Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 36 ตอนที่ 4-9
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 4 สองเผ่าใหญ่แห่งหุบเขาเขี้ยวหัก
ไม่นานนัก
บรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็เร่งไปถึงเมืองหิมะเหิน พวกเขาทั้งสามคนนั่งลง ตงป๋อเสวี่ยอิงเตรียมอาหารและสุราชั้นเลิศไว้พร้อมสรรพเช่นเคย
“ไปสิ ต้องไปอยู่แล้ว!” นัยน์ตาเยียบเย็นของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินแฝงไว้ด้วยความเย็นชาเฉพาะตัวของเหล่าแมลง เพียงแต่ยามนี้กลับมีความตื่นเต้นแผดเผา “ข้าอยากจะไปหุบเขาเขี้ยวหักมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าถามตนเองแล้วรู้สึกว่าพลังอ่อนแอเกินไป ได้มุ่งหน้าไปพร้อมกับพี่ใหญ่หิมะเหินและพี่กระบี่ปีศาจ จะวอนขอก็ยังไม่ได้เลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นว่า “ปาถัวเฉิน ข้าและกระบี่ปีศาจต่างก็มีร่างแยกอยู่ ต่อให้สิ้นใจไปในหุบเขาเขี้ยวหักก็เป็นเรื่องเล็ก แต่เจ้าเล่า”
ร่างกายของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินพลันอันตรธานไป แล้วกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนแน่นขนัดไปหมด จากนั้นก็รวมตัวกันขึ้นมานั่งอยู่ตรงนั้น แล้วพูดพลางหัวเราะฮิฮิ “หากพูดถึงพลังแล้ว ข้าอาจจะอ่อนแอกว่าพวกท่านสองคนอยู่บ้าง แต่หากพูดถึงการรักษาชีวิตแล้ว ต่อให้ร่างจริงร่างนี้ของข้าถูกทำลายไป ข้าก็สามารถรอดชีวิตได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ต้องใช้เวลานานหน่อยเท่านั้นเอง! อันที่จริงแล้วข้ามิอาจนับได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญปกติทั่วไปแล้ว แต่ควรนับว่าเป็นแมลงขั้นสุดยอด! ตอนนั้นจักรพรรดิกลืนโลกาไม่ยอมให้ร่างกายหลอมรวมเข้ากับแมลง จนกลายเป็นแมลงไป และต้องรับการผูกมัดของแมลง ท้ายที่สุดกลับต้องทิ้งชีวิตไป…หากเขาสามารถสำเร็จเป็นแมลงขั้นสุดยอดได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็คงจะไม่สิ้นใจง่ายๆ เช่นนั้นแล้ว”
“แมลงขั้นสุดยอดหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ฟังแล้วก็พยักหน้าน้อยๆ
แมลงนั้นถูกบ่มเพาะขึ้นมา ซึ่งการบ่มเพาะแมลงนั้นมิได้ระมัดระวังเหมือนกับการบำเพ็ญ
โดยทั่วไปแล้วการบ่มเพาะนั้นบ้าคลั่งกว่า
เช่นทำให้แมลงน้อยที่อ่อนแอนับแสนล้านตัวเข่นฆ่าและกลืนกินกันเอง เพื่อเฟ้นหาตัวที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ซึ่งนี่จัดเป็นวิธีการคัดเลือกระดับต่ำที่สุด
การให้แมลงกินวัสดุพิเศษต่างๆ เช่นให้แมลงกินสมบัติล้ำค่าที่พบในหุบเขาเขี้ยวหัก! ระหว่างที่ ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ เพาะเลี้ยงแมลงนั้น แม้จะรับรู้เส้นทางกฎเกณฑ์สายนั้นเช่นกัน แต่ทางสายนี้กลับยากลำบากสำหรับ ‘แมลง’ เป็นอย่างยิ่ง แต่แมลงที่ค้นคว้าขึ้นมาก็วิปริตเป็นอย่างยิ่ง
หากเป็นขั้นสุดยอดเหมือนกัน แมลงก็จะบินทะยานได้รวดเร็วกว่าผู้บำเพ็ญทั่วไป! ร่างกายก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า! โลหิตหยดหนึ่งอาจจะเป็นพิษที่รุนแรงก็เป็นได้!
ตอนนั้นจักรพรรดิกลืนโลกาค้นคว้าวิธีหลอมรวม ‘แมลงขั้นสุดยอด’ ขึ้นมา แต่แมลงขั้นสุดยอดแต่ละตัวล้วนแต่มีเงื่อนไขเรื่องการหลอมรวมวิญญาณของผู้บำเพ็ญที่จำกัดอย่างยิ่ง…ปาถัวเฉินสามารถหลอมรวมได้สำเร็จ ก็มีส่วนของโชคเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ปาถัวเฉินมั่นใจว่าจะสามารถรักษาชีวิตได้ก็ดีแล้ว พวกเราไปครั้งนี้ ก็ได้เตรียมตัวตายเอาไว้แล้ว!”
“อื้ม” จอมกระบี่พยักหน้า “พวกเจ้าทั้งสองคงจะรู้จักหุบเขาเขี้ยวหักน้อยยิ่งนัก ข้าจะส่งรายงานฉบับหนึ่งให้พวกท่าน”
รายงานเรื่องหุบเขาเขี้ยวหักล้ำค่าเป็นอันมาก
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีความสัมพันธ์กับ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ และรู้รายงานมากมาย แต่พลังของประมุขรัฐเมฆทักษิณาอ่อนแอยิ่งนัก รายงานก็ย่อมห่างชั้นกับรัฐโบราณคิมหันตวายุเป็นอย่างมาก ปาถัวเฉินถึงขั้นมีสิ่งสืบทอดจากจักรพรรดิกลืนโลกา คาดว่าเขาคงจะเข้าใจหุบเขาเขี้ยวหักมากกว่าตงป๋อเสวี่ยอิง!
“ไม่เสียทีที่เป็นรัฐโบราณคิมหันตวายุ เข้าใจหุบเขาเขี้ยวหักดีกว่าจักรพรรดิกลืนโลกามากนัก” เมื่อบรรพชนแมลงปาถัวเฉินตรวจดู ก็เผยสีหน้ายินดีออกมาทันที “พี่กระบี่ปีศาจ ต้องขอบคุณท่านแล้ว”
“ในเมื่อจะมุ่งหน้าไปด้วยกัน ก็แค่รายงานเท่านั้น พวกเจ้าสองคนอย่าเผยแพร่ไปภายนอกก็พอแล้ว” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ บัดนี้สถานะของเขาในรัฐโบราณคิมหันตวายุสูงส่งอย่างยิ่ง รายงานนี้ย่อมไม่นับเป็นอะไรได้ อันที่จริงแล้วนี่เป็นแค่เก้าส่วนของรายงานที่รัฐโบราณคิมหันตวายุสำรวจหุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้น ส่วน ‘หนึ่งส่วน’ ที่เหลือ จอมกระบี่ไม่มีสิทธิ์เผยแพร่ออกไป! นั่นจึงจะเป็นความลับสุดยอดที่รัฐโบราณคิมหันตวายุสืบเสาะมาได้
ทว่ารายงานเก้าส่วนนี้ก็เหนือกว่ารัฐโบราณทั้งหลายเช่นรัฐโบราณเสียดฟ้าและรัฐโบราณจันทร์บุปผาแล้ว
เพราะถึงอย่างไรร่างแยกของจักรพรรดิเซี่ยก็มีมากมาย จึงสามารถสำรวจหุบเขาเขี้ยวหักได้ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
“อ้อ หุบเขาเขี้ยวหัก…” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เปิดหูเปิดตาขึ้นมา
หุบเขาเขี้ยวหักกินพื้นที่กว้างขวางยิ่งนัก เทียบได้กับรัฐโบราณคิมหันตวายุประมาณสามแห่ง
แม้ภายนอกจะเป็นเทือกเขาทอดยาวต่อเนื่องกัน แต่อันที่จริงแล้วเมื่อเข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหัก กลับกลายเป็นเข้าสู่มิติพิเศษอันกว้างขวางหาใดเปรียบเสียแล้ว…
มิติพิเศษนี้ มีโลกพิเศษแห่งแล้วแห่งเล่าที่แอบซ่อนอยู่ ภายในโลกแต่ละใบล้วนแต่มีชนพื้นเมืองดั้งเดิมของหุบเขาเขี้ยวหักอยู่!
นอกจากในมิติพิเศษอันกว้างขวางแล้ว ที่สะดุดตาที่สุดก็คือเกาะที่ลอยคว้างอยู่มากมาย! เกาะลอยคว้างแต่ละแห่งล้วนแต่มีเทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกัน
ขอบเขตของเกาะลอยคว้างกว้างใหญ่มาก เกาะลอยคว้างแต่ละแห่งแทบจะมีอันตราอยู่ทั้งหมด โดยทั่วไปแล้วยิ่งเกาะลอยคว้างใหญ่เท่าไหร่…ก็แปลว่าอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
“ชนพื้นเมือง! เผ่ามรณะทมิฬ! สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด
ภายในโลกแต่ละใบที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในโลกจำนวนมากสั่งสมขึ้นมา…แล้วก่อตัวเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง…ขุมอำนาจชนพื้นเมืองนั่นเอง! ชนพื้นเมืองภายในหุบเขาเขี้ยวหักแข็งแกร่งเป็นอันมาก
ส่วนเผ่ามรณะทมิฬและสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างแทบจะอาศัยอยู่ในเกาะลอยคว้างจำนวนนับไม่ถ้วนแทบทั้งหมด
แน่นอนว่าสิ่งแวดล้อมของเกาะลอยคว้างเองก็มีอันตรายอยู่มากมาย แต่ในอันตรายก็มีโอกาสแฝงอยู่ด้วย…
“ว่ากันว่าชนพื้นเมืองภายในหุบเขาเขี้ยวหักต่างก็มีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่มีน้อยอย่างยิ่งอยู่ในกาย” จอมกระบี่กล่าว “ดังนั้นเมื่อเทียบกันแล้วการวิวัฒน์ของพวกเขาก็ยากเย็นกว่ามากทีเดียว ทว่าร่างกายของแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้แต่ทารกที่เพิ่งเกิดมาก็เป็นระดับเทพอากาศแล้ว ประมุขของโลกแต่ละใบ โดยทั่วไปก็ล้วนแต่เป็นระดับไร้ศัตรูทั้งสิ้น! ในจำนวนนั้นมีประมุขโลกซึ่งแข็งแกร่งเป็นพิเศษอยู่บ้าง บางคนแข็งแกร่งกว่าราชันย์อนธการอมตะเสียอีก! เคราะห์ดีที่หุบเขาเขี้ยวหักมีข้อจำกัดที่หยวนทิ้งเอาไว้ ชนพื้นเมืองที่แข็งแกร่งเกินไปนั้นมิอาจออกมาได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงปาถัวเฉินพยักหน้า
เผ่าอันแปลกพิสดาร…
ล้วนแต่มีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอย่างนั้นหรือ
“บรรพชนนิจรัตติกาลและอ๋องสัตว์โลกาล้วนแต่เคยเข้าไปในโลกจำนวนหนึ่งของหุบเขาเขี้ยวหัก และเคยกลืนกินชนพื้นเมืองตามอำเภอใจ ดังนั้นบรรดาชนพื้นเมืองของโลกจึงรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกาเป็นธรรมดา! อย่างน้อยก็มีจิตระแวดระวัง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้สึกเป็นมิตร” จอมกระบี่กล่าว
“เจ้าบ้าสองคนนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ล่วงรู้เรื่องที่บรรพชนนิจรัตติกาลและอ๋องสัตว์โลกาจะทำจากรายงานที่จอมกระบี่มอบให้
อ๋องสัตว์โลกาชอบการกลืนกิน
บรรพชนนิจรัตติกาล…สนใจสายเลือดคละถิ่นภายในกายของชนพื้นเมืองเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงได้กินๆๆๆๆ ลงไป!
กินมากเกินไปแล้ว! ผูกความแค้นใหญ่หลวง ! ทำให้เมื่อผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ในดินแดนจิตโลกาเข้าไปต้องยุ่งยากอย่างต่อเนื่อง
“เผ่ามรณะทมิฬและสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง ตามปกติแล้วก็อยู่ในเกาะลอยคว้าง ส่วนเกาะลอยคว้างก็คือสถานที่ที่พวกเราจะเข้าไปเสาะหาโอกาสนั่นเอง!” จอมกระบี่กล่าว “จำนวนของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หรือว่าจะสามารถพบเข้าได้จริงๆ! แต่เผ่ามรณะทมิฬกลับมีจำนวนมหาศาล พวกมันและชนพื้นเมืองก็คือสองเผ่าใหญ่แห่งหุบเขาเขี้ยวหัก
หุบเขาเขี้ยวหักมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง นี่เป็นความลับอย่างแท้จริง
ทว่าเมื่อดูจากสิ่งที่ทราบอยู่แล้ว
ที่เรียกว่าเป็น สิ่งมีชีวิตคละถิ่น ‘ระดับล่าง’ ก็เพราะความสามารถมีจำกัด หนึ่ง การใช้พละกำลังนั้นหยาบมาก สอง โดยทั่วไปแล้วบุคคลผู้ไร้เทียมทานล้วนสามารถรักษาชีวิตได้อย่างง่ายดาย มีแต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างเท่านี้เท่านั้นที่หยวนคร้านจะสนใจ จึงปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก
ส่วนสองเผ่าใหญ่อย่างเผ่ามรณะทมิฬและชนพื้นเมือง เนื่องจากมีจำนวนมหาศาล ทำให้ผู้ที่เป็นระดับยอดน่าเกรงกลัวอย่างแท้จริง! บุคคลผู้ไร้เทียมทานอาจจะสิ้นใจไปก็เป็นได้
“ชนพื้นเมืองคล้ายกับผู้บำเพ็ญอย่างพวกเรามาก ก่อนหน้านี้ประมุขโลกแสงดาวผู้นั้นยังเคยมาช่วยเจ้าเลย”จอมกระบี่กล่าว “แม้พวกเขาจะระมัดระวังพวกเรา แต่ก็ยังนับว่าสามารถผูกสัมพันธ์ได้! เผ่ามรณะทมิฬ…มีสติปัญญาค่อนข้างต่ำ ในสายตาของพวกมัน ผู้บำเพ็ญแต่ละคนก็แตกต่างกันตรงที่กินได้หรือกินไม่ได้เท่านั้นเอง มิอาจเจรจาด้วยได้เลย เนื่องจากพวกเราจะตรงไปสำรวจเกาะลอยคว้างทันที คู่ต่อสู้ของพวกเราก็คือเผ่ามรณะทมิฬเป็นหลัก! นอกจากนี้ยังต้องพบกับเผ่ามรณะทมิฬจำนวนไม่น้อยด้วย”
“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงปาถัวเฉินพยักหน้าน้อยๆ
“ครั้งนี้ข้าวางแผนจะไปยังเกาะลอยคว้างแห่งนี้ สกุลชางของข้ามีเทพจักรวาลถึงสองชุดแล้วที่เข้าไปสิ้นใจในนั้น ดังนั้นครั้งนี้ ข้าวางแผนจะเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียหน่อย!”จอมกระบี่กล่าว “ข้าเตรียมการเอาไว้ดีแล้ว สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา”
เช่นผู้ที่มีร่างแยก
เช่นประมุขรัฐเมฆทักษิณาและคนอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วล้วนแต่อยากไปบุกฝ่าหุบเขาเขี้ยวหักกันทั้งสิ้น
อย่างมากก็แค่เสียร่างแยกไปเท่านั้นเอง! หากโชคดี ก็จะได้อะไรมามหาศาล!
“ฮ่าฮ่า ร่างแยกของข้ามากมายยิ่งนัก สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มออกมา
“ข้าตัวคนเดียว ก็ย่อมสามารถไปได้ตลอดเวลา” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินเอ่ยขึ้นมา
“ดี ดื่มสุรานี่หมดแล้ว วันนี้พวกเราก็ออกเดินทางกันได้!” จอมกระบี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น นี่คือการสำรวจครั้งแรกหลังจากเขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด บัดนี้นับได้ว่าเขามีพลังระดับไร้ศัตรู พลังระดับนี้มีคุณสมบัติพอจะสำรวจหุบเขาเขี้ยวหักได้รอบหนึ่งแล้ว อันตรายระดับที่ทำให้ผู้ที่มีพลังระดับไร้ศัตรูคนหนึ่งหนีไม่ทันจนเสียชีวิตได้นั้น…แม้ในหุบเขาเขี้ยวหักจะมีไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรหุบเขาเขี้ยวหักก็กว้างใหญ่ไพศาล อันตรายที่น่ากลัวระดับนั้นมิได้พบได้ง่ายๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งไม่สนใจเข้าไปใหญ่ ร่างแยกมากมาย เขาทำไปก็เพื่อเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตาย! เพื่อกระตุ้นการบรรลุของตน จะต้องก้าวออกจากก้าวนั้นและบรรลุเป็นขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด!
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 5 จมดิ่ง
สวบ!
บุรุษที่สะพายกระบี่เทพ แมลงตัวใหญ่ในเค้าร่างมนุษย์ที่ห่มอาภรณ์สีดำและหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางท้องฟ้าของหุบเขาเขี้ยวหัก
“เทือกเขาทอดยาวต่อเนื่องกัน ไกลสุดลูกหูลูกตา” พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง รู้สึกว่ามิติของเทือกเขาเบื้องล่างบิดเบี้ยว
“ไป ลงไปกันเถอะ”
พวกเขาสามคนทะยานลงไปพร้อมกัน เมื่อเข้าไปใกล้ มิติก็ยิ่งบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาด
ฟิ้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงปาถัวเฉินเผยสีหน้าแปลกใจออกมา พวกเขารู้สึกว่าตนเหมือนกับออกจากโลกใบหนึ่งแล้วเข้าไปยังโลกอีกใบหนึ่ง! เนื่องจาก ‘กฎเกณฑ์อันสูงส่ง’ ได้เปลี่ยนแปลงไป! กฎเกณฑ์อันสูงส่งซึ่งเดิมทีปกคลุมทุกหนแห่งของดินแดนจิตโลกา เมื่ออยู่ในส่วนลึกของหุบเขาเขี้ยวหัก กลับกลายเป็นกฎเกณฑ์อันสูงส่งอีกชนิดหนึ่งเสียแล้ว
“น่าประหลาดนัก”
เมื่อพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนเข้าไปภายในมิติของหุบเขาเขี้ยวหัก เทือกเขาแต่ละแห่งที่เห็นก่อนหน้านี้ล้วนกลายเป็นเกาะลอยคว้างมากมาย!
มืติกว้างใหญ่ไพศาล
เกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่าลอยคว้างอยู่กลางมิติอันไร้ที่สิ้นสุด
“ในโลกหุบเขาเขี้ยวหัก จะมีก็แต่เกาะลอยคว้างที่มีอันตรายต่างๆ อยู่! อย่างมิติอันไร้ขอบเขตนี้ และโลกต่างๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ ล้วนไม่มีอันตรายแต่อย่างใด” จอมกระบี่ยิ้ม “เกาะลอยคว้างเบื้องหน้าเราแห่งนี้ มีหมายเลขแทนว่า ‘หยินสามเก้าเจ็ดห้า’”
เมื่อรู้จุดอ้างอิง
จอมกระบี่ ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงปาถัวเฉินต่างก็เคลื่อนที่ในพริบตามุ่งหน้าไปทันที
แม้จะระมัดระวัง แต่เคลื่อนที่ในพริบตาสิบกว่าครั้งก็ไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
“หยินห้าสองเก้าเก้า” พวกจอมกระบี่ทั้งสามคนยืนอยู่กลางอากาศ พลางมองดูเกาะลอยคว้างขนาดมหึมาตรงหน้า “ถึงแล้ว”
เมื่อประเมินด้วยสายตา เกาะลอยคว้างมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสามแสนล้านลี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นเกาะลอยคว้างที่มีขนาดค่อนข้างเล็กของหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว
“พวกเจ้าสองคนไม่เคยไปยังเกาะลอยคว้างมาก่อน ข้าขอเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า อันตรายของหุบเขาเขี้ยวหักอยู่ภายในเกาะลอยคว้างเหล่านี้” จอมกระบี่พูดอย่างจริงจัง “อีกประเดี๋ยวเข้าไป ก็ทำตามที่พวกเราตกลงกันเอาไว้นะ”
“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็ไม่กล้าประมาท
ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตากัน นัยน์ตาแฝงแววรอคอย
สวบๆๆ!
จากนั้นก็พากันทะยานมุ่งหน้าไปยังเกาะลอยคว้าง
บนเกาะลอยคว้างที่ล่องลอยอยู่ มีเทือกเขาทอดยาวต่อเนื่องกัน หากมองดูจากโลกภายนอก เทือกเขาที่ทอดยาวต่อเนื่องกันนี้เชื่อมต่อกันกับเทือกเขาภายนอก! แต่เมื่อเข้าไปภายใน ‘โลกหุบเขาเขี้ยวหัก’ กลับกลายเป็นภาพที่แปลกพิสดารเช่นนี้
“กลิ่นอายแปลกประหลาดนัก” เมื่อทะยานเข้าไปใกล้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย ทั้งเกาะลอยคว้างมีกลิ่นอายที่เยียบเย็นอย่างยิ่งแผ่ซ่านออกมา กลิ่นอายนี้ทำให้เขาไม่สบายใจเอามากๆ
“เอ๊ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและร่างแยกที่โลกภายนอกต่างก็ได้รับผลกระทบ “มิอาจใช้การส่งถ่ายมหาทลายโลกาได้แล้วหรือนี่”
ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเป็นวิธีการเคลื่อนที่ที่เยี่ยมยอดมาก!
ตามรายงาน ภายในโลกหุบเขาเขี้ยวหัก อย่างภายในโลกอันเร้นลับต่างๆ ที่ชนพื้นเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่หรือว่าอากาศอันกว้างใหญ่ไพศาลล้วนแต่สามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาไปถึงได้โดยตรง! ต่อให้ไม่อาศัย ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ แล้วเคลื่อนที่ในพริบตาเป็นระยะทางไกลโพ้นไปยังชายแดนก่อน หลังจากทะลุผ่านชายแดนแล้วก็สามารถกลับดินแดนจิตโลกาได้อย่างง่ายดาย
แต่ภายในเกาะลอยคว้างกลับมีพละกำลังอันเร้นลับผลักไสสิ่งกีดขวางออกไป จนมิอาจสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้!
“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง บริเวณอากาศก็จะขยายออกไป แต่กลับได้รับการกีดขวางจากพละกำลังอันเยียบเย็นนี้ อาศัย ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ที่พกติดตัวมาจึงสามารถแผ่ออกไปเป็นขอบเขตล้านลี้ได้อย่างพอถูไถ! และมิอาจขยายออกไปได้อีกแล้ว พละกำลังอันเยียบเย็นนั้นกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด การกดดันของพละกำลังอันเยียบเย็นนี้ถึงขั้นทำให้เกิดระลอกคลื่นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าขึ้นมา
“เป็นอย่างไรบ้าง” จอมกระบี่และบรรพชนแมลงปาถัวเฉินต่างก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ถูกขัดขวางอย่างแรงโดยแท้ บริเวณของข้าสามารถคงไว้ได้ที่ล้านลี้เท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด ขณะเดียวกันก็กำหนดจิตคราหนึ่ง แล้วเขาก็สำแดงโลกเขตลวงออกมา
โลกเขตลวงเป็นการสำแดงพละกำลังของวิญญาณ
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าแตกตื่นออกมา
โลกเขตลวงถูกขัดขวางก็อ่อนแอลงมากอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเนื่องจากมีพละกำลังอันเยียบเย็นอยู่ โลกเขตลวงจึงสามารถปกคลุมได้เพียงสิบแปดล้านลี้เท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้สำแดงวิธีการด้านความปรารถนาและภาพลวงต่างๆ อย่างสุดกำลัง เพราะถึงอย่างไรก็แค่ตรวจดูรอบด้านเท่านั้น แค่พยายามขยายขอบเขตการสำรวจของโลกเขตลวงก็เป็นอันใช้ได้แล้ว!
“เกาะลอยคว้างกดดันวิธีการด้านกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างร้ายกาจนัก” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด “พวกเราอยู่ที่นี่ ล้วนมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ แต่เมื่อ ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ อยู่ในเกาะลอยคว้างกลับมิได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใด สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นพวกเราจึงเสียเปรียบมาก”
“โลกเขตลวงของข้าถูกกดดันค่อนข้างต่ำ สามารถคงขอบเขตไว้ได้ที่สิบแปดล้านลี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
“อ้อ” จอมกระบี่และบรรพชนแมลงปาถัวเฉินต่างก็แสดงสีหน้ายินดีออกมา
ขอบเขตสิบแปดล้านลี้ก็นับว่าใหญ่มากแล้ว
“ข้าจะไปตรวจสอบรอบด้าน” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดพลางโบกมือคราหนึ่ง ทันใดนั้นแมลงหลายสิบตัวก็บินออกมา แล้วมุ่งหน้าไปทุกทิศทุกทางอย่างรวดเร็ว
……
บรรพชนแมลงปาถัวเฉินส่งแมลงออกไปสำรวจภายนอก ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงโลกเขตลวง ก็ย่อมหลบหลีกบรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่เป็นธรรมดา ส่วน ‘จอมกระบี่’ เป็นผู้ที่มีพลังรบแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งสามคน! เพราะไม่ว่าจะเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงหรือจอมกระบี่ก็ล้วนนำสมบัติลับมาด้วย และเป็นเพียง ‘สมบัติลับระดับยอด’ เท่านั้น ต่อให้พวกเขาโชคไม่ดีสู้จนตัวตายและต้องสูญเสียขึ้นมา พวกเขาก็ทำใจสูญเสียได้!
พวกเขาจำเป็นต้องพกสมบัติลับติดตัวมาด้วย เพราะยิ่งพลังแข็งแกร่งเท่าใด โอกาสที่จะได้สมบัติล้ำค่ามาก็จะเพิ่มขึ้น
“หาทางเจอแล้ว” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินนำทางไป เพราะถึงอย่างไรสกุลชางก็เคยมีเทพจักรวาลมาเยือนแล้ว
“ฟิ้วๆๆ…” ไกลออกไปมีไอหมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งล่องลอยอยู่
ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
ตามรายงานของเทพจักรวาลสกุลชางที่สูญเสียร่างแยกที่นี่ ‘หมอกขาวทรงกลม’ บนเกาะลอยคว้างแห่งนี้มีแรงกัดเซาะที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เทพจักรวาลที่สัมผัสมันล้วนแต่ต้องสลายไปในพริบตา! ต่อให้สมบัติลับปะทะมัน สมบัติลับก็ต้องแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไป! จะเห็นได้ว่าร่างกายของเทพจักรวาลขั้นสุดยอดสัมผัสถูกมัน ก็เกรงว่าคงจะมีผลอย่างเดียวกันคือกลายเป็นผุยผง
เป็นอันตรายอย่างหนึ่งที่น่ากลัวอย่างยิ่งของเกาะลอยคว้าง! แน่นอนว่าขอเพียงสามารถหลบหลีกไปได้ ก็ไม่เป็นไรแล้ว
มุ่งหน้าไปตลอดทาง
เนื่องจากทำได้เพียงบินไปอย่างช้าๆ นานแสนนานจึงทะลุผ่านระยะทางหมื่นล้านลี้ได้ ตลอดทางก็พบ ‘สภาพแวดล้อมอันตราย’ อยู่ตลอด
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่า สภาพแวดล้อมธรรมชาติที่อันตรายเช่นนี้ อาจจะมิใช่สิ่งที่ ‘หยวน’ จงใจสร้างขึ้นมา เพราะผลของการทดสอบมีจำกัด! อาจจะเป็นสถานที่อันตรายที่ ‘หยวน’ เคลื่อนย้ายเข้ามาก็เป็นได้
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหันกลับไปมองทันควัน
“เป็นอะไรไปน่ะ” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่ต่างก็สะดุ้งเฮือก
“เผ่ามรณะทมิฬ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงต่ำ
โลกเขตลวงของเขา พบเผ่ามรณะทมิฬซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นสัตว์ประหลาดผิวสีดำเมื่อมทั้งร่าง เผ่ามรณะทมิฬตนนั้นน่าจะแอบจับจ้องเงียบๆ อยู่ไกลออกไป มันเพิ่งจะเข้าไปในขอบเขต ‘โลกเขตลวง’ ของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ต้องถอยหนีไปด้วยความแตกตื่น
“เผ่ามรณะทมิฬเริ่มปรากฏขึ้นมาแล้ว” จอมกระบี่ก็ถ่ายเสียงพูดขึ้น “ในเมื่อพบตนแรกแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานเท่าใดนักก็จะถูกลอบโจมตีเป็นครั้งแรก”
จอมกระบี่พูดพลางชักกระบี่เทพที่สะพายไว้ที่หลังขึ้นมา
เขาถือกระบี่เทพเอาไว้ในมือ สายตาของจอมกระบี่ราบเรียบ เขาเตรียมพร้อมแล้ว
บรรพชนแมลงก็หรี่ตาลง แม้เขาจะส่งเหล่าแมลงออกไปสำรวจ แต่กลับไม่พบเผ่ามรณะทมิฬเลยแม้แต่คนเดียว
……
พวกเขาทั้งสามมุ่งหน้าต่อไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงพบเผ่ามรณะทมิฬซ่อนตัวอยู่เป็นครั้งคราว เผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้สามารถจำแนกออกมาได้อย่างง่ายดาย เพราะผิวกายของแต่ละตนล้วนแต่มีกลิ่นอายแห่งความตายอันชั่วร้ายแผ่ซ่านออกมา! แต่ละตนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพบนั้น มีผิวหนังสีดำเมื่อมแทบทั้งหมด
“ข้ารู้สึกว่าพวกเขาเหมือนจะกำลังจับตามองเหยื่ออย่างพวกเราอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ข้าพบเผ่ามรณะทมิฬหกตนที่แตกต่างกันแล้ว ห้าตนมีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาด มีตนหนึ่งที่เป็นรูปร่างมนุษย์ ทั้งยังมีอาภรณ์ห่มคลุมไว้ด้วย”
“เอ๊ะ” ทันใดนั้นบรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็มองไปทิศหนึ่งด้วยความตกตะลึง
“เกิดอะไรขึ้น” จอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงพากันสงสัย
“ใครน่ะ!”
เสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวดังก้องขึ้นไกลออกไป เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า แล้วมองไปรอบด้าน นัยน์ตาทั้งคู่ของเขามีเปลวเพลิงอันแปลกประหลาดลุกโชน มองมาแวบหนึ่งก็เห็นพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนที่แฝงกายอยู่ท่ามกลางแมกไม้
สวบ!
เงาร่างสายนั้นทะยานข้ามระยะทางกว่าร้อยล้านลี้มาอย่างรวดเร็วจนมาถึงกลางท้องฟ้าเหนือพวกตงป๋อเสวี่ยอิง นี่คือบุรุษผมสั้นสีแดงที่มีแววอาฆาตอันรุนแรงคนหนึ่ง เขาเหลือบมองลงมายังพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคน นัยน์ตาแฝงแววระแวดระวัง เขาพูดเสียงต่ำว่า “ผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกาหรือ”
“ชนพื้นเมืองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ย่อมจำได้เป็นธรรมดา
“พี่ใหญ่หิมะเหิน พี่กระบี่ปีศาจ ไกลออกไปมีค่ายอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีชนพื้นเมืองถึงสิบหกคนด้วยกัน” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินถ่ายเสียงพูด “พวกเขาระมัดระวังเป็นอย่างมาก บรรดาลูกน้องที่ข้าส่งไปเพิ่งจะพบพวกเขาเข้า ก็ถูกพวกเขาสังหารเสียแล้ว”
“น่าจะเป็นทหารรบชนพื้นเมืองซึ่งมายังเกาะลอยคว้างเพื่อเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงคาดเดา
จอมกระบี่กลับพูดยิ้มๆ เสียงดังกังวานว่า “พวกเจ้ามายังเกาะลอยคว้างเพื่อเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตายหรือ พวกข้ามาที่นี่ก็เพื่อผจญอันตรายเช่นเดียวกัน”
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 6 ร่วมมือ
บุรุษผมสั้นสีแดงผู้มีกลิ่นอายแข็งแกร่งยืนอยู่กลางอากาศ พลางเหลือบมองลงไปยังพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนที่อยู่เบื้องล่าง ในบรรดาทั้งสามคนนี้ บรรพชนแมลงปาถัวเฉิน แมลงตัวใหญ่ที่มีเค้าร่างมนุษย์มีกลิ่นอายแปลกประหลาด เดิมทีกลิ่นอายของแมลงขั้นสุดยอดก็อุกอาจอย่างน่าประหลาดอยู่แล้ว รับมือมิได้ง่ายๆ เลย! ส่วนจอมกระบี่ ในฐานะผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางด้านวิถีทำลายล้าง ก็ย่อมมีกลิ่นอายเฉียบคมระลอกหนึ่งเป็นธรรมดา ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมิได้เสแสร้งเลย กลิ่นอายของเขาอ่อนแอที่สุดอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านชาย เมื่อตัดสินจากกลิ่นอายแล้ว ในบรรดาผู้มาเยือนทั้งสาม มีสองคนที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดขอรับ” บุรุษผมสั้นสีแดงถ่ายเสียงกลับไป “ควรจะรับมือเช่นไรดี”
“มีสองคนที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดรึ”
“มีบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาหรือไม่”
ทันใดนั้นก็มีการถ่ายเสียงมาต่อเนื่องกัน
“บุคคลผู้ไร้เทียมทานที่มีชื่อเสียงที่สุดของดินแดนจิตโลกาเหล่านั้น ไม่อยู่ในนี้ด้วยขอรับ” บุรุษผมสั้นสีแดงถ่ายเสียงตอบ
“รายงานของพวกเราล้วนแต่นานแสนนานมาแล้ว ไม่แน่ว่าขั้นสุดยอดบางคนในดินแดนจิตโลกาอาจจะมีผู้ใดได้รับสมบัติลับอันสูงส่งไปอีกก็เป็นได้! ข้าว่าผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกาทั้งสามคนนี้…พวกเราสามารถผูกสัมพันธ์กับพวกเขาได้ ให้พวกเขาเป็นแรงช่วยของพวกเรา!”
“ระวังเอาไว้หน่อยก็แล้วกัน! ผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกาเหล่านี้มีบางคนที่ร้ายกาจยิ่งนัก อย่างอ๋องสัตว์โลกาและบรรพชนนิจรัตติกาลนั่น ในตำนานกล่าวว่ากลืนกินสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว!”
“พวกเราร่วงลงมาถึงระดับเช่นทุกวันนี้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่า ‘เผ่าเซวี่ยเหยียน’ ของพวกเราคงจะต้องดับสลายลงแล้ว! ครั้งนี้พวกเราจะต้องได้ ‘ผลวิญญาณทิพย์’ มา และทำให้พลังของท่านชายยกระดับขึ้นได้อีกครั้ง เมื่อพลังของท่านชายยกระดับขึ้น พวกเราจึงจะสามารถช่วงชิงโลกของพวกเรากลับคืนมาได้ เผ่าเซวี่ยเหยียนของเราจึงจะดำรงอยู่ต่อไปได้! ผลวิญญาณทิพย์มีประโยชน์มหัศจรรย์ต่อพวกเรา แต่สำหรับผู้บำเพ็ญในดินแดนจิตโลกาเหล่านี้ ก็มีประโยชน์ค่อนข้างต่ำ พวกเขาไม่มีทางแย่งชิงสุดชีวิตเพื่อพวกเราหรอก”
“ดี! ผูกสัมพันธ์กับพวกเขาให้ดี เพื่อให้พวกเขากลายเป็นแรงช่วยของพวกเรา อิ่งอี เจ้าไปจัดการพวกเขาเสีย”
“ขอรับ ท่านชาย”
พวกเขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
พูดแล้วเหมือนจะเชื่องช้า แต่อันที่จริงแล้วกลับถ่ายเสียงพูดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
เงาร่างสายหนึ่งทะยานข้ามท้องฟ้าไปอย่างรวดเร็ว นี่คือสตรีรูปงามผมสีเงินซึ่งสวมเกราะสีเงินเอาไว้ บนเกราะมีลวดลายสีแดง
“เป็นผู้บำเพ็ญจากดินแดนจิตโลกา มิใช่ศัตรูของพวกเรา พี่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นไปหรอก” สตรีผมเงินพูดกับบุรุษผมแดงประโยคหนึ่งแล้วร่อนลงไป ใกล้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคน สตรีผมเงินพูดยิ้มๆ ว่า “ข้ามีนามว่าอิ่งอี ครั้งนี้กองกำลังของพวกเราเข้ามาในเกาะลอยคว้างเพื่อเสาะหาสมบัติล้ำค่า แต่ภายในเกาะลอยคว้างมีอันตรายซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง เผ่ามรณะทมิฬก็ยิ่งบ้าคลั่ง หากข้าและคนอื่นๆ ร่วมมือกันก็จะสามารถตัดการกับเผ่ามรณะทมิฬได้ และสามารถเดินไปในเกาะลอยคว้างได้ไกลยิ่งขึ้น โอกาสที่จะได้สมบัติล้ำค่ามาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ทั้งสามท่านรู้สึกว่าอย่างไรบ้าง”
ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่และบรรพชนแมลงปาถัวเฉินสบตากันไปมา
ภายในโลกหุบเขาเขี้ยวหัก
แม้เผ่ามรณะทมิฬและชนพื้นเมืองต่างก็ใหญ่โตมาก ทว่าชนพื้นเมืองนั้นคล้ายกับผู้บำเพ็ญจากโลกภายนอกมาก ปัญญาก็สูงยิ่งนัก แท้จะมีจิตคิดระวังสิ่งมีชีวิตจากภายนอก แต่ก็ยังคงสามารถร่วมมือด้วยได้! ข้อแตกต่างข้อใหญ่ที่สุดระหว่างชนพื้นเมืองกับโลกภายนอก…ก็คือตำนานที่ว่าภายในกายของพวกเขาล้วนมีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่
“ดี หากพูดถึงความเข้าใจเกาะลอยคว้างแล้ว พวกท่านคงต้องเหนือกว่าพวกเราแน่นอน หากสามารถเคลื่อนไหวด้วยกันได้ก็ถือเป็นเรื่องดี” จอมกระบี่เอ่ยปาก
“พวกท่านชายของข้าอยู่ไม่ไกลออกไปนัก เชิญเจ้าค่ะ” สตรีผมเงินยิ้มแล้วนำทางไป
……
ไม่นานนัก
ทั้งสองฝ่ายรวมตัวกันแล้ว แม้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงจะเตรียมการเคี่ยวกรำเอาไว้แล้ว แต่สิ่งที่มีไม่ขาดเลยในหุบเขาเขี้ยวหักก็คืออันตราย! สามารถร่วมมือกับชนพื้นเมืองได้ ก็ถือเป็นเรื่องดี อันที่จริงแล้วมีชนพื้นเมืองในโลกบางคน…ที่ไม่ยอมร่วมมือกับผู้บำเพ็ญในดินแดนจิตโลกา
ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน แล้วสนทนากันอย่างง่ายๆ ครู่หนึ่ง
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ว่า ผู้ที่เป็นผู้นำของกองกำลังนี้ก็คือหัวหน้าที่ชื่อว่า ‘เซวี่ยเหยียนจี้’ คนอื่นๆ ล้วนเรียก ‘เซวี่ยเหยียนจี้’ ว่าท่านชาย!
“เผ่ามรณะทมิฬต่างก็มีแดนใต้อาณัติของตนเอง” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่รูปโฉมหล่อเหลาสวมอาภรณ์สีเขียว เขายิ้มพลางพูดแนะนำว่า “พวกเรารุกรานเข้ามาในแดนใต้อาณัติของพวกเขา ก็ต้องประสบกับการลอบโจมตีของพวกเขา แน่นอนว่า หากพวกเราแข็งแกร่งพอ พวกเขาก็จะคร้ามเกรง พวกเราก็จะมุ่งหน้าไปยังใจกลางสุดของเกาะลอยคว้างอย่างต่อเนื่องได้ หากพวกท่านสัมผัสได้ถึงอันตราย ก็สามารถจากไปได้ตลอดเวลา”
“มาที่นี่ก็มิอาจเกรงกลัวอันตรายได้ อย่างมากก็แค่สูญเสียกายหยาบไปร่างหนึ่งก็เท่านั้นเอง” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดเสียงแหบแห้ง
“ดี”
ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กล่าวว่าดีขึ้นมาทันที สมาชิกคนอื่นๆ ในกองกำลังใต้บังคับบัญชาของเขาต่างก็มองมาทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิง เหมือนจะปรองดองขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
“ช่างสุขสราญจริงๆ ข้าและคนอื่นๆ อิจฉาผู้บำเพ็ญแดนจิตโลกามาก เพราะพวกท่านมีร่างแยกได้ ต่อให้เป็นอันตรายที่น่าหวาดหวั่นกว่านี้ก็กล้ามุ่งหน้าไปได้” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดพลางทอดถอนใจ
“ภายในดินแดนจิตโลกาของพวกเรา ผู้ที่มีร่างแยกก็น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ก็ยังดีกว่าพวกเราอยู่ดี พวกเราคิดจะบำเพ็ญร่างแยกแต่กลับไม่มีทางให้หนีได้” สีหน้าของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ซับซ้อน หากมีร่างแยก ก็คงจะไม่ตกต่ำลงมาถึงขั้นทุกวันนี้แล้ว
จอมกระบี่กล่าวว่า “ตอนนี้พวกเราออกเดินทางได้เลยหรือไม่”
“ออกเดินทางกันเถิด ให้พวกเรานำทางดีไหม” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เอ่ย
“ได้”
จอมกระบี่ บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้คัดค้านแต่อย่างใด
ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนพลไปด้วยกัน กองกำลังของพวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ทั้งสิบหกคนเดินอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทาง ส่วนพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนเดินอยู่ด้านหลัง ทั้งสองฝ่ายระแวดระวัง เพื่อระวังเผ่ามรณะทมิฬเป็นหลัก
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว
‘โลกลวง’ ที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงคงเอาไว้หลบหลีกชนพื้นเมืองทั้งสิบหกคนได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการขัดแย้งกัน หนึ่งชั่วยามกว่านี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับพบว่ามีเผ่ามรณะทมิฬมาเฝ้าดูอยู่รอบๆ มากขึ้น
“พวกท่านสามคนต้องระวัง ก่อนหน้านี้พวกเราเคยประมือกับเผ่ามรณะทมิฬมาก่อน พวกเขารู้ว่าพวกเรารับมือไม่ได้ง่ายๆ! พวกท่านเพิ่งมาใหม่…ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการลอบโจมตีใหม่จะพุ่งเป้าไปที่พวกท่าน” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้หันไปพูดกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลัง
“ขอบคุณท่านชาย พวกเราจะระวัง” จอมกระบี่ก็ยิ้มตอบ
พูดยังไม่ทันขาดคำ…
จู่ๆ ก็มีเงาดำหกสายโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินแล้วล้อมโจมตีไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่ทั้งสามคน
มาได้กะทันหันเกินไปแล้ว! เมื่อสัมผัสรับรู้ด้วยโลกเขตลวงได้ เผ่ามรณะทมิฬก็มาถึงแล้ว
“ไสหัวไป!!!”
บรรพชนแมลงปาถัวเฉินตะคอกขึ้นมาทันที ปากของเขาขยายใหญ่ขึ้นอย่างน่าประหลาด เสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวแฝงไว้ด้วยระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดที่แพร่ออกไป ทำให้เงาดำหกสายถูกระลอกคลื่นกระทบแล้วสั่นสะท้านน้อยๆ นอกจากนี้อาภรณ์สีดำบนร่างของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็พลันกระจายตัวออกแล้วกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วแบ่งออกไปล้อมโจมตีเงาดำหกสาย
เงาดำแต่ละสายต่างก็ประสบการโจมตีของแมลงอันแน่นขนัด เงาร่างแต่ละสายล้วนแต่มีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาดผิวหนังสีดำ แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายดำมืดของความตาย
แมลงขั้นสุดยอด…เดิมทีวิธีการก็แปลกประหลาดยากทำนายอยู่แล้ว นับตั้งแต่เจรจากับราชันย์อนธการอมตะเป็นต้นมา พลังของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็แกร่งกล้าขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
ฟิ้ว…ฟิ้ว…ฟิ้ว…
เงาร่างทั้งหกสายรู้ว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว จึงพากันกลายเป็นหมอกสีดำสลายไปกลางอากาศ
“อาภรณ์สามารถกลายเป็นแมลงมากมายถึงเพียงนั้นได้ด้วยหรือ ลำพังแค่อาศัยแมลง ก็ทำให้เผ่ามรณะทมิฬหกตนนี้ถอยไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ” ชนพื้นเมืองทั้งสิบหกเห็นเขาก็ตกตะลึงไปหมด วิธีการของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินนั้นไม่เหมือนกับวิธีการปกติทั่วไปที่ผู้บำเพ็ญรู้ นี่ทำให้พวกเขาไม่กล้าดูแคลน ‘บรรพชนแมลงปาถัวเฉิน’ ที่มีหน้าตาค่อนข้างอัปลักษณ์อีกต่อไป
รังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย!
“การโจมตีกระบวนท่าหนึ่งของราชันย์อนธการอมตะในตอนนั้น ปาถัวเฉินก็ใช้อาภรณ์ไปสกัดกั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “อาภรณ์นั้นก็ไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย เป็นสมบัติลับหรือ หรือว่าเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน”
เพราะถึงอย่างไรก็เป็น ‘แมลงขั้นสุดยอด’ ที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนจิตโลกาซึ่งรวมกับผู้บำเพ็ญ ต่อให้เป็นตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ ก็รู้จักปาถัวเฉินน้อยมาก
“ฮ่าฮ่า พลังของบรรพชนแมลงไม่ธรรมดาเลย” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดยิ้มๆ “ทว่านี่เป็นเพียงการสัมผัสเพื่อให้รู้พลังของท่านเท่านั้นได้ชัดเจนเท่านั้น คนที่เผ่ามรณะทมิฬส่งมาล้วนแต่เป็นลูกน้องที่พลังค่อนข้างต่ำต้อย ผู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ ยังไม่ได้เคลื่อนไหว”
จากนั้นกองกำลังก็มุ่งหน้าต่อไป
พวกเขาท่องไปในเกาะลอยคว้างอันกว้างใหญ่ไพศาล ชนพื้นเมืองเหล่านี้เข้าใจอันตรายของสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติได้ดีกว่าตงป๋อเสวี่ยอิง ตลอดทางจึงสามารถหลบเลี่ยงอันตรายแห่งแล้วแห่งเล่าได้อย่างง่ายดาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ใบหน้าอัปลักษณ์ที่ก่อตัวขึ้นจากหมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นด้านบน พลางเหลือบมองลงไปยังกองกำลังนี้แล้วเปล่งเสียงหัวเราะอันบาดหูขึ้นมา เสียงหัวเราะนั้นโจมตีตรงไปยังวิญญาณ แฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายและแรงอาฆาต!
“มาแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงปาถัวเฉินและจอมกระบี่ต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงคุกคามอันยิ่งใหญ่ของใบหน้าหมอกดำขนสดมหึมากลางอากาศ
ฟิ้วๆๆๆๆๆ…
ทันใดนั้นเงาร่างหลายสิบสายก็โผล่ออกมาจากผืนดิน กว่าแปดส่วนก็คือผู้ที่โจมตีไปทางกองกำลังชนพื้นเมืองทั้งสิบหกคนนั้น เผ่ามรณะทมิฬที่เหลือเพียงห้าคนซึ่ง เป็นเผ่ามรณะทมิฬที่มีเค้าร่างเป็นมนุษย์สามคน และรูปลักษณ์สัตว์ประหลาดอีกสองตนจึงสามารถโจมตีไปทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนได้
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 7 ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกองกำลัง
ใบหน้าหมอกดำขนาดมหึมานั้นกลับทะยานตรงไปทางท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ที่อารมณ์ดีมาตลอดผู้นั้น
“ตู้ม!” ผิวกายของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กลับมีเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นมา กลิ่นอายก็ปะทุขึ้น หมัดหนึ่งของเขาต่อยออกไป อากาศเบื้องหน้ากลับถูกแผดเผาจนบิดเบี้ยวไปหมด ใบหน้าหมอกดำกลับก่อตัวขึ้นเป็นสาวน้อยชุดดำคนหนึ่ง สาวน้อยชุดดำต้านทานการโจมตีของเปลวเพลิงเอาไว้แล้วบุกตรงไปเบื้องหน้าท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ จากนั้นกรงเล็บหนึ่งก็ปกคลุมเข้าไปทันที
มือทั้งคู่ของสาวน้อยชุดดำคนนี้กลับดำทะมึนและใหญ่โต ทั้งยังคมกริบราวกับมีด
ยังมีเผ่ามรณะทมิฬอีกยี่สิบกว่าคนที่ล้อมโจมตีไปทางยอดฝีมือชนพื้นเมืองคนอื่นๆ ยอดฝีมือชนพื้นเมืองเหล่านี้ก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลรบอันหนึ่งเพื่อรับมือศัตรูทันที
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นผู้ที่สบายที่สุดในที่นั้น เขาไม่รีบร้อนลงมือ หากแต่มองดูสถานการณ์การต่อสู้อย่างสบายอกสบายใจ
“ท่านชายชนพื้นเมืองผู้นี้ หากพูดถึงอานุภาพแล้วสามารถบีบบังคับบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้ ทว่ากระบวนท่ากลับหยาบกร้านกว่ามาก ห่างชั้นกับผู้บำเพ็ญอยู่มากโข” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์ อานุภาพของพละกำลังแข็งแกร่ง แต่ด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์กลับบกพร่องมากยิ่งนัก ควรจะเทียบกับพลังสองถึงสามส่วนของของบรรพชนราตรีนิรันดร์
ส่วนผู้ใตับังคับบัญชาคนอื่นๆ อีกสิบห้าคน แต่ละคนกลับไม่อ่อนแอเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายกลรบที่ทั้งสามคนร่วมกันสร้างขึ้นมา ค่ายกลรบที่อ่อนแอที่สุดก็มีพลังรบขั้นสุดยอดแล้ว ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดก็บีบบังคับระดับท่านชายผู้นั้นได้โดยตรง
“มิน่าเล่าจึงกล้ามายังเกาะลอยคว้าง พลังของกองกำลังนี้แข็งแกร่งนัก ทว่าจอมกระบี่เพียงคนเดียวก็เพียงพอจะกดดันพวกเขาได้แล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิด
เผ่ามรณะทมิฬทั้งห้าตนบุกสังหารเข้ามาทางพวกตน
อาภรณ์สีดำของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนห้อมล้อมเผ่ามรณะทมิฬผู้นั้นเอาไว้ เพียงแต่ครั้งนี้ใช้ไม่ได้แล้ว ชายชราอาภรณ์ดำหน้าตาอัปลักษณ์เป็นผู้นำของเผ่ามรณะทมิฬ ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวแล้วแปรเป็นศีรษะสีดำขนาดมหึมาอ้าปากกว้าง ปากมหึมากลืนแมลงอันแน่นขนัดทั้งหมดลงไปในคำเดียว
แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนดิ้นรนอีกครั้ง
หลังจากปากของศีรษะมหึมานั้นปิดลง ศีรษะจำนวนนับไม่ถ้วนก็บิดเบี้ยวไปอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วล้อมมฃ“เอ๊ะ” นัยน์ตาของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินมีแววเหี้ยมเกรียมกะพริบวาบขึ้นมาปีกทั้งสองขยับไหวแล้วบุกเข้าไปสังหาร
สวบๆๆๆ…
เงาร่างอีกสี่สายล้วนพุ่งตรงไปทางจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิง
“เฮอะ”
จอมกระบี่กลับส่ายศีรษะเบาๆ เขามองออกว่า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่ามรณะทมิฬนี้ก็คือผู้ที่เซวี่ยเหยียนจี้ประมือด้วยนั่นเอง ทั้งห้าตนที่ล้อมโจมตีพวกเขาอยู่นี้ แม้จะนับว่าร้ายกาจนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมกระบี่ก็ยังคงไม่พอดูอยู่ดี
“ฟึ่บๆๆ…” ประกายกระบี่งดงามแพรวพราว ราวกับเส้นแสงสายแล้วสายเล่ากลางอากาศ กวาดผ่านเผ่ามรณะทมิฬแต่ละคนไป
ประกายกระบี่ของจอมกระบี่นุ่มนวลมาก
เหมือนเขาคิดจะอาศัยมันเพื่อให้รู้พลังของเผ่ามรณะแต่ละคนอย่างแน่ชัด
แต่ร่างกายของเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้ก็ยังคงถูกประกายกระบี่เชือดเฉือน บ้างก็กลายร่างเป็นไอหมอกหนีเข้าไปในผืนดินอย่างรวดเร็วด้วยความแตกตื่น บางตนที่อ่อนแอหน่อยก็หนีไม่ทันและต้องสูญสลายไปปอย่างแท้จริง
เพียงพริบตาเดียว เผ่ามรณะทมิฬทั้งสี่ตนก็สิ้นใจไปสอง และอีกสองคนก็อันตรธานหนีหายไป
ส่วนศีรษะขนาดมหึมาที่พันธนาการแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ เห็นเข้าก็ตกใจเสียจนสะดุ้ง มันก็เริ่มทนไม่อยู่แล้ว จากนั้นก็สลายตัวไปเอง กลายเป็นหมอกดำแทรกซึมลงไปในผืนดิน หนีไปเองเลยหรือนี่!
“อ๊าก”
“ไม่ ไม่…
“ไปตายเสียเถอะ”
ขณะที่ทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงรับมืออย่างสบายๆ นั้น ทางด้านชนพื้นเมืองถูกเผ่ามรณะทมิฬโจมตีเป็นหลีก ภายใต้การล้อมโจมตีของเผ่ามรณะทมิฬยี่สิบกว่าตน ทางฝ่ายชนพื้นเมืองกลับมีค่ายกลรบสองแห่งที่ทลายลงแล้ว ค่ายกลรบสองแห่งก็คิดเป็นหกคน บ้างก็ได้รับบาดเจ็บจนบาดเจ็บสาหัสและสิ้นใจไป ส่วนบางคนก็ปะทุออกมาท่ามกลางความบ้าคลั่ง
“แตก” ชนพื้นเมืองคนหนึ่งกำลังตกอยู่ท่ามกลางความบ้าคลั่ง กลิ่นอายเหนือผิวกายพลันทะยานขึ้นเป็นอันมาก พลังที่ออกกระบวนท่าก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก บรรลุถึงระดับขั้นขั้นสุดยอดทันที ความสามารถในการรักษาชีวิตก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก
“ฟิ้ว!”
จอมกระบี่เห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว ค่ายกลรบสองแห่งนั้นสลายตัวได้รวดเร็วเกินไปแล้ว เขายังช่วยไว้ไม่ทัน จากนั้นก็โบกมือแล้วนำกระบี่เทพออกมา
ประกายกระบี่วาดข้ามท้องฟ้า โจมตีเผ่ามรณะทมิฬตนแล้วตนเล่า
อานุภาพที่จอมกระบี่ออกกระบวนท่านั้นเหมือนจะอ่อนแอกว่า ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ อยู่บ้าง แต่กระบวนท่าพิสดารไม่เป็นสองรองใคร ผลที่ได้ก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า ตัวผู้บำเพ็ญเองมีข้อได้เปรียบมากเรื่องกระบวนท่าอันพิสดาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจอมกระบี่ยังฝึกฝนสมบัติลับอันสูงส่งอีกด้วย
“ถอย”
สาวน้อยชุดดำที่ห้ำหั่นกับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เห็นเข้า ก็เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงทันที
ฟิ้วๆๆ…
เผ่ามรณะทมิฬท้้งหมดกลายเป็นหมอกดำแทรกตัวเข้าไปใต้ดินหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว หากพูดถึงความสามารถในการหลบหนีแล้ว ผู้มาจากภายนอกไม่มีทางสู้สิ่งมีชีวิตภายในเกาะลอยคว้างอย่างเผ่ามรณะทมิฬ ได้เลย เผ่ามรณะทมิฬอยู่ที่นี่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้สบายๆ และทะลุพื้นดินไปได้ง่ายๆ อีกทั้งพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาหรือท่องผืนดินได้ นอกเสียจากพลังจะแข็งแกร่งอย่างยิ่งจนสามารถสังหารเผ่ามรณะทมิฬได้ในระยะเวลาสั้นๆ มิเช่นนั้นแล้ว การจะสังหารเผ่ามรณะทมิฬคนหนึ่งก็ยากมากทีเดียว
“เผ่ามรณะทมิฬถอยแล้ว”
“พวกมันไปแล้ว”
ทางด้านชนพื้นเมืองถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เพียงแต่บรรยากาศกลับเศร้าโศกอยู่บ้าง
เนื่องจากภายในชั่วพริบตาสั้นๆ พวกเขาก็เสียสหายไปถึงสี่คนด้วยกัน
“จอมเคารพกระบี่ปีศาจ ขอบคุณที่ท่านลงมือ มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้ความเสียหายคงจะมากกว่านี้อีก” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เดินเข้ามา เขาพูดด้วยความซาบซึ้งใจ ขณะเดียวกันสายตาที่มองไปทางจอมกระบี่ก็แตกต่างออกไปแล้ว สายตาของผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ของเขาที่มองไปยังจอมกระบี่แฝงไว้ด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าปรองดองกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงขึ้นมากทีเดียว
ก่อนหน้านี้พวกเขาเชื่อว่า ระหว่างผู้ที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดทั้งสองคน อาจจะมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานอยู่ก็เป็นได้
นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น!
บัดนี้เพิ่งผ่านไปเพียงศึกเดียวเท่านั้น…ให้พวกเซวี่ยเหยียนจี้ได้รู้เสียบ้างว่า พลังของผู้ที่มีนามว่า ‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ ผู้นั้น เหนือกว่า ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่น้อยนิดในโลกเซวี่ยเหยียนเสียอีก เกรงว่าพลังคงจะเป็นระดับไร้ศัตรูแล้ว
ผู้ช่วยระดับนี้ แน่นอนว่าพวกเขายิ่งต้องผูกสัมพันธ์ให้ดีเข้าไว้! เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวังที่พวกเขาจะได้ผลวิญญาณทิพย์มาก็เพิ่มสูงขึ้นแล้ว
‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ เป็นระดับไร้ศัตรู บรรพชนแมลงผู้นั้นก็มีวิธีการแปลกประหลาด มิอาจรับมือได้ง่ายๆ ส่วนมหาเคารพหิมะเหิน หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้น พวกเขาต่างก็รู้ว่าผู้ที่สำเร็จเป็น ‘มหาเคารพ’ ในดินแดนจิตโลกาล้วนแต่เป็นเพียงเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองเท่านั้น คงจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดากองกำลังทั้งสามคน
“ในเมื่อพวกเราเคลื่อนไหวด้วยกันทั้งที เป็นสหายร่วมทาง ก็ย่อมต้องลงมือช่วยเหลือกัน เพียงแต่การลงมื่วยเหลือของข้าช้าไปหน่อยก็เท่านั้นเอง” จอมกระบี่กล่าว
“พลังของพวกเขาไม่เพียงพอ ยังกล้าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีกรึ” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดพลางขมวดคิ้ว “สำหรับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้แล้ว พลังของพวกเขาคงจะไม่มีส่วนช่วยท่านมากสักเท่าใดหรอกกระมัง ไยต้องให้พวกเขาเอาชีวิตไปมอบให้ด้วยเล่า”
“นี่มิใช่การเอาชีวิตไปมอบให้ นี่คือการเคี่ยวกรำ”
“แม้พวกเราจะสู้จนสังหารได้สี่ตน แต่เฟยอวิ๋นหลินก็ปลุกสายเลือดในตัวขึ้นมาได้สำเร็จ พลังเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก”
ชนพื้นเมืองเหล่านั้นกลับคัดค้าน
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้ว ก็อดสงสัยขึ้นมาในใจมิได้
พวกเขามิได้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชนพื้นเมืองเลย ด้วยการสำรวจ ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดคืนวันอันยาวนาน จึงเข้าใจชนพื้นเมืองมากทีเดียว ชนพื้นเมืองนั้นกระจัดกระจายกันอยู่ตามโลกอันเร้นลับแต่ละแห่ง ซึ่งโลกแต่ละใบ…ก็คือหนึ่งเผ่า! เนื่องจากพวกเราสามารถทำให้สายเลือดตื่นรู้แล้วยกระดับพลังได้ ว่ากันว่ามีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่
วิธีการตื่นรู้ ในจำนวนนั้นก็มีการเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตายด้วย!
ภายใต้วิกฤตความตายที่แท้จริงนั้น ความหวังในการตื่นรู้ก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่า พลังก็จะสามารถยกระดับขึ้นได้ แต่ว่า ก็มีจำนวนมากที่ล้มลงตรงหน้าความตาย
ดังนั้น…
ผู้เข้าไปในเกาะลอยคว้างเพื่อสู้สุดชีวิตอย่างแท้จริง โดยทั่วไปก็ล้วนแต่เป็นระดับเดียวกันทั้งสิ้น
เช่นกองกำลังทั้งกองที่เข้ามาพร้อมกันนี้ ที่มีพลังแข็งแกร่งก็แล้วไปเถิด ความหวังที่จะรอดชีวิตนั้นสูงมาก อย่างพวกที่พลังอ่อนแอ สามคนร่วมมือกันสำแดงค่ายกลรบ ออกมาก็มีพลังรบขั้นสุดยอดได้อย่างพอถูไถเท่านั้น เมื่อมายังเกาะลอยคว้างก็อันตรายอย่างยิ่งโดยแท้! เหล่าผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกามีร่างแยก ไม่กลัวร่างแยกเสียหายก็แล้วไปเถิด แต่โดยทั่วไปบรรดาชนพื้นเมืองก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
“พวกเราเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตาย” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดอย่างง่ายๆ ประโยคหนึ่ง “ในเมื่อเลือกการฝึกฝน เช่นนั้นก็ต้องเตรียมตัวตายเอาไว้ให้ดี ครั้งนี้มีจอมเคารพกระบี่ปีศาจอยู่ ระดับความปลอดภัยก็สูงกว่ามากทีเดียว แต่ข้าก็ต้องเตือนพวกท่านเอาไว้! พลังของจอมเคารพกระบี่ปีศาจจะทำให้เผ่ามรณะทมิฬเกรงกลัว เผ่ามรณะทมิฬที่อ่อนแอคงไม่กล้ามาอีก แต่ว่าเกาะลอยคว้างแห่งนี้มีเผ่ามรณะทมิฬอยู่หลายกลุ่ม ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไร่ก็ยิ่งอาศัยอยู่ใกล้ใจกลางมากขึ้นเท่านั้น แม้พวกมันจะมีปัญญาธรรมดาสามัญ แต่ก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้”
“พวกเขาล่วงรู้พลังของพวกเรา เช่นนั้นเมื่อมาครั้งหน้า ก็จะอันตรายยิ่งขึ้นไปอีก เกรงว่าพลังของจอมเคารพกระบี่ปีศาจ คงจะมิอาจปกป้องพวกเราได้” เซวี่ยเหยียนจี้กล่าว “สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือมุ่งหน้าไปให้เร็วที่สุดก่อนหน้าที่พวกเขาจะส่งข้อมูลให้กันและลงมือโจมตีครั้งใหม่”
“ก็ดี ท่านชายพวกท่านเข้าใจเกาะลอยคว้างดีกว่า เช่นนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปเถิด” จอมกระบี่กล่าว
“เรื่องจะปล่อยให้เนิ่นช้าไปมิได้ ออกเดินทางกันตอนนี้เลย ความเร็วต้องสูงกว่านี้อีก” ครั้งนี้เซวี่ยเหยียนจี้พาคนจำนวนมากทะยานไปด้วยความเร็วสูง เขาล่วงรู้พลังของทางฝ่ายตงป๋อเสวี่ยอิง จึงไม่กังวลว่าจะตามไม่ทัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนยังคงอยู่ด้านหลัง
“ได้ยินสิ่งที่ท่านชายผู้นั้นพูดแล้วหรือไม่ ครั้งนี้กระบี่ปีศาจสำแดงพลังออกมา ครั้งหน้าเมื่อเผ่ามรณะทมิฬปรากฏขึ้น เกรงว่ากระบี่ปีศาจก็คงต้านทานเอาไว้มิได้แล้ว” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินถ่ายเสียงบ้าง
“แต่ไหนแต่ไรพวกเราก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถอุกอาจในเผ่ามรณะทมิฬได้ สิ่งที่พวกเราต้องทำ คือเอาชีวิตรอดได้ภายใต้การไล่สังหารในเผ่ามรณะทมิฬก็เป็นอันใช้ได้แล้ว หากได้สมบัติล้ำค่ามาบ้างก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ
“เสวี่ยอิง เจ้าเป็นอาวุธลับของพวกเรา อีกประเดี๋ยวเมื่อข้าต้านทานเอาไว้ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยท่าไม้ตายของเจ้าแล้ว” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด
“ท่าไม้ตายนี้จะมีผลเช่นไร อีกประเดี่ยวจึงจะรู้กัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
“พี่ใหญ่หิมะเหิน ข้าว่ากองกำลังชนพื้นเมืองกองนี้ พวกเขาเหมือนจะเห็นว่าท่านเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งสามคน! พวกเขากลับไม่รู้เอาเสียเลยว่า ข้าต่างหากคือคนที่อ่อนแอที่สุด” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ พวกเขาอารมณ์ผ่อนคลายมาก
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 8 ดินแดนชนเผ่า
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ตั้งของศูนย์กลางเกาะลอยคว้างพร้อมกับพลพรรคชนพื้นเมืองด้วยความเร็วสูงสุด มีชนพื้นเมืองนำทางก็ทำให้ราบรื่นตลอดทาง
และที่สถานที่อีกแห่งหนึ่ง
ฟึ่บๆๆ…
หมอกดำกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันแปรเปลี่ยนกลายเป็นเผ่ามรณะทมิฬคนแล้วคนเล่า พวกเขามีรูปลักษณ์ดุจสัตว์ประหลาด มีรูปร่างมนุษย์ โดยมีผู้นำคือหญิงสาวอาภรณ์ดำผู้นั้น
“ท่านอ๋อง ผู้บุกรุกเหล่านี้แกร่งกล้ายิ่งนัก”
“ลำพังอาศัยแค่พวกเราก็ต้านเอาไว้ไม่อยู่หรอก!”
พวกเขาแต่ละคนต่างก็มองหญิงสาวอาภรณ์ดำ
กรงเล็บทั้งคู่ของหญิงสาวอาภรณ์ดำตวัดหมุนอย่างเอาแต่ใจ ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเยียบเย็นพลางเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ผู้บุกรุกนี้เกินกว่าความสามารถในการต้านทานของพวกเราไปแล้ว พวกเจ้าก็ร่นถอยไปเสียเถิด จำเอาไว้ให้ดี หลีกเลี่ยงพวกเขา อย่าได้ส่งตัวเองไปตายล่ะ! คราวนี้พวกเราสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ข้าจะรายงานเรื่องนี้ขึ้นไป ยกให้เหล่าผู้อาวุโสไปจัดการเถิด”
“ขอรับ ท่านอ๋อง” ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดก้มศีรษะลงพลางเอ่ยอย่างเคารพ
หญิงสาวอาภรณ์ดำแปลงร่างเป็นหมอกดำในทันใดแล้วกะพริบร่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย
บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นหมอกดำหนีเข้าไปใต้ดินจนหมดสิ้น
เกาะลอยคว้างก็เป็นสถานที่เกิดของพวกมัน อยู่ที่นี่ พวกมันก็สามารถครองความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์คิดจะสู้ก็สู้ คิดจะหนีก็หนี
……
ศูนย์กลางของเกาะลอยคว้างคือภูเขาใหญ่ที่คล้ายถูกขุดเจาะแห่งหนึ่ง ภายในของภูเขาใหญ่ถูกขุดเจาะเป็นโถงตำหนักอย่างหยาบๆ จำนวนหนึ่ง เผ่ามรณะทมิฬสามารถก่อสร้างโถงตำหนักเหล่านี้ออกมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว สติปัญญาของเผ่ามรณะทมิฬจำนวนหนึ่งมิได้แตกต่างจากสัตว์อสูรและเดรัจฉานสักเท่าใดนัก สติปัญญาของยอดฝีมือระดับสุดยอดในบรรดาพวกมันเหล่านั้นจึงจะสูงขึ้นมาสักหน่อย
ระดับบนที่เป็นหลักสำคัญอย่างที่สุด สติปัญญาก็สูงที่สุด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญและชนพื้นเมืองสักเผ่าหนึ่งแล้วก็แตกต่างกันอย่างมากมายเหลือเกิน
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกระเพื่อมไหว
หมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าระลอกคลื่นที่กำลังกระเพื่อมไหวแล้วรวมตัวแปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวอาภรณ์ดำ หญิงสาวอาภรณ์ดำยืนอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็งอยู่ที่นั่น
ท่ามกลางระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวมีใบหน้าสัตว์ประหลาดดำทะมึนใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้น จ้องมองหญิงสาวอาภรณ์ดำที่อยู่ด้านนอก
“อ๋องฝูซา เหตุใดจึงมาที่ดินแดนชนเผ่าเล่าขอรับ” ใบหน้าสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์นั้นส่งเสียง
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรายงานให้จักรพรรดิทราบ! รีบไปถ่ายทอดคำพูดเร็วเข้า” หญิงสาวอาภรณ์ดำเอ่ยเสียงเย็นชา นางย่อมไม่สนใจที่จะพูดจามากความกับยามรักษาการณ์ผู้นี้อยู่แล้ว
“รายงานให้จักรพรรดิทราบหรือ” ใบหน้าสัตว์ประหลาดนั้นตื่นตกใจ “อ๋องฝูซา ท่านมีเรื่องต้องการรายงานให้จักรพรรดิทราบจริงๆ หรือขอรับ”
“เรื่องพรรค์นี้ข้าจะกล้าโป้ปดหรือไร” หญิงสาวอาภรณ์ดำตะคอก “อย่าทำให้เสียเวลา รีบไปเร็วเข้า”
ใบหน้าสัตว์ประหลาดลังเลเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเหล่าเผ่ามรณะทมิฬกลุ่มนี้ของดินแดนชนเผ่าจะไม่เห็นเผ่ามรณะทมิฬที่อยู่ภายนอกอยู่ในสายตาเลย แต่ถึงขนาดที่มีข่าวกล้ารายงานขึ้นไปถึงจักรพรรดิ
หลอกลวงผู้อื่นได้ แต่เกรงว่าก็คงไม่มีผู้ใดกล้าหลอกลวงจักรพรรดิ
พรึ่บ
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างกระเพื่อมไหวแล้วแยกออกเป็นทางเดินเส้นหนึ่งในทันใด
“ขอเชิญไปรอที่ตำหนักผู้อาวุโสก่อน” สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่มีหัวสีแดงเพลิงร่างกายสีดำตนหนึ่งส่งเสียงคำรามต่ำอยู่ข้างๆ
“เฮอะ” หญิงสาวอาภรณ์ดำคร้านจะมองยามรักษาการณ์แล้วเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักผู้อาวุโส
ภูเขาใหญ่แห่งนี้กินพื้นที่กว้างขวางอย่างที่สุด ซึ่งก็คือสถานที่ตั้งของศูนย์กลางที่สำคัญอย่างที่สุดของเกาะลอยคว้าง
หญิงสาวอาภรณ์ดำก็มิได้เร่งรีบ เพราะมาถึงตำหนักผู้อาวุโสแล้ว
ตำหนักผู้อาวุโส…
คือโถงตำหนักใหญ่ที่มืดหม่นแห่งหนึ่ง ด้านบนของโถงตำหนักก็มีบัลลังก์อยู่สามอัน และตรงกลางของโถงตำหนักอันแสนหยาบแห่งนี้ก็มีแอ่งน้ำขนาดมหึมาอยู่แอ่งหนึ่ง ของเหลวภายในแอ่งน้ำเป็นสีดำขลับ แต่กลับมีต้นไม้ผลโค้งงออันแปลกประหลาดต้นหนึ่งอกออกมา บนต้นไม้ผลมีผลไม้สองผลเจริญอยู่ เปลือกผลไม้นั้นบางเป็นอย่างยิ่งจนสามารถมองเห็นได้ว่าภายในผลไม้นั้นมีประกายจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโคจรอยู่
และต้นไม้ผลต้นนี้สูงราวๆ สิบจั้งเศษ ส่วนยอดสุดของต้นไม้ผลกลับมี ‘ดวงตาสีเทา’ อันแปลกประหลาดอยู่ดวงหนึ่ง
ดวงตาสีเทาแผ่แรงกดดันอันไร้รูปร่างกำจายออกมา ทั่วทั้งภายในโถงตำหนักต่างก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน
“อ๋องฝูซา ได้โปรดรอสักครู่” ยามรักษาการณ์สองคนด้านนอกตำหนักผู้อาวุโสมองอ๋องฝูซาอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
อ๋องฝูซาส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่งพลางยืนคอยอยู่ภายในตำหนักผู้อาวุโสเช่นนั้น
ด้วยอุปนิสัยของนาง หากมิใช่เพราะคราวนี้ผู้บุกรุกมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างที่สุด ต่อให้นางจำเป็นจะต้องรายงาน นางก็คร้านจะมายังดินแดนชนเผ่า พลังยุทธ์ของผู้บุกรุกนั้นสูงถึงระดับที่เพียงพอจะให้ดินแดนชนเผ่าต้องระแวดระวังแล้ว หากไม่รายงานข่าวคราวเช่นนี้แล้วเมื่อใดที่ถูกตรวจพบภายหลัง นางก็จะเกิดเรื่องยุ่งยากใหญ่โตเสียแล้ว
“อ๋องฝูซา ที่แท้มันเรื่องอันใดกันแน่ เจ้าถึงกับต้องรายงานต่อจักรพรรดิ หรือเจ้าไม่รู้ว่าจักรพรรดิกับเหล่าผู้อาวุโสต่างก็กำลังอยู่ในห้วงนิทรา” บุรุษผอมสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา เขามีหางเรียวยาวเส้นหนึ่งทอดตัวอยู่บนพื้นดิน บุรุษผอมสูงพูดด้วยรอยยิ้มหยัน “เจ้าคงจะรู้นะว่าการตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา จักรพรรดิและเหล่าผู้อาวุโสจะเดือดดาลสักเพียงใด หากไม่มีเรื่องที่สำคัญมากพอ เกรงว่ายังจะพาลให้ได้รับการลงโทษด้วย”
“ท่านอ๋องฉี่ตู้ ที่ดินแดนใต้อาณัติของข้าพบผู้บุกรุก” อ๋องฝูซากลับเอ่ยอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ผู้บุกรุกประกอบด้วยพลพรรคชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งกับผู้บำเพ็ญสามคนของดินแดนจิตโลการ่วมมือกัน
หัวหน้าของพลพรรคชนพื้นเมืองนั้นมีพลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย! และมีคนหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญสามคนของดินแดนจิตโลกาที่พลังยุทธ์เหนือกว่าข้าเสียอีก อย่างน้อยก็เป็นสุดยอดของระดับอ๋องแล้ว”
“หา” บุรุษผอมสูงเผยสีหน้าตื่นตระหนก “ผู้บุกรุก ยังมีดินแดนจิตโลกาด้วย แล้วอย่างน้อยก็เป็นสุดยอดของระดับอ๋องอย่างนั้นหรือ”
ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกานั้นพบเห็นได้ยากยิ่ง
แม้จะบอกว่าเหล่าเทพจักรวาลของดินแดนจิตโลกามีร่างแยกแล้วอาจจะเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาเขี้ยวหักเพื่อแสวงโชคอยู่บ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างไรหุบเขาเขี้ยวหักก็ใหญ่โตเหลือเกิน ในประวัติศาสตร์ของเกาะลอยคว้างแห่งนี้ เผชิญกับผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาน้อยนัก ‘อย่างน้อยก็เป็นสุดยอดของระดับอ๋อง’ ในอดีตก็เคยพบเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ที่พวกเขาประสบพบเจอบ่อยที่สุดก็คือเผ่าชนพื้นเมือง!
“รู้แล้วกระมังว่าผู้บุกรุกมีพลังยุทธ์ไม่ธรรมดา รีบไปรายงานโดยเร็วที่สุดเถิด” หญิงสาวอาภรณ์ดำพูด
“อย่าได้รีบร้อนนักเลย ไม่ว่าจะเป็นการปลุกผู้อาวุโสหรือว่าปลุกจักรพรรดิต่างก็มิใช่เรื่องธรรมดาทั้งสิ้น ข้ายังต้องปรึกษากับบรรดาอ๋องคนอื่นๆ ก่อน” บุรุษผอมสูงพูด
“ยังต้องปรึกษาอีกหรือ” หญิงสาวอาภรณ์ดำร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว “รอให้พวกเจ้าปรึกษากันเสร็จ ผู้บุกรุกก็คงใกล้จะมาถึงแล้วล่ะ”
บุรุษผอมสูงเพียงแค่แค่นหัวเราะคราหนึ่ง
‘อ๋อง’ ที่มิใช่ดินแดนชนเผ่าคนหนึ่งย่อมไม่มีสิทธิ์คลางแคลงในการกระทำของดินแดนชนเผ่าอย่างพวกเขาอยู่แล้ว
ดินแดนชนเผ่าจึงจะเป็นผู้ปกครองของทั้งเกาะลอยคว้างแห่งนี้
“เฮอะ” หญิงสาวอาภรณ์ดำได้เห็นเหตุการณ์แล้วส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่ง “ข้าได้แจ้งข่าวให้ทราบแล้ว ถ้าหากเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาแล้วจักรพรรดิตำหนิลงมาก็มิอาจโทษข้าได้นะ”
“วางใจเถิด” บุรุษผอมสูงพูดไปส่งๆ พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงส่งข่าวติดต่อกับบรรดาอ๋องคนอื่นๆ ของดินแดนชนเผ่าด้วย
ผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ยิบย่อยจำนวนหนึ่ง
ผ่านไปเป็นเวลาชั่วจิบชาหนึ่ง
“ผ่านการหารือกันแล้ว ในบรรดาผู้บุกรุกมีระดับอ๋องขั้นสุดยอดอยู่คนหนึ่ง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเป็นระดับไร้เทียมทานที่ดินแดนจิตโลกาเรียกกัน ปลุกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามเดี๋ยวนี้! อย่าเพิ่งปลุกผู้อาวุโสใหญ่กับจักรพรรดิเป็นการชั่วคราวก่อน” บุรุษผอมสูงพูด
“บางทีพลังยุทธ์ของศัตรูยังอาจซ่อนเร้นเอาไว้อีกก็เป็นได้” หญิงสาวอาภรณ์ดำพูด
“ฮ่าฮ่า ก็มิใช่ว่ายังมีพวกเราเหล่าอ๋องอีกมากมายหรอกหรือ หึๆ พวกเราต่างก็ฟูมฟักถือกำเนิดขึ้นมาจากความตายของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น และสายโลหิตคละถิ่นเหล่านั้นหลงเหลือเอาไว้… ในร่างกายก็แฝงเอาไว้ด้วยสายโลหิตสิ่งมีชีวิตคละถิ่น” บุรุษผอมสูงแค่นยิ้ม “เทียบกันกับสองชนเผ่า ผู้บำเพ็ญก็อ่อนแอกว่ามากแล้ว อีกทั้งยังอยู่ที่เกาะลอยคว้าง พวกเราถือครองอาณาเขตทั้งหมด ก็เพียงพอที่จะจัดการพวกเขาแล้วล่ะ”
“ผู้บำเพ็ญนั้นค่อยๆ บำเพ็ญขึ้นมาทีละก้าวๆ จากผู้อ่อนแอ การใช้พลังของพวกเขานั้นลึกลับเหลือเกิน ข้ารู้สึกว่าอย่างน้อยก็ควรต้องปลุกผู้อาวุโสใหญ่นะ”
“ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่างก็เป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด พวกเราดินแดนชนเผ่าระดับอ๋องกลุ่มหนึ่ง… ถ้าหากต้านไม่อยู่แล้วค่อยปลุกผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังไม่สายเกินไปหรอก”
บุรุษผอมสูงพูดยิ้มๆ “เจ้าก็คอยอยู่ที่นี่เถิด ข้าจะไปปลุกผู้อาวุโสทั้งสองท่าน”
ในเวลาเดียวกันกับที่บุรุษผอมสูงเดินออกจากตำหนักผู้อาวุโสนั้นเอง…
เงาร่างสายหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เร็วๆๆ มีผู้บุกรุก ผู้บุกรุกผ่านบริเวณรอบนอกเข้ามาแล้ว ช่างรวดเร็วยิ่งนัก มาถึงดินแดนชนเผ่าอย่างรวดเร็วเหลือเกิน” บุรุษเขาเดี่ยวที่สวมอาภรณ์ดำส่งเสียงคำราม เขาก็คือท่านอ๋องคนหนึ่งที่รับผิดชอบรักษาการณ์อยู่ที่รอบนอกสุดของดินแดนชนเผ่า “มีผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาคนหนึ่งที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างที่สุด เป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด ระดับเดียวกันกับผู้อาวุโสเลยทีเดียว”
“อะไรกัน รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บุรุษผอมสูงตกตะลึง
หญิงสาวอาภรณ์ดำภายในตำหนักผู้อาวุโสได้ยินแล้วก็ตะโกนขึ้นในทันใด “ท่านอ๋องฉี่ตู้ ข้าบอกแล้วว่าให้ท่านเร็วหน่อย ดูสิ ไล่สังหารมาจนจะถึงดินแดนชนเผ่าแล้ว”
ท่านอ๋องฉี่ตู้บุรุษร่างผอมสูงไม่พูดอะไรมากอีก แปลงเป็นหมอกดำแล้วไปพบผู้อาวุโสอย่างรวดเร็ว
ณ ส่วนลึกของชั้นล่างของภูเขาสูงแห่งนี้
ที่นี่มีแอ่งน้ำขนาดมหึมาอยู่แอ่งหนึ่ง ภายในแอ่งน้ำมีของเหลวสีเขียวเข้มอยู่ ร่างกายมหึมาดำขลับร่างหนึ่งเอนตัวอยู่ในของเหลวสีเขียวเข้ม เป็นเพราะร่างกายใหญ่โตเหลือเกินจึงมีบางส่วนที่โผล่พ้นผิวน้ำออกมา
และรอบๆ แอ่งน้ำนี้ยังมีแอ่งน้ำขนาดเล็กสามแอ่งเชื่อมต่อกันอยู่
ภายในแอ่งน้ำขนาดเล็กทั้งสาม แต่ละแอ่งก็มีร่างเอนอยู่ร่างหนึ่ง
“ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม”
ท่านอ๋องฉี่ตู้บุรุษร่างผอมสูงมาถึงที่นี่แล้วก็ถ่ายเสียงพูดในทันที ระลอกคลื่นสายแล้วสายเล่าแทรกเข้าไปยังร่างที่เอนกายอยู่ภายในแอ่งน้ำขนาดเล็กสองแห่งในนั้นอย่างต่อเนื่อง
เพียงไม่นาน
แอ่งน้ำขนาดเล็กสองแอ่งนั้นก็กระเพื่อมไหว ร่างกายสองร่างต่างก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
พรึ่บ พรึ่บ
ร่างกายทั้งสองกลายเป็นหมอกดำหายลับไป จากนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าท่านอ๋องฉี่ตู้บุรุษร่างผอมสูง
“อ๋องฉี่ตู้ มาปลุกพวกเราด้วยเรื่องอันใดกัน” ผู้อาวุโสทั้งสองท่านมองดูอ๋องฉี่ตู้
ท่านอ๋องฉี่ตู้ค้อมกายเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “มีผู้บุกรุก ผู้บุกรุกคือพลพรรคชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งกับผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาสามคน ในบรรดาผู้บำเพ็ญสามคนของดินแดนจิตโลกามียอดฝีมือที่ใช้กระบี่ผู้หนึ่ง พลังยุทธ์คาดว่าน่าจะเป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด ระดับขั้นของผู้บำเพ็ญสูงส่งยิ่งนัก พวกเรามิได้ห่วงตัวเอง แต่เกรงว่าจะไม่สามารถต้านทานพวกเขาได้ขอรับ”
……
และที่อีกด้านหนึ่ง
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงสามคนกับพลพรรคชนพื้นเมืองเพิ่งจะกำราบเผ่ามรณะทมิฬที่ลอบโจมตีเข้ามาราวกับไม้ไผ่หักๆ กลุ่มหนึ่งได้ เผ่ามรณะทมิฬกลุ่มนี้คงจะไม่รู้ถึงพลังยุทธ์ของพวกเขากระจ่างสักเท่าใดนัก ด้วยพลังยุทธ์ของจอมกระบี่ก็สามารถสังหารเผ่ามรณะทมิฬห้าคนได้อย่างง่ายดาย ทำให้ร่างกายของเผ่ามรณะทมิฬสิบสองคนแหลกสลาย เผ่ามรณะทมิฬคนอื่นๆ ที่มีอยู่ก็หลบหนีไปในทันที
“พวกเรารวดเร็วใช้ได้เลยทีเดียว น่าจะมีเผ่ามรณะทมิฬจำนวนมากที่ยังไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกเรา เร็วเข้า ใกล้จะถึงดินแดนชนเผ่าที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของเผ่ามรณะทมิฬแล้ว” พลพรรคชนพื้นเมืองแต่ละคนรอคอยอย่างตื่นเต้น ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นั้นก็ถ่ายเสียงพูดกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงสามคน “พวกเราไล่ล่ามาถึงดินแดนชนเผ่าด้วยความเร็วสูงสุด พวกเจ้ามองเห็นสมบัติล้ำค่าที่พวกเจ้าต้องการแล้วก็คว้าเอามาโดยเร็ว เอามาได้แล้วพวกเราก็จะจากไปโดยเร็วที่สุด”
“เข้าใจแล้ว”
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็คาดหวังรอคอยขึ้นมา ใกล้จะถึงดินแดนชนเผ่าที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดแล้วหรือ
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 9 ลงมือ!
ตำหนักผู้อาวุโสที่แสนหยาบและอึมครึม
ผู้อาวุโสทั้งสองนั่งอยู่ด้านบน พร้อมกันนั้นเงาร่างสายแล้วสายเล่าก็เหินบินเข้ามาจากด้านนอกอย่างต่อเนื่อง เข้ามาภายในโถงตำหนัก บ้างก็เป็นร่างมนุษย์ บ้างก็เป็นร่างสัตว์ แต่หญิงสาวอาภรณ์ดำ ‘อ๋องฝูซา’ กลับยืนมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเย็นชาอยู่ที่ริมห้อง
“มาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว” ผู้อาวุโสสามที่มีรูปลักษณ์สัตว์ประหลาดสีดำในร่างมนุษย์ นัยน์ตาสีเทามองลงไปเบื้องล่าง
“ผู้อาวุโส”
เงาร่างสิบเอ็ดสายค้อมศีรษะลงทำความเคารพ แม้กระทั่งอ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำที่อยู่ด้านข้างก็ยังก้มศีรษะลงน้อยๆ เพื่อแสดงความเคารพ
ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามประสานสายตากันคราหนึ่ง
แล้วผู้อาวุโสสามก็เปิดปากเอ่ยว่า “ผู้บุกรุกในครั้งนี้ นอกจากชนพื้นเมืองเหล่านั้นแล้วยังมีผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาด้วย ท่านอ๋องฉี่ตู้คอยอยู่ที่ดินแดนชนเผ่า ฟังบัญชาของข้าและผู้อาวุโสรอง เหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสิบคนรวมทั้งอ๋องฝูซาก็จะเคลื่อนไหวพร้อมกันกับพวกเรา อ๋องฝูซา… เจ้าคงไม่ปฏิเสธกระมัง”
อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำแย้มยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ยินดีที่ได้รับใช้ดินแดนชนเผ่า”
“อืม”
ผู้อาวุโสสามพยักหน้าน้อยๆ
อ๋องฝูซาจัดเป็นระดับสุดยอดในบรรดา ‘อ๋อง’ ตอนนั้นผู้อาวุโสเจิงล้มเหลวในการจัดอันดับ แต่ก็ไม่ยอมจำนนรับการขับออกไป แล้วนำผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งตรงออกไปจากดินแดนชนเผ่า
ถึงอย่างไรอ๋องฝูซาก็เป็นผู้ที่มีพลังรบแข็งแกร่งยิ่งคนหนึ่ง ผู้อาวุโสทั้งสองก็ยังต้องใช้การ
“ในบรรดาผู้บุกรุกมีผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาอยู่ทั้งสิ้นสามคน ผู้ที่ใช้กระบี่ก็คือบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ข้ากับผู้อาวุโสรองจัดการพร้อมกัน! ผู้บำเพ็ญสองคนที่เหลือ คนหนึ่งน่าจะเป็นขั้นสุดยอด ส่วนอีกคนหนึ่งน่าจะเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สอง ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงแล้ว อ๋องฝูซาเจ้าก็มาจัดการสองคนนั้นเถิด
อ๋องคนอื่นๆ ทั้งหมด… รวมพลังกันผลาญทำลายพลพรรคของชนพื้นเมืองให้เร็วที่สุดแล้วค่อยไปช่วยเหลืออ๋องฝูซา!”
“ขอรับ”
รวมทั้งอ๋องฝูซาเข้าไปด้วย ‘อ๋อง’ ทั้งสิบเอ็ดคนก็รับบัญชา
“อย่ามัวเสียเวลาอยู่อีกเลย ผลาญสังหารศัตรูเสียที่นอกดินแดนชนเผ่า! ไป!” ผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสรองยืดกายลุกขึ้นพร้อมกัน
เหล่าอ๋องทั้งหมดหลีกทางออกเป็นสองฝั่งในทันใด
สวบๆ!
ผู้อาวุโสทั้งสองเหินออกไปจากโถงตำหนักในทันใด จากนั้นเหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสิบเอ็ดคนก็ติดตามไปในทันที
พวกเขาแต่ละคนแปลงกายเป็นหมอกดำที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายแล้วหายลับไปในดินแดนชนเผ่า ตรงไปทำการล่าสังหาร เหลือเอาไว้เพียงแค่ท่านอ๋องฉี่ตู้ผู้นั้นอยู่รักษาดินแดนชนเผ่า
เผ่ามรณะทมิฬอยู่ที่เกาะลอยคว้างก็สามารถหลบหนีและเคลื่อนย้ายได้อย่างสบายๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของดินแดนชนเผ่าเลย เพราะว่าพวกเขาสามารถกลับมาได้ตลอดเวลา!
……
สวบ สวบ สวบ…
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังดินแดนชนเผ่าด้วยความเร็วสูงสุด
ระหว่างที่เดินทางอยู่ในเกาะลอยคว้างซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้แห่งพลพรรคชนพื้นเมืองก็ถ่ายเสียงแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับสถานที่อันตรายบางแห่ง
“ปัง”
ทันใดนั้นกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นพลันเคลื่อนเข้ามา
เงาร่างสิบสามสายปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดการเตือนภัยของบรรพชนแมลง การตรวจตราโลกเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง หรือว่าการระวังภัยของชนพื้นเมือง ต่างก็ค้นพบได้เมื่อศัตรูปรากฏตัวขึ้นแล้วเท่านั้น!
เงาร่างสิบสามสายนี้ทุกร่างต่างก็แผ่กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่น พวกตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงต่างก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกคุกคามอันแรงกล้า
เงาร่างสองสายที่เป็นผู้นำ
คนหนึ่งมีลักษณะเป็นสัตว์ประหลาดที่ปกคลุมด้วยเกล็ดในร่างมนุษย์ ส่วนอีกคนหนึ่งคือชายชราหลังค่อมที่มีหมอกเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมรอบ พวกเขาสองคนมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ ล้ำเลิศไร้เทียมทานยิ่งกว่าความรู้สึกที่บรรพชนราตรีนิรันดร์ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเสียอีก
และเงาร่างสิบเอ็ดสายด้านหลังพวกเขา บ้างก็เป็นรูปร่างมนุษย์ บ้างก็เป็นรูปร่างสัตว์ กลิ่นอายของแต่ละคนยิ่งใหญ่เกรียงไกร หญิงสาวอาภรณ์ดำที่เคยมาโจมตีก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มนี้เท่านั้นเอง
“ระวังด้วย! เป็นผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามแห่งดินแดนชนเผ่ากับอ๋องสิบเอ็ดท่าน!” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงพลางถ่ายเสียงพูด
“ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลง และจอมกระบี่ต่างก็หัวใจขมวดรัด
เพราะพลพรรคชนพื้นเมืองที่ให้ความร่วมมือกับพวกเขาอย่างจริงใจเคยบอกพวกเขาเอาไว้ก่อนแล้วว่าผู้ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของดินแดนชนเผ่าแห่งเกาะลอยคว้างนี้ก็คือ ‘จักรพรรดิ’ และผู้อาวุโสทั้งสามที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา! ผู้อาวุโสใหญ่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด รองมาก็คือผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม ถัดมาก็เป็น ‘อ๋อง’ แล้ว
“พี่กระบี่ปีศาจ พี่ใหญ่หิมะเหิน นอกจากจักรพรรดิผู้นั้นกับผู้อาวุโสใหญ่ ผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดของเผ่ามรณะทมิฬแห่งเกาะลอยคว้างนี้ดูเหมือนว่าจะแห่กันมาจนหมดสิ้นแล้วล่ะ” บรรพชนแมลงถ่ายเสียงพูด “พวกเราก็นับได้ว่าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมากแล้ว มุ่งหน้าตรงมายังดินแดนชนเผ่าพร้อมกับชนพื้นเมืองด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว ต่างก็มิได้ถูกสภาวะแวดล้อมที่เป็นอันตรายถ่วงเวลาให้เนิ่นช้าเลย! แต่ก็ยังถูกขัดขวางเอาไว้ล่วงหน้าเสียแล้ว พวกเรามาถึงเกาะลอยคว้าง แต่ก็มิได้ทรัพย์สมบัติอันใดเลย”
“สมบัติล้ำค่าภายในหุบเขาเขี้ยวหักก็มิได้มาได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด
“อ้างอิงตามแผนการ เสี่ยงเถิด” จอมกระบี่ถ่ายเสียง
แต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าจะสามารถประจัญบานกับเผ่ามรณะทมิฬซึ่งๆ หน้าได้
เมื่อใดที่เผ่ามรณะทมิฬทุ่มเทอย่างสุดกำลังก็ย่อมไม่มีทางต้านทานได้อยู่แล้ว! พวกเขาก็ได้แต่พยายามรักษาชีวิตเอาไว้ ลองเสี่ยงดูสักตั้งว่าจะสามารถคว้าเอาสมบัติล้ำค่ามาได้หรือไม่ ตามปกติแล้วสมบัติล้ำค่าต่างก็อยู่ที่พื้นที่ศูนย์กลางของเกาะลอยคว้าง
“โชคดีนะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบยินดี
ต่างกันระดับขั้นเดียว โดยทั่วไปแล้วความแตกต่างก็มากมายมหาศาล อย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงเอง ถึงแม้ว่าทุกร่างแยกต่างก็เป็นขั้นสุดยอด แต่ร่างแยกทั้งเก้าผสานรวมกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ ก็ยังมีความแตกต่างกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานอยู่ดี!
ถ้าหาก ‘จักรพรรดิ’ ผู้นั้นมาเยือน แค่คนเดียวก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าผู้อาวุโสทั้งสองตรงหน้ารวมกับอ๋องทั้งสิบเอ็ดคนเป็นอย่างมาก
……
แต่เซวี่ยเหยียนจี้กลับโบกมือคราหนึ่งในทันใด
เพื่อนร่วมทางทั้งสามคนข้างกายเขาถูกเก็บตัวเข้าไปในทันที พร้อมกันนั้นก็มีเพื่อนร่วมทางสี่คนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
ชาวเผ่าที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่มีกลิ่นอายแกร่งกล้ากว่ามากอย่างเห็นได้ชัด
“ผู้อาวุโสทั้งสองก็ไล่สังหารลงมาแล้ว ถ้าหากยังต้านทานพวกเราเอาไว้มิได้ เกรงว่าผู้อาวุโสใหญ่ก็จะต้องค้นพบแน่! คราวนี้พวกเราใช้พลังทั้งหมดทั้งมวลของเผ่าเซวี่ยเหยียน ก็ได้แต่ทำสำเร็จเท่านั้น” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียง “พวกเราคือผู้แกร่งกล้าที่เหลืออยู่ทั้งหมดของเผ่าเซวี่ยเหยียนแล้ว ได้รับผลวิญญาณทิพย์มา พวกเรายังมีความหวังที่จะช่วงชิงบ้านเกิดของพวกเรากลับคืนมาได้ มิฉะนั้นเผ่าของพวกเราก็จะแหลกสลายสูญสิ้นไปเหมือนกับโลกแห่งอื่นๆ บางแห่งในประวัติศาสตร์หุบเขาเขี้ยวหัก”
“เสี่ยงชีวิตเต็มที่ก็จะต้องได้รับผลวิญญาณทิพย์มาครองแน่”
“เสี่ยงเลย”
ในดวงตาทั้งสองของบรรดาชนเผ่าเหล่านี้แต่ละคนมีจิตวิญญาณการต่อสู้อันแรงกล้าลุกโชน
ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลง และจอมกระบี่ พวกเขาสามคนตกตะลึงอยู่บ้าง ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นี้เก็บตัวเพื่อนร่วมทางที่อ่อนแอสามคน แล้วปล่อยตัวคนที่แข็งแกร่งกว่าออกมาสี่คนอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นี้พกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ติดตัวเอาไว้ตลอด เกรงว่าภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์คงจะเก็บชาวเผ่าเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว! ดูจากกลิ่นอายของชนเผ่าเหล่านี้แล้ว แต่ละคนมีกลิ่นอายแกร่งกล้า ดูเหมือนว่าต่างก็มีพลังรบระดับขั้นสุดยอดด้วยกันทั้งสิ้น
นี่ทำให้พวกเขาทอดถอนใจ ขุมอำนาจชนพื้นเมืองในโลกเขี้ยวหักนั้นแข็งแกร่งน่าดูเลยทีเดียว พลังรบระดับจอมเคารพก็มีมากมายถึงเพียงนี้ ทว่าพวกเขากลับไม่รู้ว่านี่คือสุดยอดผู้แกร่งกล้าทั้งหมดที่หลบหนีมาได้ซึ่งเหลือรอดมาจากโลกแห่งหนึ่งในนั้นแล้ว
……
พูดไปก็ยืดยาว
ในความเป็นจริงแล้วเมื่อเผ่ามรณะทมิฬปรากฏตัวขึ้น ทางด้านชนพื้นเมืองก็จะเปลี่ยนแปลงในทันที
การต่อสู้ปะทุขึ้นในทันใด!
“โฮก…” เงาร่างของผู้อาวุโสรองแปรเปลี่ยนเป็นภาพลวง แปรกลายเป็นยักษ์ไอหมอกสีเขียวขนาดมหึมาหาใดเปรียบตนหนึ่ง ยักษ์ตนนี้ร่างกายสูงตระหง่าน เล็บเท่ายังมีขนาดใหญ่กว่าต้นไม้ในบริเวณรอบๆ เสียอีก เขาก้มหน้าลงมาพลันส่งเสียงคำราม ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างห้อมล้อมจอมกระบี่เอาไว้ในทันใด
ทว่าผู้อาวุโสสามกลับคำรามแล้วบุกสังหารเข้ามาในระยะประชิด เขาเต็มไปด้วยเกล็ดสีดำตลอดร่าง หาง และกรงเล็บ ทุกส่วนล้วนเป็นอาวุธอันน่าหวาดหวั่นทั้งสิ้น
โบกมือคราหนึ่ง
ท่อนแขนก็ราวกับใบมีดกรีดผ่านห้วงอากาศ ลำแสงสีดำขลับสายหนึ่งฟาดฟันเข้าใส่จอมกระบี่
“เฮอะ”
จอมกระบี่ยืนอยู่กลางอากาศ ในมือถือกระบี่ยาว กระบี่ยาวกวัดแกว่งคราหนึ่ง
ทั่วทั้งฟ้าดินต่างก็หมุนโคจรขึ้นมาตามกระบี่ยาว ผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสรองดูเหมือนว่าจะมีพลังคุกคามอันอำมหิตยิ่งกว่า แต่กลับได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว! ช่วยไม่ได้ นี่ก็เพราะระดับขั้นต่ำเกินไป!
ถึงแม้ว่าจะมีพละกำลังอันแกร่งกล้า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมกระบี่ที่มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ ก็ได้แต่แสดงออกมาอย่างหยาบๆ เสียแล้ว จอมกระบี่ตระหนักรู้สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ วิธีการก็ครอบคลุมอย่างยิ่ง
นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับนั้นล้ำค่า
อย่างเช่นสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ขั้นสุดยอดก็ได้แต่อาศัยลูกไม้อันลึกลับที่แฝงอยู่ในสุดยอดสมบัติลับล้ำค่ามาสำแดงเท่านั้น ถ้าหากไม่มีเคล็ดวิชาที่แฝงอยู่ก็ไม่มีทางสำแดงออกมาได้!
แต่สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ… สิ่งที่ถ่ายทอดก็คือ ‘วิถี’ ซึ่งครอบคลุมกว่ามาก ถึงขนาดที่สามารถอนุมานเชื่อมโยงไปยังสิ่งอื่นๆ ได้ ซึมซับเข้าไปสู่ร่างกายตน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วกระบวนท่าที่เชี่ยวชาญก็มากกว่าอยู่มากนัก
“ตายเสีย” อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำวางอำนาจบาตรใหญ่ ตวัดกรงเล็บคราหนึ่งก็ทำให้บรรพชนแมลลอยกระเด็นไป ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายตัวกันออกไป
“พี่ใหญ่หิมะเหิน ศัตรูผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป ข้าต้านไม่ไหว” บรรพชนแมลงถ่ายเสียง
“ยกให้ข้าจัดการ”
หลังจากมาถึงเกาะลอยคว้างแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลงมือต่อสู้เป็นครั้งแรก
สวบๆๆๆๆๆ…
ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศดอกหนึ่งปรากฏขึ้น บนดอกบัวมีหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นถึงเก้าคน
ทำให้อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำตกตะลึงแล้วยิ้มเย็นในทันใด “มีจำนวนมากแล้วมีประโยชน์อันใดกันเล่า ทำลายมันให้ข้าเสีย!” กรงเล็บของนางพลันเปลี่ยนเป็นขนาดมหึมา แผ่กลิ่นอายสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดแล้วตะปบตรงลงมา
“ปึง”
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวเก้าคนต่อยหมัดออกมาพร้อมกัน
กำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนกลับปรากฏออกมารวมกัน รวมตัวกันเป็นกำปั้นขนาดมหึมาหลายอัน พลังคละวิถีจำนวนนับไม่ถ้วนในกำปั้นพลุ่งพล่านพรั่งพรู ตามมาด้วยการปะทะ…กำปั้นปะทะเข้าด้วยกันกับกรงเล็บขนาดยักษ์นั้น
หญิงสาวอาภรณ์ดำสีหน้าแปรเปลี่ยน นางอดที่จะตระหนกจนร่างกายร่นถอยหลังไปหลายก้าวมิได้ พละกำลังอันแปลกประหลาดเจาะตรงเข้าไปในร่างกายของนาง
“ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญสามคนอย่างนั้นหรือ” อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำยากที่จะเชื่อได้ “นี่ นี่คือผู้ที่อ่อนแอที่สุดแล้วหรือ เขาคือผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในบรรดาผู้บุกรุกคราวนี้ ยากที่จะจัดการยิ่งกว่าหัวหน้าของชนพื้นเมืองนั่นเสียอีก!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น