Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 36 ตอนที่ 28-37

 ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 28 จักรพรรดิเป่ยเหอ

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองชายหนุ่มในชุดเกราะกระดูกสีขาวหนีห่างออกไป รอจนการกดดันของแสงดาวอ่อนลงพอสมควรแล้วจึงฝืนฉีกห้วงอากาศเคลื่อนที่จากไป


 


“สามารถถูกจัดเป็นอันดับสองในสามสิบหกแม่ทัพเทพได้ ดูท่าทางก็สามารถนับได้ว่าเป็นสุดยอดผู้แกร่งกล้าของทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “มิน่าเล่าชนพื้นเมืองดั้งเดิมและเผ่ามรณะทมิฬ สองเผ่าพันธุ์ใหญ่นี้ของหุบเขาเขี้ยวหักถึงมิใคร่จะเห็นผู้บำเพ็ญอยู่ในสายตานัก ความจริงแล้วความแตกต่างช่างมากมายนัก”


 


พูดขึ้นมาแล้ว


 


ผู้บำเพ็ญกับสองเผ่าพันธุ์ใหญ่ของหุบเขาเขี้ยวหัก ทางด้านพลังยุทธ์ ‘ระดับจักรพรรดิ’ ก็น้อยลงไปขั้นหนึ่ง!


 


‘ไร้เทียมทาน’ ในบรรดาผู้บำเพ็ญ พูดถึงพลังรบก็นับได้เพียงว่าเป็นระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์เท่านั้น! เพราะเคล็ดวิชาเร้นลับเพียงพอ จึงสามารถเทียบเคียงได้กับ ‘จักรพรรดิระดับต้น’ อย่างพอถูไถเท่านั้น เช่นจอมกระบี่ก็เทียบเคียงได้กับผู้อาวุโสใหญ่ผู้นั้นอย่างพอถูไถ! หรือแม้กระทั่งยามที่ ’จักรพรรดิ’ ที่แข็งแกร่งกว่าผู้นั้นลงมือ ก็อาศัยเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนแรก ทำให้ ’จักรพรรดิ’ ผู้นั้นพลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล จอมกระบี่เพียงแค่หนีเอาชีวิตรอดก็ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง


 


อย่างเช่นจักรพรรดิเซี่ย วิถีสองสายนี้ต่างก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว ทั้งยังมีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่อีกด้วย! พูดถึงพลังรบก็เป็นขั้นจักรพรรดิระดับต้น! อาศัยเคล็ดวิชาอันเร้นลับก็สามารถต่อสู้กับ ’จักรพรรดิ’ ธรรมดาสามัญของเกาะลอยคว้างได้แล้ว หรือแม้กระทั่งเผชิญหน้ากับ ‘แปดผู้วิเศษ’ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นชั้นต่ำ ก็ยังมีความหวังที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้


 


ราชันย์อนธการอมตะ…ถ้าหากเผาผลาญโลหิตหัวใจ พลังรบก็สามารถเทียบเคียงได้กับแม่ทัพเทพ อาศัยเคล็ดวิชาอันเร้นลับก็สามารถต่อสู้กับ ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ ได้


 


“ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีเพียงแค่พวกเขา จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะสองคนเท่านั้น พูดถึงพลังรบของผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ก็อ่อนด้อยกว่าอยู่มากโข ความแตกต่างมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าน้อยๆ


 


“น้องหิมะเหิน!” ด้านข้างมีเสียงตื่นเต้นของประมุขแสงดาวดังขึ้น


 


ผู้อาวุโสเก้าท่านของเผ่าแสงดาว สุดยอดผู้นำทัพมากมาย และชาวเผ่าที่อยู่ห่างไกลออกไปจำนวนมาก แต่ละคนมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างตื่นเต้นและกระตือรือร้น


 


ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังตะลึงงัน ทอดถอนใจในความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญกับเผ่ามรณะทมิฬและกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอยู่นั้น เผ่าโลกแสงดาวกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและนับถือต่อผู้บำเพ็ญ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้ ขณะเดียวกันในใจของพวกเขาทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกไปด้วย


 


“พี่แสงดาว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ


 


“ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกว่าเคล็ดวิชาวิญญาณของน้องหิมะเหินแกร่งกล้าเสียเหลือเกิน! เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะยังประเมินน้องหิมะเหินต่ำเกินไปเสียแล้ว” ประมุขแสงดาวมองตงป๋อเสวี่ยอิง แววตาเต็มไปด้วยความนับถือ “แม้กระทั่งระดับจักรพรรดิ เมื่อเผชิญหน้ากับเคล็ดวิชาวิญญาณของน้องหิมะเหิน ถ้าไม่จ่อมจม พลังยุทธ์ก็ต้องลดลงอย่างมหาศาล! นี่ช่างล้ำเลิศ ล้ำเลิศยิ่งนัก ตั้งแต่ดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักกำเนิดขึ้นมา น้องหิมะเหินก็เป็นคนแรกเลยนะ!”


 


อันที่จริง


 


เคล็ดวิชาวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง แม้กระทั่งผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองดั้งเดิม และจักรพรรดิระดับต้นโดยทั่วไปต่างก็ถูกกวาดล้างจนเรียบ


 


หัวหน้ามนุษย์สามตาผู้นั้น เพราะวิญญาณแข็งแกร่งเป็นพิเศษ จึงสามารถฝืนรักษาสติอันแจ่มชัดเอาไว้ได้


 


อย่างเช่นระดับแม่ทัพเทพที่แข็งแกร่งกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วเหล่าแม่ทัพเทพที่อ่อนแอสักหน่อยยังมีความสามารถในการต้านทานไม่เท่าหัวหน้ามนุษย์สามตาเลย! อย่างเช่นแม่ทัพเทพควันวายุก็ยังจมดิ่งลงไปในทันที แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาฝืนดิ้นรน มีเพียงผู้ที่โดดเด่นจับตาอย่าง ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ เท่านั้นจึงสามารถรักษาพลังรบเอาไว้ได้ถึงสามส่วน!


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่แปลกใจกับสิ่งนี้เลย เพราะว่ายามที่เขากำลังบุกผ่านเกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่า ’จักรพรรดิ’ ของเกาะลอยคว้างนั้น โดยทั่วไปแล้วต่างก็เป็นระดับแม่ทัพเทพทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเผ่ามรณะทมิฬจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีเชาวน์ปัญญาต่ำต้อยอย่างยิ่ง แต่พูดถึงจำนวนผู้แกร่งกล้า ก็มีข้อได้เปรียบยิ่งใหญ่กว่าอยู่มากในระดับอ๋องและระดับจักรพรรดิ หรือแม้กระทั่งเชาวน์ปัญญาต่ำต้อยยิ่งกว่า ยิ่งมุ่งขึ้นไปการบำเพ็ญก็ยิ่งยาก แต่ผู้ที่สำเร็จเป็นยอดเคารพก็มีอยู่แค่สามท่านเหมือนเดิม! มากกว่ากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอยู่คนหนึ่ง


 


เผชิญกับท่าไม้ตายของตงป๋อเสวี่ยอิง บรรดาราชันย์เหล่านั้นก็มีจำนวนมากที่ตกลงสู่ห้วงนิทราในทันที


 


บางส่วนสามารถรักษาสติตื่นรู้เอาไว้ได้เพราะตอนนั้นตนมิได้มีพวก ‘ประมุขแสงดาว’ ยื่นมือเข้าช่วย เพียงแค่ครองสติเอาไว้ได้ มีพลังยุทธ์หนึ่งหรือสองส่วน ก็สามารถทำลายร่างแยกร่างหนึ่งของตนได้อย่างง่ายดายแล้ว


 


“เพียงแต่เผ่ามรณะทมิฬมิได้ร่วมแรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากพอ แม้กระทั่งเกาะลอยคว้างสองแห่งที่อยู่ใกล้ๆ… ก็มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อยนิดเหลือเกิน เมื่อเทียบกันแล้วการปกครองของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็มีเสถียรภาพมากกว่า! ผู้แกร่งกล้าก็สามารถมารวมตัวกันได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่รู้ว่า จักรพรรดิเป่ยเหอผู้นั้น ในภายหน้าจะมีปฏิกริยาโต้ตอบเช่นไรบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


 


“น้องหิมะเหิน ควรจะจัดการกับหัวหน้าห้าเผ่าและแม่ทัพเทพสองคนที่เป็นเชลยเช่นไรดี จะต้องชิงอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารของพวกเขาไปหรือไม่” ประมุขแสงดาวเอ่ยถามตงป๋อเสวี่ยอิง


 


“พี่แสงดาว ท่านตัดสินใจเอาเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


 


“เช่นนั้นก็ไม่ต้องชิงไปแล้วล่ะ ปล่อยให้พวกเขาติดต่อกับโลกภายนอกไปเถิด” ประมุขแสงดาวรอคอย “เรื่องการต่อสู้ครั้งนี้แพร่หลายออกไป ก็จะทำให้ชื่อเสียงของน้องหิมะเหินเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล เชื่อว่าเพียงไม่นานโลกทั้งหุบเขาเขี้ยวหักจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะต้องให้ความสนใจกับน้องหิมะเหิน นี่ก็จะต้องเป็นเรื่องดีต่อน้องหิมะเหินแน่ บางทีอาจจะมีความวุ่นวายอยู่บ้าง แต่ผู้ที่สามารถเข้าสู่ดินแดนจิตโลกาได้ อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงแค่จักรพรรดิระดับต้นเท่านั้น เกรงว่าพวกเขาคงไม่กล้าเข้าไป หากไปแล้วเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณของน้องหิมะเหิน เกรงว่าก็คงจะจมดิ่งลงไปในทันทีแล้วล่ะ”


 


“ฮ่าฮ่า”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “การเผยแพร่ออกไปคงจะเป็นเรื่องดีจริงๆ”


 


หุบเขาเขี้ยวหักไม่เห็นผู้บำเพ็ญอยู่ในสายตาเลย


 


ถ้าหากชื่อเสียงของตนแพร่กระจายออกไป สถานะที่หุบเขาเขี้ยวหักสูงมากพอ เช่นนั้นก็เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยเหลือเป็นอย่างมากต่อการรวบรวมข้อมูลต่างๆ นานา และการสำรวจสถานที่อันตรายภายในหุบเขาเขี้ยวหักที่มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญของตน


 


“ต่อไปในภายหน้า ข้ากังวลว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจะมาสังหารด้วยตนเอง” ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงพูด “เท่าที่ข้ารู้ จักรพรรดิสี่ท่านที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่ในตอนนี้ต่างก็มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับขั้นศักดิ์สิทธิ์ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่น! และดูจากเดิมพันการประลองก่อนหน้านี้ จักรพรรดิเป่ยเหอก็จัดเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาจักรพรรดิทั้งสี่ท่าน พูดถึงพลังยุทธ์ก็ด้อยกว่ายอดเคารพอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น!”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ


 


“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือใต้บังคับบัญชาของเขามีสามสิบหกแม่ทัพเทพอยู่ ถึงแม้ว่าจะถูกพวกเราจับเป็นเชลยแล้วสองคน แต่ต่างก็จัดเป็นอันดับท้ายๆ เท่านั้น! อย่างเช่นแม่ทัพเทพโครงกระดูกก่อนหน้านี้ พวกเราก็ไม่สามารถจับตัวเอาไว้ได้ ”ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงพูดด้วยความกังวลใจอยู่บ้าง “ถ้าหากจักรพรรดิเป่ยเหอนำแม่ทัพเทพกลุ่มหนึ่งบุกสังหารเข้ามา เช่นนั้นก็อันตรายแล้ว”


 


“ใช่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบโดยสัญชาตญาณ “แม่ทัพเทพโครงกระดูกสามารถรักษาพลังรบเอาไว้ได้ถึงสามส่วนยามที่เผชิญกับข้า พลังยุทธ์ที่จักรพรรดิเป่ยเหอรักษาเอาไว้ได้ก็น่าจะสูงกว่าอยู่พอสมควร พลังคุกคามก็ยิ่งใหญ่กว่าอยู่มากจริงๆ”


 


“ใช่แล้ว ข้ามีความคิดอย่างหนึ่ง”


 


ประมุขแสงดาวถ่ายเสียง “ข้าสามารถติดต่อกับโลกอื่นๆ ได้ ตอนนี้จักรพรรดิเป่ยเหอต่อสู้กับโลกจำนวนมาก ผู้ที่ต่อต้านเขาก็มีอยู่มากมายนัก! มีน้องหิมะเหินอยู่ สามารถทำให้คนทางฝั่งจักรพรรดิเป่ยเหอแต่ละคนพลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล! แม้กระทั่งแม่ทัพเทพที่อ่อนแอสักหน่อยก็อาจจะจมดิ่งลงไปได้ และถ้าหากพวกเราประมุขโลกแต่ละแห่งร่วมมือกัน ก็มีความหวังที่จะต้านทานพวกเขาได้แล้ว เพียงแต่พวกเราขอให้ประมุขโลกอื่นๆ แต่ละท่านช่วยเหลือ ถ้าหากพวกเขาประสบกับอันตราย ข้าก็จะต้องไปช่วยเหลืออย่างแน่นอน นอกจากนี้ต้องการให้พวกเขาเข้าร่วม ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะคาดหวังให้น้องหิมะเหินช่วยเหลือพวกเขาในยามวิกฤติด้วย”


 


“เรื่องนี้สามารถพูดคุยกันได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


 


เขาไม่ชมชอบวิธีการอำมหิตเช่นนี้ของจักรพรรดิเป่ยเหอเช่นกัน


 


ทำตามข้ารุ่งเรือง ต่อต้านข้าต้องตาย!


 


หากกล้าต่อต้านก็ถึงกับทำลายเผ่าพันธุ์หนึ่ง ให้เผ่าพันธุ์ที่เชื่อฟังเขายึดครองและขยายเผ่าพันธุ์ ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงรู้สึกว่าสามารถช่วยเหลือโลกจำนวนหนึ่งได้


 


“ดีๆๆ มีคำพูดนี้ของน้องหิมะเหิน เชื่อว่าประมุขโลกจำนวนมากก็ต้องตื่นเต้นหาใดเปรียบ พวกเขาจำนวนมากต่างก็สิ้นหวังเป็นอย่างยิ่ง รอคอยให้วันนี้มาถึงกันอยู่นานแล้ว” ประมุขแสงดาวก็ตื่นเต้นเช่นกัน


 


เพียงแค่ประมุขโลกกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันขึ้นมา


 


ทั้งยังมีตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย พวกเขาก็มีความกล้าในการเปิดศึกซึ่งหน้ากับจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว!


 


……


 


และที่อีกด้านหนึ่ง


 


ณ โลกเป่ยเหอ ภายในโถงตำหนักขนาดใหญ่อันสูงตระหง่านตระการตา ขณะนี้มีแม่ทัพเทพสิบกว่าคนมารวมตัวกันอยู่แล้ว เพราะว่าข่าวแพร่กระจายรวดเร็วเกินไป ประมุขตระกูล แม่ทัพเทพควันวายุ และแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาที่ถูกคุมขังอยู่ต่างก็กำลังติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็อยากจะมีชีวิตรอด


 


“น่ากลัวถึงเพียงนี้เชียว”


 


“แม่ทัพเทพควันวายุยังมิทันได้ต้านทานก็จมดิ่งลงไปเสียแล้ว ได้ยินว่าแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเหลือพลังยุทธ์อยู่เพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น เช่นนั้นถ้าหากข้าเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณเช่นนี้ คาดว่าก็คงจะเหลือพลังยุทธ์อยู่เพียงแค่หนึ่งหรือสองส่วนเช่นกันกระมัง แม้กระทั่งจักรพรรดิระดับต้นก็ยังสู้มิได้เลย”


 


แม่ทัพเทพเหล่านี้ถ่ายเสียงระหว่างกันอย่างเงียบเชียบ


 


จักรพรรดิเป่ยเหอในอาภรณ์เขียวตลอดร่างนั่งสูงอยู่บนบัลลังก์พลางมองอย่างเย็นชาลงมาเบื้องล่าง


 


เบื้องล่างเต็มไปด้วยความเงียบงัน ทุกคนเพียงแค่ถ่ายเสียงกันเท่านั้น ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเลย! จักรพรรดิเป่ยเหอนั้นมีชื่อเสียงในด้านการฆ่า เขาสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมามากมายเหลือเกิน ทุกคนต่างก็เชื่อว่า แม่ทัพเทพโครงกระดูกจะสามารถหนึกลับมาได้อย่างปลอดภัย กำลังของจักรพรรดิเป่ยเหอเพียงคนเดียว… ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอลงเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณ เกรงว่าก็ยังสามารถกดดันประมุขแสงดาวได้ สามารถสังหารหมู่โลกแสงดาวตามอำเภอใจได้กระมัง


 


นอกจากนี้ ใครจะไปรู้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอมีท่าไม้ตายซ่อนเร้นเอาไว้อีกหรือไม่


 


วันใดที่จักรพรรดิเป่ยเหอระเบิดออกมาแล้วเทียบได้กับยอดเคารพ พวกเขาก็คงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้จักรพรรดิเป่ยเหอก็เป็นผู้ที่ใกล้เคียงกับยอดเคารพที่สุดในบรรดากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมแล้ว ถึงอย่างไรการที่สามารถเอาชนะจักรพรรดิสามท่านที่มีสายโลหิตแตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง ก็พิสูจน์ถึงความน่าหวาดหวั่นของจักรพรรดิเป่ยเหอได้แล้ว


 


“จ้าวหิมะเหินหรือ”


 


จักรพรรดิเป่ยเหอนั่งอยู่ด้านบนอย่างเงียบๆ


 


พรึ่บ


 


ทันใดนั้นจักรพรรดิเป่ยเหอก็ยืนขึ้น


 


เหล่าแม่ทัพเทพสิบกว่าคนที่อยู่เบื้องล่างต่างก็พากันตกใจพลางมองไปทางหัวหน้าของพวกเขา


 


จะเปิดฉากสังหารแล้วอย่างนั้นหรือ


 


ถึงอย่างไรในประวัติศาสตร์ เมื่อจักรพรรดิเป่ยเหอเผชิญกับความยุ่งยาก วิธีการที่ใช้เป็นประจำก็คือ ฆ่า ฆ่า แล้วก็ฆ่า!


 


“จ้าวหิมะเหินตัวดี” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยปาก เสียงสะท้อนก้องทั่วทั้งโถงตำหนัก” คิดไม่ถึงว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญจะมีผู้แกร่งกล้าเช่นนี้อยู่ด้วย พูดถึงเคล็ดวิชาวิญญาณ ก็เป็นคนแรกของดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหัก การมีผู้แกร่งกล้าเช่นนี้อยู่ช่างทำให้ข้ามีความสุขนัก ไปๆๆ ติดตามข้าออกเดินทางไปยังโลกแสงดาว ข้าจะไปเชิญจ้าวหิมะเหินไปเป็นแขกของโลกเป่ยเหอของข้าด้วยตัวเอง”


 


เหล่าแม่ทัพเทพสิบกว่าคนที่อยู่เบื้องล่างต่างก็ตกตะลึง ปากอ้าตาค้างไปในทันที


 


ไปเชิญด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ


 


เป็นแขกหรือ

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 29 พบหน้าเป็นครั้งแรก

 

“ฮ่าฮ่า ตอนนี้พวกเจ้าก็ออกเดินทางติดตามข้ามาเสีย ข้าอดใจรอพบจ้าวหิมะเหินไม่ไหวแล้ว”


 


จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม


 


“ขอรับ จักรพรรดิ” เหล่าแม่ทัพเทพได้แต่รับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง


 


เพียงไม่นาน ‘เรือปีกบินประกายทอง’ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักลำนั้นก็ไปจากโลกเป่ยเหออย่างยิ่งใหญ่ เคลื่อนตัวคราหนึ่งก็มุ่งตรงไปยังโลกแสงดาว


 


……


 


ณ โลกแสงดาว


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขแสงดาว กับคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่โถงตำหนัก พร้อมที่จะรับมือกับศัตรูจากภายนอกตลอดเวลา


 


“น้องหิมะเหิน ข้ากำลังติดต่อสื่อสารกับเหล่าประมุขโลกอยู่” ประมุขแสงดาวพูดต่อ “พวกเขาได้ยินว่าน้องหิมะเหินเต็มใจช่วยเหลือ ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ น้องหิมะเหินมีความต้องการอันใดก็จงพูดมา บุญคุณอันใหญ่หลวงอย่างการช่วยเหลือทั้งเผ่าพันธุ์นี้ ขอเพียงแค่พวกเขาสามารถให้ได้ เกรงว่าก็คงไม่มีทางลังเลเลย!”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประมุขแสงดาว


 


ยามที่ตนเองมาถึงในตอนแรก ประมุขแสงดาวปฏิบัติต่อตนเหมือนเป็นสหาย แต่ตอนนี้กลับเห็นตนเป็น ‘ผู้มีพระคุณ’ มีความซาบซึ้งเกินกว่าที่จะพรรณนาได้


 


“ข้าต้องการข้อมูลของเกาะลอยคว้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ


 


“ข้อมูลน่ะไม่ควรค่าแก่การพูดถึงหรอก” ประมุขแสงดาวกลับเอ่ยต่อไปว่า “ข้อมูลนั้นจะว่าไปแล้วก็ล้ำค่ายิ่ง โลกแต่ละแห่งต่างก็ไม่ปล่อยให้รั่วไหลโดยง่าย แต่ในความเป็นจริงต่อให้ตกลงกันแล้วก็มิได้เป็นการสูญเสียต่อเผ่าพันธุ์ของตนมากสักเท่าใดนัก! อย่างบุญคุณอันยิ่งใหญ่เช่นการช่วยรักษาเผ่าพันธุ์ ถ้าหากน้องหิมะเหินเพียงแค่หยิบยกพูดถึงเงื่อนไขนี้ เกรงว่าพวกเขาก็คงจะลำบากใจเช่นกัน! มิได้ให้ผลประโยชน์มากเพียงพอ พวกเขาก็อาจจะไม่เชื่อว่าน้องหิมะเหินจะสามารถช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของพวกเขาในยามคับขันได้”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงนิ่งงัน ก็ยังเข้าไปส่งสมบัติล้ำค่าให้


 


เกรงว่าผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาจะยังไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่มีประสบการณ์เช่นเดียวกับตนกระมัง! อย่างเช่นบรรดาประมุขของโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมเหล่านี้ เกรงว่าก่อนหน้านี้ต่างก็ไม่เห็นผู้บำเพ็ญอยู่ในสายตากันเลย


 


“ถ้าหากมีวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่บางอย่างที่ไร้ประโยชน์ต่อชนพื้นเมืองดั้งเดิม แต่มีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อผู้บำเพ็ญ ข้าก็สามารถเก็บเอาไปได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


 


“น้องหิมะเหิน เงื่อนไขนี้ของเจ้านั้นต่ำเกินไปเสียแล้ว ข้าจะให้พวกเขาดูแลจัดเตรียมของขวัญก็แล้วกัน เมื่อถึงเวลาเจ้าก็ไปเลือกเอา” ประมุขแสงดาวกลับพูดขึ้น ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปร อดที่จะอุทานมิได้ “เรือปีกบินประกายทอง! ช่างมาได้อย่างรวดเร็วนัก! ข้าต้องไปเรียกรวมตัวเหล่าประมุขโลกคนอื่นๆ เดี๋ยวนี้”


 


“เรือปีกบินประกายทองหรือ”


 


“อะไรกัน จักรพรรดิเป่ยเหอมาถึงได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”


 


เหล่าผู้อาวุโสภายในโถงตำหนักเผ่าแสงดาวและเหล่าหัวหน้าทัพหน้าถอดสีกันทุกคน


 


จักรพรรดิเป่ยเหอมีสถานะเช่นไร


 


โลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมมีจำนวนมากมายมหาศาล ประมุขโลกที่โลกบ้านเกิดของคน มีพลังแห่งโลกบ้านเกิดส่งเสริม พลังยุทธ์ก็ยังนับได้ว่าไม่เลว เมื่อใดที่ออกไปจากบ้านเกิด พลังยุทธ์ก็จะลดต่ำลงไปส่วนหนึ่งในทันที! ‘ประมุขแสงดาว’ อยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหักอันไพศาลก็ย่อมมิอาจจัดอันดับได้อยู่แล้ว เพียงแต่สมาชิกธรรมดาๆ คนหนึ่งในบรรดาประมุขโลกจำนวนมาก อย่างเช่นก่อนหน้านี้ราชันย์อนธการอมตะเคยพบกับประมุขแสงดาวแล้วต่างก็ไม่รู้จักกัน สถานะอย่างประมุขแสงดาวนี้ ตามปกติแล้วไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพบจักรพรรดิเป่ยเหอเลยด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรจักรพรรดิเป่ยเหอก็ถูกกล่าวขานว่าเป็นบุคคลที่เข้าใกล้ระดับยอดเคารพมากที่สุดแล้ว


 


******


 


นครแสงดาว แสงดาวอันเข้มข้นส่องประกายระยับไปทั่วทั้งนครหลวง นอกจากนี้ยังปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ กดดันทั่วทั้งโลก


 


ประมุขแสงดาวและตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นเคียงข้างกันที่นอกประตูเมือง พร้อมกันนั้นบริเวณรอบๆ ก็ยังมีระลอกคลื่นห้วงมิติสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นด้วย ประมุขโลกคนแล้วคนเล่ากำลังมาถึงอย่างต่อเนื่อง! บรรดาประมุขโลกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ ‘ประมุขแสงดาว’ อนุญาต จึงมิได้เผชิญกับการสกัดกั้น ถูกเหนี่ยวนำให้เคลื่อนที่ในพริบตามาถึงที่นี่โดยตรง แต่ ‘เรือปีกบินประกายทอง’ ของจักรพรรดิเป่ยเหอก็ปรากฏขึ้นยังบริเวณไกลๆ แล้วเช่นกัน และกำลังฝืนทลายเปิดการสกัดกั้นของแสงดาวเคลื่อนเข้ามาด้วยความเร็วสูง


 


“พี่แสงดาว”


 


“พี่แสงดาว จักรพรรดิเป่ยเหอมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”


 


ประมุขโลกแต่ละคนมาถึง พวกเขาต่างก็คุ้นเคยกับประมุขแสงดาวเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็เป็นสหายเก่าแก่กันแล้ว! ถึงอย่างไรผู้ที่ประมุขแสงดาวติดต่อไปก่อนต่างก็เป็นประมุขโลกกลุ่มหนึ่งที่สนิทสนมคุ้นเคยที่สุด แต่หุบเขาเขี้ยวหักใหญ่โตยิ่งนัก มีโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมมากมาย ก็มีโลกจำนวนมากที่มิได้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกแสงดาวแต่อย่างใด คราวนี้ประมุขแสงดาวรวบรวมสหายมาได้เกินกว่ายี่สิบท่าน


 


เมื่อรวมตัวได้แล้ว แต่ละคนก็เคลื่อนที่ผ่านอากาศเข้ามา!


 


พวกเขามองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว ทุกคนล้วนมีท่าทีตื่นเต้นและคาดหวังอยู่บ้าง


 


“นี่ก็คือน้องหิมะเหินของข้า” ประมุขแสงดาวแนะนำ พร้อมกันนั้นเขาก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “น้องหิมะเหิน คนเหล่านี้ก็คือสหายที่สนิทสนมที่สุดของข้า ต่างก็เป็นประมุขโลกที่อยู่บริเวณรอบๆ นี่! ล้วนมิใช่มาร พวกที่โหดร้ายนั่นข้าย่อมไม่เสวนาด้วยอยู่แล้ว”


 


“คารวะจ้าวหิมะเหิน” เหล่าประมุขโลกกลุ่มนี้มีรูปลักษณ์ต่างๆ นานา บ้างก็มีร่างกายเป็นสัตว์ มีศีรษะเป็นมนุษย์ บ้างก็มีสองหัวว บ้างก็มีเรือนผมแผ่สยาย มีขนาดใหญ่กว่าลำตัวอย่างเห็นได้ชัด…


 


กลิ่นอายก็แตกต่างกัน สายโลหิตก็ไม่เหมือนกัน


 


พวกเขาแต่ละคนต่างก็ทักทายตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง!


 


“ประมุขโลกทุกท่าน จักรพรรดิเป่ยเหอมาถึงแล้ว พวกเรามาต้อนรับจักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้กันก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


 


“ได้ มาต้อนรับจักรพรรดิท่านนี้กันก่อน”


 


“รอให้เสร็จเรื่องแล้วพวกเราค่อยมาสนทนากับจ้าวหิมะเหินโดยละเอียด”


 


ประมุขโลกแต่ละคนต่างก็พยายามอดกลั้นความคิดมากมายในหัวใจเอาไว้ ทุกคนหันหน้ามองไปทางห้วงอากาศที่อยู่ไกลออกไป


 


ครืน…


 


เรือปีกบินประกายทองลำนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้จากบริเวณไกลๆ อย่างรวดเร็ว มันมีขนาดใหญ่โตมโหฬารยิ่ง  แม้กระทั่งทั้งสองข้างของกราบเรือใหญ่ยังมีประกายทองรวมตัวกันเป็นปีก เรือบินทั้งลำแหวกผ่านอากาศ ประกายทองระยิบระยับจับตาหาใดเปรียบ! พูดถึงพลังคุกคามก็ทำให้ประมุขแสงดาวและเหล่าประมุขโลกกลุ่มหนึ่งได้เห็นแล้วก็อดที่จะรู้สึกถึงแรงกดดันอันไร้นามที่ทำให้หัวใจบีบรัดมิได้


 


ถ้าหากไม่มีตงป๋อเสวี่ยอิง! ไม่ต้องพูดถึงพวกเขายี่สิบเก้าคนเลย ต่อให้รวบรวมประมุขโลกได้หนึ่งร้อยคนก็ไม่กล้าเรียกรวมตัวต่อต้านจักรพรรดิเป่ยเหอหรอก!


 


ลำพังแค่ส่งแม่ทัพเทพที่ร้ายกาจมาไม่กี่คนก็สามารถทำลายล้างสังหารทั่วทั้งสี่ทิศได้อย่างสบายๆ แล้ว!


 


กล้ารวบรวมประมุขโลกร้อยคนมาอยู่ด้วยกันอย่างนั้นหรือ ก็ส่งสามสิบหกแม่ทัพเทพออกมาจัดการ! ผลาญสังหารเสียให้สิ้น!


 


ดังนั้นถึงแม้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจะอหังการเป็นอย่างยิ่ง ต้องการจะควบคุมโลกทุกแห่ง แต่บรรดาโลกเหล่านั้นก็เพียงแค่ต่างคนต่างต้านทานเท่านั้น ย่อมมิกล้ารวมตัวกันขึ้นมาต่อต้านอยู่แล้ว เพราะว่าเมื่อใดที่รวมตัวกันก็ย่อมต้องเผชิญกับ ‘การกระหน่ำโจมตี’ อยู่แล้ว


 


“มีน้องหิมะเหิน พลังยุทธ์ของเหล่าแม่ทัพเทพก็ย่อมต้องลดฮวบลงอย่างฉับพลันยยู่แล้ว ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอก็จะจมดิ่งในทันที แม้กระทั่งแม่ทัพเทพที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรก เกรงว่าพลังยุทธ์ก็คงจะใกล้เคียงกันกับทุกท่าน” ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงปลุกใจ “ถึงแม้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจะแกร่งกล้า แต่พลังยุทธ์ก็ต้องลดลงอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน ข้ากับประมุขโลกสิบท่านร่วมมือกันก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงได้แล้ว!”


 


“พูดถึงพลังยุทธ์ พวกเราก็มิได้อ่อนด้อยไปกว่าพวกเขาเลย” ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงพูด


 


เหล่าประมุขโลกคนอื่นๆ แต่ละคนต่างพากันพยักหน้า เพื่อเผ่าพันธุ์ บวกกับมีความมั่นใจที่จ้าวหิมะเหินนำมาให้ ทำให้พวกเขากล้าเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเป่ยเหอในที่สุด!


 


“ตึง!”


 


เรือปีกบินประกายทองหยุดลง


 


เรือขนาดมหึมาเปล่งประกายสีทองระยับจับตา ที่หัวเรือมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ที่นำมาก็คือชายหนุ่มอาภรณ์เขียวคนหนึ่ง ด้านหลังคือเหล่าแม่ทัพเทพกลุ่มหนึ่ง แม่ทัพเทพเหล่านั้นแต่ละคนกลิ่นอายยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา ทุกคนต่างกล้าแกร่งกว่าบรรดาประมุขโลกเหล่านี้มากมายอย่างเห็นได้ชัด ส่วน ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ก็ยิ่งแฝงไว้ด้วยแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่น


 


เขายืนอยู่ที่นั่นคนเดียวก็ทำให้ชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั้งหมดทั่วทั้งนครแสงดาวหวาดหวั่นไม่เป็นสุขแล้ว


 


คนเดียวทำลายล้างโลก


 


สำหรับจักรพรรดิเป่ยเหอ…มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย!


 


“จักรพรรดิเป่ยเหอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้า ก็มองเห็นจักรพรรดิเป่ยเหอที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้น ผู้ที่ยืนอยู่ที่จุดยอดสุดของหุบเขาเขี้ยวหักอย่างไม่ต้องสงสัย และมีพลังยุทธ์ใกล้เคียงกับยอดเคารพ!


 


จักรพรรดิเป่ยเหอก็กวาดสายตามามอง


 


ในขณะนี้เอง


 


สายตาของพวกเขาสองคนก็ปะทะเข้าด้วยกัน


 


มุมปากของจักรพรรดิเป่ยเหอปรากฏรอยยิ้มขึ้น อาจพูดได้ว่ายอดฝีมือกลุ่มใหญ่ของนครแสงดาวกลุ่มนี้ก็มีเพียงแค่จ้าวหิมะเหินคนเดียวที่คู่ควรให้เขาสนใจ

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 30 กลีบดอกไม้กลีบหนึ่ง

 

จักรพรรดิเป่ยเหอยืนอยู่บนเรือปีกบินประกายทอง แล้วเพียงแค่มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้น มิได้มองคนอื่นๆ เลยแม้แต่ปราดเดียว ทว่าประมุขแสงดาวกับเหล่าประมุขโลกยี่สิบกว่าท่าน แต่ละคนต่างก็ตื่นเต้นหาดใดเปรียบ เพียงแต่พวกเขาต่างก็ไม่มีหนทางให้ถอยกลับแล้ว! พวกเขาที่ไม่อยากตกเป็นทาสก็ได้แต่สู้ยิบตาเพียงทางเดียวเท่านั้น


“จะเปิดศึกแล้วใช่หรือไม่”


“ไม่รู้ว่าภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของจ้าวหิมะเหิน พลังยุทธ์ของจักรพรรดิเป่ยเหอจะเหลืออยู่สักกี่ส่วนกัน!”


“จักรพรรดิเป่ยเหอเป็นผู้ที่เยาว์วัยทีสุดในบรรดาจักรพรรดิทั้งหมด แต่กลับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ ใกล้เคียงกับยอดเคารพ หวังว่าภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของจ้าวหิมะเหิน พลังยุทธ์ของเขาจะสามารถลดลงไปได้สักครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อยนะ”


“ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นระดับจักรพรรดิอยู่ดี! ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย ต่อให้มิใช่ยอดเคารพ ก็เป็นระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ วิญญาณก็คงจะมิได้แตกต่างกันสักเท่าใดนัก เพียงแต่ปณิธานมีความแตกต่างกันอยู่บ้างเท่านั้นเอง” บรรดาประมุขโลกเหล่านี้ถ่ายเสียงระหว่างกัน ต่างก็ระแวดระวังและเตรียมพร้อมเปิดศึกอยู่ตลอดเวลา


แต่ในขณะนี้บริเวณรอบๆ เกรงว่ามีเพียงสองคนเท่านั้นที่ค่อนข้างผ่อนคลายกว่าใคร


คนหนึ่งคือตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงอย่างไรเขาก็มีร่างแยกมากมาย อยู่ที่นี่ เขาทุ่มเทอย่างสุดกำลังก็ใช้ได้แล้ว


ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจักรพรรดิเป่ยเหอ! เขาเป็นผู้ถือสิทธิ์ริเริ่ม จะเปิดศึกหรือไม่ล้วนให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจทั้งสิ้น


สำหรับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าประมุขโลก บรรดาชนเผ่าแสงดาว หรือแม้กระทั่งเหล่าแม่ทัพเทพด้านหลังจักรพรรดิเป่ยเหอเหล่านั้นต่างก็มีความกระวนกระวายอยู่บ้าง แม้กระทั่งแม่ทัพเทพอันดับหนึ่ง ‘แม่ทัพเทพประจัญทมิฬ’ ก็ยังมิกล้าลำพองใจ ถึงอย่างไรทางด้านการต้านทานเคล็ดวิชาวิญญาณ เขาถามตัวเองแล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำได้ดีกว่าแม่ทัพเทพโครงกระดูก! และตอนนี้ยังมีประมุขโลกกลุ่มใหญ่อยู่ที่นี่อีกด้วย! เมื่อใดที่เผชิญกับการล้อมโจมตี ที่นี่ก็มีแต่จักรพรรดิเป่ยเหอที่สามารถอยู่อย่างสบายๆ ได้กระมัง


“ฮ่าฮ่าฮ่า…”


เสียงหัวเราะสะท้อนก้องไปทั่วท้องฟ้าบริเวณรอบๆ “ได้ยินว่าในบรรดาผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกา มีบุคคลที่ล้ำเลิศอย่างที่สุดอยู่คนหนึ่ง เคล็ดวิชาวิญญาณถึงขนาดที่สามารถทำให้ผู้ที่ไปถึงระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้ในทันที หลังจากที่ข้าได้รู้แล้วก็นับถือเป็นอย่างยิ่ง! พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกก็บ้าบิ่นเช่นเดียวกัน รู้พลังยุทธ์ของเจ้าก็ยังเปิดศึกอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากตอนนั้นข้าอยู่ที่นั่นก็คงหยุดยั้งไปนานแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย


ประมุขแสงดาวและเหล่าประมุขโลกแต่ละคนตะลึงงัน บรรดาประมุขเผ่าแสงดาวต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน


หมายความว่าอย่างไรกัน


หยุดการต่อสู้อย่างนั้นหรือ


“พูดถึงความสำเร็จทางด้านวิถีวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นดินแดนจิตโลกาหรือว่าหุบเขาเขี้ยวหัก จ้าวหิมะเหินต่างก็เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น! ได้ยินเกี่ยวกับบุคคลที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ข้าก็ชมชอบอยู่เต็มหัวใจ ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกปะทะกับจ้าวหิมะเหิน จึงได้มาเชื้อเชิญด้วยตนเอง ขอเชิญไปเป็นแขกที่โลกเป่ยเหอของข้าแห่งนั้น ไม่รู้ว่าจ้าวหิมะเหินจะช่วยไว้หน้าข้าสักหน่อยได้หรือไม่”


จักรพรรดิเป่ยเหอยืนด้วยมืออยู่ที่หัวเรือพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิง


“เชื้อเชิญข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงดูเผินๆ เหมือนสงบนิ่ง แต่ในใจกลับลอบประหลาดใจ ทันใดนั้นก็ถ่ายเสียงให้กับประมุขแสงดาวที่อยู่ข้างๆ ว่า “พี่แสงดาว ท่านว่าจักรพรรดิเป่ยเหอนี่หมายความว่าอย่างไรกัน”


“ข้าก็ประหลาดใจเช่นกัน” ประมุขแสงดาวแปลกใจพลางถ่ายเสียงพูด “ถ้าหากต้องการจะเปิดศึกก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาเหล่านี้เลย หรือว่ามิได้มีเจตนาจะเป็นศัตรู คิดจะผูกมิตรกับน้องหิมะเหินจริงๆ กันแน่ น้องหิมะเหิน เจ้าก็ต้องระวังตัวหน่อยล่ะ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีแผนลวงอันใดอยู่ก็เป็นได้”


“แผนลวงหรือ ข้าจะไปกลัวแผนลวงอันใดกัน ก็เพียงแค่ร่างแยกร่างหนึ่งเท่านั้นเอง นึกคิดคราหนึ่งก็มลายหายไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ในเมื่อเขา จักรพรรดิเป่ยเหอมาเชื้อเชิญ เช่นนั้นข้าก็จะลองรับคำเชิญดูก็แล้วกัน ดูว่าแท้ที่จริงแล้วเขาจะทำอะไรกันแน่ วางใจเถิด ร่างแยกร่างหนึ่งของข้าไป ร่างแยกอื่นๆ ก็ยังคงรั้งอยู่ที่นี่เหมือนเดิม”


“อืม น้องหิมะเหิน ก็ระวังตัวหน่อยก็แล้วกัน” ประมุขแสงดาวก็เห็นด้วย ในขณะนั้นเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะมีอะไรสามารถคุกคามร่างแยกของผู้แกร่งกล้าที่สามารถละทิ้งได้ตลอดเวลาเช่นนี้ได้ ต่อต้านวิญญาณอย่างนั้นหรือ เคล็ดวิชาที่ต่อต้านวิญญาณได้ ต่อให้สามารถส่งผลกระทบต่อร่างแยกอื่นๆ ได้ แต่ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดทางด้านวิถีวิญญาณในประวัติศาสตร์ที่ดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักเคยมีมา!


……


“หรือว่าจ้าวหิมะเหินยังคาใจอยู่ คาใจในการรุกรานของพวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกก่อนหน้านี้” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ


“ในเมื่อจักรพรรดิเป่ยเหอเชื้อเชิญด้วยตนเอง เช่นนั้นข้าก็จะไปดูสักหน่อยก็ได้ ยังไม่เคยไปที่โลกเป่ยเหอมาก่อนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางเอ่ยอย่างสบายๆ


จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้า พร้อมกันนั้นก็เหลือบมองไปทางประมุขแสงดาวที่อยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง เขารู้ว่าเหตุผลที่ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยเหลือเผ่าแสงดาวก็เพราะมีภูมิหลังกับประมุขแสงดาว! จึงเอ่ยปากพูดในทันที “ถ้าหากประมุขโลกแสงดาวต้องการก็ไปด้วยกันได้นะ”


ประมุขแสงดาวลังเลอยู่ชั่วครู่


ไปด้วยกันอย่างนั้นหรือ


จ้าวหิมะเหินสามารถละทิ้งร่างแยกได้ตลอดเวลา แต่เขาก็มิได้มีร่างแยกด้วยเสียหน่อย


“ขอบคุณจักรพรรดิ” ประมุขแสงดาวพูด แต่กลับแยกร่างแปรออกมาร่างหนึ่งติดตามไปกับตงป๋อเสวี่ยอิง


เพียงแค่ส่งร่างแปรร่างหนึ่งติดตามตงป๋อเสวี่ยอิงไปยังโลกเป่ยเหอ เห็นได้ชัดว่าเป็นกังวลว่าร่างของตนจะดับสูญ! ตัวจักรพรรดิเป่ยเหอเองก็มิได้ใส่ใจ เพียงแต่เหล่าแม่ทัพเทพกลุ่มหนึ่งด้านหลังเขาได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ลอบยิ้มหยัน จักรพรรดิมีสถานะเช่นไร ต่อให้ใช้แผนลวง ก็ไม่มีทางไปจัดการกับประมุขโลกธรรมดาๆ คนหนึ่งหรอก! เสียหน้าเกินไปแล้ว!


ประมุขแสงดาวก็รู้ในจุดนี้ดี เพียงแต่เขาไม่กล้าเสี่ยงอันตราย ถึงอย่างไรคราวนี้พวกเขาก็กำลังยั่วยุจักรพรรดิเป่ยเหออยู่


สวบ! สวบ!


ตงป๋อเสวี่ยอิงพาตัวร่างแปรประมุขแสงดาวบินตรงไปยังเรือปีกบินประกายทองนั้น


“ได้ยินเรื่องราวของจ้าวหิมะเหินแล้วก็อยากจะไปพบหน้าจ้าวท่านในทันที วันนี้ได้พบแล้วก็ได้รู้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เสียด้วย” จักรพรรดิเป่ยเหอต้อนรับอย่างกระตือรือร้น พร้อมกันนั้นก็ออกคำสั่ง “ไป กลับได้”


เรือปีกบินประกายทองออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งสู่เส้นทางกลับ


******


ณ โลกเป่ยเหอ


ภายในวังอันตระการตา ภายในโถงตำหนักหลัก จักรพรรดิเป่ยเหอนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน เขาจัดที่นั่งทางซ้ายมือที่แรกให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง ส่วนประมุขแสงดาวก็จัดเป็นตำแหน่งที่สองทางซ้ายมือ ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ก็เป็นเหล่าแม่ทัพเทพกลุ่มหนึ่ง


“พรึ่บๆๆ…”


แม่ทัพเทพมาถึงคนแล้วคนเล่า


“จักรพรรดิ”


“จักรพรรดิ”


หลังจากเหล่าแม่ทัพเทพมาถึงแล้วก็พากันทำความเคารพ หลังจากนั้นก็เข้าประจำที่นั่ง


รอจนพร้อมหน้ากันแล้ว แม่ทัพเทพสามสิบหกคนก็มากันถึงสามสิบสี่คน สองคนที่ไม่ได้มาก็คือแม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาที่ถูกจับเป็นเชลย! จักรพรรดิเป่ยเหอก็มิได้เอ่ยปากถามถึงเชลยสองคนนั้นเลย


“วันนี้สามารถเชิญตัวจ้าวหิมะเหินมาที่นี่ได้ ข้าก็เบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง ทางด้านวิถีวิญญาณ จ้าวหิมะเหินก็เดินไปไกลกว่าพวกเรามากนัก แม้กระทั่งยอดเคารพ เมื่อเปรียบเทียบกับจ้าวท่านทางด้านวิถีวิญญาณก็ยังด้อยกว่าอยู่มากนัก” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด ที่หุบเขาเขี้ยวหัก ตามปกติแล้วก็ต้องให้การเคารพนับถือยอดเคารพอยู่มากพอสมควร! ก็เพราะจักรพรรดิเป่ยเหอมีสถานะสูงส่งพอ จึงกล้าพูดเช่นนี้ออกมาได้


มิฉะนั้นลำพังแค่โทษของการไม่ให้ความเคารพ ก็ต้องมีผู้แกร่งกล้าใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพมาสังหารแล้ว!


“หืม”


“จักรพรรดิให้ความสำคัญกับผู้บำเพ็ญหิมะเหินผู้นี้มากเกินไปแล้วกระมัง”


“ให้ความสำคัญมากเกินไปแล้ว”


เหล่าแม่ทัพเทพคิดไปต่างๆ นานา พลางลอบวางแผนอยู่ในใจ


แต่จักรพรรดิเป่ยเหอก็ตบมือเบาๆ


ทันใดนั้นกลุ่มสาวใช้รูปงามก็ยกสุราชั้นเลิศและอาหารอันโอชะนานาชนิดขึ้นมา อาหารอันโอชะวางอยู่ตรงหน้า ตรงกลางของสิ่งเหล่านั้นก็มีจานลายอยู่ใบหนึ่ง บนจานลายก็มีกลีบดอกไม้สีม่วงน้ำเงินกลีบหนึ่งวางอยู่ กลีบดอกไม้มีขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือ มีเนื้ออวบอิ่ม ดมแล้วก็ยังมีกลิ่นหอมด้วย ชวนให้คนน้ำลายสอขึ้นมาอย่างประหลาด ทุกอณูในร่างกายคล้ายกับพากันส่งเสียงร้องตะโกนอยากจะกินกลีบดอกไม้นี้เสียให้เกลี้ยง


“นี่คืออะไรหรือ” ประมุขแสงดาวที่นั่งอยู่ข้างตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นอาหารอันโอชะมากมาย ถึงแม้ว่าจะตกตะลึง แต่ยามที่ได้เห็นกลีบดอกไม้กลีบนี้แล้วกลับปากอ้าตาค้าง “ดอกนกกางเขนหรือ”


ดอกนกกางเขน วัตถุที่อยู่ในตำนานของหุบเขาเขี้ยวหัก


ดอกนกกางเขนดอกหนึ่งมีอยู่สิบแปดกลีบ งานเลี้ยงคราวนี้ แม่ทัพเทพสามสิบสี่คนรวมกับตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขแสงดาวก็มีอยู่สามสิบหกคนพอดี ก็สิ้นเปลืองดอกนกกางเขนมากถึงสองดอก


‘งานเลี้ยงดอกนกกางเขน’ ของจักรพรรดิเป่ยเหอก็จัดเป็นอันดับต้นๆ ของทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก พูดถึงมูลค่า กลีบดอกไม้กลีบหนึ่งก็เทียบเคียงได้กับ ‘ผลวิญญาณทิพย์’ ที่ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาในตอนนั้นเลยทีเดียว สิ่งที่สำคัญก็คือกลีบดอกนกกางเขนมีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ต่อชนพื้นเมืองดั้งเดิมทุกคน ไม่เหมือนกับผลวิญญาณทิพย์ที่มีผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ต่อผู้ที่มีส่วนของสายโลหิตอยู่เท่านั้น


จักรพรรดิเป่ยเหอสามารถสั่งการสามสิบหกแม่ทัพเทพได้ ‘ดอกนกกางเขน’ ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่ง แต่ ‘ต้นดอกนกกางเขน’ กลับถูกจักรพรรดิเป่ยเหอครอบครองแต่เพียงผู้เดียวมานานแล้ว!


“ข้าจะได้ จะได้กลีบดอกนกกางเขนกลีบหนึ่งจริงๆ น่ะหรือ” ประมุขแสงดาวตื่นเต้นหาใดเปรียบ ในอดีตเขาเพียงแค่เคยได้ยินคนเล่ามาเท่านั้น แม้แต่เห็นก็ยังไม่เคยเห็นวัตถุในตำนานนี่มาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ


“ทุกท่าน พวกเรายกแก้วแล้วดื่มด้วยกันดีกว่า!” จักรพรรดิเป่ยเหอชูแก้วขึ้นพลางส่งเสียงพูดยิ้มๆ


……


งานเลี้ยงคราวนี้มีระดับสูงส่งยิ่งนัก วัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ และอาหารเลิศรสนานาชนิด ไม่เสียทีที่เป็นงานเลี้ยงดอกนกกางเขน


นี่ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงที่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างลอบประหลาดใจว่าจักรพรรดิเป่ยเหอผู้นี้กระตือรือร้นมากเกินไปแล้วหรือไม่ นึกอยากจะชดเชยให้กับการพิพาทก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้เลย


งานเลี้ยงใช้เวลาไปครึ่งวันจึงสิ้นสุดลง


จักรพรรดิเป่ยเหอมาเชื้อเชิญตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยตนเอง คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันอยู่ท่ามกลางสวนอันกว้างใหญ่


“จักรพรรดิมีสิ่งใดที่อยากพูด ตอนนี้ก็ได้โปรดพูดมาให้หมดเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“เจ้าเดาได้ด้วยหรือว่าข้ามีเรื่องที่อยากจะพูดกับเจ้า” จักรพรรดิเป่ยเหออมยิ้มน้อยๆ


“ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใด ดอกนกกางเขนสองดอกสำหรับตกแต่งงานเลี้ยงงานหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยมากเกินไปแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด แม้กระทั่งเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ยามที่กินกลีบดอกนกกางเขนกลีบนั้นลงไปก็ยังรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า รู้สึกได้ถึงพลังอันไร้รูปร่างแผ่ซ่านภายในร่างกายหล่อเลี้ยงไปทั่วทั้งร่าง ทำให้ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงในจุดที่ละเอียดอ่อนมากมาย ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายก็เพิ่มพูนขึ้นถึงสองส่วนด้วยเหตุนี้


แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะเทียบเคียงได้กับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดอย่างพอถูไถ ฝึกกายไหลเวียนในร่างกาย แต่ร่างกายเช่นนี้เมื่อเปรียบเทียบกับระดับจักรพรรดิของหุบเขาเขี้ยวหักก็แตกต่างกันอย่างมหาศาลเลยทีเดียว


กลีบดอกนกกางเขนนี้ทำให้ร่างกายของตนยกระดับขึ้นถึงสองส่วน ในความเป็นจริงแล้วก็ช่างสิ้นเปลืองนัก! หากให้ผู้แกร่งกล้าระดับอ๋องของชนพื้นเมืองดั้งเดิมได้ใช้ ผลลัพธ์ก็จะยิ่งมหัศจรรย์


“ฮ่าฮ่า งานเลี้ยงต้อนรับจ้าวหิมะเหินทั้งที ดอกนกกางเขนแค่สองดอกจะนับเป็นอะไรได้เล่า”


จักรพรรดิเป่ยเหอมองไปยังฟากฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุดไกลออกไปแล้วพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ไม่รู้ว่าจ้าวหิมะเหินอยากจะแบ่งปันใต้หล้านี้กับข้าหรือไม่ สมบัติล้ำค่าของข้าก็เป็นของข้าครึ่งหนึ่ง ของเจ้าครึ่งหนึ่ง!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงันไปเสียแล้ว

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 31 การตื่นรู้ขั้นสุดยอดของชนพื...

 

สมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิเป่ยเหอ จะแบ่งให้ตนครึ่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ


ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้กระจ่างดียิ่งว่า ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้จัดเป็นอันดับหนึ่งภายใต้ยอดเคารพนั้นมีอำนาจอยู่ในระดับใด สมบัติล้ำค่าที่มีอยู่มากมายเพียงใด! ต่างก็ว่ากันว่าสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนของ ‘หุบเขาเขี้ยวหัก’ ต้องอาศัยโชคชะตาเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้บำเพ็ญและเหล่าผู้แกร่งกล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายแสวงโชคกันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ในความเป็นจริงแล้วที่เป็นสุดยอดจริงๆ ส่วนใหญ่ต่างก็ถูกยึดครองไปแต่เพียงผู้เดียวแล้ว!


ห้ายอดเคารพ และแปดผู้วิเศษในหมู่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง รวมถึงบรรดาจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งด้วย…


ผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งในบรรดาคนเหล่านี้ อะไรที่ครอบครองได้ก็ครอบครองกันไปนานแล้ว!


ก็มีแต่สิ่งที่ไม่เห็นอยู่ในสายตาเท่านั้นที่ยอมปล่อยให้บรรดาผู้บำเพ็ญไปแย่งชิงกัน


“ว่าอย่างไร ไม่เชื่อหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง


“จักรพรรดิพูดเช่นนี้มีเจตนาอะไรหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเป่ยเหอ


“ก็อย่างที่ข้าพูดนั่นแหละ! สมบัติล้ำค่าของข้า หรือแม้กระทั่งสมบัติล้ำค่าที่จะได้มาในภายภาคหน้า ทั้งหมดก็เป็นของเจ้าครึ่งหนึ่ง ของข้าครึ่งหนึ่ง! ทั้งหมดทั้งมวลแบ่งเป็นครึ่งหนึ่งเท่าๆ กัน!” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “แม้กระทั่งสามสิบหกแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของข้า แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยพูดกับพวกเขาเช่นนี้มาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว! เจ้าเป็นคนแรกที่มีคุณสมบัติพอจะให้ข้าพูดเช่นนี้ได้”


“บนโลกนี้ไม่มีผลประโยชน์อันใดที่ไม่มีเหตุมีผลหรอก สมบัติล้ำค่าของจักรพรรดิคงจะไม่ได้ได้มาอย่างง่ายๆ หรอกกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ข้าต้องแลกมาด้วยอะไรหรือ”


“ฮ่าฮ่าฮ่า… ก็ไม่เห็นจะมีอะไร ก็แค่เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกับข้าเท่านั้นเอง” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “ขุมอำนาจทางด้านนี้ของข้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป สถานะของเจ้าก็อยู่ในระดับเดียวกันกับข้า เป็นจักรพรรดิหิมะเหิน! คำสั่งของเจ้าก็คือคำสั่งของข้า”


“สถานะของอยู่ในระดับเดียวกันอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “หากข้าบอกว่าให้หยุดการโจมตีโลกมากมายเหล่านั้นเล่า”


“เช่นนั้นก็ต้องหยุดสิ!” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ


“อาณาเขตที่จักรพรรดิเคยปกครองในตอนแรก ให้พวกเขากลับคืนสู่อิสรภาพเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอีก


“ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า คำพูดของเจ้า ก็คือคำพูดของข้า!” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง


ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้ถึงความจริงใจของจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว


แต่การทอดทิ้งใต้หล้า


แบ่งสมบัติล้ำค่าทั้งหมดให้ตนครึ่งหนึ่ง เพื่ออะไรกัน


“น้องหิมะเหิน! เจ้าอย่าได้ดูถูกตนเอง” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ “ที่ก่อนหน้านี้ข้าพยายามควบคุมโลกมากมายเอาไว้ใต้บังคับบัญชาก็เพื่อทำให้มีผู้แกร่งกล้ามาให้ข้าใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น! ฟังคำสั่งของข้า เช่นนี้ข้าจึงจะสามารถครองความได้เปรียบของการต่อสู้ทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก จึงจะได้สิ่งที่ข้าต้องการมามากยิ่งขึ้นได้”


“ถ้าหากมีเพียงแค่ชื่อจักรพรรดิเพียงอย่างเดียว ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนเป็นอิสระ ผู้ที่ฟังคำสั่งข้าจริงๆ ก็คงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย เช่นนั้นเป็นจักรพรรดิไปแล้วจะมีประโยชน์อันใดกันเล่า” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “แต่ถ้าหากข้ามีเจ้าช่วยเหลือ เช่นนั้นก็ไม่เหมือนกันแล้วล่ะ”


“เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า จำนวนก็ไม่มีความหมายเลย”


จักรพรรดิเป่ยเหอส่ายศีรษะ “เหล่าแม่ทัพเทพที่อ่อนแอสักหน่อย เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าก็เป็นเรื่องน่าขันแล้ว! อย่างเช่นระดับแม่ทัพเทพโครงกระดูกไม่กี่คนนั้นน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ ถึงแม้ว่าจะฝืนรักษาพลังรบเอาไว้ได้สักเล็กน้อย แต่พลังยุทธ์เล็กน้อยที่ฝืนรักษาเอาไว้ได้นั้นสำหรับข้าแล้วก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วย


แม่ทัพเทพโครงกระดูก เดิมทีก็อ่อนกว่าจักรพรรดิเป่ยเหออยู่ขั้นหนึ่งอยู่แล้ว


เมื่ออยู่ภายใต้เขตลวงของตน พลังยุทธ์ก็เหลืออยู่เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น! ก็ยิ่งห่างชั้นกับจักรพรรดิเป่ยเหอเข้าไปใหญ่ จะสามารถเอาชีวิตรอดจากการเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเป่ยเหอได้หรือไม่นั้นก็ยังยากที่จะพูดได้


“ส่วนจักรพรรดิคนอื่นๆ น่ะหรือ! เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้า พลังยุทธ์ก็จะลดลงไปอย่างมหาศาลเช่นกัน เดิมทีข้าก็เข้าใกล้ระดับยอดเคารพมากที่สุดอยู่แล้ว ถ้าหากพลังยุทธ์ของบรรดาจักรพรรดิเหล่านั้นยิ่งลดลงไปอีกก็มิใช่คู่ต่อสู้ของข้าแล้วล่ะ” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ส่วนห้ายอดเคารพ! ห้ายอดเคารพก็เป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์เท่านั้น วิญญาณมิได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไปจากระดับจักรพรรดิขั้นต้นเลย เพียงแต่ปณิธานไม่ธรรมดามากกว่าเท่านั้น เมื่อพวกเขาอยู่ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของเจ้า เกรงว่าพลังยุทธ์ก็ต้องลดต่ำลงไปไม่น้อย! หลังจากที่พลังยุทธ์ลดต่ำลงไปแล้วก็คงจะมิได้แตกต่างไปจากข้าสักเท่าใดนัก”


“เจ้ากับข้าร่วมมือกัน! ก็เทียบเคียงได้กับยอดเคารพ!”


“เจ้ากับข้าร่วมมือกัน ระดับจักรพรรดิกลุ่มหนึ่งร่วมมือกันอยู่ตรงหน้าพวกเราก็เป็นเรื่องน่าขันทั้งสิ้น” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “เหล่ายอดเคารพ เมื่อเผชิญหน้ากับระดับจักรพรรดิจำนวนมากพอสมควรร่วมมือกันก็ต้องยุ่งยากอยู่บ้าง แต่พวกเรากลับไม่มีข้อบกพร่องอันใดเลย เจ้ากับข้าร่วมมือกันถึงจะลงตัวที่สุด เพียงพอที่จะกร่างไปทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักได้เลย! ทรัพยากรที่พวกเราได้รับมาก็จะมากมายกว่าตอนนี้เสียอีก!”


จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “น้องหิมะเหิน เจ้าคงจะเข้าใจในความจริงใจของข้าแล้วกระมัง!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้ง


ใช่แล้ว


เดิมทีจักรพรรดิเป่ยเหอก็อ่อนแอกว่ายอดเคารพอยู่เพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น หากมีตนช่วยเหลือก็ต้องสามารถต่อสู้อย่างสูสีกับยอดเคารพได้อย่างแน่นอน! ต่อให้ยังมีความแตกต่างอยู่ ความแตกต่างก็น้อยนิดเสียจนสามารถมองข้ามได้แล้ว


สำหรับการล้อมโจมตีอย่างนั้นหรือ เมื่อเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณก็เป็นเรื่องน่าขันเช่นเดียวกัน!


“พวกข้าบำเพ็ญมาจนถึงระดับในตอนนี้ เพื่อไขว่คว้าอะไรกันหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอแววตาสว่างไสว “สิ่งที่ไขว่คว้าก็คือระดับคละถิ่นอันลึกลับนั่นอย่างไรเล่า! ระดับขั้นนั้นจึงจะเรียกได้ว่าหนีออกจากกรงขังอย่างแท้จริง! ตอนนี้พวกเราก็เป็นเพียงแค่มดปลวกที่อยู่ภายในกรงขังเท่านั้นเอง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วยอยู่ในใจ


หนีออกจากกรงขังหรือ


ยามที่สอดแนมโลกระดับที่สูงขึ้น ‘เคล็ดวิชาการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกา’ ตนเองสามารถสอดแนมโลกกำเนิดสักแห่งหนึ่งได้ในทันที เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นสถานที่ไกลออกไปก็ยิ่งเลือนราง! ได้ยินว่าหลังจากไปถึง ‘ขั้นสุดยอด’ แล้ว วิธีการต่างๆ ก็จะยิ่งน่าอัศจรรย์ เช่นเจ้าศิลา ร่างกายสามารถไปอยู่ได้ทั่วทุกหนแห่ง สามารถตรวจสอบทั่วทุกหนแห่งในโลกกำเนิดได้ในทันที


นี่จึงจะเป็นวิธีการของเทพจักรวาลขั้นสุดยอด


ถ้าหากหนีออกจากกรงขังได้ วิธีการก็จะยิ่งเหนือจินตนาการ! ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความพิเศษของระดับขั้นนั้น นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของการหนีออกจากกรงขัง!


ถ้าหากความมุ่งมาดปรารถนาของเหล่าเทพจักรวาลต่อการเป็น ‘ขั้นสุดยอด’ เป็นหนึ่งแล้วล่ะก็ ความมุ่งมาดปรารถนาต่อการหนีออกจากกรงขังนั้นก็คือหนึ่งร้อย หนึ่งพัน หนึ่งหมื่น!


“พวกเราชนพื้นเมืองดั้งเดิมกับพวกเจ้าผู้บำเพ็ญนั้นไม่เหมือนกัน” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “พูดขึ้นมาแล้ว พวกเรากับชนเผ่ามรณะทมิฬจึงจะนับได้ว่ามีต้นกำเนิดเดียวกัน”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหว


“เจ้ารู้หรือไม่ ในตำนานบอกว่ามีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดกลัวสองร่างอยู่ที่หุบเขาเขี้ยวหัก”


จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นสองร่างนี้จึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่มีความหมายจริงๆ วิธีการเหนือกว่าจะจินตนาการได้ พวกมันต่างก็เคยห้ำหั่นกับ ‘หยวน’ อย่างบ้าคลั่งมาก่อน ถึงแม้ว่าหยวนจะถูกโจมตีอย่างสาหัส ซากศพทั้งสองนี้ก็ถูกโยนไปกลางหุบเขาเขี้ยวหัก พวกมันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้กระทั่งกลิ่นอายเล็กน้อยที่เหลือทิ้งเอาไว้ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้ระดับอ๋องธรรมดาๆ ตกใจตาย และกดดันระดับจักรพรรดิได้!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงดวงตาสีเทานั้นขึ้นมา ตนเองเพียงแค่สัมผัสเท่านั้น ร่างแยกก็สูญสลายไปในทันทีแล้ว


“พวกเราชนพื้นเมืองดั้งเดิมและชนเผ่ามรณะทมิฬก็มีต้นกำเนิดมาจากซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งสองร่างนี้แหละ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “พวกเราชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมยังดี ได้ครองสายโลหิตของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เชาวน์ปัญญาก็นับได้ว่าสูง ชายหญิงให้กำเนิดบุตรออกมา ก็ย่อมขยายเผ่าพันธุ์ได้”


“แต่เผ่ามรณะทมิฬไม่เหมือนกัน! เหตุใดเผ่ามรณะทมิฬจึงถูกเรียกด้วยชื่อนี้ ก็เพราะพวกมันกำเนิดมาจากความตาย พวกมันไม่มีบิดามารดา ถือกำเนิดออกมาจากกลิ่นอายความตายของเกาะลอยคว้างเพียงอย่างเดียวล้วนๆ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “ดังนั้นเชาวน์ปัญญาของพวกมันเกือบทั้งหมดจึงได้ต่ำต้อยไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน! รู้จักแต่การสังหารและกลืนกินเท่านั้น!”


จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “พวกเราสองเผ่าพันธุ์นี้ เพราะสิ่งที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แกร่งกล้าสองร่างนั้นเหลือทิ้งเอาไว้ให้ พลังยุทธ์จึงได้แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าผู้บำเพ็ญ มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ระดับจักรพรรดิ’ เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง”


“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


ระดับจักรพรรดิ


เป็นระดับขั้นที่เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งจริงๆ!


ในบรรดาผู้บำเพ็ญ แม้กระทั่งผู้ที่มี ‘สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ’ อยู่ อย่างเช่นจอมกระบี่ พลังรบก็เพียงแค่เทียบเคียบกับระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์เท่านั้น!


บุคคลผู้ไร้เทียมทานที่มีความช่วยเหลือจากพลังภายนอกอย่างสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า! บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง บรรพชนนิจรัตติกาล และประมุขรัฐเสียดฟ้า ก็นับได้ว่าเป็นระดับอ๋องขั้นสมบูรณ์อย่างพอถูไถเท่านั้น


จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะต่างก็มีวิถีสองสายที่ไปถึงขั้นสุดยอด…จึงได้ทำลายขีดจำกัดของโลกนี้ได้!


“ระดับจักรพรรดินั้นยากเย็นเกินไปสำหรับผู้บำเพ็ญเสียแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ยากหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอแค่นหัวเราะ “ข้าได้ยินมาว่ายิ่งพวกเจ้าผู้บำเพ็ญระดับขั้นยิ่งสูงส่งลึกล้ำ มีบางคนที่สามารถควบคุมแหล่งกำเนิดของโลกกำเนิดสักแห่งหนึ่ง กลายเป็นเจ้านายของโลกกำเนิดสักแห่งหนึ่งได้ มีโลกกำเนิดอันใหญ่โตมโหฬารสักแห่งหนึ่งเป็นพื้นฐาน กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แกร่งกล้าได้ในทันที มีบางคนที่เผยแพร่ความเชื่อ ทำให้สรรพชีวิตเชื่อถือศรัทธา แล้วอาศัยปณิธานของสรรพชีวิตส่งผลกระทบต่อแหล่งกำเนิดของโลกกำเนิด ควบคุมโลกกำเนิด หรือแม้กระทั่งมีบางคนที่ระดับขั้นสูงขึ้นไปอีก ก็ยิ่งล้ำเลิศ ถึงกับใช้พลังทำลายกฎ! จนไปถึงระดับขั้นที่สูงยิ่งกว่าทางด้านกฎเกณฑ์ได้”


“พวกเจ้าเป็นผู้ที่เดินขึ้นมาทีละก้าวๆ จากผู้อ่อนแอ”


“สำเร็จเป็นขั้นคละถิ่น นั่นก็ต้องแทรกผ่านกฎเกณฑ์ สำหรับการสำแดงพละกำลังนั้นก็ลึกลับเป็นที่สุด” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยอย่างขมขื่น “พวกเราแตกต่างกัน ตอนนี้ในภาพรวมพวกเราก็แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้าผู้บำเพ็ญแต่ก็เป็นเพียงเพราะความพิเศษของความเป็นมาของเผ่าพันธุ์เท่านั้น สิ่งที่พวกเราบำเพ็ญก็คือพลังของสายโลหิต เมื่อเทียบกันแล้วพลังเช่นนี้ก็ยกระดับขึ้นมาได้เร็วกว่า แต่ยิ่งไปในภายหน้าก็ยิ่งยาก”


“แต่ระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ก็เป็นจุดสูงสุดที่พวกเรารู้แล้ว!” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “หยวนเคยบอกกับเผ่าพันธุ์ของพวกเรา บอกว่าเพียงแค่ก้าวออกไปจากระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์อีกเพียงก้าวเดียว ก็คือสายโลหิตการตื่นรู้ขั้นสุดยอดแล้ว! กลับคืนสู่บรรพบุรุษอย่างแท้จริง เปลี่ยนแปลงกลายเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับ ‘บรรพบุรุษ’ ของเผ่าพันธุ์เรา เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แท้จริง เผ่าพันธุ์ของบรรพบุรุษของพวกเราก็มิใช่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่างอย่างหุบเขาเขี้ยวหักจะสามารถเปรียบได้”


“แต่ก้าวนี้ ในตำนานก็เคยมีผู้ที่ทำได้มาก่อน แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีที่หุบเขาเขี้ยวหักเลย” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “เส้นทางการตื่นรู้ขั้นสุดยอดของพวกเรานั้นยากลำบากอย่างยิ่ง


นอกจากตัวเองแล้วก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากวัตถุภายนอกต่างๆ ด้วย”

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 32 ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่

 

“ไม่ดูความโง่เง่าและป่าเถื่อนของบรรดาเผ่ามรณะทมิฬ เชาวน์ปัญญาของระดับอ๋องก็ไม่เลวแล้ว เชาวน์ปัญญาของระดับจักรพรรดิก็ย่อมไม่ต่ำต้อยอยู่แล้วล่ะ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “เผ่ามรณะทมิฬและพวกเรากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม ต่างก็ไล่ตามการวิวัฒน์ของการตื่นรู้ขั้นสุดยอด! ต่างก็แย่งชิงวัตถุภายนอกอันล้ำค่านานาชนิด! เพราะเผ่ามรณะทมิฬต่างก็ถือกำเนิดขึ้นบนเกาะลอยคว้าง จึงครองความได้เปรียบ ครอบครองทรัพยากรจำนวนมากเอาไว้”


“น้องหิมะเหิน” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ข้าต้องการให้เจ้าช่วย! ข้ากับเจ้าร่วมมือกัน ยังมีจุดบกพร่องน้อยกว่ายอดเคารพเสียอีก”


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองจักรพรรดิเป่ยเหอที่อยู่ตรงหน้า


แววตาของจักรพรรดิเป่ยเหอจริงใจอย่างยิ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจกระจ่างดีเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาที่มีชีวิตเป็นอมตะนั้นไม่พอใจเพียงใดที่รู้สึกว่าตนเองเป็นมดปลวกที่อยู่ภายในกรงขัง มีความมุ่งมาดปรารถนาเพียงใดต่อการหนีออกจากกรงขังและการยกระดับพื้นฐานชีวิต


แต่ทว่า…


ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ชมชอบวิธีการของจักรพรรดิเป่ยเหอเอาเสียเลย!


เพื่อเป้าหมายของตนเองก็ไม่เลือกวิธีการ โลกที่อ่อนแอจำนวนหนึ่งในบรรดาโลกมากมายของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ จักรพรรดิเป่ยเหอก็ถึงกับจะผลาญสังหารให้สิ้น! เปลี่ยนให้เป็นโลกที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อตน อาศัยวิธีการอันอำมหิตเช่นนี้มาป้องปราม ทำให้โลกอื่นๆ จำนวนหนึ่งยอมสวามิภักดิ์อย่างรวดเร็ว


“ไม่เลือกวิธีการจนเกินไป ไม่สนใจความเป็นความตาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


“จักรพรรดิ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด “ท่านกับข้าร่วมมือกันแล้ว เช่นนั้นในภายภาคหน้า ถ้าหากยอดฝีมือคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งยอดเคารพมาขอให้ข้าช่วยเหลือเล่า”


“ก็ย่อมมิอาจรับปากโดยง่ายอย่างแน่นอน” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด “พวกเขาไม่มีเจ้าช่วยเหลือ เช่นนี้พวกเราก็ยิ่งครองความได้เปรียบ! ถึงอย่างไรทรัพยากรก็มีอยู่อย่างจำกัด คนอื่นฉกชิงเอาไป พวกเราก็มีน้อยลงไปแล้ว”


“ข้าเข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ขอจักรพรรดิโปรดอภัย ข้ายังไม่คิดจะผูกตัวเองติดกับเรือลำใดลำหนึ่งในตอนนี้”


จักรพรรดิเป่ยเหอนิ่งงันไปชั่วขณะ


“ข้าชอบความเป็นอิสระมากกว่า เผชิญกับเรื่องราวมากมาย ก็ชอบที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่อยากผูกติดกับผู้อื่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด หนึ่งก็คือเขาไม่ชอบนิสัยของจักรพรรดิเป่ยเหอ! สองก็คือทรัพยากรที่ชนพื้นเมืองดั้งเดิมและเผ่ามรณะทมิฬมุ่งมาดปรารถนาหาใดเปรียบ โดยส่วนใหญ่แล้วเขาก็มิได้สนใจเลย! สิ่งที่ผู้บำเพ็ญสนใจมากกว่าก็คือการยกระดับขั้นของตนเองให้สูงขึ้น


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องผูกติดกับจักรพรรดิเป่ยเหอ ไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างนั้นหรือ


“เจ้าสามารถช่วยเหลือเผ่าแสงดาว ช่วยเหลือบรรดาโลกที่อ่อนแอ และช่วยเหลือข้าได้กระมัง” จักรพรรดิเป่ยเหอมองตงป๋อเสวี่ยอิง


“ย่อมได้อย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้มน้อยๆ “แต่ก็ต้องดูก่อนว่าเป็นเรื่องอันใด”


“ฮ่าฮ่า ข้าก็เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนแล้วว่าอุปนิสัยของน้องหิมะเหิน รังเกียจความชั่วร้ายดุจคู่แค้น


เกรงว่าคงจะไม่ชมชอบวิธีการจัดการเรื่องราวต่างๆ ของข้าสินะ” จักรพรรดิเป่ยเหอแย้มยิ้มอย่างสบายๆ “แต่ข้าอยากจะขอให้เจ้าช่วยเหลือ วัตถุประสงค์หลักก็คือเพื่อจัดการยอดเคารพคนหนึ่งในเผ่ามรณะทมิฬ”


“หืม”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้ง “ได้สิ ข้ารับปากก็ได้”


ถึงแม้ว่าเขาจะมีเคล็ดลับอยู่มากมาย แต่ก็ไม่อยากจะยั่วโมโหจักรพรรดิเป่ยเหอจนทำให้โลกแสงดาวและโลกมากมายต้องเดือดร้อน!


นอกจากนี้ ที่ต้องจัดการก็คือยอดเคารพของเผ่ามรณะทมิฬ


เผ่ามรณะทมิฬมียอดเคารพอยู่ทั้งหมดสามท่าน มีความเป็นไปได้ว่าพวกมันฟูมฟักถือกำเนิดขึ้นมาจากความตายเป็นเหตุ ยอดเคารพสามท่านนี้แต่ละคนมีวิธีลงมืออันโหดเหี้ยม ต่างก็เป็นพญามารร้ายอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง! โชคดีที่มียอดเคารพชนพื้นเมืองดั้งเดิมสองท่านคอยข่มขู่ ขัดขวางในยามคับขัน กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมจึงสามารถมีวันวารเช่นนี้ได้


“ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่กล้าคิดเลย มีน้องหิมะเหินอยู่ ข้าจึงมีความมั่นใจมากขึ้นหลายส่วน” จักรพรรดิเป่ยเหอได้ยินตงป๋อเสวี่ยอิงรับปากแล้วก็ปิติยินดีอย่างยิ่งในทันที “ข้ายังต้องเตรียมการให้ดีๆ ก่อน รอให้เตรียมการเสร็จแล้วก็จะแจ้งให้น้องหิมะเหินทราบก็แล้วกัน”


“ข้าจะทิ้งร่างแยกเอาไว้ที่โลกแสงดาว จักรพรรดิต้องการหาตัวข้า ก็ไปหาที่โลกแสงดาวได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด


“ดี เจ้าช่วยข้า ข้าก็ย่อมไม่มีทางผิดต่อเจ้าอย่างแน่นอน” จักรพรรดิเป่ยเหออมยิ้ม “ก่อนหน้านี้โจมตีโลกจำนวนมาก ก็จะหยุดเอาไว้ ก็นับได้ว่าเป็นของกำนัลแล้วกระมัง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฟังแล้วก็ยินดียิ่ง “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณจักรพรรดิแล้ว คิดว่าโลกทั้งหลายก็ต้องซาบซึ้งต่อจักรพรรดิอย่างแน่นอน”


“พวกเขาควรต้องขอบคุณเจ้าต่างหากเล่า!” จักรพรรดิเป่ยเหอพูด


……


รอจนสนทนากับจักรพรรดิเป่ยเหอเสร็จแล้วแยกจากกันแล้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จากไปพร้อมกับร่างแปรประมุขแสงดาว


“นี่จะไปแล้วหรือ” ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงเอ่ยถาม


“อืม”


“จักรพรรดิเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ งานเลี้ยงดอกนกกางเขนนี้ก็เพื่อต้อนรับเจ้า พูดคุยกับเจ้าเพียงไม่กี่ประโยคก็จะให้เจ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ” ประมุขแสงดาวมีหมอกทึบทึมเต็มหัวสมอง


ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองเขาปราดหนึ่งแล้วมิได้พูดอะไรมาก เหินลอยออกไปข้างนอกในทันที


“รอข้าด้วยสิ” ร่างแปรประมุขแสงดาวตามไปติดๆ


ร่างแปรนั้นไม่สำคัญ! แต่ร่างแปรที่พก ‘กลีบดอกนกกางเขน’ ติดตัวเอาไว้ต่างหากเล่าที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง!


……


หลังจากที่งานเลี้ยงนี้สิ้นสุดลง


นามของจ้าวหิมะเหินก็ค่อยๆ แพร่สะพัดออกไป โดยเฉพาะระดับสูงสุดของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักก็ยิ่งสั่นสะเทือนเพราะเรื่องนี้


“หืม เคล็ดวิชาวิญญาณ ถึงกับสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้อย่างง่ายดาย


แม้กระทั่งแม่ทัพเทพควันวายุของสามสิบหกแม่ทัพเทพก็ยังจมดิ่งลงไปชั่วขณะอย่างนั้นหรือ” ชายชราอาภรณ์ม่วงร่างผอมสูง กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นเหนือธรรมดาแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกทิศทุกทาง บริเวณรอบๆ ก็มีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า ล้อมรอบอยู่รอบกายเขา เขาก็คือ ‘ยอดเคารพนภาอสนี’ หนึ่งในสองมหายอดเคารพของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมนั่นเอง


เขาปลุกพลังสายโลหิตไปถึงระดับจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์แล้ว สามารถสัมผัสได้ถึงพลังของอีกระดับขั้นหนึ่งได้ตลอดเวลา


นั่นคือพลังที่น่าหวั่นเกรงชนิดหนึ่ง


สามารถหนีออกไปจากโลกทางนี้ได้ หนีออกไปจากการสกัดกั้นกฎเกณฑ์ของ ‘หยวน’ สามารถทะลุผ่านห้วงมิติอันไร้ที่สิ้นสุดได้อย่างแท้จริง มุ่งหน้าไปสู่สถานที่อันเร้นลับต่างๆ นานาได้


“ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเคล็ดวิชาวิญญาณเช่นนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำ เกรงว่าแม้แต่ยอดเคารพก็ยังต้องแบ่งพลังจิตมากมายไปต้านทาน” ชายชราอาภรณ์ม่วงพึมพำ “เป่ยเหอผู้นั้นก็เจ้าเล่ห์น่าดูเลยจริงๆ เชิญตัวจ้าวหิมะเหินผู้นั้นไปในทันทีเลย”


……


“จ้าวหิมะเหินถึงกับมีเคล็ดวิชาวิญญาณเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ”


ยอดเคารพเฮ่ากู่มีคลื่นความร้อนแผ่ซ่านทั่วร่าง ถึงขนาดที่ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอต่างก็ไม่สามารถมองตรงๆ ได้ ยอดเคารพเฮ่ากู่แผ่ประกายระยับจับตาตามธรรมชาติ ราวกับลูกไฟขนาดมหึมาลูกหนึ่ง


“ถึงแม้ว่าพลังรบซึ่งๆ หน้าของเขาจะธรรมดาอย่างยิ่ง พลังยุทธ์ในการต่อสู้ระยะประชิดก็ต่ำเสียจนสามารถมองข้ามได้ แต่เคล็ดวิชาวิญญาณกลับสามารถส่งผลกระทบต่อพวกเราได้เลยทีเดียว ดินแดนจิตโลกานี่ก็นับได้ว่ามีผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศเกิดขึ้นมาคนหนึ่งแล้ว” ยอดเคารพเฮ่ากู่พึมพำ ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยใส่ใจผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกามาก่อนเลย แต่คราวนี้เขาก็เห็นความสำคัญขึ้นมาเสียแล้ว


ถึงขนาดที่ในใจของเขา ‘พลังคุกคาม’ ของจ้าวหิมะเหินผู้นี้ยังสูงกว่าบรรดาจักรพรรดิเสียอีก


……


“เป่ยเหอผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง ริเริ่มเชิญตัวไป จัดงานเลี้ยงรวมตัวในทันที! เขาเคลื่อนไหวได้เร็วน่าดู กว่าข้าจะได้ข่าวก็สายไปเสียแล้ว” บุรุษเขาเดี่ยวอาภรณ์ดำคนหนึ่งส่ายหน้าน้อยๆ


……


“ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว หวังว่าจ้าวหิมะเหินผู้นั้นจะมิได้สวามิภักดิ์ต่อเป่ยเหอเสียล่ะ” หญิงสาวงามล้ำที่พลังฟ้าดินรวมตัวกันประกอบเป็นร่างนางผู้หนึ่งมองไปยังทิศทางของโลกแสงดาวอยู่ห่างๆ พลางเอ่ยเสียงต่ำ “เป่ยเหอมีความทะเยอทะยานมากเกินไป จักรพรรดิคนอื่นอีกสามคนภายใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่ต่างก็ถูกเขาลอบคิดบัญชีจนพ่ายแพ้หมดหน้าตัก คราวนี้ถ้าหากได้รับความช่วยเหลือจากจ้าวหิมะเหินผู้นี้อีก ก็ไม่แน่ว่าเผ่าของข้าอาจจะมียอดเคารพท่านที่สามปรากฏขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว”


******


ระดับสูงสุดของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็ย่อมได้รับข่าวคราวอย่างฉับไวอยู่แล้ว ต่างก็ให้ความสนใจกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้


ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็กลับมาถึงยังโลกแสงดาวแล้ว


นอกจากนี้เพียงไม่นานข่าวหนึ่งก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว…


พลทหารใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอที่เดิมทีโจมตีโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมนั้นพากันถอยทัพกลับไปจนหมดสิ้น!


“ถอนทัพกันไปแล้ว”


“ถอนทัพกันไปหมดแล้ว พลทหารใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอ อาณาเขตที่จักรพรรดิเฉินเย่าเคยเป็นผู้บัญชาการแต่เดิมต่างก็กลับเป็นอิสระแล้ว”


“ทหารที่ถอยทัพกลับไปเหล่านั้นก็บอกแล้วว่าเป็นคำขอของจ้าวหิมะเหิน! จักรพรรดิเป่ยเหอรับปากแล้วว่าจะไม่โจมตีอีก”


“เป็นจ้าวหิมะเหินที่มีเมตตาต่อโลกทุกแห่ง จักรพรรดิเป่ยเหอจึงรับปากว่าจะหยุดมือ”


ข่าวคราวต่างๆ แพร่สะพัดอย่างบ้าคลั่ง


เดิมทีโลกจำนวนมากต่างก็สิ้นไร้ความหวังไปเสียแล้ว ตอนนี้จักรพรรดิเป่ยเหอถอนทัพกลับไป บ้านเกิดของพวกเขาก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ พวกเขาก็สามารถสุขสบายเป็นอิสระดังเช่นในอดีต หลังจากที่เคย ‘สิ้นหวัง’ ไปแล้ว กลับมามีอิสรภาพใหม่ พวกเขาจึงยิ่งซาบซึ้งมากขึ้นไปอีก


เป็นที่รู้กันว่าเป็นข้อตกลงระหว่างจ้าวหิมะเหินกับจักรพรรดิเป่ยเหอ จักรพรรดิเป่ยเหอจึงได้ยอมถอยไป


ทุกฝ่ายต่างก็ซาบซึ้งหาใดเปรียบ


นี่คือบุญคุณช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ต่อทั้งโลกบ้านเกิด! บุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของพวกเขา!


“ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่”


“จ้าวหิมะเหินช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของพวกเรา!”


“ด้วยอุปนิสัยของจักรพรรดิเป่ยเหอ ไม่มีทางหยุดการโจมตีอย่างไม่มีเหตุมีผลหรอก ถึงอย่างไรก็เป็นอาณาเขตที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าจ้าวหิมะเหินต้องเสียสละสิ่งใดแน่”


“ขอบคุณจ้าวหิมะเหินมาก”


โลกแต่ละแห่งต่างก็ส่งพลพรรคมุ่งหน้ามายังโลกแสงดาวเพื่อคารวะ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ของพวกเขา


……


พลพรรคเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย


“จักรพรรดิ”


“จ้าวหิมะเหิน”


พลพรรคเทวทูตที่มาจากโลกต่างๆ มีจำนวนมากที่เป็นประมุขโลกสักแห่งหนึ่งนำทัพมาด้วยตนเอง ดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและขอบคุณ ต่างก็มาคารวะตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขาแต่ละคนต่างก็ตระเตรียมของกำนัลมา! บุญคุณยิ่งใหญ่อย่างการช่วยเหลือโลกบ้านเกิด ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์นี้… พวกเขาจะเตรียมมาน้อยนิดได้อย่างไรกัน สิ่งใดก็ตามที่รู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ที่เป็นผู้บำเพ็ญจิตโดยกำเนิด พวกเขาก็ตระเตรียมมากันเป็นอย่างดีแล้ว


เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับพลพรรคที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พบกับสมบัติล้ำค่าที่กองเป็นภูเขาเลากาแล้วกลับปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง


“จักรพรรดิเป่ยเหอท่านนี้เจตนาพูดว่าเป็นเพราะข้าขอเอาไว้ บอกว่าเป็นเพราะข้า ก็เพื่อจะมอบน้ำใจนี้ให้แก่ข้าสินะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในความคิดของจักรพรรดิเป่ยเหอ

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 33 สมบัติล้ำค่าที่กองเป็นภูเขา...

 

“แม้ข้ารับปากว่าจะช่วยแล้ว แต่เขากลับกลัวว่าในยามคับขัน จะไม่ทำสุดกำลังแล้วลอบคิดบัญชีกับเขาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิดในใจ ขณะเดียวกันเขาก็ต้อนรับกองกำลังจากโลกต่างๆที่มาเยี่ยมเยียน เหล่าประมุขโลกและผู้อาวุโสทั้งหลายที่นำกองกำลังมานั้น ต่างพากันมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาซาบซึ้งเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างเอ่ยวาจาแสดงความขอบคุณออกมา


“จ้าวท่านมีบุญคุณใหญ่หลวง ช่วยเผ่าของข้าเอาไว้ โลกฝูหนีของข้าไร้สิ่งตอบแทน ต่อแต่นี้ไป หากจ้าวท่านมีบัญชาอันใด ขอแค่เอ่ยมาคำเดียว โลกฝูหนีของเราจะไม่รอช้าอย่างแน่นอน!”


“จ้าวหิมะเหิน ก่อนหน้านี้ข้าและคนอื่นๆ ไม่เคยรู้จักกับจ้าวท่านมาก่อน แต่จ้าวท่านก็ยังเมตตา ยอมช่วยเหลือข้าและเผ่าบ้านเกิดเอาไว้…”


คนที่มาเยี่ยมคารวะเหล่านี้ ล้วนมีความรู้สึกล้นเหลือกว่าวาจาที่เอ่ยมา


บ้างก็นัยน์ตาแดงก่ำ ถึงขั้นน้ำตาไหลรินออกมาก็มี! พวกเขาหลั่งน้ำตา มิใช่เพียงเพราะความซาบซึ้งเท่านั้น แต่เพราะนึกถึงชาวเผ่ามากมายที่ต้องเสียสละไปในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ด้วย!


ยากลำบากเกินไปแล้ว


เคราะห์ดีที่มีจ้าวหิมะเหินออกหน้า ช่วยเหลือโลกมากมายเอาไว้


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้วางมาดแต่อย่างใด หากแต่ต้อนรับทีละคนๆ วันนั้นยังถึงกับจัดงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาด้วย กองกำลังของโลกทั้งหลายต่างก็เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้กันถ้วนหน้า


“จ้าวหิมะเหินไม่ธรรมดาจริงๆ”


“สถานะอย่างเจ้าท่าน แม้แต่พวกแม่ทัพเทพที่อ่อนแอหน่อยก็ยังต้องจมดิ่งและล้มลงไปทันทีต่อหน้าเขา พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกต่างก็พลังเสียหายเป็นอย่างมาก พลังอย่างจ้าวท่าน ยังปฏิบัติต่อพวกเราด้วยความเกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้”


“ได้ยินว่าเมื่อจ้าวท่านอยู่ในดินแดนจิตโลกาก็ได้ปราบปรามมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยพลังของตัวคนเดียว และช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้”


“โอ้ เมื่อจ้าวท่านอยู่ในดินแดนจิตโลกา มีเรื่องอันใดบ้าง พอจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”


แต่ละแห่งในงานเลี้ยงวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา


พวกเขามาจากโลกคนละแห่ง ที่ผ่านมาบางคนไม่เคยติดต่ออะไรกันมาก่อนถึงขั้นมีความแค้นต่อกัน!   แต่วันนี้พวกเขาต่างก็มีผู้มีพระคุณคนเดียวกัน…จ้าวหิมะเหินนั่นเอง! เรื่องนี้ทำให้พวกเขา พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ บรรยากาศภายในงานเลี้ยงดีเป็นพิเศษ เนื่องจากทุกคนรู้ดีว่า นับแต่นี้ไป บ้านเกิดก็จะไม่ถูกโจมตีอีกต่อไปแล้ว


ขอเพียงจักรพรรดิเป่ยเหอไม่โจมตี!


เช่นนั้นบ้านเกิดก็จะปลอดภัยมากแล้ว เนื่องจากนี่คือดินแดนที่เป็นของจักรพรรดิเป่ยเหอ จักรพรรดิคนอื่นๆ ล้วนไม่มีสิทธิ์ลงมือ


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รู้จักประมุขโลกมากมาย และได้รับของกำนัลมากมายยิ่งนัก


“ของกำนัลมากมายถึงเพียงนี้”


“กองเป็นภูเขาเลากาเลยทีเดียว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ในงานเลี้ยงพลางสัมผัสสมบัติล้ำค่าที่กองเป็นภูเขาเลากาอยู่ในโลกคูหาสวรรค์สำหรับเก็บวัตถุ


สมบัติล้ำค่าเหล่านี้ มีหลายชิ้นที่กลิ่นอายเกรียงไกรหาใดเปรียบ


มีสมบัติลับอันสูงส่งสองชิ้น! มีสมบัติลับระดับยอดสุดหนึ่งร้อยหกชิ้น! วัตถุพิสดารต่างๆ ยิ่งมีมากมายเสียจนนับไม่หวาดไม่ไหว


“บ้าไปแล้วๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกชาหนึบขึ้นมาบ้างแล้ว “ตอนนี้ข้าคงนับได้ว่าเป็นผู้ที่มั่งคั่งที่สุดคนหนึ่งในบรรดาผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาแล้วกระมัง”


ว่ากันว่าภายในหุบเขาเขี้ยวหักมีโอกาสหาสมบัติล้ำค่าพบจำนวนนับไม่ถ้วน แต่อันที่จริงแล้วเผ่าชนพื้นเมืองมีพลังแข็งแกร่งกว่า พวกเขาบุกฝ่าครั้งแล้วครั้งเล่า จนได้สมบัติล้ำค่ามากมายไปอยู่ในมือก่อนแล้ว! อย่างสมบัติลับอันสูงส่งหรือสมบัติลับระดับยอดสุดนั้น…กลิ่นอายไม่ธรรมดาเพียงใด แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นสมบัติล้ำค่า! แม้ชนพื้นเมืองจะลองแล้วลองอีก แต่เนื่องจากพวกเขาล้วนแต่ฝึกพลังสายเลือด จึงมิอาจใช้งานสมบัติลับระดับยอดสุดและสมบัติลับอันสูงส่งได้!


แต่ถึงจะใช้งานไม่ได้ หากพบเข้าแล้วก็ต้องเก็บเอาไว้!


อย่างพวกบรรพชนนิจรัตติกาลที่เคยกลืนกินชนพื้นเมืองตามอำเภอใจมาก่อน และได้ชิงเอาสมบัติล้ำค่ามาจากชนพื้นเมือง และเคยมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูมาเจรจาแลกเปลี่ยนเอาไป! เพียงแต่สิ่งที่เผ่าชนพื้นเมืองต้องการนั้นล้วนแต่เป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง โดยทั่วไปแล้วล้วนแต่มีส่วนช่วยพลังสายเลือดเป็นอย่างมาก ตามปกติแล้ว เผ่ามรณะทมิฬก็ต้องการสมบัติล้ำค่าพรรค์นี้เช่นเดียวกัน!


ในเกาะลอยคว้าง การจะได้สมบัติล้ำค่าระดับนั้นมา ยังยากกว่าการตามหาสมบัติลับระดับยอดสุดมากมายนัก!


“โลกทั้งหลายได้ค้นพบสมบัติลับอันสูงส่งสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นทางสายเปลวเพลิง ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นทางสายพละกำลัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด อย่างประมุขเกาะจันปาผู้นั้นเป็นทางสายพละกำลัง หากได้พลองยาวอันเร้นลับชิ้นนี้ไป ก็จะกลายเป็นไร้ศัตรูในทันที! หรืออย่าง ‘เจ้าเมืองอัคคีทิพย์’ ผู้นั้นก็บำเพ็ญทางสายเปลวเพลิง


เพียงแต่เจ้าเมืองอัคคีทิพย์และประมุขเกาะจันปาล้วนแต่เป็นมารร้ายตัวฉกาจ ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีทางแลกเปลี่ยนกับพวกเขาอย่างแน่นอน


“จักรพรรดิเซี่ยบำเพ็ญทางสายเปลวเพลิงและอากาศควบคู่กันกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด จักรพรรดิเซี่ยก็มีสมบัติลับอันสูงส่งทางด้านอากาศเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น!


“สมบัติลับระดับยอดสุด…”


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเยาะตนเอง


สมบัติลับระดับยอดสุดมากมายนัก! อย่างรัฐโบราณคิมหันตวายุ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกรัฐโบราณ สกุลฝานมีมหาเคารพหกท่าน สกุลเซี่ยมีมหาเคารพเก้าท่าน สกุลชางมีมหาเคารพเจ็ดท่าน และยังมีจอมเคารพซึ่งมิใช่คนจองสามตระกูลใหญ่อีกโขยงหนึ่ง ต่อให้มีส่วนหนึ่งที่มีสมบัติลับระดับยอดสุดหลายชิ้น เช่นมหาเคารพฝูอี่ก็ตาม แต่เมื่อรวมๆ กันแล้ว ก็มีสมบัติลับระดับยอดสุดเพียงไม่กี่สิบชิ้นเท่านั้น


ตนเพียงคนเดียวก็เกินร้อยชิ้นแล้ว! มากกว่าที่รัฐโบราณแห่งหนึ่งสั่งสมมาตลอดคืนวันอันยาวนานเสียอีก!


“เพราะถึงอย่างไรก็มีโลกชนพื้นเมืองตั้งมากมายมอบให้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึงในใจ เมื่อรวมกับวัตถุล้ำค่าจำนวนมากแล้ว ตนก็ร่ำรวยจนแทบจะเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งหมดแล้ว ต่อให้เป็นราชันย์อนธการอมตะซึ่งโจมตีเส้นทางสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ก็ไม่แน่ว่าจะสู้ตนได้!


“ในบรรดาสมบัติลับระดับยอดสุด มีวิถีอากาศมากถึงเก้าชิ้นด้วยกัน ที่แข็งแกร่งกว่าดอกบัวเพลิงห้วงอากาศมีถึงสามชิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ


สมบัติลับระดับยอดสุดในดินแดนจิตโลกา บ้างก็ได้มาจากวังเทพจิตโลกา บ้างก็ได้มาจากหุบเขาเขี้ยวหัก บ้างก็เป็นสิ่งที่เหล่าผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดหลอมขึ้นมา!


ส่วนภายในหุบเขาเขี้ยวหัก…


ต้องเป็นสิ่งที่ ‘หยวน’ ทิ้งไว้ให้แทบจะทั้งหมด


หยวนทิ้งโอกาสเอาไว้มากมาย


ก็เพราะอยากให้เหล่าผู้บำเพ็ญไปฝ่าฟันกันหรือถึงขั้นช่วงชิงกับชนพื้นเมือง! ไหนเลยจะไปคิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะทำให้ชนพื้นเมืองทั้งหลายซาบซึ้งหาใดเปรียบ และพากันพลิกหาสิ่งที่เผ่าของตนสั่งสมไว้ เพื่อหาสิ่งที่อาจจะมีประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญแล้วส่งมาจนหมด! หากจะมอบสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชนพื้นเมืองมาก พวกเขาก็อาจจะเจ็บปวดใจนัก แต่หากจะมอบวัตถุสำหรับผู้บำเพ็ญที่พวกเขาใช้งานไม่ได้ให้ พวกเขาก็ยินดีเป็นอย่างมาก


สมบัติลับอันสูงส่งนั้นล้ำค่า แต่พวกเขาใช้งานไม่ได้! อย่างมากที่สุดก็แค่นำไปแลกเปลี่ยนกับผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาเท่านั้น เพื่อแสดงความซาบซึ้งในบุญคุณอันใหญ่หลวงที่ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์เอาไว้ จึงมอบให้เสียเลย!


*******


งานเลี้ยงยุติลง


ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา เพื่อส่งสมบัติล้ำค่าจำนวนมากกลับไปยังเมืองหิมะเหิน


“ต่อไปควรจะไปที่ใดดีหนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูรายงานเกาะลอยคว้างฉบับแล้วฉบับเล่าซึ่งโลกต่างๆ มอบให้เขา เมื่อรวมรายงานจำนวนมากเข้าด้วยกัน ก็เรียกได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจเกาะลอยคว้างในหุบเขาเขี้ยวหักเป็นอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกาทันที!


“โอ้โฮ”


“มีดวงตาอันเร้นลับถึงหนึ่งพันสองร้อยแห่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ลำพังแค่พลังของเผ่าเซวี่ยเหยียนเพียงเผ่าเดียว ก็รู้อะไรน้อยนัก ข้ายังต้องคิดหาวิธีสืบเสาะให้ทั่วทั้งหนึ่งพันสองร้อยแห่งให้ได้”


“ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่รีบร้อน แม้การบำเพ็ญวิถีเขตลวงโลกเทียมจะสำคัญ แต่กลับสำคัญสู้วิถีอากาศมิได้”


โลกกำเนิดบ้านเกิดยิ่งขยายใหญ่ขึ้น เข้าใกล้การแตกสลายครั้งใหญ่เข้าไปทุกทีๆ


จะต้องสำเร็จวิถีอากาศขั้นสุดยอดให้ได้ก่อนการแตกสลายครั้งใหญ่จะมาถึง!


“ที่มีส่วนช่วยในการบำเพ็ญวิถีอากาศของข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด “ที่บันทึกเอาไว้ในรายงาน ก็มีเกาะลอยคว้างหลายแห่งที่มีโอกาสทางด้านวิถีอากาศ แต่ข้อแรก โอกาสเหล่านั้นช่วยเหลือข้าได้อย่างจำกัดนัก สู้ ‘บุปผาโลกา’ ที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้ข้ามิได้เลย! ข้อสอง ก่อนหน้านี้เมื่อบุกฝ่าเกาะลอยคว้างห้าร้อยแห่ง ก็ได้พบโอกาสมากมาย ตอนนี้สำหรับข้าแล้ว ต้องการสงบจิตบำเพ็ญเป็นที่สุด”


“และหากพูดถึงการสงบจิตบำเพ็ญแล้ว ภายในหุบเขาเขี้ยวหักมีสมบัติชั้นยอดอยู่อย่างหนึ่ง”


“เจดีย์เจ็ดระฆัง!”


นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเปล่งประกาย


เจดีย์เจ็ดระฆังเป็นสมบัติล้ำค่าจำพวกเดียวกันกับ ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ และ ‘ตำหนักเทพโลกาดั้งเดิม’ ในดินแดนจิตโลกา ที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมแต่อย่างใด


เจดีย์เจ็ดระฆังแข็งแกร่งกว่าต้นไม้เทพผลาญจิตและตำหนักเทพโลกาดั้งเดิมมากนัก ถึงขั้นที่อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก ถูกขนานนามว่าเป็น ‘สมบัติชั้นยอดอันดับหนึ่งด้านการสงบจิตบำเพ็ญ’ ต่อให้ไม่ได้สำคัญกับเผ่าชนพื้นเมืองและเผ่ามรณะทมิฬที่ฝึกพลังสายเลือดสักเท่าใดนัก แต่ก็ยังคงก่อให้เกิดการช่วงชิงอย่างบ้าคลั่ง ท้ายที่สุดก็ถูก ‘จักรพรรดิวายุทิพย์’ ชิงมาไว้ในมือจนได้


เจดีย์เจ็ดระฆังนั้นพิเศษมาก มีระฆังเจ็ดใบแขวนอยู่ข้างเจดีย์ เมื่อควบคุมพลังไปผลักมันเบาๆ ระฆังทั้งเจ็ดก็จะดังขึ้นมาต่อเนื่องกัน และเหนี่ยวนำให้ผู้บำเพ็ญเข้าสู่เขตการบำเพ็ญที่พิสดารเป็นอย่างยิ่ง


แต่ว่า ทุกๆ ล้านล้านปี จึงจะสามารถลั่นระฆังทั้งเจ็ดได้ครั้งหนึ่ง


หลังจากลั่นระฆังแล้ว หากผลักระฆังอีกครั้ง ก็จะไม่เกิดเสียงขึ้น จะต้องรออีกล้านล้านปีให้หลัง ระฆังจึงจะเตรียมพละกำลังอันพิสดารขึ้นมาจนพร้อมอีกครั้ง


เหล่าจักรพรรดิที่ฝึกฝนสายเลือด ไปจนถึงบรรดายอดเคารพเหล่านั้น ล้วนแต่เคยเจรจากับ ‘จักรพรรดิวายุทิพย์’ เพื่อจะฝึกฝนสักครั้งกันทั้งนั้น! เพราะภายใต้สภาพจิตใจเช่นนั้น ก็จะรู้แจ้งสายเลือดของตนเองได้แจ่มชัดขึ้น


“ข้ารู้สึกว่า การสั่งสมทางด้านวิถีอากาศของข้าหนาแน่นพอ มีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง และยังคิดค้นท่าไม้ตายทั้งห้าขึ้นมา และยังผ่านการฝึกฝนจากเกาะลอยคว้างถึงห้าร้อยแห่ง หากเก็บตัวสงบจิตบำเพ็ญ อาจจะสามารถบรรลุได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด หากเก็บตัวอยู่ใน ‘สมบัติชั้นยอดอันดับหนึ่งด้านการสงบจิตบำเพ็ญ’ ของหุบเขาเขี้ยวหักก็ เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยมากขึ้น


“ไปพบจักรพรรดิวายุทิพย์ดีกว่า!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงทิ้งร่างแยกเอาไว้ที่เผ่าแสงดาว ขณะเดียวกันก็มุ่งหน้าไปยัง ‘โลกวายุทิพย์’ อย่างเงียบเชียบ


จักรพรรดิวายุทิพย์เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่เช่นเดียวกัน! พลังรบของเขาแข็งแกร่งจนเทียบได้กับระดับขั้นศักดิ์สิทธิ์ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับล่าง แต่ในศึกเดิมพันก่อนหน้านี้ไม่นานนัก จักรพรรดิทั้งสามรวมถึงตัวเขาก็ได้พ่ายแพ้ให้กับจักรพรรดิเป่ยเหอต่อเนื่องกัน! วิธีดำเนินศึกเดิมพันของพวกเขามิได้เผยแพร่สู่ภายนอก หากห้ำหั่นเอาเป็นเอาตายกันขึ้นมาจริงๆ พลังก็แตกต่างกันไม่มากนัก ยากมากที่จะตัดสินแพ้ชนะได้

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 34 จักรพรรดิวายุทิพย์

 

“ฟิ้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงทะลุอากาศไปอย่างง่ายดาย และมาถึงโลกวายุทิพย์ในพริบตาเดียว


ในฐานะที่โลกวายุทิพย์เป็นโลกของจักรพรรดิผู้หนึ่ง จึงเตรียมการเอาไว้อย่างเข้มงวด ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งจะเข้าสู่โลกใบนี้ ยังไม่ทันได้มองโลกใบนี้ให้เต็มตา ก็ได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังขึ้นมาเสียแล้ว


“กล้าบุกรุกโลกวายุทิพย์เชียวรึ!” เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน


ทหารกลุ่มหนึ่งทะลุอากาศมาปรากฏกายขึ้น พลทหารที่เป็นผู้นำมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างโกรธเคือง


“รบกวนช่วยถ่ายทอดสารให้ด้วย ว่าข้าอยากจะพบจักรพรรดิวายุทิพย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


“เฮอะ ยังกล้าเหิมเกริมอีก! องค์จักรพรรดิมีสถานะระดับใดกัน เป็นผู้ที่เจ้าอยากจะพบก็จะได้พบหรือไร” พลทหารที่เป็นผู้นำคำราม “รีบไสหัวไปเสีย พวกข้ายังสามารถไว้ชีวิตเจ้าได้ มิเช่นนั้นแล้ว อย่าหาว่าข้าแล้งน้ำใจก็แล้วกัน”


องค์จักรพรรดิมีสถานะสูงส่งยิ่งนัก


พวกเขาเป็นตัวแทนยอดเคารพจัดการดินแดนอันกว้างใหญ่ ! อย่าง ‘ประมุขโลก’ ของโลกต่างๆ โดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีสิทธิ์ได้พบองค์จักรพรรดิ


กลิ่นอายของประมุขโลก ดีร้ายอย่างไรก็เป็นผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ จึงไม่มีคุณสมบัติพอจะได้พบ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีกลิ่นอายอ่อนแอยิ่งกว่า ทหารเหล่านี้ไหนเลยจะไม่ชักสีหน้าได้เล่า


“ข้าคือจ้าวหิมะเหิน มาเพื่อคารวะจักรพรรดิวายุทิพย์โดยเฉพาะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากอีกครา ตนมาขอร้องผู้อื่น ท่าทีก็ต้องดีหน่อย เขาประกาศนามของตนออกไป คิดว่าทหารเหล่านี้จะต้องรู้จักเป็นแน่


“จ้าวหิมะเหินรึ จ้าวหิมะเหินอะไรกัน ช่างบังอาจนัก ถึงกับกล้าเรียกตนว่าเป็นจ้าว!” ทหารผู้นั้นตะคอก “ลงมือ ขับไล่มันออกไปเสีย!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันใด


อีกฝ่ายไม่เคยได้ยินชื่อของตนมาก่อนเลยหรือ


ในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ ยังคิดว่าชื่อของตนจะแพร่ไปทั่วหุบเขาเขี้ยวหักจนคนรู้จักกันถ้วนหน้าแล้วเสียอีก


เขากลับคิดผิดไปเสียแล้ว!


ชื่อของเขาเผยแพร่ไปทั่วบรรดาบุคคลระดับยอดสุดในหุบเขาเขี้ยวหัก อย่างดินแดนที่ ‘จักรพรรดิเฉินเย่า’ ปกครองอยู่แต่เดิม เนื่องจากกองทัพที่โจมตีถอยไปอย่างรวดเร็ว โลกเหล่านั้นก็ย่อมล่วงรู้ทันที


แต่ดินแดนอื่นๆ…หากมีสถานะสูงส่งพอ ก็อาจได้ยินข่าวเช่นกัน  ส่วนผู้ที่มีสถานะต่ำต้อย ก็ไม่รู้จักจ้าวหิมะเหินจริงๆ!


ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง!


ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงได้รวดเร็วเกินไปแล้ว! หลังจากต้อนรับประมุขโลกทั้งหลายเสร็จ เขาก็รีบมาพบจักรพรรดิวายุทิพย์ทันที หากผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง ชื่อของเขาก็จะค่อยๆ เผยแพร่ออกไป เชื่อว่าผู้แกร่งกล้าของดินแดนอื่นๆ ที่มีพลัง ‘ระดับอ๋อง’ ส่วนมากก็คงจะรู้จักแล้ว ตอนนี้น่ะหรือ ยังไม่ทันได้เผยแพร่ไปในหมู่ผู้ที่มีพลังอ่อนแอเลย!


“ตู้ม”


พลทหารที่เป็นหัวหน้าออกคำสั่ง ทหารคนอื่นๆ ก็ลงมือทันที


“หยุดมือนะ!”


คลื่นอันน่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งร่อนลงมา นั้นเป็นระลอกคลื่นของผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิ ทันใดนั้นก็มีสตรีอาภรณ์เขียวนางหนึ่งเดินออกมาจากกลางอากาศ อานุภาพกดดันอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมทหารกลุ่มนั้นเอาไว้


“แม่ทัพเทพฉินอวี่” ทหารเหล่านี้เห็นเข้าก็ตระหนกเสียจนต้องรีบคารวะด้วยความเคารพ แม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์มิได้มีมากเท่ากับจักรพรรดิเป่ยเหอ ทั้งหมดมีเพียงแปดคนเท่านั้น! จักรพรรดิวายุทิพย์เชื่อมั่นในตัวพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง อำนาจจึงมากนัก


“คารวะจ้าวหิมะเหิน” สตรีอาภรณ์เขียวยิ้มพลางคารวะตงป๋อเสวี่ยอิง “ทหารลาดตระเวนเหล่านี้มิเคยได้ยินชื่อเสียงอันเกรียงไกรของจ้าวท่านมาก่อน จนล่วงเกินจ้าวท่านไป ขอจ้าวท่านอย่าได้ถือสาเลย”


เหล่าทหารด้านข้างเห็นเข้าก็ถลึงตาอ้าปากค้าง


แม่ทัพเทพฉินอวี่ผู้องอาจเกรงอกเกรงใจหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ


“ยังไม่รีบขออภัยจ้าวท่านอีก!” สตรีอาภรณ์เขียวหันไปมองพลางแค่นเสียงตำหนิ


เหล่าทหารมึนงงไปหมด ทั้งเผ่าชนพื้นเมือง ผู้ที่กล้าเรียกตนเองว่าจ้าวนั้นมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ ที่แท้แล้วจ้าวหิมะเหินผู้นี้โผล่มาจากไหนกัน


แม้จะไม่เข้าใจ ทว่าก็ยังคงรีบคารวะด้วยความเคารพทันที “จ้าวท่านโปรดอภัยด้วย!”


“เรื่องนี้ตำหนิพวกเจ้ามิได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เป็นเพราะประมุขโลกจำนวนมากมายถึงเพียงนั้นซาบซึ้งต่อตน ตนจึงคิดว่าชื่อเสียงเรียงนามของตนได้แพร่ไปทั่วทุกแห่งหนของเผ่าชนพื้นเมืองแล้ว


“จ้าวหิมะเหินมายังโลกวายุทิพย์ของข้า จักรพรรดิของข้าก็ยินดีเป็นอย่างมาก และบัญชาให้ข้ามาต้อนรับโดยเฉพาะ ผู้ใดจะไปคิดว่าอีกนิดเดียวทหารลาดตระเวนก็จะโจมตีจ้าวท่านเสียแล้ว” สตรีอาภรณ์เขียวพูดด้วยความกระตือรือร้น “จ้าวท่าน เชิญเจ้าค่ะ”


“เชิญ”


ทั้งสองแหวกอากาศมุ่งหน้าไปยังตำหนักเทพวายุทิพย์ทันที


ปล่อยให้ทหารเหล่านั้นงุนงงต่อไป


“จ้าวหิมะเหิน ที่แท้แล้วเป็นจ้าวท่านไหนกัน บัดนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพทั้งสองก็มีจ้าวทั้งหมดแปดท่านเท่านั้น ไม่มีคนที่ชื่อจ้าวหิมะเหินอยู่กระมัง หากมีจ้าวคนใหม่ถือกำเนิด พวกเราก็คงจะต้องรู้แล้วกระมัง”


“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”


“แต่ใต้เท้าแม่ทัพเทพนอบน้อมถึงเพียงนั้น ไม่ได้ยินหรือ แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังบัญชาให้แม่ทัพเทพฉินอวี่มาต้อนรับด้วยตนเองเลย”


“ข้าถามท่านแม่ทัพเสียหน่อยดีกว่า ดูสิว่าท่านแม่ทัพจะรู้จักหรือไม่”


พวกเขาถ่ายเสียงสอบถาม


ในโลกวายุทิพย์ ระดับยอดสุดต่างก็รู้จักกันทั้งนั้น


“อะไรนะ”


“แม่ทัพเทพที่ค่อนข้างอ่อนแอ เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็ต้องล้มลงทันที ความเป็นความตายก็ต้องถูกเขาควบคุมเลยหรือ”


“‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ แม่ทัพเทพอันดับสองในบรรดาแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาทั้งสามสิบหกคนของจักรพรรดิเป่ยเหอ เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหิน พลังก็เสียหายอย่างใหญ่หลวง จนถูกประมุขโลกแสงดาวที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่งโจมตีจนต้องหนีไปอย่างน่าอนาถเลยหรือ”


“เพื่อผูกสัมพันธ์อันดีกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้ จักรพรรดิเป่ยเหอถึงกับออกคำสั่งให้ล้มเลิกการโจมตีโลกทั้งหมดซึ่งเดิมทีอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเฉินเย่าทันทีเลยหรือ”


หลังจากทหารเหล่านี้สืบข่าวคราวแล้ว ก็อดอ้าปากค้างมิได้


จักรพรรดิเป่ยเหอคงจะไม่ปฏิบัติต่อจักรพรรดิวายุทิพย์ของพวกตนอย่างเกรงอกเกรงใจเช่นนี้หรอกกระมัง ได้ยินมาว่าเพื่อดินแดนใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเฉินเย่า จักรพรรดิเป่ยเหอยังวางแผนเรื่องเอาชนะในศึกเดิมพัน แต่เพราะจ้าวหิมะเหิน กลับล้มเลิกไม่ทำศึกแล้วอย่างนั้นหรือ บ้าคลั่งเกินไปแล้วกระมัง


“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็มีปูมหลังใหญ่โตนัก” ทหารเหล่านี้เข้าใจในข้อนี้ดี ระดับจักรพรรดิโดยทั่วไปล้วนต้องถูกจ้าวผู้นี้กวาดล้าง จะเป็นคนที่พวกเขาสามารถระรานได้เสียที่ไหนกัน


******


ณ ตำหนักเทพวายุทิพย์


“ข้าเพิ่งจะได้ยินเรื่องของจ้าวหิมะเหิน ยังรำพึงอยู่เลยว่าใต้หล้านี้มีผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ด้วย กระบวนท่าทางด้านวิญญาณสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้ ผู้ใดจะไปคิดว่าจ้าวท่านก็จะมาเยี่ยมข้าเสียแล้ว ทำให้ข้าอดยินดีมิได้เลย” เมื่อจักรพรรดิเทพวายุทิพย์เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นฝ่ายปรี่เข้ามาต้อนรับ


“จักรพรรดิเกรงใจเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองสำรวจจักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นี้เช่นเดียวกัน


ตรงหว่างเอวของจักรพรรดิวายุทิพย์เหน็บดาบเล่มหนึ่งเอาไว้ ผมของเขาสยายลงมา อาภรณ์หลวมโพรก ดูง่ายๆ สบายๆ นัก


“มาๆๆ นั่งลงเถิดๆ จ้าวท่านจากดินแดนจิตโลกามายังหุบเขาเขี้ยวหักของข้า แม้จะอยู่ในโลกแสงดาวมาระยะหนึ่ง แต่ก็คงจะมีอาหารเลิศรสและสุราชั้นเลิศมากมายของหุบเขาเขี้ยวหักที่ยังมิได้ลิ้มรสกระมัง” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดยิ้มๆ ด้วยความกระตือรือร้น ยามนี้ก็มีสาวใช้นำอาหารและสุรารสเลิศมากมายมาวางให้ หากเป็นจ้าวคนอื่นๆ จักรพรรดิวายุทิพย์ก็คงจะไม่เกรงอกเกรงใจถึงเพียงนี้


แต่กับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ก้ออกจะไม่เหมือนกันอยู่บ้าง


เนื่องจากจักรพรรดิคนอื่นๆ กับเขากำลังชิงดีชิงเด่นกันอยู่! แต่ผู้บำเพ็ญอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงคนหนึ่ง กลับสนใจแต่ระดับขั้น มิใช่สมบัติล้ำค่าที่มีส่วนช่วยทางด้านพลังสายเลือดแต่อย่างใด


ก่อนหน้านี้พวกจักรพรรดิวายุทิพย์ยังคงกังวลว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ ผู้นี้จะสวามิภักดิ์ต่อจักรพรรดิเป่ยเหอ แล้วผูกติดกับเรือรบของจักรพรรดิเป่ยเหอลำนั้นเพียงอย่างเดียว! ตอนนี้จ้าวหิมะเหินมาเยี่ยมเยียนเขา ดูๆ แล้ว ก็คงจะมิได้ยืนอยู่ข้างเดียวกันกับจักรพรรดิเป่ยเหออย่าสิ้นเชิง


คนหนึ่งมีใจคิดผูกสัมพันธ์ ส่วนอีกคนก็มีเรื่องมาขอความช่วยเหลือ


แขกและเจ้าบ้านจึงย่อมพูดคุยกันอย่างเบิกบานเป็นธรรมดา


“พี่หิมะเหินมาหาข้าที่นี่ ไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอันใดหรือ มีอะไรก็เชิญพูดมาให้เต็มที่เถิด” ในที่สุดจักรพรรดิวายุทิพย์ก็เอ่ยปากถาม


“จักรพรรดิ พวกเราผู้บำเพ็ญสนใจในการบำเพ็ญระดับขั้น ข้ามาที่นี่เพราะหวังว่าจะสามารถยืมเจดีย์เจ็ดระฆังเพื่อเก็บตัวสักหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้ารู้ดีว่าเจดีย์เจ็ดระฆังได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘สมบัติชั้นยอดอันดับหนึ่งด้านการสงบจิตบำเพ็ญ’ ในหุบเขาเขี้ยวหัก หากกระตุ้นครั้งหนึ่ง ภายในล้านล้านปีก็มิอาจใช้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง ข้าบากหน้ามาที่นี่เพื่อขอให้จักรพรรดิช่วยเหลือ จักรพรรดิต้องการอะไรแลกเปลี่ยน หากข้าสามารถรับปากได้ จักรพรรดิก็เชิญพูดมาได้เต็มที่”


จักรพรรดิวายุทิพย์ได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมา


ล้านล้านปีจึงได้ใช้ครั้งหนึ่ง ดูเหมือนนานแสนนานจึงจะได้ใช้สักครั้ง


แต่อันที่จริงแล้วตัวเขาใช้จนหนำใจมาตั้งนานแล้ว! หากใช้อีก ก็ไม่มีส่วนช่วยในการทำให้สายเลือดตื่นรู้อีกต่อไปแล้ว โดยทั่วไปก็ใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับคนภายนอกเท่านั้น


“พี่หิมะเหินจะใช้เจดีย์เจ็ดระฆังบำเพ็ญ แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดยิ้มๆ “ส่วนเงื่อนไข ข้าแค่ต้องการขอร้องเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้น หวังว่าพี่หิมะเหินจะรับปาก”


“จักรพรรดิเชิญพูดมาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบถอนหายใจคราหนึ่ง


“ช่วยส่งร่างแยกสักสองสามร่างตามข้าไปยังเกาะราชันย์เหยี่ยนสักครั้งเถิด” จักรพรรดิวายุทิพย์กล่าว “ครั้งนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว หลังจบเรื่องนี้ พี่หิมะเหินก็สามารถใช้เจดีย์เจ็ดระฆังเพื่อบำเพ็ญได้”


ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับรายงานมามากมายถึงเพียงนั้น จึงย่อมรู้ดีว่าเกาะราชันย์เหยี่ยนเป็นสถานที่เช่นไร


ราชันย์เหยี่ยน เป็นหนึ่งใน ‘สิบสามราชันย์’ ซึ่งอยู่ถัดลงมาจากสามยอดเคารพแห่งเผ่ามรณะทมิฬ มีพลังทัดเทียมกับเหล่าจักรพรรดิ! เกาะลอยคว้างที่คนระดับอย่างสิบสามราชันย์แห่งเผ่ามรณะทมิฬครอบครองนั้น ก็ล้วนแต่จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเกาะลอยคว้างจำนวนนับไม่ถ้วน มันกว้างใหญ่หาใดเปรียบ อันตรายก็แสนหนักหนา อันตรายในตัวเกาะเองก็แล้วไปเถิด แต่ ‘เกาะราชันย์เหยี่ยน’ แห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในเกาะที่มีจำนวนผู้แกร่งกล้ามากที่สุดในบรรดาเกาะลอยคว้างทั้งหมดของสิบสามราชันย์ด้วย!


“เมื่อมีจ้าวหิมะเหิน ที่น่ากลัวที่สุดก็คือการล้อมโจมตีเท่านั้นเอง” จักรพรรดิวายุทิพย์ลอบยินดีในใจ ก่อนหน้านี้เขขาก็คิดจะเชื้อเชิญจ้าวหิมะเหินมาอยู่แล้ว เพียงแต่จ้าวหิมะเหินผู้นี้ถูกจักรพรรดิเป่ยเหอเชิญตัวไปเสียก่อน! เพียงพริบตาเดียว จ้าวหิมะเหินก็มาเยี่ยมด้วยตนเอง! อีกฝ่ายมีเรื่องขอร้อง ตนก็มีเรื่องขอร้อง ต่างคนต่างมีสิ่งที่อยากขอ ต่างคนต่างก็ยินดีเป็นอย่างมาก!

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 35 เข้าสู่เกาะราชันย์เหยี่ยน

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงรับปากอย่างสุขใจ จักรพรรดิวายุทิพย์ก็ยินดีจนล้นใจ แล้วเริ่มอธิบายแผนการของเขาโดยละเอียด


“เข้าใจแล้ว”


“ข้าเข้าใจแล้ว จักรพรรดิวางใจได้เต็มที่” ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังไปพลางพยักหน้าไปพลาง


จักรพรรดิวายุทิพย์เล่าแผนการให้ฟังรอบหนึ่ง จากนั้นก็กำชับว่า “สุดท้ายพี่หิมะเหินก็เก็บงำกลิ่นอายและแปลงโฉมเสียจะดีที่สุด ชื่อเสียงของท่านแพร่ไปในหมู่ผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงของเผ่าชนพื้นเมืองแล้ว แม้ภายในเผ่ามรณะทมิฬจะมีการส่งสารภายในที่เชื่องช้ามาก แต่ถึงอย่างไรราชันย์เหยี่ยนก็เป็นหนึ่งในสิบสามราชันย์ ทั้งยังเป็นผู้ที่มีลูกมือมากที่สุดในบรรดาสิบสามราชันย์ด้วย เมื่อเทียบกันแล้ว ข่าวสารของเขาก็น่าจะค่อนข้างฉับไว อาจจะเคยได้ยินเรื่องของท่านมาบ้าง หากเขาจำท่านได้ในทันทีและเตรียมพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว!”


“ได้ เขาจะต้องจำข้ามิได้แน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม นับตั้งแต่คิดค้นท่าไม้ตายที่หนึ่งของเขตลวงโลกเทียมขึ้นมาได้ วิธีการปลอมแปลงกลิ่นอายของเขาก็ยิ่งสูงส่งลึกล้ำมากขึ้น ถึงขั้นที่ตนเป็นส่วนหนึ่งของเขตลวง วิธีการแปลงกายของเขา ก็เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกาเชนกัน


“ข้าเตรียมตัวไว้เล็กน้อยแล้ว พรุ่งนี้ก็สามารถออกเดินทางได้! ดีหรือไม่” นัยน์ตาทั้งสองของจักรพรรดิวายุทิพย์เป็นประกาย


“ข้าสามารถเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา” ตงป๋อเสวี่ยอิงโพล่งออกมา


……


วันต่อมา


จักรพรรดิวายุทิพย์ก็พาแม่ทัพเทพทั้งห้าและตงป๋อเสวี่ยอิงออกเดินทางมุ่งหน้าไปยัง ‘เกาะราชันย์เหยี่ยน’ แม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์มีน้อยเกินไปแล้ว ทั้งหมดเพียงแปดคนเท่านั้น! แม่ทัพเทพห้าคนที่เลือกมา นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีพลังรบร้ายกาจที่สุดในจำนวนนั้นแล้ว จักรพรรดิเทพวายุทิพย์ก็ใช้ผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่ก็ใช้บุญคุณมาล่อลวง  ทำให้แม่ทัพเทพที่แข็งแกร่งบางคนยินยอมอุทิศตนเพื่อเขาได้


“เกาะราชันย์เหยี่ยน ถึงแล้ว”


หลังจากเคลื่อนที่ในพริบตา


จักรพรรดิวายุทิพย์ ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ รวมเจ็ดคนก็ยืนอยู่กลางอากาศ พลางมองดูเกาะลอยคว้างขนาดมหึมาที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก เหนือเกาะลอยคว้างมีกลิ่นอายดำมืดอันเยียบเย็นปกคลุมอยู่ ความใหญ่โตของเกาะแห่งนี้…ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ เนื่องจากเป็นเกาะลอยคว้างที่ใหญ่โตที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา!


“หลังเข้าไปในเกาะราชันย์เหยี่ยนแล้ว ทั้งหมดก็ทำตามแผน” จักรพรรดิวายุทิพย์เอ่ยปาก แล้วมองแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาทั้งห้าแวบหนึ่ง “พวกเราจะล้มเหลวไม่ได้ หากล้มเหลวครั้งหนึ่งแล้วเปิดเผยตัวตนของจ้าวหิมะเหินออกมา ทำให้ราชันย์เหยี่ยนระวังตัวขึ้นมา ครั้งหน้าต่อให้เชิญจ้าวหิมะเหินมาช่วยอีก ก็เกรงว่าคงยากที่จะทำสำเร็จได้แล้ว”


“องค์จักรพรรดิโปรดวางใจ”


“ทุกอย่างฟังบัญชาจากองค์จักรพรรดิ” ที่ผ่านมา แม่ทัพเทพทั้งห้าต่างก็ไม่เป็นโล้เป็นพายนัก แต่ยามนี้พวกเขาต่างก็เข้าใจถึงความสำคัญ ‘สมบัติล้ำค่า’ ที่จักรพรรดิวายุทิพย์ตั้งตารอคอยมานานแสนนาน เนื่องจากความรุ่งโรจน์ของจ้าวหิมะเหิน ครั้งนี้เขามีหวังจะได้มามากที่สุดแล้ว! หากล้มเหลว จักรพรรดิวายุทิพย์จะต้องโกรธจนแทบคลั่งอย่างแน่นอน


จักรพรรดิวายุทิพย์มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “อีกประเดี๋ยวก็ต้องพึ่งพี่หิมะเหินแล้ว”


“การต่อสู้หลักๆ ก็ยังขึ้นอยู่กับจักรพรรดิและแม่ทัพเทพทุกท่านอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ


“หากไม่มีจ้าวหิมะเหิน พวกเรามาก็ต้องถูกผลักไสออกไป”


“มีจ้าวหิมะเหินอยู่ พวกเราถึงมั่นใจ”


แม่ทัพเทพทั้งห้าผลัดกันเอ่ยปากเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหินผู้นี้ พวกเขาก็ไม่มีความหยิ่งผยองเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่สามารถอาศัย ‘เส้นทางวิญญาณ’ มาจนถึงดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักได้ ก็ย่อมต้องเป็นผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดอย่างไร้ข้อกังขา อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้เป็นห้ายอดเคารพก็ยังต้องเหลียวแล! เพราะเมื่อเทียบกับวิธีการต่างๆ เช่นทางด้านกายหยาบแล้ว วิญญาณต่างหากจึงจะเป็นแก่นหลักของชีวิตอย่างแท้จริง!


“เคลื่อนไหว” จักรพรรดิวายุทิพย์พูดเสียงเบา


สวบๆๆๆๆๆๆ!!!!!


พวกเขาทั้งเจ็ดถลาลงไปเบื้องล่างแล้วตรงเข้าสู่เกาะราชันย์เหยี่ยน และได้สัมผัสกับกลิ่นอายดำมืดอันเยียบเย็นเหนือเกาะราชันย์เหยี่ยน เมื่อร่างกายสัมผัสเข้าไป ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถึงกับบ่นอุบออกมาอย่างมิอาจควบคุมได้ นั่นเป็นความรู้สึกหนาวยะเยือกที่แทรกซึมเข้าไปทั่วทุกอณูของร่างกาย กายหยาบของเขาแข็งแกร่งพอแล้ว แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าไม่ค่อยสบายนัก


“ไม่เสียทีที่เป็นเกาะราชันย์เหยี่ยน คงจะจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของทั้งหุบเขาเขี้ยวหักได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบคิด “เกาะระดับนี้มีโอกาสและผลประโยชน์แฝงเอาไว้มากมายยิ่งนัก แต่อันตรายก็ใหญ่หลวงมากเช่นกัน ในประวัติศาสตร์ของดินแดนจิตโลกา ไม่เคยมีผู้ใดสามารถแทรกซึมเข้าไปได้อย่างแท้จริง”


ในบรรดาสิบสามราชันย์ หากพูดถึงพลังแล้ว นับได้ว่าราชันย์เหยี่ยนเป็นระดับกลางๆ แต่หากพูดถึงขุมอำนาจกลับเป็นที่หนึ่ง! ผู้แกร่งกล้าใต้บังคับบัญชามีมากที่สุด! อาศัยยอดฝีมือใต้บังคับบัญชากลุ่มใหญ่ เกาะลอยคว้างที่ครอบครองแห่งหนึ่งก็มีสมบัติล้ำค่ามากมายยิ่งนัก ขณะเดียวกันก็มีการเตรียมการที่แน่นหนาอย่างยิ่ง เมื่อเข้าไป ไม่นานนักก็จะถูกจับได้ ด้วยพลังของผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกา แม้แต่การป้องกันชั้นนอกสุด พวกจักรพรรดิเซี่ยก็ยังมิอาจทำลายได้


เมื่อทะลุผ่านกลิ่นอายดำมืดที่ราวกับหมอกพิศวง อากาศก็เปลี่ยนแปลงไป แล้วตัวพวกเขาก็ร่อนลงบนเกาะ


พืชพรรณบนเกาะราชันย์เหยี่ยนเป็นสีดำทั้งหมด ดูบิดเบี้ยวและแปลกประหลาดนัก!


“มุ่งหน้าไป”


จักรพรรดิวายุทิพย์ปลดปล่อยระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างออกมาปกคลุมพวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งหกคนเอาไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ก่อนจะแปรเป็นลมอันไร้รูปร่าง ทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว


รวดเร็วเกินไปแล้ว! ความเร็วระดับจอมกระบี่นั้น มิอาจเทียบกับจักรพรรดิวายุทิพย์ได้เลย!


“ความเร็วนี่ช่าง…” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอ้าปากค้าง ไม่เสียทีที่เป็นจักรพรรดิวายุทิพย์ ความเร็วของเขานับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งหรือสองในบรรดาจักรพรรดิทั้งแปดแห่งเผ่าชนพื้นเมืองเลยทีเดียว ทว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้อย่าง ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ก็มีความเร็วเป็นอันดับหนึ่งหรือสองในบรรดาสิบสามราชันย์ด้วยเช่นเดียวกัน


พวกเขาทั้งเจ็ดคนถูกลมกลุ่มหนึ่งโอบล้อมเอาไว้


ลมกลุ่มนี้ คล้ายจะทะลุผ่านป่ามาโดยมิได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใด


“มีผู้บุกรุก” การป้องกันของเกาะราชันย์เหยี่ยนแน่นหนายิ่งนัก พวกจักรพรรดิวายุทิพย์และตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งเจ็ดคนเกาะราชันย์เหยี่ยนเพิ่งจะเข้ามาได้ไม่กี่ชั่วลมหายใจ ก็ถูกทหารรักษาการณ์คนหนึ่งพบเข้าเสียแล้ว


“ผู้อาวุโส พบผู้บุกรุกขอรับ” ทหารรักษาการณ์รายงานขึ้นไป


……


พวกเขาถูกลมกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มเอาไว้ ขณะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงจนน่าเหลือเชื่อ รวดเร็วเสียจนตงป๋อเสวี่ยอิงแทบจะมองเห็นภาพรอบด้านได้ไม่ชัดเจนแล้ว ทำได้เพียงอาศัยบริเวณตรวจสอบรอบด้านเท่านั้น


นี่คือพลังของจักรพรรดิ! เมื่อจักรพรรดิวายุทิพย์ที่มีชื่อเสียงด้านความเร็วปะทุพลังออกมาอย่างสิ้นเชิง  ระดับอ๋องก็มองได้ไม่ชัดเลยจริงๆ!


“ตู้มมม…”


ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นร่อนลงมา กระแสลมปะทุและโหมซัด ทำให้ต้นไม้ใหญ่ต้นแล้วต้นเล่าถูกทำลายจนแหลกละเอียด ทำให้บริเวณสิบล้านลี้รอบด้านถูกลูกหลงไปด้วย


ยักษ์ร่างสูงตระหง่านที่มีเกล็ดเต็มร่างยืนอยู่ตรงนั้น กุมค้อนเล่มมหึมาเอาไว้ในมือ ต้นไม้ทั่วๆ ไปสูงเพียงระดับเข่าของเขาเท่านั้น ยักษ์มีเกล็ดตนนี้อ้าปาก เผยให้เห็นฟันคมกริบเต็มปาก มุมปากเขายกยิ้ม พลางเปล่งเสียงหัวเราะดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าดิน เสียงหัวเราะม้วนตัวราวกับเกลียวคลื่น ทำเอาฟ้าดินรอบด้านสั่นสะท้านไปหมด “ฮ่าฮ่าฮ่า นี่มิใช่จักรพรรดิวายุทิพย์หรอกหรือ ครั้งก่อนถูกพวกเราโจมตีเสียจนต้องหนีไปอย่างน่าอนาถ ไยความจำจึงสั้นนัก มาหาเรื่องอีกแล้วหรือ ข้าขอเตือนให้เจ้ารีบถอยกลับไปเสีย มิเช่นนั้นแล้วไม่ต้องให้บรรพชนเหยี่ยนของข้าลงมือหรอก ข้าและผู้อาวุโสทั้งกลุ่มจะโจมตีให้พวกเจ้าต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปเลย ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนก้นเจ้าถูกพี่น้องของข้าถีบเข้าไปเต็มแรงเลยนี่ ฮ่าฮ่าฮ่า…”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบตกใจ


ยักษ์มีเกล็ดตนนี้ น่าจะเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ทำหน้าที่รักษาการณ์รอบนอกของเกาะราชันย์เหยี่ยน! หากพูดถึงพลังแล้ว รู้สึกว่าจะแข็งแกร่งกว่า ‘จักรพรรดิ’ ผู้นั้นที่ตนได้พบตอนมายังเกาะลอยคว้างแห่งแรกในหุบเขาเขี้ยวหักอยู่บ้าง ทว่าก็เป็นเรื่องปกตินัก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของ ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสามราชันย์


“บังอาจ!”


“โอหัง!”


ทันใดนั้นก็มีแม่ทัพเทพตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว!


ในบรรดาแม่ทัพเทพทั้งห้าที่จักรพรรดิวายุทิพย์พามาด้วยนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่อ้าปากสำรอกออกมาทันที ตู้ม…


เปลวเพลิงสีดำแกมม่วงพลันถูกพ่นออกมา โหมซัดและหอบม้วนฟ้าดินเอาไว้ เมื่อต้นไม้รอบด้านปะทะถูกเปลวเพลิงนี้ก็พลันถูกแผดเผาจนกลายเป็นความว่างเปล่าไปในทันที เปลวเพลิงก็ปกคลุมผู้อาวุโสผู้นั้นเอาไว้ ยักษ์มีเกล็ดตนนั้นกวัดแกว่งค้อนมหึมาในมือด้วยความโมโหทันทีแต่เปลวเพลิงอันไร้รูปร่างได้โอบล้อมมันเอาไว้ก่อนแล้ว ก่อนจะแผดเผาเสียจนยักษ์มีเกล็ดต้องร้องคำรามออกมาด้วยความโมโห


“ให้พวกเจ้าไสหัวไป ก็ไม่ยอมไป เช่นนั้นก็คอยดูเถิด!” ยักษ์มีเกล็ดก็มิได้คิดว่า ลำพังแค่อาศัยผู้อาวุโสอย่างเขาคนหนึ่งก็ประมือกับจักรพรรดิวายุทิพย์ได้แล้ว เพียงแต่เดิมทีเขาคิดว่าจะข่มขู่ให้จักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นี้ไสหัวไปเสีย! ในประวัติศาสตร์ แม้จักรพรรดิวายุทิพย์จะบุกมาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ต้องพ่ายแพ้จนจากไปในท้ายที่สุด


ยักษ์มีเกล็ดเคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งแล้วก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย


……


ในเผ่าชนพื้นเมือง มีกฎเกณฑ์อันเข้มงวด


แต่ภายในเผ่ามรณะทมิฬกลับหย่อนกว่ามากทีเดียว ต่อให้เป็น ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ซึ่งมีผู้แกร่งกล้าใต้บังคับบัญชาจำนวนมากที่สุดในบรรดาสิบสามราชันย์ ผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาทั้งหมด ไม่ว่าคนใดก็สามารถพบเขาได้โดยตรง


วังราชันย์เหยี่ยน


เป็นวังที่เลียนแบบการก่อสร้างวังของชนพื้นเมือง ที่สร้างแนบกับเทือกเขาอันสูงตระหง่าน ดูยิ่งใหญ่นัก


“ฟิ้ว”


ยักษ์มีเกล็ดเข้าไปในวัง แล้วสาวเท้าก้าวใหญ่ ไม่นานนักก็มาถึงโถงตำหนักมหึมาอันเยียบเย็นแห่งหนึ่ง เพียงแวบเดียวก็เห็นว่าบนเตียงหินหยกใสอันเย็นเยียบดุจน้ำแข็งในตำหนัก มีราชันย์เหยี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่! ราชันย์เหยี่ยนตัวเล็กจนออกจะผอมแห้งอยู่บ้าง ทั้งร่างมีแผ่นเกล็ดปกคลุมเอาไว้ชั้นหนึ่ง และมีปีกที่เต็มไปด้วยเกล็ดคู่หนึ่งด้วย มันนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินหยกใสเช่นนั้น กรงเล็บคมกริบคู่หนึ่งพาดอยู่บนตัก เขาค้อมตัวก้มหลังลงเล็กน้อย ปีกหุ้มเกล็ดก็บดบังร่างกายกว่าครึ่งเอาไว้ เขาหลับตาลงราวกับกำลังอยู่ในห้วงนิทรา


“บรรพชนเหยี่ยน จักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นั้นมาอีกแล้ว!” ยักษ์มีเกล็ดเข้าไปในโถงตำหนัก เสียงตะโกนดังก้องไปทั่ว ทำเอาทั้งโถงตำหนักสั่นสะท้านน้อยๆ

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 36 เป็นเขา จ้าวหิมะเหิน!

 

ราชันย์เหยี่ยนขยับเปลือกตาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสีเงินคู่หนึ่งมองดูยักษ์มีเกล็ดในตำหนักผู้นั้น “วายุทิพย์มาหรือ”


 


“ถูกต้องขอรับ เขาพาลูกมือมาด้วยหกคน ข้าปรากฏกายตะเพิดพวกเขาให้ออกไป แต่จักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นี้ยังลงมืออีก” ยักษ์มีเกล็ดบ่นอุบ บาดแผลเล็กน้อยที่ถูกแผดเผาย่อมหายดีตั้งนานแล้ว


 


ราชันย์เหยี่ยนควบคุมเกาะลอยคว้างแห่งนี้ได้ในระดับที่สูงอย่างยิ่งแล้ว อาศัยกลิ่นอายดำมืดที่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งในเกาะลอยคว้าง ราชันย์เหยี่ยนสัมผัสดูเล็กน้อย ก็สัมผัสได้ว่ามี ‘ลม’ ระลอกหนึ่งกำลังทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูง ลมระลอกนี้ ดูเหมือนจะนุ่มนวลไร้สุ้มเสียง แต่ภายในกลับแฝงไว้ด้วยความเหิมเกริม


 


“เฮอะ” ราชันย์เหยี่ยนกวัดแกว่งกรงเล็บเบาๆ


 


ภาพกลางอากาศบิดเบี้ยวไป เผยให้เห็นภาพ ณ บริเวณหนึ่งของเกาะ


 


ลมกลุ่มหนึ่งกำลังทะยานไปอย่างรวดเร็ว


 


ภายในลมกลุ่มนี้ ก็คือจักรพรรดิวายุทิพย์ ตงป๋อเสวี่ยอิงและแม่ทัพเทพทั้งห้า ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงปลอมแปลงกลิ่นอายจนเท่ากันกับแม่ทัพเทพทั้งห้ารอบกาย


 


“มาอีกแล้ว! ไม่ยอมตัดใจเลยจริงๆ” หว่างคิ้วของราชันย์เหยี่ยนฉายแววโหดเหี้ยยมออกมา มันหยิ่งผยองอย่างยิ่งแม้พลังของตนจะอยู่ในระดับกลางๆ ของสิบสามราชันย์ แต่อาศัยยอดฝีมือใต้บังคับบัญชากลุ่มใหญ่ มันกลับดูแคลนอีกสิบสองราชันย์ที่เหลืออยู่บ้าง! สถานะของมันในเผ่ามรณะทมิฬออกจะคล้ายกับจักรพรรดิเป่ยเหออยู่บ้าง จักรพรรดิเป่ยเหอก็มีแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาถึงสามสิบหกคนด้วยกัน! ทว่าพลังของจักรพรรดิเป่ยเหอเองนั้นใกล้เคียงกับยอดเคารพที่สุดแล้ว


 


“ฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย ยังจะมาดิ้นทุรนทุรายอีก” ราชันย์เหยี่ยนโมโหเป็นอย่างมาก


 


“มานี่ให้หมด!”


 


ราชันย์เหยี่ยนเอ่ยปสากตะคอก


 


เมื่อเสียงแพร่ออกไป ก็ดังก้องขึ้นข้างหูผู้อาวุโสแต่ละจุดในเกาะลอยคว้าง


 


สวบๆๆๆๆๆ…


 


เหล่าผู้อาวุโสคนแล้วคนเล่าได้ยินคำสั่งของพวกบรรพชนเหยี่ยน แต่ละคนก็เร่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นผู้อาวุโสที่อยู่ในห้วงนิทราก็ยังต้องตื่นแล้วรีบตรงมาทันที


 


รออยู่พักใหญ่! เพราะถึงอย่างไรผู้อาวุโสที่เพิ่งตื่นเหล่านั้นก็ออกจะเชื่องช้าอยู่บ้าง


 


“อื้ม” ราชันย์เหยี่ยนเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง “มากันครบแล้ว พวกเจ้าก็เห็นแล้วว่าจักรพรรดิวายุทิพย์มายังเกาะลอยคว้างของพวกเราอีกแล้ว!”


 


ด้านล่างมีผู้อาวุโสถึงห้าสิบห้าคนรวมตัวกันอยู่ ซึ่งนี่ก็คือผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของราชันย์เหยี่ยนแล้ว มีเพียงผู้แกร่งกล้าเผ่ามรณะทมิฬจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ไปเคลื่อนไหวอยู่ภายนอก โดยทั่วไปก็ฝึกฝน นอนหลบและกิน! ต่อให้ออกไปเคลื่อนไหว โดยทั่วไปก็เพื่อ ‘กิน’ เพื่อช่วงชิงทรัพยากร! และในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของราชันย์เหยี่ยน หากไม่ได้รับอนุญาตจากราชันย์เหยี่ยน พวกมันก็ไม่มีสิทธิ์ออกนอกเกาะ


 


ยามนี้ พวกมันก็มองเห็นภาพที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้านข้างแล้ว ภายในลมกลุ่มนั้น มีพวกจักรพรรดิวายุทิพย์ทั้งเจ็ดคนอยู่


 


“จักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นี้ช่างไม่รักษาหน้าเลยจริงๆ ครั้งก่อนหนีไปอย่างเสียหน้าถึงเพียงนั้น ครั้งนี้ยังมาอีก”


 


“ถูกโจมตีไปตั้งกี่ครั้งแล้ว”


 


“เพียงแต่สายเลือด ‘วายุทิพย์’ ของเขารักษาชีวิตได้ร้ายกาจนัก ตอนนั้นพวกเราเชิญให้ราชันย์อี้ช่วยเหลือ บรรพชนเหยี่ยนและราชันย์อี้ร่วมมือกัน ทั้งยังมีพวกเราผู้อาวุโสทั้งกลุ่มล้อมโจมตี ก็มิอาจสังหารเขาได้”


 


ผู้อาวุโสเหล่านี้โมโหเป็นอย่างมาก


 


“หากปล่อยให้วายุทิพย์บุกมาถึงวังของข้าได้ ก็จะยุ่งยากบ้างแล้ว” ราชันย์เหยี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น พลางกำชับว่า “ผู้อาวุโสฉี ใช้แผนเดิม เจ้านำผู้อาวุโสยี่สิบคนไปสกัดวายุทิพย์เอาไว้ ออกเดินทางเดี๋ยวนี้!”


 


“ขอรับ” ชายชราผิวสีดำร่างสูงผอมซึ่งมีรอยเหี่ยวย่นเต็มหน้าเอ่ยปาก ผู้อาวุโสฉีผู้นี้กวาดตามองปราดหนึ่ง “พวกเราออกเดินทางกันเถิด”


 


“ไป”


 


“ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจักรพรรดิวายุทิพย์นี่จะมาไม้ไหนอีก”


 


ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสองคนนี้มีทั้งรูปร่างเป็นมนุษย์และรูปร่างเป็นสัตว์ มีทั้งร่างสูงตระหง่านและร่างเตี้ยเล็ก  ทว่าแต่ละคนมีกลิ่นอายแข็งแกร่งเกรียงไกรนัก พวกมันเป็นผู้ที่มีกายหยาบแข็งแกร่งอย่างยิ่งในบรรดาผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของราชันย์เหยี่ยน เนื่องจากกายหยาบแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญอันตรายจึงสามารถต้านทานได้ดีกว่า!


 


เมื่อต้องรับมือจักรพรรดิวายุทิพย์ พวกมันก็มีตัวอย่างอยู่ก่อนแล้ว


 


ส่งผู้อาวุโสที่มีกายหยาบอันแข็งแกร่งทั้งยี่สิบสองคนคนบุกออกไปก่อน ผู้อาวุโสแต่ละคนล้วนมีพลังระดับแม่ทัพเทพ เมื่อร่วมมือกันมากถึงเพียงนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับ ‘ยอดเคารพ’ ก็สามารถต้านทานได้ระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเทพวายุทิพย์และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ก็เพียงพอจะพันธนาการได้แล้ว สามารถอาศัยสิ่งนี้ตรวจสอบจักรพรรดิวายุทิพย์ให้รู้ดำรู้แดงกันไปได้! จักรพรรดิวายุทิพย์กล้ามาทดลอง โดยทั่วไปก็ต้องมีหลักประกันบางอย่าง


 


“เฮอะๆๆ” ราชันย์เหยี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินหยกใส พลางมองดูภาพกลางอากาศ นัยน์ตาสีเงินยวงเยียบเย็นนัก


 


******


 


ครั้งนี้พวกจักรพรรดิวายุทิพย์และตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งเจ็ดคนทะยานไปด้วยความเร็วสูงอยู่ครู่หนึ่ง ศัตรูก็ปรากฏกายขึ้น


 


“โครมมมม…”


 


ผู้อาวุโสยี่สิบสองคนเคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏกายขึ้นพร้อมกัน ฟ้าดินรอบด้านพลันสับสนวุ่นวายขึ้นมา


 


“จักรพรรดิวายุทิพย์ เจ้ายังกล้ามาอีกรึ!”


 


“ครั้งนี้เจ้าจะมาไม้ไหนอีก”


 


“ครั้งก่อนเตะก้นเจ้าไปเต็มแรง ครั้งนี้ยังอยากถูกถีบอีกรึ”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า รับขวานข้าเสีย!”


 


“ครั้งก่อนกินแม่ทัพเทพลงไปตั้งครึ่งตัว ช่างสุขสราญนัก ตอนนั้นเจ้าทำอะไรช้าไปหน่อย แม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของเจ้าจึงถูกพวกเรากินเสียแล้ว”


 


ผู้อาวุโสเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้พากันลงมือ เนื่องจากแต่ละคนเชี่ยวชาญกระบวนท่าที่แตกต่างกัน เมื่อปะทุออกมาพร้อมกัน จึงทำให้ฟ้าดินรอบด้านสับสนไปหมด ราวกับข้าวต้มที่กำลังเดือดพล่าน กระบวนท่าต่างๆ กลับลอบโจมตีไปยังคนทั้งหกรอบกายจักรพรรดิวายุทิพย์จนหมด! ใช่แล้ว ปากกำลังก่นด่าจักรพรรดิวายุทิพย์ แต่การโจมตีกลับหลบเลี่ยงจักรพรรดิวายุทิพย์ไปจนสิ้น


 


เนื่องจากพวกมันรู้ว่าหากโจมตีจักรพรรดิวายุทิพย์ก็เสียแรงเปล่า! การสังหารแม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์สักคนหนึ่ง จึงทำให้จักรพรรดิวายุทิพย์เจ็บปวดใจได้จริงๆ


 


“เฮอะ”


 


จักรพรรดิวายุทิพย์กลับเป็นฝ่ายลงมือเสียเอง


 


มือซ้ายของเขาป้องไปข้างหน้าเล็กน้อย ทันใดนั้น ฟ้าดินที่กลายเป็นข้าวต้มที่กำลังเดือดพล่านตรงหน้ากลับมีกระแสอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น กระแสอากาศโหมซัดแล้วแผ่กำจายออกไปเป็นหย่อมๆ แล้วปกคลุมผู้อาวุโสเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้นเอาไว้ ผู้อาวุโสแต่ละคนล้วนถูกกระแสอากาศจำนวนมากพันธนาการเอาไว้ ทำให้พลังของพวกมันแต่ละคนได้รับผลกระทบ


 


หากวิเคราะห์โดยละเอียด จะเห็นว่าอันที่จริงแล้วกระแสอากาศแต่ละหย่อมก่อตัวขึ้นจากเส้นสายนับล้านๆ เส้นที่พันพาดกันไปมา หากเส้นสายเหล่านี้เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ก็สามารถเชือดเฉือนร่างกายได้อย่างง่ายดาย


 


แต่กระบวนท่าทางด้านบริเวณระดับนี้ กลับเพียงแค่ทำให้ผู้อาวุโสเหล่านี้ถูกพันมัดเล็กน้อยและพลังลดลงหนึ่งหรือสองส่วนเท่านั้น ผู้อาวุโสเหล่านี้ยังคงบุกเข้ามาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แม่ทัพเทพใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิวายุทิพย์ทั้งห้าลงมือพร้อมกัน ตัวจักรพรรดิวายุทิพย์เองก็ดึงดาบที่เหน็บไว้ตรงหว่างเอวออกมาทันที ประกายดาบกลายเป็นสายลม แผ่คลุมไปทางผู้อาวุโสเหล่านั้น


 


“พี่หิมะเหิน ตาท่านลงมือแล้วล่ะ” จักรพรรดิวายุทิพย์มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้าง


 


“ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ เขารออยู่แล้ว


 


จากนั้นเขาก็มองไปทางพวกจักรพรรดิวายุทิพย์ที่กำลังห้ำหั่นกับผู้อาวุโสยี่สิบสองคนอย่างดุเดือดเลือดพล่าน


 


วิ้ง…


 


เขตลวงโลกเทียม ร่อนลงไป!


 


ท่าไม้ตายที่หนึ่งของวิถีเขตลวงโลกเทียม คือโลกที่ดวงจิตของแต่ละชีวิตปรารถนาเป็นที่สุด โลกใบนี้ถึงขั้นเรียกได้ว่า ‘แท้จริงไม่หลอกลวง’! เขตลวงโลกเทียมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสร้างขึ้นมานี้ ในบางระดับก็คือความจริง! หากยอมทุ่มเทบางสิ่ง ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดในเขตลวงก็สามารถกลายเป็นความจริงได้ทั้งนั้น


 


เดิมทีผู้อาวุโสยี่สิบสองคนยังห้ำหั่นอย่างบ้าคลั่งอยู่ แต่เมื่อเขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นดึงดูดและฉุดรั้งวิญญาณของพวกเขา กลับมีผู้อาวุโสที่จมดิ่งลงไปทันที


 


เพียงพริบตาเดียว


 


ก็มีผู้อาวุโสถึงเจ็ดคนที่จมดิ่งลงไป! ผู้อาวุโสสิบหกคนพอจะครองสติไว้ได้อย่างพอถูไถ ยังมีพลังเหลืออยู่หนึ่งหรือสองส่วน! ผู้ที่สามารถรักษาพลังได้สามส่วนมีเพียงสี่คนเท่านั้น แน่นอนว่าทั้งสี่คนนี้มิได้มีปณิธานที่เยี่ยมยอดกว่าแม่ทัพเทพโครงกระดูกแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะโดยทั่วไปแล้วเผ่ามรณะทมิฬมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ผู้อาวุโสกลุ่มนี้ก็ยิ่งมีกายหยาบที่แข็งแกร่งเหลือประมาณ พลังที่กายหยาบสำแดงออกมา นั้นเป็นภาระต่อพลังจิตน้อยมาก ดังนั้นจึงมีสี่คนที่สามารถรักษาพลังเอาไว้ได้สามส่วน!


 


อันที่จริงโดยทั่วไปแล้ว ปณิธานของผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของราชันย์เหยี่ยน ออกจะด้อยกว่าแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกคนของจักรพรรดิเป่ยเหออยู่บ้าง


 


“เก็บ!” จักรพรรดิวายุทิพย์ที่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้วเริ่มจับตัวทันที


 


เจ็ดคนที่จมดิ่งลงไปนั้นง่ายดายที่สุด สามารถเก็บลงไปได้เลย!


 


ส่วนผู้อาวุโสสิบเอ็ดคนที่มีพลังเหลืออยู่หนึ่งหรือสองส่วนนั้น เดิมทีพวกมันก็แตกต่างกับจักรพรรดิวายุทิพย์อยู่แล้ว บัดนี้ก็ยิ่งแตกต่างเข้าไปใหญ่ ภายใต้บริเวณของจักรพรรดิวายุทิพย์ และด้วยการพันธนาการของกระแสอากาศหย่อมแล้วหย่อมเล่าก็ถูกจับตัวไว้ในทันที โดยมิอาจต้านทานได้แม้แต่น้อย


 


เพียงพริบตาเดียว ทั้งสิบแปดคนก็ถูกจับตัวเอาไว้จนเกลี้ยง


 


ส่วนอีกสี่คนที่รักษาพลังได้สามส่วนนั้น จักรพรรดิวายุทิพย์ก็ได้ส่งดาบออกไปสำแดงกระบวนท่าหนึ่ง! ประกายกระบี่เข้าพันธนาการผู้อาวุโสเผ่ามรณะทมิฬคนแล้วคนเล่าราวกับถูกฝึกมา ผู้อาวุโสเผ่ามรณะทมิฬคิดจะแยกร่างหลบหนีไปก็ทำไม่ได้ จึงถูกลมอันไร้ที่สิ้นสุดแทรกซึมเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของร่างกาย ถูกจับไปทั้งเป็น หนึ่งดาบต่อหนึ่งคน!


 


……


 


ราชันย์เหยี่ยนนั่งอยู่บนเตียงหินหยกใส นัยน์ตาสีเงินยวงมองดูภาพที่ปรากฏกลางอากาศ


 


ผู้อาวุโสอีกสามสิบกว่าคนก็กำลังดูอยู่เช่นกัน พวกมันอยากจะดูว่าครั้งนี้จักรพรรดิวายุทิพย์มีลูกไม้อันใด ต้องดูให้รู้แน่ชัด จึงสามารถตัดสินใจวางแผนรับมือขั้นต่อไปได้ดีขึ้น


 


“อะไรกัน” ใบหน้าซึ่งเดิมทีสงบนิ่งของราชันย์เหยี่ยนพลันกลายเป็นตื่นตระหนกไปในทันใด เขาไม่อยากจะเชื่อทุกสิ่งที่ปรากฏในภาพตรงหน้า


 


ผู้อาวุโสสิบแปดคน ถูกจับตัวไปในพริบตาเดียว


 


ที่เหลืออีกสี่คนก็ถูกจับไปทั้งเป็น หนึ่งดาบต่อหนึ่งคน! จักรพรรดิวายุทิพย์ออกดาบได้รวดเร็วเกินไปแล้ว ราชันย์เหยี่ยนมิทันได้ตอบโต้ ผู้อาวุโสที่ส่งออกไปในคราวนี้ก็ถูกจับทั้งเป็นไปหมดเสียแล้ว


 


“ทำไม ทำไม…” ราชันย์เหยี่ยนใจสะท้าน แต่ไหนแต่ไรมามันไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ต่อให้เผชิญหน้ากับ ‘ยอดเคารพ’ มันก็ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้


 


“บรรพชนเหยี่ยน ข้ารู้ ข้ารู้ หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นจะต้องเป็นจ้าวหิมะเหินในตำนานอย่างแน่นอน! จะต้องเป็นเขา เป็นเขาแน่ จ้าวหิมะเหิน!” ในบรรดาผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาสามสิบกว่าคน มีผู้อาวุโสที่มีร่างกายเป็นสัตว์ หัวเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง เขากรีดร้องเสียงแหลมออกมาด้วยความตื่นตระหนก


 


โถงตำหนักซึ่งเดิมทีเงียบเชียบ


 


มีเพียงเสียงกรีดร้องของผู้อาวุโสผู้นี้เท่านั้น ‘จะต้องเป็นเขา เป็นเขาแน่ จ้าวหิมะเหิน’ เสียงสะท้อนก้องไปทั่วทั้งโถงตำหนัก


 


ราชันย์เหยี่ยนหันขวับไปทางผู้อาวุโสผู้นี้ทันทีแล้วตวาดว่า  “รีบพูดมาเร็วเข้า ผู้ใดคือจ้าวหิมะเหิน เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 37 ราชันย์เหยี่ยนและจ้าวหิมะเหิน

 

ภายในโถงตำหนักอันเงียบสงัด ราชันย์เหยี่ยนและบรรดาผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างพากันจับจ้องผู้อาวุโสที่มีร่างกายเป็นสัตว์ หัวเป็นมนุษย์ผู้นี้เป็นตาเดียว ผู้อาวุโสผู้นี้ตกใจ เท้าทั้งสี่วางลงไปแล้วรีบพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “บรรพชนเหยี่ยน ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ข้ากำลังหลับใหลอยู่ ร่างแปรของข้าได้ไปพบเอ๋อลั่วพี่น้องของข้า เมื่อข้าได้พูดคุยกับเอ๋อลั่ว เอ๋อลั่วก็ได้พูดถึงเรื่องในเผ่าชนพื้นเมืองมีจ้าวหิมะเหินที่เก่งกาจอย่างยิ่งผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมา ได้ยินมาว่ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขาสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้ ทั้งยังกล่าวว่าจ้าวหิมะเหินเป็นผู้บำเพ็ญที่มาจากดินแดนจิตโลกา ทว่าเอ๋อลั่วรู้สึกว่าข่าวนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้สักเท่าใดนัก ข้าก็เชื่อว่าน่าจะเป็นข่าวลือ ผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาไหนเลยจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ได้ แต่เมื่อครู่นี้ ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งก็ได้ตกเข้าสู่ห้วงนิทรา ผู้อาวุโสที่เหลืออยู่แต่ละคน พลังก็ล้วนเสียหายเป็นอย่างมากจนถูกจับกุมเอาไว้อย่างรวดเร็ว ข้าก็มีแต่นึกถึงจ้าวหิมะเหินในตำนานผู้นี้แล้ว”


 


“ทำไมไม่ยอมบอกข้าเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เล่า” ราชันย์เหยี่ยนขบกรามกรอด เผยให้เห็นเขี้ยวคมกริบ


 


ผู้อาวุโสผู้นี้แตกตื่นอยู่บ้าง เขาละล่ำละลักว่า “ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น นอกจากนี้บรรพชนเหยี่ยนยังฝึกฝนอยู่ด้วย หากไม่มีเรื่องสำคัญ ข้าก็มิกล้ารบกวน”


 


ราชันย์เหยี่ยนเงียบงันไป


 


เดิมทีเผ่ามรณะทมิฬก็เผยแพร่ข่าวสารได้รวดเร็วอยู่แล้ว บวกกับที่พวกมันมีข้อแตกต่างจากเผ่าชนพื้นเมืองชัดเจนอย่างยิ่ง จึงมิอาจแทรกซึมเข้าไปได้ อีกทั้งนิสัยของผู้แกร่งกล้าเผ่ามรณะทมิฬก็ไม่เหมาะกับการเป็นสายลับ! แม้ราชันย์เหยี่ยนจะมีผู้แกร่งกล้าใต้บังคับบัญชามากมายนัก นับได้ว่าข่าวสารฉับไว แต่ก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น! จักรพรรดิวายุทิพย์นั้นแพ้ไม่ได้ นี่คือครั้งที่เขาเข้าใกล้ความสำเร็จมากที่สุดแล้ว จึงได้ให้ตงป๋อเสวี่ยอิงปลอมแปลงรูปโฉมและกลิ่นอาย อันที่จริงแล้ว ณ ก้นบึ้งของหัวใจ จักรพรรดิวายุทิพย์ก็เชื่อว่า…ราชันย์เหยี่ยนน่าจะยังไม่รู้ว่า ‘จ้าวหิมะเหิน’ มีตัวตน


 


“จ้าวหิมะเหินโผล่มาจากไหนกัน” ราชันย์เหยี่ยนเงียบงันไป


 


อานุภาพของมันเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาสิบสามราชันย์!


 


เพราะอาศัยผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย แต่ตอนนี้ เพียงครู่เดียวก็ถูกจังไปทั้งเป็นถึงยี่สิบสองคนด้วยกัน! เมื่อพลังลดลงเป็นอย่างมาก ราชันย์เหยี่ยนก็ตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว


 


“ผู้บำเพ็ญที่มาจากดินแดนจิตโลกาสามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปด้วยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอย่างนั้นหรือ เมื่อดูจากเมื่อครู่นี้แล้ว ในบรรดาผู้อาวุโส ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จมดิ่งลงไปทันที ส่วนใหญ่ก็ยังคงมีพลังหลงเหลืออยู่บ้าง” ราชันย์เหยี่ยนลอบพึมพำ “หากเป็นข้า ก็คงจะเหลือพลังมากกว่านี้”


 


ในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ยังมีคนที่เหลือพลังสามส่วนได้


 


เขาคาดการณ์ว่า ตนมีหวังจะเหลือพลังห้าส่วนได้ เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิวายุทิพย์ ก็มั่นใจว่าพอจะหนีเอาชีวิตรอดได้! เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเกาะลอยคว้าง มันสามารถเคลื่อนที่หนีไปได้อย่างรวดเร็ว


 


“ผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามทั้งห้า ตามข้ามา” ราชันย์เหยี่ยนยืดกายขึ้น


 


“ขอรับ”


 


ผู้อาวุโสซึ่งมีกลิ่นอายแกร่งกล้าที่สุดห้าคนรับคำอย่างนอบน้อม พวกมันทั้งห้าคือผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของราชันย์เหยี่ยน


 


สวบๆๆๆๆๆ…


 


ราชันย์เหยี่ยนและคนอื่นๆ รวมหกคนต่างก็แปรเป็นลำแสงทะยานออกไปจากโถงตำหนัก จากนั้นก็หายวับไป ก่อนจะทะลุอากาศไปพบจักรพรรดิวายุทิพย์ผู้นั้นทันที


 


……


 


กองกำลังของพวกจักรพรรดิวายุทิพย์และตงป๋อเสวี่ยอิงจับกุมตัวผู้อาวุโสยี่สิบสองคนเอาไว้ แต่ละคนต่างก็เผยรอยยิ้มออกมา นับว่าแผนการในครั้งนี้สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว!


 


“ขอแค่ราชันย์เหยี่ยนฉลาดสักหน่อย ครั้งนี้พวกเราก็จะสามารถสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ ต่อให้มันโง่เง่าจริงๆ มัวแต่สกัดกั้นต่อไปจนต้องสูญเสียผู้อาวุโสยี่สิบสองคน นอกจากนี้ยังเป็นผู้อาวุโสที่มีกายหยาบแข็งแกร่งอย่างยิ่งอีกด้วย เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของพี่หิมะเหิน เกรงว่าผู้อาวุโสที่หลงเหลืออยู่เหล่านั้นก็คงจะยิ่งน่าอนาถเข้าไปใหญ่ จะมีก็แต่ผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามห้าท่านเท่านั้นที่ออกจะรับมือได้ยากอยู่บ้าง ต่อให้พวกเราบุกไปซึ่งๆ หน้าจริงๆ ก็มีโอกาสมากที่จะคว้าชัย” จักรพรรดิวายุทิพย์มีรอยยิ้มระบายเต็มหน้า เขารอคอยวันนี้มานานแสนนานแล้ว


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มอยู่ข้างๆ แต่กลับสงบมาก


 


เขามาก็เพื่อการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่เขาใส่ใจก็คือการบำเพ็ญภายใน ‘เจดีย์เจ็ดระฆัง’ ต่างหาก เผื่อจะได้บรรลุถึงขั้นสุดยอดในคราวเดียว!


 


ส่วนการจัดการเผ่ามรณะทมิฬน่ะหรือ


 


ว่ากันตามตรงแล้ว ยอดเคารพทั้งสามของเผ่ามรณะทมิฬ แต่ละคนล้วนเป็นมารร้ายตัวฉกาจที่ชั่วร้ายอย่างยิ่ง ในบรรดาสิบสามราชันย์ นอกจากคนหนึ่งที่ค่อนข้างเก็บตัว มีความเคลื่อนไหวน้อยมากแล้ว อีกสิบสองคนที่เหลือ คนใดบ้างที่มิได้เข่นฆ่าจำนวนนับไม่ถ้วน และกลืนกินชนพื้นเมืองจำนวนนับไม่ถ้วน


 


“รู้สึกว่าเผ่ามรณะทมิฬนี้คล้ายคลึงกับฝูงมารผลาญทำลายมาก ตรงที่เกิดมาก็รู้จักแต่การกลืนกินและเข่นฆ่า ข้อแตกต่างเพียงข้อเดียวก็คือ ฝูงมารผลาญทำลายถือกำเนิดขึ้นมาจากกฎเกณฑ์อันสูงส่ง แฝงไว้ด้วยบัญชาที่ให้ทำลายล้างยุคหนึ่งๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ “ส่วนเผ่ามรณะทมิฬ ชาวเผ่ามรณะทมิฬเก้าจุดเก้าส่วนที่มีสติปัญญาค่อนข้างต่ำเหล่านั้นยังดีกว่าอยู่บ้าง พวกเขาจะไม่จากเกาะลอยคว้างไป ส่วนเผ่ามรณะทมิฬระดับยอด…มีปัญญาสูงส่งมากทีเดียว ความใฝ่ฝันก็สูงยิ่งนัก ไม่จากเกาะลอยคว้างไปก็แล้วไปเถิด แต่หากจากไปก็จะเป็นการกลืนกินตามอำเภอใจแล้ว”


 


เมื่อเทียบกันแล้ว เผ่าชนพื้นเมืองยังปกติกว่า มีหญิงชายให้กำเนิดลูกหลานสืบสกุล และมีความรู้สึกอยู่บ้าง ถือว่าคล้ายคลึงกับผู้บำเพ็ญมาก


 


ส่วนเผ่ามรณะทมิฬนั้น ถือกำเนิดขึ้นมาในเกาะลอยคว้างตามธรรมชาติอย่างแท้จริง


 


“มาแล้ว”


 


“พวกเขามาแล้ว”


 


จักรพรรดิวายุทิพย์ ตงป๋อเสวี่ยอิงและแม่ทัพเทพทั้งห้า แต่ละคนต่างก็มองไปเบื้องหน้า


 


เบื้องหน้ามีเงาร่างหกสายปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า


 


เงาร่างซึ่งเป็นหัวหน้านั้นผอมแห้ง บนร่างเต็มไปด้วยเกล็ด เมื่อปีกหุ้มเกล็ดของมันสยายออกเต็มที่ ปีกคู่นี้ก็ใหญ่เสียจนน่าตกใจ ใหญ่โตกว่าผู้อาวุโสแห่งสถานที่ต้องห้ามทั้งห้าข้างกายมันมากมายยิ่งนัก แต่ร่างกายของมันกลับดูเหมือนเป็นเพียงหนึ่งในพันของปีกเท่านั้น


 


ราชันย์เหยี่ยนสยายปีกออกมา นัยน์ตาสีเงินคู่หนึ่งมองปราดผ่านจักรพรรดิวายุทิพย์ไป จากนั้นสายตาก็หยุดลงที่ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง


 


“ท่านผู้นี้คือจ้าวหิมะเหินหรือ” หลังจากราชันย์เหยี่ยนปรากฏกายแล้ว ประโยคแรกที่เอ่ยออกมาก็คือเรียกหาจ้าวหิมะเหิน


 


“เจ้าเคยได้ยินชื่อของพี่หิมะเหินมาก่อนด้วยหรือ” จักรพรรดิวายุทิพย์ออกจะตกตะลึงอยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็ลอบดีใจ เคราะห์ดีที่ให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บซ่อนกลิ่นอายและแปลงโฉมเสียก่อน


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็มิได้ปลอมแปลงอีกต่อไป กลิ่นอายปกติกลับคืนมา และกลับคืนสู่รูปลักษณ์หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวแห่งดินแดนจิตโลกาดังเดิม ขณะเดียวกันก็พูดยิ้มๆ ว่า “ว่ากันว่าการเผยแพร่ข่าวสารภายในเผ่ามรณะทมิฬเชื่องช้ายิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าราชันย์เหยี่ยนจะรู้ชื่อข้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้”


 


“เป็นผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของข้าคนหนึ่งที่รู้จักชื่อเสียงของจ้าวหิมะเหิน” ราชันย์เหยี่ยนคร้านจะสนใจจักรพรรดิวายุทิพย์ หากแต่มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงต่อไปแล้วเอ่ยว่า “มันยังคิดว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับจ้าวหิมะเหินเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น เมื่อเห็นอานุภาพที่จ้าวหิมะเหินสำแดงออกมาในครั้งนี้ จึงรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง! เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหิน ครั้งนี้ข้าจะพ่ายแพ้ก็ไม่ละอายอะไรนัก”


 


“ยอมรับว่าแพ้แล้วรึ” จักรพรรดิวายุทิพย์หัวเราะเบาๆ


 


“วายุทิพย์ ก่อนหน้านี้เจ้าพ่ายแพ้มาตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้ามิได้แพ้เจ้า แต่แพ้จ้าวหิมะเหินต่างหากเล่า” ราชันย์เหยี่ยนกล่าว “นี่เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของดินแดนจิตโลกาและหุบเขาเขี้ยวหักที่สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิจมดิ่งลงไปได้! จะพ่ายแพ้ให้แก่ผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ ก็ถือเป็นเรื่องปกตินัก”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกตกใจนัก


 


เขาเผชิญกับเผ่ามรณะทมิฬมาหลายคนแล้ว แต่กลับเป็นคนแรกที่พูดจาอย่างมีเหตุมีผลเช่นนี้!


 


“จ้าวหิมะเหิน เหตุใดท่านจึงต้องช่วยเหลือวายุทิพย์ผู้นี้ด้วยเล่า หากพูดถึงความมากมายของสมบัติล้ำค่า แน่นอนว่าก็ต้องเป็นเผ่ามรณะทมิฬของเราที่มีมากที่สุด พวกเราต่างหากจึงจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถือกำเนิดขึ้นบนเกาะลอยคว้าง” ราชันย์เหยี่ยนกล่าว “หากท่านมาช่วยข้า ท่านต้องการสมบัติล้ำค่าอันใด ข้าก็จะช่วยให้ท่านได้มาให้ได้ ดีหรือไม่เล่า”


 


“โน้มน้าวข้าอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก


 


ด้วยนิสัยของเผ่ามรณะทมิฬ ต่อให้มีระดับสติปัญญาสูงส่ง ก็ไม่อยากจะประนีประนอม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นฝ่ายโน้มน้าวเองด้วย


 


ราชันย์เหยี่ยนเป็นอีกจำพวกหนึ่งจริงๆ


 


แต่เมื่อดูจากรายงาน ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ! ในบรรดาสิบสามราชันย์ ราชันย์เหยี่ยนก็เป็นอีกจำพวกหนึ่งจริงๆ มันตั้งใจมากที่จะทำให้ราชันย์เผ่ามรณะทมิฬแต่ละคนอุทิศกำลังเพื่อมัน และกลายเป็นผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของมัน! แน่นอนว่า ‘สายเลือด’ ของตัวมันเองมีส่วนช่วยผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นอย่างมากก็เป็นเเหตุผลข้อหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่ง ตัวมันเองก็สามารถใช้ข้อได้เปรียบเหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน


 


ดังนั้น เขาจึงกลายเป็นผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิบสามราชันย์


 


“สิ่งที่พี่หิมะเหินมี เจ้าไม่มีเสียหน่อย” จักรพรรดิวายุทิพย์สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย เขากลัวตงป๋อเสวี่ยอิงจะรับปาก


 


“ผู้บำเพ็ญต้องการอะไรน่ะหรือ” ราชันย์เหยี่ยนมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ได้ยินมาว่าผู้บำเพ็ญอย่างพวกท่านให้ความสนใจกับสมบัติลับอันสูงส่งเป็นที่สุด ทั้งยังมีการบำเพ็ญระดับขั้นอีกด้วย ฮ่าฮ่า จะว่าไปก็บังเอิญสหายรักผู้หนึ่งของข้ามีสมบัติลับอันสูงส่งอยู่ชิ้นหนึ่งพอดี! ข้าถึงขั้นสามารถคิดหาวิธีช่วยท่านหาสมบัติลับอันสูงส่งอีกสักชิ้นสองชิ้นได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถมอบให้ท่านได้ทั้งสิ้น! ส่วนการบำเพ็ญระดับขั้นนั้นไม่สนใจวัตถุช่วยเหลือภายนอกอะไรเลย จึงคุยกันง่ายหน่อย”


 


จักรพรรดิวายุทิพย์หน้าถอดสีไปแล้วจริงๆ


 


“มาช่วยข้า เป็นอย่างไรเล่า ท่านเป็นผู้บำเพ็ญ ทั้งยังมิใช่คนของเผ่าชนพื้นเมือง ท่านช่วยจักรพรรดิวายุทิพย์ก็เป็นการช่วยเหลือ ท่านมาช่วยข้า ก็เป็นการช่วยเหลือเช่นกัน” ราชันย์เหยี่ยนสยายปีกขนาดมหึมาออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร เขาให้ความสำคัญกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน


 


“ทำให้ราชันย์เหยี่ยนผิดหวังแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด


 


ราชันย์เหยี่ยนสีหน้าเปลี่ยนแปรไปในทันใด สายตาก็เยียบเย็นขึ้นเป็นอันมาก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)