Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 36 ตอนที่ 38-41
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 38 ปลีกวิเวก
ราชันย์เหยี่ยนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงปฏิเสธ ก็รู้สึกผิดหวังและโกรธแค้น แต่จักรพรรดิวายุทิพย์กลับเผยสีหน้ายินดี เขารู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับเขา ก็ดูเหมือนว่าเขาจะชนะแน่นอนแล้ว! นอกเสียจากว่าราชันย์เหยี่ยนเลือกที่จะสู้กันจนวอดวายไปข้างหนึ่ง
“เหตุใดจึงช่วยเขา ไม่ช่วยข้าเล่า” นัยน์ตาสีเงินของราชันย์เหยี่ยนจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเยียบเย็น ระงับความโกรธเอาไว้ “เจ้าต้องการสิ่งใด ข้าก็จะทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อช่วยให้เจ้าได้มันมา”
“ราชันย์เหยี่ยน อย่าได้ดันทุรังอีกเลยดีกว่า” จักรพรรดิวายุทิพย์ที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้มหยัน “ในเมื่อน้องหิมะเหินไม่ช่วยเจ้า เจ้าก็อย่าได้ทำให้เขาลำบากใจอีกเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ข้างๆ แววตาสงบนิ่ง
ราชันย์เหยี่ยนได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เข้าใจว่าโน้มน้าวไปก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว
“ตัดสินใจดีแล้วใช่หรือไม่” ขณะนี้จักรพรรดิวายุทิพย์รู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากความตื่นเต้นที่จะได้รับสมบัติล้ำค่ามาในเร็วๆ นี้แล้ว ยังมีความอิ่มเอมใจที่สามารถกดดันจนราชันย์เหยี่ยนยอมก้มหัวให้ได้ด้วย! เพราะเขากับราชันย์เหยี่ยนต่อสู้กันมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ในที่สุดก็สามารถกดดันจนราชันย์เหยี่ยนยอมก้มหัว กดดันจนราชันย์เหยี่ยนต้องเลือกได้! ทำให้จักรพรรดิวายุทิพย์มีความสุขล้นหัวใจ
“ตัดสินใจหรือ” ราชันย์เหยี่ยนหุบปีกที่ปกคลุมด้วยเกล็ดที่สยายออกเข้าด้วยกันแล้วห่อหุ้มตนเองเอาไว้ นัยน์ตาสีเงินยวงถลึงมองจักรพรรดิวายุทิพย์
“คิดจะลงมือ ได้เลย!” นัยน์ตาของจักรพรรดิวายุทิพย์เผยแววบ้าคลั่งออกมา มือก็วางอยู่บนด้ามมีดตรงหว่างอก “ดูว่าผ่านการต่อสู้ยกนี้ไป ใต้บังคับบัญชาของเจ้า ราชันย์เหยี่ยน จะยังมีผู้อาวุโสสักกี่คนที่สามารถรอดชีวิตไปได้! อย่างน้อยแม่ทัพที่ถูกข้าจับเป็นก็ดับสูญจนหมด คาดว่าหลังจากการต่อสู้คราวนี้อันดับในสิบสามราชันย์ของเจ้าก็ต้องตกต่ำลงมาแล้วกระมัง”
ราชันย์เหยี่ยนเงียบขรึมไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “เจ้าต้องการเท่าไหร่”
จักรพรรดิวายุทิพย์ยิ้ม ยิ้มอย่างสว่างสดใส “ไม่มากหรอก ในเมื่อข้าคุมขังผู้อาวุโสเอาไว้ยี่สิบสองท่าน เช่นนั้นต้องการเพียงแค่ยี่สิบสองหยดก็พอแล้ว!”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” ราชันย์เหยี่ยนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง “ยี่สิบสองหยดอย่างนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่านานเท่าใด ‘น้ำนมทิพย์ลำแสง’ จึงจะกลั่นตัวออกมาได้สักหยดหนึ่ง”
“ข้ามิได้บ้าเสียหน่อย”
จักรพรรดิวายุทิพย์พูด “ระยะเวลาอันยาวนานจนถึงบัดนี้ แค่ยี่สิบสองหยด เจ้า ราชันย์เหยี่ยน ก็ยังนำเอาออกมามิได้เลยหรือ พอเจ้าให้ข้าแล้วพวกเราก็จะจากไป นอกจากนี้ก็จะส่งตัวผู้อาวุโสที่ถูกคุมขังไว้คืนให้กับเจ้าด้วย”
“มากที่สุดเก้าหยด!” ราชันย์เหยี่ยนขบกรามพูด “ไม่อย่างนั้นก็เปิดศึกเสียเถิด อยู่ที่เกาะลอยคว้าง พวกเราเผ่ามรณะทมิฬต่างก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้ ถึงเจ้าจะไล่ตามก็ไล่ตามพวกเรามิได้หรอก แล้วเจ้าก็จะไม่ได้น้ำนมทิพย์ลำแสงไปเลยแม้แต่หยดเดียว!”
จักรพรรดิวายุทิพย์สีหน้าเยียบเย็น “เช่นนั้นผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของเจ้าก็ต้องตายกันไปจนเกือบหมดแล้วล่ะ! สำหรับน้ำนมทิพย์ลำแสง สระทิพย์ของน้ำนมทิพย์นั่น…รวมถึงสถานที่ล้ำค่าอื่นๆ ทั้งหลายบนเกาะลอยคว้างแห่งนี้ ก็อย่าตำหนิว่าข้าไปทำลายล้างมันก็แล้วกัน!”
ราชันย์เหยี่ยนยิ่งทวีความเดือดดาลขึ้นไปอีก
“ข้าถอยให้ก้าวหนึ่งก็ได้ ยี่สิบหยด! น้อยไปหยดเดียวก็ไม่ได้!” จักรพรรดิวายุทิพย์จงใจพูดว่าถอยให้ก้าวหนึ่ง เพื่อให้ดูเหมือนยอมถอย แต่ในความเป็นจริงแล้วก็มิได้น้อยไปกว่ากันสักเท่าใดเลย
ราชันย์เหยี่ยนสีหน้าไม่น่าดู ทั้งยังมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างๆ เมื่อใดที่ฉีกหน้าขึ้นมาจริงๆ ก็มิอาจคาดเดาถึงผลที่ตามมาได้แล้วจริงๆ ราชันย์เหยี่ยนมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเอ่ยเสียงต่ำว่า “จ้าวหิมะเหิน ตราวนี้ข้าต้องเสียน้ำนมทิพย์ลำแสงยี่สิบหยด เจ้าสามารถรับรองได้หรือไม่ว่าจะไม่ช่วยเหลือจักรพรรดิวายุทิพย์มาวางแผนช่วงชิงสมบัติล้ำค่าของข้าที่นี่”
“วางใจเถิด บนเกาะลอยคว้างแห่งนี้ของเจ้าก็มีแต่น้ำนมทิพย์ลำแสงเท่านั้นที่ต้องตาข้า ข้ารับรองว่าจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว” จักรพรรดิวายุทิพย์พูด พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิง
“รับรองได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ราชันย์เหยี่ยนพยักหน้าน้อยๆ
จ้าวหิมะเหินและจักรพรรดิวายุทิพย์…ต่างก็มีชื่อเสียงจัดอยู่ในระดับเดียวกัน วาจาที่พูดออกไป ย่อมไม่มีทางตระบัดสัตย์ได้โดยง่าย
“เอาล่ะ” ราชันย์เหยี่ยนเหลือบตามองจักรพรรดิวายุทิพย์ปราดหนึ่ง “วายุทิพย์ เจ้าช่างโชคดีเสียจริง สามารถขอให้จ้าวหิมะเหินช่วยเหลือเจ้าได้ มิฉะนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีทางได้น้ำนมทิพย์ลำแสงยี่สิบหยดไปครองตลอดกาล”
ก่อนหน้านี้น้ำนมทิพย์ลำแสงเพียงแค่หยดเดียว ข้อตกลงระหว่างราชันย์เหยี่ยนกับจักรพรรดิวายุทิพย์ ก็กดดันสมบัติล้ำค่ามากมายของจักรพรรดิวายุทิพย์เอาไว้แล้ว!
จักรพรรดิวายุทิพย์ย่อมไม่มีทางยอมรับได้อยู่แล้ว!
อย่าตำหนิว่าก่อนหน้านี้ราชันย์เหยี่ยนเรียกราคาสูง ดูทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุด น้ำนมทิพย์ลำแสงมีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ที่สุดต่อสายโลหิตวายุทิพย์ของ ‘จักรพรรดิวายุทิพย์’ มีผลต่อพลังดูดซับของบรรดาจักรพรรดิคนอื่นๆ ต่ำกว่ามาก แน่นอนว่ากับระดับจักรพรรดิธรรมดาทั่วไป ก็ยังมีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมาก! อย่างเช่นบรรดาผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของราชันย์เหยี่ยน ต่างก็ต้องสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ จึงจะได้รับสักหยดหนึ่งได้
“ขวับๆๆ…” ราชันย์เหยี่ยนตวัดกรงเล็บ ทันใดนั้นขวดใบแล้วใบเล่าก็ลอยออกมา มากถึงยี่สิบขวด “ภายในขวดทุกใบล้วนมีน้ำนมทิพย์ลำแสงอยู่หยดหนึ่ง”
ผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามห้าท่านที่อยู่ด้านหลังราชันย์เหยี่ยนได้เห็นเหตุการณ์แล้วต่างก็เศร้าและคับแค้น
จนกระทั่งบัดนี้ พวกมันทั้งห้า อย่างมากที่สุดก็เพิ่งจะได้เพียงแค่สองหยดเท่านั้นเอง!
แต่วันนี้หัวหน้าของพวกมัน…‘ราชันย์เหยี่ยน’ หัวหน้าของสิบสามราชันย์ก็ถึงกับถูกกดดันจนต้องยอมก้มหัว ต้องยอมสละน้ำนมทิพย์ลำแสงยี่สิบหยด นี่เป็นการดูหมิ่นดูแคลนเป็นอย่างยิ่ง!
“ในที่สุดก็ได้มาไว้ในมือเสียที” จักรพรรดิวายุทิพย์โบกมือคราหนึ่ง ขวดยี่สิบใบนี้ก็มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว เขาเปิดจุกขวดแต่ละใบแล้วทำการตรวจสอบดูในทันที ยามที่ตรวจสอบ ดวงตาก็เปล่งประกาย เขารอคอยมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว!
“ฮ่าฮ่า ราชันย์เหยี่ยนช่างมีความสุขเสียจริง ข้าเองก็มิใช่คนใจแคบ” จักรพรรดิวายุทิพย์หัวเราะแล้วก็ปล่อยตัวผู้อาวุโสยี่สิบสองท่านที่คุมตัวเอาไว้ออกมาในทันใด
“ได้รับน้ำนมทิพย์ลำแสงไปแล้ว ก็ควรจากไปได้แล้วกระมัง” ราชันย์เหยี่ยนมองเขาอย่างเย็นชาดุจน้ำแข็ง
“ไปๆๆ ตอนนี้ราชันย์เหยี่ยนอารมณ์ไม่ดี พวกเราก็อย่าได้รั้งอยู่ที่นี่อีกเลย” จักรพรรดิวายุทิพย์ยิ้มตาหยี “น้องหิมะเหิน พวกเราไปกันเถิด”
พรึ่บ…
กลุ่มคนทั้งเจ็ดแปลงร่างกลายเป็นสายลมหอบหนึ่งในทันใดแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ราชันย์เหยี่ยนมองดูอย่างเงียบๆ ผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามห้าท่าน และผู้อาวุโสยี่สิบสองคนซึ่งถูกปล่อยตัวออกมาหมาดๆ ด้านหลังเขาต่างก็เต็มไปด้วยความเงียบงัน
คราวนี้ช่างเสียหน้าอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ!
ทั่วทั้งเผ่ามรณะทมิฬ สถานะของราชันย์เหยี่ยนก็เป็นรองเพียงแค่สามมหายอดเคารพเท่านั้น! แต่ถึงกับถูกกดดันให้ก้มหัวยอมสละสมบัติล้ำค่า
“บรรพชนเหยี่ยน เดิมทีท่านก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาจากไปในทันที ไม่จำเป็นต้องแยแสการคุกคามของพวกเขาก็ได้ แต่กลับเป็นเพราะพวกเรา…”
“หากไม่มีบรรพชนเหยี่ยน เกรงว่าพวกเราก็คงถูกจักรพรรดิวายุทิพย์สังหารเสียแล้ว”
บรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้แต่ละคนต่างพากันพูดแสดงความซาบซึ้ง แล้วก็ประจบสอพลอราชันย์เหยี่ยนไปด้วย
ถึงอย่างไรเหตุผลที่พวกมันสวามิภักดิ์ต่อราชันย์เหยี่ยน จนถึงขนาดที่เรียกหาว่า ‘บรรพชนเหยี่ยน’ก็เพราะ ‘หยาดโลหิต’ ของราชันย์เหยี่ยนมีประโยชน์ต่อพวกเขาส่วนใหญ่เป็นอย่างมาก ดังนั้นแต่ละคนจึงได้จงรักภักดีเช่นนี้
“ไม่ต้องพูดมากหรอก ความอับอายขายหน้าในครั้งนี้ เกรงว่าเจ้าวายุทิพย์ผู้นั้นจะต้องเผยแพร่ออกไปสู่ภายนอกอย่างรวดเร็วยิ่ง เกรงว่าทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักก็จะต้องล่วงรู้กันหมด” ราชันย์เหยี่ยนเอ่ยอย่างเย็นชา “แต่ว่าข้ามิได้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขา วายุทิพย์ แต่พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของจ้าวหิมะเหินต่างหากเล่า!”
พูดจบแล้วราชันย์เหยี่ยนก็เคลื่อนที่ในพริบตาหายไป
ผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามห้าท่านและผู้อาวุโสยี่สิบสองท่านที่เหลืออยู่ต่างก็มองหน้ากันไปมา ต่างก็รู้กันว่าราชันย์เหยี่ยนอารมณ์ไม่ดี แต่ละคนจึงพากันจากไปอย่างว่าง่าย
พวกมันไม่มีความคิดที่จะ ‘ล้างแค้น’ เลยแม้แต่น้อย! เพราะว่าจ้าวหิมะเหินผู้นั้นช่างน่าหวาดหวั่นเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ! ในบรรดาพวกมัน ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอหน่อยก็ตกลงสู่ห้วงนิทราในทันที ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งนั้นพลังยุทธ์ก็ลดลงอย่างมหาศาล ถูกเหยียบย่ำอย่างง่ายดายจนกระทั่งถูกจับเป็นในที่สุด
……
ณ โลกวายุทิพย์
จักรพรรดิวายุทิพย์กลับมาถึงแล้ว ในใจก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถึงขนาดที่ส่งสมบัติล้ำค่ากองหนึ่งไปให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงเพื่อแสดงความซาบซึ้ง และก็เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้ด้วย! เพราะว่ายอดฝีมือทางด้านวิญญาณผู้น่าหวั่นเกรงที่สามารถทำให้พวกเขาพลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล นั้นช่างมีผลกระทบต่อสถานการณ์อย่างเด่นชัดเหลือเกิน
“นี่ก็คือเจดีย์เจ็ดระฆัง”
จักรพรรดิวายุทิพย์ ตงป๋อเสวี่ยอิง และแม่ทัพเทพแปดท่านต่างก็มาถึงตรงหน้าเจดีย์แห่งหนึ่ง
เจดีย์เจ็ดระฆังมีชั้นเจดีย์อันธรรมดาสามัญยิ่ง ขอบของเจดีย์มีระฆังแขวนอยู่เจ็ดใบ มองเผินๆ ก็ไม่เห็นความพิเศษแต่อย่างใดเลย
“เพียงแค่น้องหิมะเหินเข้าไป ขณะที่เขย่าระฆังใบหนึ่งในนั้น ระฆังทั้งเจ็ดใบก็จะส่งเสียงอย่างต่อเนื่องกัน เสียงนั้นก็จะชักนำน้องหิมะเหินเข้าไปในสถานะการบำเพ็ญที่พิเศษอย่างที่สุด จักรพรรดิวายุทิพย์พูด “แต่สามารถส่งร่างแยกเข้าไปข้างในได้เพียงแค่ร่างเดียวเท่านั้นนะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณจักรพรรดิมาก” แต่ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับตั้งตาคอยอย่างไร้ที่สิ้นสุด
“ฮ่าฮ่า เป็นข้าต่างหากที่ควรต้องขอบคุณน้องหิมะเหิน” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดยิ้มๆ
พรึ่บ
เห็นเพียงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่ที่นั่นแบ่งร่างแยกร่างหนึ่งออกมาแล้วเดินมุ่งหน้าตรงเข้าไปภายในเจดีย์เจ็ดระฆังทันที ความแข็งแกร่งของวิญญาณของร่างแยกนี้ยังยกระดับขึ้นอีกด้วย! ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จนถึงสถานะอันสุดยอดที่สมบูรณ์แบบ แต่ในบรรดาร่างแยกจำนวนมากมายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพกติดตัวกลับมีร่างแยกจำนวนมากพอสมควรที่วิญญาณต่างก็กำลังอ่อนแอลง เพราะว่ากฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างกำลังยับยั้งทุกสิ่งทุกอย่างนี้เอาไว้
ในตอนนี้ที่ดินแดนจิตโลกา ในบรรดาร่างแยกจำนวนมากมายของตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างแยกที่รักษาการณ์อยู่ที่เมืองหิมะเหิน ร่างแยกภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต และร่างแยกที่มุ่งหน้าไปยังเจดีย์เจ็ดระฆังอยู่ในขณะนี้ วิญญาณของร่างแยกสามร่างนี้ต่างก็เป็นระดับสุดยอดที่สมบูรณ์แบบที่สุดด้วยกันทั้งสิ้น
ร่างแยกอื่นๆ ที่ต่อสู้อยู่ข้างนอกนั้น วิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดก็รักษาเอาไว้ได้เพียงแค่เจ็ดส่วนเท่านั้น! นี่ก็เพียงพอแล้ว เพราะว่าเคยดูดซับโลหิตหัวใจมารดามังกรหมื่นสัมผัสมาก่อนเป็นเหตุ ส่งผลให้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแกร่งกล้าเหนือธรรมดา ถึงแม้ว่าเพียงแค่เจ็ดส่วน การสำแดงท่าไม้ตายวิถีเขตลวงโลกเทียมก็สามารถทำได้อย่างสบายๆ ถึงขนาดที่ยังมีพลังเหลือไปสำแดงเคล็ดวิชาอื่นๆ ได้อีกด้วย
……
ภายในเจดีย์
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไป แต่แล้วก็ค้นพบความพิเศษของเจดีย์แห่งนี้ โครงสร้างภายในลึกลับแปลกประหลาดเป็นที่สุด ขอบมุมภายในแต่ละที่ล้วนซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง เพิ่งจะนั่งลง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อดที่จะผ่อนคลายอยู่บ้างมิได้ คล้ายกับว่าการยึดโยงของร่างกายต่อวิญญาณนั้นลดน้อยลงไปเสียแล้ว
“เจดีย์เจ็ดระฆังถูกขนานนามว่าเป็น ‘สมบัติชั้นยอดอันดับหนึ่งของการสงบจิตบำเพ็ญ’ ก็ลองดูสักหน่อยว่าที่แท้แล้วมีความมหัศจรรย์สักเพียงใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหวแล้วทำการควบคุมอากาศเขย่าระฆังเล็กใบหนึ่งที่แขวนอยู่เบาๆ
“กรุ๊งกริ๊งๆ” เสียงระฆังอันเสนาะหูดังขึ้น
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 39 ความรู้สึกร้อนรนของราชันย์อ...
ตอนแรกที่ได้ยินเสียงระฆังนี้ก็รู้สึกเพียงแค่ว่าไพเราะเสนาะหูเป็นอย่างยิ่ง
และจากนั้นระฆังใบอื่นๆ แต่ละใบก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงที่แตกต่างกันผสานรวมกันขึ้นมาแล้วส่งผ่านเข้าไปภายในเจดีย์ ขณะที่สะท้อนก้องอยู่ภายใต้โครงสร้างอันแปลกประหลาดภายในเจดีย์นั้นเองกลับก่อให้เกิดระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดส่งผลกระทบต่อวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง วิญญาณเข้าไปสู่สถานะอันแปลกประหลาดภายใต้การเหนี่ยวนำ
“ฟิ้ว…”
เงียบสนิท!
วิญญาณเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างชนิดหนึ่งกำลังแผ่ซ่านไปทั่ววิญญาณ ประคับประคองทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
“วิญญาณก็สามารถเงียบสงบถึงเพียงนี้ได้ด้วยหรือ”
ก็คล้ายกับอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหายลับไป กฎเกณฑ์ทั้งหมดก็หายลับไปด้วย! ความมืดมิดเงียบงันพรรค์นี้กำลังแผ่ซ่านไปทั่วทุกบริเวณของดวงวิญญาณ วิญญาณเงียบงันเสียจนราวกับติดเข้าไปอยู่ในการหยุดชะงัก ในขณะนี้มีเพียงวิญญาณ มีเพียงร่างกายเท่านั้น! ต้องการเพียงแค่ความนึกคิดเดียวก็สามารถรู้สึกถึงร่างกายตนเองได้อย่างง่ายดายแล้ว
การสัมผัสรับรู้ร่างกายนั้นแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนราวกับแผ่นดินอันใหญ่โตไร้ซึ่งขอบเขตแห่งหนึ่งอยู่ตรงหน้า
“ผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็อาศัยเจดีย์เจ็ดระฆังนี้มาสำรวจสายโลหิตในร่างกายตนอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่จำเป็นต้องสำรวจ เพราะว่าร่างกายของเขาเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นความเข้าใจและใช้ประโยชน์ต่อกฎเกณฑ์ของเขา และไม่เหมือนกับผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีสายโลหิตสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ในตัว พวกเขาบำเพ็ญพลังสายโลหิตก็สามารถมีพละกำลังอันมิอาจจินตนาการได้
“ละทิ้งร่างกายไปทางหนึ่ง”
ความนึกคิดหนึ่ง
วิญญาณอันเงียบงันหาใดเปรียบ ตัดแยกการรับสัมผัสต่อร่างกายได้อย่างง่ายดาย
การตัดแยกนี้
ในการรับสัมผัสวิญญาณก็เข้าสู่ความมืดมิดอันไร้ซึ่งขอบเขตที่ ‘แท้จริง’ แล้ว ท่ามกลางความมืดมิด ไม่มีอะไรทั้งสิ้น! แม้กระทั่งร่างกายก็ไม่มี!
แต่ว่าท่ามกลางความเงียบสงบที่วิญญาณเกือบจะกลายเป็นขั้นสุดยอด
ความคิดกลับ ‘มีชีวิตชีวา’ อย่างมิอาจจินตนาการได้!
“แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสบายเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าวิญญาณจะไม่มีข้อจำกัดใดๆ เลย ศักยภาพก็คล้ายว่าจะถูกขุดออกมาจนหมด”
“ยังบำเพ็ญวิถีอากาศดีกว่า”
ความเข้าใจในความเร้นลับปริมาณมหาศาลเกี่ยวกับวิถีอากาศพลุ่งพล่านขึ้นมาในทันใด และวิวัฒน์อย่างต่อเนื่อง ความคิดอันน่าอัศจรรย์อันแล้วอันเล่าปรากฏขึ้นมา ความเร็วในการบำเพ็ญรวดเร็วกว่าสถานะปกติมากมายยิ่งนัก คล้ายกับวิญญาณในยามปกติ ได้รับผลกระทบของกฎเกณฑ์สูงสุด ได้รับผลกระทบของร่างกาย ได้รับผลกระทบมากมายเหลือเกิน… ยามที่บำเพ็ญ ผลลัพธ์ห่างไกลจากตอนนี้มากมายนัก
“มหัศจรรย์เหลือเกิน”
ลอบรำพึง
ตามความคิดอันมีชีวิตชีวาหาใดเปรียบ ก็เจาะลึกเข้าไปในวิถีอากาศอย่างรวดเร็วแล้ว
ห้ากระบวนท่าไม้ตายที่คิดค้นออกมาจากวิถีอากาศก่อนหน้านี้ การสั่งสมอันมากมายมหาศาล รวมถึงประสบการณ์แสวงโชคต่างๆ ที่เคยบุกผ่านเกาะลอยคว้างห้าร้อยกว่าแห่ง ต่างก็ปรากฏขึ้นในห้วงสมองในขณะนี้ แล้วกระทบกระแทกอย่างต่อเนื่อง…
ความคิดอันไร้ซึ่งการยับยั้งระเบิดออกไปทุกทิศทุกทางผ่านไปยังทิศทางที่แตกต่างกันกำลังบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว
******
ด้านนอกเจดีย์
ตงป๋อเสวี่ยอิง จักรพรรดิวายุทิพย์ และแม่ทัพเทพแปดท่านต่างก็อยู่ที่นี่
“น่าอัศจรรย์หรือไม่” จักรพรรดิวายุทิพย์มองตงป๋อเสวี่ยอิง
“มหัศจรรย์ยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้าซับซ้อน ร่างแยกที่บำเพ็ญอยู่ภายในเจดีย์ก็เชื่อมต่อกับร่างแยกที่มีอยู่ของเขาตามธรรมชาติ ก็เพราะเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกจึงยิ่งเป็นเอกลักษณ์มากขึ้นไปอีก
ร่างแยกที่บำเพ็ญอยู่ภายในเจดีย์เจ็ดระฆังนี้ ความคิดของวิญญาณคล้ายกับอยู่ใน ‘มิติ’ อีกแห่งหนึ่ง ที่มิติแห่งนั้น ความคิดก็มีชีวิตชีวาหาใดเปรียบ วิญญาณไม่มีการยับยั้งใดๆ เลย การบำเพ็ญรวดเร็วเป็นที่สุด
ส่วนร่างแยกอื่นๆ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีอยู่ ต่างก็ต่ำลงไปอีกมิติหนึ่ง!
ถึงแม้ว่าความทรงจำจะสามารถติดต่อกันได้ แต่เห็นได้ชัดว่าความคิดมิได้ไปด้วยกัน
“ยังมีสมบัติชั้นยอดพรรค์นี้อยู่ด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเจดีย์เจ็ดระฆังที่อยู่ตรงหน้าแล้วสองตาก็เปล่งประกาย ที่หุบเขาเขี้ยวหัก เจดีย์เจ็ดระฆังนี้เอาไว้ใช้เพียงแค่ช่วยให้เหล่าชนพื้นเมืองดั้งเดิมตระหนักรู้สายโลหิตภายในร่างกายของตนเท่านั้น แต่สำหรับผู้บำเพ็ญแล้วกลับมีส่วนช่วยมากกว่าอย่างมหาศาล! นี่คล้ายกับการคลายพันธนาการต่างๆ นานาออก ขุดเอาพรสวรรค์และศักยภาพตามหลักการของตนออกมาจนหมดสิ้น
“ฮ่าฮ่า น้องหิมะเหิน ต่อจากนี้เจ้าวางแผนจะไปที่ใดกันหรือ” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดยิ้มๆ “มีสิ่งใดที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือก็จงพูดมาให้หมด”
“มีอยู่เรื่องหนึ่ง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้จักรพรรดิลงมือหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองแม่ทัพเทพผู้สวมชุดเกราะคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ “แม่ทัพเทพรัศมีศิลา ข้าวางแผนจะไปบุกเกาะลอยคว้างบางแห่ง ราชันย์เผ่ามรณะทมิฬบนเกาะลอยคว้างเหล่านั้น มีบางคนที่สามารถต้านทานเคล็ดวิชาเขตลวงของข้าได้ พลังยุทธ์ของพวกมันเหลืออยู่เพียงหนึ่งหรือสองส่วน ข้าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันอยู่ดี ต้องการให้ท่าน แม่ทัพเทพรัศมีศิลาช่วยเหลือ สมบัติล้ำค่าบนเกาะ ท่านก็สามารถเลือกเอาได้ตามใจชอบเลย”
“เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนพี่ใหญ่รัศมีศิลาหรอก ข้าเอง”
“จ้าวหิมะเหิน ข้าก็ได้นะ! มีเจ้าอยู่ ไม่ว่าสิบสามราชันย์คนไหนๆ ข้าก็มีความมั่นใจทั้งนั้นแหละ”
“เรื่องดีๆ เช่นนี้ เหตุใดจึงให้พี่ใหญ่รัศมีศิลาเสียเล่า”
แม่ทัพเทพคนแล้วคนเล่าเอ่ยขึ้นในทันใด
พวกเขาต่างก็อิจฉาตาร้อนกันขึ้นมาบ้างแล้ว
ข้อหนึ่ง การไปบุกเกาะลอยคว้างแต่ละแห่งเคียงข้างจ้าวหิมะเหินนั้นเป็นเรื่องดีที่อยากจะทำแม้กระทั่งในความฝัน! มีจ้าวหิมะเหิน ผู้ที่จะสามารถทำให้พวกเขาหวั่นเกรงได้ในเผ่ามรณะทมิฬ เกรงว่าคงมีเพียงแค่สามมหายอดเคารพเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนมิได้อยู่ในสายตาเลย นอกจากนี้ มิได้ยินที่บอกว่า ‘เลือกสมบัติล้ำค่าเอาตามใจชอบ’ หรือไร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นแม่ทัพเทพผู้สูงส่ง แต่กับสมบัติล้ำค่าทั้งหลายบนเกาะลอยคว้าง ก็ยังคงตาลุกวาวอยู่ดี แต่เพียงแค่ไม่มีความมั่นใจว่าจะได้มาครอบครองเท่านั้นเอง
ข้อสอง การไปบุกด้วยกันก็ย่อมทำให้ความสัมพันธ์ล้ำลึกมากยิ่งขึ้นเป็นธรรมดา!
โอกาสอันดีที่จะได้ผูกไมตรีกับจ้าวหิมะเหิน ต่อให้ไม่ได้สมบัติล้ำค่าอะไรมาเลยก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี! มีสหายที่ดีอย่างจ้าวหิมะเหินผู้นี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นใครทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักก็มิกล้าเป็นศัตรูกับพวกเขาง่ายๆ แล้ว
“จ้าวหิมะเหินจะให้ข้าช่วย พวกเจ้าก็อย่าได้มาแย่ง” แม่ทัพเทพรัศมีศิลาเอ่ยคำราม “ว่าอย่างไร อยากจะประลองกันสักหน่อยหรือไม่เล่า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ
เขาก็รู้สึกว่ามีแม่ทัพเทพคนหนึ่งช่วยเหลือก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้คนเหล่านี้ต่างก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์ ย่อมไม่สามารถถูกตนเองพาตัวไปหมดได้หรอกกระมัง
นอกจากนี้ พูดถึงพลังยุทธ์ แม่ทัพเทพรัศมีศิลาก็เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาแม่ทัพเทพทั้งแปด!
……
จากนี้ต่อไปในภายภาคหน้า ตงป๋อเสวี่ยอิงพาตัวแม่ทัพเทพรัศมีศิลาไปบุกเกาะลอยคว้างอย่างต่อเนื่องแล้ว เขามีข้อมูลโดยละเอียด ก็ย่อมไปยังเกาะแก่งที่มีดวงตาลึกลับแห่งแล้วแห่งเล่านั้นได้อยู่แล้ว
เขาต้องการจดจำส่วนประกอบเขตลวงที่อยู่ภายในดวงตาลึกลับให้มากยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าจะคิดค้นท่าไม้ตายกระบวนแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมาแล้ว แต่ในเมื่อดวงตาลึกลับนี้มีส่วนช่วยเหลือตน เช่นนั้นก็ย่อมต้องจดจำเอาไว้ให้มากยิ่งขึ้น! ทำให้ตนเองไปถึง ‘ระดับสุดยอด’ ของวิถีเขตลวงโลกเทียม ทำให้เส้นทางราบรื่นขึ้นพอสมควร
******
และที่หุบเขาเขี้ยวหัก
ข่าวหนึ่งแพร่กระจายออกไป
จักรพรรดิวายุทิพย์มี ‘จ้าวหิมะเหิน’ ช่วยเหลือ บุกเข้าไปสู่เกาะราชันย์เหยี่ยนแล้วจับเป็นผู้อาวุโสยี่สิบสองท่าน กดดันให้ราชันย์เหยี่ยนยอมก้มหัว ส่งมอบน้ำนมทิพย์ลำแสงให้ ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเสียแล้ว! จักรพรรดิวายุทิพย์ก็ยิ่งเติมฟืนใส่กองไฟ เขาอยากให้ทุกฝ่ายรู้ว่าเขามีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับจ้าวหิมะเหิน พร้อมกันนั้นก็อาศัยสิ่งนี้แสดงถึงความต้องการของตน!
ภายในระยะเวลาอันยาวนานก่อนหน้านี้ เขาพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือราชันย์เหยี่ยนมามากมายหลายครั้งเหลือเกินแล้ว คราวนี้ในที่สุดก็กดดันให้ราชันย์เหยี่ยนต้องก้มหัวให้จนได้ เรื่องเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องแพร่กระจายไปให้รู้กันทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก! มิฉะนั้นหากหลบๆ ซ่อนๆ ก็จะไม่สาแก่ใจ
“จ้าวหิมะเหินผู้นี้มีผลกระทบต่อพลังยุทธ์มากมายเหลือเกิน”
“ที่เกาะลอยคว้างของตน ราชันย์เหยี่ยนก็ถูกกดดันให้ก้มหัวอย่างนั้นหรือ”
“จับเป็นผู้อาวุโสยี่สิบสองท่านหรือ เมื่อระดับแม่ทัพเทพอยู่ต่อหน้าจ้าวผู้นี้ จำนวนก็ไม่มีความหมายเลยหรือไร”
ทุกหนแห่งพากันวิพากษ์วิจารณ์
ชื่อเสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งทวีความโด่งดัง สามมหายอดเคารพแห่งเผ่ามรณะทมิฬ และสองมหายอดเคารพของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมต่างก็ให้ความสนใจกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง!
……
ข่าวแพร่กระจายออกไป แล้วก็แพร่ไปถึงหูของผู้บำเพ็ญแห่งดินแดนจิตโลกาเช่นเดียวกัน
เช่นจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะ พวกเขาต่างก็ให้ความสนใจกับหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอย่างมาก ทั้งยังสืบหาข้อมูลจำนวนหนึ่งของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอยู่เป็นประจำ
โดยเฉพาะ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ หลังจากที่กลับมาจากการโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นล้มเหลวแล้ว เขาก็เคยเข้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหักหลายครั้ง ครั้งนี้เขาก็เป็นคนแรกๆ ในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาที่รู้เรื่องราวของ ‘จ้าวหิมะเหิน’
“อะไรนะ สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ” ชายหนุ่มรูปงามที่สวมอาภรณ์สีเทาเอ่ยอย่างยากที่จะเชื่อได้
ยามอยู่ที่ดินแดนจิตโลกา เขาก็เป็นผู้ที่ใส่อาภรณ์หรูหรางดงามสีทองและสวมมงกุฎ แต่เมื่ออยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ราชันย์อนธการอมตะก็เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นอย่างมาก สวมเพียงแค่อาภรณ์สีเทา
ช่วยไม่ได้
เขาไม่มีสิทธิ์แสดงตัวที่กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขามิได้มีร่างแยกเหมือนตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิเซี่ย!
“แน่นอนว่าต้องเป็นความจริงสิ ข่าวก็แพร่ออกมาก่อนแล้ว นี่ก็เป็นจังหวะที่ดีแล้วล่ะ” ชายชราร่างอ้วนพีคนหนึ่งนั่งดื่มสุราอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามพลางพูดว่า “ราชันย์อนธการ เจ้ามิได้บอกหรือว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าอ่อนแอกว่าจ้าวหิมะเหินมากมายถึงเพียงนั้นเล่า เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหิน ระดับจักรพรรดิธรรมดาทั่วไปต่างก็ต้องจมดิ่งลงไป ระดับแม่ทัพเทพต่างก็ต้องตัวสั่นงันงก หรือแม้กระทั่งเหล่าจักรพรรดิก็ยังต้องแย่งกันสร้างสัมพันธไมตรี! แม้กระทั่งห้ายอดเคารพต่างก็ยังมิกล้าละเลย”
ราชันย์อนธการอมตะเงียบงัน
ริษยาหรือ
เขาเกิดความริษยาขึ้นมาวูบหนึ่งจริงๆ ถ้าหากเขาอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหักและมีสถานะที่สูงส่งเช่นนี้เหมือนกัน เช่นนั้นจะทำอะไรก็คงง่ายดายกว่านี้มากแล้ว
นอกจากจะริษยาแล้วเขาก็ยังกระวนกระวายด้วย!
“เขาบำเพ็ญเขตลวงโลกเทียมมาจนถึงระดับนี้แล้วหรือ ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่วิญญาณไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองก็พอมีอยู่บ้าง ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เลย หรือว่าเขาไปถึงขั้นสุดยอดแล้วเล่า หรือว่าจะมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับแล้วด้วย” ราชันย์อนธการอมตะเกิดความตื่นตระหนกขึ้นในใจ เขาย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครไปถึงขั้นสุดยอดทางด้านวิญญาณมาก่อนเลย ก็ยิ่งไม่มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับอยู่แล้ว
“สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งได้ เช่นนั้นยามที่ขั้นสุดยอดอย่างข้าเผชิญกับเขตลวงโลกเทียมของเขา ถึงแม้ว่าจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้ เกรงว่าก็คงต้องกระจายพลังจิตไปมิใช่น้อยเลย” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ ระดับจิตใจของผู้บำเพ็ญขั้นสุดยอดต่างก็ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง แต่คาดว่าความสามารถในการต้านทานเขตลวงโลกเทียมนั้นอย่างมากที่สุดก็แค่เทียบเคียงได้กับห้ายอดเคารพ ก็ต้องกระจายพลังจิตไปมากพอสมควรอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ทำให้พลังยุทธ์ต้องถูกทำลาย
“ทำเช่นไรดีเล่า”
“เขามีร่างแยกมากมาย อยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก พูดคำเดียวก็มีร้อยเสียงตอบรับ ผู้แกร่งกล้าแย่งกันผูกไมตรี ทรัพยากรมากมายเหลือล้น ทั้งยังมีวิถีอากาศของเขาด้วย เขามีอาวุธเทพคละถิ่นอยู่ในมือ ด้วยการสั่งสมของเขา บวกกับเคราะห์ดีของหุบเขาเขี้ยวหัก ความหวังในการสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแล้ว”
“เป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ” ราชันย์อนธการอมตะเกิดความรู้สึกร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 40 ราชันย์อนธการเยี่ยมเยียนเสว...
ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างไม่หยุดหย่อน
ข่าวคราวในครั้งนี้โจมตีเขาอย่างหนักหน่วงเหลือเกิน เพราะก่อนหน้านี้แม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะทำลาย ‘การบูชายัญ’ เพื่อหลอมผู้ท่องมรณะของเขา แต่ในส่วนลึกของจิตใจ เขาก็มิได้รู้สึกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะคุกคามเขาได้
ข้อแรก ระดับความสำเร็จของ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องสิ้นเปลืองเวลาอีกเนิ่นนานเท่าใด ดูจากจำนวนผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก็รู้แล้วว่าการจะไปถึงขั้นสุดยอดได้นั้นช่างยากเย็นเหลือเกิน
ข้อสอง ถึงแม้ว่าจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วก็มีอาวุธเทพคละถิ่นด้วย! ราชันย์อนธการอมตะรู้สึกว่าหากเผาผลาญหยาดโลหิตภายในหัวใจ เกรงว่าพลังยุทธ์ก็คงใกล้เคียงกัน จ้าวหิมะเหินไม่สามารถคุกคามเอาชีวิตเขาได้ ถึงแม้จะไม่อยากเผาผลาญหยาดโลหิตภายในหัวใจมากเกินไป เขาก็ยังสามารถหนีเข้าไปใน ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีความกังวลอันใดต่อดินแดนจิตโลกา
มาถึงระดับขั้นเช่นเขาแล้ว
ไร้ซึ่งความวิตกกังวล ก็แค่ไล่ตามการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเพียงอย่างเดียวแล้ว! ก่อนหน้านี้การโจมตีล้มเหลว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่หุบเขาเขี้ยวหักนั้นเพียงเส้นทางเดียวแล้ว!
“เช่นนั้นมิสู้หลบเข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหักเสียดีกว่า” เดิมทีราชันย์อนธการอมตะก็สงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้กลับตะลึงลานไปเสียแล้ว!
“ชื่อเสียงของจ้าวหิมะเหินผู้นี้ภายในหุบเขาเขี้ยวหักช่างยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ทุกฝ่ายแย่งกันผูกไมตรี ถ้าหากข้าหนีเข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหัก เขาแค่ออกคำสั่งเพียงคำเดียว ก็เกรงว่าคงจะมีจักรพรรดิบางคน หรือแม้กระทั่งยอดเคารพเต็มใจจะลงมือเพื่อเขาแล้วกระมัง เช่นนั้นข้าก็ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว!” ราชันย์อนธการอมตะกระวนกระวายอยู่ในใจ
“ที่ดินแดนจิตโลกาก็ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง ข้าดูแคลนจ้าวหิมะเหินผู้นี้เกินไปแล้ว”
“เมื่อใดที่เขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ครอบครองอาวุธเทพคละถิ่น พลังรบก็มิได้ด้อยไปกว่าข้าที่เผาผลาญโลหิตหัวใจเลย และเขายังมีเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นอีกด้วย แม้กระทั่งระดับจักรพรรดิก็ยังต้องจมดิ่ง เกรงว่าข้าเองก็ต้องพลังยุทธ์ลดต่ำลงด้วยเหตุนี้” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ “พอพลังยุทธ์ลดต่ำลง ข้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขาแล้ว ก็จะถูกเขาไล่ล่าสังหาร! รอจนโลหิตภายในหัวใจของข้าถูกใช้ไปจนหมดสิ้น พลังยุทธ์ก็จะลดลงอย่างมหาศาลอีกครั้ง เช่นนั้นก็มิใช่เพียงแค่ถูกไล่ล่าสังหาร เกรงว่าคงจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว”
ราชันย์อนธการอมตะสามารถจินตนาการถึงฉากนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…
เชาวน์ปัญญาบอกกับเขาว่าเหตุการณ์นี้มีโอกาสเป็นความจริงขึ้นมาได้!
ด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นของการบำเพ็ญของจ้าวหิมะเหินผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ร้ายกาจเป็นที่สุด! ทางด้านวิถีอากาศ การต่อสู้ของเมืองหิมะเหินก็ทำให้เห็นชัดเจนแล้วว่าการสั่งสมของจ้าวหิมะเหินนั้นหนาแน่นเป็นอย่างมากแล้ว อีกทั้งยังมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับอยู่ในมือด้วย! ชื่อเสียงภายใน ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ ก็ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เกรงว่าประมุขโลกมากมายก็คงพากันส่งผลประโยชน์ต่างๆ นานามาให้ โอกาสต่างๆ ในเกาะลอยคว้างก็คงได้มาโดยง่ายเช่นเดียวกัน
ด้วยความช่วยเหลือของทุกฝ่าย เกรงว่าการที่จ้าวหิมะเหินผู้นี้จะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดก็คงจะอยู่ไม่ไกลแล้ว!
“หากเขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ข้าก็จบเห่แล้ว”
“ห้ำหั่นในระยะประชิด เขาก็ยังมีเคล็ดวิชาเขตลวงอีก ต่อให้เผาผลาญโลหิตหัวใจจนหมดสิ้นเกรงว่าก็ยังต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย หนีไปยังหุบเขาเขี้ยวหักหรือ ก็ยิ่งรนหาที่ตายน่ะสิ!”
“ไม่มีทางให้เดินแล้ว!”
“ไม่มีทางให้ข้าเดินแล้ว!”
แววตาของราชันย์อนธการอมตะเปลี่ยนเป็นอึมครึมและบ้าคลั่ง
แต่เขาไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว ตอนนั้นต่อสู้ดิ้นรนกับผู้แกร่งกล้าที่น่าหวาดหวั่นของโลกกำเนิดแห่งแล้วแห่งเล่าที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมกัน ถึงขนาดที่เขาขัดเกลาตระหนักรู้วิธีการหลอมผู้ท่องมรณะ อีกทั้งยังเคยประสบความสำเร็จในการหลอมผู้ท่องมรณะมาก่อน นั่นก็ทำให้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ในที่สุดหลังจากที่บูชายัญผู้ท่องมรณะแล้วก็หนีกลับมายังดินแดนจิตโลกาบ้านเกิดได้สำเร็จ
ต้องรู้ไว้ว่าผู้ที่พลังยุทธ์มิได้ด้อยไปกว่าเขา หรือแม้กระทั่งผู้ที่ล้ำเลิศยิ่งกว่า ก็มีบางส่วนที่จมดิ่งลงไปในท้ายที่สุด ติดเข้าไปในโลกแห่งความสิ้นหวัง
“จ้าวหิมะเหิน ก็ต้องมาดูกันแล้วล่ะว่าเจ้าจะเลือกเช่นไร” ราชันย์อนธการอมตะตัดสินใจ
“ข้ากลับก่อนล่ะ วันหลังค่อยมาพบกันใหม่” ราชันย์อนธการอมตะยืนขึ้นมา
“คราวนี้รีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ชายชราอ้วนพีดื่มสุราพลางพูดยิ้มๆ
“อืม ควรกลับได้แล้วล่ะ”
ราชันย์อนธการอมตะไม่พูดอะไรมากอีก แล้วหมุนกายก้าวยาวๆ จากไป
ถ้าหากรู้ชื่อเสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงที่หุบเขาเขี้ยวหักมาก่อน เขาก็ไม่มีทางเข้าไปที่หุบเขาเขี้ยวหักหรอก เพราะการมาที่นี่นั้นอันตรายเกินไป!
……
ราชันย์อนธการอมตะกลับมายังดินแดนจิตโลกาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง ที่ดินแดนจิตโลกามีกฎเกณฑ์ที่ ‘หยวน’ กำหนดเอาไว้ขัดขวางอยู่ สุดยอดผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงของหุบเขาเขี้ยวหักก็ยังเข้ามามิได้ ก็ย่อมไม่มีใครสามารถคุกคามเขาได้อยู่แล้ว แต่ว่านี่ก็เป็นการชั่วคราวเท่านั้น เมื่อใดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงขั้นสุดยอด เช่นนั้นหายนะก็มาเยือนแล้ว
“ฟิ้วๆๆ”
พายุคลั่งพัดกรรโชก หิมะตกหนักปลิวว่อน
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งจิบสุราอยู่ใต้ศาลาตามลำพัง บริเวณรอบๆ ศาลามีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างอยู่ ทำให้พายุคลั่งมิอาจแทรกตัวเข้ามาได้เลยแม้แต่น้อย เกล็ดหิมะโปรยปรายปลิวว่อน ฟ้าดินมืดมัวไปหมด แต่ทว่าใต้ศาลากลับเต็มไปด้วยความเงียบสงบ กลิ่นหอมของสุราแผ่กำจาย
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วพลางเงยหน้าขึ้นมอง
ระลอกคลื่นขุมหนึ่งเคลื่อนเข้ามา
สายลมรอบๆ หยุดนิ่ง หิมะกระจายตัว ระลอกคลื่นระลอกนั้นรวบรวมพลังฟ้าดินอยู่ที่ด้านบนของทะเลสาบแล้วรวมตัวกันกลายเป็นเงาร่างสายหนึ่ง ซึ่งก็คือชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์ทองงดงามหรูหรา ศีรษะสวมมงกุฎผู้หนึ่ง
“ราชันย์อนธการอมตะ เขามาหาข้าที่นี่หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง เมืองหิมะเหินของเขาก็มีบุคคลผู้ไร้เทียมทานมาเยี่ยมเยียนอยู่เหมือนกัน! แต่การที่ราชันย์อนธการอมตะมาเยี่ยมเยียนนั้นกลับเหนือความคาดหมายของเขาอยู่บ้าง ถึงอย่างไรความแค้นระหว่างคนทั้งสองก็เป็นสิ่งที่รู้กันทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา
“ราชันย์อนธการมาหาข้าถึงที่นี่ มิทราบว่ามีเรื่องอันใดกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด
“ไม่เชิญให้ข้านั่งสักหน่อยหรือ” ราชันย์อนธการอมตะผู้มีใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มเอ่ยขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงเลิกคิ้วขึ้น ถ้าหากเป็นร่างจริงของราชันย์อนธการอมตะเกรงว่ายังมิทันเข้ามาใกล้ ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่นของเขาก็คงกวาดออกไปใส่ในทันทีแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายเข้ามาในเมืองหิมะเหินได้แม้เพียงครึ่งก้าว แต่ลำพังแค่ร่างแปรร่างเดียว เขาก็ย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว อีกฝ่ายกล้าเข้ามา เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมรอคอยได้อยู่แล้ว
“ราชันย์อนธการ เชิญนั่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นเช่นเดิม มิได้ลุกขึ้นมาต้อนรับ เขาไม่ชอบหน้าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้เอาเสียเลย
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ราชันย์อนธการอมตะหัวเราะแล้วเดินมานั่งลง ก่อนจะหยิบไหสุราข้างๆ ขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เขาโบกมือคราหนึ่ง พลังฟ้าดินก็รวมตัวกันเป็นจอกสุราใบหนึ่งออกมา เขารินสุราให้ตนเองแล้วดื่มอึกหนึ่งก่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า “สุรานี่ช่างธรรมดายิ่งนัก แต่พอเป็นสุราของจ้าวหิมะเหิน ราคาของสุรานี้ก็เพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสังเกตราชันย์อนธการอมตะผู้นี้โดยละเอียด
ถึงกับพูดจาเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังตบบ่าตนคราหนึ่งด้วย ช่างไม่เหมือนอุปนิสัยของราชันย์อนธการอมตะเอาเสียเลย ก่อนหน้านี้สองฝ่ายมีความแค้นต่อกันอย่างใหญ่หลวงยิ่ง ตนทำลายธุระสำคัญของเขา ราชันย์อนธการอมตะก็อยากจะทำลายล้างทั้งเมืองหิมะเหินอย่างเดือดดาลบ้าคลั่งเพื่อระบายเพลิงโทสะ ตอนนี้ยังมาตบบ่าตนอีกหรือ
“จ้าวหิมะเหิน ก่อนหน้านี้เจ้ากับข้ามีความแค้นต่อกันก็จริง” ราชันย์อนธการอมตะพูด “แต่จะว่าไปแล้ว ก็ด้วยนิสัยของเจ้าที่แข็งทื่อจนเกินไป มิอาจทานทนต่อมารได้ เจ้าก็มิได้เป็นอริต่อข้าเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น หากแต่ต่อต้านมารทั้งหมดที่มีอยู่”
“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ราชันย์อนธการเข้าใจก็ดี”
“แต่สุดท้ายก็ยังทำลายเรื่องสำคัญของข้าอยู่ดี” ราชันย์อนธการอมตะพูด “เส้นทางการบำเพ็ญนี้ เจ้าตัดเส้นทางของข้า ก็เป็นความแค้นที่มิอาจอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกันได้!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอย่างเงียบสงบต่อไป
“แต่ตอนนี้ ความแค้นนี้สามารถแก้ไขได้แล้ว” ราชันย์อนธการอมตะพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“แก้ไขอย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ฮ่าฮ่า ที่จ้าวหิมะเหินซ่อนเอาไว้มิได้ลึกล้ำอย่างธรรมดาๆ ตอนนี้เจ้ามีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก เกรงว่าทั้งสิบสามราชันย์ จักรพรรดิแปดท่าน และห้ายอดเคารพ… คงจะไม่มีผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียวที่กล้าดูแคลนเจ้าสามารถเป็นแขกรับเชิญของยอดเคารพได้อย่างสบายๆ เกรงว่าจักรพรรดิต่างก็ยังต้องเชื้อเชิญเจ้า ต้องส่งของกำนัลให้เจ้าเลยกระมัง” ราชันย์อนธการอมตะพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงเลิกคิ้วพลางพูดยิ้มๆ “ข่าวสารของราชันย์อนธการช่างเฉียบแหลมเสียจริง”
“เพียงแต่ว่าชนพื้นเมืองดั้งเดิมกับดินแดนจิตโลกาของพวกเรามิได้ส่งข่าวคราวซึ่งกันและกัน มิฉะนั้นข่าวนี้ก็คงแพร่ออกมาก่อนแล้ว เกรงว่าผ่านไปหลายปี เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็คงจะล่วงรู้เรื่องนี้กันหมด” ราชันย์อนธการอมตะพูด “ข้ามาที่นี่ก็เพราะหวังว่าจ้าวหิมะเหินจะช่วยเหลือข้าสักเรื่อง พอช่วยแล้ว เช่นนั้นในภายภาคหน้าพวกเราก็คือสหายกัน แล้วข้าก็จะไม่ไปเข่นฆ่ามดปลวกตัวเล็กตัวน้อยเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว”
“ช่วยเหลืออย่างไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก หากวุ่นวายขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว หากราชันย์อนธการอมตะทำการสังหารขึ้นมาจริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ขัดขวางเอาไว้ไม่อยู่
“ช่วยข้ารวบรวม ‘ดอกอนธการ’ สิบห้าดอก แล้วส่งข้าเข้าไปยัง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ อีกครั้ง” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยปากพูด “เพียงแค่เจ้าช่วยข้าในเรื่องนี้ เช่นนั้นความแค้นของเราก็จะถูกสะสางแล้ว เจ้าจะมาถามหาผลประโยชน์จากข้าที่นี่ ข้าก็สามารถรับปากเจ้าได้ทั้งสิ้น ต้องการให้ข้าช่วยเจ้าจัดการธุระอันใดก็ได้ทั้งสิ้น! หรือแม้กระทั่งไม่ให้ข้าเข่นฆ่าอีกอย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่า ขอเพียงแค่เข้าไปสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ ข้าก็จะไม่กลับมาที่ดินแดนจิตโลกาอีก ก็ย่อมไม่มีทางก่อความวุ่นวายที่ดินแดนจิตโลกาได้อยู่แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับฟังแล้วหน้าถอดสี
ดอกอนธการทุกดอกต่างก็ล้ำค่าเป็นที่สุด มูลค่าไม่น้อยไปกว่า ‘น้ำนมทิพย์ลำแสง’ หยดหนึ่งเลย
แต่สิบห้าดอก ด้วยอิทธิพลของตนที่หุบเขาเขี้ยวหัก คิดวิธีการอาศัยน้ำใจคนสักเล็กน้อย ก็ยังสามารถทำได้อยู่!
แต่ ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ นั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหัก!
อยากจะเข้าไปอย่างนั้นหรือ
ในบันทึกของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมนั้นก็ยังเป็นตำนาน! เป็นไปได้ว่ามีเพียงแค่เหล่าห้ายอดเคารพเท่านั้นที่เคยเข้าไป ส่วนเหล่าจักรพรรดินั้นดูเหมือนว่าจะไม่เคยเข้าไปมาก่อนเลย
ทางเดินเขี้ยวอสรพิษอันลึกลับ ตนเองก็คิดอยากจะเข้าไปเช่นกัน แต่เกรงว่าคงต้องไปขอร้องห้ายอดเคารพ! ถ้าหากโชคดีได้เข้าไป ยอดเคารพโดยทั่วไปก็เข้าไปด้วยตนเองแล้ว แม้กระทั่งเหล่าจักรพรรดิก็ยังมิอาจได้ผลประโยชน์เช่นนี้มาครองเลย
“ท่านอยากจะเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ คำขอร้องนี้สูงเกินธรรมดาไปเสียแล้ว
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 41 สิบล้านล้านปี
“ถูกต้อง” ราชันย์อนธการอมตะแววตาร้อนรุ่ม
“ด้วยสถานะของจ้าวหิมะเหินที่หุบเขาเขี้ยวหักในตอนนี้ เชื่อว่าต้องมีวิธีจัดการได้อย่างแน่นอนกระมัง”
“ราชันย์อนธการ ท่านรู้เกี่ยวกับทางเดินเขี้ยวอสรพิษมากน้อยเพียงใดกัน” ในใจตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกประหลาดใจ ราชันย์อนธการอมตะถึงกับคิดว่าจะได้รับโอกาสเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษจากตน
ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยเสียงต่ำ “ทางเดินเขี้ยวอสรพิษเป็นสถานที่ต้องห้ามในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหัก ได้ยินว่าในนั้นยังแฝงไว้ด้วยความลับของการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วย ถึงขนาดที่ทำให้ห้ายอดเคารพต่างก็เข้าไปสืบหากันอย่างต่อเนื่อง”
“ถูกต้อง ห้ายอดเคารพต่างก็เข้าไปสืบหา”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ต่างก็ว่ากันว่าความลับของการสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ห้ายอดเคารพคนใดจะไม่อยากสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นบ้างเล่า พวกเขาย่อมไม่สามารถยกโอกาสนี้ให้กับผู้อื่นอยู่แล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดิแปดท่านและสิบสามราชันย์ก็ยังคาดหวัง ข้าสามารถบอกเจ้าได้อย่างชัดเจน! ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก โอกาสเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยทำข้อตกลงมาก่อนเลย ระหว่างยอดเคารพก็ไม่มีข้อตกลงกัน แล้วก็ยิ่งไม่เคยมอบให้กับจักรพรรดิแปดท่านและสิบสามราชันย์มาก่อนเลย”
“ไม่เคยมีมาก่อนเลย! หน้าตาของข้า จ้าวหิมะเหิน ยามอยู่ต่อหน้าจักรพรรดิแปดท่านและสิบสามราชันย์ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง แค่ยามอยู่ต่อหน้าห้ายอดเคารพ อย่างมากที่สุดก็แค่มองด้วยสายตาที่แปลกไปจากผู้อื่นเท่านั้น อยากจะได้รับโอกาสเข้าไปในทางเดินเขี้ยวอสรพิษหรือ ฝันไปเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างสงบ
เขามิได้โป้ปด
เพราะว่าได้รับข้อมูลมากเพียงพอ เรียนรู้จากจักรพรรดิเป่ยเหอและจักรพรรดิวายุทิพย์นั้นเป็นอันมาก ถึงขนาดที่เมื่อเร็วๆ นี้ บรรดาจักรพรรดิคนอื่นๆ ก็ยังมาเชื้อเชิญตน
ตนนั้นสามารถนับได้ว่าเป็นสมาชิกระดับสุดยอดของหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว เข้าใจความลับต่างๆ มากมาย
ห้ายอดเคารพ…
สถานะนั้นช่างพิเศษเป็นอย่างยิ่ง!
อย่างเช่นสิบสามราชันย์และแปดจักรพรรดิยังคงต่อสู้กันอยู่ ยังคงต่อสู้กันอยู่! แต่ห้ายอดเคารพย่อมมิใคร่จะสนใจในอิทธิพลสักเท่าใดนักอยู่แล้ว แม้กระทั่งสมบัติล้ำค่าก็ยังมิใคร่จะใส่ใจกันสักเท่าใดนัก! เพราะว่าพวกเขาไปถึงระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์กันแล้ว แต่โอกาสบนเกาะลอยคว้างมีประโยชน์ต่อพวกเขาลดน้อยลงแล้ว ที่ยังมีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อห้ายอดเคารพก็มีเพียงแค่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ..
สถานที่ต้องห้ามในตำนานเท่านั้น!
พวกเขาต่อสู้กันก็เพื่อโอกาสในการเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษ
เพราะมีเพียงการเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษเท่านั้น จึงจะมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ มิฉะนั้นก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญไป การจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้นั้นก็ยากเย็นเหลือเกิน
โอกาสในการเข้าไปแต่ละครั้งนั้นก็ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดเพียงพอที่จะทำให้เหล่ายอดเคารพเข่นฆ่าซึ่งกันและกันเลยทีเดียว! นี่มิใช่สิ่งที่จะยอมกันได้ ‘โอกาสแห่งความสำเร็จ’ จะให้ยอมกันได้อย่างไร ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนึกอยากจะร้องขอโอกาสเช่นนี้ก็ย่อมเป็นการวาดฝันอยู่แล้ว เคล็ดวิชาเขตลวงของเขาแม้จะยังนับว่ามีผลกระทบต่อจักรพรรดิอย่างค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ผลกระทบต่อห้ายอดเคารพก็ต่ำลงไปอีกขั้นหนึ่ง
ห้ายอดเคารพ ถ้าหากพลังยุทธ์ลดลงเพียงแค่สองสามส่วน! พวกเขาก็ยังคงไม่หวั่นเกรงยอดเคารพคนอื่นๆ เช่นเดิม
โลกมากมายของผู้บัญชาการอย่างนั้นหรือ
การต่อสู้
พวกเขาล้วนไม่สนใจ สิ่งที่พวกเขาไขว่คว้าก็มีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…การหนีออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น!
“ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยเลยหรือ” ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าแปรเปลี่ยนเสียแล้ว สิ่งที่เขาสามารถสัมผัสได้ที่หุบเขาเขี้ยวหักมิอาจนับได้ว่าเป็นระดับสุดยอด รู้จักเพียงแค่เศษเสี้ยวเล็กๆ เท่านั้น
“ไม่มีโอกาสเลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ราชันย์อนธการ การเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษนั้นแต่ไหนแต่ไรก็มิอาจร้องขอมาได้ มีแต่ไปดิ้นรนเอาด้วยตนเองเท่านั้น บนเกาะลอยคว้างแต่ละแห่ง บางทีอาจมีโอกาสเข้าไปปรากฏขึ้นมา ก็ต้องแย่งชิงมาไว้ในมือให้ได้”
“แย่งชิงหรือ ข้าจะอาศัยสิ่งใดไปแย่งชิงกันเล่า” ราชันย์อนธการอมตะมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ถ้าหากข้าหลอมผู้ท่องมรณะขึ้นมาได้สำเร็จ อาศัยผู้ท่องมรณะ ก็ย่อมสามารถไปแย่งชิงมาได้ แต่ตอนนี้ข้าจะไปแย่งชิงมาได้อย่างไรกัน เผชิญหน้ากับห้ายอดเคารพ ข้าก็ไม่มีแม้แต่ความหวังในการหนีเอาชีวิตรอดเลยเสียด้วยซ้ำ”
“ข้าสามารถช่วยท่านรวบรวมดอกอนธการสิบห้าดอกให้ครบได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “แต่ท่านต้องให้สัตย์สาบานก่อน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
แต่ราชันย์อนธการอมตะกลับหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “จ้าวหิมะเหิน เจ้านี่ช่างน่าขันเสียจริง บำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นอย่างข้า นึกอยากจะก้าวหน้าไปอีกขั้นนั้นยากเย็นสักเพียงใด สมบัติล้ำค่าธรรมดาๆ มีประโยชน์ต่อข้าอย่างน้อยนิดเหลือเกิน แม้กระทั่งดอกอนธการก็ยังเป็นเพียงแค่การเพิ่มดอกไม้ประดับตกแต่งเท่านั้นเอง ถ้าหากมิอาจเข้าไปยังทางเดินเขี้ยวอสรพิษได้ เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็สูญเปล่า! สูญเปล่าทั้งนั้น!”
“เดิมที เดิมทีข้าสามารถเข้าไปได้ หากมีผู้ท่องมรณะ ข้าก็สามารถได้รับโอกาสเข้าไปในนั้นได้อย่างแน่นอน” ราชันย์อนธการอมตะจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง แววตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง “แต่ล้วนเป็นเพราะเจ้าที่ทำลายการบูชายัญของข้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาอย่างสงบนิ่ง มองดูราชันย์อนธการอมตะที่วิปลาส
“ข้าจะทำการการบูชายัญอีกครั้งแล้วเจ้าจะขัดขวางข้าหรือไม่” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยอย่างบ้าคลั่ง
“ขัดขวางสิ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“เจ้า… เจ้ามาขวาง ข้าก็จะสังหารหมู่ชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นกัน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ข้าไม่ขัดขวางท่าน การบูชายัญครั้งหนึ่งก็ต้องหมายถึงชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนเดิมอยู่ดี ท่านเข่นฆ่าเอง เข่นฆ่าไปมากๆ แล้ว ก็รอรับการลงโทษของ ‘หยวน’ เอาเองเถิด!”
นอกจากนี้ถ้าหากอีกฝ่ายหลอมผู้ท่องมรณะได้สำเร็จ เช่นนั้นผู้ใดก็มิอาจขัดขวางราชันย์อนธการผู้นี้เอาไว้ได้แล้วจริงๆ
ว่ากันว่ามิอาจล่วงรู้ได้ว่าผู้ท่องมรณะมีความแข็งแกร่งเพียงใด!
แต่พลังยุทธ์ของตัวราชันย์อนธการอมตะเองก็แข็งแกร่งจนเกินคาดเดา พอเสี่ยงชีวิตแล้วก็เทียบเคียงได้กับระดับแม่ทัพเทพ เขาสนใจจะหลอมผู้ท่องมรณะขึ้นมาถึงเพียงนี้ ก็ย่อมต้องเหนือชั้นกว่าพลังยุทธ์ในตอนนี้อย่างมหาศาล มิฉะนั้นจะต้องหลอมไปทำไมกัน
เมื่อใดที่หลอมได้สำเร็จ!
ผู้ใดก็มิอาจขัดขวางเขาเอาไว้ได้แล้ว!
“ดีมาก ดีมาก” ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งแล้วเงาร่างก็เลือนหายไปในทันใด
การเจรจาล่มเสียแล้ว!
“วุ่นวายเสียแล้วสิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ แต่เขาไม่ต้องเลือกเลย เพราะขอโอกาสเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษให้กับราชันย์อนธการอมตะนั้น เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมิได้มีความสามารถถึงเพียงนั้น!
……
ณ สถานที่อีกแห่ง
บนบัลลังก์อันสูงตระหง่านในห้องโถง ราชันย์อนธการอมตะผู้สวมอาภรณ์ทองหรูหรางดงาม ศีรษะสวมมงกุฎ นัยน์ตามีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาในทันใด ปัง… บริเวณรอบๆ ผิวกายล้วนเต็มไปด้วยเปลวเพลิง เปลวเพลิงแผ่ไปทุกทิศทุกทาง สาวใช้ภายในโถงตำหนักต่างก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความว่างเปล่
ท่ามกลางความหวาดหวั่น โถงตำหนักแห่งนี้ถูกเผาไหม้กลายเป็นเศษธุลี ราชันย์อนธการอมตะยืนอยู่ท่ามกลางเศษธุลี
“ข้าไม่มีทางให้เดินแล้ว”
“เจ้าไม่เหลือทางให้ข้าเดินเลย!”
ราชันย์อนธการอมตะอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง
ถ้าหากไม่เข่นฆ่าอย่างว่าง่าย แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด เชื่อว่าก็จะรับปากว่าจะไว้ชีวิตเขา
แต่สำหรับราชันย์อนธการอมตะ… หากมิอาจสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้วใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป เขาก็รับไม่ไหว! การใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความหวังก็เป็นการขัดเกลาอย่างหนึ่ง อายุขัยของเขายาวนานเกินไปแล้ว สิ่งที่ทำให้เขามีความมุ่งมาดปรารถนาอย่างแรงกล้าก็เหลือเพียงแค่การวิวัฒน์ของระดับชีวิตเท่านั้น เขาปรารถนาที่จะไปถึงระดับชีวิตอันมิอาจคาดเดาได้นั้น ประหนึ่งผีเสื้อที่ออกจากรังดักแด้
เขาเคยสัมผัสกับระดับขั้นที่สูงขึ้นอีกในระยะประชิด ดังนั้นเขาจึงยิ่งมุ่งมาดปรารถนา
“เช่นนั้นก็ต่อสู้เป็นครั้งสุดท้ายเถิด”
“ก่อนหน้านี้ข้าสามารถหนีกลับมาได้ แล้วใช้ชีวิตมาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว! ข้าไม่มีความหวังกับเส้นทางบำเพ็ญปกติ มีเพียง ‘ทางเดินเขี้ยวอสรพิษ’ อันลึกลับเท่านั้นจึงจะมีโอกาส” เปลวเพลิงในดวงตาของราชันย์อนธการอมตะกำลังลุกโชน “ก่อนที่จ้าวหิมะเหินจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด การต่อสู้ครั้งสุดท้าย ไม่ร้องขอผู้ท่องมรณะที่สมบูรณ์แบบแล้ว แค่สามารถควบคุมได้โดยง่ายก็ใช้ได้แล้ว”
ผู้ท่องมรณะที่สมบูรณ์แบบนั้นก็คือร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น พลังรบเพียงพอที่จะเทียบเคียงกับห้ายอดเคารพได้แล้ว
ถ้าหากหลอมได้สำเร็จ เขาก็จะกลายเป็นบุคคลที่เทียบเคียงกับยอดเคารพได้ในทันที ก็ย่อมมีคุณสมบัติที่จะไปแย่งชิงโอกาสในการเข้าสู่ทางเดินเขี้ยวอสรพิษที่หุบเขาเขี้ยวหักได้แล้ว!
แม้กระทั่งผู้ท่องมรณะที่ไม่สมบูรณ์ พลังรบก็แข็งแกร่งเพียงพอ
“ลุยเลย”
ราชันย์อนธการอมตะมิได้ร่นถอย
“จ้าวหิมะเหินผู้นี้บำเพ็ญอย่างรวดเร็วยิ่งนัก สักสิบล้านล้านปีก็น่าจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้แล้วกระมัง ข้าต้องการให้สำเร็จภายในสิบล้านล้านปี” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ สิบล้านล้านปีในสายตาของเทพจักรวาลมิได้นับว่าเนิ่นนานเกินไป สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดด้วยเวลาเนิ่นนานเช่นนี้ ราชันย์อนธการอมตะก็รู้สึกว่าประเมินตงป๋อเสวี่ยอิงสูงไปมากแล้ว
เช่นโอกาสที่เจ้าเมืองหลัวให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ในตอนนั้นก็เป็นเพียงแค่การให้ใจเท่านั้น มิได้มีความมั่นใจว่าพวกเขาสองคนจะสามารถสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ก่อนมหาวินาศ
เพียงแต่ว่าต่อมา ไม่ว่าจะเป็นจอมกระบี่หรือว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีการพัฒนาชนิดที่ทำให้เจ้าเมืองหลัวและหยวนทั้งสองคนนี้ตกตะลึงอยู่บ้าง
จอมกระบี่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความสำเร็จทางด้านวิถีวิญญาณไปถึงระดับที่มิอาจคาดเดาได้
“สิบล้านล้านปี”
ราชันย์อนธการอมตะรู้สึกว่าเวลากระชั้นชิดเป็นอย่างยิ่ง แต่ภายในสิบล้านล้านปีก็ยังพอมีความหวังอยู่
……
วันนั้นเอง
ราชันย์อนธการอมตะก็มาถึงนครหลวงรัฐเมฆทักษิณาแล้ว
“อาจารย์” ประมุขรัฐเมฆทักษิณายังคงประนีประนอมเป็นอย่างยิ่งเช่นเคย ช่วยไม่ได้ เขาไม่กล้าล่วงเกินราชันย์อนธการอมตะผู้นี้
“เฮอะ” ราชันย์อนธการอมตะส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นคราหนึ่ง เขาไม่ชมชอบประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอย่างมาก เพราะว่าจ้าวหิมะเหินที่ทำให้เขาเดือดดาลหาใดเปรียบผู้นั้นก็เป็นลูกศิษย์ของประมุขรัฐเมฆทักษิณาเช่นกัน! เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังต้องการความช่วยเหลือของประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้นี้อยู่
“ช่วยข้ารวบรวมวัสดุเหล่านี้ที” ราชันย์อนธการอมตะโยนม้วนสาส์นม้วนหนึ่งให้กับประมุขรัฐเมฆทักษิณา “จะต้องรวบรวมให้ได้ภายในหมื่นล้านปี หากรวบรวมมิได้ รัฐเมฆทักษิณาของเจ้าก็เตรียมตัววอดวายได้เลย”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาฟังแล้วก็อกสั่นขวัญแขวน พลางยื่นมือไปรับม้วนสาส์นมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น