Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 36 ตอนที่ 42-45

 ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 42 ราชันย์อนธการ ปล่อยเอาไว้ไม...

 

หลังจากรับม้วนสาส์นมาแล้วราชันย์อนธการอมตะก็หายตัวจากไป


ประมุขรัฐเมฆทักษิณาหยิบเอาม้วนสาส์นมา ทว่ากลับตื่นตระหนกขึ้นในใจ “ถึงแม้ว่าในอดีตราชันย์อนธการอมตะผู้นี้จะให้ข้าช่วยจัดการธุระให้ แต่อย่างน้อยมองเผินๆ ก็ยังรักษาท่าทีเอาไว้อยู่ คราวนี้ให้ข้าจัดการธุระให้ จัดการไม่สำเร็จก็จะทำลายรัฐเมฆทักษิณา โหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้! ช่างผิดแผกนัก!”


ผ่านไปชั่วครู่


ณ เมืองหิมะเหิน ร่างแยกหนึ่งของประมุขรัฐเมฆทักษิณามาถึงที่นี่เพื่อพบตงป๋อเสวี่ยอิง


“อาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งอยู่ใต้ศาลา พอเห็นอาจารย์มาถึงแล้วก็ลุกขึ้นต้อนรับ


“เสวี่ยอิง ข้าเพิ่งเคยพบราชันย์อนธการอมตะ รู้สึกว่าช่างผิดแผกนัก” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเล่าเรื่องให้ฟังรอบหนึ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังจบแล้วก็เอ่ยว่า “ล้วนเป็นเพราะข้าทั้งสิ้น”


“เป็นเพราะเจ้าหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาประหลาดใจ


“เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรู้สึกถึงภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่เสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ “พูดขึ้นมาแล้วก็เป็นเพราะข้าสร้างชื่อเสียงเอาไว้ที่หุบเขาเขี้ยวหักมากพอสมควร”


“เจ้าสร้างชื่อเสียงเอาไว้ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ชื่อเสียงอันใดกันหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ่งสงสัย ยามผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาอย่างพวกเขาอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหักก็ระมัดระวังตนเองเป็นอย่างยิ่ง  เผชิญหน้ากับเผ่ามรณะทมิฬ พวกเขาก็ต้องระวัง เผชิญหน้ากับชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็ต้องระวังเช่นเดียวกัน! แม้กระทั่งเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆ ต่างก็มิกล้าพกเอาสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าไปด้วย


“เป็นเช่นนี้แหละ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่จำเป็นต้องปิดบังอาจารย์ จึงพูดอย่างละเอียดลออ


ประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ่งฟังก็ยิ่งตกตะลึง


สวรรค์เอ๋ย!


ต่อสู้กับบรรดาแม่ทัพเทพ ถึงขนาดที่กล้าเป็นอริกับจักรพรรดิเป่ยเหอ! จักรพรรดิเป่ยเหอไม่เพียงแต่ไม่โกรธเท่านั้น ในทางตรงข้ามกลับมาเชื้อเชิญด้วยตนเอง รักษามารยาทเป็นอย่างมาก จักรพรรดิแต่ละท่านเชื้อเชิญ ‘จักรพรรดิวายุทิพย์’ ร่วมมือกับเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ข่มขู่ให้ ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ผู้ที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิบสามราชันย์ยอมก้มหัว


“เจ้า เจ้า…” วิสัยทัศน์ของประมุขรัฐเมฆทักษิณายิ่งกว้างขึ้น ขณะนี้เขามองดูลูกศิษย์ของตนอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่ง


น่ากลัวยิ่งนัก!


น่ากลัวเกินไปแล้ว!


ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกา ก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ก็ไม่มีใครเหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักเช่นนี้ได้มาก่อนเลย! แม้กระทั่งระดับขั้นอย่างจักรพรรดิแปดท่านและสิบสามราชันย์ก็ยังต้องแย่งกันผูกไมตรี


“วิถีเขตลวงโลกเทียมของเจ้าไปถึงขั้นสุดยอดแล้วหรือไม่ เคล็ดวิชาวิญญาณจึงได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยถามอย่างอดมิได้


“เปล่าหรอกขอรับ เพียงแค่ไปถึงขีดจำกัดคอขวดเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ข้ามีโอกาสในหุบเขาเขี้ยวหักอยู่บ้าง อาศัยสิ่งนี้ จึงได้ตระหนักรู้ท่าไม้ตายเขตลวงโลกเทียมกระบวนหนึ่งขึ้นมา! อาศัยท่าไม้ตายนี้จึงมีอิทธิพลเช่นนี้ได้”


“สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิมากมายภายในหุบเขาเขี้ยวหักจมดิ่งกันหมด ขั้นสุดยอดของพวกเราผู้บำเพ็ญเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า เกรงว่าพลังยุทธ์ต่างก็ต้องลดลงไปอย่างมหาศาล! เทพจักรวาลชั้นที่สองและบรรดาผู้เคารพโดยทั่วไป… เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าเกรงว่าต่างก็ต้องจมลงสู่ห้วงนิทราในทันใด รวมทั้งข้าด้วย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีร่างแยกมากมาย แต่ความคิดเดียวของเจ้าก็สามารถผลาญร่างแยกทั้งหมดของข้าจนสิ้นได้แล้ว”


ในขณะนี้


ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเกิดจิตใจหวาดหวั่นต่อลูกศิษย์ผู้นี้ขึ้นมาวูบหนึ่ง เคล็ดวิชาวิญญาณช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน ร่างแยกร่างหนึ่งจ่อมจมไป ความทรงจำของร่างแยกที่มีอยู่ทั้งหมดเชื่อมต่อกันด้วยเหตุนี้ ต่างก็สามารถเข้าสู่เขตลวงได้เช่นเดียวกัน!


แม้กระทั่งร่างแยกที่อยู่ไกลออกไปยังโลกกำเนิดอื่นๆ ในขณะนี้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ตัดสินใจว่าจะตัดการเชื่อมต่อความทรงจำของร่างแยกโลกาที่อยู่ไกลออกไป! เพราะโลกกำเนิดทีาแยกจากกัน การเชื่อมโยงความทรงจำนั้นเดิมทีก็กินแรงเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ขอเพียงแค่มิได้เชื่อมโยงกันอยู่ ก็ย่อมตัดขาดจากกันไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว “หลายปี ความทรงจำเชื่อมต่อกันครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้ร่างแยกเกิดอุปนิสัยที่แตกต่างกัน”


เคล็ดวิชาวิญญาณช่างชวนให้คนตกใจเหลือเกิน แม้กระทั่งประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้เป็นอาจารย์ผู้นี้ เป็นถึงผู้บำเพ็ญ ก็ย่อมต้องปกป้องตนเองโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว


“กับเทพจักรวาลชั้นที่สอง ก็น่าจะสามารถจัดการได้ภายในความนึกคิดเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ตอนนี้ผู้ที่เขาไม่สามารถจัดการได้บนดินแดนจิตโลกาก็มีเพียงแค่ขั้นสุดยอดเท่านั้น


“ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นคงจะรู้ข้อมูลนี้เข้าแล้ว เขาเกรงกลัวข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง


“เกรงกลัวเจ้าหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาฉงนใจ


“ใช่แล้ว เขาอยากจะเข้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหัก แต่ข้าอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ถ้าหากพบตัวเขาเข้า ส่งเสียงเรียกเพียงครั้งเดียวก็สามารถเชิญตัวยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมาล้อมสังหารเขาได้อย่างง่ายดายแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “และยังเป็นเพราะว่าตอนนี้ข้าสามารถได้สมบัติล้ำค่าและโอกาสมาครอบครองได้อย่างง่ายดาย บรรดาประมุขแสงดาวเหล่านั้นหรือแม้กระทั่งจักรพรรดิ ต่างก็พากันส่งสมบัติล้ำค่ามาให้ข้า ด้วยการสั่งสมวิถีอากาศของข้า และความสำเร็จของวิถีเขตลวงโลกเทียม ก็เป็นไปได้ที่เขาจะคิดว่าวิถีสองสายนี้ ไม่ว่าจะสายใดข้าก็มีความหวังที่จะไปถึงขั้นสุดยอดได้ทั้งสิ้น”


ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเห็นด้วย


ใช่แล้ว


เขาก็คิดว่าวิถีสองสายของลูกศิษย์ผู้นี้ ไม่ว่าสายใดต่างก็สามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้ด้วยกันทั้งสิ้น! แน่นอนว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญบนดินแดนจิตโลกายังไม่รู้ว่าวิถีวิญญาณนั้นยากเย็นสักเพียงใด!


“ถ้าหากวิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าไปถึงขั้นสุดยอด เคล็ดวิชาวิญญาณร้ายกาจยิ่งขึ้น บางทีอาศัยเคล็ดวิชาวิญญาณก็อาจจะสามารถล้างผลาญเขาได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ถึงแม้ว่าจะสังหารไม่ได้ ก็เกรงว่าพลังยุทธ์ของเขาคงเหลือเพียงแค่สองสามส่วนเท่านั้น การสังหารเขาก็ยิ่งง่ายดายขึ้นแล้ว”


ตอนนี้เคล็ดวิชาวิญญาณร้ายกาจถึงเพียงนี้ หากไปถึงขั้นสุดยอดก็ต้องยิ่งล้ำเลิศ


ผลาญสังหารในความคิดเดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้รางๆ ว่ามีหวัง!


“ถ้าหากเป็นวิถีอากาศไปถึงขั้นสุดยอด! อาศัยอาวุธเทพคละถิ่น แล้วไปเสาะหาความช่วยเหลืออีกสักหน่อย ข้าก็มีความหวังที่จะสังหารเขาได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


ประมุขรัฐเมฆทักษิณาลอบพรั่นพรึง


เจ้าลูกศิษย์ของตนผู้นี้…ช่างล้ำเลิศ ร้ายกาจยิ่งนัก! เพียงพริบตาเดียวก็สามารถคุกคามไปถึงชีวิตของราชันย์อนธการอมตะได้!


“ดังนั้นเขาจึงต้องการจะดิ้นรน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้าเองก็ไม่อยากจะเร่งรัดเขา ขอเพียงแค่เขาไม่ทำการสังหารใหญ่โต ข้าก็ถึงขนาดที่เต็มใจสาบานว่าจะไม่ลงมือกับเขา น่าเสียดายนัก สิ่งที่เขาไขว่คว้าก็คือการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ข้อเรียกร้องที่เสนอขึ้นมาจึงบ้าคลั่งเหลือเกิน ข้าก็ย่อมไม่สามารถทำให้เขาพึงพอใจได้อยู่แล้ว ดังนั้นเกรงว่าเขาคงจะวางแผนอะไรบางอย่าง เขาย่อมมิได้ยืนรอความตายอยู่เฉยๆ อย่างแน่นอน”


“อืม เขาไม่มีทางยืนรอความตายอยู่เฉยๆ หรอก” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูด


……


ณ ปราการเมืองขนาดใหญ่โตมโหฬารแห่งหนึ่ง


ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด ราชันย์อนธการอมตะมาถึงด้านบนของปราการเมืองแห่งนี้ เขามองลงไปยังปราการเมืองแห่งนี้อย่างเย็นชา


ภายในปราการเมืองมีผู้บำเพ็ญจำนวนมากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ มีทั้งชายและหญิง เด็กและผู้เฒ่า มีผู้บำเพ็ญตามลำพัง มีผู้ที่ไปเป็นผู้ดูแล เป็นคนรับใช้ เพื่อให้ได้มาซึ่งแก้วผลึกจักรวาล


“เฮือก!”


ราชันย์อนธการอมตะสูดลมหายใจเข้าปากคราหนึ่งในทันใด


ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมทั่วทั้งปราการเมืองในทันที เหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองแต่ละคนต่างก็ไม่สามารถต้านทานได้ แต่ละคนวิญญาณลอยออกจากร่าง ราชันย์อนธการอมตะกลืนกินจนเกิดเป็นหุบเหวลึกดำมืด วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเหินลอยไปยังกลางหุบเหวลึกดำมืดอย่างไม่หยุดหย่อน ภายในปราการเมืองนี้มีประชากรบางส่วนที่มีร่างแยกอยู่ข้างนอก ก็ได้แพร่กระจายข่าวสารออกไป


ความเคลื่อนไหวอันใหญ่โตเช่นนี้ ราชันย์อนธการอมตะก็รังเกียจที่จะปิดบังเอาไว้


ไม่เพียงแต่มีประชากรเท่านั้นที่ส่งข่าว ความเคลื่อนไหวนี้ก็ทำให้สุดยอดผู้แกร่งกล้าจำนวนหนึ่งรู้สึกได้ด้วยเช่นกัน


“หืม ราชันย์อนธการผู้นี้ทำอะไรกัน” บรรพชนฝานรับสัมผัสอยู่ห่างๆ สังเกตการณ์ที่นี่แล้วก็มีความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “ต่อให้อยากจะจับวิญญาณกลุ่มใหญ่ เขาคิดวิธีดึงดูดผู้อ่อนแอบางคนให้ไปจับก็ใช้ได้แล้ว เหตุใดจึงต้องลงมือเองด้วยเล่า”


แต่เขากลับไม่รู้ว่า


ราชันย์อนธการอมตะต้องการจับมาทำการทดสอบในระยะเวลากระชั้นที่สุด และการดึงดูดมารที่อ่อนแอให้ไปจับนั้นต้องสิ้นเปลืองเวลา! จะได้วิญญาณกลุ่มแรกมาไว้ในมืออย่างรวดเร็วที่สุด ก็ย่อมต้องลงมือด้วยตนเองอย่างรวดเร็วที่สุด!


“เฮือก”


ในที่สุดราชันย์อนธการอมตะก็ดูดวิญญาณทั้งหมดที่มีอยู่เข้าไปในร่างกายจนหมด เข้าไปยังมิติภายในร่างกาย


เขารอคอยอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ ในที่สุดด้านข้างก็มีหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น


“ราชันย์อนธการ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังปราการเมืองเบื้องล่าง ร่างกายของประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนสูญเสียดวงวิญญาณกันไปจนหมดสิ้น กลายเป็นเมืองมรณะแห่งหนึ่ง เขาอดที่จะมองไปทางราชันย์อนธการอมตะอย่างโกรธแค้นมิได้ “ท่านเตรียมจะทำอะไรกัน”


เพียงแค่เมืองแห่งหนึ่ง การบูชายัญย่อมไม่เพียงพออย่างแน่นอน


“ข้าทำอะไรหรือ”


“เจ้าไม่เหลือทางให้ข้าเดิน ข้าก็ได้แต่เปิดเส้นทางเดินให้ตัวเองแล้วล่ะ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มเย็นให้ตงป๋อเสวี่ยอิงคราหนึ่ง “จ้าวหิมะเหิน จ้าวหิมะเหินผู้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ ในภายหน้าเกรงว่ายังสามารถเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาได้ น่าเสียดายที่เจ้าต้านทานข้าเอาไว้มิได้”


พูดจบแล้วเงาร่างของราชันย์อนธการอมตะก็หายลับจากไป


เขาจงใจรั้งอยู่ที่นี่ก็เพื่อรอตงป๋อเสวี่ยอิง!


“สมควรตาย”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าไม่น่าดู มารธรรมดาๆ ลงมือ เขาก็ยังสามารถสังหารได้ แต่ราชันย์อนธการอมตะลงมือนั้น เขาก็ย่อมทำอะไรมิได้อยู่แล้ว


……


กาลเวลาเคลื่อนผ่าน


ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่เอาไว้ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ในที่สุดข่าวสารมากมายก็แพร่ออกไปยังบรรดาระดับยอดสุดของดินแดนจิตโลกาแล้ว จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิเทพผลาญโลกา ประมุขรัฐเสียดฟ้า บรรพชนฝาน บรรพชนราตรีนิรันดร์ และบรรพชนนิจรัตติกาล หลังจากที่แต่ละคนได้รู้แล้วต่างก็ปากอ้าตาค้าง บรรพชนฝานก็ยิ่งเอ่ยอย่างตกใจว่า “วิถีเขตลวงโลกเทียมของเขาอ อย่างน้อยก็ไปถึงขีดจำกัดคอขวด หรือแม้กระทั่งเป็นไปได้ที่จะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว!”


พวกเขาถึงขนาดที่ล่วงรู้ได้แล้ว


เหล่าจักรพรรดิต่างก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นแขกรับเชิญ!


สิบสามราชันย์ต่างก็หวั่นเกรงจ้าวหิมะเหินผู้นี้!


ประมุขโลกกลุ่มใหญ่ต่างก็เคยพากันส่งสมบัติล้ำค่าจำนวนมากมาให้ สมบัติลับล้ำค่านั้นว่ากันว่ามีแม้แต่สุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ด้วย!


บ้าไปแล้ว!


ระดับยอดสุดของทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็พากันพรั่นพรึงด้วยเหตุนี้ ขั้นสุดยอดจำนวนหนึ่งที่ไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าต่างก็อิจฉาตาร้อนจนแทบคลั่ง อิจฉาริษยา! แต่ก็ทำอะไรมิได้


ยามที่บุคคลผู้ไร้เทียมทานและเหล่าขั้นสุดยอดมาเยี่ยมเยียนตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับกำลังให้ความสนใจกับข่าวคราวของราชันย์อนธการอมตะ


ราชันย์อนธการอมตะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์มิใคร่จะดีนัก


ระยะเวลาเพียงแค่สามปี


นอกจากราชันย์อนธการเองที่ปล้นชิงวิญญาณกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งแล้ว ต่อมาท่ามกลางความมืดก็มีวิญญาณไม่น้อยถูกปล้นชิงอยู่เป็นประจำ ตอนนี้ทั้งดินแดนจิตโลกาและหกรัฐโบราณต่างก็ไว้หน้าตงป๋อเสวี่ยอิงกันเป็นอย่างยิ่ง เขาอาศัยข้อมูลของแต่ละฝ่ายตรวจสอบ วิญญาณที่มาปล้นชิงเหล่านั้น…ทั้งหมดทั้งมวลต่างก็ขึ้นตรงต่อราชันย์อนธการอมตะผู้นั้น!


“ราชันย์อนธการ ปล่อยเอาไว้ไม่ได้!” ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกราม “จะต้องคิดหาวิธีกำจัดเขา!”


หากปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไปก็ไม่รู้จริงๆ ว่ายังต้องตายกันอีกมากมายเท่าใด


ยังหวังว่า ‘หยวน’ จะมาหรือ ด้วยอุปนิสัยของหยวน เกรงว่าถ้าหากยังไม่ตายจนถึงขนาดที่ส่งผลกระทบต่อระเบียบของทั้งดินแดนจิตโลกาก็ไม่มีทางมาลงโทษเขาหรอก

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 43 วางแผน

 

ณ วังหลวงแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ


ภายในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานกำลังรวมตัวกันอยู่ พวกเขาดื่มสุราพลางพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย เรื่องที่สนทนากันก็คือบุคคลสำคัญของทั้งดินแดนจิตโลกาในตอนนี้…จ้าวหิมะเหินนั่นเอง!


“ได้ยินมาว่าแม้แต่บรรพชนนิจรัตติกาลก็ยังไปเยี่ยมคารวะจ้าวหิมะเหินเลย บรรพชนนิจรัตติกาลยังลั่นสัตย์สาบานด้วยตนเองเพื่อบรรเทาความแค้นอีกด้วย” จักรพรรดิชางพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “จะว่าไปแล้ว คนทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนนี้ อย่างน้อยบรรพชนนิจรัตติกาลก็จริงใจ บอกว่าจะก้มหัวให้ก็ก้ม แต่บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นั้นกลับปลอมเป็นที่สุด!”


“ฮ่าฮ่า เกรงว่าบัดนี้บรรพชนราตรีนิรันดร์คงจะยุ่งยากใจเป็นอย่างมาก” บรรพชนฝานพูดยิ้มๆ “แรงคุกคามของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้น่าเกรงกลัวกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว เมื่อเขาเรียกรวมตัวคราหนึ่ง เกรงว่าเผ่าชนพื้นเมืองหุบเขาเขี้ยวหักคงจะมีประมุขโลกกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาแล้วฟังคำสั่งจากเขา”


“อื้ม” จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า “ท่าทีรุ่งโรจน์ของเขา ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้”


“ใช่แล้ว มิอาจต้านทานได้” บรรพชนฝานพึมพำ “ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ คิดอยากได้สมบัติล้ำค่าทั้งหลายของหุบเขาเขี้ยวหักมาก็แสนจะยากลำบาก แต่อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเลย ก็มีชนพื้นเมืองกลุ่มใหญ่มามอบให้ถึงมือด้วยตนเอง”


“ต่อให้อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์ ใครใช้ให้เขตลวงโลกเทียมของเจ้าห่างไกลกับเขาตั้งมากมายกันเล่า” จักรพรรดิชางพูดอยู่อีกข้างหนึ่ง


“เขตลวงโลกเทียมของเขาชักจะร้ายกาจเกินไปแล้ว!” บรรพชนฝานส่ายหน้า


วิถีสองสาย


หนึ่งคือวิถีอากาศ อีกหนึ่งคือวิถีเขตลวงโลกเทียม ล้วนทำให้อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงแนวโน้มที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจะยกระดับขึ้นจนน่าหวาดหวั่น!


นอกจากนี้ยังมีการช่วยเหลือจากโอกาสต่างๆ ในหุบเขาเขี้ยวหัก ซึ่งต้านทานได้ยากเข้าไปอีก


“เอ๊ะ พูดถึงจ้าวหิมะเหิน จ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็มาถึงแล้ว” จักรพรรดิเซี่ยพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาทันใด พวกเขาทั้งสามคนพากันมองไปกลางอากาศไกลออกไป ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมากลางอากาศแล้วร่อนลงมายิ้มๆ โดยไม่มีความหยิ่งผยองเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นฝ่ายคารวะด้วยความเกรงอกเกรงใจก่อน “คารวะจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางขอรับ”


“จ้าวหิมะเหิน มาๆๆ นั่งลงสิ” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยขึ้น


“เมื่อครู่พวกเรายังสนทนาเรื่องเจ้ากันอยู่เลย เจ้าก็มาถึงเสียแล้ว” บรรพชนฝานกล่าว “หิมะเหิน บัดนี้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูบางคนก็ยังพูดกันว่า เกรงว่าในภายหน้าเจ้าคงจะกลายเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกา เหนือกว่าจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการเสียอีก!” บรรพชนฝานพูดพลางปรายตามองจักรพรรดิเซี่ยที่อยู่ด้านข้างยิ้มๆ


“ข้ายังมิทันได้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดเลย ยังห่างไกลอีกมากขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


จักรพรรดิเซี่ยกลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็เห็นด้วยกับวาจานี้ แม้ข้าจะได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมาเช่นเดียวกัน แต่จนใจที่ไม่มีอาวุธเทพคละถิ่นอยู่ในมือ ท่าไม้ตายสุดท้ายของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งก็มิอาจสำแดงออกมาได้ เมื่อวิถีอากาศของเจ้าบรรลุถึงขั้นสุดยอด มีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งและมีอาวุธเทพคละถิ่น ต่อให้ราชันย์อนธการผู้นั้นสู้สุดชีวิต ก็เกรงว่าคงทำได้เพียงใกล้เคียงกับเจ้าเท่านั้นกระมัง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลอบทอดถอนใจ


อาวุธเทพคละถิ่นกับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งนั้นช่วยเหลือเกื้อกูลกัน! หากมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเพียงอย่างเดียว ต่อให้ได้รับสมบัติลับอันสูงส่งทางด้านวิถีอากาศอื่นๆ มาก็มิอาจสำแดงท่าไม้ตายสุดท้ายของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งได้


“หากวิถีเขตลวงโลกเทียมของจ้าวหิมะเหินบรรลุถึงขั้นสุดยอด ก็ยิ่งยากจะทำนายได้แล้ว บัดนี้ ว่ากันว่าระดับจักรพรรดิบางคนภายในหุบเขาเขี้ยวหัก เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าก็ต้องถูกกระบวนท่าและจมดิ่งลงไป หากบรรลุถึงขั้นสุดยอด ข้าและขั้นสุดยอดคนอื่นๆ จะจมดิ่งลงไปในชั่วความคิดเดียว ข้าก็จะไม่แปลกใจเลยสักนิด” จักรพรรดิชางรำพึง “เดิมทีวิถีวิญญาณก็ยากลำบากและซับซ้อนมากอยู่แล้ว เกรงว่าเมื่อบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ในตอนสุดท้าย เกรงว่าก็คงจะมีความพิสดารต่างๆ มากมายเป็นแน่”


ไม่ว่าจะเป็นวิถีสายใด หากบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ ก็ล้วนมีความพิเศษทั้งสิ้น


ดังนั้นขั้นสุดยอดโดยทั่วไป แม้จะไม่มีสมบัติลับอันสูงส่ง ความสามารถในการรักษาชีวิตก็ล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง! ส่วนวิถีวิญญาณบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ขั้นสุดยอด จะมีลูกไม้ระดับใดกัน พวกเขาก็ยากจะทำนายได้


“ข้าก็อยากจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดเหมือนกันขอรับ แต่ก็จนใจเพราะยากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ


“จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นอีก “ที่ข้ามาในครั้งนี้ ก็เพราะมีเรื่องอยากจะขอร้องให้พวกท่านทั้งสามช่วยเหลือนะขอรับ”


“อ้อ จ้าวหิมะเหินผู้องอาจ สามารถเรียกประมุขโลกทั้งหลายให้มารวมตัวกันและช่วยเหลือได้แล้ว ยังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราอีกหรือนี่” บรรพชนฝานพูดสัพยอก


“จ้าวหิมะเหินเชิญพูดมาเถิด ต้องการสิ่งใดพวกเราจะช่วยเหลือเอง” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ย


จักรพรรดิชางก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง


พวกเขาทั้งสามต่างก็แปลกใจ จ้าวหิมะเหินผู้นี้มีสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน บัดนี้อำนาจก็ยิ่งใหญ่พอตัว หกรัฐโบราณก็ยังต้องเห็นแก่หน้าเขา อย่างบรรพชนนิจรัตติกาลและประมุขรัฐจันทร์บุปผาก็ไปเยี่ยมเยียนและลั่นสัตย์สาบานออกมาเพียงเพื่อผูกความสัมพันธ์กับเขาโดยเฉพาะ! จะมีก็แต่ ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ ที่มีความแค้นค่อนข้างใหญ่หลวงและยังรักษาหน้าตนเองอยู่เท่านั้นที่ยังคงลังเลอยู่ อิทธิพลยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ยังจะขอให้พวกเขาสามคนช่วยเหลืออะไรอีกเล่า


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าคิดอยากจะกำจัดราชันย์อนธการอมตะทิ้ง!”


“กำจัดราชันย์อนธการอมตะทิ้งอย่างนั้นหรือ”


พวกจักรพรรดิเซี่ยทั้งสามคนตกใจใหญ่ ไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง


“เขาเป็นถึงผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในตอนนี้” จักรพรรดิเซี่ยกล่าว หากเขาสำแดงกระบวนท่าสู้สุดชีวิตขึ้นมา ข้าเองก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้เลย เจ้าอยากกำจัดเขาหรือ”


“เรื่องการห้ำหั่นต่อหน้าไม่ต้องกังวลขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้ามั่นใจ ข้าสามารถเชิญประมุขโลกต่างๆ มาช่วยได้ มีถึงสามสิบห้าคนด้วยกัน! หรือต่อให้เป็นร้อยคน ก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด”


จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางได้ฟังแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไป


ประมุขโลกเป็นร้อยคนหรือ


ด้วยข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่หยวนทิ้งเอาไว้ ทำให้ชนพื้นเมืองหุบเขาเขี้ยวหักที่สามารถเข้ามายังดินแดนจิตโลกาได้ อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงระดับจักรพรรดิระดับต้นเท่านั้น ส่วน ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ ที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งจนเข้ากระดูกนั้นมิอาจเข้ามายังดินแดนจิตโลกาได้เลย! แม้กระบวนท่าของจักรพรรดิระดับต้นจะหยาบกว่าอยู่บ้าง แต่หากพูดถึงแค่อานุภาพ ก็ทัดเทียมกับจักรพรรดิเซี่ยเลยทีเดียว จักรพรรดิเซี่ยอาศัยความพิสดารของกระบวนท่าสามารถจัดการกับประมุขโลกคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย


แต่หากห้าหกคนร่วมมือกัน จักรพรรดิเซี่ยก็ต้องตกเป็นรอง


“ก่อนหน้านี้เพียงแค่ได้ยินมาเท่านั้น ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจอิทธิพลของจ้าวหิมะเหินภายในหุบเขาเขี้ยวหักแล้วล่ะ” บรรพชนฝานทอดถอนใจ


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้พูดอะไรให้มากความ


อย่าว่าแต่ประมุขโลกเลย


เขาถึงขั้นสามารถเชิญให้จักรพรรดิและแม่ทัพเทพเป็นโขยงมาช่วยเขาได้!


ส่วนประมุขโลกน่ะหรือ ที่ตนสามารถเชิญมาได้นั้นมีมากมายเกินไปแล้ว


“ประมุขโลกกลุ่มหนึ่ง ร่วมมือกันสำแดงค่ายกลรบออกมา ก็เพียงพอให้ครองความได้เปรียบได้แล้ว เมื่อวิธีการสู้สุดชีวิตของราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นไม่มีแล้ว ก็มีหวังจะสังหารเขาได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “บัดนี้ ที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ…หากเขาหนีไปโดยไม่ยอมสู้ แต่หนีเอาชีวิตรอดเพียงอย่างเดียวแล้ว เกรงว่าข้าจะนำประมุขโลกกลุ่มหนึ่งไปก็มิอาจหาตัวเขาได้พบ”


“อื้ม”


“ถูกต้อง หากเขาจะหนี เจ้าจะหาอย่างไรก็หาไม่พบหรอก”


“หากขั้นสุดยอดทั่วไปจะหนีเอาชีวิตรอด ก็ยากที่จะสะกดรอยได้” วิถีสองสายของราชันย์อนธการอมตะ บรรลุถึงขั้นสุดยอด หากเขาจะหนีเอาชีวิตรอด แล้วเจ้าจะพบได้อย่างไรกันเล่า ประมุขโลกชนพื้นเมืองเหล่านั้นมีพลังเยี่ยมยอด แต่การเข้าใจกฎเกณฑ์นั้นห่างไกลลิบลับอย่างยิ่ง ไม่มีทางหาตัวราชันย์อนธการอมตะพบได้เลย”


พวกจักรพรรดิเซี่ยทั้งสามคนต่างก็พูดขึ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เห็นด้วย ดังนั้นมารร้ายขั้นสุดยอดจึงสามารถสร้างหายนะให้แก่ดินแดนจิตโลกาได้ เพราะเมื่อหนีเอาชีวิตรอด เก็บงำกลิ่นอายและซ่อนเร้นระลอกคลื่นเสีย ก็ยากที่จะ ‘หาร่องรอย’ ได้แล้ว


“ดังนั้นข้าจึงได้มาหาพวกท่านถึงที่นี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ขอให้ท่านสามคนช่วยเหลือ ดูว่าพอจะมีวิธีใดสะกดรอยได้บ้างหรือไม่ หากเขาหลบหนีไป ก็ดูร่องรอยของเขาและไล่สังหารต่อไปได้”


“จะตามรอยราชันย์อนธการอมตะ ยากนัก!” จักรพรรดิเซี่ยกล่าว


ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย จักรพรรดิเซี่ยเพียงแค่พูดว่ายาก มิได้บอกว่า ‘เป็นไปมิได้’!


“จักรพรรดิเซี่ยมีวิธีหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “หากจักรพรรดิเซี่ยสามารถช่วยข้าสังหารราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นไปได้ ข้ามีสมบัติลับอันสูงส่งจำพวกเปลวเพลิงอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งสามารถมอบให้จักรพรรดิเซี่ยได้”


จักรพรรดิเซี่ยฟังแล้วก็นัยน์ตาเป็นประกาย


เขามีสมบัติลับอันสูงส่งจำพวกอากาศอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งจำพวกเปลวเพลิงเลย


“เดิมพันใหญ่หลวงนัก” จักรพรรดิชางอุทาน


“เพื่อสังหารราชันย์อนธการอมตะ เจ้าทำใจทุ่มทุนได้มากนักจริงๆ” บรรพชนฝานก็พึมพำขึ้นมา “ในภายหน้าพลังของเจ้าอาจจะเป็นอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกาก็เป็นได้ แต่หากพูดถึงจำนวนสมบัติล้ำค่า บัดนี้เจ้าก็เป็นอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกาไปแล้ว เบื้องหลังเจ้ายังมีเผ่าชนพื้นเมืองของหุบเขาเขี้ยวหักคอยช่วยเหลืออีกด้วย เทียบไม่ได้ เทียบไม่ได้จริงๆ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไถ่ถามต่อไปว่า “มีวิธีสะกดรอยและไล่สังหารเขาหรือขอรับ”


“ถึงอย่างไรราชันย์อนธการอมตะก็มีวิถีสองสายบรรลุถึงขั้นสุดยอด แม้จะเป็นการเข่นฆ่าที่มีการโจมตีอันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่การเก็บซ่อนความสามารถก็แข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ข้าเองก็มิอาจสะกดรอยได้” จักรพรรดิเซี่ยส่ายหน้า “ทว่าในดินแดนจิตโลกา ก็มีคนผู้หนึ่งที่สามารถสะกดรอยเขาจนพบได้”


“ผู้ใดหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม


“เจ้าเมืองอนันต์!”


จักรพรรดิเซี่ยกล่าวว่า “ข้าและเจ้าเมืองอนันต์เคยสนทนากัน ข้าเคยได้ยินว่า ตอนที่ราชันย์อนธการอมตะหนีกลับไปยังดินแดนจิตโลกา และเคลื่อนไหวโดยเก็บซ่อนร่องรอยเอาไว้ ตอนนั้นเจ้าเมืองอนันต์ก็พบเขาแล้ว แต่เจ้าเมืองอนันต์บำเพ็ญวิถีพิเศษ นิสัยก็แปลกพิกล จะสามารถเชิญเขาได้หรือไม่ ข้าก็ไม่มั่นใจแต่อย่างใดเลย ก็ขึ้นอยู่กับลูกไม้ของจ้าวหิมะเหินเองแล้วล่ะ”


“เจ้าเมืองอนันต์หรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ


ต่อให้ตนเชิญยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมาล้อมโจมตี ในดินแดนจิตโลกา หากราชันย์อนธการอมตะจะหนี ก็สามารถซ่อนเร้นกลิ่นอายและหนีหายไปได้อย่างรวดเร็วอย่างไร้ร่องรอย


จะสะกดรอย ก็มีเพียงเจ้าเมืองอนันต์เท่านั้นเองหรือ


แต่เจ้าเมืองอนันต์…


ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ไม่มั่นใจ นี่คือขั้นสุดยอดที่มีนิสัยแปลกประหลาดที่สุดในทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว


“ไปลองดูเสียหน่อยดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต่อให้ต้องคิดหาทุกวิถีทางเขาก็ต้องขอให้เจ้าเมืองอนันต์ช่วยเหลือให้จงได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 44 พบเจ้าเมืองอนันต์

 

ในสายตาของผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนหรือแม้กระทั่งเทพจักรวาลทั่วไปบางคน เจ้าเมืองอนันต์คือสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูซึ่งสุขุมที่สุด และนิสัยดีที่สุดในดินแดนจิตโลกาแล้ว!


แต่ในสายตาของขั้นสุดยอดทั่วไปและบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูคนอื่นๆ เจ้าเมืองอนันต์กลับมีนิสัยแปลกพิกลที่สุด


เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเขามีนิสัยแปลกประหลาดยากทำนายเป็นที่สุด! แรงคุกคามก็จัดได้ว่าเป็นที่หนึ่งในบรรดาห้าบรรพชนแห่งรัฐโบราณสหโลกา ความสามารถในการรักษาชีวิตก็เยี่ยมยอด การตรวจสอบและสะกดรอยก็เป็นที่หนึ่งในดินแดนจิตโลกา


“มีแขกมาเยือน”


เจ้าเมืองอนันต์ผู้มีผิวกายสีเขียวทั้งร่าง ยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนยอดของตำหนักที่สูงที่สุดในจวนท่านเจ้าเมือง รอบด้านมีกลุ่มเมฆรายล้อม เหนือศีรษะของเขามีเขาโค้งสีแดงโลหิตอยู่คู่หนึ่ง นัยน์ตาสุขุม ต่อให้เป็นผู้ที่อ่อนแอเช่นสัตว์โลกทั่วไปต่างก็มิอาจสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามของเจ้าเมืองอนันต์เลยแม้แต่น้อย เขาราวกับเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนจิตโลกา ไม่มีกลิ่นอายอันใด ดูธรรมดาสามัญเป็นที่สุด


หากซ่อนเร้นร่องรอย ก็เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถหาเขาได้พบ


เจ้าเมืองอนันต์มองไปเบื้องหน้า


ตรงหน้ามีระลอกก่อตัวขึ้น ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น เหยียบย่างอากาศเข้ามา


“จ้าวหิมะเหินมายังเมืองอนันต์ของข้า ช่างหาได้ยากนัก” เจ้าเมืองอนันต์พูดยิ้มๆ


“ข้ามาเยี่ยมเยียนโดยไม่ดูกาลเทศะ ขอท่านเจ้าเมืองอย่าได้ถือสาเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าม


“ชะตาชีวิตท่ามกลางความมืดมิดถูกกำหนดไว้ตั้งนานแล้ว ท่านมาที่นี่ ย่อมมิอาจนับได้ว่าไม่ดูกาลเทศะหรอก” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว จากนั้นมือสีเขียวก็ชี้ไปทางด้านหนึ่ง “จ้าวท่านเชิญนั่ง”


ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกัน


มีโต๊ะหินและม้าหินหน้าตาธรรมดาสามัญตั้งอยู่ พวกเขานั่งลงตรงข้ามกัน


เจ้าเมืองอนันต์รินสุราให้ตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง สุรานั้นเป็นสุราทั่วๆ ไป


“ได้ยินมาว่ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณของจ้าวท่านแข็งแกร่งเสียจนทำให้ยอดฝีมือระดับจักรพรรดิในหุบเขาเขี้ยวหักจมดิ่งไปกันหมด” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “แม้ข้าและผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ จะบรรลุถึงขั้นสุดยอด ภายใต้กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของพวกท่าน เกรงว่าพลังก็คงต้องลดลงเป็นอันมาก ขอบังอาจถามจ้าวท่านว่า วิถีวิญญาณของท่านบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วหรือ”


“ยังหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เพียงแต่เคราะห์ดีสบโอกาสเข้า จึงได้รับรู้กระบวนท่าบางอย่างขึ้นมาน่ะ”


เจ้าเมืองอนันต์เอ่ยว่า “โลกกำเนิดกว้างใหญ่ไพศาล ทุกสิ่งหมุนเวียนไปภายใต้กฎเกณฑ์อันสูงส่ง มีต้นไม้ใบหญ้าเติบโต มีมดและแมลงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป มีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาถือกำเนิด แต่กระนั้น ‘วิญญาณ’ กลับพิเศษที่สุด เป็นถึงแก่นแท้ของชีวิต และถึงขั้นเป็นแก่นแท้ของโลกกำเนิดเลยทีเดียว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วย


‘แก่นวิญญาณโลหิต’ ซึ่งได้จากการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อบูชาโลหิต ให้ผลที่ดีกว่าศิลาปฐมโลกา


และหากสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนับถือและสวามิภักดิ์ต่อใครสักคน ปณิธานของชีวิตทั้งหลายก็จะส่งผลกระทบต่อปณิธานโลกกำเนิด โลกกำเนิดก็จะสวามิภักดิ์ต่อคนผู้นั้น จนกลายเป็นประมุขโลกกำเนิดได้!


วิญญาณ…พิเศษที่สุดในโลกกำเนิดแห่งหนึ่งอย่างแท้จริง และเป็นแก่นแท้ของชีวิตหนึ่งๆ อย่างแท้จริงด้วย ทางสายนี้จึงได้บรรลุถึงขั้นสุดยอดยากเย็นเช่นนี้!


“ข้ามองดูสรรพสิ่งในโลกกำเนิดหมุนเวียนไป แต่กลับมิอาจมองวิญญาณให้ทะลุปรุโปร่งได้” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว


“ข้าก็ยังห่างจากการมองให้ทะลุปรุโปร่งอยู่ไม่น้อย” ปากของตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเช่นนี้ แต่ในใจกลับลอบร่ำร้องว่า เมื่อมาถึง เจ้าเมืองอนันต์ผู้นี้ก็เอาแต่พูดเรื่องวิญญาณ พูดเรื่องการหมุนเวียนของโลก พูดเรื่องสรรพชีวิตในโลกกำเนิดกับตน ตนก็เอ่ยปากเปิดเรื่องที่ตนต้องการเสียเลยก็แล้วกัน เขาจึงพูดขึ้นว่า “ท่านเจ้าเมือง ที่ข้ามายังเมืองอนันต์ เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากรบกวนท่านเจ้าเมืองน่ะขอรับ”


“เชิญพูดมาเถิด” เจ้าเมืองอนันต์ยังคงสงบนิ่ง


“บัดนี้ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งอย่างแท้จริงไปแล้ว หากไม่ขัดขวางเขา เกรงว่าหายนะครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


“เหตุใดจ้าวท่านจึงพูดเช่นนี้เล่า” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “ราชันย์อนธการบรรลุถึงระดับขั้นเช่นนี้แล้ว จู่ๆ จะบ้าคลั่งได้อย่างไรกัน”


“ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก เขาเคยมาหาข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเล่าอย่างละเอียด


เขาพูดถึงภัยคุกคามทั้งหมดของราชันย์อนธการอมตะ


“ข้อเรียกร้องของเขาสูงเกินไปแล้ว ข้าทำไม่ได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “หลังจากการเจรจาล้มเหลว เขาก็เริ่มต้นเก็บเกี่ยววิญญาณอย่างบ้าคลั่งทันที ข้าเคยตรวจสอบดู เหมือนเขาจะกำลังทำการทดลองบางอย่างเกี่ยวกับวิญญาณอยู่”


เจ้าเมืองอนันต์พยักหน้าน้อยๆ “ตอนนั้นราชันย์อนธการเหยียบย่างบนเส้นทางปะทะกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้วล้มเหลว หลังจากกลับมาก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการหลอมแปรผู้ท่องมรณะ หมายจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหัก แต่แล้วก็ถูกท่านทำลายเรื่องของเขาลงไปอีก บัดนี้เมื่อท่านอยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก แค่ร้องคำเดียวก็มีคนนับร้อยขานรับ เขารู้สึกว่าความหวังที่จะได้เข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษในภายภาคหน้าริบหรี่มากแล้ว จึงย่อมเริ่มลงมือขั้นสุดท้าย นี่คือนิสัยของราชันย์อนธการ”


“เกรงว่าการลงมือขั้นสุดท้าของเขาคงจะทำให้สิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์ต้องสิ้นใจไปอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “จะมองดูสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนตายไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ ข้าทำมิได้หรอก ดังนั้นจึงได้เตรียมจะกำจัดราชันย์อนธการอมตะอยู่”


“กำจัดราชันย์อนธการหรือ” นัยน์ตาของเจ้าเมืองอนันต์ฉายแววสนใจใคร่รู้ออกมา


“ข้าจะเรียกตัวประมุขโลกของชนพื้นเมืองหุบเขาเขี้ยวหักกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันเป็นค่ายกลรบแล้วล้อมสังหารเขา” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “เพียงแต่ในฐานะที่เป็นขั้นสุดยอด เมื่อหลบหนีและเก็บงำกลิ่นอาย ก็ยากที่จะสะกดรอยได้ สิ่งที่ข้าล่วงรู้ก็คือ บัดนี้คนเพียงผู้เดียวในดินแดนจิตโลกาที่สามารถสะกดรอยราชันย์อนธการอมตะได้ ก็คือท่านเจ้าเมืองเท่านั้น ดังนั้นขอท่านเจ้าเมืองโปรดช่วยเหลือด้วยเถิด”


“ข้าสะกดรอยได้จริงๆ นั่นแหละ บัดนี้ หากระดับขั้นอย่างจักรพรรดิเซี่ยก็ยังมิอาจตามรอยได้ เกรงว่าก็คงจะมีข้าเพียงคนเดียวแล้ว” เจ้าเมืองอนันต์ยอมรับ


“ขอท่านเจ้าเมืองโปรดช่วยเหลือด้วยเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ท่านเจ้าเมืองต้องการสิ่งใด เชิญพูดมาได้เต็มที่ ต่อให้เป็นสมบัติลับอันสูงส่งสักชิ้น ขอเพียงท่านเจ้าเมืองรับปากว่าจะช่วยเหลือ ข้าก็จะมอบให้ท่านเจ้าเมืองทั้งหมด”


“ไม่เสียทีที่บัดนี้จ่าวท่านเป็นผู้แกร่งกล้าที่มั่งคั่งที่สุดในดินแดนจิตโลกา ได้ยินแล้วจิตใจข้าก็หวั่นไหวเลยทีเดียว” เจ้าเมืองอนันต์ส่ายหน้าพลางพูดอย่างจนใจว่า “น่าเสียดายที่ข้าไร้หนทางช่วยเหลือท่าน”


“ไร้หนทางหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงร้อนใจขึ้นมา “ไยจึงไร้หนทางเล่า ท่านเจ้าเมืองแค่ต้องสืบตำแหน่งพิกัดที่ราชันย์อนธการอมตะอยู่เท่านั้นเอง ไม่ว่าราชันย์อนธการจะอยู่ที่ใดเขาก็สามารถหาพบได้ ส่วนเรื่องการล้อมโจมตี ข้าจะเชิญประมุขโลกทั้งหลายมาร่วมมือกันล้อมโจมตีเอง ท่านเจ้าเมืองไม่จำเป็นต้องกังวลไปเลย”


เจ้าเมืองอนันต์กล่าวว่า “เชิญจ้าวท่านกลับไปเถิด”


“ท่านเจ้าเมืองก็คงใส่ใจสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างร้อนรน “โอกาสและสมบัติล้ำค่าต่างๆ ข้าล้วนสามารถช่วยเหลือท่านเจ้าเมืองได้”


“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก” เจ้าเมืองอนันต์ส่ายหน้า


“ไยท่านเจ้าเมืองจึงไม่ยอมลงมือเล่า หรือผูกสัมพันธ์อันดียิ่งกับราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นเอาไว้กันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามด้วยความร้อนรน เขามิอาจไม่รีบร้อนได้ บัดนี้ เจ้าเมืองอนันต์ตรงหน้าผู้นี้เป็นคนเพียงคนเดียวที่สามารถตามรอยราชันย์อนธการอมตะได้


เจ้าเมืองอนันต์หัวเราะเบาๆ “ผูกสัมพันธ์รึ ข้าจะไปมีความสัมพันธ์ล้ำลึกกับเขาได้อย่างไรกัน ถ้าเขาตายไป เกรงว่าข้าก็คงจะดื่มสุราสักหลายจอกเพราะอารมณ์ดียิ่งเสียอีก”


“เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใดเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เข้าใจ


มิได้ผูกสัมพันธ์


ตนเสนอผลประโยชน์มากมายเพื่อให้เขาช่วยเหลือ เหตุใดเจ้าเมืองอนันต์จึงไม่ยอมรับปากกันเล่า


“ข้าสามารถสะกดรอยเขาได้จริงๆ ไม่เพียงแต่สามารถสะกดรอยเขาได้เท่านั้น แต่ขั้นสุดยอดคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ข้าก็สามารถสะกดรอยได้” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “แต่ท่านเคยได้ยินหรือไม่ว่า ข้าไล่สังหารขั้นสุดยอดน่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเฮือก


ใช่แล้ว


เนื่องจากเขาเพิ่งได้ข่าวจากจักรพรรดิเซี่ยว่าเจ้าเมืองอนันต์สามารถสะกดรอยราชันย์อนธการอมตะได้ ดังนั้นเขาจึงรีบมาเชื้อเชิญทันที แต่กลับลืมไปว่า สามารถสะกดรอยราชันย์อนธการอมตะได้ ก็ต้องสามารถสะกดรอยขั้นสุดยอดคนอื่นๆได้ด้วยเช่นกัน


แต่เหตุใดมารร้ายตัวฉกาจทั้งหลายอย่างประมุขเกาะจันปาจึงยังคงลอยชายเหิมเกริมอยู่ได้เล่า


“เนื่องจากไม่สามารถสังหารได้”


เจ้าเมืองอนันต์กล่าว


“ไม่สามารถสังหารได้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก


“พวกเราสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของโลก” เจ้าเมืองอนันต์ยิ้มน้อยๆ “ตั้งแต่มดปลวกที่ต่ำต้อยที่สุดไปจนถึงเทพจักรวาล ก็ล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของโลกกำเนิดทั้งสิ้น เป็นส่วนหนึ่งของการสำแดงกฎเกณฑ์อันสูงส่ง ภายใต้กฎเกณฑ์อันสูงส่ง ทุกสิ่งล้วนหมุนเวียนไป สิ่งมีชีวิตวิวัฒน์ไป บำเพ็ญ รัก โลภ โกรธ หลง…ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นการหมุนเวียนรูปแบบหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่ง เช่นวันนี้ท่านมาหาข้า ก็เป็นการปรากฏของการหมุนเวียนของกฎเกณฑ์อันสูงส่งเช่นกัน”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง


“สมบัติล้ำค่าและโอกาส ข้าก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าใดนัก” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว “สมบัติลับอันสูงส่ง ข้าก็ไม่สนใจ ข้าสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดตั้งนานแล้ว และรับรู้กฎเกณฑ์อันสูงส่งอยู่ตลอดเวลาด้วย”


“วิญญาณของข้าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกกำเนิดอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงจะสามารถสัมผัสรับรู้การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์อันสูงส่งได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”


“กฎเกณฑ์อันสูงส่งพิสดารไม่เป็นสองรองใคร”


“กฎเกณฑ์หมุนเวียนไป ก็ย่อมมีระเบียบอยู่ ข้าเป็นผู้สอดส่องระเบียบกฎเกณฑ์นี้” เจ้าเมืองอนันต์มองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “ข้าไม่ยอมให้ระเบียบถูกทำลายหรอก ขั้นสุดยอดไม่ว่าหน้าไหนก็ล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตอันยิ่งใหญ่ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกกำเนิดแห่งนี้ ทั้งแข็งแกร่งและทำให้คนใจสะท้านเป็นที่สุด การสอดส่องพวกเขาทำให้ข้าปีติยินดีจนล้นใจ หากข้าลงมือสังหารพวกเขา ก็จะทำให้ระเบียบได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง สิ่งที่ข้าไม่ชอบที่สุดก็คือการทำลายระเบียบ”


“โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวข้าเอง ลำพังแค่ลงมือห้ำหั่นก็แล้วไปเถิด หากสังหารขั้นสุดยอดคนหนึ่งเข้าจริงๆ แล้ว ก็จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงอย่างยิ่งต่อการหมุนเวียนของระเบียบกฎเกณฑ์ หากข้าถลำลึกลงไป ตัวเองถูกเหตุปัจจัยผูกพันอยู่ในนั้น การสอดส่องดูระเบียบของข้าก็จะทวีความยากขึ้นไปอีกมาก”


“ราชันย์อนธการอมตะเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในตอนนี้ หากจ้าวหิมะเหินจะเรียกประมุขโลกกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันได้ แล้วข้าก็ช่วยท่านสังหารเขาอีก”


“ผลกระทบก็จะยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็จะถูกทำลายและเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ระเบียบกฎเกณฑ์ที่ข้าสอดส่องอยู่ก็จะยากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า”


“ดังนั้น จ้าวท่านโปรดเข้าใจด้วยว่าข้ามิอาจช่วยเหลือท่านได้” เจ้าเมืองอนันต์กล่าว

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 45 ยอดเคารพซื่อฝา

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังจนเข้าใจแล้ว หลังจากบรรลุขั้นสุดยอด ต่อไปก็จะค่อยๆ มุ่งหน้าเข้าใกล้ ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’มากขึ้นเรื่อยๆ! อย่างเจ้าศิลาก็ตั้งใจเดินในเส้นทาง ‘ใช้พลังทำลายกฎ’ มาตลอด เจ้าเมืองอนันต์ก็เดินไปตามเส้นทางของตนเองเช่นกัน เขาอาศัยการสอดส่องระเบียบกฎเกณฑ์มาวิเคราะห์กฎเกณฑ์อันสูงส่ง! ส่วนเรื่องการเข้าร่วมสังหารราชันย์อนธการอมตะนั้น เห็นได้ชัดว่าคงจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางของเขาเป็นอันมาก


 


ทำให้เส้นทางของเขายากลำบากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า เรื่องเช่นนี้ เจ้าเมืองอนันต์จะต้องไม่ยอมทำอย่างแน่นอน!


 


‘ตัดเส้นทางการบำเพ็ญ’ ไม่ว่าผู้แกร่งกล้าคนใด ก็ถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจทั้งสิ้น!


 


“ท่านเจ้าเมือง ท่านผิดแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยังไม่ยอมแพ้ หากแต่แค่นเสียงต่อไปว่า “ท่านคิดว่าเส้นทางของท่านทำเช่นนี้แล้วจะถูกต้องอย่างนั้นหรือ ไม่หรอก ผิดต่างหาก”


 


“ผิดรึ อ้อ ข้าผิดตรงไหนกัน” เจ้าเมืองอนันต์กลับเป็นฝ่ายถามขึ้นเสียเอง


 


“วิญญาณ…คือแก่นแท้ของผู้บำเพ็ญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงหนักแน่น “แต่ท่านเจ้าเมืองทราบหรือไม่ว่า สิ่งที่วิญญาณปรารถนาที่สุดคือสิ่งใด”


 


“ปรารถนาสิ่งใดหรือ” เจ้าเมืองอนันต์อยากรู้ขึ้นมา ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้าผู้นี้ คือผู้ที่เดินไปได้ไกลที่สุดบนเส้นทางวิญญาณในประวัติศาสตร์ของดินแดนจิตโลกา


 


“อิสรภาพ!”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเบา เขาจำได้ไม่ลืมว่า ตอนที่ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปเป็นทาสนั้น วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนได้เปล่งเสียงโห่ร้องออกมา เป็นเสียงโห่ร้องอย่างอิสระ! วิญญาณเป็นอิสระโดยกำเนิดอยู่แล้ว


 


“วิญญาณแต่ละดวงล้วนแต่ปรารถนาอิสรภาพทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “ปรารถนาอิสรภาพ ปรารถนาจะหลุดพ้น แล้วบำเพ็ญอย่างไม่หยุดหย่อน ต้องมีปณิธานเช่นนี้จึงจะมีหวังกระโดดออกจากกรงขังแล้วสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ แต่ท่านเจ้าเมืองกลับกลัวแต่ว่าจะทำลายระเบียบกฎเกณฑ์ พยายามระมัดระวังให้แปดเปื้อนเหตุปัจจัยน้อยที่สุด ราวกับผู้ชมดูอยู่ข้างๆ คนหนึ่ง ท่านเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง จนกลายเป็นผู้รักษา ‘ระเบียบกฎเกณฑ์’ ไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ไปเสียแล้ว”


 


“เดิมทีพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่งที่เปลี่ยนแปรไปอยู่แล้วนี่” เจ้าเมืองอนันต์กลับส่ายหน้า


 


“พวกเราถือกำเนิดขึ้นจากกฎเกณฑ์อันสูงส่งเปลี่ยนแปรไป แต่พวกเรามิใช่ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่งเสียหน่อย กฎเกณฑ์อันสูงส่งเป็ฯเพียงเปลของพวกเราเท่านั้น ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องกระโดดออกจากกรงขังให้ได้อยู่ดี!” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองเจ้าเมืองอนันต์ “หากยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่ง一 จนถึงขั้นมิกล้าส่งผลกระทบต่อระเบียบกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก เช่นนั้นก็จะยิ่งไม่มีหวังหลุดพ้นแล้ว”


 


“ท่านพูดได้มีเหตุผล”


 


เจ้าเมืองอนันต์ส่ายหน้า “แต่ข้ามีเส้นทางของข้าเอง! ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้วล่ะ”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงเงียบงัน


 


เขาไม่ยอมจำนน


 


แต่เขาก็เข้าใจว่า ผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดคนหนึ่ง และกำลังยกระดับขึ้นไปด้วย ผู้บำเพ็ญระดับขั้นเช่นนี้ มิอาจโน้มน้าวได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน


 


นอกเสียจากตัวเขาเองจะได้พบปัญหาต่างๆ มากมายระหว่างการบำเพ็ญ แล้วทบทวนตนเองจนรู้แจ้ง จึงเปลี่ยนเส้นทางของตนเอง คนอื่นจะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตนไม่เข้าใจเส้นทางของเขา!


 


……


 


ณ เมืองหิมะเหิน


 


“มิน่าเล่า ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจึงรู้สึกว่าเขาสุขุมที่สุดและนิสัยดีที่สุด แม้เมืองอนันต์ของเขาจะมีกฎระเบียบเข้มงวด แต่ขอเพียงรักษาระเบียบไว้ ก็จะไม่เป็นไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ถือตนเองเป็นผู้ชมระเบียบกฎเกณฑ์ทั้งหมดโดยไม่สอดมือยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ นิสัยนี้…ช่างเป็นคนที่แปลกพิกลคนหนึ่งจริงๆ”


 


เข้าใจเส้นทางของเขา ยังสามารถเข้าใจได้


 


เมื่อเทียบกับเจ้าเมืองอนันต์ผู้นี้แล้ว บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนนิจรัตติกาล บรรพชนฝาน จักรพรรดิเซี่ย ราชันย์อนธการอมตะ ประมุขรัฐเสียดฟ้า ประมุขรัฐจันทร์บุปผาและคนอื่นๆ ก็อยู่กับความเป็นจริงกว่ามาก  พวกเขาต่างก็มีสิ่งที่รักและชังเป็นของตนเอง


 


“ทำเช่นไรดี”


 


“เขาไม่ยอมรับปาก ก็ไม่มีผู้ที่สะกดรอยได้”


 


“หรือจะต้องทำถึงขั้นเมื่อล้อมสังหารก็ต้องสังหารได้เลยทันที” ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้สักเท่าใดนัก ประมุขโลกกลุ่มหนึ่งล้อมสังหารเพื่อลอบโจมตี เมื่อราชันย์อนธการอมตะรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วก็ต้องหลบหนีไปเป็นแน่ ทำให้เขาไร้ทางหนีรอดหรือ สามารถมองข้ามความเป็นไปได้ไปได้เลย! เพราะถึงอย่างไรหากพูดถึงความพิสดารของกระบวนท่าแล้ว ราชันย์อนธการอมตะก็สูงชั้นกว่าประมุขโลกชนพื้นเมืองมากมายนัก


 


ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเค้นสมองครุ่นคิดนั้น ร่างแยกของเขาที่ทิ้งเอาไว้ในโลกแสงดาวก็ได้รับสารจากจักรพรรดิ


 


เป่ยเหอ


 


“จ้าวหิมะเหิน ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ควรเคลื่อนไหวได้แล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอถ่ายเสียงบอก


 


“เคลื่อนไหวหรือ ได้สิ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับปากทันที


 


เรื่องสังหารราชันย์อนธการอมตะ เขาของพักไว้ด้านหนึ่งก่อนชั่วคราว เพื่อไตร่ตรองให้ดีๆ ว่ายังมีวิธีใดอีก


 


เขาจะไปช่วยจักรพรรดิเป่ยเหอก่อน เพราะถึงอย่างไรก็รับปากเอาไว้ก่อนแล้ว


 


******


 


ณ โลกเป่ยเหอ


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงภายในโถงตำหนัก


 


“พี่หิมะเหิน” ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ในอาภรณ์สีเขียวทั้งร่างที่นั่งรออยู่บนบัลลังก์ก่อนแล้วผุดลุกขึ้นมา ภายในตำหนักใหญ่ก็มีแม่ทัพเทพคนอื่นๆ อยู่ด้วย รวมมีแม่ทัพเทพทั้งหมดสิบคน ซึ่งก็คือแม่ทัพเทพที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกจากทั้งสามสิบหกคน ตามปกติแล้วพวกเขาล้วนค่อนข้างหยิ่งทะนง และรักอิสระเป็นอย่างมาก ครั้งนี้เขาสามารถเรียกตัวมาได้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจริงจังเพียงใด


 


“จักรพรรดิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือขอรับ”


 


“เตรียมพร้อมแล้ว!”


 


จักรพรรดิเป่ยเหอมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า “พี่หิมะเหิน สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลากระมัง”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ไม่ทราบว่าจะไปที่ใด เป็นท่านใดในยอดเคารพทั้งสามหรือขอรับ”


 


“ยอดเคารพซื่อฝา” จักรพรรดิเป่ยเหอกล่าว


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ยอดเคารพซื่อฝาถือได้ว่าเป็นคนที่ไม่เลวในบรรดายอดเคารพทั้งสามแห่งเผ่ามรณะทมิฬ แต่ก็ โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นเดียวกัน ถือเป็นมารร้ายตัวฉกาจโดย สมบูรณ์ อาจจะเพราะถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางความตาย ยอดเคารพซื่อฝาจึงรู้สึกว่าการสังหารสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และทำให้พวกเขากลับคืนสู่ความตายได้ เป็นการ ‘ทำทาน’ อย่างหนึ่ง ดังนั้นเขาผู้ชมชอบการทำทาน จึงได้ร่อนลงไปในโลกของชนพื้นเมือง เขาถึงขั้นทำพิธีก่อนการทำทาน จากนั้นก็ทำทานครั้งหนึ่ง  ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกแห่งหนึ่งกลับสู่ ‘ความตาย’


 


ยอดเคารพซื่อฝาเชื่อว่า นี่คือการทำทาน เป็นความเมตตา


 


แต่สำหรับชนพื้นเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว กลับรู้สึกว่าน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ยังรู้สึกว่านี่คือ มารร้ายโดยกำเนิด!


 


“ที่ผ่านมาแม้ข้าจะเคยไปยังเกาะซื่อฝาแล้ว แต่ยังมิทันได้พบหน้ายอดเคารพ ก็ถูกโจมตีและไล่ตะเพิดออกมาแล้ว ครั้งนี้มีพี่หิมะเหินอยู่ ข้าจึงมั่นใจ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ “บุญคุณใหญ่หลวงครั้งนี้ ข้าจะจดจำเอาไว้ รอให้กลับออกมาจากเกาะซื่อฝา ข้าจะต้องตอบแทนพี่หิมะเหินมิให้เสียเปรียบเลย”


 


“ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นยอดเคารพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว หนึ่งในห้ายอดเคารพคงมิได้รับมือง่ายถึงเพียงนั้น


 


“ได้ ไป ออกเดินทางกันเถิด!”


 


จักรพรรดิเป่ยเหอหัวเราะเสียงดัง


 


เขาและตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเคียงข้างกัน ส่วนแม่ทัพเทพคนอื่นๆ ทั้งสิบก็ตามมาด้านหลัง พวกเขาทะลุอากาศตรงไปยังโลกเป่ยเหอ


 


……


 


เกาะซื่อฝา


 


สามารถถูกยอดเคารพผู้หนึ่งครอบครองและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ หากพูดถึงพื้นที่แล้ว ก็ย่อมสามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรกของเกาะลอยคว้างในหุบเขาเขี้ยวหักได้ ที่นี่มีทั้งอันตรายและโอกาสอยู่ร่วมกัน ที่นี่น่ากลัวกว่า เกาะของ ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสามราชันย์มากนัก! ลำพังแค่ ‘ยอดเคารพซื่อฝา’ เพียงคนเดียวก็มีแรงคุกคามอันน่าหวาดหวั่นแล้ว


 


สวบๆๆๆๆๆ!!!!!!


 


พวกเขาทั้งสิบสองคนร่อนลงบนเกาะซื่อฝาแห่งนี้


 


แม้เกาะซื่อฝาจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับมีทางเดินหินปูลาดเอาไว้ทั่ว ทางเดินหินตัดผ่านไปมา ครอบคลุมทั่วทั้งเกาะ


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบตกใจ แม้เขาจะเคยไปยังเกาะลอยคว้างมากมาย แต่เกาะลอยคว้างอื่นๆ ก็ล้วนแต่ดั้งเดิมมาก มีเพียงดินแดนชนเผ่าเท่านั้นจึงจะสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษอยู่บ้าง! ต้องรู้ไว้ว่าในโลกของผู้บำเพ็ญมีอาหารชั้นเลิศนานาชนิด มีสิ่งก่อสร้างซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป มีคูเมืองรายล้อม…พวกมันต่างก็มีลักษณะแตกต่างกันไป แต่เกาะลอยคว้างนั้นมีแต่รูปแบบดั้งเดิมมาโดยตลอด


 


“ไม่เสียทีที่ยอดเคารพซื่อฝาผู้นี้เป็นยอดเคารพ อย่างน้อยก็ได้สร้างเกาะลอยคว้างขึ้นมาบ้างในขั้นต้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ


 


รายงานบันทึกเอาไว้ว่า ยอดเคารพซื่อฝานั้นอยู่ระหว่างความจริงและความลวง


 


แล้วศัตรูของเขาก็จะสิ้นใจไปอย่างไร้สุ้มเสียง


 


เป็นผู้ที่มีวิธีการสังหารศัตรูที่แปลกประหลาดที่สุดในบรรดายอดเคารพทั้งห้า


 


พวกเขาทั้งสิบสองคนร่อนลงบนเกาะซื่อฝา ยังมิทันได้เคลื่อนไหว แสงสีดำรำไรที่เปล่งออกมาจากทางเดินหินด้านข้าง ก็สาดส่องลงบนร่างของพวกเขาทั้งสิบสอง


 


“ถูกพบเข้าแล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดพลางหัวเราะเบาๆ


 


“เป่ยเหอ เจ้าถึงกับกล้าบุกรุกเกาะซื่อฝาเชียวรึ” สิ้นเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว เงาร่างกำยำผิวสีดำทะมึนซึ่งสวมเกราะตลอดร่างก็เคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏกายขึ้น เขากุมหอกยาวสีดำขนาดมหึมาเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือขณะยืนอยู่กลางอากาศ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)