Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 36 ตอนที่ 24-27
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 24 แม่ทัพเทพสามสิบหกนาย
ณ โลกเป่ยเหอ ผู้นำทั้งห้าทะยานมาถึงหน้าประตูตำหนักของตำหนักอันสูงตระหง่านที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
“พี่เทียนเฉิน” ยักษ์แปดกรในบรรดาผู้นำทั้งห้าเอ่ยขึ้น “รบกวนท่านช่วยส่งสารให้ที ว่าพวกเราอยากจะเยี่ยมคารวะองค์จักรพรรดิ”
“อ้อ”
ผู้ที่ยืนอารักขาอยู่หน้าประตูคือบุรุษผมเงินผู้หนึ่ง เขาก็ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้วเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่มีคุณสมบัติพอจะรับหน้าที่เป็นผู้อารักขาทั้งวังเทพเป่ยเหอเพียงลำพังได้ บุรุษผมเงินผู้นี้พูดยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งห้าเผ่ามิได้ไปโจมตีโลกแสงดาวหรอกหรือ ในฐานะผู้นำ พวกเจ้าก็ควรจะประจำการอยู่ที่นั่นสิ เหตุใดจึงมาที่นี่กันหมดเสียเล่า”
“อย่าพูดถึงเลย จู่ๆ โลกแสงดาวนั่นก็มียอดฝีมือเร้นลับโผล่ออกมาคนหนึ่ง ทำให้พวกเราเสียหายใหญ่หลวงนัก” ยักษ์แปดกรกล่าว “พี่เทียนเฉิน ท่านรีบไปส่งสารเถิด”
“ก็ได้ๆ ข้าจะไปส่งสารเดี๋ยวนี้แหละ” บุรุษผมเงินรีบแบ่งร่างแปรร่างหนึ่งมุ่งหน้าไปในตำหนักอย่างรวดเร็วทันที
……
หน้าแปลงดอกไม้สีม่วงแห่งหนึ่ง
คนอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าแปลงดอกไม้สีม่วงพลางมองดูดอกไม้เหล่านี้อย่างเงียบงัน สายตาลึกล้ำราวกับห้วงสมุทร แม้เขาจะยืนอยู่ตรงนี้ แต่ก็มีกลิ่นอายเข่นฆ่าที่ชวนให้คนประหวั่นใจแผ่ซ่านออกมา!
ชื่อเสียงของ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ นั้นโด่งดังเพราะการเข่นฆ่าโดยแท้
ประกายกระบี่ราวกับนทีสวรรค์อันโดดเด่นสะดุดตา สังหารจนทั่วทุกสารทิศต้องยอมก้มหัวให้ แม้แต่การเดิมพันของจักรพรรดิใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่ทั้งสี่คน จักรพรรดิเป่ยเหอก็เอาชนะจักรพรรดิอีกสามท่านได้อย่างต่อเนื่องกัน ภายในอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ยอดเคารพเฮ่ากู่ปกครองนี้ เขาได้กลายเป็นรองเพียงสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นอย่างยอดเคารพเฮ่ากู่เท่านั้น! เมื่อเขาออกคำสั่งคราหนึ่ง ก็ทำให้โลกจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสั่นสะท้านและยอมศิโรราบ
สวบ
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามาจากที่ไกลๆ แล้วร่อนลงมา เป็นร่างแปรของบุรุษผมเงินนั่นเอง เขาพูดด้วยความเคารพว่า “องค์จักรพรรดิ”
“มีเรื่องอันใด” จักรพรรดิเป่ยเหอยังคงเหม่อมองดูดอกไม้พลางเอ่ยปากเสียงเรียบ
“หัวหย่งและหัวหน้าของห้าเผ่าคนอื่นๆ มาขอเข้าพบขอรับ” บุรุษผมเงินกล่าว
“อ้อ ให้พวกเขาเข้ามา” จักรพรรดิเป่ยเหอกำชับ
“ขอรับ”
ร่างแปรของบุรุษผมเงินถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ
หัวหน้าของทั้งห้าเผ่าก็มาถึงที่นี่ พวกเขาพากันคารวะด้วยความเคารพ “คารวะองค์จักรพรรดิ”
จักรพรรดิเป่ยเหอจึงหมุนกายกลับมา เขามองดูทั้งห้าคนด้วยสายตาเรียบนิ่ง “พวกเจ้าไม่ทำศึก แต่กลับมาหาข้าที่นี่ เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นในการต่อสู้หรือ”
“ขอรับ” บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ผิวสีแดงก่ำกล่าวด้วยความเคารพ “พวกเราทั้งห้าเผ่าโจมตีโลกแสงดาว ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ก่อนหน้านี้ก็ราบรื่นดีมาก ผู้ใดจะไปคิดว่าจู่ๆ จะมีหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนามจ้าวหิมะเหินปรากฏกายขึ้นมาเสียนี่ เขาเชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่น เพียงชั่วความคิดเดียว ก็ทำให้ยอดฝีมือระดับยอดถึงสาบสิบคนที่พวกเราทั้งห้าเผ่าส่งไปถูกกระบวนท่าจนตกเข้าสู่ห้วงนิทรากันหมด ยอดฝีมือของพวกเราทั้งห้าเผ่ากลุ่มนี้ต้องตกเป็นเชลยจนสิ้น เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของเขา จำนวนมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์! นอกจากนี้ หากมีแค่พวกเราทั้งห้าคนร่วมมือกัน แม้มั่นใจว่าจะสามารถต้านทานกระบวนท่าทางด้านวิญญาณนั่นได้ แต่เกรงว่าพลังก็คงจะต้องถูกลดทอนลง ขณะเดียวกันพวกเราก็ยังต้องประสบกับการล้อมโจมตีของค่ายกลรบที่ประมุขแสงดาวและผู้แกร่งกล้าแห่งโลกแสงดาวร่วมมือกันสร้างขึ้นมาด้วย ข้าและคนอื่นๆ เกรงว่าจะต้องตกเป็นรอง นอกจากนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเราก็มีอันตรายถึงตาย ดังนั้นพวกเราจึงต้องถอยออกมาก่อนชั่วคราวขอรับ”
“ในบรรดายอดฝีมือที่ตกเป็นเชลยทั้งสามสิบคน คงไม่มีระดับจักรพรรดิกระมัง” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยปาก
“ขอรับ ไม่มีระดับจักรพรรดิเลย” บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ผิวสีแดงก่ำพูดด้วยความเคารพ
“ควันวายุ” จักรพรรดิเป่ยเหอกล่าว
ทันใดนั้นไอหมอกอันไร้รูปร่างก็รวมตัวกันขึ้นด้านข้าง กลายเป็นสตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรนางหนึ่ง สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรนางนี้คารวะด้วยความเคารพทันที “องค์จักรพรรดิ”
“จ้าวหิมะเหิน เจ้าเคยได้ยินสมญานามนี้หรือไม่” จักรพรรดิเป่ยเหอเอ่ยถาม
สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรสะดุ้งน้อยๆ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ภายในหุบเขาเขี้ยวหักของข้า ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้แกร่งกล้าระดับนี้มาก่อน แต่ภายในดินแดนจิตโลกา มีผู้ที่ชื่อมหาเคารพหิมะเหินคนหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งนัก! เขาเคยใช้นามแฝงว่า ‘คนวิถีจิตฟ้า’ แล้วทำให้มารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาสั่นสะท้านด้วยพลังของตัวคนเดียว ทั้งยังทำลายเรื่องมงคลของราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นอีกด้วย ทำเอาราชันย์อนธการอมตะโกรธแค้นมาก ราชันย์อนธการอมตะมองตัวตนที่แท้จริงของเขาออก แล้วบุกสังหารไปจนถึงเมืองหิมะเหิน…ศึกครั้งนั้น ประมุขแสงดาวก็เคยปรากฏกายออกมาเพื่อสกัดกั้นราชันย์อนธการอมตะไว้ จากนั้นพลังของราชันย์อนธการอมตะก็ปะทุออกมา แล้วเหิมเกริมไปทั่วสารทิศ ภายหลังมหาเคารพหิมะเหินผู้นั้นอาศัยค่ายกลมากมายในตัวเมือง จึงสามารถสกัดกั้นราชันย์อนธการอมตะได้อย่างพอถูไถ”
“จากการวิเคราะห์ พลังของมหาเคารพหิมะเหินน่าจะเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สอง ได้ยินมาว่ามีอาวุธเทพคละถิ่น พลังของตนไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเอาเสียเลย” สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรพูดอธิบาย
ในฐานะที่นางเป็นหนึ่งในเก้าแม่ทัพเทพประจำตัวของจักรพรรดิเป่ยเหอในตอนนี้ จึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลของแต่ละฝ่ายอยู่ตลอดเวลา
อันที่จริงแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นดินแดนจิตโลกาหรือเผ่าชนพื้นเมือง ก็ล้วนแต่เผยแพร่ข้อมูลรวดเร็วยิ่งนัก!
หากแต่การเผยแพร่ข้อมูลภายใน ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ กลับช้าเสียยิ่งกว่าช้า พวกมันกว่าเก้าจุดเก้าส่วนมีสติปัญญาประหนึ่งสัตว์ป่า ต่อให้เป็นผู้ที่มีสติปัญญาค่อนข้างสูง การส่งสารก็ล้วนแต่อาศัยการ ‘ถ่ายเสียง’ ทั้งสิ้น อย่าง ‘จักรพรรดิ’ ของเกาะลอยคว้างสักแห่ง ก็จะไม่จากเกาะลอยคว้างไปไหนนานแสนนาน! ดังนั้นจึงติดต่อกับโลกภายนอกน้อยมาก
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะใช้กระบวนท่าไม้ตายของวิถีเขตลวงโลกเทียมกวาดล้างเผ่ามรณะทมิฬในเกาะลอยคว้างหลายแห่งแต่กลับไม่มีชื่อเสียงอันใด
แต่เขาเพิ่งจะทดลองกระบวนท่าในเผ่าชนพื้นเมืองไปเพียงเล็กน้อย! นอกจากนี้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ลงมือด้วยก็เป็นเพียง ‘ระดับอ๋อง’ เท่านั้น ข่าวสารกลับแพร่มาถึงจักรพรรดิเป่ยเหอเสียแล้ว!
“ประมุขแสงดาวเคยไปช่วยเหลือเขาหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้าเบาๆ “เห็นที คงจะเป็นจ้าวหิมะเหินผู้นี้นั่นแหละ”
“นี่คือรูปโฉมของจ้าวหิมะเหิน” สตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรโบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีรูปร่างหน้าตาของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏขึ้น
“เขานี่แหละ”
“ถูกต้อง เขานั่นแหละ”
ผู้นำของทั้งห้าเผ่าต่างก็นัยน์ตาเป็นประกาย
จักรพรรดิเป่ยเหอพยักหน้าน้อยๆ “อาจหาญใช้ได้ทีเดียว ที่มาเป็นศัตรูกับข้า แม้แต่รูปโฉมก็มิได้ปลอมแปลง! ในเมื่อพวกเจ้าห้าเผ่ามีพลังไม่เพียงพอ ก็ส่งยอดฝีมือออกไปช่วยพวกเจ้าอีกก็ใช้ได้แล้ว!”
“จักรพรรดิ พวกเราห้าเผ่ามียอดฝีมือระดับยอดสามสิบกว่าคนที่ถูกจับไปเป็นเชลย หากพวกเราโจมตีแล้วเผ่าแสงดาว บ้าคลั่งขึ้นมาล่ะก็…” คนสามตาพูดอย่างร้อนรน
“เอาล่ะ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดเสียงเย็นชา นัยน์ตาก็เย็นเยียบขึ้นมา ราวกับประกายกระบี่อันเยียบเย็นดุจน้ำแข็งแทงตรงเข้ามา
คนสามตาชะงัก ไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาอีกต่อไป
พวกเขาติดตามจักรพรรดิเป่ยเหอมานานยิ่งนัก จึงรู้จักนิสัยของจักรพรรดิเป่ยเหอเป็นอย่างดี
“กรำศึกทั่วสารทิศ เรื่องนี้จะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิอาจขัดขวางข้าได้ทั้งนั้น”
เขาคือจักรพรรดิคนล่าสุดที่เพิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา
แต่บัดนี้กลับเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใด ก็เพราะเขาโหดร้ายกับตนเองและผู้ใต้บังคับบัญชามากพอ!
เพราะถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือ ‘ยอดเคารพ’ ผู้สูงส่งเหนือใคร อันที่จริงแล้วก็ยังคงเป็นระดับจักรพรรดิ! ยอดเคารพก็เป็นเพียงระดับจักรพรรดิระดับขั้นครบสมบูรณ์เท่านั้น หากมี ‘ระดับจักรพรรดิ’ กลุ่มใหญ่สักกลุ่มร่วมแรงร่วมใจกัน ก็สามารถใช้กำลังโจมตียอดเคารพคนหนึ่งได้! เพราะถึงอย่างไรระดับขั้นก็มิได้แตกต่างกันมากนัก จำนวนสามารถชดเชยความแตกต่างระหว่างกันได้
อย่างเขา จักรพรรดิเป่ยเหอ เดิมทีปกครองดินแดนทางฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นการปกครองอย่างเด็ดขาด! ยอดฝีมือทางฝั่งนั้นล้วนฟังคำบัญชาการของเขาทั้งสิ้น แล้วรวมตัวกันขึ้นมาเป็น ‘แม่ทัพเทพสามสิบหกนาย’
แม่ทัพเทพสามสิบหกนาย เมื่อร่วมมือกันแล้วก็สามารถโจมตียอดเคารพคนหนึ่งได้!
ก็มีแต่เขา จักรพรรดิเป่ยเหอเท่านั้นที่ทำถึงขั้นนี้ได้
อย่างจักรพรรดิคนอื่นๆ บางคน ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาในดินแดนได้อ่อนแอยิ่งนัก เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้ว โลกชนพื้นเมืองแต่ละฝ่ายล้วนทำตามบัญชา แต่อันที่จริงแล้วกลับต่างคนต่างอยู่! ดังนั้นจักรพรรดิคนอื่นๆ อีกสามคนภายใต้บังคับบัญชาของ ‘ยอดเคารพเฮ่ากู่’ จึงมียอดฝีมือที่ควบคุมรวมกันแล้วสู้ยอดฝีมือภายใต้การนำของจักรพรรดิเป่ยเหอมิได้เลย
“อาศัยยอดฝีมือทั้งหลายร่วมแรงกัน ข้าจึงสามารถครองครองทรัพยากรจำนวนมากขึ้นได้ บัดนี้จัดเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาจักรพรรดิทั้งสี่แล้ว!”
“เมื่อคำนวณจากเดิมพัน จึงสามารถชิงเอาดินแดนหลังจากจักรพรรดิเฉินเย่าสิ้นใจไปมาไว้ในมือได้”
“หากสามารถบัญชาการได้ทั้งหมด ขุมอำนาจภายใต้การบัญชาการของข้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก”
จักรพรรดิเป่ยเหอลอบพึมพำ
เขาไม่กลัวยอดเคารพเฮ่ากู่เลย! ต่อให้สู้กันตัวต่อตัว เขาก็แค่ตกเป็นรองเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแม่ทัพเทพผู้ภักดีอีกสามสิบหกนายด้วย!
การจะบัญชาการดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น หากค่อยเป็นค่อยไป ก็จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่จักรพรรดิเป่ยเหอมิได้มีความอดทนถึงเพียงนั้น! เขาเชื่อว่าบัดนี้ตนเองมีพลังแข็งแกร่งพอ แม่ทัพเทพสามสิบหกนายที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็แกร่งกล้าพอ สามารถฝืนกรำศึกได้ ที่ตอนนี้ ‘ถ่วงเวลา’ ออกไปนั้น ก็เพื่ออาศัยการห้ำหั่นระหว่างสงครามในการเคี่ยวกรำผู้แกร่งกล้าภายใต้บังคับบัญชาเท่านั้นเอง
ในการห้ำหั่นระหว่างความเป็นความตาย ผู้ที่แข็งแกร่งก็ยิ่งมีโอกาสสายเลือดตื่นรู้ และพลังยกระดับขึ้น
“จ้าวหิมะเหินหรือ” จักรพรรดิเป่ยเหอมิได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย
ไม่ว่าใครก็มิอาจขัดขวางเส้นทางของเขาได้
เขาจะต้องสำเร็จเป็นยอดเคารพคนที่สามของเผ่าชนพื้นเมืองให้จงได้!
“ยุ่งยากเสียแล้ว” ผู้นำทั้งห้ามองสบสายตากันอย่างเงียบงัน ด้วยความรู้สึกจนใจอยู่บ้าง พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ว่าครั้งนี้จักรพรรดิเป่ยเหอมีปณิธานอันแรงกล้า ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจขัดขวางเขาได้!
“ในเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณ ต่อให้มีผู้อ่อนแอจำนวนมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดเสียงเรียบ “เขมือบเมฆา ควันวายุ พวกเจ้าสองพี่น้องไปเชิญ ‘แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก’ เสีย แล้วพวกเจ้าสามแม่ทัพเทพก็ไปช่วยเหลือผู้นำทั้งห้าเก็บกวาดโลกแสงดาวเสียเถอะ! ไม่จำเป็นต้องไปเคี่ยวกรำในโลกแสงดาวอีกต่อไปแล้ว”
ผู้นำทั้งห้าได้ยินชื่อของสองแม่ทัพเทพคือเขมือบเมฆาและควันวายุ ก็ยังคงนิ่งเฉย
แต่เมื่อได้ยินชื่อของ ‘แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก’ ก็อดตกตะลึงมิได้
“แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกหรือ”
“เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิอยากจะคว้าชัยชนะอย่างหมดจดเลยทีเดียว” ผู้นำทั้งห้าตกตะลึง
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 25 ผู้ใดคือจ้าวหิมะเหิน
แม่ทัพเทพควันวายุเป็นสตรีเกราะเงินรูปร่างอรชรนางหนึ่ง ส่วนแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเป็นบุรุษเกราะดำร่างบึกบึน พวกเขาทั้งสองคนเป็นพี่น้องคลานตามกันมาอย่างแท้จริง เป็นแม่ทัพเทพอันดับที่ห้าและแม่ทัพเทพคนอันดับที่ยี่สิบเก้าในบรรดาแม่ทัพเทพสามสิบหกนาย
ต้องรู้ไว้ว่า
จักรพรรดิเป่ยเหอคัดเลือกแม่ทัพเทพสามสิบหกนายมาจากยอดฝีมือระดับจักรพรรดิในโลกทั้งหลายที่เขาบัญชาการอยู่! แต่ละคนล้วนมีพลังอันแข็งแกร่ง อย่างผู้นำของห้าเผ่าซึ่งเพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดินั้น ล้วนไม่มีคุณสมบัติพอจะได้รับเลือกให้เข้าอยู่ในแม่ทัพเทพสามสิบหกนายได้
“เชิญแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกหรือ” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาและแม่ทัพเทพควันวายุสบตากัน พวกเขาทั้งสองไม่ค่อยคุ้นเคยกับแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกสักเท่าใดนัก
แม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก
เป็น ‘แม่ทัพเทพอันดับสอง’ ในบรรดาแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกนาย ด้วยสถานะของแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูก จึงไม่มีทางทำหน้าที่แม่ทัพเทพอารักขาคอยติดตามจักรพรรดิเป่ยเหอ แม้จะกล่าวว่าข้างกายจักรพรรดิเป่ยเหอมักจะมีแม่ทัพเทพเก้าท่านคอยคุ้มกัน แต่โดยทั่วไปแล้วก็มักจะเป็นผู้ที่มีอันดับค่อนข้างรั้งท้าย ส่วนผู้ที่อยู่ในห้าอันดับแรก…ก็คือผู้ที่จักรพรรดิเป่ยเหอทำให้พวกเขายินยอมมาติดสอยห้อยตามด้วยการเจรจาแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างกัน ตามปกติแล้วก็เป็นอิสระ มีเพียงยามสงครามเท่านั้นจึงให้พวกเขาลงมือ
“ไปเถิด พวกเจ้าไปพบแม่ทัพเทพมังกรโครงกระดูกเถิด ให้เขานำพวกเจ้าไปยังโลกแสงดาว” จักรพรรดิเป่ยเหอออกคำสั่ง
เขาไม่ยอมให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเป็นอันขาด!
จะต้องสะอาดหมดจด!
“ขอรับ!”
แม่ทัพเทพเขมือบเมฆา แม่ทัพเทพควันวายุและผู้นำของทั้งห้าเผ่าพากันรับคำ
……
แม่ทัพเทพเขมือบเมฆา แม่ทัพเทพควันวายุและผู้นำทั้งห้า โดยสารเรือใหญ่ลำนี้ออกจากโลกเป่ยเหอแล้วทะลุอากาศไป ไม่นานนักก็มาถึงโลกโครงกระดูก
“ฟิ้ว”
แม้โลกโครงกระดูกจะเป็นบริเวณที่จักรพรรดิเป่ยเหอปกครองเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากแม่ทัพเทพโครงกระดูกแข็งแกร่งพอ จึงค่อนข้างเป็นอิสระมาก ตลอดคืนวันอันยาวนาน ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ ถูกโยกย้ายแค่เพียงบางครั้งเท่านั้น เท่านั้น! เพราะถึงอย่างไรด้วยสถานะของจักรพรรดิเป่ยเหอ…ก็หาได้ยากนักที่จะโยกย้ายแม่ทัพเทพโครงกระดูก
ณ ตำหนักอันสูงตระหง่านซึ่งสร้างขึ้นจากโครงกระดูกสีขาว
‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ คือชายหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาผู้หนึ่ง บนร่างมีเกราะกระดูกขาวหุ้มอยู่ เขากำลังสวาปามกะดูกชนิดแล้วชนิดเล่าตรงหน้าคำโต กร๊อบๆๆ เขาเคี้ยวจนละเอียดแล้วกลืนลงไปอย่างง่ายดาย
รอบด้านเขาก็มีทหารคุ้มกันซึ่งเป็นยอดฝีมือแห่งเผ่าโครงกระดูกอยู่
เมื่อแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาและคนอื่นๆ เข้ามาเยี่ยมเยียนนั้น
แม่ทัพเทพโครงกระดูกเพิ่งจะกินกระดูกในถาดขนาดมหึมาตรงหน้าลงไปจนเกลี้ยง แล้วเขาก็ยืนขึ้นมา พลางเอ่ยว่า “กินเสร็จพอดี ไปเถอะ ไปโลกแสงดาวกัน”
เรือใหญ่ทะยานออกจากโลกโครงกระดูกไป
“ทุกครั้งที่เห็นน้องควันวายุ ก็รู้สึกว่างามขึ้นทุกครั้งเลย” แม่ทัพเทพโครงกระดูกพูดยิ้มๆ “น้องควันวายุ มาเป็นฮูหยินข้าเป็นอย่างไรเล่า เผ่าโครงกระดูกของข้ากำลังขาดประมุขหญิงพอดีน่ะ!”
“ทุกครั้งที่ได้พบพี่รอง พี่รองก็หยอกข้าเล่นอยู่เรื่อย” แม่ทัพเทพควันวายุพูดอย่างจนใจ
“น่าเสียดายที่ข้าชอบน้องควันวายุ แต่น้องควันวายุกลับไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลย” แม่ทัพเทพโครงกระดูกทอดถอนใจ เขามองดูแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาที่อยู่ด้านข้าง “เขมือบเมฆา เจ้าช่วยข้าเกลี้ยกล่อมน้องสาวเจ้าทีสิ”
“ข้ากล่อมนางมิได้หรอก” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาพูดเสียงต่ำ “พี่รอง ท่านก็รู้ มีแต่น้องสาวข้าเท่านั้นที่ยุ่งเรื่องข้าได้ ข้าจะกล้าไปยุ่งกับนางเสียที่ไหนกันเล่า”
“ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!” แม่ทัพเทพโครงกระดูกแค่นเสียง “ข้าล่ะรู้สึกขายหน้าแทนเจ้าจริงๆ”
แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาต่างก็จนใจ
อันที่จริงแล้วพวกเขาก็มิได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับแม่ทัพเทพโครงกระดูกขนาดนั้น เพียงแต่ว่า ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ มีนิสัยพิกลอยู่อย่างหนึ่ง…ก็คือเมื่อได้พบแม่ทัพเทพหญิงไม่ว่าคนใดในบรรดาแม่ทัพเทพสามสิบหกนาย ก็ล้วนเสนอว่าจะให้ไปเป็นภรรยาของเขา! ทว่าสตรีที่สามารถสำเร็จเป็นแม่ทัพเทพได้ แต่ละคนก็ล้วนไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง คิดจะให้พวกนางจิตใจหวั่นไหวจึงมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
……
พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกันอยู่บนเรือใหญ่ ไม่นานนักก็เข้าสู่โลกแสงดาวแล้วเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังนครแสงดาวทันที
ภายในนครแสงดาว
ชาวเผ่าแสงดาวกำลังเฉลิมฉลองอยู่ แม้จะรู้ดีว่าเป็นชัยชนะเพียงชั่วคราว เพราะเบื้องหลังของศัตรูเป็นถึง ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ผู้มีพลังอันแข็งแกร่ง! แต่พวกเขาทนอดสูใจมานานแสนนานแล้ว ท่ามกลางความสิ้นหวัง ก็มีความตื่นตระหนกอยู่ด้วย ยากนักที่จะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่สักครั้ง ทั้งยังจับเชลยมากลุ่มใหญ่อีกด้วย แต่ละคนล้วนเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ แม้แต่เหล่ายอดฝีมือระดับยอดของเผ่าแสงดาวก็เข้ารายล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงพร้อมกับ ‘ประมุขแสงดาว’
พวกเขาร่ำสุราพลางหัวร่อต่อกระซิกไปพลางอย่างสุขสราญใจ
“พวกเขาไม่กล้าโจมตีง่ายๆ อีกแล้ว นอกเสียจากพวกเขาจะไม่แยแสชีวิตของเชลยเหล่านั้น”
“เฮอะๆ หากจะให้พวกเราตาย เชลยพวกนั้นก็ต้องตายเสียก่อน”
“จ้าวหิมะเหินจะต้องช่วยพวกเราแน่ พวกเขามิได้ชนะง่ายๆ ถึงเพียงนั้นหรอก”
แต่ละคนพากันพูดเสียงสูง
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอยู่ข้างๆ ในใจกลับลอบรำพึงว่า ตอนที่เพิ่งมาถึง ผู้อาวุโสและแม่ทัพเหล่านี้ล้วนกล่าวว่า ‘หากศัตรูจะสังหารพวกเขา ก็คงจะต้องตายตกไปกว่าครึ่ง’ แม้แต่ผู้ที่มีความคิดว่าจะชี้เป็นชี้ตายกันไปข้างหนึ่ง ก็ไม่มีความคิดที่จะคว้าชัยได้เลย! แม้ตอนนี้จะดีขึ้นมาบ้าง และมองเห็นความหวังอยู่เล็กน้อยแล้ว แต่ในใจกลับไม่เป็นสุขนัก
ช่วยไม่ได้ ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของจักรพรรดิเป่ยเหอได้ฝังรากลึกลงในจิตใจของชนพื้นเมืองทุกผู้เสียแล้ว
“ตอนนั้นประมุขแสงดาวมาช่วยข้า ครั้งนี้ข้าก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
สำหรับเขาแล้ว
เขาไม่กลัวเผ่ามรณะทมิฬและชาวเผ่าชนพื้นเมืองเลยแม้แต่น้อย เผ่าที่มีพลังอันน่าหวาดหวั่นที่สุดนั้นมิอาจเข้าไปในดินแดนจิตโลกาได้! พวกเขาได้รับขีดจำกัดของกฎเกณฑ์ที่ ‘หยวน’ ทิ้งเอาไว้ และผู้ที่สามารถเข้าไปในดินแดนจิตโลกาได้ โดยทั่วไปก็เป็นผู้ที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ ระดับนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าไม้ตายของวิถีเขตลวงโลกเทียมของตน ทันทีที่พบหน้าก็เกรงว่าคงจะต้องหลับใหลเสียแล้ว!
“ไม่ดีแล้ว” สีหน้าของประมุขแสงดาวพลันเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่
“เป็นอะไรไปหรือ” คนกลุ่มหนึ่งที่เฉลิมฉลองอยู่ภายในโถงตำหนักต่างก็มองไปทางประมุขแสงดาว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองมาเช่นกัน
สีหน้าของประมุขแสงดาวคล้ำเขียว ในฐานะที่เขาเป็นประมุขของโลกแสงดาวแห่งนี้ ในสายตาของ ‘แม่ทัพเทพโครงกระดูก’ เรือใหญ่ที่พวกเขาโดยสารอยู่นั้น เพิ่งจะเข้าสู่โลกแสงดาว ก็ถูกพบเข้าทันที
“ฟิ้ว”
ประมุขแสงดาวโบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศด้านข้างก็มีภาพฉากหนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นคือเรือใหญ่
บนเรือใหญ่มีเงาร่างทั้งหมดรวมแปดสาย ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือ ก็คือชายหนุ่มชุดเขียวซึ่งสวมเกราะกระดูกขาวเอาไว้และคนอื่นๆ รวมสามคน ได้แก่แม่ทัพเทพโครงกระดูก แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆา ด้านหลังพวกเขาทั้งสามจึงจะเป็นผู้นำของทั้งห้าเผ่า
เพียงแปดคน มิได้พาผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ มาด้วย! เนื่องจากพวกเขาเข้าใจดีมากว่า ผู้ที่มีพลังอ่อนแอ เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณก็ล้วนต้องถูกกวาดล้างทั้งสิ้น
“นี่มัน…”
ประมุขแสงดาว ผู้อาวุโสทั้งเก้าและบรรดายอดฝีมือทั้งหลายสีหน้าพลันเปลี่ยนแปรไปจนไม่น่ามอง ภรรยาและบุตรสาวของประมุขแสงดาวก็สีหน้าซีดขาวเช่นเดียวกัน
“แม่ทัพเทพควันวายุ แม่ทัพเทพเขมือบเมฆา และยังมี…แม่ทัพเทพโครงกระดูกด้วย! แม้แต่แม่ทัพเทพโครงกระดูกก็ยังมาด้วย ช่างเห็นโลกแสงดาวของเราอยู่ในสายตาจริงๆ” ร่างของประมุขแสงดาวสั่นเครือ หากอยู่ภายนอก หากไม่มีพละกำลังของเผ่าแสงดาวคอยส่งเสริมตนเอง แม่ทัพเทพโครงกระดูกก็คงจะสามารโจมตีเขาจนสลายไปได้อย่างง่ายดาย! แต่ต่อให้มีพละกำลังของเผ่าช่วยส่งเสริม เกรงว่าพลังของเขาก็คงจะแค่สามารถเทียบกับแม่ทัพเทพควันวายุที่อ่อนแอที่สุดได้อย่างพอถูไถเท่านั้น
โจมตีอย่างไรเล่า
“รับศัตรู!!!” ประมุขแสงดาวขบกรามพลางคำรามเสียงต่ำ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ต้องขัดขวางไว้
“อำมหิตใช้ได้ที จักรพรรดิเป่ยเหอก็อำมหิตใช้ได้เลยทีเดียว!”
“เห็นทีเขาจะไม่แยแสชีวิตของเชลยพวกนั้นเสียแล้ว”
“ให้แม่ทัพเทพโครงกระดูกมาจัดการโลกแสงดาวของเรา”
ผู้คนทั้งหลายรวมทั้งผู้อาวุโสทั้งเก้าต่างก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา
สวบๆๆ…
พวกเขาต่างก็มาถึงประตูเมืองอย่างรวดเร็ว แล้วยืนอยู่กลางอากาศ ภายใต้แสงดาวที่สาดส่อง แต่ละคนต่างก็ทอดสายตามองออกไปไกล ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ข้างประมุขแสงดาวพลางมองดูทุกสิ่ง เขาได้รับรายงานที่เผ่าเซวี่ยเหยียนมอบให้ แล้วก็รู้จักแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกนายภายใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอผู้มีชื่อเสียงเลื่องลืออีกด้วย! ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจใคร่รู้นัก
ก่อนหน้านี้ ท่าไม้ตายวิถีเขตลวงโลกเทียมของเขา ล้วนแต่เป็นการลงมือกับเหล่าจักรพรรดิของเกาะแต่ละแห่งของเผ่ามรณะทมิฬเท่านั้น ไม่รู้ว่าเมื่อลงมือกับชนพื้นเมืองจะให้ผลเช่นไร! ทว่าเมื่อดูๆ แล้ว แม้ปัญญาของชนพื้นเมืองจะดีกว่าเผ่ามรณะทมิฬอยู่บ้าง แต่ทางด้านการฝึกจิตทิพย์นั้นก็ยังห่างชั้นกับผู้บำเพ็ญอยู่มากโขชนิดเทียบไม่ติด เพียงแต่อาศัยความพิเศษของสายเลือดและความพิเศษของวิญญาณจึงสามารถต้านทานได้เล็กน้อยก็เท่านั้นเอง
“มาแล้ว”
“เป็นแม่ทัพเทพโครงกระดูก”
“เตรียมตัวสู้ให้สุดชีวิตเถอะ หากสู้มิได้ ก็ค่อยหนีตายตามแผนสุดท้ายที่วางเอาไว้ก็แล้วกัน” ประมุขแสงดาวและเหล่าผู้อาวุโสถ่ายเสียงให้กันเบาๆ นัยน์ตาของแต่ละคนฉายแววคลุ้มคลั่งออกมา
ที่นี่คือบ้านเกิดของพวกเขา! พวกเขาจึงไม่มีทางถอดใจไปง่ายๆ จะสู้สุดชีวิตทั้งที ก็ต้องสู้จนถึงชั่วขณะ!
ฟิ้ว…
เรือใหญ่ลำนั้นทะลุผ่านอากาศ ก่อนจะปรากฏขึ้นนอกนครแสงดาวแล้วหยุดอยู่ไกลลิบตรงนั้น แรงกดดันอันไร้รูปร่างทำให้ชาวเผ่าแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกจิตใจไม่เป็นสุข แม้พวกเขาจะรู้ว่า ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ น่าหวาดหวั่นมากก็จริง แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะได้รับชัยชนะมายกหนึ่ง ก็ส่งแม่ทัพสามคนจากแม่ทัพเทพสามสิบหกนายมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้แล้ว
“อ้อ เผ่าแสงดาว ช่างกล้าดีนัก!” บนหัวเรือใหญ่ บุรุษสวมเกราะกระดูกสีขาวผู้นั้นกวาดตามองคราหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ผู้ใดคือจ้าวหิมะเหิน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงก้าวออกมา แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าเองคือจ้าวหิมะเหิน!”
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 26 จัดการระดับจักรพรรดิ
แม่ทัพเทพโครงกระดูกมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างสำรวจตรวจตรา มุมปากแฝงรอยยิ้มหยอกเย้าเอาไว้ “ผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาอย่างเจ้าคนหนึ่ง ไม่ยอมบำเพ็ญให้ดีๆ แต่กลับมายังหุบเขาเขี้ยวหักแล้วสอดมือยุ่งเกี่ยวเรื่องของเผ่าชนพื้นเมือง อาจหาญไม่เบาจริงๆ ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนบัดนี้ ผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาที่เข้ามายังเทือกเขานี้ก็ล้วนแต่นะมัดระวังกันทั้งนั้น มีแต่เจ้าเท่านั้นที่กล้าดีถึงเพียงนี้! แม้ข้าและแม่ทัพเทพคนอื่นๆ จะมิอาจผ่านสิ่งกีดขวางแล้วเข้าสู่ดินแดนจิตโลกาได้ แต่การจะส่งคนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิเข้าไปในดินแดนจิตโลกานั้นก็ทำได้สบายนัก!”
“อ้อ ข้าตั้งตารอคอยเลยล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มอย่างสงบ
แม่ทัพเทพโครงกระดูกเห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยิ้มเยาะ “ทำไมรึ อาศัยว่าค่ายกลเมืองหิมะเหินของเจ้ายอดเยี่ยมนักอย่างนั้นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดให้มากความ
เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิหรือ
ก็แค่ระดับเดียวกับผู้อาวุโสใหญ่ของเกาะลอยคว้างแห่งแรกที่ตนไปบุกฝ่าเท่านั้น! เมื่อวิเคราะห์จากการทดลองของตน แม้โดยรวมแล้ว สติปัญญาของเผ่าชนพื้นเมืองจะสูงกว่าเผ่ามรณะทมิฬมากนัก แต่ในด้าน ‘การบำเพ็ญจิต’ ของพวกเขาก็แตกต่างกับผู้บำเพ็ญอย่างชัดเจนมาก ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
“ร่างแยกมากมาย อาศัยว่ามีเมืองหิมะเหิน ก็โอหังถึงเพียงนี้ ไม่ดูเลยว่าตนมีพลังสักแค่ไหนกัน” แม่ทัพเทพโครงกระดูกคร้านจะพูดให้มากความ บรรดาผู้ไร้เทียมทานระดับยอดในเผ่าชนพื้นเมืองของพวกเขาไม่เห็นผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
พวกเขามีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่างจากผู้อื่นโดยกำเนิด
สายตาของแม่ทัพเทพโครงกระดูกหยุดลงที่ร่างของประมุขแสงดาวและผู้อาวุโสกลุ่มนั้น “แสงดาว อย่าหาว่าจักรพรรดิไม่ให้ทางรอดกับเจ้าก็แล้วกัน ตอนนี้มีทางสองสายให้พวกเจ้าเลือกเดิน”
ประมุขแสงดาวและบรรดายอดฝีมือคนอื่นๆ ของเผ่าแสงดาวต่างก็สั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ
ทางสองสายหรือ
เห็นทีจักรพรรดิเป่ยเหอจะยังคงใส่ใจชีวิตของเชลยเหล่านั้นอยู่เล็กน้อย
“ทางแรก ก็คือดื้อดึงต่อต้านต่อไป ข้าก็จะลงมือทำให้เผ่าแสงดาวของพวกเจ้าถูกทำลายไป เฮอะๆ สายเลือดของเผ่าชนพื้นเมืองมีมากมายยิ่งนัก สายเลือดที่อ่อนแออย่างสายเลือดแสงดาวก็ควรจะสลายหายไปได้แล้ว ปล่อยให้สายเลือดที่แข็งแกร่งกว่าดำรงอยู่ต่อไปในโลกใบนี้” แม่ทัพเทพโครงกระดูกพูดเสียงเรียบ “ข้าล่ะรอคอยให้พวกเจ้าเลือกทางสายนี้เป็นอันมาก”
บุคคลระดับสูงของเผ่าแสงดาวต่างก็โศกเศร้า แต่กลับข่มกลั้นเอาไว้
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่งเสียงฮึดฮัดอยู่อีกด้านหนึ่ง
“ทางสายที่สอง ก็คือพวกเจ้าจะต้องสวามิภักดิ์ต่อองค์จักรพรรดิ! นอกจากนี้ประมุขแสงดาวและผู้อาวุโสทั้งเก้าจะต้องมุ่งหน้าไปยังโลกเป่ยเหอ เพื่อฟังการโยกย้ายขององค์จักรพรรดิ พร้อมกับมอบเชลยให้ด้วย จักรพรรดิก็จะสามารถรับรองได้ว่า พวกเจ้าเผ่าแสงดาวจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปภายในโลกใบนี้ได้ และนับจากนี้ไป ก็จะระดมพลยอดฝีมือจากโลกแสงดาวอย่างมากที่สุดเพียงแค่สิบคนเท่านั้น” แม่ทัพเทพโครงกระดูกกล่าว
“เป็นไปไม่ได้”
“ฝันไปเถอะ”
“เช่นนั้นก็ทำศึกกันเถอะ ไหนๆ ก็เตรียมพร้อมแล้วนี่ หากเอาไว้ไม่ไหวเมื่อไหร่ ก็สังหารเชลยทั้งสามสิบคนทิ้งเสียก่อน”
คนของทางเผ่าแสงดาวต่างก็พากันคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
นี่คือเรื่องที่พวกเขามิอาจประนีประนอมได้! การบำเพ็ญนั้น ใฝ่หาสิ่งใดกัน ใฝ่หาความอิสระเสรีน่ะสิ! อิสระอย่างเต็มที่! ผู้ใดจะอยากเป็นทาสของจักรพรรดิเป่ยเหอไปตลอดกาลกันเล่า หากรับปากแล้ว เช่นนั้นเผ่าแสงดาวก็จะดิ้นไม่หลุดจากการควบคุมของจักรพรรดิเป่ยเหอไปตลอดกาล
“โง่เง่า พวกเจ้ากำลังรนหาที่ตาย หรือว่าพวกเจ้าเผ่าแสงดาวอยากจะทำลายเผ่าพันธุ์กัน” ผู้นำทั้งห้าเผ่าต่างก็ร้อนใจขึ้นมา เนื่องจากพวกเขาทั้งห้าเผ่ามียอดฝีมือระดับยอดถึงสามสิบกว่าคนที่ถูกจับไปเป็นเชลย พวกเขาไม่อยากเห็นการแตกหัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าทรยศจักรพรรดิเป่ยเหอ จึงได้แต่หวังว่าเผ่าแสงดาวจะยอมสวามิภักดิ์
“หากพวกเจ้าขัดขวาง เมืองต้องล่ม เผ่าต้องสลายอย่างแน่นอน!”
“ประมุขแสงดาว หรือว่าพวกเจ้ารักตัวกลัวตาย เสียสละพวกเจ้าแค่สิบคน ทั้งเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้าก็จะเป็นอิสระ!”
ผู้นำทั้งห้าเผ่าพากันแค่นเสียงด้วยความโมโห
“น่าขันนัก เผ่าพันธุ์ล่มสลายหรือ อาศัยแค่พวกเจ้าน่ะนะ” ประมุขแสงดาวแค่นเสียงเฮอะด้วยความโกรธเกรี้ยว
“หากพวกเราคิดจะหนีไปจริงๆ ก็คงจะหนีไปจากโลกแสงดาวตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าไม่อยากจากบ้านเกิดไปก็เท่านั้นเอง” บรรดาผู้อาวุโสด้านข้างก็พูดขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
“น้องหิมะเหิน ทำตามที่พูดกันเอาไว้ก่อนหน้านี้แหละ หากต้านทานไม่ไหว เผ่าแสงดาวของข้ามีสองกองด้วยกัน ก็รบกวนเจ้าช่วยสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาพาพวกเขากลับไปยังดินแดนจิตโลกาด้วย” ประมุขแสงดาวเอ่ยปากออกมาเสียงดังกังวานอย่างคร้านจะปิดบัง
“วางใจเถิด ข้าต้องทำได้อย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
หากท้ายที่สุดมิอาจต้านทานได้ขึ้นมา
บรรดดาผู้ที่อ่อนแอก็จะแบ่งเป็นกองกำลังย่อยๆ แล้วเริ่มหลบหนีไป! ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ในหอสุรา ประมุขแสงดาวก็ได้ขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงช่วยเหลือ
อันที่จริงแล้ว ในประวัติศาสตร์มีชาวเผ่าชนพื้นเมืองที่อ่อนแอหนีไปยังดินแดนจิตโลกามากมายนัก เพียงแต่ว่าโดยทั่วไปแล้วมักจะปิดบังตัวตน ผู้บำเพ็ญโดยทั่วไปจึงไม่ทราบ! อย่างตอนที่ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ อ่อนแอก็เคยหนีเข้ามาในดินแดนจิตโลกา
แต่ทว่า…
เผ่าชนพื้นเมืองและเผ่ามรณะทมิฬ ทั้งสองเผ่านี้ล้วนแต่มีเงื่อนไขของสภาพแวดล้อมที่จำกัดมาก
เผ่ามรณะทมิฬแทบจะรั้งอยู่ในเกาะลอยคว้างมานานแสนนาน ภายในเกาะลอยคว้าง เมื่อเทียบกันแล้วพลังของพวกมันก็ยกระดับได้ง่ายกว่า ถึงขั้นมีแต่อยู่ในเกาะลอยคว้างเท่านั้น เผ่ามรณะทมิฬจึงจะสามารถวิวัฒน์ไปได้!
เช่นเดียวกัน มีแต่โลกชนพื้นเมืองที่ถือกำเนิดขึ้นในหุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้น จึงจะสามารถวิวัฒน์ไปและรอดชีวิตในโลกได้ หากไปยังดินแดนจิตโลกา ล้วนมิอาจวิวัฒน์ได้! สายเลือดสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันแข็งแกร่งภายในกายของพวกเขา ทำให้พวกเขามิอาจมีทายาทสืบสกุลในดินแดนจิตโลกาได้ นอกจากนี้หากไม่มีโลกบ้านเกิด พลังก็จะยกระดับยากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า นอกเสียจากจะมีสมบัติล้ำค่าที่ไร้เทียมทาน
อย่างท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ ผู้ไร้เทียมทานเพียงหนึ่งเดียวแห่งเผ่าเซวี่ยเหยียนของพวกเขา ทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อให้ได้ผลวิญญาณทิพย์มา แต่สมบัติล้ำค่าระดับนี้ได้มายากเกินไปแล้ว
มิอาจวิวัฒน์ได้ พลังก็ยกระดับได้ยากลำบากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า เมื่อเวลาผ่านไป ชาวเผ่าก็จะกระจายตัวออกจากกัน บ้างก็ได้ทีรวมเข้ากับผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาเสียเลย หรือไม่ก็แอบเข้าไปในโลกชนพื้นเมืองอื่นๆ แล้วหลอมรวมเข้ากับโลกอื่น…และนี่ก็คือสาเหตุว่า เหตุใดเมื่อไร้โลกบ้านเกิด เผ่าหนึ่งๆ จึงต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปในท้ายที่สุด
“ช่างโง่เง่าเสียจริง ไม่รู้จักประมาณตนเลย” แม่ทัพเทพโครงกระดูกยิ้มเย็น แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาก็ส่ายศีรษะเล็กน้อย
“พวกเจ้าห้าคนลงมือเถิด” แม่ทัพเทพโครงกระดูกเอ่ยปาก “ฆ่าให้เกลี้ยง! ข้าจะดูสิว่าที่แท้แล้วเผ่าแสงดาวนี่จะทนได้สักกี่น้ำกัน จะยืนหยัดได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว”
“ขอรับ”
ผู้นำทั้งห้าเผ่าทั้งโกรธทั้งร้อนใจ
“แสงดาว หากวิงวอนตอนนี้ยังทันนะ!” บุรุษผิวสีแดงเพลิงหน้าตาอัปลักษณ์แค่นเสียงด้วยความโมโห
“วิงวอนรึ เฮอะๆ” ประมุขแสงดาวหัวเราะเสียงเย็นชา
“รีบลงมือ” แม่ทัพเทพโครงกระดูกขมวดคิ้วพลางเร่งเร้า
ผู้นำของทั้งห้าเผ่ามองสบตากัน
“ฆ่ามัน!”
“ฆ่ามัน!”
พวกเขาทั้งห้ามีเพลิงโทสะแน่นเต็มอก พวกเขามั่นใจว่าจะทำลายเผ่าแสงดาวทิ้งได้ เนื่องจากเบื้องหลังพวกเขายังมีแม่ทัพเทพอีกสามท่านอยู่! แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถเห็นได้ล่วงหน้าก็คือ…เผ่าแสงดาวคงจะทำลายยอดฝีมือระดับยอดสามสิบคนของทั้งห้าเผ่าอย่างเด็ดขาด
ตู้มๆๆๆๆ!!!!!
ผู้นำทั้งห้าเผ่ามีพลังกล้าแกร่ง หากอยู่ภายในโลกบ้านเกิดของตน พวกเขาแต่ละคนก็ล้วนสามารถเทียบกับประมุขแสงดาวได้ แม้อยู่ที่นี่จะไม่มีพลังของโลกคอยช่วยส่งเสริม แต่ทั้งห้าคนร่วมมือกันก็น่าหวาดหวั่นพอสมควร
“ล้มเสียเถอะ!” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายคมกล้ากะพริบวาบ
เขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมไป โลกแห่งหมื่นภาพเจิดจ้าขึ้นมา เหนี่ยวนำความปรารถนาต่างๆ ณ ส่วนลึกของจิตใจออกมา ผู้นำทั้งห้ารู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งที่ตนใฝ่หาอยู่ตรงหนน้า เพียงแค่เอื้อมมือคว้าเท่านั้น! ภายใต้การชักนำของพละกำลังอันไร้รูปร่าง วิญญาณก็จมดิ่งลงไปยังโลกลวงนั้น มีเพียงดวงตาตรงหว่างคิ้วของคนสามตาเท่านั้นที่เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า สีหน้าลุ่มหลงในตอนแรกกลับเผยสีหน้าดิ้นรนออกมา เขาเบิกตากว้าง แล้วเปล่งเสียงตะโกนออกมาว่า “ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย!!!”
ส่วนอีกสี่คนที่เหลือ ทั้งยักษ์แปดกร ทั้งสตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงู…แม้พวกเขาแต่ละคนจะมีท่าทีสูงส่งเทียมฟ้า และเริ่มสำแดงกระบวนท่าออกมาแล้ว จากนั้นอานุภาพในมือก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเผยสีหน้าลุ่มหลงมัวเมาออกมา ร่างกายก็พลันอ่อนยวบลงไป จากนั้นก็ล่องลอยไปตามความเคยชิน
ท่าไม้ตายที่หนึ่งของวิถีเขตลวงโลกเทียม…โลกลวง อันเฉิดฉาย!
โลกเฉิดฉายและชวนลุ่มหลง!
เพียงพริบตาเดียวผู้นำสี่คนจากห้าคนก็ล้มลงอย่างไร้แรงต้านทาน มีเพียงผู้นำสามตาคนนั้นที่ยังครองสติไว้ได้ส่วนหนึ่ง
และก่อนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะออกกระบวนท่าก็ได้ถ่ายเสียงพูดกับประมุขแสงดาวข้างๆ แล้วว่า “พี่แสงดาว ข้าจะสำแดงกระบวนท่าทางด้านวิญญาณจัดการกับพวกเขา ต่อให้พวกเขาไม่ล้มลง พลังก็จะต้องเสียหายเป็นอย่างมาก ท่านก็ต้องออกกระบวนท่าทันที แล้วจับพวกเขาเอาไว้ให้ได้โดยเร็วที่สุด!”
เดิมทีประมุขแสงดาวยังคงสงสัยอยู่ในใจ
สามารถจัดการระดับอ๋องได้หรือ หรือว่าจะสามารถจัดการกับระดับจักรพรรดิได้ด้วย ในเผ่าชนพื้นเมืองและเผ่ามรณะทมิฬ ระดับอ๋องที่ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ วิญญาณก็ล้วนแต่มีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้ ระดับจักรพรรดิก็เป็นระดับขั้นที่สูงที่สุดของพวกเขาแล้ว
“อะไรกัน! ล้มลงไปแล้ว ล้มลงไปแล้วจริงๆ น่ะหรือ” ประมุขแสงดาวถลึงตาอ้าปากค้าง แต่ไหนแต่ไรมา ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีระดับจักรพรรดิที่จมจ่อมไปกับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณมาก่อน นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว! หากไม่มีตงป๋อเสวี่ยอิงเตือนเอาไว้ก่อน ประมุขแสงดาวจะต้องตกตะลึงจนมีปฏิกิริยาโต้ตอบไม่ทันแน่นอน เคราะห์ดีที่เตือนเอาไว้ก่อน ประมุขแสงดาวจึงออกกระบวนท่าไปในทันที ฝ่ามือใหญ่เทียมฟ้าซึ่งเกิดจากแสงดาวรวมตัวกันตะปบตรงไปทางผู้นำทั้งห้าเผ่านั้นเสียงดังฟิ้ว
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 27 จุดจบของเหล่าแม่ทัพเทพ
ในบรรดาผู้นำทั้งห้าเผ่า มีเพียงผู้นำสามตาเท่านั้นที่ยังฝืนครองสติไว้ได้เล็กน้อย แต่เขารู้สึกเหมือนร่างกายตนได้จมดิ่งลงไปในน้ำวนขนาดมหึมา ด้านล่างของน้ำวนก็คือโลกที่ทำให้เขาจมดิ่งลงไป เขาคิดอยากจะจมดิ่งลงไปโดยไม่ต่อต้านมากเพียงไหนกัน! แต่ปัญญาก็บอกเขาว่า…หากจมดิ่งลงไป เขาจะต้องจบเห่ ความเป็นความตายก็มีเขาเป็นผู้ควบคุมแล้ว
เขาพยายามดิ้นรนสุดแรง แต่ก็ครองสติไว้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้แต่ความเร็วในการบินเหินไปก็ยังช้ามาก เนื่องจากที่นี่คือโลกแสงดาว รอบด้านจึงมีแสงดาวอันไร้ที่สิ้นสุดกดดันเอาไว้ก่อนแล้ว จึงมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้
ค่อยๆ บินไปหรือ
“ฟิ้ว” ฝ่ามือแสงดาวขนาดมหึมาปกคลุมลงมา แล้วคว้าผู้นำสามตาเอาไว้ได้ในคราวเดียว และจับผู้นำอีกสี่คนที่เหลือเอาไว้ได้ด้วย
ยามนี้ ผู้นำสามตาอ่อนแอเสียจนหากส่งระดับอ๋องมาคนหนึ่งก็เกรงว่าคงจะสามารถกดดันเขาได้แล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘ประมุขแสงดาว’ ซึ่งมีพลังของโลกบ้านเกิดส่งเสริม ก็ไร้แรงตอบโต้อย่างแท้จริง
“นี่ นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน” แม่ทัพเทพโครงกระดูก แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาทั้งสามคนงงงันไปหมด
สวรรค์!
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์!
ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านจนมึนงงไปหมด! เนื่องจากพวกเขารู้ดีมากว่า ระดับอ๋องที่ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิ เป็นการก้าวข้ามระดับขั้นหนึ่ง วิญญาณวิวัฒน์ไปอย่างชัดเจนมาก แต่ในระดับจักรพรรดิ แม้พลังจะค่อยๆ ยกระดับขึ้น แต่วิญญาณก็มิได้ยกระดับมากมายอะไรนัก ต่อให้เป็นเหล่ายอดเคารพที่เป็น ‘ระดับจักรพรรดิครบสมบูรณ์’ หากพูดถึงวิญญาณ ก็แข็งแกร่งกว่าผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ระดับจักรพรรดิเหล่านี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างมากก็ทางด้านปณิธานก็เท่านั้นเอง
เพราะถึงอย่างไรผู้ที่สามารถสำเร็จเป็นยอดเคารพได้ ปณิธานก็ต้องเยี่ยมยอดมากเป็นธรรมดา
“ไม่ดีแล้ว” แม่ทัพเทพโครงกระดูก แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเห็นฝ่ามือแสงดาวขนาดมหึมาที่ประมุขแสงดาวสำแดงออกมาคว้าตัวผู้นำทั้งห้าเผ่าเอาไว้ได้ในรวดเดียว จึงได้สติกลับคืนมาจากความตกตะลึง
แต่ระดับพวกเขาแล้ว ลงมือได้รวดเร็วเพียงใด
เมื่อพวกเขาได้สติกลับคืนมา ผู้นำทั้งห้าเผ่าก็ถูกจับตัวไปเสียแล้ว
“ทำเช่นไรดี”
“จะสู้หรือไม่สู้”
พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกทั้งสามคนลังเลขึ้นมาทันที
พวกเขาก็เป็นเพียงระดับจักรพรรดิเท่านั้น ผู้นำสี่คนจากห้าเผ่าล้มลงทันที ยังมีคนหนึ่งที่ยังพอจะครองสติเอาไว้ได้ พลังก็อ่อนแอเสียจนสามารถมองข้ามไปได้! พวกเขาสามแม่ทัพเทพเผชิญหน้ากับกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้จะเป็นอย่างไรกัน วิญญาณของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้นำทั้งห้าเผ่าอยู่บ้าง ทางด้านปณิธานก็อาจจะได้เปรียบกว่าอยู่บ้าง
แต่จากที่คาดการณ์ ต่อให้ไม่ล้มลง ก็เชื่อว่าพลังจะต้องเสียหายเป็นอย่างมากอยู่ดี!
“จ้าวหิมะเหินผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน แต่ไหรแต่ไรไม่เคยมีมาก่อน! ไม่เคยมีกระบวนท่าทางด้านวิญญาณที่ระดับจักรพรรดิต้านทานมิได้มาก่อนเลย” พวกแม่ทัพเทพโครงกระดูกทั้งสามคนต่างมองไปทางหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่อยู่ไกลออกไป ในใจสับสนวุ่นวายไปหมด
ลำพังแค่กระบวนท่าเดียว
ก็ทำให้สามแม่ทัพเทพซึ่งเดิมทีมั่นใจเต็มเปี่ยมจิตใจวุ่นวายไปหมด เดิมทีพวกเขาดูแคลนผู้บำเพ็ญทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา แต่ในยามนี้ ก็ไม่กล้ามีความคิดเช่นนี้แล้ว
“พวกเรารีบไปกันเถอะ ผู้นำทั้งห้าเผ่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังพอจะฝืนครองสติไว้ได้ เชื่อว่าพลังอย่างพวกเราก็คงจะครองสติไว้ได้ แต่เกรงว่าพลังคงจะต้องลดลงเป็นอย่างมาก! พี่รอง หลังจากพลังของท่านเสียหายเป้นอย่างมาก ก็เกรงว่าคงจะแค่ทัดเทียมกับประมุขแสงดาวเท่านั้น ส่วนข้าและน้องสาวก็เกรงว่าคงจะมิอาจเอาชนะการล้อมโจมตีด้วยค่ายกลรบของผู้อาวุโสกลุ่มนั้นได้เป็นแน่” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน
“อย่าแตกตื่นไป คนสามตาผู้นั้นยังสามารถครองสติเอาไว้ได้ พวกเราไม่จำเป็นต้องกลับไปหรอก พวกเจ้าถอยไปก่อน ข้าจะดูสิว่าที่แท้แล้วกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของจ้าวหิมะเหินผู้นี้จะร้ายกาจสักแค่ไหนกัน” แม่ทัพเทพโครงกระดูกถ่ายเสียงกำชับ
ถึงอย่างไรแม่ทัพเทพโครงกระดูกก็เป็นถึงแม่ทัพเทพอันดับสองของแม่ทัพเทพทั้งสามสิบหกนาย
ต่อให้ทอดสายตามองไปทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหัก ก็ยังนับได้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าที่สุดยอด เมื่อเขาเผชิญหน้ากับพวกจักรพรรดิเป่ยเหอก็ไม่เคยหนีโดยที่ไม่สู้มาก่อนเลย!
“เอาล่ะ พี่รอง ด้วยพลังของท่าน คิดจะสู้ก็สู้ได้ คิดจะไปก็ไปได้ พวกเขาจะต้องต้านทานเอาไว้ไม่ได้แน่ ข้ากับน้องสาวขอตัวล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งนะขอรับ” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาถ่ายเสียงพูด
“พี่รองระวังด้วย” แม่ทัพเทพควันวายุก็ถ่ายเสียงพูดเช่นกัน
สวบๆ พวกเขาทั้งสองหนีไปทันที
“หนีรึ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเรียบเฉยยิ้มออกมา เขตลวงโลกเทียมพลันขยายตัวและแผ่กำจายออกไป ต้องรู้ไว้ว่า ในเกาะลอยคว้าง เขตลวงโลกเทียมของเขาประสบกับการกดดันก็ยังสามารถคงขอบเขตเอาไว้ได้สามร้อยล้านลี้ เมื่ออยู่ในโลกชนพื้นเมืองนี้ไม่มีการกดดันอันใด เพียงชั่วความคิดเดียว เขตลวงโลกเทียมของเขาก็สามารถปกคลุมไปได้กว่าครึ่งค่อนโลก ภายใต้การสาดส่องของแสงดาวอันไร้ที่สิ้นสุด แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาก็ทำได้เพียงทะยานหนีไปด้วยความเร็วสูงเท่านั้น ไหนเลยจะหนีออกจากขอบเขตของโลกเขตลวงได้
“ตู้มมม…”
เขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมแม่ทัพเทพควันวายุ แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาและแม่ทัพเทพโครงกระดูกเอาไว้ทันที
สายตาของแม่ทัพเทพควันวายุดูลุ่มหลง เพียงพริบตาเดียวก็จมดิ่งลงไปเสียแล้ว!
“ไม่ดีแล้ว” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมออกมาพลางขบกรามกรอด นัยน์ตาถึงขั้นฉายแววสิ้นหวังออกมา! เมื่อเผชิญหน้ากับการชักจูงของเขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง จึงรู้ว่าน่าเกรงกลัวเพียงใด แม่ทัพเทพเขมือบเมฆารู้ว่า พวกเขายังคงประเมินจ้าวหิมะเหินผู้นั้นต่ำไป ยามนี้ แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาเหลือพลังราวหนึ่งส่วนเท่านั้น และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้กายหยาบของเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง
สิ่งที่เผ่าชนพื้นเมืองบำเพ็ญก็คือสายเลือด เมื่อสายเลือดแตกต่างกัน พลังก็แตกต่างกัน บางคนกายหยาบแข็งแกร่งเป็นพิเศษ บางคนถนัดการควบคุมสายฟ้า เป็นต้น
แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาสามารถครองสติเอาไว้ได้สายหนึ่ง แม้จะสามารถสำแดงพลังออกมาได้ส่วนหนึ่ง แต่ว่า…
“ฟิ้ว”
ฝ่ามือหนึ่งของประมุขแสงดาวกลับคว้าไปทางแม่ทัพเทพโครงกระดูก อีกมือหนึ่งคว้าไปทางแม่ทัพเทพเขมือบเมฆา
“จ้าวหิมะเหิน!” แม่ทัพเทพโครงกระดูกแผดเสียงคำราม มือทั้งสองต่างกุมดาบรบเล่มหนึ่งเอาไว้ แล้วฟาดฟันไปทางประมุขแสงดาวอย่างดุเดือด ปัง…ฝ่ามือมหึมาของประมุขแสงดาวกวัดแกว่งแล้วตะปบลงไป กระบวนท่าที่แม่ทัพเทพโครงกระดูกสำแดงออกมาขณะกำลังต้านทานการรบกวนของเขตลวงอันน่าหวาดหวั่น เมื่ออยู่ภายใต้ฝ่ามือแสงดาวก็ยังคงกระจัดกระจายไปอยู่ดี เขาถูกกระแทกเสียจนกระเด็นลอยถอยหลังไป
ฟิ้ว
อีกมือหนึ่งปะทะเข้ากับแม่ทัพเทพเขมือบเมฆา แม่ทัพเทพเขมือบเมฆากลับบาดเจ็บสาหัสจนกระอักโลหิตออกมาทันที ขณะเดียวกัน เหล่ายอดฝีมือระดับยอดในบรรดาผู้อาวุโสเผ่าแสงดาวก็รวมตัวกันขึ้นเป็นค่ายกลรบ แต่ละคนก็บุกสังหารออกมา พวกเขารวมตัวกันเป็นค่ายกลรบ ก็สามารถเทียบกับผู้ที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับจักรพรรดิได้ หากเป็นยามปกติ ต่อให้รวมตัวกันเป็นค่ายกลรบ ไหนเลยจะมีคุณสมบัติพอจะประมือกับแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาได้ แต่บัดนี้ค่ายกลรบของพวกเขาก็สามารถโจมตีแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาได้เช่นกัน!
ทั้งยังมีฝ่ามืออันน่าหวาดหวั่นของประมุขแสงดาวด้วย
ปังๆๆ เพียงชั่วพริบตาเดียว แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาก็ถูกฝ่ามือมหึมาคว้าเอาไว้และพันธนาการไว้ได้ในฝ่ามือเดียว
“สมควรตาย” แม่ทัพเทพเขมือบเมฆาโศกเศร้าหาใดเปรียบ หากมิได้รับผลกระทบ ประมุขแสงดาวอาศัยพลังของโลกบ้านเกิดก็เพียงแค่ทัดเทียบกับเขาเท่านั้น แต่บัดนี้พลังของเขาลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังประสบกับการลอบโจมตี แม่ทัพเทพผู้องอาจถูกจับไปทั้งเป็นเสียนี่
ส่วนแม่ทัพเทพควันวายุน้องสาวเขาน่ะหรือ แม่ทัพเทพควันวายุที่ตกเข้าสู่ห้วงนิทราถูกจับไปทั้งเป็นตั้งนานแล้ว
“ตู้ม ตู้ม ตู้ม…”
แม่ทัพเทพโครงกระดูกผู้นั้นกราดเกรี้ยวผิดธรรมดา แล้วถือดาบรบคู่หนึ่งเอาไว้
อานุภาพแผ่ไปทั่วสารทิศ ทำเอาค่ายกลรบแต่ละแห่งต้องถอยหลังไป มีเพียงประมุขแสงดาวเท่านั้นที่สามารถกดดันเขาได้ แต่ข้อได้เปรียบระดับนี้ก็ยังไม่สามารถทำร้ายแม่ทัพเทพโครงกระดูกได้ ช่วยไม่ได้ กายหยาบของแม่ทัพเทพโครงกระดูกแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! แม้จะประสบกับผลกระทบของกระบวนท่าเขตลวง แต่กายหยาบของเขาก็มิได้อ่อนแอลงเลยแม้แต่น้อย
“กายหยาบของเขาแข็งแกร่งยิ่งนัก เกรงว่ายังคงรักษาพลังเอาไว้ได้สามส่วน” ประมุขแสงดาวถ่ายเสียงให้ตงป๋อเสวี่ยอิง “ข้าอาศัยพลังของโลกบ้านเกิด ยามนี้พลังของเขายังคงเป็นหกเจ็ดส่วนของข้า ข้าจับตัวเขาเอาไว้มิได้ กายหยาบของเขาแข็งแกร่งเกินไป ข้าทำร้ายเขามิได้เลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็ตกตะลึงไป
นี่เป็นพลังเพียงสามส่วนเท่านั้นเองน่ะหรือ
หากพลังฟื้นคืนมาทั้งหมด แม่ทัพเทพโครงกระดูกก็จะแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะอยู่ขุมใหญ่! ทว่าบรรดาผู้บำเพ็ญมีกระบวนท่าแปลกพิสดาร พวกจักรพรรดิเซี่ยมิอาจเอาชนะได้ การรักษาชีวิตก็ไม่มีปัญหา
“จ้าวหิมะเหิน ดีมาก ดีมาก ข้าจำเจ้าเอาไว้แล้ว” แม่ทัพเทพโครงกระดูกที่อยู่ไกลออกไปแผดเสียงคำราม เขาถูกประมุขแสงดาวกดดันเอาไว้อย่างสิ้นเชิงจนมิอาจพุ่งเข้าไปในนครแสงดาวได้ ทำได้เพียงเริ่มจากไปและแผดเสียงอย่างไม่ยอมจำนนออกมาเท่านั้น
อดสู
โมโห
ไม่ยอมจำนน!
เขา แม่ทัพเทพโครงกระดูก ต่อให้เป็นจักรพรรดิเป่ยเหอก็ยังเกรงอกเกรงใจเขาเป็นอันมาก ครั้งนี้กลับต้องมาสะดุดด้วยน้ำมือของผู้บำเพ็ญดินแดนจิตโลกาคนหนึ่งเสียนี่! แม้ตัวเขาเองจะสามารถหนีรอดไปได้ แต่เขาก็นำผู้ใต้บังคับบัญชามาด้วย ผู้นำทั้งห้าเผ่าและแม่ทัพเทพอีกสองคนถูกจับตัวไปหมดแล้ว นี่คือความอดสูของเขา แม่ทัพเทพโครงกระดูก!
ขณะเดียวกัน…
แม่ทัพเทพโครงกระดูกก็ถ่ายเสียงให้จักรพรรดิเป่ยเหอ “องค์จักรพรรดิ! ผู้นำทั้งห้าเผ่า แม่ทัพเทพควันวายุและแม่ทัพเทพเขมือบเมฆาถูกเผ่าแสงดาวจับตัวไปทั้งเป็นหมดแล้วขอรับ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น