Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 36 ตอนที่ 52-55

 ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 52 ขั้นสุดยอด (1)

 

“หืม”


 


“เป็นจักรพรรดิสามท่าน ท่านนั้นก็คือจ้าวหิมะเหิน”


 


ผู้ที่เฝ้าสังเกตการณ์บริเวณรอบๆ มาเป็นระยะเวลานานสังเกตเห็นจักรพรรดิสามท่านและตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ก็มิได้เข้ามาขัดขวางห้ามปราม


 


ถึงอย่างไรไม่ว่าใครๆ ก็รู้ว่าจักรพรรดิท่าหนึ่งร่วมมือกับจ้าวหิมะเหิน ต่างก็สามารถต่อสู้กับยอดเคารพได้แล้ว


 


“พลังคุกคามน่าหวาดหวั่นนัก” จักรพรรดิวายุทิพย์มองดูกระแสน้ำวนมืดมิดอันใหญ่มหึมาหาใดเปรียบกว้างใหญ่ไพศาลและหัวอสรพิษขนาดใหญ่มหึมาอันดุร้ายหาใดเปรียบแล้วรำพึงว่า “ได้ยินว่าหัวอสรพิษนี้ก็คือหัวอสรพิษของงูใหญ่ตัวหนึ่งที่เป็นหนึ่งในสองสิ่งมีชีวิตคละถิ่นผู้ยิ่งใหญ่ที่ตายตกไปนั่นเอง


 


ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้ว กระแสน้ำวนที่เกิดขึ้นก็ยังไม่มลายหายไปตลอดกาล พวกเราฝืนเข้าไปก็ยังต้องตาย”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ามองดูหัวอสรพิษสูงตระหง่านหาใดเปรียบที่ราวกับสลักเสลาขึ้นจากก้อนหิน ขนาดของหัวอสรพิษก็พอๆ กันกับกระแสน้ำวนมืดมิด ก็เทียบเคียงได้กับอาณาเขตของนครแห่งหนึ่งของรัฐเมฆทักษิณาแล้ว ถ้าหากงูใหญ่ทั้งตัวยังคงอยู่ จะใหญ่โตมโหฬารสักเพียงใดกัน


 


ร่างกายนี้ใหญ่โตจนยากจะหยั่งคะเนได้แล้ว มิเสียทีที่เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด ทั้งยังเป็นสิ่งที่งดงามในบรรดาพวกเขาอีกด้วย  อย่างเช่น ‘จักรพรรดิเหวศิลา’ และ ‘ลูกมังกรหมื่นสัมผัส’ เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขา ก็เหมือนกับตั๊กแตนน้อยต่อหน้ามังกรยักษ์


 


“เป่ยเหอหนีเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้ว พวกเราก็ไม่มีทางไล่ล่าสังหารได้”


 


“นับได้ว่าเขาหนีอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว”


 


“ขอบคุณทั้งสามท่านด้วย เป่ยเหอเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไปชั่วคราวก่อนแล้วล่ะ”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิสามท่านแยกย้ายกันจากไปตามลำพัง


 


……


 


เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึง ‘หยาดน้ำพันเนตร’ นั่นก็คือสมบัติชั้นยอดที่สามารถช่วยให้เข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษได้ เรื่องราวยังเกี่ยวพันไปถึง ‘ยอดเคารพซื่อฝา’ หนึ่งในห้ายอดเคารพด้วย จักรพรรดิเป่ยเหอและ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาผู้นั้นด้วย ดังนั้นข่าวสารจึงแพร่สะพัดไปได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก แพร่ไปถึงผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดของหุบเขาเขี้ยวหักอย่างรวดเร็ว


 


แต่ละคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้


 


อิจฉา ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้นั้น แล้วก็รู้สึกว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้ช่างน่าสงสารนัก


 


“เขาช่วยเหลือจักรพรรดิเป่ยเหอ ก็มีความสามารถเทียบได้กับยอดเคารพซื่อฝา แต่นอกจากเคล็ดวิชาวิญญาณแล้ว พลังยุทธ์ของตัวเขาเองก็อ่อนแอเกินไปแล้ว! เผชิญหน้ากับจักรพรรดิเป่ยเหอก็ไม่มีความสามารถที่จะต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย ถูกผลาญสังหารได้อย่างง่ายดาย”


 


“ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญเท่านั้น เดิมทีพลังยุทธ์ของผู้บำเพ็ญก็อ่อนแอเป็นที่สุดอยู่แล้ว”


 


“พลังยุทธ์ไม่เพียงพอก็ย่อมรักษาหยาดน้ำพันเนตรเอาไว้มิได้อยู่แล้ว”


 


“หยาดน้ำพันเนตรนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าของหุบเขาเขี้ยวหักของข้า ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาจะมีคุณสมบัติคู่ควรที่จะครอบครองมันได้เสียที่ไหนกัน”


 


ถึงแม้ว่าผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดภายในหุบเขาเขี้ยวหักจะค่อนข้างเคารพจ้าวหิมะเหิน แต่ก็ยังมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาอยู่ในสายตาเอาเสียเลย ถึง ‘จ้าวหิมะเหิน’ จะมีชื่อเสียงเช่นนี้ แต่ก็มิได้ยอมรับมาโดยตลอด คราวนี้จ้าวหิมะเหินประสบเคราะห์หนัก ก็ย่อมรู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว


 


******


 


การส่งข่าวสารระหว่างดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักเชื่องช้าอย่างยิ่ง แต่ว่าหลังจากเรื่องราวเกิดขึ้นไปห้าปีให้หลัง ก็ค่อยๆ แพร่สะพัดมาถึงยังดินแดนจิตโลกาแล้วเช่นกัน


 


ภายในโถงตำหนักอันมืดสลัวเยียบเย็นแห่งหนึ่ง


 


เสาที่มีภาพค่ายกลอันแปลกประหลาดต้นแล้วต้นเล่า บนเสาทุกต้นต่างก็มีวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งอยู่ตนหนึ่ง


 


“พรึ่บ” สติรับรู้สายหนึ่งเคลื่อนเข้ามา พลังฟ้าดินรวมตัวกันกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีเสื้อคลุมกันลมผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือร่างแปรของบรรพชนราตรีนิรันดร์


 


ยามที่ร่างแปรของบรรพชนราตรีนิรันดร์มาถึงก็กระตุ้นเตือนวิญญาณอาฆาตบนเสาแต่ละต้นที่อยู่ด้านข้างในทันใด วิญญาณอาฆาตเหล่านี้มีบางส่วนที่ดิ้นรนขึ้นมาแล้วส่งเสียงคำรามพลางจ้องมองบรรพชนราตรีนิรันดร์อย่างขุ่นเคือง มีบางส่วนที่ลืมตาขึ้นมองบรรพชนราตรีนิรันดร์ปราดหนึ่งแล้วก็หลับใหลต่อไป มีบางส่วนที่จ้องมองบรรพชนราตรีนิรันดร์อย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เสาต้นหนึ่งก็มีวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งอยู่หนึ่งตน มีวิญญาณอาฆาตอยู่ทั้งสิ้นสิบสองตน


 


“ไม่รู้ว่าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่อีก” บรรพชนราตรีนิรันดร์ลอบบ่นพึมพำ


 


“ราตรีนิรันดร์ เจ้ามาแล้วสินะ” ราชันย์อนธการอมตะในอาภรณ์ทองงามหรู ศีรษะสวมมงกุฎที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไกลออกไปลืมตาขึ้นแล้วมองลงมายังบรรพชนราตรีนิรันดร์ “ตอนนี้เจ้าไม่ช่วยเหลือข้าแล้วจะมาหาข้าที่นี่ทำไมกัน”


 


บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยว่า “ราชันย์อนธการ นี่จะมาตำหนิข้ามิได้หรอกนะ ท่านก็รู้ถึงชื่อเสียงของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นในตอนนี้ เขามีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นในหุบเขาเขี้ยวหัก ผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักเหล่านั้นต่างก็พากันส่งมอบสมบัติล้ำค่ามากมายให้กับเขา ในภายหน้าก็มีความหวังที่จะไปถึงขั้นสุดยอดได้ เมื่อใดที่ไปถึงขั้นสุดยอด ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาก็ได้ ข้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนะ! โชคดีที่ข้าขอให้ ‘นิจรัตติกาล’ ช่วยเหลือ ไปพูดคุยให้ รับปากคำสัญญามากมาย จ้าวหิมะเหินนั่นก็รับปากจะแก้แค้นให้”


 


“หึ ก็แค่กลัวตายเท่านั้นแหละ” ถึงแม้ว่าราชันย์อนธการอมตะจะเข้าใจ แต่ก็ยังหัวเราะเยาะอยู่ดี


 


“ช่วยไม่ได้นี่” บรรพชนราตรีนิรันดร์ส่ายหน้า


 


เขาก็รู้สึกเสียเกียรติเช่นเดียวกัน


 


แต่เขาก็กังวลว่าในภายหน้าจะเผชิญกับการไล่ล่าสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิ ถึงขนาดที่มิกล้าไปพูดจาด้วยตนเอง เพราะว่าถึงอย่างไรก็มีความแค้นกัน ขอให้ ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ ช่วยเหลือ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยอมรับปาก ตอนที่เรื่อง ‘หยาดน้ำพันเนตร’ เพิ่งเกิดขึ้นเพียงแค่หนึ่งปีให้หลัง บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ไปพบตงป๋อเสวี่ยอิงตามลำพังอย่างเงียบๆ แล้วขอขมาอีกทั้งยังให้สัตย์สาบานต่อหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย


 


ผู้บำเพ็ญก็ยังให้ความสำคัญกับการสาบานเป็นอย่างยิ่ง!


 


อันที่จริงแล้ว


 


บรรดามารเหล่านี้ อย่างเช่นราชันย์อนธการอมตะ บรรพชนราตรีนิรันดร์ ประมุขรัฐจันทร์บุปผา และมารขั้นสุดยอดคนอื่นๆ จำนวนหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิให้หนทางรอดชีวิตอยู่แล้ว! แต่เพียงแค่ให้สัตย์สาบานตามเงื่อนไข ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับปากจะไม่ไล่ล่าสังหาร ตงป๋อเสวี่ยอิงทำเช่นนี้ก็เพราะตอนนี้เขาก็ไม่สามารถสังหารขั้นสุดยอดเหล่านั้นได้ ถ้าหากไม่ให้หนทางรอดชีวิตแล้วขั้นสุดยอดเหล่านี้เกิดบ้าคลั่งขึ้นมาจริงๆ ก็จะก่อให้เกิดมหันตภัยครั้งแล้วครั้งเล่าขึ้นมาได้


 


มีผู้ที่มาขออภัยและให้สัตย์สาบานกันเป็นจำนวนมาก


 


ก็เหมือนกับพวก ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ นี้ที่มีใจคิดจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเพียงอย่างเดียว ลำพังอาศัยแค่ตนเองบำเพ็ญก็ไม่มีความหวังแต่อย่างใด เขาหมดความมั่นใจไปนานแล้ว คิดแต่จะเข้าไปยัง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ เพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงฉีกหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง ตอนนี้ก็กำลังจับกุมรวบรวมวิญญาณจำนวนมหาศาลอย่างบ้าคลั่ง สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต้องจบชีวิตลงเพราะเขา ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจต้านทานสิ่งนี้ได้!


 


“เขา อิงซานเสวี่ยอิงอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก คราวนี้ก็จะไม่ประสบเคราะห์อีกเหมือนกันหรือ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มหยัน “เขาถึงกับโชคดีเคยได้ ‘หยาดน้ำพันเนตร’ มาครอบครอง แต่พลังยุทธ์ไม่เพียงพอ ในที่สุดก็ถูกผู้อื่นชิงสมบัติไป ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเป่ยเหอรักษามารยาทต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่บอกว่าแปรพักตร์ไม่แปรพักตร์น่ะหรือ หึๆ ยามปกติเหล่าผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักก็ยังสามารถไว้หน้าเขาได้บ้าง แต่เมื่อเกี่ยวพันไปถึงโอกาสในการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เขา อิงซานเสวี่ยอิงจะนับเป็นอะไรได้เล่า”


 


“ถูกต้อง ผู้แกร่งกล้าเหล่านั้นของหุบเขาเขี้ยวหักก็เพียงแค่รู้สึกว่าเขามีประโยชน์ใช้ได้อย่างคุ้มค่าเท่านั้นแหละ” บรรพชนราตรีนิรันดร์พยักหน้า “ถึงอย่างไรเมื่อพูดถึงพลังยุทธ์ สุดท้ายแล้วพวกเราผู้บำเพ็ญก็ด้อยกว่าผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักมากมายนัก หยวนเองก็ได้บัญญัติกฎเกณฑ์เอาไว้ ทำให้สุดยอดผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักไม่สามารถเข้ามายังดินแดนจิตโลกาได้”


 


……


 


เหล่าสุดยอดผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกา


 


มีบางคนที่ยอมจำนนต่ออิทธิพลของตงป๋อเสวี่ยอิง ยอมขอขมาและยอมแพ้ มีบางคนที่อิจฉาริษยา หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในหุบเขาเขี้ยวหักแล้วต่างก็ลอบหัวเราะเยาะกันเป็นจำนวนมาก


 


“ดูจากความโอหังของเขา ก็ยังพูดว่าในอนาคตอาจเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกา แต่ตอนนี้ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ผู้แกร่งกล้าของหุบเขาเขี้ยวหักเหล่านั้นไม่บอกว่าแปรพักตร์ก็แปรพักตร์อย่างนั้นหรือ”


 


“ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ก็อ่อนแออยู่ดี”


 


“ต่างก็ว่ากันว่าเขามีหวังที่จะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด แต่ก็ไม่แน่ว่าเมื่อติดขัดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะค้างอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานเท่าใด”


 


แต่ละฝ่ายลอบวิพากษ์วิจารณ์


 


สิ่งที่ทุกคนพูดก็มีเหตุผล! อยากจะไปถึงขั้นสุดยอดนั้นช่างยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง อาวุธเทพคละถิ่น เพราะว่าจ้าวหิมะเหินที่ร่ำลือกันมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ บวกกับโอกาสมากมายในหุบเขาเขี้ยวหัก ต่างก็คิดว่าความหวังในการสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดของเขานั้นมีมากมายนัก แต่ต่อให้มีความหวังมากกว่านี้ก็เป็นเพียงแค่ ‘ความหวัง’ เท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่บรรลุ ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดยั้งอยู่ที่จุดคอขวดไปเนิ่นนานเพียงใด


 


******


 


โลกภายนอกอันวุ่นวาย ภายในเมืองหิมะเหิน ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่านวารวันไปอย่างเรื่อยเปื่อยเช่นเดิม


 


บอกว่าเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในอนาคตอะไรกัน


 


บอกว่าจะติดค้างอยู่ที่จุดคอขวด ค้างเนิ่นนานเพียงใดกัน


 


บอกว่าที่หุบเขาเขี้ยวหักก็จะถูกรังแกได้อย่างง่ายดายอันใดกัน


 


“เสวี่ยอิง เรื่องหยาดน้ำพันเนตรนั่นเป็นความจริงหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามาถามไถ่ด้วยตนเอง


 


“ท่านอาจารย์ เชิญนั่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงดูเมฆที่บางครั้งก็รวมตัว บางครั้งก็กระจายตัว มองเห็นอาจารย์มาถึงก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม


 


“ถามเรื่องของเจ้านั่นแหละ” หลังจากที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณานั่งลงแล้วตนเองก็รินสุราให้กับคนเอง ดื่มสุราไปจอกหนึ่งแล้วก็จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง


 


“เป็นความจริงขอรับ! นี่ก็เป็นเรื่องปกติ นอกจากเคล็ดวิชาวิญญาณแล้ว พูดถึงพลังยุทธ์ในการห้ำหั่นซึ่งหน้า ข้าจะนับเป็นอะไรที่หุบเขาเขี้ยวหักได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ


 


“โธ่! ช่างน่าเสียดายนัก โอกาสในการเข้าไปยังสถานที่ต้องห้ามในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหักอยู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องมาพลาดพลั้งไปเช่นนี้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ย ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่รู้ว่าทางเดินเขี้ยวอสรพิษคืออะไร แต่พอข่าวนี้แพร่ออกไปแล้วเขาจึงได้ถามไถ่ดูอย่างละเอียด จึงได้รู้ถึงความลึกลับอันแสนพิเศษของทางเดินเขี้ยวอสรพิษ แม้กระทั่งห้ายอดเคารพของหุบเขาเขี้ยวหักก็ยังอยากเสี่ยงชีวิตเข้าไปเลย


 


“ไม่มีสิ่งใดให้เสียดายเลยขอรับ แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถครอบครองหยาดน้ำพันเนตรหยดนั้นเอาไว้เพียงคนเดียวได้อยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เขาสงบนิ่งมาโดยตลอด ไม่เคยคาดหวังมาก่อนเลย “เพียงแต่ข้ามองจักรพรรดิเป่ยเหอผิดไป ข้าได้ให้สัญญาและสาบานไปมากมายแล้ว ถึงขนาดที่รับปากว่าร่างแยกร่างนั้นจะติดตามอยู่ข้างกายเขาไปตลอด เขาก็ยังไม่วางใจแล้วกลับเลือกที่จะล่วงเกินข้า และต้องการจะช่วงชิงหยาดน้ำพันเนตรหนีไปในทันที”


 


ประมุขรัฐเมฆทักษิณาฟังแล้วก็พยักหน้า “อืม เสียดาย ถ้าหากพลังยุทธ์ของเจ้า เสวี่ยอิง แข็งแกร่งพอ สามารถเทียบเคียงได้กับระดับอย่างจักรพรรดิเซี่ยนี้ บวกกับเคล็ดเขตลวง ก็คงไร้ซึ่งความหวาดหวั่นแม้แต่น้อย”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ


 


สุดท้ายพลังยุทธ์ก็สู้ผู้อื่นมิได้ ไม่มีอะไรให้น่าพูดถึงเลย


 


……


 


เรื่องหยาดน้ำพันเนตรแพร่กระจายไปยังหุบเขาเขี้ยวหักและดินแดนจิตโลกา แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเจียมเนื้อเจียมตัวบำเพ็ญมาโดยตลอด


 


วันนี้


 


ณ จวนจ้าวในเมืองหิมะเหิน


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ใต้ศาลา มองดูฝูงปลาแหวกว่ายกลางทะเลสาบ ทันใดนั้นก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดนั้นขึ้นมา


 


ภาพเหตุการณ์ที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้นเหินทะยานอยู่กลางห้วงมิติคละถิ่นอันไร้ซึ่งขอบเขต


 


“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นเช่นนี้ ทุกการเคลื่อนไหวต่างก็มีพลังคุกคามอย่างยากที่จะจินตนาการได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงจดจำเอาไว้อย่างล้ำเลิศยิ่ง สามารถจดจำทุกสิ่งอย่างเอาไว้ได้อย่างแจ่มชัด ยามที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้นเหินทะยานแหวกว่ายมีความเร้นลับอื่นๆ แฝงเอาไว้บนร่างก็แล้วไปเถิด แต่ ‘วิถีอากาศ’ เป็นความเชี่ยวชาญที่สุดของเขา ขณะนี้ก็ระลึกถึงภาพเหตุการณ์นั้นอย่างต่อเนื่องอย่างห้ามมิได้ ใคร่ครวญถึงความเร้นลับวิถีอากาศที่แฝงอยู่ในการเหินทะยานแหวกว่ายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้น


 


เหินทะยานแหวกว่าย


 


การสั่นสะท้านครั้งหนึ่งก็สามารถบินผ่านระยะทางห่างไกลของโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้ว การควบคุมวิถีอากาศก็ไปถึงระดับที่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงได้อย่างง่ายดาย


 


“ช่างงดงามสมบูรณ์แบบเหลือเกิน”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไม่เห็นข้อบกพร่องใดๆ ของการเหินทะยานแหวกว่ายนี้เลย


 


ทั้งหมดทั้งมวลรวมกันเป็นหนึ่งเดียว!


 


เขาชื่นชมในความงดงามนี้ ชื่นชมความไม่ธรรมดาทุกการเคลื่อนไหวยามที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมานั้นเหินทะยานแหวกว่าย


 


“ภาพฟ้าภาพดินผสานรวม!”


 


“ภาพสาย กลับงดงามถึงเพียงนี้”


 


“ภาพปะทุ ก็สามารถบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงชื่่นชม แล้วในห้วงสมองก็มีแสงทิพย์วิญญาณ์สายหนึ่งวาบผ่านอย่างช้าๆ


 


ร่างแยกของเขาภายใน ‘เจดีย์เจ็ดระฆัง’ ก็ปลีกวิเวกหยั่งรู้วิถีอากาศมาโดยตลอด ก็ได้รับอะไรมามากมาย เขาต้องการที่จะคิดค้นท่าไม้ตายที่หกของวิถีอากาศออกมาโดยตลอด ตอนนี้ในขณะนี้ แสงทิพย์วิญญาณ์ปรากฏขึ้น การตระหนักรู้มากมายในอดีตถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันราวกับลูกปัดก็มิปาน


 


“ภาพฟ้า ภาพดิน ภาพลวง ภาพปะทุ และภาพแก่นพัวพันรัดเกี่ยวกัน รวมกันด้วยภาพอากาศ! แล้วสร้างความเชื่อมโยงกันด้วย ‘ภาพสาย’…” ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏภาพยามที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมาตนนั้นโบกสะบัดหางยามที่เหินทะยาน โบกสะบัดครั้งหนึ่งก็มี ‘ภาพสาย’ มากมาย ภาพสายที่แตกต่างกันผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ


 


“ภาพสายสามเส้นก็ใช้ได้แล้ว”


 


“ภาพสายสามเส้นผสานรวมเข้าด้วยกัน รวมกันด้วยวิถี ‘ทวีคูณ’”


 


“รวมกำลัง กลับคืนสู่มหาวิบัติ!”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมา เขาอยากทำให้เก้าสายผสานรวมกันมาโดยตลอด จนถึงขนาดสั่งสมไปจนถึงระดับที่หนาแน่นหาใดเปรียบ ขาดเพียงแค่แสงทิพย์วิญญาณ์สุดท้ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


ในที่สุดขณะนี้เขาก็ตระหนักรู้แล้ว ตระหนักรู้แสงทิพย์วิญญาณ์จุดหนึ่งขึ้นมาจากการชื่นชมภาพเหตุการณ์ที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นนั้นแหวกว่าย ซึมซับการหยั่งรู้จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 53 ขั้นสุดยอด (2)

 

ณ ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ ของโลกกำเนิดบ้านเกิด เรือแบนราบราวใบไม้ลำหนึ่งกำลังลอยละล่องอยู่กลางอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหัวเรือ


บัดนี้เขาบำเพ็ญมาจนถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว


ไม่ว่าจะเป็นร่างแยกในดินแดนจิตโลกา หรือว่าร่างแยกทางบ้านเกิด หรือแม้กระทั่งร่างแยกที่อยู่ใต้ ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ ก็หยุดการรับรู้วิถีเขตลวงโลกเทียมลงชั่วคราว ร่างแยกทั้งหมดล้วนค้นคว้าวิถีอากาศจนหมดทั้งกายและใจ!


“ฟ้า ดิน ลวง แท้ ปะทุ ห้าภาพพันพาดกัน ภาพอากาศ โอบล้อมพวกมันไว้ ภาพสาย ร้อยเชื่อมพวกมันไว้!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวเรือ มือขวายกขึ้นมาเบาๆ


แคว่ก…


รอยแยกสีดำสายหนึ่งพลันแหวกฟ้าดินออกมา และแหวกอากาศอันสับสนอลหม่าน รวมไปถึงฉีกทึ้งผนังเยื่อของโลกกำเนิดด้วย นอกจากรอยแยกสีดำสายนี้แล้ว ก็มีพลังคละถิ่นที่ม้วนตัวเข้ามา รอยแยกสายนี้ยาวประมาณร้อยกว่าลี้ ขนาดกว้างราวนิ้วมือหนึ่ง!


แคว่ก! แคว่ก! แคว่ก!


ทุกครั้งที่ยกมือขึ้นมาเบาๆ คราหนึ่ง หรือลากนิ้วไป โลกกำเนิดก็จะถูกตัดเฉือนออกจนกลายเป็นรอยแยก


ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองกระบวนท่าอยู่ที่นี่ ส่วนร่างแยกที่อยู่ในเจดีย์เจ็ดระฆังแห่งดินแดนจิตโลกาก็พยายามผลักดันการบำเพ็ญอย่างสุดกำลัง การบำเพ็ญในเจดีย์เจ็ดระฆังนั้นมีประสิทธิภาพสูงยิ่งนัก แสงทิพย์ผุดขึ้นมา แล้วทำให้กระบวนท่าสมบูรณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าจึงจะทำให้สมบูรณ์ขึ้นได้ครั้งหนึ่ง


“แคว่ก แคว่ก”


เสียงฉีกทึ้งผนังเยื่อโลกกำเนิดทำให้คนหวาดหวั่นใจ


เสียงนี้ค่อยๆ แผ่วเบาลงเรื่อยๆ รอยแยกที่แหวกออกมาก็ยิ่งไม่สะดุดตาขึ้นเรื่อยๆ


สิบกว่าวันให้หลัง


“ฟิ้ว”


เสียงนุ่มนวลราวกับหายใจ


ฝ่ามือโบกเบาๆ ระหว่างฟ้าดินก็มีรอยแยกยาวต่อเนื่องสายหนึ่งปรากฏขึ้น รอยแยกนี้ยาวมาก ยาวถึงสามร้อยลี้ ทั้งยังบางมาก บางเสียจนแทบจะแยกไม่ออกด้วยตาเปล่า ร่องรอยของมันยังขยับเป็นจังหวะน้อยๆ  มิได้ตรงแน่วหรือว่าคดโค้งเสียทีเดียว


“ใกล้แล้ว ควบคุมได้ถึงขั้นนี้ก็เพียงพอแล้ว ต่อไปก็คือ ‘ภาพสาย’ สามสายผสานรวมซึ่งกันและกัน เมื่อ ‘พหุธาตุ’ หลอมรวมเป็นหนึ่งก็จะกลับสู่การทำลายล้างร่วมกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด


วิถีอากาศมีทั้งหมดเก้าสาย ก็คือฟ้า ดิน ลวง แท้ ปะทุ สาย อากาศ พหุธาตุและทำลายล้าง


“ภาพสายพัวพัน พหุธาตุรวมเป็นหนึ่ง ทั้งหมดคืนกลับสู่การทำลายล้าง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงบ่นพึมพำเสียงต่ำ


มือขวาโบกออกไปอีกครั้ง


เพียงแต่ครั้งนี้ นิ้วมือแต่ละนิ้วโบกเบาๆ


ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว


รอยแยกสามสายที่ฉีกทึ้งผนังเยื่อโลกกำเนิดปรากฏขึ้นต่อเนื่องกัน หลังจากทั้งสามสายปรากฏขึ้นแล้วก็ประสานกันอย่างรวดเร็ว แล้วกระแทกจนเกิดเป็นคูหาดำทะมึนซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าเมตรขึ้นมาทันที


“ไม่ถูกต้อง โง่เง่าเกินไปแล้ว”


เขาโบกมืออีกครั้ง


ทดลองกระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่า


ความทรงจำของร่างแยกทั้งหลายเชื่อมต่อกัน ความรู้สึกทั้งหลายก็หลอมรวมกันอย่างต่อเนื่อง ความคิดบางอย่างเมื่อผ่านการพิสูจน์แล้วก็กำจัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ส่วนที่ถูกต้องก็ดูดซับเอาไว้! แล้วเข้าใกล้ภาพความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ที่จินตนาการเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงถือครองอาวุธเทพคละถิ่น และมีสมบัติลับระดับยอดสุด ดังนั้นจึงเคยสัมผัสวิถีอากาศ   ‘ขั้นสุดยอด’มาแล้ว! เขามุ่งหน้าเข้าใกล้วิถีอากาศขั้นสุดยอดอย่างต่อเนื่อง


……


“ห้าสายรวมเป็นหนึ่งนี่เอง” หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองมาครึ่งปีจึงพบข้อผิดพลาด ท่าไม้ตายที่หกที่เขาเกิดแสงทิพย์ขึ้นมาและหมายจะคิดค้นขึ้นมานั้นอ้างอิงจากการโบยบินและเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้น แต่เนื่องจากทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ย่อมมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เมื่อหวนนึกถึงภาพที่ได้ ‘เห็น’ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้นโบยบินและเคลื่อนไหวโดยละเอียดหลายครั้งเข้า จึงมั่นใจได้อย่างเต็มที่


คือห้าสายรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง


หางที่เคลื่อนไหวนั้นเป็นสามสายจริงๆ


แต่ร่างกายอันใหญ่โตกลับเป็น ‘หนึ่งสาย’ แล้ว ส่วนพลังคละถิ่นที่โหมซัดอยู่รอบด้านผสานรวมกับร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่อย่างสมบูรณ์แบบ ก็เป็น ‘หนึ่งสาย’ เช่นเดียวกัน


นี่จึงจะเป็น ‘ห้าสาย’


“ห้าสายรวมเป็นหนึ่ง”


“หนึ่งคือดึงดูด สองคือท่วงท่า สามคือแก่นแท้”


“พหุธาตุรวมเป็นหนึ่ง กลับคืนสู่ความเงียบเหงา!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่หัวเรือ ยามนี้เขาทดลองกระบวนท่าครั้งแล้วครั้งเล่า แค่ละครั้งอานุภาพของกระบวนท่าก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ ‘จอมกระบี่’ และ ‘เจ้าศิลา’ ตกใจจนต้องมาดู พวกเขาทั้งสองมองดูอยู่ห่างๆ ก่อนจะจากไปพลางหัวเราะร่า ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญจนมีความเคลื่อนไหวเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกตินัก


******


ต่อให้มีแบบจำลองแล้ว และยังมีเจดีย์เจ็ดระฆังคอยช่วยเหลือด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องเสียเวลาไปสองหมื่นกว่าปีจึงสำเร็จได้


ระหว่างนั้นก็พบปัญหามากมายยิ่งนัก


เช่นห้าสายรวมเป็นหนึ่ง แต่ละสายเกิดความเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่นอย่างและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน พหุธาตุพันพาด รวมตัวกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ


“ตู้ม”


วันหนึ่งในระหว่างสองหมื่นกว่าปีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ที่หัวเรือนั้น จู่ๆ นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา กำปั้นหนึ่งต่อยออกไปข้างหน้า


ตู้ม…


อากาศรอบกำปั้นนี้พลันเงียบสงบไป แล้วแตกสลายกลายเป็นผุยผงจนสิ้น ทำเอาผนังเยื่อของโลกกำเนิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นปะทะเข้าไปกลางมิติคละถิ่นอันเวิ้งว้าง


กำปั้นนี้ราวกับการโบยบินของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้น ใหญ่โตมโหฬาร มิอาจต้านทานได้!


เหิมเกริม!


ท่วงท่าแข็งแกร่ง!


วิถีอากาศเก้าสายของตงป๋อเสวี่ยอิงรวมเป็นหนึ่ง โดยมี ‘ผลาญเอกา’ เป็นจุดสิ้นสุดสุดท้าย ทุกสิ่งกลับคืนสู่ผลาญเอกา


“ท่าไม้ตายที่หกสำเร็จแล้ว ขั้นสุดยอดก็สำเร็จแล้ว” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงเต้นรัว บนใบหน้าฉายรอยยิ้มอันยากจะปกปิด ท่าไม้ตายที่หกก็คือเก้าสายรวมเป็นหนึ่งอย่างครบสมบูรณ์! ในที่สุดเขาก็รู้แจ้งวิถีอากาศอย่างสมบูรณ์แล้ว


“ขั้นสุดยอด ในที่สุดข้าก็บรรลุขั้นสุดยอดแล้ว!”


“ขั้นสุดยอดด้านวิถีอากาศ!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมาอย่างอดมิได้


นานเกินไปแล้ว


นับตั้งแต่รู้ว่าบ้านเกิดเข้าใกล้การแตกสลายครั้งใหญ่อยู่ทุกชั่วขณะจิต เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าภาระหนักหน่วงอันไร้รูปร่างกดดันเขาเอาไว้ตลอดเวลา! เขามิอาจทนรับการแตกสลายครั้งใหญ่ของบ้านเกิดได้ คนใกล้ชิดค่อยๆ ล่วงลับไปทีละคนๆ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตภายใต้การแตกสลายครั้งใหญ่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ความเงียบเหงาเช่นนี้ทำให้เขาคลุ้มคลั่งเอาได้! เขาไม่กล้าย่อหย่อนมาตลอด หลังจากแปดสายหลอมรวมกันแล้ว ก็ค้างเติ่งอยู่ เขาไม่มีหนทางอื่น ทำได้เพียงพยายามคิดค้นกระบวนท่าที่ตนคิดว่าสมบูรณ์แบบพอขึ้นมาอย่างสุดกำลังเท่านั้น


เขาใฝ่หาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่หยุดหย่อน ท่าไม้ตายที่หนึ่ง ท่าไม้ตายที่สอง ท่าไม้ตายที่สาม…เขาคิดค้นขึ้นมากระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่า แต่ละกระบวนท่าล้วนทำให้เขาสั่งสมหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ


ในที่สุด พื้นฐานก็หนาแน่นพอ รอเพียงถึงคราวเหมาะเจาะก็จะสำเร็จ


ภายใต้การกระตุ้นด้วยความเร้นลับที่แฝงเอาไว้ในท่วงท่าการโบยบินและก้าวเดินของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้น แสงทิพย์ก็วาบขึ้นมา ท่าไม้ตายที่หกถูกคิดค้นขึ้นมา ซึ่งนี่ก็คือกระบวนท่าที่เก้าสายหลอมรวมกัน


“ขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เมื่อยืนอยู่ที่หัวเรือ เพียงชั่วความคิดเดียวเขาก็แผ่กำจายปกคลุมไปทั่วทั้งโลกกำเนิด ตามอณูมิติจำนวนนับไม่ถ้วน เขามองเห็นบริเวณต่างๆ มองเห็นจอมกระบี่ เจ้าศิลา บรรพชนเทียนอวี๋และราชันย์มีด ยังมีอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยา ตงป๋ออวี้บุตรสาว และตงป๋อชิงเหยา…ล้วนไม่รู้ตัว


เมื่อเห็นผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาล้วนไม่รู้ตัว


เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการสัมผัสรับรู้ผ่านอณูหมอกดำทรงกลมซึ่งเป็นแก่นแท้ของอากาศ


มีคนหนึ่งที่สามารถสัมผัสได้แล้ว


“โอ๊ะ” เจ้าเมืองหลัวซึ่งจำแลงกายเป็นช่างเหล็กอยู่ในจักรวาลธรรมดาแห่งหนึ่งกำลังตีดาบเล่มหนึ่งขึ้นมาอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สายตามองทะลุผ่านระยะทางอันไกลโพ้น เขาหัวเราะร่าพลางมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากพูดว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีกับเจ้าด้วย ที่วิถีอากาศสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสุดยอดและสามารถช่วยเหลือคนที่เจ้าเป็นห่วงก่อนการแตกสลายครั้งใหญ่จะมาถึงได้”


บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ตัวตนของเจ้าเมืองหลัวผู้นี้แล้ว


ภายในหุบเขาเขี้ยวหัก มีตำนานของเจ้าเมืองหลัวอยู่ทั่วไปหมด


นี่คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหน้าใหม่ที่เพิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา ใช้พลังทำลายกฎและสำเร็จขั้นคละถิ่นได้ นอกจากนี้ ตามตำนานยังว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับยอดสุดของยอดสุดที่น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งด้วย เกรงว่าพลังคงไม่ด้อยไปกว่า ‘หยวน’ เลย หากต้องมีคำบรรยายสักประโยค สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นทั้งสองแห่งหุบเขาเขี้ยวหักซึ่งสิ้นใจไปแล้วนั้น พลังคงจะสู้เจ้าเมืองหลัวไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!


นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญและสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด


ต่อให้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดแข็งแกร่งกว่านี้ การควบคุมและใช้งานพละกำลังก็ด้อยกว่าอยู่มาก ผู้บำเพ็ญจึงจะค่อยๆ บำเพ็ญขึ้นมาทีละขั้นๆ จึงสามารถควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์ได้อย่างละเอียดลอออย่างยิ่ง ต่อให้เจ้าเมืองหลัวมีพลังทัดเทียมกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นนั้น แต่ความสามารถในการรักษาชีวิตก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าเป็นสิบเป็นร้อยเท่า


อย่าง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ แห่งดินแดนจิตโลกาและบรรดาประมุขโลกในหุบเขาเขี้ยวหักเหล่านั้น หากพูดถึงอานุภาพแล้ว ก็แค่ระดับจักรพรรดิขั้นต้นเท่านั้น!


แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ!


บรรดาประมุขโลกก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงต้านทาน จักรพรรดิเซี่ยกลับสามารถหนีเอาชีวิตรอดได้ หากห้ำหั่นกันซึ่งหน้า ตัวคนเดียวก็สามารถสู้กับหลายคนได้ ความสามารถในการรักษาชีวิตและหนีเอาชีวิตรอดก็แข็งแกร่งกว่ามากทีเดียว


“หากไม่มีบุปผาโลกาของเจ้าเมืองหลัว ข้าก็คงไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก


“คนรอบข้างสามารถมอบโอกาสให้ได้ แต่พลังก็ยังต้องไขว่คว้าด้วยตนเอง” เจ้าเมืองหลัวยิ้มน้อยๆ “บำเพ็ญให้ดีๆ เถิด หากเจ้าสามารถทำให้เขตลวงโลกเทียมบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ ข้าก็จะนับถือเจ้ามากทีเดียว”


วิถีอากาศสำเร็จขั้นสุดยอดหรือ


ระดับอย่างเจ้าเมืองหลัวซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ยืนอยู่ในระดับยอดสุดและเหลือบมองลงมายังโลกกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วนมิได้ใส่ใจจริงๆ หรอก!


เส้นทางวิญญาณต่างหากเล่า


จวบจนบัดนี้ยังไม่มีผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดเลยแม้แต่คนเดียว หากตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จได้ แน่นอนว่าเจ้าเมืองหลัวก็ต้องนับถือ ไม่ว่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นหน้าไหนก็ต้องนับถือด้วยกันทั้งนั้น


“ข้าจะพยายามอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด


เมื่อไม่มีการกดดันจากการแตกสลายครั้งใหญ่ เขาก็มีเวลาบำเพ็ญเพียงพอ


แต่เขาก็เข้าใจดีว่า แม้จะมองเห็นหนทางที่วิถีเขตลวงโลกเทียมจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว แต่กลับมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น! ตั้งแต่วิถีอากาศสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ก็สามารถล่วงรู้ได้วายากเย็นเพียงใด เขาถึงขีดจำกัดตั้งนานแล้ว ทั้งยังมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งและคิดค้นท่าไม้ตายที่หกขึ้นมาได้ จึงสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้!


เจ้าเมืองหลัวก้มหน้าก้มตาตีดาบในมือต่อไปพลางพูดเสียงแผ่วเบา “หากเส้นทางวิญญาณบรรลุถึงขั้นสุด ไม่รู้ว่าจะน่าอัศจรรย์เพียงใด ตงป๋อเสวี่ยอิงน่ะหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะมีหวังสำเร็จขั้นคละถิ่นก็เป็นได้! ถึงตอนนั้นข้าก็จะไม่จำเป็นต้องรักษาการณ์อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”


เสียงค้อนตอกเหล็กดังก้องขึ้นอย่างต่อเนื่อง


“ช่างเหล็ก ช่างเหล็ก เอาดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้ามาให้ขาเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการดาบที่แข็งแกร่งที่สุด! หากพบดาบที่ข้าพอใจ ข้าย่อมไม่เอาเปรียบเจ้าแน่” เสียงหนึ่งลอยมาจากด้านนอก บุรุษร่างกำยำคนหนึ่งบุกเข้ามา


“มาแล้ว” เจ้าเมืองหลัวพูดพลางหัวเราะ

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 54 เวลามาถึงแล้ว

 

ณ จวนอันเงียบสงบห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่งในโลกทิพย์กิเลนบูรพา ตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาพำนักอยู่ที่นี่


“จิ้งชิว จิ้งชิว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่หน้าประตูห้องเงียบแห่งหนึ่งพลางตะโกนขึ้น เสียงนั้นลอยตรงเข้าไป


“โครม”


ประตูห้องเงียบเปิดออกเสียงดังโครมคราม อวี๋จิ้งชิวเดินออกมาอย่างจนใจอยู่บ้าง นางมองสามีของตนแวบหนึ่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “เสวี่ยอิง ท่านไม่รู้หรือว่าข้ากำลังเก็บตัวบำเพ็ญอยู่น่ะ หากไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่ามารบกวนข้าสิ การทดลองเมื่อครู่เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ก็ถูกท่านทำลายลงเสียแล้ว ท่านยังมายิ้มหน้าบานอยู่ได้ แม้ข้า ภรรยาของท่านจะมีพลังสู้ท่านมิได้ แต่การบำเพ็ญก็สำคัญมากนี่นา”


“ฮ่าฮ่า ไม่ว่าจะบำเพ็ญอะไร วันนี้ก็หยุดให้หมดเถิด มาๆๆ พวกเราสองสามีภรรยามาดื่มสุราฉลองกันเสียหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับดึงตัวภรรยามา


“ฉลองกันเสียหน่อยหรือ” อวี๋จิ้งชิวงุนงงอยู่บ้าง “ฉลองอะไรกัน มีเรื่องอันใดควรค่าแก่การฉลองด้วยหรือ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับจงใจไม่พูด เขาดึงภรรยาเข้าไปในสวนแห่งหนึ่ง ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกัน


เขาโบกมมือคราหนึ่ง


มวลบุปผารอบด้านก็เบ่งบาน กลิ่นหอมขจรขจายไปทั่ว ต้นไม้ก็แตกหน่อใหม่ ผีเสื้อทั้งหลายก็ผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่าแล้วบินฉวัดเฉวียนไปรอบดอกไม้ นกน้อยก็ร้องจิ๊บๆ ทะเลสาบไกลออกไปก็มีสัตว์ประหลาดต่างๆ ปรากฏขึ้น เรื่องน่ายินดีทั้งหลายเกิดขึ้นมา


“จิ้งชิว ข้ารินสุราให้เจ้านะ เป็นสุราป่าฝนที่ข้าหมักเองกับมือเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงรินสุรา


อวี๋จิ้งชิวตกตะลึงอยู่บ้าง นางมองไปรอบๆ พลางเอ่ยขึ้นอย่างอดมิได้ว่า “ท่านรีบพูดมาเถิด ว่าที่แท้แล้วมีเรื่องันใดกันแน่ที่ควรค่าแก่การฉลองขนาดนี้”


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งจอกสุราให้ภรรยา “พวกเรามาชนจอกกันสักหน่อยก่อนเถิด”


“ก็ได้ๆๆ ตามใจท่าน” อวี๋จิ้งชิวจนใจ


หลังสองสามีภรรยาชนจอกกันแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงพูดเสียงต่ำว่า “ข้าจะบอกความลับใหญ่เรื่องหนึ่งกับเจ้า!”


“ไหน ข้าจะฟังดูสิว่าเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว” อวี๋จิ้งชิววางจอกสุราลง


“วิถีอากาศ ข้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มตาหยี


อวี๋จิ้งชิวชะงักค้างไป


จากนั้นนัยน์ตาของนางก็เบิกกว้าง! จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง


“จริงหรือ” หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง อวี๋จิ้งชิวจึงเอ่ยขึ้น


“จริงสิ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


อวี๋จิ้งชิวตื่นเต้นหาใดเปรียบ พวกเขารู้มาตั้งนานแล้วว่าโลกกำเนิดบ้านเกิดจวนจะถึงการแตกสลายครั้งใหญ่แล้ว อย่างตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาก็ขะมักเขม้นกับการบำเพ็ญ แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาก็เข้าใจดีว่า การคิดจะเอาชีวิตรอดจากการแตกสลายครั้งใหญ่ให้ได้นั้น ความหวังริบหรี่ยิ่งนัก แม้แต่พวกบรรพชนเทียนอวี๋ก็ยังรู้สึกเลยว่าเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ที่สูงเกินเอื้อม


ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถก้าวเข้าสู่วิถีอากาศขั้นสุดยอดก่อนการแตกสลายครั้งใหญ่จะมาถึง!


หลังจากบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว การควบคุมอากาศก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หากเขาสำแดง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ออกมา ก็สามารถพาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทะลุผ่านไปได้


“ทว่าตอนนี้ข้าบอกเรื่องนี้แก่เจ้าเท่านั้น เจ้าไม่ต้องแพร่งพรายออกไปล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้ายังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องที่ต้องทำในดินแดนจิตโลกา รอทำเรื่องนี้เสร็จแล้ว ค่อยประกาศออกไปก็ยังไม่สาย”


“ได้สิ” อวี๋จิ้งชิวพยักหน้า เรื่องใหญ่เร่งด่วนกว่า


“ค่อยยังชั่วหน่อย” อวี๋จิ้งชิวถอนหายใจคราหนึ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มออกมา พวกเขาสองสามีภรรยามองความเป็นความตายทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเหนือธรรมดา เชื่อว่าตงป๋ออวี้และตงป๋อชิงเหยาบำเพ็ญมาจนมีพลังเช่นทุกวันนี้ก็คงมองได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่พวกเขาสองสามีภรรยาก็ยังหวังว่าจะสามารถปกป้องลูกๆ ได้


……


ณ เมืองหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา ดินแดนจิตโลกา


ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งประจำการอยู่ที่เมืองหิมะเหินกุมอาวุธเทพคละถิ่นเอาไว้ในมือ ทำความคุ้นเคยกับพลังหลังจากบรรลุแล้ว


“น่าแปลกนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในห้องเงียบ มือกุมหอกชิงเหอเอาไว้ แต่กลับเผยสีหน้าตกใจออกมา


นับตั้งแต่วิถีอากาศบรรลุถึงขั้นสุดยอด


สติรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถทะลุผ่านอณูหมอกดำทรงกลมไปได้อย่างง่ายดาย อณูหมอกดำทรงกลมอันเร้นลับในอดีต บัดนี้กลับเหมือนกับอณูเล็กๆ ในร่างกายตนอย่างไรอย่างนั้น ตนสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย สติรับรู้ของตนถึงขั้นสามารถทะลุผ่านมิติคละถิ่นอันเวิ้งว้างได้! โลกกำเนิดอันกว้างใหญ่ไพศาลเกิดระลอกคลื่นขึ้นทุกชั่วขณะ ทำให้พลังคละถิ่นรอบด้านเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา


“เมื่อกุมหอกชิงเหอเอาไว้ การสัมผัสรับรู้มิติคละถิ่นก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระยะทางที่แทรกเข้าไปได้ก็ไกลขึ้นมากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง


“ยังมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งกระบวนท่าที่หกและกระบวนท่าที่เจ็ดอีก”


สองกระบวนท่าสุดท้ายของเจ็ดกระบวนคละถิ่น อานุภาพไม่ธรรมดาเลยทีเดียว


ต่อให้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดและมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งชี้แนะก็ยังสำแดงออกไปมิได้ ต้องอาศัยอาวุธเทพคละถิ่นจึงจะสามารถทำได้! ต้องอาศัยสองกระบวนท่านี้ พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงจึงจะสามารถเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั่วไปได้ อันที่จริงแล้ว หากไม่มีหอกชิงเหอ ลำพังแต่คละถิ่นห้ากระบวนท่าแรก…อาศัยสมบัติลับระดับยอดสุดต่างๆ ก็สามารถเทียบได้กับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้ เหมือนกับจอมกระบี่!


“สองกระบวนท่าสุดท้ายนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ แน่นอนว่าเขาคงจะไม่ทำตามอย่างโง่งม หากแต่ซึมซับสิ่งสำคัญในนั้นแล้วหลอมรวมเข้าไปในกระบวนท่าของตน


ทำให้วิธีการของตนสมบูรณ์มากขึ้น


******


ทำให้กระบวนท่าวิถีอากาศขั้นสุดยอดซึมซับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งแล้วสำแดงออกไปด้วยอาวุธเทพคละถิ่น


วันหนึ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังทดลองทำให้กระบวนท่าแข็งแกร่งขึ้น เขาสำแดงกระบวนท่าจำพวกบริเวณออกมา เดิมทีวิถีอากาศก็มีชื่อเสียงด้านบริเวณเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว


“วิ้ง”


อาศัยหอกชิงเหอ เดิมทีการสัมผัสรับรู้ก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว


ยามนี้


สติรับรู้หลอมรวมอณูหมอกดำทรงกลมจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไปอย่างต่อเนื่องแล้วแผ่กำจายออกมา แทบจะในชั่วพริบตาเดียวก็แพร่ไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา สถานที่ต่างๆ ภายในดินแดนจิตโลกา รวมทั้งที่พำนักของสามบรรพชนอย่างบรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนนิจรัตติกาลและรัฐโบราณหิมะน้ำแข็ง ล้วนแต่ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบอย่างละเอียด นอกจากวังเทพจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว ยังมีสถานที่อีกสามแห่งที่เขามิได้ตรวจสอบ


สถานที่สามแห่งนี้ได้แก่สถานที่พำนักและบำเพ็ญของจักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจรและเจ้าเมืองอนันต์


เพื่อหลบเลี่ยงมิให้ถูกจับได้


ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงค่ายกลต้องห้ามที่พวกจักรพรรดิเซี่ยทิ้งเอาไว้ และรู้ว่าหากล่วงล้ำเข้าไปก็จะถูกพบเข้า จึงมิได้ตรวจสอบดู


“การตรวจสอบของข้าสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้เลยหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึง


ดินแดนจิตโลกายิ่งใหญ่นัก ใหญ่โตกว่าโลกกำเนิดทั่วไปมากนัก


กฎเกณฑ์อันสูงส่งก็ยังกดดันอย่างมหาศาล!


โดยทั่วไปขอบเขตการตรวจสอบด้วยบริเวณของผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดก็มีจำกัดมาก ห่างจากคำว่าปกคลุมทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาไกลลิบลับ ต่อให้เป็นตอนที่ทั้ง ‘โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ ยังสมบูรณ์ดีนั้น  แม้จะเล็กกว่าดินแดนจิตโลกามาก ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดก็มิอาจทำได้ถึงขั้นปกคลุมทั้งหมดภายในชั่วความคิดเดียวอยู่ดี!


“หากไม่มีหอกชิงเหอ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงลองสัมผัสรับรู้ด้วยตนเองล้วนๆ โดยไม่อาศัยหอกชิงเหอ


ขอบเขตการสัมผัสรับรู้ก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็วในทันที


ต่อให้มีวิธีการอย่างเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง ก็คาดว่าขอบเขตที่สามารถปกคลุมได้ในชั่วความคิดหนึ่งนั้น ก็แค่มากกว่าสองเท่าของอาณาเขต ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ ไปเล็กน้อยเท่านั้น! ยังห่างจากปกคลุมทั่วทั้งขอบเขตดินแดนจิตโลกามากนัก


“สามารถปกคลุมทั้งผืนดินได้เชียวหรือนี่ หากเป็นเช่นนี้แล้ว ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นก็มิใช่ว่าหนีไม่พ้นจากขอบเขตการตรวจตราของข้าหรอกหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเยสีหน้ายินดีออกมา


หากศัตรูอยู่ภายในขอบเขตบริเวณของตนโดยตลอด


ต่อให้หนีจากที่แห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งแล้วซ่อนเร้นร่องรอยแก้ไขกลิ่นอายในทันที แต่เนื่องจากอยู่ภายใต้การตรวจตราของเขาตลอดเวลา ตนก็จะสามารถ ‘มองเห็น’ การปลอมแปลตัวตนของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง จึงย่อมหนีไม่พ้น! หากขอบเขตบริเวณของตนค่อนข้างเล็ก เช่นมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเพียงแค่สองเท่าของรัฐโบราณคิมหันตวายุเท่านั้น ทันทีที่ศัตรูหนีพ้นจากขอบเขตบริเวณ ก็จะแก้ไขกลิ่นอายและรูปลักษณ์ทันที ก็จะตามรอยไม่พบ หากเป็นเช่นนั้นตนก็จะตามหาศัตรูไม่พบเลย!


“แต่ว่าบริเวณของข้าครอบคลุมทั่วทุกหนแห่งนี่นา” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา


“หากไม่สนใจว่าจะถูกพบ ก็สามารถฝืนไปตรวจสอบจักรพรรดิเซี่ย ผู้พเนจรและเจ้าเมืองอนันต์ได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ หากฝืนไปตรวจสอบเมื่อใด ก็จะต้องถูกพบอย่างแน่นอน


เหมือนกับเมื่อพวกจักรพรรดิเซี่ยมาตรวจสอบตน ก็จะถูกตนพบทันทีเช่นเดียวกัน


“ราชันย์อนธการอมตะ! สวรรค์ต้องการให้เจ้าสูญสิ้นไปจริงๆ!”


นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงฉายแววอาฆาตออกมา บัดนี้ เจ้าคนบ้านี่กำลังเก็บเกี่ยววิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างบ้าคลั่งตามอำเภอใจ ตนมิอาจขัดขวางได้มาตลอด ก่อนหน้านี้ เจ้าเมืองอนันต์ซึ่งเป็นคนเดียวที่สามารถสะกดรอยเขาได้ไม่ยอมช่วยเหลือ เคราะห์ดีที่ตนมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง มีอาวุธเทพคละถิ่น บริเวณอากาศก็กว้างใหญ่ไพศาล สามารถปกคลุมทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้!


ศัตรูไม่มีที่ให้หนีไปไหนได้!


แม้แต่หุบเขาเขี้ยวหัก ตนก็สามารถจัดเตรียมร่างแยกไปไว้ยังพรมแดนที่บริเวณปกคลุมไปถึง หากราชันย์อนธการอมตะหนีไปยังหุบเขาเขี้ยวหัก ก็จะสิ้นใจเร็วขึ้นไปอีก!


“ดีมาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงข่มความอาฆาตเอาไว้ “เนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว ทำให้พลังแข็งแกร่งขึ้นอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”


การยกระดับขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องยกระดับและเสริมความแข็งแกร่งเสียก่อน


ส่วนเรื่องที่ซับซ้อนอย่างการฝึกกายคละถิ่น ด้วยระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็รู้สึกว่าสามารถไปทดลองคิดค้นฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สามได้แล้ว แต่ความยากก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มิใช่สามารถสำเร็จได้ในช่วงสั้นๆ


เพียงแค่ทำให้แข็งแกร่งขึ้นอีกสักเล็กน้อย ก็สามารถลงมือได้แล้ว!


……


เรื่องที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด นอกจากจะบอกภรรยาและถูกเจ้าเมืองหลัวพบเข้าแล้ว ก็มิได้บอกให้ผู้ใดล่วงรู้อีก


หลังจากบรรลุได้หกร้อยปี พลังของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอีกเป็นกอง เขาทำให้กระบวนท่าที่ใช้เป็นประจำสมบูรณ์ขึ้น


“ใกล้แล้ว พลังของข้าสามารถบรรลุถึงระดับยอดสุดได้ในช่วงเวลาสั้นๆ มิอาจยกระดับขึ้นได้อย่างชัดเห็นได้ชัดอีกแล้ว ได้เวลาลงมือแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ ก่อนหน้านี้เขายังวางแผนจะตามหาประมุขโลกสักกลุ่มหนึ่งมาร่วมมือกัน บัดนี้พลังของตนเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก หากต่อสู้กันตัวต่อตัวก็เพียงพอแล้ว

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 55 วันสุดท้ายของราชันย์อนธการอมตะ

 

เขายืนอยู่กลางห้องเงียบของตนพลางกุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ ปลดปล่อยบริเวณอากาศออกมา


บริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลพลันปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เพียงแต่หลบเลี่ยงบริเวณบางแห่งไป แล้วเขาก็พบราชันย์อนธการอมตะในทันที ที่แห่งนั้นคือราชวังใหญ่มหึมาอันรกร้างซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ดิน ภายในวังมีโถงตำหนักมากมายซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่ทดลองของราชันย์อนธการอมตะ วิญญาณจำนวนมากกำลังเผชิญกับการทดลอง


มีเสาศิลาสิบสองต้น บนเสาแต่ละต้นมีวิญญาณอาฆาตอันแข็งแกร่งอยู่ อานุภาพของวิญญาณอาฆาตทั้งสิบสองแข็งแกร่งอย่างยิ่ง


ยังมีวิญญาณพิเศษอีกด้วย บางตนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกแปลกพิกล


“ที่แท้แล้วการทดลองเหล่านี้ต้องใช้วิญญาณมากเท่าไหร่กัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจนดวงตาแดงก่ำไปหมด แม้ผู้ที่ต้องสิ้นชีวิตไปด้วยเหตุนี้จะน้อยกว่าจำนวนมหาศาลอย่างสิบห้ารัฐมากมายนัก แต่กลับสู้จำนวนประชากรในรัฐชั้นสามทั่วไปแห่งหนึ่งได้แล้ว “เจ้าบ้า หากต้องเดินไปบนเส้นทางการบำเพ็ญอันชั่วร้ายเช่นนี้ ก็ควรจะสังหารไปเสีย”


แคว่ก…


รอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกมาก่อนจะหายวับไปทันที


การส่งถ่ายทลายโลกา!


******


ภายในวังอันสูงตระหง่าน


ราชันย์อนธการอมตะยังคงทำการทดลองต่างๆ ต่อไปอย่างอดทน เขาถึงขั้นยังไม่เริ่มทดลองกับซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้น ในสายตาของเขา ยังเร็วเกินไปมาก! เมื่อการทดลองก่อนหน้าแน่นอนแล้ว ก็ต้องมีความมั่นใจอย่างน้อยเก้าส่วนจึงจะสามารถทำการทดลองกับซากของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ นอกจากนี้ ครั้งก่อนที่พูดจาตัดรอนกับตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่หมื่นปีเท่านั้นเอง


“การทดลองราบรื่นมาก”


“ตอนนั้นข้าสามารถหลอมผู้ท่องมรณะที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้ บัดนี้มีของไม่พอ มิอาจทำการบูชาขนาดใหญ่ได้อีกแล้ว แต่การจะหลอมผู้ท่องมรณะที่ไม่สมบูรณ์ขึ้นมาก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด เดิมทีข้าวางแผนว่าจะทำให้สำเร็จให้ได้ภายในล้านล้านปี แต่เมื่อดูจากการทดลองในตอนนี้แล้ว เกรงว่าไม่ต้องรอให้ถึงล้านล้านปีหรอก! สักแสนล้านปีก็คงจะเพียงพอแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะอารมณ์ดีมาก


“หากฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ เฮอะๆ อิงซานเสวี่ยอิง ถึงตอนนั้นข้าจะไปทำลายเมืองหิมะเหินของเจ้าก่อนเลย เจ้ามิได้อพยพตระกูลอิงซานเข้าไปหมดแล้วหรือไร ถึงตอนนั้นทั้งตระกูลอิงซานดับสลายไปจนสิ้น จึงจะสามารถดับความแค้นภายในใจของข้าลงไปได้” ราชันย์อนธการอมตะตั้งตารอคอย


ผู้ท่องมรณะที่สมบูรณ์นั้นมีกายกึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ซึ่งสามารถเทียบกับยอดเคารพได้


ส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้น ในสายตาของราชันย์อนธการอมตะก็สามารถเทียบกับระดับจักรพรรดิได้!


ทำลายเมืองหิมะเหินน่ะหรือ ง่ายดายนัก!


“เฮอะๆ รอดูไปเถิด ใครหน้าไหนจะมาช่วยเจ้าได้”


“นอกเสียจากเจ้าจะสามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ก่อนที่ข้าจะหลอมสำเร็จน่ะ” ราชันย์อนธการอมตะไม่เชื่อเลยสักนิด


แคว่ก!


ทันใดนั้นกลางอากาศเหนือโถงตำหนักอันสูตระหง่านก็มีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น ซึ่งก็คือจ้าวหิมะเหินผู้ไร้เทียมทานนั่นเอง เขากุมหอกยาวดำทะมึนเอาไว้ในมือ พลางมองดูราชันย์อนธการอมตะด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็งแล้วแค่นเสียงเฮอะพูดว่า “ราชันย์อนธการ คราวตายของเจ้ามาถึงแล้ว!”


“อิงซานเสวี่ยอิงรึ” ราชันย์อนธการอมตะตกตะลึง ยามนี้กลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งใหญ่และเฉียบคม ทว่ากลิ่นอายก็อาจจะปลอมแปลงกันได้ แต่อาวุธเทพคละถิ่นในมือเล่มนั้นกลับทำให้ราชันย์อนธการอมตะเข้าใจว่า จ้าวหิมะเหินอาจจะมาเสี่ยงอันตราย แต่ก็คงไม่นำอาวุธเทพคละถิ่นเล่มหนึ่งมาเสี่ยงด้วย สูญเสียร่างแยกไปก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต้หากไม่มีอาวุธเทพคละถิ่น ก็เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว


กล้านำอาวุธเทพคละถิ่นมาด้วย เห็นได้ชัดว่ามั่นใจพอตัวทีเดียว สถานการณ์ย่ำแย่ที่สุดได้ปรากฏขึ้นแล้ว!


“เจ้า เจ้าสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ” เสียงของราชันย์อนธการอมตะแหบแห้งอยู่บ้าง


“แฮ่…”


“อ๊าก!”


วิญญาณอาฆาตบนเสาศิลาทั้งสิบสองต้นในโถงตำหนักพบคนจากภายนอกเข้า หลายตนแผดเสียงคำรามบาดหูออกมา


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า วิญญาณอาฆาตส่วนใหญ่บ้าคลั่งและดุดัน ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีเพียงความรู้สึกสงสารวิญญาณอาฆาตเหล่านี้เท่านั้น “วางใจเถิด อีกไม่นานข้าจะแก้แค้นให้พวกเจ้าเอง”


“ข้าบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว ทำไมรึ ผิดคาดมากเลยล่ะสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองราชันย์อนธการอมตะ


“ผิดคาด ผิดคาดมาก”


ราชันย์อนธการอมตะเข้าใจ


เขาพบวิกฤตใหญ่หลวงที่สุดเข้าเสียแล้ว! บนเส้นทางฟันฝ่าเพื่อสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้น เขาพบวิกฤตใหญ่อยู่หลายครั้ง แต่ตอนนั้นผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ เขาเป็นเพียงแค่หนึ่งในจำนวนนั้น เขาสามารถเล็ดรอดจากความตายมาได้หลายครั้ง


แต่ในดินแดนจิตโลกา ยามนี้ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือเขาได้


“ข้าพอจะเดาได้ว่ามีโอกาสมากที่เจ้าจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ได้” ราชันย์อนธการอมตะยืดกายขึ้น


“เจ้าคงคาดไม่ถึงว่าคราวตายของเจ้าจะมาถึงรวดเร็วถึงเพียงนี้มากกว่ากระมัง! พูดจาไร้สาระให้น้อยหน่อย รับกระบวนท่าเสียเถอะ!” ประกายคมกล้าในดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบ ตู้ม เขตลวงโลกเทียมร่อนลงมาทันที เป็นท่าไม้ตายเพียงหนึ่งเดียวของวิถีเขตลวงโลกเทียมที่เขารับรู้ในตอนนี้…ความสว่างไสวของโลกลวง! โลกอันสว่างไสวชวนให้คนลุ่มหลง ทำเอาราชันย์อนธการอมตะที่เพิ่งจะสัมผัสเข้าไปต้องเผชิญกับแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งทันที


“ไม่ดีแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง


หากพูดถึงปณิธานวิญญาณแล้ว


เขตลวงโลกเทียมส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาไม่แตกต่างจากที่ส่งผลกระทบต่อยอดเคารพมากนัก


แต่ว่าห้ายอดเคารพแห่งหุบเขาเขี้ยวหักล้วนแต่มีสายเลือดอันแข็งแกร่ง เดิมทีพวกเขาก็ไม่ให้ความสำคัญกับความพิสดารของระดับขั้นอยู่แล้ว ต่อให้จิตใจอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง ก็ยังคงสามารถปะทุพลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งออกมาได้อยู่ดี! แต่ว่าผู้บำเพ็ญนั้นไม่เหมือนกัน กระบวนท่าที่เหล่าผู้บำเพ็ญสำแดงออกมาล้วนแต่พิสดารเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพลังจิตได้รับความเสียหาย พลังก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดยิ่งนัก


“มันส่งผลกระทบต่อพลังของข้ามากกว่าที่ข้าคาดไว้เสียอีก” ราชันย์อนธการอมตะรู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว


“ตู้ม!”


หอกชิงเหอในมือของตงป๋อเสวี่ยอิงแทงออกไปทันที


การแทงครั้งนี้


ฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดรอบด้านพลันถล่มทลายลงทันที มันกดดันและพันธนาการราชันย์อนธการอมตะเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง แต่ดวงใจที่ราวกับโลหะภายในร่างของราชันย์อนธการอมตะกลับแผดเผาโลหิตสีทองสองหยดต่อเนื่องกัน พละกำลังสีทองอันพิสดารทะลักเข้าไปในฝ่ามือทั้งคู่ทันที เขารับการแทงครั้งนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย การแทงครั้งนี้ดูเหมือนจะธรรมดาสามัญ แต่อันที่จริงแล้วเพิ่งจะแทงออกไป ก็แทงลงบนฝ่ามือสีทองข้างหนึ่งเข้าอย่างจังเสียแล้ว


ปัง…


ราชันย์อนธการอมตะกระเด็นลอยไปทันที กระแทกเข้ากับโถงตำหนักด้านหลังจนแหลกละเอียด และเกิดเป็นลำธารยาวราวหมื่นลี้ขึ้นมา ราชันย์อนธการอมตะลอยจากใต้ดินขึ้นมาถึงเหนือผิวดินทันที


“กระบวนท่าดาวตก”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็ออกจากใต้ดินมายังกลางท้องฟ้า หอกยาวในมือฟันออกไปอย่างดุเดือดอีกครั้ง


ตู้ม!


ฟ้าดินสั่นคลอน


แสงสีเทามืดมนอันสับสนอลหม่านจำนวนนับไม่ถ้วนรายล้อมหอกยาวเอาไว้ แล้วพลิกหมุนรวมตัวกัน ตรงปลายหอกกลายเป็นดวงดาราดำมืดดวงหนึ่ง หอกยาวฟันออกไปอย่างดุเดือด ดวงดาราดำมืดวาดข้ามท้องฟ้าไป แล้วพุ่งตรงไปทางราชันย์อนธการอมตะผู้นั้น กระบวนท่านี้รวดเร็วเกินไปแล้ว ราชันย์อนธการอมตะแค่รู้สึกมึนงง ดวงดาราดำมืดก็กลิ้งหลุนๆ มาถึงตรงหน้า เขาทำได้เพียงใช้สองมือสกัดกั้นอย่างรีบร้อนเท่านั้น จากนั้นก็รู้สึกว่าฝ่ามือเจ็บปวดแสนสาหัส กร๊อบๆๆ กระดูกฝ่ามือแตกหักจนหมด หอกยาวได้ทีปะทะเข้ากับร่างของราชันย์อนธการอมตะอีกครั้ง


ทำเอาราชันย์อนธการอมตะกระเด็นลอยถอยหลังข้ามขอบฟ้าไป โลหิตสดๆ พุ่งทะลักออกมาจากปาก


“แตกต่างกันมากถึงเพียงนี้เชียว!” ราชันย์อนธการอมตะสกัดกั้นซึ่งหน้าสองครั้งต่อเนื่องกัน ก็เพราะคิดจะอาศัยมันในการหยั่งรู้ความแตกต่างระหว่างกัน เขาคาดว่าเขามีพลังเพียงราวสามสี่ส่วนของจ้าวหิมะเหินในตอนนี้เท่านั้น!


“เขตลวงโลกเทียมของเขาส่งผลกระทบต่อพลังของข้าเป็นอันมาก ทำให้พลังของข้าสามารถสำแดงออกมาได้เพียงห้าส่วนเท่านั้น เมื่อคำนวณดูเช่นนี้แล้ว ต่อให้ข้าทุ่มเทพลังทั้งหมดมิให้ถูกรบกวนแม้สักนิด ก็ยังอ่อนแอกว่าเขาเล็กน้อยอยู่ดีอย่างนั้นหรือ”


พลังที่เขาสู้อย่างสุดชีวิต ก็แค่ราวเจ็ดส่วนของตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น!


แม้พอจะเดาได้ตั้งนานแล้ว


ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุเมื่อใด ก็เกรงว่าคงจะเป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแน่นอน! แต่ความเป็นจริงกลับทำให้ราชันย์อนธการอมตะหัวใจเย็นวาบ “ครั้งนี้อันตรายแล้วจริงๆ”


เขาถึงขั้นได้กลิ่นของความตายแล้ว


……


แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเพิ่งประมือกัน แต่ความเคลื่อนไหวของตงป๋อเสวี่ยอิงที่บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วสำแดงอาวุธเทพคละถิ่นออกมาอย่างสุดกำลัง พลังรบก็ปะทุออกมาถึงขีดสุด! ส่วนอีกฝ่าย พลังของราชันย์อนธการอมตะก็ไม่ธรรมดาเลย


ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน อานุภาพดุดันเพียงใด แม้แต่วังที่ราชันย์อนธการอมตะตระเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีก็ยังถูกกระแทกจนทะลุไปในชั่วพริบตา!


ระลอกคลื่นของการต่อกรกันนั้น…


ทำให้เทพจักรวาลทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน


“นี่มันเรื่องอันใดกัน”


“ระลอกคลื่นน่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เชียวหรือ”


แต่ละคนสัมผัสอยู่ห่างๆ บางคนถึงขั้นส่องดูผ่านกระจกยลฟ้า บางคนอาศัยพลังของตนเฝ้าดูอยู่ไกลๆ จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง จอมกระบี่ เจ้าเมืองอนันต์ ประมุขรัฐเสียดฟ้าและคนอื่นๆ ต่างก็ดูอยู่ห่างๆ เดิมทีในใจของพวกเขายังสงสัยอยู่ แต่เมื่อ ‘ได้เห็น’ ต้นกำเนิดของระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่น พวกเขาก็พากันตะลึงงันไป


พวกเขา ‘มองเห็น’ เงาร่างอันน่าหวาดหวั่นซึ่งมีกลิ่นอายสูงเทียมฟ้าสองสายปะทะกัน คนหนึ่งคือจ้าวหิมะเหิน ส่วนอีกคนคือราชันย์อนธการอมตะที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว ราชันย์อนธการอมตะได้รับบาดเจ็บอย่างเห็นได้ชัด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)