาฏิหาริย์’ เกิดขึ้น พวกเขาอยากให้ราชันย์อนธการอมตะตายไปเสีย!
แต่จักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจรและเจ้าเมืองอนันต์ทั้งสามคนต่างก็สัมผัสได้ถึงปัญหาแล้ว
“บริเวณอากาศนี่ปกคลุมวังหลวงแล้ว ผู้พเนจรยังอยู่ในรัฐโบราณสหโลกา ห่างจากรัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าไกลลิบลับ แผ่คลุมมาไม่ถึงที่นี่อย่างแน่นอน เช่นนั้นก็มีแต่จ้าวหิมะเหินผู้นี้เท่านั้น!” จักรพรรดิเซี่ยทอดสายตามองออกไปไกล “จุดที่เขาและราชันย์อนธการห้ำหั่นกันก็ห่างจากรัฐโบราณคิมหันตวายุของข้ามาก ไกลลิบถึงเพียงนี้ บริเวณอากาศของเขาก็ยังสามารถแผ่คลุมมาถึงอย่างนั้นหรือ หรือจะบอกว่าอาศัยร่างแยกจำนวนมากมาสำแดงบริเวณกันแน่”
อันที่จริงแล้ว
ต่อให้อาศัยร่างแยก บริเวณก็ยังไม่พอ
ร่างแยกที่แข็งแกร่งที่สุดของตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง บริเวณก็ปกคลุมขอบเขตได้เพียงสองเท่าของรัฐโบราณคิมหันตวายุเท่านั้น และเขาคงร่างแยกระดับยอดได้อย่างมากเก้าร่างเท่านั้น ในดินแดนจิตโลกา สถานที่ที่มีพื้นที่กว้างขวางก็มีมากมายนัก! และยังมีมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลด้วย อย่าง ‘รัฐโบราณหิมะน้ำแข็ง’ หากพูดถึงขอบเขตแล้วก็ใหญ่โตเสียจนเกินจริง
……
ณ พรมแดนแห่งหนึ่งของดินแดนจิตโลกา
“โครมมม…”
จุดสิ้นสุดของผืนดินก็คือลมพายุโหมกระหน่ำ ซึ่งรอบนอกของลมพายุก็คือผนังเยื่อของโลกกำเนิด
“หนีจนถึงที่สุดแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะยืนอยู่ตรงขอบลมพายุ โดยไม่สนใจลมพายุอันน่าหวาดหวั่นข้างกายเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังกังวลอยู่บ้าง “ที่นี่และบริเวณที่ประมือกันเมื่อครู่ห่างกันมาก หนีข้ามมาตั้งครึ่งค่อนดินแดนจิตโลกาแล้ว! ระยะทางห่างไกลถึงเพียงนี้ ลำพังอาศัยแค่บริเวณ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีผู้ใดที่บริเวณสามารถปกคลุมได้เป็นวงกว้างขนาดนี้มาก่อน”
“มีพรมแดนตั้งมากมาย ข้าเลือกที่นี่ไปส่งๆ เท่านั้น ต่อให้จ้าวหิมะเหินมีร่างแยกแล้วบังเอิญถูกบริเวณของร่างแยกนี้พบเข้า ก็มีโอกาสต่ำมาก ต่อให้พบครั้งหนึ่ง ข้าก็สามารถหนีไปได้อีก! ขอเพียงหนีออกจากขอบเขตบริเวณของเขาได้ เขาก็จะหาข้าไม่พบแล้ว”
“นอกเสียจากเขาจะสามารถสะกดรอยได้”
“เฮอะ”
“ด้วยระดับขั้นของข้าและการควบคุมวิญญาณของข้า กลิ่นอายจึงไม่เล็ดรอดออกไปภายนอกแม้แต่น้อย มีแต่เจ้าเมืองอนันต์เท่านั้นที่สามารถสะกดรอยข้าได้ แต่เจ้าเมืองอนันต์ก็ไม่เคยแทรกเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเหตุปัจจัยที่ใหญ่โตมาตลอด” ราชันย์อนธการอมตะพยักหน้าน้อยๆ
เขารู้สึกว่า มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่จ้าวหิมะเหินจะหาตัวเขาพบ
“ราชันย์อนธการ เจ้าเตรียมตัวจะหนีไปไหนหรือ” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น
ราชันย์อนธการอมตะร่างกายสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้ เมื่อหันไปมอง หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้กุมหอกยาวสีดำเอาไว้ในมือก็ทะลุอากาศมาถึงที่นี่แล้ว ก็คือจ้าวหิมะเหินผู้นั้นนั่นเอง สิ่งที่ตามมา ยังมีวิถีหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งไม่ไว้น้ำใจเลยแม้แต่น้อย หอกยาวแผ่คลุมเข้ามา ราชันย์อนธการอมตะรีบเผาผลาญโลหิตหัวใจเพื่อสกัดกั้นกระบวนท่าอย่างเต็มที่ทันที เขาแหวกทางเชื่อมขึ้นมาสายหนึ่งแล้วเผ่นหนีไปอีกครา
“ถูกพบเข้าแล้วรึ หรือว่าร่างแยกของเขาบังเอิญรักษาการณ์อยู่ที่นี่พอดีอย่างนั้นหรือ”
……
“อย่าหนีอีกเลย”
ที่ป่าพรมแดนอีกแห่งหนึ่งของดินแดนจิตโลกา ราชันย์อนธการอมตะเพิ่งจะปรากฏกายขึ้น หอกยาวเล่มหนึ่งก็ไล่สังหารเข้ามาติดๆ โจมตีเสียจนร่างกายของราชันย์อนธการอมตะปริแตกออกบางส่วน ร่างกายของเขารวมตัวกลายเป็นความดำมืดขึ้นมา ก่อนจะหลบหนีไปอีกครั้ง
……
หนี หนี หนี!
ราชันย์อนธการอมตะหนีไปสิบกว่าครั้งต่อเนื่องกัน เขาค่อยๆ หนาวเหน็บหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆ!
เนื่องจากต่อให้บริเวณของร่างแยกปกคลุมก็ตามที แต่ไหนเลยจะบังเอิญถึงเพียงนี้ได้ ตำแหน่งที่หลบหนีไปในแต่ละครั้งล้วนบังเอิญอยู่ในบริเวณทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ
“เขาสะกดรอยได้รึ หรือเจ้าเมืองอนันต์กำลังช่วยเหลือเขาอยู่” ราชันย์อนธการอมตะหยุดลง เขายืนอยู่เหนือมหาสมุทรตรงพรมแดนแห่งหนึ่งของโลกพลางหันไปมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังบุกสังหารเข้ามาจากที่ไกลๆ ยามนี้นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะฉายแววตัดสินใจเด็ดขาด เขาสกัดท่าไม้ตายของตงป๋อเสวี่ยอิงไปพลาง และรีบถ่ายเสียงอย่างร้อนรนไปพลาง “จ้าวหิมะเหิน เจ้าอยากให้ขาตายหรือ เช่นนั้นข้าก็จะให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนลงหลุมไปกับข้าด้วย!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลง มิได้ออกกระบวนท่าต่อไป หากแต่ยืนมองเขาอยู่กลางอากาศพลางเอ่ยปากพูดว่า “ลงหลุมไปด้วยรึ”
“ข้านับถือเจ้าจริงๆ สามารถสะกดรอยข้าได้อย่างนั้นหรือ หรือว่าเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองอนันต์ให้ช่วยเจ้าจนได้เล่า” นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะฉายแววบ้าคลั่ง วิญญาณของเขากำลังสั่นสะท้าน สั่นสะท้านด้วยความคลุ้มคลั่งเมื่ออยู่ตรงหน้าความตาย “แม้พลังของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าข้า แต่ข้าก็สามารถทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนลงหลุมไปกับข้าได้อยู่ดี”
“ด้วยอาการบาดเจ็บของเจ้าในตอนนี้ จะสามารถทนต่อไปได้สักกี่น้ำกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา
“เจ้าจะลองดูก็ได้ เจ้ามิได้ใส่ใจมดปลวกเหล่านั้นมากหรือไร หรือไม่ เจ้าก็ปล่อยข้าไปเสีย หรือไม่ก็ปล่อยให้สรรพชีวิตลงหลุมไปพร้อมกับข้า!” ราชันย์อนธการอมตะคำรามเสียงต่ำ
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูราชันย์อนธการอมตะผู้นี้
ราชันย์อนธการคนนี้ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความหวั่นเกรงสายหนึ่งอย่างแท้จริง
เนื่องจากนี่คือคนสติฟั่นเฟือนที่ไม่มีอะไรให้ห่วงพะวงโดยแท้! นอกจากนี้พลังก็แข็งแกร่ง เป็นรองเพียงตนเท่านั้น ตนไม่มีทางปล่อยให้คนที่ตนเป็นห่วง เช่นคนตระกูลอิงซานต้องหลบซ่อนอยู่ในเมืองหิมะเหินไปตลอดกาลหรอก หากพวกเขาออกไปเมื่อใด แล้วราชันย์อนธการอมตะเกิดแปรพักตร์ขึ้นมาในชั่วพริบตา เช่นนั้นก็เกรงว่าคงจะเกิดการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ขึ้น
“ข้ารู้สึกว่าการปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดต่อไปจะเป็นภัยคุกคามต่อสรรพชีวิตมากกว่าน่ะสิ อีกทั้งข้าก็ไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถสังหารผู้บำเพ็ญได้มากสักเท่าไหร่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นประกายคมกล้า หอกยาวในมือแทงตรงออกไป
“ตู้ม!”
“จ้าวหิมะเหิน!!!” เสียงอันบ้าคลั่งของราชันย์อนธการอมตะสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน
……
เนื่องจากราชันย์อนธการอมตะหนีไปอย่างไม่หยุดหย่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไล่ล่าอย่างต่อเนื่อง สนามรบของพวกเขาทั้งสองก็ปรากฏขึ้นแห่งแล้วแห่งเล่าทั่วดินแดนจิตโลกา ความเคลื่อนไหวที่ประมือกันก็ใหญ่โตนัก เมื่อประมือกัน ก็ทำให้เหล่าผู้แกร่งกล้าในดินแดนจิตโลกาสัมผัสได้กันหมด แต่ละคนร่วมชมการต่อสู้ในทันใด
พวกเขาก็เห็นการสนทนาระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงและราชันย์อนธการอมตะ
ราชันย์อนธการอมตะเอาคำว่า ‘ให้สรรพชีวิตลงหลุมไปด้วย’ มาขู่ แต่จ้าวหิมะเหินก็ยังคงลงมืออยู่ดี!
“ดี!”
ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากชมเปาะเมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือ
เหล่าผู้แกร่งกล้าทั้งหลายรวมทั้งจักรพรรดิเซี่ยต่างก็อุทานออกมาอย่างอดมิได้! พวกเขาตกใจที่เห็น ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ หนีอย่างไรก็ยังถูกไล่ล่า และอุทานที่เห็น ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ซึ่งเหนือกว่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนคงจะต้องตายตกไปในครั้งนี้จริงๆ เสียแล้ว
“งดงาม” ณ นครหลวงรัฐเมฆทักษิณา ในที่สุดประมุขรัฐเมฆทักษิณาซึ่งเงียบงันมาตลอดก็เอ่ยปากขึ้น เขาจ้องมองกระจกยลฟ้าบานนั้น
ขณะที่ราชันย์อนธการอมตะหลบหนี เขาก็กลัวว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมิอาจสะกดรอยได้
เมื่อสะกดรอยได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ตื่นเต้นยินดีขึ้นมา
เมื่อราชันย์อนธการอมตะขู่ว่าจะให้สรรพชีวิตลงหลุมไปด้วย ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็กังวลขึ้นมา ว่าศิษย์จะมือไม้อ่อน
“ในที่สุด ในที่สุดก็จะหลุดพ้นแล้วหรือ เจ้าบ้านี่ ในที่สุดก็จะตายแล้วหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตั้งตารอคอย
“ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ ข้ามีศิษย์น้องเช่นนี้คนหนึ่ง ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาเป็นศิษย์น้องของข้าเสียนี่” จ้าวทานเผิงทอดถอนใจเสียงฮึดฮัด
“แข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่นทีเดียว ข้าเป็นศิษย์พี่หญิงของเขาหรือนี่” ท่านหญิงกุ่ยลี่ก็อุทานอยู่ด้านข้าง
“แม้แต่ราชันย์อนธการอมตะ…ก็ยังถูกเสวี่ยอิงสังหารอย่างนั้นหรือ” แม่เฒ่าอิงซานรู้สึกว่าทุกสิ่งเป็นดั่งความฝัน
นางยังจำได้อย่างชัดเจน
สหายตัวน้อยผู้เปี่ยมพรสวรรค์ทางสายของท่านโหวหั่วเลี่ยแห่งตระกูลอิงซานที่เกิดมาก็เป็นเทพอากาศ เขารุ่งโรจน์ขึ้นมาได้อย่างร้ายกาจเกินไปแล้ว ตอนแรกสหายน้อยผู้นี้ยังอยากได้หัวหอกของ ‘หอกเทพเมฆาแดง’ ก็เป็นนาง แม่เฒ่าอิงซานที่ช่วยไปซื้อมามอบให้! ต่อมา เมื่อ ‘การบูชาโลหิตเมืองอัคคีโชติ’ เกิดขึ้นนั้น คุณชายน้อยอิงซานเสวี่ยอิงในตอนนั้นก็ปะทุพลังรบอันน่าหวาดหวั่นออกมาทำเอาคนตกอกตกใจกันหมด ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสี่รัฐมารทมิฬและทะเลสาบมารทมิฬ
ขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งกลายเป็นเค่อชิงระดับบนของสกุลฝานได้
หลังจากสำเร็จเป็นเทพจักรวาลแล้ว ก็ไปยัง ‘วังเทพจิตโลกา’ และถูกบรรพชนราตรีนิรันดร์สังหาร จึงเก็บเนื้อเก็บตัวกบดานไป
การกบดานครั้งนี้…
กลับเคลื่อนไหวด้วยสถานะของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ และทำให้มารร้ายในใต้หล้าต้องสะท้านสะเทือนด้วยพลังของตัวคนเดียว
“บัดนี้แม้แต่ราชันย์อนธการอมตะ เขาก็จะสังหารเสียแล้ว” แม่เฒ่าอิงซานพูดเสียงเบา “ผู้แกร่งกล้าที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ เป็นคนตระกูลอิงซานเราหรือนี่”
ยามนี้ แม่เฒ่าอิงซานยินดีจนล้นหัวใจและภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง
……
เมื่อราชันย์อนธการอมตะถูกไล่สังหารอยู่ตลอดจนหนีไปไหนไม่พ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่สนใจการข่มขู่ของเขา ผู้แกร่งกล้าทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็เชื่อว่า ครั้งนี้ราชันย์อนธการอมตะอาจจะต้องสิ้นใจไปอย่างแท้จริง มีหลายคนที่กำลังโห่ร้อง ปรบไม้ปรบมือเห็นดีเห็นงามด้วย!
แต่ว่า…
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองกลับรู้สึกคันยุบยิบในใจ เนื่องจากการจะสังหารราชันย์อนธการอมตะนั้นต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง!
“ตาย ตายไปด้วยกันเสียเถอะ!” ราชันย์อนธการอมตะหลบหนีไปถึงกลางท้องฟ้าเหนือตัวเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง ก่อนจะถลาลงไปเบื้องล่างแล้วลงมือโจมตีด้วยตนเอง
ตู้ม!
ห้วงอากาศบิดเบี้ยวและสะท้านสะเทือนไปหมด เขาพยายามสกัดกั้นการโจมตีของราชันย์อนธการอมตะอย่างสุดกำลัง ตงป๋อเสวี่ยอิงบุกสังหารเข้ามาอีกครั้ง แม้เขาจะเชี่ยวชาญการกดดันด้านบริเวณเป็นอย่างยิ่ง และพยายามไล่สังหารอย่างสุดกำลังด้วยความเร็วสูงสุด แต่ก็ยังคงมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่ถูกสังหารไปอยู่ดี! สิ่งมีชีวิตมากมายถึงขั้นมิทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ก็ถูกล้างสังหารเสียแล้ว เรื่องนี้ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งแค้นเคืองมากขึ้น ถึงจะต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่าง ก็ต้องกำจัดเขาทิ้งให้จงได้!
“ดูท่าแล้ว เขาคงจะทนได้อีกไม่นานสักเท่าใดนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อนข้างมั่นใจว่าอาการบาดเจ็บของราชันย์อนธการอมตะหนักหนามาก เกรงว่าโอกาสรอดคงเหลือราวสองส่วนเท่านั้น
“ต้านทานเอาไว้มิได้แล้ว!”
ยามนี้สถานการณ์ของราชันย์อนธการอมตะย่ำแย่กว่าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดการณ์เอาไว้เสียอีก
เนื่องจากแต่ละครั้งที่ห้ำหั่นกันเขาล้วนแต่ต้องเผาผลาญโลหิตหัวใจทั้งสิ้น เมื่อเผาผลาญโลหิตหัวใจ เขาก็ยังมีพลังราวสามสี่ส่วนของตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น! หากไม่เผาผลาญก็เกรงว่าคงจะมีพลังเพียงส่วนสองส่วนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นก็คงจะสิ้นใจเร็วขึ้นไปอีก
“โลหิตหัวใจของข้าจวนจะหมดแล้ว”
หัวใจเปลวทองภายในกาย เหลือโลหิตน้อยเสียจนน่าสงสาร คือเพียงสามหยดเท่านั้น!
ราชันย์อนธการอมตะออกจะสิ้นหวังอยู่บ้าง
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 58 การห้ำหั่นในมิติคละถิ่น
“ไม่ต้องเลือกแล้ว มีแต่การรอดจากความตายเท่านั้น!” ราชันย์อนธการอมตะขบกราม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากเลือก แต่เมื่อใดที่เผาผลาญโลหิตหัวใจไปจนหมด เช่นนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะครองความได้เปรียบเหนือกว่า เขาก็ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเลือกได้แล้ว
ปัง ปัง…
ขณะที่ฝ่ามือสีทองคู่หนึ่งกำลังต้านทานหอกยาวอันน่าหวาดหวั่นอยู่นั้นเอง ผืนฟ้ายามราตรีบริเวณรอบๆ ก็กลายเป็นผุยผง แม้กระทั่งรอยแยกอันดำสนิทมากมายต่างก็สามารถมองเห็น ‘มิติคละถิ่น’ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของรอยแยกได้ ต่างก็มีพลังคละวิถีมากมายแทรกผ่านรอยแยกแล้วแผ่เข้ามา นั่นคือมิติระดับที่สูงกว่า เป็นสถานที่ซึ่งบุคคลระดับชีวิตขั้นสูงกว่าเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้จริงๆ
พรึ่บ!
ราชันย์อนธการอมตะพุ่งเข้าไปยังมิติคละถิ่นตามรอยแยกที่ฉีกขาดโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“หืม”ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าแปรเปลี่ยน แต่เขาก็มิได้ลังเลแล้วแทรกตัวตรงเข้าไปยังมิติคละถิ่นเช่นเดียวกัน
“อะไรกันน่ะ!”
“ราชันย์อนธการอมตะหนีเข้าไปในมิติคละถิ่นแล้วจ้าวหิมะเหินผู้นั้นก็ไล่ตามเข้าไปเช่นกันอย่างนั้นหรือ ต่างก็มิได้สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาแล้วบุกเข้าไปกันเช่นนี้น่ะหรือ พวกเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร”
“คนหนึ่งไล่ตามคนหนึ่งหลบหนี แล้วพากันบุกเข้าไปยังมิติคละถิ่นอย่างนั้นหรือ มิได้ว่ากันว่าหากมิได้หนีออกจากกรงขัง หลังจากที่เข้าไปยังมิติคละถิ่นแล้วก็อาจถูกพลังคละวิถีกัดเซาะจนต้องตายในที่สุดหรือไร”
“เจ้ารู้อะไรบ้างไหม ราชันย์อนธการอมตะมีพลังยุทธ์เช่นไร บุคคลผู้ไร้เทียมทานทั่วๆ ไปล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาทั้งสิ้น ส่วนจ้าวหิมะเหินผู้นั้นก็ล้ำเลิศยิ่งกว่าราชันย์อนธการอมตะเสียอีก มาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขา บางทีก็อาจจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ภายในมิติคละถิ่นได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ กระมัง”
เหล่าผู้ที่สังเกตการณ์อยู่ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็ปากอ้าตาค้าง
บุกเข้าไปในมิติคละถิ่นอย่างนั้นหรือ
เห็นได้ชัดว่ามิได้รนหาที่ตาย
นี่เกินกว่าจินตนาการของพวกเขาเสียแล้ว สำหรับเทพจักรวาลธรรมดาทั่วไปนั้น นอกจากเคล็ดการหลบหลีกที่พิเศษจำนวนหนึ่ง ถ้าหากร่างกายตรงเข้าไปยังมิติคละถิ่นก็คงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“จ้าวหิมะเหินมีจิตสังหารต่อราชันย์อนธการอมตะอย่างหนักหน่วงจริงๆ” จักรพรรดิเซี่ยดูอยู่ห่างๆ แล้วก็ทอดถอนใจประโยคหนึ่ง แต่เขากลับรู้ว่าร่างกายพุ่งออกจากโลกกำเนิด ที่บริเวณรอบๆ โลกกำเนิด…
ขอเพียงแค่มิได้จากไปไกลเกินไป ก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง อย่างเช่นเคล็ดวิชาฝึกกายคละถิ่นของเขา ก็คือเคล็ดวิชาที่อาศัยพลังคละวิถีบำเพ็ญร่างกาย
“ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเขาสองคนเป็นอย่างไรบ้าง” บรรพชนฝานที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถาม ตอนนี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้สถานการณ์การต่อสู้เลย
จักรพรรดิชางและจอมกระบี่ก็มองไปทางจักรพรรดิเซี่ยเช่นเดียวกัน
“ดูเอาเถิด” จักรพรรดิเซี่ยโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศด้านข้างก็มีจอภาพปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในมิติคละถิ่น
ราชันย์อนธการอมตะบุกเข้าไปในมิติคละถิ่น พลังคละวิถีที่อยู่ในบริเวณรอบๆ ต่างก็ถูกปะทะจนกระจายตัวไปเสียแล้ว ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้กุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือกลับไล่ล่าสังหารเข้าไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอีก!
……
ตอนนี้ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่ยังสามารถสังเกตการณ์การต่อสู้ได้อยู่ก็มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางสังเกตการณ์การต่อสู้ได้เลย!
“เสวี่ยอิง!” ที่รัฐเมฆทักษิณา แม่เฒ่าอิงซานก็ยังกระวนกระวายขึ้นมา
บุกเข้าไปยังมิติคละถิ่นหรือ
“ช่างบ้าบิ่นนัก บ้าบิ่นเกินไปแล้ว” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็กังวลใจเป็นอย่างยิ่ง “ต่อให้สังหารราชันย์อนธการอมตะจนตาย ถ้าหากไม่ระวังตนเองก็ต้องสู้จนตัวตายเช่นกัน เหลืออาวุธคละถิ่นทิ้งเอาไว้ที่มิติคละถิ่น เช่นนั้นมานึกเสียใจภายหลังก็สายเกินไปแล้ว”
บนดินแดนจิตโลกา สิ่งที่เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานพึ่งพาก็คือสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพลังรบในตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็เพราะอาศัยอาวุธคละถิ่น แน่นอนว่าเขายังมีเคล็ดเขตลวงโลกเทียมส่งเสริมอีกด้วย
“ก็ไม่รู้เลยว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“มองไม่เห็นอีกแล้ว”
“บุกเข้าไปยังมิติคละถิ่นก็ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”
ผู้แกร่งกล้ามากมายต่างก็ตื่นเต้นกระวนกระวายกันเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือการห้ำหั่นอย่างเอาเป็นเอาตายของบุคคลที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในดินแดนจิตโลกาในตอนนี้สองคน พวกเขาอยากจะรู้ผลลัพธ์เป็นอย่างยิ่ง
******
ภายในมิติคละถิ่น
“ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตามติดเข้าไปยังมิติคละถิ่นผ่านทางรอยแยกสีดำโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
หลังจากไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว เขาก็เสียเวลาไปหกร้อยปีในการรวบรวมพลังยุทธ์ ระหว่างนั้นเขาก็เคยทดลองคิดค้นฝึกกายคละถิ่นขั้นที่สามอยู่เล็กน้อย! ทั้งยังเคยเข้าไปยังมิติคละถิ่นมาก่อนด้วย เพราะว่ามาถึงระดับขั้นนี้แล้วก็เป็นปกติอย่างยิ่ง ภายใต้การระเบิดของหอกชิงเหอของเขา ก็สามารถระเบิดเป็นหลุมยักษ์ที่กินพื้นที่กว่าร้อยตารางเมตรออกมาได้อย่างง่ายดาย พลังคละวิถีจำนวนมากเอ่อท้นเข้ามา มิได้แตกต่างกับมิติคละถิ่นของร่างกายตนมากสักเท่าใดนัก
ร่างแยกที่เขาส่งมามิได้พกพาอาวุธเทพคละถิ่น ทั้งยังเคยเข้าไปในมิติคละถิ่น เคยรับสัมผัสมันมาก่อนแล้วด้วย!
เพราะมีประสบการณ์ ดังนั้นราชันย์อนธการอมตะจึงพุ่งเข้าไปยังมิติคละถิ่นอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย!
“ปัง…”
การเข้าไปอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ แต่ก็ยังคงพรั่นพรึงและหลงใหลอยู่ดี
‘วิถีอากาศ’ นั้นพิเศษอย่างยิ่ง เทียบกับวิถีต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วก็เหมาะสมที่จะสอดแนมความมหัศจรรย์ต่างๆ ของมิติคละถิ่นมากกว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งเข้าไป พลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ ที่หอกชิงเหอควบคุมอยู่ดูคล้ายว่าจะกระจัดกระจายไปจนหมดสิ้น จนใจที่พลังคละวิถีไร้ซึ่งขอบเขต ก็ยังคงมีส่วนที่มาสัมผัสร่างกายตนเล็กน้อย เมื่อสัมผัสแล้วก็สึกกร่อนไปอย่างรวดเร็ว!
ร่างกายราวกับอากาศ พลังคละวิถีแทรกผ่านร่างกาย แทรกผ่านวิญญาณ กระบวนการแทรกผ่านนั้นก็คือกระบวนการของการสึกกร่อน
เพราะว่ามีหอกชิงเหอควบคุมอยู่! ทั้งยังมี ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ กับการควบคุมการกลายเป็นอากาศธาตุก็ไปถึงระดับที่มิอาจคาดคะเนได้ สามารถลดการสึกกร่อนได้อย่างสุดกำลัง นำไปสู่พลังคละวิถีอันเบาบางนี้ ซึ่งการกัดกร่อนร่างฝึกกายคละถิ่นของเขาอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง พลังในการฟื้นฟูของตัวเขาเองก็เพียงพอที่จะฟื้นฟูได้แล้ว
“พรึ่บๆๆ…”
ดินแดนจิตโลกา โลกกำเนิดขนาดใหญ่โตมโหฬารนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาล
มันแผ่ระลอกคลื่นอันไร้ซึ่งขอบเขตออกมาโจมตีพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ อยู่ตลอดเวลา ความเป็นจริงแล้วในบริเวณใกล้ที่สุดของดินแดนจิตโลกา พลังคละวิถีก็ได้รับผลกระทบจากพลานุภาพของดินแดนจิตโลกา ยิ่งอยู่ใกล้โลกกำเนิดดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ พลังคละวิถีก็ยิ่งเบาบาง! ยิ่งอยู่ไกล…ยิ่งเป็นส่วนลึกของมิติคละถิ่น พลังคละวิถีก็ยิ่งทวีความไพศาล!
พลังที่โลกกำเนิดแห่งหนึ่งมีอยู่ช่างแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ถ้าหากควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง พึ่งพาอาศัยโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง พลังยุทธ์ก็ยกระดับจนชวนให้คนตื่นตกใจ ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นร่างที่ทำให้พลังของโลกอันใหญ่โตมโหฬารรวมเข้าด้วยกันจนหมด
“บุกเข้ามาจริงๆ เสียด้วย” ราชันย์อนธการอมตะเหลือบตามองตงป๋อเสวี่ยอิงที่ไล่ล่าสังหารเข้ามาอย่างรวดเร็วอยู่ด้านหลังแล้วก็อดที่จะเผยสีหน้าไม่น่ามองมิได้ “เช่นนั้นก็มาเถิด! เพื่อสังหารข้าก็เสียสละร่างแยกร่างนี้ เจ้าสามารถตัดใจได้หรือไร ไม่มีร่างแยกแล้ว ก็จะไม่มีอาวุธเทพคละถิ่นเล่มนี้อีกแล้วนะ”
ราชันย์อนธการอมตะพุ่งไปด้านหน้าอย่างทวีความบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ยามที่เพิ่งพุ่งออกมาจากดินแดนจิตโลกา ความเข้มข้นของพลังคละวิถีที่อยู่บริเวณรอบๆ ก็ยังค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้อิทธิพลของกฎเกณฑ์สูงสุดอันไร้รูปร่างของดินแดนจิตโลกาก็ยังส่งผลกระทบไปยังบริเวณรอบๆ ด้วย การกัดกร่อนยังไม่นับว่าแข็งแกร่งนัก
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เบื้องหน้าก็ยิ่งทวีความมืดมนและเงียบงันมากขึ้นเรื่อยๆ พลังคละวิถีก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยแล้วกวาดผ่านร่างกายและวิญญาณของราชันย์อนธการอมตะอย่างไม่หยุดหย่อน! ร่างกายและวิญญาณของเขาเผชิญกับ ‘การกัดกร่อน’ อย่างต่อเนื่อง
“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!” น้ำเสียงเดือดดาลเสียงหนึ่งส่งทะลุผ่านพลังคละวิถีไปถึงยังข้างหูของราชันย์อนธการอมตะ
หอกยาวเล่มหนึ่งฟาดฟันไปถึงตรงหน้าราชันย์อนธการอมตะ
“รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว!” ราชันย์อนธการอมตะกระวนกระวายไม่ยอมจำนนเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกที่เขาไปจากดินแดนจิตโลกาก็เป็นเพราะได้รับโอกาสโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ด้วยเคล็ดการหลบหลีกที่ ‘หยวน’ มอบให้ จึงสามารถหลบหลีกมิติคละถิ่นได้ แต่ในระยะเวลาอันยาวนานของโลกภายนอก ความหวาดกลัวที่เขามีต่อมิติคละถิ่นก็ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ถึงขนาดที่เคยเข้าไปยังมิติคละถิ่นมาหลายครั้งแล้ว
เขามีประสบการณ์! แม้กระทั่งคิดหาวิธีการมากมายออกมา
เขารู้สึกว่าในการห้ำหั่นในมิติคละถิ่น เขาน่าจะยังมีความได้เปรียบเหนือกว่าขั้นสุดยอดที่เพิ่งบรรลุใหม่ผู้นี้อยู่พอสมควร ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นยอดฝีมือวิถีอากาศก็ตาม
แต่เขาผิดเสียแล้ว!
ข้อหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยได้รับปุจฉวิถีคละถิ่นมาก่อน นี่คือเคล็ดวิชาที่จักรพรรดิเซี่ยใช้พลังคละวิถีบำเพ็ญขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองดัดแปลง ถึงขนาดที่เคยเข้าไปยังมิติคละถิ่นมาก่อน เคยมีประสบการณ์มาแล้ว อีกทั้งร่างกายที่ใช้พลังคละวิถีบำเพ็ญ ยามที่ต้านทานพลังคละวิถีที่เข้มข้นยิ่งกว่า ผลลัพธ์ก็ดียิ่งขึ้น
ข้อสอง วิถีอากาศมีข้อได้เปรียบมากที่สุดเมื่ออยู่ในมิติคละถิ่น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่กลายเป็นอากาศธาตุลดแรงปะทะลง หรือว่าความเร็วในการเหินทะยาน ต่างก็สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ได้เป็นอันมาก ในทางกลับกันวิถีอื่นๆ ผลลัพธ์ในมิติคละถิ่นกลับอ่อนแอลงอย่างฉับพลัน
ข้อสาม การควบคุมของอาวุธคละถิ่น ‘หอกชิงเหอ’ ที่มีต่อพลังคละวิถีก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในมิติคละถิ่นได้นานยิ่งขึ้น
เหตุผลมากมายล้วนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตามติดไปได้อย่างรวดเร็ว
“ฉึก”
หอกยาวพุ่งแทงมาอย่างเดือดดาล
แต่ราชันย์อนธการอมตะกลับต้านทานเอาไว้ด้วยสองมือ อาศัยพลังปะทะอันบ้าคลั่งนี้ ทำให้เขาเหินทะยานออกไปไกลอย่างได้เปรียบ ห่างไกลจากดินแดนจิตโลกา โลกกำเนิดอันใหญ่โตแห่งนี้ออกไปเรื่อยๆ
“มาสิ หากมีความกล้าพอก็มาเถิด มาอีกสิ เข้ามาในมิติคละถิ่นให้ลึกขึ้นอีกสิ” ยามที่ราชันย์อนธการอมตะเหินทะยานก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วทวีความบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 59 ยุคสมัยใหม่
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าตามการเหินทะยานด้วยความเร็วสูง ถึงแม้ว่าจะหันหน้าไปมอง โลกกำเนิดดินแดนจิตโลกาก็ยังคงอยู่ด้านหลังในระยะใกล้อย่างยิ่งอยู่ดี! แต่นั่นเป็นเพราะอาณาเขตที่กว้างใหญ่เกินไปของ ‘ดินแดนจิตโลกา’ เป็นเหตุ! ตำแหน่งที่พวกเขาสองคนต่อสู้กันก็ยังคงได้รับผลกระทบของพลังของดินแดนจิตโลกาอยู่ดี แต่ภายใต้การเหินทะยานด้วยความเร็วสูงก็สามารถรู้สึกได้ว่าระดับความเข้มข้นของพลังคละวิถีกำลังยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระดับความเข้มข้นเช่นนี้ยังเหนือชั้นกว่าพลังคละวิถีที่ตนใช้ในยามบำเพ็ญเสียอีก
โชคดีที่มีหอกชิงเหอควบคุม ทำให้พลังคละวิถีเปิดแยกทางเส้นหนึ่งออกมา ทำให้การกัดกร่อนที่ตนได้รับนั้นต่ำลงอย่างที่สุด
“ปัง ปัง ปัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตามติดไปอย่างรวดเร็วในทันใดแล้วลงมืออย่างไม่ไว้ไมตรี
ราชันย์อนธการอมตะมุ่งตรงเข้าไปในส่วนลึกอย่างบ้าคลั่งโดยไม่แยแสชีวิตเลย! แต่ร่างกายของเขากลับเริ่มต้นค่อยๆ เปลี่ยนสี เปลี่ยนเป็นสีเทาขาว
“เขาไม่ไหวแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดี
“ต้านไม่ไหวอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว การห้ำหั่นภายในดินแดนจิตโลกาก่อนหน้านี้ทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเหลือเกิน ถ้าหากร่างกายของข้าสมบูรณ์ดี ก็ยังสามารถทนอยู๋ได้นานกว่านี้!” ห้วงสมองของราชันย์อนธการอมตะในขณะนี้มีภาพเหตุการณ์ภาพแล้วภาพเล่าเคลื่อนผ่าน ตั้งแต่ในตอนแรกที่ยังอ่อนแอขึ้นมาครอบครองดินแดนจิตโลกา เขาโดดเด่นจับตา เขาทำให้ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาหวาดหวั่น คิดว่าเขาคือร่างแปรของความตาย ความแกร่งกล้าของเขาถึงขนาดที่ทำให้เคยได้รับความชื่นชอบจาก ‘หยวน’ หรือแม้กระทั่งเขาโจมตีเส้นทางของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
เขาไปจากบ้านเกิด
การไปในครั้งนี้… เขาจึงรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือกว่าผู้มีพรสวรรค์ก็ยังมีผู้มีพรสวรรค์เหนือกว่า! เขาล้มเหลวเสียแล้ว ล้มเหลวเช่นเดียวกันกับผู้แกร่งกล้าที่เคยรุ่งเรืองจำนวนมากมายมหาศาล ผู้แกร่งกล้าเหล่านั้นมีบางคนที่ตายไป มีบางคนที่ถึงกับถูกเนรเทศ เขาสามารถหนีรอดกลับมาได้ก็นับว่าโชคดีเป็นอย่างมากแล้ว
“หนีกลับมา ก็มาเจอะเจอกับจ้าวหิมะเหินที่ร้ายกาจผู้นี้อีก ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นเลย เคล็ดวิชาวิญญาณของเขานั้นน่าหวาดหวั่นที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลยจริงๆ” ราชันย์อนธการอมตะมองตงป๋อเสวี่ยอิง ทันใดนั้นก็แยกเขี้ยวยิ้มออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าขาวเทาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายผุพังนี้ของเขากลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจเล็กน้อย ตงป๋อเสวี่ยอิงมีการคาดเดาขึ้นมาบ้างแล้ว
พรึ่บ…
ทันใดนั้นประกายดำทะมึนบริเวณรอบๆ ร่างกายของราชันย์อนธการอมตะก็เคลื่อนที่รอบหนึ่ง แล้วเขาก็วิ่งหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
“จะหนีหรือ มาถึงตอนนี้แล้ว ท่านยังคิดหนีอีกหรือ” ถึงแม้ว่าร่างกายของอีกฝ่ายจะถูกกัดกร่อนจนอยู่ห่างจากความตายอีกไม่มากแล้ว แต่เคล็ดการหลบหลีกนั้นแยกขาดจากการสึกกร่อน ถ้าหากอีกฝ่ายหนีไปได้จริงๆ ก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้อย่างแน่นอน
พรึ่บ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไล่ล่าสังหารติดตามไปในทันใด หลังจากไปถึงขั้นสุดยอดแล้วร่างกายของเขาก็สามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้
“พรึ่บ”
เขาสะกดรอยตำแหน่งของราชันย์อนธการอมตะแล้วไล่ล่าสังหารติดตามไปแล้วก็ไล่ตามไปได้อย่างรวดเร็ว
เคล็ดการหลบหลีกสองศาสตร์
เห็นได้ชัดว่าเคล็ดการหลบหลีกทลายโลกาของวิถีอากาศนั้นมีความเร็วสูงกว่า
“ตายเสีย” ในขณะที่ไล่ตามไปนั้นหอกยาวเล่มหนึ่งก็ฟาดฟันไปบนร่างของราชันย์อนธการอมตะ ทำให้ร่างของเขาถูกกระแทกออกจากเส้นทางการหลบหนี ยามที่หลบหนีก็ไม่สามารถรับการโจมตีใดๆ ได้เลย!
ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ออกจากเส้นทางการหลบหนีโดยอัตโนมัติ
“ฉึก ฉึก ฉึก!!!”
ถึงแม้ว่าจะเตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งยังอาศัยหอกชิงเหอควบคุมพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ อย่างสุดกำลัง
แต่ว่าพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ ก็น่าหวาดหวั่นเกินไปเสียแล้ว!
ถึงแม้ว่าจะเป็นการหลบหนีในชั่วพริบตา แต่กลับมีระยะทางไกลกว่าการเหินทะยานไล่ล่าสังหารในตอนแรกกว่าพันเท่า! การไล่ล่าสังหารก่อนหน้านี้ก็ยังใกล้กับดินแดนจิตโลกาเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้กลับห่างไกลจากดินแดนจิตโลกาเป็นอย่างมากแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยหอกชิงเหอควบคุมพลังคละวิถี ก็ยังรู้สึกว่าพลังคละวิถีในบริเวณรอบๆ นั้นหนาแน่นหาใดเปรียบ หนาแน่นกว่าที่ควบคุมก่อนหน้านี้กว่าพันเท่า พลังคละวิถีปริมาณมหาศาล ชะล้างผ่านร่างกายและวิญญาณของตนอย่างยิ่งใหญ่ ร่างกายถูกกัดกร่อนจนได้รับบาดเจ็บอย่างฉับพลัน ถึงขนาดที่ผิวหนังภายนอกเปลี่ยนเป็นสีเทาขาวอย่างเห็นได้เด่นชัด สีเทาขาวนี้ยังแทรกทะลุเข้าไปภายในร่างกายด้วย ในทางกลับกันวิญญาณนั้นกลับมีความสูญเสียน้อยกว่าเป็นอย่างมาก
“ภายใต้การกัดกร่อนเช่นนี้ ข้ามีหอกชิงเหอส่งเสริม ร่างกายก็สามารถทานทนได้เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น”
“แต่วิญญาณของข้ากลับสามารถทานทนได้หลายสิบอึดใจเลยทีเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักในจุดนี้ขึ้นมาทันที
พรึ่บ
เขาแทบจะพุ่งขึ้นไปในทันที หอกยาวในมือแทงออกมาอย่างรวดเร็ว หอกยาวพุ่งทะยาน ฉึก… แทงทะลุทรวงอกของราชันย์อนธการอมตะในทันที ก่อนที่จะสำแดงเคล็ดการหลบหลีก ร่างกายของราชันย์อนธการอมตะก็ต้านไม่ไหวแล้ว ขณะนี้ท่ามกลางพลังคละวิถีอันหนาแน่น ภายในร่างกายก็เริ่มต้นค่อยๆ แหลกสลายไปทีละน้อย เมื่อหอกเล่มนี้แทงทะลุเขา เขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะต้านทานเลยแม้แต่น้อย แล้วร่างกายก็แหลกสลายอย่างสมบูรณ์เสียแล้ว
พรึ่บ! ยามที่ถูกแทงทะลุ ราชันย์อนธการอมตะก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง
หลังจากที่ร่างกายแหลกสลายอย่างสมบูรณ์มลายหายไปกลางมิติคละถิ่น เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาก็ฉีกขาดรุ่งริ่งภายใต้การกัดกร่อน คลังสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ก็ถูกกัดกร่อนจนกระจัดกระจายเช่นเดียวกัน เผยวัตถุต่างๆ มากมายที่อยู่ภายในออกมา วัตถุต่างๆ มากมายก็เผชิญกับการกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว มีเพียงจำนวนน้อยเท่านั้นที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ดีอยู่ในมิติคละถิ่นได้
อย่างเช่นวัสดุล้ำค่าที่พิเศษอย่างที่สุด อย่างเช่นซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนั้น หรืออย่างเช่น ‘มงกุฎ’ ของราชันย์อนธการอมตะ นั่นคือมงกุฎมรณะ…สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าของเขานั่นเอง
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ควบคุมอากาศเก็บวัตถุเหล่านี้ขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็หยิบคว้าเอา ‘มงกุฎมรณะ’ นั้นเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว
เขาก้มหน้าลงมองมงกุฎมรณะแวบหนึ่ง
นี่คือสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าของราชันย์อนธการอมตะ ทั้งยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตนราชันย์อนธการอมตะด้วย! อาศัยสิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า! ตนเองสามารถสังหารได้แม้กระทั่งราชันย์อนธการอมตะ บรรดามารเหล่านั้นคงต้องถามตัวเองก่อนว่าสามารถเอาชนะราชันย์อนธการอมตะได้หรือไม่
“พรึ่บ!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาในทันใด เดินทางมุ่งหน้าไปยังส่วนไกลของดินแดนจิตโลกาอย่างรวดเร็ว
ในระยะเวลาอันสั้น ผิวหนังและร่างกายบางส่วนของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเทาขาวไปแล้ว การกัดกร่อนชนิดนี้ช่างรวดเร็วเหลือเกิน
……
บุคคลผู้ไร้เทียมทานจำนวนน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ไม่กี่คนอย่างจักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจร และเจ้าเมืองอนันต์ สังเกตการณ์เห็นการไล่ล่าสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิงและราชันย์อนธการอมตะบริเวณใกล้ๆ ด้านนอกดินแดนจิตโลกา ในที่สุดร่างกายของราชันย์อนธการอมตะก็เปลี่ยนเป็นสีเทาขาว สำแดงเคล็ดการหลบหลีกหลบหนีไปยังส่วนลึกยิ่งขึ้นของมิติคละถิ่นอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะสังเกตการณ์ต่อไปได้อีกแล้ว
“ร่างกายของราชันย์อนธการอมตะถูกกัดกร่อนจนทานทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”
“จ้าวหิมะเหินยังตามติดเข้าไปจริงๆ หรือ”
พวกเขาแต่ละคนดูตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไล่ล่าสังหารอย่างต่อเนื่องแล้วก็อดที่จะตกตะลึงอย่างที่สุดมิได้
“คราวนี้เขาจะต้องสังหารราชันย์อนธการอมตะให้ได้จริงๆ สินะ!”
“แต่นี่ก็ประมาทเกินไปเสียแล้ว เมื่อครู่ถึงแม้ว่าคนหนึ่งหนี คนหนึ่งไล่ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังอยู่ในบริเวณใกล้กับโลกกำเนิดดินแดนจิตโลกาเป็นอย่างยิ่ง แต่ในขณะนี้สำแดงการหลบหนี แม้กระทั่งในขณะที่หลบหนี… ในชั่วพริบตานั้นก็สามารถหลบหนีไปได้ไกลแสนไกล นั่นก็เป็นส่วนลึกของมิติคละถิ่นจริงๆ แล้ว การกัดกร่อนของที่แห่งนั้นก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งแล้ว ด้วยสถานการณ์ของร่างกายของราชันย์อนธการอมตะ จ้าวหิมะเหินไล่ตาม ขอเพียงแค่รบกวนและทำลายการหลบหนีสักเล็กน้อย ราชันย์อนธการอมตะก็ต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว!”
“จ้าวหิมะเหินไล่ตามไป ราชันย์อนธการอมตะก็ต้องตายแน่ แต่จ้าวหิมะเหินจะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่เล่า”
“ถึงแม้ว่าเขาจะมีร่างแยกมากมาย แต่ร่างแยกร่างนี้กลับเป็นร่างที่ครอบครองอาวุธเทพคละถิ่นน่ะสิ”
พวกจักรพรรดิเซี่ยแต่ละคนต่างก็ร้อนรนขึ้นมา
ภาพวาดที่พวกเขาสร้างขึ้นก็ทำให้จักรพรรดิชาง บรรพชนฝาน จอมกระบี่ และบุคคลผู้ไร้เทียมทานจำนวนหนึ่งมองเห็นได้เช่นกัน
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกันเป็นอย่างยิ่ง
ด้านหนึ่ง
พวกเขาตกตะลึงในพลังยุทธ์ของจ้าวหิมะเหิน รู้สึกว่าผู้ที่สามารถสังหาร ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ที่เคยเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในสมัยก่อนได้จนถึงขั้นนี้ ถึงขนาดที่ดูเหมือนว่าจะรู้จัก ‘เคล็ดวิชาการสะกดรอย’ ทำให้ราชันย์อนธการอมตะไร้ซึ่งหนทางหลบหนี! ฝีมือที่สามารถสังหารราชันย์อนธการอมตะได้เช่นนี้ เกรงว่าก็คงสามารถสังหารบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ ในใต้หล้านี้ได้เช่นเดียวกัน
ต่อให้มีร่างแยกมากมายมหาศาล เกรงว่าจ้าวหิมะเหินก็คงสามารถสังหารร่างแยกของศัตรูได้เช่นเดียวกัน! คงมีเพียงร่างแยกที่ซ่อนตัวอยู่ที่โลกกำเนิดอื่นๆ ของศัตรูเท่านั้นกระมังจึงจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้
พลังคุกคามเช่นนี้…
เพียงพอที่จะทำให้ใต้หล้าต้องหวั่นเกรง! ไม่ต้องพูดถึงเหล่ามารเลย แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
“จ้าวหิมะเหินพลังยุทธ์แข็งแกร่งก็ช่างเถิด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการหลบหนีและซ่อนเร้นร่องรอยรอยล้วนไม่มีประโยชน์เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา” จักรพรรดิเซี่ยรำพึง “ก่อนหน้านี้ขั้นสุดยอดระดับสามัญคนหนึ่งๆ ต่างก็สามารถคุกคามใต้หล้าได้ตามอำเภอใจ ก็เป็นเพราะว่าเมื่อใดที่ซ่อนเร้นร่องรอย แม้กระทั่งข้าก็ยังไม่สามารถสะกดรอยได้ ‘เจ้าเมืองอนันต์’ ผู้เดียวที่สามารถสะกดรอยได้ก็ไม่อยากข้องเกี่ยว”
“แต่ว่าจ้าวหิมะเหิน ไม่เพียงแต่มีพลังยุทธ์ในการล่าสังหารเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการสะกดรอยด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่มีทางหนีได้พ้นเลย”
“แต่ถ้าหากเขาไม่มีอาวุธเทพคละถิ่น พลังคุกคามก็จะลดลงอย่างมหาศาลเลยทีเดียว”
จักรพรรดิเซี่ยพูด “การไล่ล่าสังหารในครั้งนี้ เขาออกจะประมาทเกินไปหน่อยเสียแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงการไล่ล่าสังหารการหลบหนีก็เพราะว่าที่บริเวณใกล้ๆ การกัดกร่อนส่งผลกระทบต่อเขาต่ำยิ่งนัก เขาจึงได้กล้าไล่ตาม!
“แต่จ้าวหิมะเหินจะทำการใด หากไม่มีความมั่นใจก็ไม่มีทางทำอยู่แล้ว เหมือนก่อนหน้านี้เขาก็เคยต้องการจะล้อมสังหารราชันย์อนธการอมตะ เพราะมิอาจขอให้เจ้าเมืองอนันต์ช่วยได้ ก็มิได้รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด” บรรพชนฝานพูดขึ้น “ในเมื่อเขากล้าไล่ตาม เกรงว่าคงจะมีความมั่นใจแล้วล่ะ”
“ถ้าหากเขาสังหารราชันย์อนธการอมตะได้แล้วยังสามารถพกเอาอาวุธเทพคละถิ่นกลับไปยังดินแดนจิตโลกาได้ด้วย เช่นนั้นก็น่าหวาดหวั่นเสียแล้วล่ะ!” จักรพรรดิชางรำพึง “ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เกรงว่าคงไม่มีใครไม่หวั่นกลัวหรอก”
“ใช่แล้ว” จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า ไปถึงระดับนั้นแล้ว ต่อให้เขาอยู่ในนครรัฐอันเป็นที่มั่นก็ยังไม่มั่นใจว่าจะต้านทานตงป๋อเสวี่ยอิงได้เลย
เขา จักรพรรดิเซี่ย ก็เป็นเช่นนี้
บุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ แม้อยู่ ณ ที่มั่น ก็ยังมิอาจเอาชนะจ้าวหิมะเหินผู้นี้ได้!
“หืม”
“นี่มัน…”
เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาและเหล่าเทพจักรวาลจำนวนมากดูเหมือนว่าจะสัมผัสรับรู้ได้เสียแล้ว! กระจกยลฟ้าแต่ละบานต่างก็หันไปทางจุดกำเนิดของระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนั้น
ปัง!!!
แรงระเบิดนั้นแข็งแกร่งพอที่จะระเบิดทลายผนังโลกกำเนิดได้ หลังจากที่ระเบิดเป็นโพรงดำทะมึนขนาดมหึมาหลายร้อยเมตรแล้ว ก็มีเงาร่างสายหนึ่งทะยานออกมาจากโพรงอันดำทะมึน
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่าง มือหนึ่งกุมหอกชิงเหอ มือหนึ่งถือมงกุฎมรณะ
“มงกุฎหรือ มงกุฎมรณะหรือ”
“นั่นคือมงกุฎมรณะของราชันย์อนธการอมตะหรือ”
มองเห็นจ้าวหิมะเหินกุมหอกชิงเหอกลับมา บุคคลผู้ไร้เทียมทานมากมายต่างก็หัวใจสั่นสะท้าน ฝันหวานในใจของพวกเขาที่คาดหวังให้จ้าวหิมะเหินผู้นี้ทิ้งหอกชิงเหอเอาไว้ในนั้น หมดกัน! ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครอยากให้มีบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นที่สามารถคุกคามมาถึงชีวิตของพวกเขาได้โผล่ขึ้นมาเหนือหัวอยู่แล้ว
แต่เหล่าเทพจักรวาลจำนวนมากเมื่อได้เห็น ‘มงกุฎมรณะ’ นั้นแล้วก็เต็มไปด้วยความพรั่นพรึง
พวกเขาต่างก็เข้าใจดี
นั่นคือสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าของราชันย์อนธการอมตะ! สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าต่างก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงคว้าเอาไว้ในมือ ชะตาชีวิตของราชันย์อนธการอมตะ ไม่ต้องคิดก็ทราบได้แล้ว
“กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว” ณ รัฐเมฆทักษิณา ประมุขรัฐเมฆทักษิณา แม่เฒ่าอิงซาน และคนอื่นๆ ต่างก็ตื่นเต้นยินดีหาใดเปรียบ
“น่ากลัวยิ่งนัก”
“ในที่สุดราชันย์อนธการอมตะก็ตายเสียที ตายเสียที!!!”
เหล่าผู้แกร่งกล้ามากมายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็หัวใจสั่นสะท้านด้วยเหตุนี้
‘เจ้าสำนักเหยียนโม๋’ แห่งทะเลสาบมารทมิฬมองดูเงาร่างในอาภรณ์ขาวผู้ซึ่งมือหนึ่งกุมหอกชิงเหอ อีกมือถือมงกุฎมรณะบนกระจกยลฟ้าผู้นั้นแล้วกลับทอดถอนใจเสียงต่ำว่า “จากวันนี้เป็นต้นไป ดินแดนจิตโลกาก็เข้าสู่ยุคสมัยใหม่แล้ว! ยุคสมัยที่เป็นของจ้าวหิมะเหิน ยุคที่ไม่มีที่ว่างให้เหล่ามาร”
(จบบทที่ 36)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น