Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 36 ตอนที่ 18-23
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 18 กระบวนสังหารแรกของวิถีเขตลว...
ภายในหุบเขาเขี้ยวหัก
กลางเกาะลอยคว้างแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งเข้าไปตามลำพังด้วยความระมัดระวัง เขาปลดปล่อยเขตลวงโลกเทียมห่อหุ้มบริเวณโดยรอบเอาไว้ สังเกตการณ์รอบทิศอย่างระแวดระวัง
เผ่ามรณะทมิฬตนหนึ่งสังเกตพบผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอผู้นี้ ผู้บำเพ็ญประสบกับการขับไล่ของกลิ่นอายเกาะลอยคว้าง ดังนั้นอาศัยเคล็ดซ่อนเร้นที่ร้ายกาจยิ่งกว่า ขอเพียงแค่อยู่ในระยะที่ใกล้สักหน่อย เผ่ามรณะทมิฬต่างก็สามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดาย
“โฮก”
ถ้าหากบอกว่ากลิ่นอายของบรรพชนแมลงและจอมกระบี่มีพลังรบกวน
เช่นนั้นกลิ่นอายของตงป๋อเสวี่ยอิงที่เป็นเพียงเทพจักรวาลชั้นที่สองก็ไม่มีพลังรบกวนเลยจริงๆ
นัยน์ตาของชนเผ่ามรณะทมิฬตนนี้เต็มไปด้วยความละโมบ หมายจะกิน ‘เหยื่ออันโอชะ’ ตรงหน้าเสียให้เกลี้ยง จากนั้นก็กะพริบร่างคราหนึ่งแล้วเคลื่อนที่ผ่านระยะทางไกลมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง แต่มันเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นแล้วหมายจะเขมือบกินผู้บำเพ็ญตรงหน้าให้เกลี้ยงในคำเดียวอยู่นั้นเองก็รู้สึกว่าสติรับรู้สั่นไหวแล้วก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
พลั่ก!
ร่วงหล่นลงสู่พื้นในทันใด
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูชนเผ่ามรณะทมิฬที่ร่วงหล่นอยู่ข้างกาย หลังจากที่วิญญาณของชนเผ่ามรณะทมิฬตนนี้แหลกสลายไปแล้วร่างกายก็มลายหายไปราวกับไอหมอก มลายหายไปท่ามกลางฟ้าดิน ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า “ชนเผ่ามรณะทมิฬธรรมดาทั่วไปก็เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน แต่กลับมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ การฟูมฟักช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”
ในข้อมูลที่รัฐโบราณคิมหันตวายุมอบให้ก็เคยมีการอิงถึงมาก่อน
ต่างก็เล่าลือกันว่ากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมมีสายโลหิตสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่สายหนึ่ง ทว่าเผ่ามรณะทมิฬกลับถูกสงสัยว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถือกำเนิดมาจากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ตายไปแล้ว เชาวน์ปัญญาโดยทั่วไปต่ำต้อยกว่ากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมมากมายเหลือเกิน ส่วนใหญ่ก็ราวกับสัตว์เดรัจฉาน
“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง นี่คือการบุกเกาะลอยคว้างตามลำพังเป็นครั้งแรกของเขา โชคชะตาไม่เลวเลยทีเดียว ถึงขนาดที่มาถึงศูนย์กลางสำคัญของเกาะลอยคว้างแห่งนี้อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง มิได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นเลยตลอดทาง
แต่ในขณะที่ผ่านบริเวณรอบนอกของดินแดนชนเผ่าของเกาะลอยคว้างนั้นเอง กลับไปกระตุ้นเตือนยามรักษาการณ์เข้า
“มีผู้บุกรุก”
“มีผู้มาจากภายนอก”
ทั่วทั้งดินแดนชนเผ่าปั่นป่วนขึ้นมาในทันใด
สิ่งมีชีวิต ‘ระดับอ๋อง’ ของดินแดนชนเผ่านำคนใต้ปกครองบุกสังหารเข้ามาในทันใด เมื่อได้เห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่บินเข้ามาด้วยความเร็วสูง เหล่าระดับสุดยอดของเผ่ามรณะทมิฬในดินแดนชนเผ่ากลับรู้สึกตื่นตระหนกและนึกรังเกียจ! สามารถอยู่ที่ดินแดนชนเผ่าได้ พลังยุทธ์ก็มิได้อ่อนแอ โดยทั่วไปก็มีเชาวน์ปัญญาที่ค่อนข้างสูงแล้ว
“ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอถึงเพียงนี้ ถึงกับทำให้เขาเคราะห์ดีมาถึงดินแดนชนเผ่าได้เลยหรือ ชนเผ่ามรณะทมิฬบนเกาะมากมายถึงเพียงนั้นกลับมิอาจพบตัวได้เลยเช่นนั้นหรือ” ระดับสุดยอดของเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้มิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย เพราะว่าในประวัติศาสตร์ เหล่าผู้แกร่งกล้าระดับจอมเคารพของผู้บำเพ็ญมิได้พกพาสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า มาด้วย เพียงแค่ส่งร่างแยกมาแล้วประสบโชคดีก็พอมีอยู่บ้าง
แล้วก็เคยมีผู้ที่ประสบโชคใหญ่ ได้เข้าไปใส่ส่วนลึกที่สุดของเกาะลอยคว้างด้วย
เพียงแต่ว่าผู้ที่สามารถโชคดีมาถึงดินแดนชนเผ่าได้ตลอดนั้นยังพบเห็นได้น้อยนิดยิ่งนัก!
“กินเขาให้เกลี้ยง” เผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้ไม่ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าเหล่าผู้บำเพ็ญจะมาถึง การรวมตัวโดยปกตินั้นย่อมเป็นสิ่งที่เผ่ามรณะทมิฬไม่เห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว แต่เผ่ามรณะทมิฬก็ยังคงไม่ยอมอยู่ดี ยังคงไล่สังหารกลืนกินเช่นเดิม!
“พรึ่บ”
บรรดาชนเผ่ามรณะทมิฬกลุ่มหนึ่งมาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงในชั่วพริบตา ทันใดนั้นแต่ละคนก็ร่วงหล่นลงบนพื้นเสียงดังตุ้บ แม้กระทั่ง ‘อ๋อง’ ที่เป็นผู้นำผู้นั้นก็ยังตื่นตระหนกจนทรุดลงบนพื้น! คิดจะรักษาสติอันแจ่มชัดเอาไว้ภายใต้เขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง โดยทั่วไปก็ต้องเป็นระดับสุดยอดในบรรดาระดับอ๋องแล้ว เห็นได้ชัดว่า ‘อ๋อง’ ตรงหน้าผู้นี้มิได้มีความมุ่งหมายเช่นนั้น
แต่คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ทำการสังหารอย่างเอิกเกริก เพียงแค่ทำให้ชนเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้จมดิ่งเข้าไปในเขตลวงเท่านั้น และมิได้ผลาญสังหารวิญญาณของพวกเขาเลย
“ฟิ้ว” เผ่ามรณะทมิฬกลุ่มหนึ่งต่างก็สูญสิ้นสติรับรู้ ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมให้ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ รายล้อมอยู่บริเวณรอบๆ ตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
“นี่มันเรื่องอันใดกัน”
“นี่… นี่มันอะไรกัน”
อาณาบริเวณของดินแดนชนเผ่าก็กว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น อาณาบริเวณเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็นับได้ว่าไม่เล็ก เชื่อมต่อโอบล้อมระดับสุดยอดที่อยู่บริเวณรอบๆ จำนวนหนึ่ง ชั่วพริบตาก็มีระดับสุดยอดของเผ่ามรณะทมิฬหลายสิบคนเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วลอยคว้างอยู่บริเวณรอบๆ ตงป๋อเสวี่ยอิง
“ผู้บำเพ็ญ! เจ้ามันรนหาที่ตาย” เสียงคำรามอย่างโกรธแค้นเสียงหนึ่งดังขึ้น สถานการณ์อันแปลกประหลาดพรรค์นี้ย่อมทำให้ดินแดนชนเผ่าปลุก ‘จักรพรรดิ’ ให้ตื่นในทันทีอยู่แล้ว
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมองเห็นสายธารสีแดงโลหิตเชี่ยวกรากแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป สายธารสีแดงโลหิตล้อมรอบต้นไม้ผลประหลาดเอาไว้ ที่เรือนยอดของต้นไม้ผลก็มีดวงตาสีเทาดวงหนึ่งอยู่เช่นกัน
“พรึ่บๆๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงความคิดวูบไหวคราหนึ่งแล้วก็ปล่อยร่างแยกกลุ่มใหญ่ออกมา เหินบินมุ่งหน้าไปทุกทิศทุกทาง
“จักรพรรดิของเผ่ามรณะทมิฬ ที่ข้ามาที่นี่ก็มิได้มีเจตนาร้ายหรอกนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ชนเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้ก็เพียงแค่จมดิ่งเป็นการชั่วคราวเท่านั้น ข้ามิได้จะสังหารพวกเขา” พูดไปอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังจดจำองค์ประกอบของเขตลวงภายในดวงตาสีเทาดวงนั้นอยู่
“มิได้มีเจตนาร้ายหรือ” นี่คือผู้แกร่งกล้าแห่งเผ่ามรณะทมิฬที่ดูราวกับแมงมุมตัวอ้วนพีคนหนึ่ง ชนเผ่ามรณะทมิฬลักษณะเหมือนแมงมุมผู้นี้ยังมีศีรษะเป็นมนุษย์ จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง
“ที่ข้ามาก็เพียงเพื่อเสาะหาวัสดุที่ข้าต้องการบางอย่างเท่านั้น วัสดุเหล่านี้มิได้มีประโยชน์ใดๆ ต่อเผ่ามรณะทมิฬเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด พูด “จักรพรรดิของเผ่ามรณะทมิฬ ท่านโปรดวางใจได้ สมบัติล้ำค่าที่เผ่ามรณะทมิฬของพวกท่านสนใจ ข้าย่อมไม่มีทางแตะต้องอย่างแน่นอน เมื่อข้าได้เสาะหาและเก็บเกี่ยววัสดุที่ต้องการไปแล้วก็จะจากไปในทันที”
“ทุกสิ่งทุกอย่างบนเกาะลอยคว้างล้วนเป็นของเผ่ามรณะทมิฬทั้งสิ้น เจ้าไม่มีสิทธิ์เอาไปได้ทั้งนั้น”
“ไม่มีประโยชน์อันใดกับพวกท่านเลยนะ”
“ไม่ เจ้าไม่มีสิทธิ์เอาไป” จักรพรรดิผู้นั้นจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางส่งเสียงคำราม “ปล่อยพวกเขาลงมาเสีย แล้วไสหัวไปให้ข้า ข้าก็จะเว้นโทษตายให้เจ้า”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างโมโหอยู่บ้าง “วัสดุชิ้นเดียวก็มิได้เลยเชียวหรือ”
“ไม่ได้หรอก! ยอมเว้นโทษตายให้เจ้าก็นับว่าบุญโขแล้ว” จักรพรรดิตะคอกอย่างเดือดดาล
“ก็ได้ ข้าไปก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงขบกรามพลางเอ่ยอย่างเศร้าสร้อยและคับแค้น “แต่ว่าท่านจะไม่ไล่ล่าสังหารข้าจริงๆ น่ะหรือ ชนเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้นจะเชื่อฟังคำพูดของท่านกันหมดเลยหรือ”
“วางใจเถิด พวกเขาย่อมต้องฟังในสิ่งที่ข้าพูดอยู่แล้ว ไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟังหรอก ไสหัวไปเสียเถิด”
จักรพรรดิเอ่ยเสียงเย็น
ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงโบกมือคราหนึ่ง ร่างแยกทั้งหมดที่อยู่ไกลออกไปต่างก็มุ่งหน้าไปยังจุดรวมตัวอย่างรวดเร็ว ยามที่รวมตัวก็ย่อมต้องใช้เวลาล่าช้าออกไปมากพอสมควร
“จดจำเอาไว้หมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบผ่อนลมหายใจคราหนึ่ง
เขาพูดไปมากมายถึงเพียงนี้ก็เพื่อถ่วงเวลาออกไปให้ได้มากที่สุด ขอเพียงแค่จดจำส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาสีเทาดวงนี้ได้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว
“ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ…”
ชนเผ่ามรณะทมิฬซึ่งหลับใหลแล้วลอยคว้างอยู่บริเวณรอบๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้นจนหมด
ตงป๋อเสวี่ยอิงร่นถอยไปอย่างรวดเร็ว “หวังว่าจักรพรรดิจะปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา”
จักรพรรดิมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
มาถึงระดับขั้นเช่นเขา ก็นับได้ว่าเชาวน์ปัญญาสูงส่งเป็นอย่างยิ่งแล้ว เพียงแต่การกำเนิดของชนเผ่ามรณะทมิฬทำให้ในจิตใจของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความอาฆาตอันไร้ที่สิ้นสุด ความอาฆาตเติมเต็มหัวสมอง! สามารถควบคุมจนทำให้อีกฝ่ายเอาชีวิตรอดได้ ก็เป็นบรรทัดฐานที่ใหญ่โตที่สุดของจักรพรรดิแล้ว ทั้งยังคิดจะนำเอาวัสดุชิ้นหนึ่งไปด้วยอย่างนั้นหรือ นี่คือการดูหมิ่น ‘จักรพรรดิ’ อย่างแท้จริง!
……
ณ เกาะลอยคว้างอีกแห่งหนึ่ง
“พวกเขามิได้ตาย” รอบกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีชนเผ่ามรณะทมิฬที่หลับอยู่ในห้วงนิทราจำนวนหนึ่งลอยเคว้งคว้างอยู่เช่นกัน และที่บริเวณไกลออกไป เผ่ามรณะทมิฬกลุ่มหนึ่งก็มองดูที่นี่อย่างตกตะลึง ย่อมมิกล้าเฉียดเข้าใกล้ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แล้ว
“ข้าเพียงแค่ต้องการวัสดุที่ไม่มีประโยชน์อันใดต่อพวกเจ้าเผ่ามรณะทมิฬเลยแม้แต่น้อยเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเอ่ยอย่างเร่งร้อน
ยังมิทันได้เอ่ยคำพูดอธิบายจนจบ
“ผู้บุกรุกดินแดนชนเผ่า ตายเสีย!” ฝ่ามือขนาดยักษ์อันหนึ่งแทรกผ่านอากาศเข้ามาในทันใด ปกคลุมผืนฟ้าแล้วล้อมโจมตีลงมา
“เจ้าบ้า” ภายใต้ความคิดหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สังหารชนเผ่ามรณะทมิฬคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่ล่องลอยอยู่รอบๆ เหล่านั้น มิได้สังหารคนอื่นๆ
พรึ่บ
ร่างแยกร่างนี้ถูกเผาผลาญไป
เพียงแค่มาถึงดินแดนชนเผ่า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปล่อยร่างแยกกลุ่มหนึ่งออกไปแล้ว ร่างแยกร่างอื่นกระจายตัวกันออกไป ทั้งยังมีดวงตาสีทองดวงหนึ่งที่จ้องมองไกลออกไปมองดูอยู่อย่างต่อเนื่อง
“ข้าต้องการเพียงแค่ความนึกคิดเดียวเท่านั้นก็สามารถสังหารเผ่ามรณะทมิฬได้แล้ว จักรพรรดิ ท่านก็อย่าได้บีบคั้นข้าเลยนะ” ร่างแยกกว่าร้อยร่างที่อยู่รอบกายตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากขึ้นพร้อมกัน ส่งเสียงอึกทึก บริเวณรอบๆ ยังคงมีชนเผ่ามรณะทมิฬที่หลับอยู่ในห้วงนิทราลอยคว้างอยู่เช่นเดิม
“ตายเสีย”
จักรพรรดิผู้เดิมทีร่างกายสูงตระหง่านผู้นั้นกลับรังเกียจยิ่งนัก
สำหรับเขาแล้ว ต่อให้ชนเผ่ามรณะทมิฬคนอื่นๆ ทั่วทั้งเกาะลอยคว้างตายไปกันจนหมดสิ้น เขาก็ไม่แยแส ต้องรู้ไว้ว่าชนเผ่ามรณะทมิฬต่างก็สามารถสังหารและกลืนกินซึ่งกันและกันเองได้ทั้งสิ้น! ผู้ที่แยแสผู้ใต้บังคับบัญชาก็เป็นเพียงแค่ ‘จักรพรรดิ’ บางส่วนเท่านั้นเอง มี ‘จักรพรรดิ’ บางคนที่ไม่แยแสผู้ใต้บังคับบัญชาเลยด้วยซ้ำ นี่ก็เป็นเพราะว่าจักรพรรดิมีเชาวน์ปัญญาและจิตใจที่สูงส่งพอ
อย่างเช่นเหล่าอ๋องบางกลุ่มก็ยิ่งไม่สนใจความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว
……
“เป็นคนบ้าจริงๆ เสียด้วย ข้าเพียงแค่เจรจาต่อรองเท่านั้นเอง แม้กระทั่งเจรจาก็ยังไม่เจรจากับข้าเลยหรือ ยังมิได้จดจำส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาลึกลับดวงนั้นเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็จนใจเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าตั้งแต่จักรพรรดิของเกาะลอยคว้างผู้นั้นฟื้นคืนสติ เกรงว่าคงจะไม่หลับใหลภายในระยะเวลาอันสั้น เกาะลอยคว้างแห่งนั้นก็ไม่เหมาะสมที่จะให้ไปบุกอีกต่อไปแล้ว
******
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ตงป๋อเสวี่ยอิงไปบุกเกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่า มีบางทีที่โชคดีประสบความสำเร็จ มีบางทีที่ล้มเหลวจนร่างแยกกว่าร้อยร่างถูกผลาญจนสิ้น แต่เขามีร่างแยกกว่าหมื่นร่าง การจะสร้างร่างแยกขึ้นมาใหม่นั้นเป็นเรื่องที่รวดเร็วอย่างยิ่ง
วัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่ที่มีประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญเป็นอย่างมากจำนวนหนึ่ง อาจจะสามารถพบได้ที่ส่วนลึกของเกาะลอยคว้าง แต่ดูเหมือนว่าจะต้องมีอยู่ที่ดินแดนชนเผ่าอย่างแน่นอน!
เพียงชั่วพริบตา
หลังจากเคลื่อนไหวตามลำพังแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็บุกเข้าไปในเกาะแก่งกว่าสามร้อยแห่ง
ที่สามารถเข้าไปในส่วนลึกได้สำเร็จทั้งยังกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยก็มีเพียงแค่เกาะห้าสิบห้าแห่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ร่างแยกสูญสลาย เห็นได้ชัดว่าเงื่อนไขของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นต่ำมากๆ แล้ว ทั้งยังมี ‘จักรพรรดิ’ บางคนที่ปรารถนาจะเก็บตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ไม่ให้ตาย ห้าสิบห้าครั้งนี้ก็ย่อมไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่ปล่อยให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปเก็บรวบรวมวัสดุ ตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนค้นพบวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่จำนวนหนึ่งที่ด้านนอกดินแดนชนเผ่าทั้งสิ้น ทั้งหมดทั้งมวลรวมกันขึ้นมาก็สามารถเทียบเคียงได้กับสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าสองชิ้นแล้ว
ช่วยไม่ได้
ตอนนั้นมี ‘จอมกระบี่’ อยู่ พวกเขาก็สามารถปะทะกับจักรพรรดิได้
ตอนนี้เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญหน้ากับ ‘จักรพรรดิ’ ก็ไม่มีพลังต้านทานเลยแม้แต่น้อย ผู้ที่สามารถต้านทานเขตลวงได้ ต่างก็สามารถผลาญสังหารเขาได้โดยง่ายทั้งสิ้น
แต่ทว่า…
ถึงแม้ว่าร่างแยกที่เข้าไปในเกาะลอยคว้างจำนวนมากมายจะถูกผลาญสังหารจนสิ้น แต่ขณะที่ถ่วงเวลายามที่ถูกผลาญสังหารกลับจดจำส่วนประกอบโลกเขตลวงของดวงตาลึกลับเอาไว้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
กว่าสามร้อยเกาะเหล่านี้
ส่วนประกอบโลกเขตลวงภายในดวงตาลึกลับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจดจำเอาไว้ทั้งหมดก็มีอยู่ถึงหนึ่งร้อยสองดวงแล้ว นับรวมกับอีกสามสิบสามดวงที่ค้นพบไปแล้วก็มีดวงตาลึกลับอยู่ถึงหนึ่งร้อยสามสิบห้าดวง แต่เกาะลอยคว้างที่มีดวงตาลึกลับที่มีอยู่ในข้อมูลที่เผ่าเซวี่ยเหยียนบันทึกเอาไว้ ก็เคยบุกผ่านมาเป็นส่วนใหญ่แล้ว ทว่าในตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหยุดยั้งการผจญภัยเอาไว้
……
ณ คีรีมารสกุลฝาน
ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตต้นเตี้ย
ในขณะนี้ดูเหมือนว่าร่างแยกที่มีอยู่ทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงจะทุ่มเทจิตใจไปกับการบำเพ็ญทั้งหมดแล้ว ดังนั้นจึงหยุดการผจญภัย ก็เพราะว่าเขาเข้าสู่สถานะรู้แจ้งแล้ว ส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาลึกลับหนึ่งร้อยสามสิบห้าดวง ในบรรดานั้นมีดวงตาสีเทาอยู่แปดสิบสองดวง มีดวงตาสีทองห้าสิบสามดวง ส่วนประกอบเขตลวงเหล่านี้มีจำนวนมากมาย ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่ความรู้แจ้ง
เขาหยั่งรู้อย่างสุดกำลัง ไม่รับการรบกวนใดๆ จากโลกภายนอกเลย
และเขตลวงที่พิเศษแห่งหนึ่งก็กำลังก่อรูปร่างขึ้นภายในใจของเขา…
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 19 กระบวนสังหารแรกของวิถีเขตลว...
ท่ามกลางการรู้แจ้ง แสงทิพย์วิญญาณ์ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง เขตลวงพิเศษแห่งนี้ก็ถูกชดเชยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ความเร้นลับของกฎเกณฑ์จำนวนนับไม่ถ้วนซึมซาบเข้าไป เคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยสำแดงในอดีต แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยซับซ้อนเช่นนี้มาก่อนเลย! ทว่าในคราวนี้ การสั่งสมอันหนักแน่นและส่วนประกอบเขตลวงภายในดวงตาลึกลับที่ได้เห็นดวงแล้วดวงเล่าทำให้เขาติดเข้าไปสู่ความคลั่งไคล้ชนิดหนึ่ง…
สถานะรู้แจ้งชนิดนี้ต่อเนื่องมานานกว่าหนึ่งแสนปีแล้ว จนกระทั่งเขตลวงขนาดใหญ่มหึมาแห่งนั้นก่อรูปร่างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ที่จุดศูนย์กลาง
“พรึ่บ”
โลกลวงอันขมุกขมัวซึ่งมีรูปร่างคล้ายจานกลมปรากฏชัดขึ้นในห้วงทะเลแห่งการรับรู้
มันงดงามและสว่างไสว
ถึงขนาดที่การมีอยู่ของมันทำให้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนเป็นเพิ่มการรวมตัวเป็นความจริงมากยิ่งขึ้นตามธรรมชาติ หลังจากที่ดูดซับ ‘โลหิตหัวใจมารดามังกรหมื่นสัมผัส’ แล้ว วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีความก้าวหน้าขึ้นมาอีกครั้งเป็นครั้งแรก
‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ก็เป็นวิถีชนิดหนึ่งของวิญญาณเช่นกัน!
การยกระดับของมันก็เป็นการยกระดับของความเข้าใจต่อพื้นฐานวิญญาณ การยกระดับย่อมสามารถทำให้วิญญาณแปลงสภาพไปได้อยู่แล้ว
“ข้า… ข้าถึงกับสร้างโลกลวงพรรค์นี้ขึ้นมาได้เลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเองรู้สึกถึงโลกลวงที่กฎเกณฑ์ประกอบกันขึ้นมาในห้วงทะเลแห่งการรับรู้แล้วก็อดที่จะพรั่นพรึงอีกทั้งยังยากที่จะเชื่อมิได้ “นี่เป็นสิ่งที่ข้าสรรสร้างขึ้นมาเองจริงๆ น่ะหรือ”
สมบูรณ์แบบ
ขณะนี้วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงถึงกับมีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ชนิดหนึ่งอย่างเลือนราง วิญญาณและร่างกายหล่อเลี้ยงเติมเต็มซึ่งกันและกัน ร่างกายถึงกับมีความรู้สึกว่ากำลังยกระดับอย่างช้าๆ ชนิดหนึ่งขึ้นมา
“ในอดีตล้วนเป็นร่างกายหล่อเลี้ยงวิญญาณ ขณะนี้ข้าถึงกับรู้สึกได้ว่าวิญญาณกำลังส่งผลต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายของข้าทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อก่อนทำอย่างไรร่างกายของเขาก็ไม่มีทางที่จะยกระดับได้เลย แม้กระทั่งอาศัยปุจฉวิถีคละถิ่นที่จักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้น และอ้างอิงจากสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับที่ตนได้รับมา การฝึกกายคละถิ่นทำให้ร่างกายของตนเทียบเคียงได้กับสายฝึกกายระดับขั้นสุดยอดแล้ว
ตอนนี้ร่างกายก็ยกระดับแล้ว
คราวนี้เป็นเพราะวิญญาณนำทาง
“โลกลวงที่ข้าคิดค้นขึ้นในครั้งนี้ต่างก็มีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์อยู่บางส่วนด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงอุทาน แต่เขาก็เข้าใจว่านี่เพียงแค่มีความรู้สึกอันเลือนรางเท่านั้น
เป็นเพราะซึมซับเอาความวิเศษบางอย่างของโครงสร้างเขตลวง ใน ‘ดวงตาสีเทา’ และ ‘ดวงตาสีทอง’ จึงคิดค้นโลกลวงเช่นนี้ออกมาได้
“ถ้าหากวิถีเขตลวงโลกเทียมไปถึงขั้นสุดยอด! เกรงว่าวิญญาณก็จะสามารถเต็มสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริงแล้ว ”ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความกระจ่างแจ้งอย่างหนึ่งว่าในตอนนี้เขามีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ชนิดหนึ่งอย่างรางๆ ราวกับดอกไม้กลางไอหมอก เขาสามารถรู้สึกได้ถึงระดับขั้นนั้นอย่างรางๆ แล้ว เมื่อใดที่วิญญาณเต็มสมบูรณ์ เกรงว่าจะสามารถเกิดความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ออกมาได้มากมาย
……
ภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิต
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าหัวใจจะเกิดระลอกกระเพื่อมไหว มุ่งมาดปรารถนาต่อการเกิดขึ้นของ ‘วิญญาณเต็มสมบูรณ์’ แต่ก็ยังสงบเย็นเป็นอย่างยิ่ง “ทางด้านวิถีวิญญาณ ข้าก็เดินไปถึงจุดที่สูงที่สุดของทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว นอกจากนี้ข้ายังมองเห็นทิศทางอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วอีกด้วย ถึงขนาดที่สัมผัสได้ถึงความเต็มสมบูรณ์ ขอเพียงแค่ใช้เวลามากเพียงพอก็จะต้องสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้อย่างแน่นอน แน่นอน!”
การช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนั้น ทำให้สรรพชีวิตหลุดพ้นจากการควบคุมของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณกลับคืนสู่อิสรภาพ คราวนั้นก็มองเห็นทิศทางแล้ว
คราวนี้ก็ยิ่งก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง ถึงขนาดที่สัมผัสได้ถึงความเต็มสมบูรณ์แล้ว
ถึงขนาดที่รวบรวมเอาสิ่งที่ได้จากดวงตาลึกลับ คิดค้นท่าไม้ตายเขตลวงที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมาได้
“โลกแห่งนี้ช่างงดงามเหลือเกิน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นไหวคราหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
‘จักรวาลโลกเทียม’ ภายในร่างกายของตนวิวัฒน์อย่างฉับพลัน อ้างอิงจากส่วนประกอบโลกลวงที่ตระหนักรู้ใหม่ มาใช้ปรับปรุงแก้ไขทั้งจักรวาลโลกเทียม เป็นถึงผู้คิดค้น การเปลี่ยนแปลงด้วยความนึกคิดเดียวก็ทำให้จักรวาลโลกเทียมเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด
ความเร็วในการเคลื่อนของเวลาในจักรวาลโลกเทียมก็เปลี่ยนเป็นรวดเร็วยิ่งขึ้น วิญญาณมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในก็กำลังขยายเผ่าพันธุ์ ดำรงชีวิต และบำเพ็ญ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็มีผู้ที่เลิศล้ำไร้เทียมทานปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“โลกลวงนี้ทำให้ข้ามีแรงกระตุ้นที่จะเข้าไปภายในนั้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
“เคล็ดวิชาโลกเขตลวงนี้ก็เรียกว่า…”
“โลกลวง…สว่างไสว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
โลกสว่างไสว มีทุกสิ่งทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น แม้กระทั่งเทพจักรวาลผู้สูงส่งก็ยังต้องการจมดิ่งเข้าไป
******
ณ เกาะลอยคว้างแห่งหนึ่งของหุบเขาเขี้ยวหัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินบินอยู่ในเกาะลอยคว้างตามลำพัง โลกลวงที่สว่างไสวอย่างยิ่งแห่งหนึ่งแผ่ไปทั่วบริเวณรอบๆ ปกคลุมพื้นที่ถึงสามร้อยล้านลี้ สามารถรักษาอาณาบริเวณอันใหญ่โตถึงเพียงนี้ภายใต้การกดดันของเกาะลอยคว้างได้ ก็สามารถเห็นได้ถึงพลานุภาพของเคล็ดวิชาเขตลวงนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงในปัจจุบันแล้ว
ตนเองคิดค้นท่าไม้ตายกระบวนที่หนึ่งของวิถีเขตลวงโลกเทียมออกมา ที่แท้แล้วมีพลานุภาพมากเพียงใดกันแน่ ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังไม่รู้กระจ่างชัดนัก
เขาสามารถรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าน่าจะไปถึงพลังคุกคามระดับที่สามขั้นสุดยอดแล้ว
ถึงขนาดที่มีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์บางส่วน! พลังคุกคามที่แท้จริงนั้นก็ยังต้องอาศัยการต่อสู้ที่แท้จริงมาพิสูจน์
“นั่นคือใครกัน เหตุใด เหตุใดจึงมีชนเผ่ามรณะทมิฬลอยคว้างอยู่รอบกายมากมายถึงเพียงนั้นเล่า” มีผู้แกร่งกล้าของเผ่ามรณะทมิฬมองเห็นชนเผ่ามรณะทมิฬที่หลับอยู่ในห้วงนิทรากลุ่มหนึ่งที่ลอยคว้างอยู่รอบกายหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนหนึ่งอยู่ห่างๆ
อาณาบริเวณสามร้อยล้านลี้ก็กว้างใหญ่อย่างยิ่งแล้ว
ผู้ที่อยู่ในห้วงนิทรารอบๆ กายตงป๋อเสวี่ยอิงเหล่านั้นล้วนถูกเขตลวงห่อหุ้มเอาไว้ทั้งสิ้น ก็ย่อมต้องอยู่ท่ามกลางการโจมตีอยู่แล้ว ถึงขนาดที่พวกมันต่างก็มิทันได้พบตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเลยด้วยซ้ำ
และผู้แกร่งกล้าคนนี้ยังปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกอีกด้วย! มองเห็นจากที่ไกลๆ บนท้องฟ้า ห่างออกไปหลายร้อยล้านลี้
“พรึ่บ”
ชนเผ่ามรณะทมิฬที่มีปีกผู้นี้เคลื่อนที่ในพริบตาอย่างโกรธเคืองในทันใดแล้วไล่บี้ตงป๋อเสวี่ยอิง
จากนั้น… ผลุบ! ก็ตกลงสู่ห้วงนิทราเช่นกัน แล้วล่องลอยอยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง
ก็เป็นเช่นนี้เอง…
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งตรงไปจนถึงดินแดนชนเผ่า!
“พรึ่บ!”
ทั่วทั้งอาณาบริเวณของดินแดนชนเผ่าก็มีพื้นที่ราวๆ หนึ่งพันล้านลี้ อาณาบริเวณเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปกคลุมไปเกือบครึ่งแล้ว เมื่อสัมผัสกับเขตลวง ชนเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้นต่างก็ตกลงสู่ห้วงนิทรากันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ละคนไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย เหล่าผู้แกร่งกล้าของชนเผ่ามรณะทมิฬคนอื่นๆ ที่อยู่นอกอาณาบริเวณเขตลวง เมื่อได้เห็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตกลงสู่ห้วงนิทรากันไปคนแล้วคนเล่า ต่างก็ตกใจเสียจนต้องไปปลุก ‘จักรพรรดิ’ ของพวกเขาขึ้นมา
“ใครกัน! เป็นใครกันที่บุกรุกเข้ามาในดินแดนชนเผ่า!” จักรพรรดิคือสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าที่มีปีกสีดำขนาดมหึมาตนหนึ่ง ดวงตาสีแดงก่ำทั้งคู่ของมันจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง ร่างกายใหญ่โตมโหฬารราวกับภูเขาขนาดย่อม ทรงพลังล้นฟ้า
ชนเผ่ามรณะทมิฬที่ลอยคว้างอยู่อย่างแน่นขนัดรอบๆ กายตงป๋อเสวี่ยอิง แน่นอนว่าเป็นเพราะลูกน้องของเขาออมมือ แม้กระทั่งชนเผ่ามรณะทมิฬที่มิได้มีเชาวน์ปัญญาใดๆ กลุ่มหนึ่ง เขาก็ยังแค่ให้พวกมันหลับใหลนิทราอยู่ในเขตลวงเท่านั้นเอง
“จักรพรรดิแห่งเผ่ามรณะทมิฬ ที่ข้ามานี้มิได้มีเจตนาไม่ดีแต่อย่างใดเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดไปเรื่อยเปื่อยเพื่อจงใจประวิงเวลา เขตพลังของเขากว้างใหญ่เหลือเกิน ก็ได้ค้นพบดวงตาสีเทาดวงนั้นบนเกาะลอยคว้างแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว
ดวงตาสีเทาดวงนี้ก็อยู่บนเรือนยอดของต้นพืชประหลาดต้นหนึ่งเช่นเดียวกัน
พินิจดูและจดจำ
“มิได้มีเจตนาร้าย แต่ทำให้ชนเผ่ามรณะทมิฬมากมายถึงเพียงนี้ถูกเจ้าควบคุมจนสิ้นอย่างนั้นหรือ” จักรพรรดิคำรามเสียงต่ำ แต่ก็มีความระมัดระวังอยู่บ้าง มันมองเจตนาที่แท้จริงของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวตรงหน้าผู้นี้ไม่ออก
ใช่แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอดีต ดีร้ายอย่างไรบรรดาชนเผ่ามรณะทมิฬก็สามารถรับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเทพจักรวาลชั้นที่สองของเขา
แต่ในขณะนี้ผู้ที่ควบคุมเขตลวงอันน่าหวาดหวั่นนี้ในความรู้สึกของพวกเขา แม้กระทั่งตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเขตลวง ก็ย่อมมิอาจสังเกตกลิ่นอายใดๆ พบได้เลยแม้แต่น้อย
ชนเผ่ามรณะทมิฬกว่าหมื่นคนล่องลอยอยู่บริเวณรอบๆ อย่างแน่นขนัด แม้กระทั่ง ‘จักรพรรดิ’ ก็ยังตื่นตกใจอยู่บ้าง มันก็มิได้ไร้เทียมทานเสียหน่อย!
‘แปดผู้วิเศษ’ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่น
ในบรรดากลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็มีระดับ ‘ยอดเคารพ’อยู่ เป็นถึง ‘จักรพรรดิ’ ของเกาะลอยคว้างแห่งนี้ เชาวน์ปัญญาของมันก็สูงมากแล้ว เมื่อมันเผชิญกับการวิงวอนของผู้อ่อนแอมันก็มิได้แยแสสนใจ แต่เผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าแล้วกลับหวาดหวั่น
“พวกมันต่างก็มิได้ตาย เพียงแต่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทราเท่านั้น ที่ข้ามาก็เพียงเพื่อเก็บรวบรวมวัสดุเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดไปเรื่อยเปื่อย แล้วจดจำไปพลางๆ เพียงชั่วครู่ก็จดจำส่วนประกอบโลกเขตลวงภายในดวงตาสีเทานั้นได้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะคิดค้นท่าไม้ตายกระบวนที่หนึ่งออกมาได้แล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเขตลวงของดวงตาลึกลับแล้วก็ยังมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
“ถูกต้องแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดู ‘จักรพรรดิ’ ผู้อยู่ท่ามกลางความระแวดระวังที่อยู่ห่างออกไปตนนั้น “ข้ายังมีเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งด้วย”
จักรพรรดิเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าอนุญาตให้เจ้าเก็บเอาวัสดุชนิดหนึ่งแล้วจากไปได้แล้ว ยังมีเรื่องใดอีกเล่า”
“ประลองฝีมือกับท่าน ดูความแตกต่างระหว่างพลังยุทธ์ของท่านกับข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงอมยิ้ม
“ประลองฝีมือหรือ”
ในที่สุดจักรพรรดิที่อดทนอดกลั้นมาโดยตลอดก็โมโหขึ้นมาเสียแล้ว!
เผ่ามรณะทมิฬอารมณ์มิสู้ดีกันสักเท่าใดนัก เขาเพียงแค่หวาดกลัวผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งเท่านั้น จึงได้ยอมเสียสละวัสดุที่เขามิได้สนใจบางอย่าง ให้หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้ลึกลับผู้นี้จากไปเขาก็เต็มใจอยู่ ตอนนี้ยังจะมาต้องการประลองฝีมืออีกอย่างนั้นหรือ
“เจ้ามันรนหาที่ตาย!!!” สัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าปีกสีดำขนาดมหึมาที่ราวกับภูเขาลูกย่อมๆ ตนนี้แผดเสียงคำรามออกมาในทันใดแล้วพุ่งเข้าใส่ตงป๋อเสวี่ยอิง
ปัง…
เขตลวงที่หดพื้นที่เล็กลงโดยเจตนา ขณะนี้กลับขยายใหญ่ขึ้นในทันใด แล้วห่อหุ้ม ‘จักรพรรดิ’ ผู้นั้นเอาไว้ภายใน
ดวงตาสีแดงก่ำทั้งคู่ของจักรพรรดิจ้องมองไปยังบริเวณรอบๆ ในทันทีพร้อมกับเผยสีหน้าดิ้นรน แต่พร้อมกันนั้นปีกของมันก็ยังอ่อนยวบแล้วห้อยตกลงมา แววตาก็ขมุกขมัว ร่างกายใหญ่มหึมาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ตกลงสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนลมหายใจ “สำเร็จจริงๆ แล้วหรือ ถ้าหากไม่สำเร็จ แค่ฝ่ามือเดียวของเขาก็ฟาดข้าตายได้แล้วกระมัง!”
เพื่อพิสูจน์พลังยุทธ์ เขาได้เตรียมพร้อมให้ร่างแยกถูกผลาญทำลายเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
และดูจากผลลัพธ์แล้ว… การมาที่นี่ เกาะลอยคว้างแห่งนี้ก็ถูกเขากวาดล้างเรียบร้อยแล้ว! รวมถึงจักรพรรดิผู้นั้นด้วย!
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 20 ข้ามีกระบวนท่าหนึ่ง สามารถก...
เกาะลอยคว้างแห่งหนึ่งถูกกวาดล้างโดยสมบูรณ์
นี่คือ ‘ปาฏิหาริย์’ ที่ผู้บำเพ็ญแห่งดินแดนจิตโลกาไม่เคยทำได้มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์! แม้กระทั่งพวกจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะก็เพียงแค่มีความหวังที่จะสูสีกันกับ ‘จักรพรรดิ’ ท่านหนึ่งเท่านั้น คิดอยากจะสังหาร ‘จักรพรรดิ’ สักท่านหนึ่งก็ไกลเกินเอื้อมเสียแล้ว! ถ้าหากราชันย์อนธการอมตะสร้าง ‘ผู้ท่องมรณะ’ ออกมาได้ก็พอจะมีหวังอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าเขาไม่สามารถหลอมขึ้นมาได้สำเร็จเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ก็มีเพียงแค่ตงป๋อเสวี่ยอิงเท่านั้นที่สามารถทำได้!
นี่คือท่าไม้ตายของ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’! ซึ่งต่อต้านปณิธานวิญญาณโดยตรง!
เคล็ดวิชาวิญญาณน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้มีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูง ผู้ท่องมรณะ และอื่นๆ ต่างก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น! เพราะว่าเผชิญกับเคล็ดวิชาวิญญาณ ที่สามารถพึ่งพิงได้ก็มีเพียงแค่วิญญาณของตนเท่านั้น สามารถต้านทานได้ก็เพียงแค่แบ่งพลังจิตออกไปเล็กน้อยเท่านั้น
มิอาจต้านทานได้จนต้องจ่อมจมลงไป! ความเป็นความตายก็อยู่ในมืออีกฝ่าย
“ข้าเข้ามายังหุบเขาเขี้ยวหักเป็นครั้งแรก ตอนนั้นข้าสำแดงเขตลวงก็ทำให้พลังยุทธ์ของ ‘จักรพรรดิ’ ของเกาะลอยคว้างแห่งนั้นลดต่ำลงไปถึงสามส่วน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “และในตอนนี้ ในที่สุดข้าก็คิดค้นท่าไม้ตายท่าหนึ่งออกมาได้ ก็มีความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์บางส่วน แต่ก็ทำให้ ‘จักรพรรดิ’ ธรรมดาๆ คนหนึ่งจ่อมจมอยู่ในนั้นได้แล้ว”
เขาเลือกคู่ต่อสู้ที่จะพิสูจน์ ก็เป็นข้อมูลที่เผ่าเซวี่ยเหยียนมอบให้ได้อธิบายรายละเอียดเอาไว้ นับว่าเป็นระดับจักรพรรดิธรรมดาสามัญ นี่เป็นระดับขั้นของ ‘จักรพรรดิ’ ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดในบรรดาเกาะลอยคว้างจำนวนมากมายของหุบเขาเขี้ยวหัก
“ท่าไม้ตายเขตลวงของข้าจะมีผลลัพธ์ดีที่สุดที่หุบเขาเขี้ยวหัก”
มองดูชนเผ่ามรณะทมิฬที่ล่องลอยอยู่ในบริเวณรอบๆ แม้กระทั่งจักรพรรดิร่างใหญ่มหึมาผู้นั้นก็ยังหลับใหลในห้วงนิทราล่องลอยอยู่ด้วยเช่นกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อารมณ์ปั่นป่วน!
ถูกตนกวาดล้าง สมบัติล้ำค่าบนเกาะลอยคว้างแห่งนี้ก็ต้องตกเป็นของตนแล้ว
“ไม่เพียงแค่เกาะลอยคว้างแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังมีเกาะลอยคว้างแห่งอื่นๆ ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความหวัง สามารถกวาดล้างที่แห่งนี้ได้ก็หมายความว่าตนก็มีหวังที่จะกวาดล้างเกาะลอยคว้างจำนวนมากมายได้ทั้งสิ้น!
และที่หุบเขาเขี้ยวหัก ตนก็สามารถมีความสุขได้มากถึงเพียงนี้
พูดถึงการต้านทานเขตลวง…
ผู้บำเพ็ญก็แข็งแกร่งที่สุด! กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอ่อนแอกว่าเป็นอย่างมาก ชนเผ่ามรณะทมิฬก็ยิ่งอ่อนแอเข้าไปอีก!
อย่างเช่นขั้นสุดยอดในบรรดาผู้บำเพ็ญนั้นต่างก็ไปถึงขั้นสุดยอดในวิถีใดวิถีหนึ่ง ไปถึงความสมบูรณ์แบบ วิญญาณแต่ละดวงต่างก็แข็งแกร่ง ปณิธานก็ไปถึงระดับที่มิอาจจินตนาการได้ ท่าไม้ตายโลกลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ถึงแม้ว่าจะแกร่งกล้าถึงขนาดที่มีความรู้สึกเต็มเปี่ยมสมบูรณ์บางส่วน แต่ถ้าหากจัดการกับผู้บำเพ็ญขั้นสุดยอด ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดว่าความเป็นไปได้ในการทำให้อีกฝ่ายหลับใหลในทันทีนั้นคงจะค่อนข้างต่ำ น่าจะเพียงแค่ทำให้ขั้นสุดยอดต้องแบ่งพลังจิตบางส่วนมาเท่านั้น!
“ร้ายกาจมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไปหรือบุคคลผู้ไร้เทียมทาน เมื่อเผชิญกับท่าไม้ตายเขตลวงของข้าก็ล้วนต้องประสบเคราะห์ร้ายเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนฝาน และประมุขรัฐจันทร์บุปผาแต่ละคนนั้น…
ปณิธานวิญญาณของพวกเขากับขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไปมิได้มีความแตกต่างกันเลย!
“หืม”
อาศัยเขตลวง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พยายามสืบหาข้อมูลบางอย่างจากการรับรู้ของ ‘จักรพรรดิ’ ที่กำลังหลับใหล “เผ่ามรณะทมิฬก็โง่เง่าเกินไปแล้วกระมัง แม้กระทั่งข้อมูลก็ยังหยาบกระด้างถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ไม่ตรวจหาก็ไม่รู้ แต่พอตรวจหาแล้วก็ตกใจจนตัวลอย! เผ่ามรณะทมิฬนี้เป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษเผ่าหนึ่งอย่างแท้จริง
เผ่ามรณะทมิฬจำนวนมากมีเชาวน์ปัญญาต่ำต้อยราวกับสัตว์เดรัจฉานก็แล้วไปเถิด ระดับสุดยอดของเผ่ามรณะทมิฬที่เหลือ ถึงแม้ว่าจะพอมีเชาวน์ปัญญาอยู่บ้างแต่ก็ยังคงป่าเถื่อนอยู่ดี รู้จักก็แต่การกิน การแย่งชิง และการฆ่าเท่านั้น! เหล่าอ๋องที่เป็นสุดยอดในบรรดาพวกเขาและจักรพรรดิจึงมีความรู้ความเข้าใจต่อโลกภายนอกอยู่บ้าง! รู้จักโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่อยู่ในบริเวณรอบๆ รู้จักนามอันเลื่องลือของ ‘ห้ายอดเคารพ’ รู้จัก ‘แปดผู้วิเศษ’
อย่างเช่นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็รู้ข้อมูลของเกาะลอยคว้างบางแห่งอย่างละเอียดยิ่งนัก
ส่วนชนเผ่ามรณะทมิฬนั้นกลับรู้ข้อมูลของบริเวณรอบๆ อย่างเลือนรางยิ่ง เพียงแค่ประมาณการความแข็งแกร่งได้อย่างคร่าวๆ เท่านั้น นี่ยังเป็นเหตุผลที่ ‘จักรพรรดิ’ ออกไปล่าและกลืนกินเป็นครั้งคราวอีกด้วย…
นึกอยากจะได้รับข้อมูลโดยละเอียดจากชนเผ่ามรณะทมิฬ แผนนี้ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังรวบรวมสมบัติล้ำค่าวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่บางอย่างจากเกาะลอยคว้างแห่งนี้
……
วันต่อมาเขาก็ไปบุกเกาะลอยคว้างแห่งแล้วแห่งเล่า
ต้องการไปเยือนเกาะลอยคว้างที่มีดวงตาลึกลับในข้อมูลที่เผ่าเซวี่ยเหยียนบันทึกเอาไว้ทั้งหมดสักรอบหนึ่ง! แม้กระทั่งเกาะลอยคว้างจำนวนหนึ่งที่ล้มเหลวไปก่อนหน้านี้ เขาก็ไปบุกซ้ำอีกครั้ง เพราะครั้งนี้เขาอาศัยพลังยุทธ์!
เกาะลอยคว้างแห่งหนึ่ง เมื่อเผชิญกับท่าไม้ตายเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็มีเพียงแค่ ‘จักรพรรดิ’ เท่านั้นที่มีหวังในการรักษาสติอันแจ่มชัดเอาไว้
เหล่า ‘จักรพรรดิ’ ธรรมดาสามัญ ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์จะพอๆ กัน ก็มีทั้งปณิธานที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ มีบางคนที่ปณิธานแข็งแกร่งก็สามารถรักษาสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้ ก็สามารถฟาดตงป๋อเสวี่ยอิงให้ตายในฝ่ามือเดียวได้! เพราะว่าเพียงแค่ครองสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้ ด้วยร่างกายอันน่าหวั่นเกรงของพวกเขา ต่างก็สามารถแสดงพลังยุทธ์ออกมาได้หนึ่งถึงสองส่วน ก็เพียงพอที่จะผลาญสังหารร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างง่ายดายแล้ว
ส่วนที่ปณิธานย่ำแย่กว่าสักหน่อยก็มิอาจต้านทานการจ่อมจมเอาไว้ได้แล้ว
แม้กระทั่งผู้ที่สามารถรักษาสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้ โดยทั่วไปแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ควบคุมความเป็นความตายของชนเผ่ามรณะทมิฬกลุ่มใหญ่เอาไว้ มาทำการเจรจากับจักรพรรดิ เจตนาจะถ่วงเวลา ดังนั้นแม้กระทั่งในท้ายที่สุด ‘คู่ต่อสู้’ ถูกผลาญสังหารร่างแยก โดยทั่วไปต่างก็จดจำส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาลึกลับเอาไว้ก่อนแล้ว
เพียงชั่วพริบตา
ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น เกาะลอยคว้างที่มีดวงตาลึกลับห้าร้อยยี่สิบสองแห่งซึ่งมีอยู่ในบันทึก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จดจำส่วนประกอบเขตลวงของดวงตาลึกลับเอาไว้ได้สำเร็จถึงห้าร้อยหกดวง ในบรรดานั้นมีดวงตาสีเทาอยู่สามร้อยยี่สิบเก้าดวง และดวงตาสีทองหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดดวง
ถึงแม้ว่าจะจดจำเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีมากพอสมควรที่เจตนาถ่วงเวลา ในท้ายที่สุดยามที่ลงมือก็มีจักรพรรดิของเกาะลอยคว้างเกินกว่าสองร้อยแห่งที่ต่างก็สามารถรักษาสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้
“ถ้าหากข้าพกเอาอาวุธเทพคละถิ่นชิงเหอมาด้วย ก็จะยิ่งได้สมบัติล้ำค่ามาครองมากขึ้นแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
จักรพรรดิเหล่านั้นรักษาสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้ พลังยุทธ์ก็มีเพียงแค่หนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น!
ถ้าหากตงป๋อเสวี่ยอิงถืออาวุธเทพคละถิ่น ‘ชิงเหอ’ เอาไว้ในมือ ก็สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็ย่อมสามารถสะสมรวบรวมสมบัติล้ำค่าได้มากยิ่งขึ้น เพียงแต่ว่า ข้อแรก ไม่กล้าเสี่ยง! หากเสียอาวุธเทพคละถิ่นไป เช่นนั้นก็น่าอนาถแล้ว ข้อสอง เขาก็มิได้ใส่ใจในสมบัติล้ำค่าสักเท่าใดนัก มีท่าไม้ตายเขตลวงแล้ว เสาะหารวบรวมสมบัติล้ำค่า เขาก็นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของผู้บำเพ็ญทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว
อีกทั้งสมบัติล้ำค่าวัตถุวิเศษที่ใช้สร้างวิญญาณขึ้นมาใหม่แต่ละชิ้น เมื่อไปถึงจำนวนหนึ่งก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว
‘ระดับขั้นการบำเพ็ญ’ ต่างหากที่เป็นพื้นฐาน!
“ข้าอยากจะใช้สมบัติล้ำค่าเหล่านั้นไปแลกเปลี่ยนให้วิถีอากาศของตัวเองไปถึงขั้นสุดยอด!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอุทาน ถึงแม้ว่าทางด้านเคล็ดวิชาวิญญาณ ผู้ที่ยืนอยู่ที่ระดับขั้นสูงสุดแล้ว ต่างก็เพียงพอที่จะทำให้ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝ่ายหนึ่งที่หุบเขาเขี้ยวหักหวั่นกลัวได้แล้ว แต่เขาก็ยังมุ่งมาดปรารถนาที่จะให้ ‘วิถีอากาศ’ไปถึงขั้นสุดยอด! เพราะมีเพียงแค่การไปถึงขั้นสุดยอดเท่านั้นจึงจะสามารถพาญาติสนิทมิตรสหายหนีไปก่อนที่โลกกำเนิดจะสูญสลายได้!
“ขั้นสุดยอด”
“วิถีอากาศของข้าต่างก็คิดค้นห้าท่าไม้ตายออกมาได้แล้ว อีกทั้งยังมีสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับด้วย ที่แท้แล้วเมื่อใดจึงจะสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “บางทีข้าอาจจะควรปลีกวิเวกบำเพ็ญอย่างสงบให้ดีๆ เสียแล้วสิ”
บุกเกาะแก่งมากว่าห้าร้อยแห่ง
อีกทั้งยังผ่านประสบการณ์แสวงโชคในวิถีอากาศมามากพอดู เพียงแต่ว่าเพราะเอาแต่บุกมาตลอด ตลอดมาก็ไม่สามารถสงบจิตใจค่อยๆ บำเพ็ญได้เลย อย่างเช่นจอมกระบี่ก็กำลังปลีกวิเวกบำเพ็ญ
“อืม ก่อนที่จะไปจากหุบเขาเขี้ยวหัก ก็ไปกล่าวลาประมุขโลกแสงดาว สหายของข้าท่านนั้นเสียหน่อยดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มน้อยๆ ตอนนั้นราชันย์อนธการอมตะโจมตีเมืองหิมะเหิน แต่ประมุขโลกแสงดาวก็ออกมายืนหยัดช่วยเหลือตน
พรึ่บ!
ทันใดนั้นก็เคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่ง ผ่านระยะทางอันห่างไกล ไปถึง ‘โลกแสงดาว’ หนึ่งในบรรดาโลกมากมายของกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม
ตอนนั้นประมุขโลกแสงดาวท่านนั้นก็เคยส่งข่าวแจ้งให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ถึงที่ตั้งของ ‘โลกแสงดาว’ นอกจากนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงยังบุกผ่านเกาะลอยคว้างมามากมายถึงเพียงนั้น ก็ได้รวบรวมข้อมูลง่ายๆ จาก ‘จักรพรรดิ’ ที่หลับในห้วงนิทรามาได้จำนวนหนึ่ง อย่างน้อยก็ยังตรวจหาการกระจายตัวของ ‘โลก’ ออกมาได้ โลกแสงดาวก็นับได้ว่าเป็นโลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 21 สภาวะวิกฤติของโลกแสงดาว
โลกชนพื้นเมืองดั้งเดิมต่างก็ซ่อนเร้นอยู่กลางห้วงอากาศ มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แห่งวิถีอากาศ ก็ย่อมสามารถสังเกตได้ถึงโลกที่ซ่อนเร้นอยู่เหล่านี้ได้อยู่แล้ว
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นกลางห้วงอากาศแห่งหนึ่งแล้วมองเกาะลอยคว้างที่มีขนาดเท่าเมล็ดงาที่อยู่ไกลออกไป พลางพยักหน้าน้อยๆ “อ้างอิงจากเกาะลอยคว้าง โลกอันลึกลับตรงหน้าข้าแห่งนี้ก็คือโลกแสงดาวแล้วล่ะ”
พรึ่บ
ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็เข้าไปภายในโลกอันลึกลับนี้ได้อย่างง่ายดาย
……
โลกแสงดาวก็คือดินแดนอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ไม่เหมือนกับ ‘เกาะลอยคว้าง’ กดดันและขับไล่ กดดันให้ต่ำอย่างที่สุดภายในโลกแสงดาว เพียงความคิดเดียวก็สามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาได้
“หืม”
หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปสู่โลกแสงดาวแล้ว กวาดสายตาคราหนึ่งก็เห็นว่าที่บริเวณไกลออกไปมีอาคารที่พังทลาย บริเวณรอบๆ ก็มีร่องน้ำตามรอยแยกของแผ่นดิน ป่าไม้ที่อยู่ไกลออกไปก็มีซากปรักหักพังเป็นบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล
“ดูคล้ายว่าจะผ่านศึกใหญ่มาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้ประหลาดใจ เหล่าประชากรภายในโลกแห่งหนึ่งก็อาจมีการต่อสู้กันได้
“พรึ่บ!”
เขาปล่อยเขตพลังห้วงอากาศออกมาแล้วรับสัมผัสอยู่ห่างๆ โลกแสงดาวมิได้ขับไล่ แต่กลับแผ่ปกคลุมทั่วทั้งโลกแสงดาวในชั่วพริบตา ที่จุดศูนย์กลลางของดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้กลับมีพลังแสงดาวอันเข้มข้นเป็นที่สุดรวมตัวกันอยู่ ทั้งยังขับไล่การตรวจหาทั้งหมดอีกด้วย เขตพลังห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ประสบกับการขับไล่เช่นเดียวกัน
ทว่าด้านนอกบริเวณที่แสงดาวแผ่ปกคลุมกลับมีเรือใหญ่หลายลำล่องลอยอยู่ ยามรักษาการณ์ที่ยืนอยู่บนเรือใหญ่ต่างก็แผ่กลิ่นอายของสายฟ้าออกมา
“อ้างอิงจากสิ่งที่ข้ารู้ กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมแบ่งออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ตามสายโลหิต” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ “อย่างเช่นเผ่าเซวี่ยเหยียนต่างก็มีบรรพชนที่มีสายโลหิตเซวี่ยเหยียนอันแกร่งกล้ายิ่งอยู่คนหนึ่ง นอกจากนี้ทั้งเผ่าพันธุ์ต่างก็กำลังศึกษาวิธีการปลุกเร้าสายโลหิตเซวี่ยเหยียน ด้วยเหตุผลเดียวกัน เผ่าโลกแสงดาว ที่เข้มข้นที่สุดในร่างกายก็คงจะเป็นสายโลหิตแสงดาว สายการบำเพ็ญหลักก็ควรจะเป็นสายโลหิตแสงดาว แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหล่านี้แผ่กลิ่นอายสายฟ้าออกมา เห็นได้ชัดว่ามิใช่เผ่าโลกแสงดาว”
“ที่แท้นี่มันเรื่องอันใดกันแน่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกาสังเกตการณ์ดูอยู่ห่างๆ
ศูนย์กลางโลกแสงดาวมีกลุ่มอาคารที่ทอดตัวต่อเนื่องกัน งามล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นที่รวมตัวของชาวเผ่ากลุ่มใหญ่ มองไปปราดหนึ่งก็เห็นชาวเผ่าโลกแสงดาวกว่าร้อยล้านคนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น และบริเวณรอบๆ ก็มีแสงดาวคุ้มกันอยู่อย่างแน่นหนา! แต่แสงดาวนี้กลับเผชิญกับห้วงมิติปิดผนึกและตัดแยก ซึ่งก็คือเรือใหญ่หลายลำที่ล่องลอยอยู่ในบริเวณรอบๆ นั่นเองที่ปลดปล่อยห้วงมิติปิดผนึกออกมา
“โลกแสงดาวเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้โง่งม มองเพียงปราดเดียวก็มองออกแล้วว่าเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมอีกกลุ่มหนึ่งโจมตีเผ่าโลกแสงดาว
“ประหลาดนัก เผ่าเซวี่ยเหยียนที่ข้าพบเจอในครั้งก่อน ฟังจากที่เซวี่ยเหยียนจี้พูดเอาไว้ในตอนท้ายสุด พวกเขาเผ่าเซวี่ยเหยียนก็ถูกขับออกมาจากบ้านเกิด หลบหนีออกมาอย่างน่าอนาถ เผ่าโลกแสงดาวก็เผชิญกับการโจมตีด้วยเหมือนกันหรือ ดูท่าทางภายในกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็คงจะต่อสู้กันอย่างร้ายกาจเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบขบคิดเงียบๆ
คิดๆ ดูแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา
ขนาดเล็กๆ อย่างภายในตระกูลสักแห่งหนึ่งต่างก็มีสงครามภายในด้วยกันทั้งสิ้น! การต่อสู้นั้นก็มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงจริงๆ
“สวบ”
ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาถึงยังด้านนอกของห้วงมิติปิดผนึกแล้ว ที่นั่นยามรักษาการณ์ซึ่งแผ่กลิ่นอายสายฟ้าออกมาที่กำลังเฝ้ายามอยู่คนหนึ่งพอดี เมื่อได้เห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวปรากฏตัวขึ้นก็ตะคอกใส่ในทันที “เจ้าเป็นใคร!”
“ข้าเป็นใครน่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มน้อยๆ เขตลวงก็แผ่ปกคลุมยามรักษาการณ์ตัวจ้อยที่น่าสงสารผู้นี้เอาไว้เสียแล้ว! เขาจงใจเคลื่อนที่ในพริบตามาถึงยังข้างกายของยามรักษาการณ์ผู้นี้ พลังยุทธ์ของยามรักษาการณ์อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพียงแค่ระดับขั้นอลวนเท่านั้น ปณิธานของชนพื้นเมืองดั้งเดิมก็ยิ่งอ่อนแอกว่าผู้บำเพ็ญเสียอีก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถตรวจดูความทรงจำของเขาได้อย่างง่ายดาย
การตรวจดูความทรงจำในครั้งนี้ก็ทำให้รู้ว่ายามรักษาการณ์ผู้นี้มาจาก ‘เผ่าอสนีอสรพิษ’ ได้ติดตาม ‘ประมุขอสนีอสรพิษ’ มาที่นี่เพื่อโจมตีโลกแสงดาว ต้องการจะทำลายล้างเผ่าแสงดาวแล้วยึดครองโลกแห่งนี้!
“ทำลายเผ่าหนึ่งอย่างนั้นหรือ โหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหลาดใจอยู่บ้าง
“ใครน่ะ!”
“ผู้ใดมายั่วโมโหเผ่าอสนีอสรพิษของข้ากัน” บนเรือใหญ่ลำหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ได้ค้นพบความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่นี่เข้าแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบตามองผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งที่บุกสังหารเข้ามาจากที่ไกลๆ หัวใจก็วูบไหวคราหนึ่ง เปรี้ยง… รอยแยกสีดำสายหนึ่งกะพริบวาบลงมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปตามรอยแยกสีดำ เข้าไปภายในศูนย์กลางโลกแสงดาวแล้ว
พรึ่บๆๆ…
ผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามา
“หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นเป็นใครกัน เหตุใดเพียงชั่วพริบตาจึงได้หายลับไปเสียแล้ว”
“เขาไปไหนเสียแล้วเล่า”
“คล้ายว่าสิ่งที่เขาสำแดงจะเป็นการส่งถ่ายทลายโลกา ไม่รู้เลยว่าไปที่ไหน!”
บรรดาผู้แกร่งกล้าเหล่านี้เคร่งเครียดกันเป็นอย่างยิ่ง มองไปทางยามรักษาการณ์ผู้น่าสงสารที่เพิ่งตื่นขึ้นมาผู้นั้นในทันทีแล้วทำการสอบถามโดยละเอียด เพราะว่ายามรักษาการณ์ผู้นั้นเพียงแค่เคลื่อนไหวตามคำสั่งเท่านั้น ตนเองมิได้เป็นมาร ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมมิได้เปิดฉากสังหารอยู่แล้ว!
*******
อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกามุ่งตรงเข้าไปในที่มั่นศูนย์กลางโลกแสงดาว ก็ย่อมกระตุ้นเตือนยอดฝีมือกลุ่มใหญ่อยู่แล้ว
“ใครน่ะ!”
“ผู้ใดกันที่เข้ามา”
“หรือว่าห้าเผ่านั้นจะกล้าบุกเข้ามาสังหารถึงที่นี่ ต้องการจะทำลายล้างเผ่าโลกแสงดาวของข้า พวกเขาก็ต้องตายกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว” ยอดฝีมือระดับบนของโลกแสงดาวกลุ่มใหญ่มากันอย่างรวดเร็ว
พวกเขามองปราดหนึ่งก็เห็นหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้ซึ่งใบหน้าเจือรอยยิ้มน้อยๆ ยืนอยู่บนพื้นหญ้า ตงป๋อเสวี่ยอิงใบหน้าเจือรอยยิ้มน้อยๆ พลางมองไปทางบุรษในอาภรณ์แสงดาวที่เป็นผู้นำของยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ที่กำลังร้อนรนผู้นั้น “ประมุขโลกแสงดาว ข้ามาที่หุบเขาเขี้ยวหัก จึงได้แวะมาเยี่ยมเยือนระหว่างทาง”
ยอดฝีมือกลุ่มใหญ่นี้ต่างก็มีความสงสัยอยู่บ้างพลางมองไปยังผู้นำของพวกเขา
“ท่านประมุข ท่านรู้จักเขาหรือขอรับ”
“เขาคือใครกัน”
“แม้กระทั่งข้าก็ยังมิอาจมองทะลุกลิ่นอายของเขาได้เลยแม้แต่น้อย ท่านประมุข เขามีความเป็นมาอย่างไรหรือขอรับ”
บรรดาระดับสูงเหล่านี้ หรือเหล่าผู้อาวุโส หรือเหล่าผู้นำทัพคนสำคัญ ต่างก็ระแวดระวังกันเป็นอย่างยิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงัน หลังจากที่ตระหนักรู้ท่าไม้ตายของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว กลิ่นอายของเขาก็เลือนรางยิ่งขึ้น ผู้อื่นล้วนมิอาจมองเห็นตัวตนจริงได้อย่างชัดเจน ภายในหุบเขาเขี้ยวหักก็กลายมาเป็นสัญชาตญาณของเขา จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปิดเผยกลิ่นอายอันแท้จริงออกมาเล็กน้อย
ประมุขโลกแสงดาวได้เห็นเหตุการณ์แล้วกลับพูดยิ้มๆ “ทุกท่านโปรดวางใจ นี่คือจ้าวหิมะเหิน สหายผู้มาจากดินแดนจิตโลกาที่ข้าเคยพูดถึงอย่างไรเล่า”
“อ้อ จ้าวหิมะเหินหรือ”
“เขาก็คือจ้าวหิมะเหินที่ช่วยเหลือองค์หญิงอย่างไรเล่า”
พวกเขาต่างพากันตกตะลึง
“จ้าวหิมะเหิน ก่อนหน้านี้ได้เชื้อเชิญเจ้ามายังโลกแสงดาวของข้า คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้ ช่างน่าอายเหลือเกิน” ประมุขโลกแสงดาวยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยขึ้นทันควัน “จ้าวหิมะเหิน ไปที่จวนของข้าดีกว่า”
“ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปพร้อมกัน
……
ณ โลกแสงดาว ภายในจวน
ประมุขโลกแสงดาวพาตัวภรรยาและบุตรสาว อีกทั้งยังมีผู้อาวุโสติดตามมาด้วย มาจัดงานเลี้ยงรับรองตงป๋อเสวี่ยอิง
“บุตรสาวของข้าผู้นี้วางอำนาจและทะนงตนเหลือเกิน อีกทั้งยังมีความสนใจในดินแดนจิตโลกามากเกินไป จนถึงกับหนีไปจากโลกแสงดาวอย่างเงียบๆ แล้วเข้าไปในดินแดนจิตโลกาเลยทีเดียว” ประมุขโลกแสงดาวมองดูบุตรสาวของตนเอง แล้วแค่นเสียงเอ่ยว่า “ใครจะไปคิดว่าพอเข้าไปยังดินแดนจิตโลกาแล้วจะไปเจอะกับพญามารตนหนึ่งเข้า โชคดีที่มีร่างแปรคนวิถีจิตฟ้าของจ้าวหิมะเหินในตอนนั้นมาสังหารมาร ช่วยชีวิตนางเอาไว้ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึงงัน
“ขอบคุณจ้าวท่านที่มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้าค่ะ” บุตรสาวของประมุขแสงดาวเอ่ยอย่างอ่อนน้อม
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
ชายชราร่างอ้วนพี ผมสีเงิน ที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยว่า “จ้าวหิมะเหินบังเอิญช่วยคุณหนูเอาไว้ได้พอดี นี่ก็เป็นชะตาลิขิต”
“เผ่าแสงดาวของข้ามีบุญคุณก็ต้องทดแทน” ประมุขแสงดาวเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “จ้าวหิมะเหินมายังหุบเขาเขี้ยวหัก เดิมทีเผ่าแสงดาวของข้าก็ควรจะช่วยเหลือเจ้าให้ดีๆ เพียงแต่ว่าเจ้าก็เห็นว่าตอนนี้เผ่าแสงดาวของข้าก็เหลือจะรับแล้ว โอ้ จ้าวหิมะเหินรีบจากไปโดยเร็วก็จะเป็นการดีที่สุด มิฉะนั้นก็จะถูกเผ่าแสงดาวของข้าลากให้มาติดร่างแหไปด้วย ก็จะยิ่งรู้สึกผิดต่อจ้าวท่านเข้าไปใหญ่”
“ที่แท้แล้วนี่มันเรื่องอันใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถามอย่างสงสัย “โลกแสงดาวจะเผชิญกับการโจมตีได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยปะกับเผ่าเซวี่ยเหยียนมาก่อนแล้ว พวกเขาก็เผชิญกับการโจมตีเช่นเดียวกัน บ้านเกิดก็ยังถูกยึดครองไปแล้วด้วย ก็ได้แต่หนีเอาชีวิตรอดอยู่ข้างนอกเท่านั้น”
“นี่ล้วนเป็นเพราะ ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ทั้งสิ้น” ประมุขแสงดาวพูด “ข้าก็รู้จักเผ่าเซวี่ยเหยียน ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่อยากตกเป็นทาสของจักรพรรดิเป่ยเหอ ดังนั้นจึงได้ถูกโจมตี แม้กระทั่งพี่เซวี่ยเหยียนก็ยังตายเพราะการต่อสู้ ได้ยินว่ามีเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งที่เซวี่ยเหยียนจี้พาไปด้วยเท่านั้นที่หนีรอดไปได้ เผ่าแสงดาวของข้าก็ไม่อยากตกเป็นทาสของจักรพรรดิเป่ยเหอเช่นเดียวกัน”
“เฮอะ” ผู้อาวุโสหน้าดำอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ก็แค่นเสียงเฮอะเยียบเย็นเช่นเดียวกัน “อยากจะทำลายเผ่าโลกแสงดาวของพวกเรา ลูกน้องที่จักรพรรดิเป่ยเหอส่งมาก็ต้องตายกันเป็นกลุ่มใหญ่ โลกหลายแห่งยอมสวามิภักดิ์ ก็ต้องดูว่าที่แท้แล้วจักรพรรดิเป่ยเหอจะยอมตัดใจสูญเสียลูกน้องได้มากมายสักเพียงใดกัน”
“ถูกรังแกกดขี่เป็นทาส ก็ยังมิสู้ต่อสู้จนตัวตายหรอก!” ผู้อาวุโสผมเงินร่างอ้วนพีก็เอ่ยอย่างเรียบเรื่อย
ประมุขแสงดาวมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง “จ้าวหิมะเหิน เจ้าก็ไม่ต้องถามอะไรให้มากความอีกแล้วล่ะ พอกินเสร็จข้าจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะลอยคว้างกับเจ้าจำนวนหนึ่ง แล้วเจ้าก็รีบจากไปให้เร็วที่สุดเลยนะ อย่าได้ถูกพวกเราลากมาลำบากด้วยเลย”
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 22 ก็แค่ทหารไม่กี่คนเท่านั้นเอง
“ประมุขแสงดาวคงจะรู้ว่าข้ามีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วข้าจะยังต้องกลัวถูกลากมาลำบากอันใดกันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
ประมุขแสงดาวได้ฟังแล้วก็ตะลึงงันในทันใด ก่อนจะหัวเราะฮ่าฮ่า “ใช่แล้ว จ้าวหิมะเหินมีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน ในเมื่อเจ้าอยากจะรู้ ข้าก็จะบอกเจ้าให้ละเอียดยิบเลยทีเดียว เจ้าคงจะรู้ว่าภายในหุบเขาเขี้ยวหัก กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมของพวกเรามียอดเคารพอยู่สองท่าน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ยอดเคารพห้าท่าน สามท่านมาจากเผ่ามรณะทมิฬ ส่วนอีกสองท่านเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิม ว่ากันว่าพลังยุทธ์ของยอดเคารพห้าท่านต่างก็แข็งแกร่งเหนือธรรมดา จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะเผชิญหน้ากับยอดเคารพก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้ง
“ยอดเคารพสองท่าน กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั่วทั้งหุบเขาเขี้ยวหักแบ่งอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลออกเป็นสองส่วน แบ่งออกเป็นแดนใต้ปกครองของผู้บัญชาการยอดเคารพสองท่าน” ประมุขแสงดาวพูด “โลกแสงดาวของพวกเราก็อยู่ใต้ปกครองของผู้บัญชาการ ‘ยอดเคารพเฮ่ากู่’”
“เดิมทีใต้บังคับบัญชาของยอดเคารพเฮ่ากู่ก็มีจักรพรรดิทั้งห้าอยู่ พลังยุทธ์ของจักรพรรดิทั้งห้าต่างก็แข็งแกร่งเป็นที่สุด ต่างก็มีระดับที่ใกล้เคียงกันกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ‘ผู้วิเศษแปดท่าน’
ถึงแม้ว่าจะไม่มีความสามารถในการรักษาชีวิตรอดอันล้ำเลิศเหมือนสิ่งมีชีวิตคละถิ่น แต่ก็มีพลังยุทธ์พอๆ กันกับพวกเขา อ่อนแอกว่ายอดเคารพเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น” ประมุขแสงดาวพูด
“ความสัมพันธ์ระหว่างยอดเคารพกับพวกเขาก็เบาบางเป็นอย่างยิ่ง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
จักรพรรดิทั้งห้าและยอดเคารพเฮ่ากู่มีพลังยุทธ์แตกต่างกันเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น มิได้มีความแตกต่างกันมากพอ พลังคุกคามก็ย่อมมีขีดจำกัด
“ยอดเคารพเฮ่ากู่สูงส่งเหนือผู้ใด เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แท้จริงที่มุ่งมั่นไขว่คว้าความสำเร็จเพียงอย่างเดียว คร้านจะไปวุ่นวายกับเรื่องหยุมหยิม ล้วนเป็นจักรพรรดิทั้งห้าที่จัดการดูแลทั้งสิ้น แต่ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานจักรพรรดิเฉินเย่าก็ตายไปเสียแล้ว!” ประมุขแสงดาวพูด “อาณาเขตที่จักรพรรดิเฉินเย่าปกครองในตอนนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ได้ยินว่าทำการประลองเดิมพันคราหนึ่ง ยังเป็นยอดเคารพเฮ่ากู่ที่จัดการ ในท้ายที่สุดจักรพรรดิสี่ท่าน จักรพรรดิเป่ยเหอก็เอาชนะท่านอื่นๆ อีกสามท่าน อาณาบริเวณของผู้บัญชาการจักรพรรดิเฉินเย่า ก็กลับไปอยู่ใต้การบัญชาการของเขาเสียแล้ว แต่โลกแสงดาวของพวกเรา ยังมีโลกเซวี่ยเหยียนก่อนหน้านี้ ทั้งยังมีโลกอีกมากมาย ต่างก็เป็นอาณาเขตแต่เดิมของผู้บัญชาการจักรพรรดิเฉินเย่า”
“ผู้บัญชาการจักรพรรดิเฉินเย่าเป็นอิสระอย่างยิ่ง พวกเราก็มีความสุขสบายกันดี”
“แต่จักรพรรดิเป่ยเหอกลับโหดเหี้ยมอำมหิต เพียงเพราะต้องการจะกดขี่พวกเราเป็นทาส เขาก็ให้พวกเราต่อสู้เพื่อเขา สละชีวิตเพื่อเขา” ประมุขแสงดาวยิ้มหยัน “พลังยุทธ์ของจักรพรรดิเป่ยเหอก็เป็นผู้นำของสี่จักรพรรดิในตอนนี้ แม้กระทั่งยอดเคารพเฮ่ากู่ก็ยังไม่ยุ่งกับเรื่องนี้เลย พวกเราก็ได้แต่ดิ้นรนกันเอาเองแล้ว คิดอยากจะผลาญเผ่าโลกแสงดาวของข้า ลูกน้องพวกเขาก็ต้องตายตกกันไปเป็นกลุ่มใหญ่”
“แต่พูดตามจริง ด้วยอุปนิสัยของจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว เกรงว่าก็คงจะมิได้ใส่ใจความเป็นความตายของลูกน้องกระมัง” ประมุขแสงดาวส่ายศีรษะเบาๆ
ผู้อาวุโสสองท่านที่อยู่ข้างๆ ภรรยาและบุตรสาวของเขาต่างก็เงียบงัน
พลังกดดันของจักรพรรดิเป่ยเหอแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเผ่าโลกแสงดาว ใครๆ ต่างก็รู้กันดีว่าการจะให้จักรพรรดิเป่ยเหอล้มเลิกแผนการนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นเพียงใด
“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ
ที่โลกกำเนิดบ้านเกิดของตน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถควบคุมวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนได้ ส่วน ‘จักรพรรดิจวิน’ ฝูงมารผลาญทำลาย เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่กฎเกณฑ์สูงสุดมอบให้ ก็ยิ่งต้องทำเรื่องการมหาทำลายล้าง
เพื่อวิถีของตนเอง ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากก็ย่อมไม่สนใจชีวิตของผู้อื่นอยู่แล้ว แม้กระทั่งเผ่าพันธุ์เดียวกันก็ตาม!
เท่าที่ ‘ชนพื้นเมืองดั้งเดิม’ ดู บนดินแดนจิตโลกาก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน… เผ่าพันธุ์ผู้บำเพ็ญ! เผ่าพันธุ์ผู้บำเพ็ญมิได้บุกสังหารอย่างบ้าคลั่งเช่นเดียวกัน ถึงขนาดที่ราชันย์อนธการอมตะก็ยังต้องสละชีวิตในสิบห้าประเทศไปครั้งหนึ่ง
“เพราะความเห็นแก่ตัว ก็ต้องทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเดือดร้อน ทั้งยังเป็นมารตนหนึ่งอีกด้วย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงเบา นัยน์ตามีประกายหนาวเหน็บ
ประมุขแสงดาวที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วก็ตกใจจนสะดุ้งคราหนึ่ง
องค์หญิงผู้นั้นฟังแล้วสายตาก็ทอประกายวูบหนึ่ง
พวกเขาต่างก็รู้อุปนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิง เพื่อข่มขู่มาร ก็ต่อกรกับเหล่ามารทั้งหมดทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยกำลังของตนเองเพียงคนเดียว
“น้องหิมะเหิน!” ประมุขแสงดาวกุมมือของตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ “เจ้าอย่าได้บุ่มบ่ามไปเลย”
“วางใจเถิด ข้าไม่บุ่มบ่ามหรอก จะทำอะไรก็ต้องทำตามกำลังอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“ใช่แล้ว ทำตามกำลัง” ประมุขแสงดาวส่ายศีรษะ “แต่พวกเราต่อกรกับจักรพรรดิเป่ยเหอ ก็ออกจะไม่ประมาณตนเสียแล้ว พวกเราก็ได้แต่ถ่วงเวลาออกไปอย่างสุดกำลังเท่านั้น อาณาเขตของผู้บัญชาการจักรพรรดิเฉินเย่า มีโลกมากมายที่กำลังต่อต้านอยู่! เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านนานไปแล้วก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น”
……
งานเลี้ยงครั้งนี้เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น
“ปัง!” มีระลอกคลื่นอันแรงกล้าปรากฏขึ้น
“จะโจมตีเข้ามาแล้วหรือ” ประมุขแสงดาวสีหน้าแปรเปลี่ยน “น้องหิมะเหิน เจ้าอยู่ที่นี่แหละ”
“พวกเราไปกัน!”
ประมุขแสงดาวนำทางผู้อาวุโสสองท่านผละจากไปอย่างรวดเร็วในทันที กะพริบวาบคราหนึ่งก็หายลับไปเสียแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนขึ้นอย่างสงสัย จากนั้นก็เดินออกไป
ยอดฝีมือทั่วทั้งนครหลวงของเผ่าแสงดาวก็มิได้มากมายนัก เพราะว่าจำนวนของพวกเขาเมื่อเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญแล้วก็น้อยกว่าอยู่มากมายนัก ตอนนี้ด้านนอกประตูของเมืองแห่งหนึ่ง เรือใหญ่ลำแล้วลำเล่าหยุดอยู่กลางอากาศ ผู้แกร่งกล้าจากเผ่าภายนอกยืนอยู่บนเรือใหญ่พลางมองลงมายังนครหลวงของยอดฝีมือเผ่าแสงดาว
“แสงดาว หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่มาเมื่อครู่ผู้นั้นเป็นใครกันหรือ” บนเรือใหญ่ลำหนึ่ง บุรุษอัปลักษณ์ ผิวกายสีแดงก่ำตลอดร่าง เส้นผมสีแดงสดคนหนึ่งตะเบ็งเสียง “ข้ารู้สึกได้ว่าศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาขุมนั้นเข้าไปภายในนครหลวงของเจ้า ยอดฝีมือเผ่าแสงดาวของเจ้าถูกกักตัวเอาไว้เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ยังจะมีผู้มาจากภายนอกกล้าเข้าไปอีก!”
“หัวหย่ง ใครจะเข้าไปในเผ่าแสงดาวของข้า แล้วเจ้า เผ่าหัวหย่งมีสิทธิ์ที่จะมายุ่งวุ่นวายด้วยหรือไร” ประมุขแสงดาวตะคอก ด้านหลังมีผู้อาวุโสติดตามมาด้วยถึงเก้าท่าน ทั้งยังมีสุดยอดผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ อีกกลุ่มหนึ่งตามมาด้านหลังอีกด้วย
“หึหึ จักรพรรดิได้ให้สัญญาเอาไว้แล้วว่าเมื่อใดที่โจมตีโลกแสงดาว โลกใบนี้ก็จะเป็นของข้า เผ่าหัวหย่ง ตอนนี้พวกเราต่างก็ยึดครองไปได้เกือบหมดแล้ว ข้าก็ย่อมมีสิทธิ์ยุ่งได้อยู่แล้วสิ” บุรุษอัปลักษณ์ผู้นี้โบกมือคราหนึ่ง “ในเมื่อเจ้าโง่เง่าถึงเพียงนี้ หึๆ ไป ตีนครแสงดาวให้ข้าเสีย”
“ขอรับ”
บริเวณโดยรอบมีเงาร่างสิบห้าสายพุ่งออกมาในทันใด
บ้างก็เป็นเงาร่างผิวหนังสีแดงเพลิง บ้างก็เป็นเงาร่างลำแสงสายฟ้า บ้างก็ร่างเป็นมนุษย์หางเป็นงู บ้างก็เป็นมนุษย์สามตา
ผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดของเผ่าพันธุ์ทั้งห้าร่วมมือกันสังหารออกมาอีกครั้ง
“ไป”
“เข้าไปอีก”
“ฆ่ามัน”
ผู้อาวุโสเก้าคนเป็นหัวหน้า นำทางเหล่าผู้แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งของโลกแสงดาวพุ่งตัวออกไปจากนครหลวงในทันใด ตั้งรับการต่อสู้อยู่นอกเมืองค่ายกลรบแห่งแล้วแห่งเล่าก่อตัวขึ้น ห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
“ปัง!” “ปัง!” “ปัง!”…
ฟ้าดินสั่นสะเทือน
พลังคุกคามโครมคราม การห้ำหั่นของยอดฝีมือทั้งสองฝ่ายส่งผลกระทบมากยิ่งกว่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานเสียอีก
ประมุขแสงดาวมองอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขาไม่กล้าสอดมือยุ่งเกี่ยว เพราะว่าผู้นำทั้งห้าของห้าเผ่าพันธุ์ฝ่ายตรงข้ามต่างก็มิได้ลงมือเลย! โชคดีที่อยู่ที่บ้านเกิด อาศัยพลังของเผ่าพันธุ์ พลังยุทธ์ของเขาก็แข็งแกร่งกว่าหัวหน้าทั้งห้าอยู่เล็กน้อย
“เข้าไปอีก” หญิงสาวหางงูร่างมนุษย์คนหนึ่งออกคำสั่ง
ทันใดนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็บุกสังหารเข้าไป เพียงชั่วพริบตายอดฝีมือห้าเผ่าพันธุ์ก็ครองความได้เปรียบในทันที
“ปัง!”
ทันใดนั้นลำแสงทั่วทั้งนครแสงดาวก็ไปรวมตัวกันบนร่างของผู้อาวุโสทั้งเก้า และบนร่างของยอดฝีมือเผ่าแสงดาวทุกคน
“เป็นคนบ้าจริงๆ เสียด้วย” ประมุขแสงดาวได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็เดือดดาล การโจมตีขนานใหญ่ทุกครั้งของห้าเผ่า ต่างก็ห้ำหั่นจนสูญเสียผู้แกร่งกล้าไปมากพอสมควรจึงได้ล่าถอยไป! เขาก็รู้ว่าใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอ… บรรดาผู้แกร่งกล้าเหล่านี้ต่างก็เคยชินกับการที่ ‘ผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง’ เสียแล้ว บางทีการห้ำหั่นจนสูญเสียผู้แกร่งกล้าไปมากพอสมควรพรรค์นี้คงเป็นวิธีการขัดเกลาคัดกรองผู้แกร่งกล้าของพวกเขากระมัง
เพียงแต่ว่าเดิมทีโลกแสงดาวมีผู้อาวุโสสิบแปดท่าน ตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวแล้ว
“ท่านแม่”
องค์หญิงผู้นั้นกับมารดามองดูอยู่ไกลๆ อย่างกระวนกระวาย
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ยอดฝีมือทั้งเผ่าแสงดาวจำนวนมากมายต่างก็ดูอยู่อย่างกระวนกระวายและเป็นกังวล ที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นก็คือยอดฝีมือทั้งเผ่าแสงดาวแล้ว เป็นบรรดาบุคคลที่ยืนอยู่ในระดับยอดสุด! ส่วนพวกเขาชาวเผ่าธรรมดาสามัญเหล่านี้ก็มีพลังยุทธ์อ่อนด้อยกว่ามากมายนัก เมื่อใดที่บรรดาผู้อาวุโสและเหล่าผู้นำทัพพากันต้านไม่อยู่ พวกเขาชนเผ่าที่อ่อนแอเหล่านี้ก็คงถูกผลาญสังหารกวาดล้างไปอย่างง่ายดายเสียแล้ว
“ใครกันที่มาช่วยเหลือพวกเขา”
“ที่แท้แล้วเมื่อใดกันแน่ที่วันเวลาเช่นนี้จะสิ้นสุดลงเสียที” บรรดาชาวเผ่าธรรมดาสามัญเหล่านี้หวาดหวั่นไม่เป็นสุข พวกเขาทำได้เพียงรอคอยคำพิพากษาของโชคชะตาเท่านั้น
……
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สังเกตการณ์อยู่ข้างๆ มาโดยตลอดสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย “ท่าไม่ดีแล้วสิ!”
ผู้อาวุโสในบรรดายอดฝีมือเผ่าแสงดาวคนหนึ่งยาดเจ็บสาหัส เห็นได้ว่าไม่ไหวแล้ว แต่ประมุขแสงดาวก็ยังคงยืนนิ่งไม่ยอมลงมืออยู่อย่างนั้น
“เขากลัวหัวหน้าห้าเผ่านั่น ไม่อยากก่อให้เกิดการต่อสู้พัวพันในท้ายที่สุดอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ ประมุขแสงดาวมีบุญคุณต่อตน ก้าวออกมาช่วยเหลือตนในช่วงเวลาวิกฤติ
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกคิดคราหนึ่ง
เขตลวงขนาดใหญ่มหึมาแผ่ปกคลุมออกไปในทันใด ปกคลุมเหล่ายอดฝีมือทั้งสองฝ่ายที่กำลังห้ำหั่นกันเอาไว้
พลั่ก พลั่ก พลั่ก…
เหล่ายอดฝีมือกลุ่มใหญ่ทั้งสองฝ่ายแววตาหม่นมัว ทุกคนหยุดมือแล้วทรุดตัวลงมา
“เป็นอะไรไปเสียแล้วเล่า” ประมุขโลกแสงดาว ภรรยาและบุตรสาวของเขา รวมถึงบรรดาชาวเผ่าโลกแสงดาวจำนวนหนึ่งต่างก็พากันตะลึงงันไปเสียแล้ว!
ยอดฝีมือห้าเผ่าพันธุ์ที่อยู่บนเรือใหญ่ไกลออกไปต่างก็ตะลึงงันไปแล้วเช่นกัน
“พรึ่บ” “พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกคิดคราหนึ่งก็เคลื่อนย้ายยอดฝีมือทั้งสองกลุ่มใหญ่ที่จ่อมจมอยู่ในเขตลวงเข้าไปในนครหลวงจนหมดสิ้น ในบรรดาคนเหล่านี้ ผู้อาวุโสเก้าคนของยอดฝีมือเผ่าแสงดาวและเหล่ายอดฝีมือจำนวนหนึ่งยังคงครองสติเอาไว้ได้ ส่วนบรรดายอดฝีมือห้าเผ่าพันธุ์กลับยังคงจ่อมจมอยู่ท่ามกลางเขตลวง
“ประมุขแสงดาว คุมตัวยอดฝีมือห้าเผ่าพันธุ์เอาไว้ชั่วคราวก่อนเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเอ่ยปากว่า “แล้วก็ไม่จำเป็นต้องลงมือรุนแรงจนเกินไปนัก พวกเขาก็เพียงแค่รับคำสั่งมาให้ต่อสู้เท่านั้น ก็แค่ทหารไม่กี่คนเท่านั้นเอง”
ในขณะนี้เอง
บรรดาชาวเผ่าจำนวนมากมายของเผ่าโลกแสงดาว และเหล่ายอดฝีมือห้าเผ่าพันธุ์ที่อยู่บนเรือใหญ่ลำแล้วลำเล่าต่างก็มองไปทางหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่เอ่ยปากพูดอยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
“น้องหิมะเหินช่างมีเมตตา ข้าก็จะไม่ลงมือรุนแรงแน่” ประมุขแสงดาวดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
เขารู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาตลอดทั่วทั้งร่างกาย หัวใจที่สิ้นหวังไร้เรี่ยวแรงมาโดยตลอดเต็มไปด้วยกำลังวังชา โลหิตก็เดือดพล่าน อีกทั้งน้ำเสียงของเขาก็สว่างไสวขึ้นมาเช่นกัน “จับพวกเขาไปขังให้หมด ฟังคำสั่งน้องหิมะเหินของข้า อย่าได้ทำร้ายพวกเขาจนถึงแก่ชีวิต พวกเขาเป็นเพียงแค่ทหารเท่านั้น”
ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...
ตอนที่ 23 หนีหัวซุกหัวซุน
“ขอรับ ท่านประมุข”
ผู้อาวุโสร่างอ้วนเตี้ยคนหนึ่งในบรรดาผู้อาวุโสทั้งเก้าที่ตื่นขึ้นมาหยิบขวดหยกที่เปล่งประกายแสงดาว ขวดหนึ่งออกมาแล้วดึงจุกออก ทันใดนั้น พละกำลังที่ดูดกลืนลงไปก็ปกคลุมยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าที่อยู่ในห้วงนิทราเอาไว้ แต่ละคนล้วนถูกเก็บลงไปในขวด จากนั้นผู้อาวุโสร่างอ้วนเตี้ยผู้นี้ก็อุดจุกขวดกลับลงไปด้วยความตื่นเต้นยินดีเป็นอันมาก ก่อนจะรีบรายงานว่า “ท่านประมุข ยอดฝีมือของทั้งห้าเผ่ารวมสามสิบคนถูกจองจำเอาไว้จนสิ้นแล้ว และยังมิเคยทำร้ายพวกเขาเลยแม้แต่ชีวิตเดียว”
เสียงที่ผู้อาวุโสร่างอ้วนเตี้ยผู้นี้พูดสะท้อนก้องเป็นพิเศษ มันแพร่ไปทั่วทั้งนครแสงดาว แม้แต่บรรดายอดฝีมือของทั้งห้าเผ่าซึ่งอยู่บนเรือใหญ่นอกเมืองหลายลำก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่ามองไปทาง หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ตอนนี้ถูกห้อมล้อมอยู่ด้วยความแตกตื่นระคนหวาดหวั่น ประมุขแสงดาวก็ยังต้อนรับด้วยความกระตือรือร้นหาใดเปรียบ
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน”
“ผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดที่พวกเราห้าเผ่าคัดเลือกมากลับถูกกระบวนท่ากันหมดในพริบตา ดูเหมือนจะเป็นกระบวนท่าทางด้านวิญญาณทั้งหมดเลยหรือ”
ศัตรูที่มองไม่เห็นลงมือขึ้นมา
ยอดฝีมือทั้งสามสิบคนทางฝ่ายตนอ่อนยวบไปกันหมด แล้วตกเข้าสู่ห้วงนิทรา นี่จะต้องเป็นกระบวนท่าทางด้านวิญญาณอย่างไร้ข้อกังขา กระบวนท่าระดับนี้ทำให้ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าตัวสั่นทั้งที่ไม่หนาวได้! เนื่องจากผู้ที่ส่งออกไป ก็คือเหล่าผู้แกร่งกล้าที่เป็นรองเพียงผู้นำทั้งห้าเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้ว พลังของทหารคุ้มกันทั้งหลายบนเรือรบก็อ่อนแอกว่ามากทีเดียว
เชื่อว่ากระบวนท่าทางด้านวิญญาณซึ่งมีขอบเขตกว้างใหญ่เหมือนกัน ก็สามารถกวาดล้างพวกเขาได้ในกระบวนท่าเดียว
ไม่เห็นหรือว่าก่อนหน้านี้ แม้แต่ยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ของโลกแสงดาว ก็ล้มลงไปกันหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ากระบวนท่าเช่นนี้ จำนวนกลับไม่มีความหมายอันใดเลย!
“ทำเช่นไรดี”
“ผู้อาวุโสฟูเฉินยังถูกกระบวนท่าเข้าอย่างไร้ทางตอบโต้เสียแล้ว พวกเราหน้าไหนจะสามารถต้านทานได้เล่า”
“การโจมตีเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว”
ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าตื่นตระหนก
ทางด้านผู้นำทั้งห้าก็อยู่ไม่สุขเช่นกัน พวกเขามองสบตากันและกันอยู่ห่างๆ บนเรือใหญ่ของตนเอง แล้วถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ อย่างรวดเร็ว
“ท่านพี่ทั้งสี่ พวกผู้อาวุโสฟูเฉินถูกกระบวนท่าเข้าอย่างไร้ทางตอบโต้เสียแล้ว พวกเราทั้งห้าล้วนก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว! เมื่อเทียบกับพวกเขา ทางด้านวิญญาณของพวกเราก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้แล้ว เชื่อว่าคงไม่ถึงกับถูกกระบวนท่าและตกเข้าสู่ห้วงนิทราหรอก” สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูในบรรดาผู้นำทั้งห้าถ่ายเสียงพูด “แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดในโลกจำนวนนับไม่ถ้วน รวมทั้งเผ่ามรณะทมิฬเหล่านั้น สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิตกเข้าสู่ห้วงนิทราได้เลย”
“ใช่ คิดจะทำให้พวกเราถูกกระบวนท่า เป็นไปไม่ได้หรอก”
“พวกเราก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิแล้ว”
แต่ละคนพากันถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ระดับจักรพรรดิ
ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามรณะทมิฬ หรือว่าเผ่าชนพื้นเมือง ก็ล้วนเรียกได้ว่าเป็นระดับขั้นสูงที่สุดแล้ว ส่วนยอดเคารพในตำนาน พวกเขาก็เชื่อว่าเป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิที่ระดับขั้นครบสมบูรณ์เท่านั้น
อย่าง ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพบในตอนนั้นก็มิได้บรรลุถึงระดับจักรพรรดิ ดังนั้นในเกาะลอยคว้าง เขาจึงมิอาจใช้แรงต้าน ‘ผู้อาวุโสใหญ่’ ได้!
บรรลุถึง ‘ระดับจักรพรรดิ’ จึงจะมีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นผู้นำของเผ่าหนึ่งได้อย่างไร้ข้อกังขา
“ทว่ายอดฝีมือจำนวนมากถูกกระบวนท่าในพริบตาเดียว กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก แม้พวกเราจะสามารถต้านทานได้ แต่เกรงว่าพลังก็คงต้องลดลงสามสี่ส่วนเลยทีเดียว” สตรีหางงูถ่ายเสียงพูดต่อไป “ในโลกแสงดาว ประมุขแสงดาวอาศัยพละกำลังของเผ่า พลังจึงเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก เพียงคนเดียวก็สามารถต้านทานพวกเราทั้งห้าคนได้แล้ว ด้วยกระบวนท่าทางด้านวิญญาณของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาว ทำให้ข้าและคนอื่นๆ พลังลดลงเป็นอย่างมาก เกรงว่าคงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของประมุขแสงดาวแล้ว”
“ตอนนี้พวกเราไม่มีข้อได้เปรียบมากพอแล้ว”
“ถอย”
“ถอยไปก่อน แล้วรายงานองค์จักรพรรดิ”
ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าจิตใจไม่สงบอยู่บ้าง พวกเขาไม่มีจิตคิดต่อสู้เลย
ไม่นานนัก
สวบๆๆๆๆ…
เรือใหญ่ลำแล้วลำเล่าทะลุอากาศจากไป
“ประมุขแสงดาว” เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งหยุดอยู่กลางอากาศ เป็นร่างแปรของสตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูผู้นั้นนั่นเอง นางเอ่ยปากพูดว่า “ข้าและคนอื่นๆ รับบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอมาที่นี่ เจ้าปล่อยคนของพวกเราออกมาให้หมดจะดีที่สุด นั่น…”
“ไม่ต้องพูดมาก”
ประมุขแสงดาวกลับตัดบทขึ้นมา แล้วพูดตะคอกว่า “ในเมื่อถูกข้าและคนอื่นๆ จับมาทั้งเป็น ข้าก็ย่อมไม่ปล่อยไปอยู่แล้ว! ช่วงที่ผ่านมาพวกเจ้าโจมตีโลกแสงดาวของข้า ชาวเผ่าแสงดาวเราสู้รบจนต้องตายไปมากมาย พวกเรามิได้สังหารเชลยทันทีก็ถือว่าเมตตามากแล้ว! หวังว่าพวกเจ้าจะถอยไปแต่โดยดี หากมาโจมตีอีก ก็อย่าโทษว่าพวกเราแล้งน้ำใจก็แล้วกัน”
สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูจ้องประมุขแสงดาวเขม็ง
นางก็เข้าใจดีว่า ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขาทั้งห้าเผ่าโจมตี วิธีการก็ดุเดือดยิ่งนัก ซึ่งล้วนแต่เป็นการทำตามบัญชาของจักรพรรดิเป่ยเหอทั้งสิ้น…หมายจะทำลายเผ่าแสงดาวให้หมด! เมื่อจะล้างเผ่าพันธุ์ ขณะต่อสู้ก็ย่อมไม่ไว้น้ำใจอยู่แล้ว บัดนี้คิดจะทำให้อีกฝ่ายปล่อยเชลยคืนมา ก็ย่อมยากเสียยิ่งกว่ายาก
“ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขใด พวกเจ้าจึงจะยอมรับปากว่าจะปล่อยพวกเขากลับมา” สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูเอ่ย
“ขอเพียงจักรพรรดิเป่ยเหอมีโองการลงมาด้วยตนเอง แล้วเจ้าส่งโองการมา โองการก็ต้องเขียนให้ชัดเจนว่านับแต่นี้ไป เผ่าแสงดาวของเราจะไม่ฟังการโยกย้ายจากจักรพรรดิเป่ยเหออีกต่อไปแล้ว และจะไม่มาโจมตีโลกแสงดาวของข้าอีก” ประมุขแสงดาวกล่าว ขอเพียงจักรพรรดิเป่ยเหอเขียนโองการด้วยมือตนเอง เพื่อรักษาหน้าตา เขาก็ย่อมไม่มีทางตระบัดสัตย์
“เงื่อนไขของเจ้านี่ช่างสูงเสียจริง” สตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูพูดเสียงต่ำ
จักรพรรดิเป่ยเหอมีนิสัยเช่นใดกัน แล้วจะยอมออกโองการเช่นนี้มาได้อย่างไร
“เงื่อนไขก็อยู่ตรงนี้แล้ว พวกเจ้าเลือกเอาเองก็แล้วกัน!” ประมุขแสงดาวตะคอก “ตอนนี้ เจ้าออกจากโลกแสงดาวไปเสียเถอะ”
ประมุขแสงดาวพูดพลางสะบัดชายเสื้อ
ฟิ้ว
ไกลออกไป อากาศกวาดออกไป ร่างแปรของสตรีร่างมนุษย์ที่มีหางงูผู้นั้นก็หายวับไปทันที นางเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างเงียบเชียบ
……
พลังของประมุขแสงดาวสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าศัตรูได้จากโลกแสงดาวไปจนสิ้นแล้ว
“ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าจากไปหมดแล้ว” ประมุขแสงดาวประกาศเสียงดังกังวาน “ศัตรูถอยไปหมดแล้ว”
“พวกเราชนะแล้ว”
“ถอยไปแล้ว พวกเขาถอยไปแล้ว”
“ในที่สุด ในที่สุดพวกเราก็ชนะแล้ว”
ชาวเผ่าแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนในนครแสงดาวโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น แม้พวกเขาจะรู้ว่าเป็นการแก้ไขวิกฤตเพียงชั่วคราว แต่ต่อให้ชนะเพียงชั่วคราว ก็ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขารอคอยมานานแสนนานเกินไปแล้ว
นอกจากนี้ ครั้งนี้ในมือของพวกเขายังมีเชลยที่สำคัญ ซึ่งเป็นยอดฝีมือระดับยอดกว่าครึ่งของฝ่ายศัตรูทั้งห้าเผ่าอยู่ด้วย เมื่อมีเชลยเช่นนี้อยู่กลุ่มหนึ่ง ทั้งห้าเผ่าก็ต้องกลัวจะตีวัวกระทบคราด! ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ อาจจะไม่สนใจความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ผู้นำของทั้งห้าเผ่าก็นับว่าเป็นบุคคลระดับสูงในบรรดาคนของจักรพรรดิเป่ยเหอแล้ว พวกเขามีสหายมากมาย ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นของจักรพรรดิเป่ยเหอจึงต้องเห็นแก่หน้าอยู่บ้าง ไม่มีทางดันทุรังโจมตีต่อไปแล้วปล่อยให้เชลยเสี่ยงถูกสังหารตายเป็นแน่
นอกเสียจากจักรพรรดิเป่ยเหอจะมีบัญชาลงมา!
“พวกเราจับตัวเชลยเอาไว้ แล้วยังมีน้องหิมะเหินอยู่ด้วย” ประมุขแสงดาวมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง “น้องหิมะเหิน ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตอนนั้นได้ทีช่วยเจ้าครั้งหนึ่งตามเรื่องตามราว เจ้ากลับช่วยทั้งเผ่าของข้าเอาไว้ในตอนนี้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ว่า “สำหรับข้าแล้ว ก็แค่ใช้แรงเหมือนยกฝ่ามือเท่านั้นเอง”
ประมุขแสงดาวฟังแล้วก็ยิ้มขึ้นมา “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว บุญคุณใหญ่ครั้งนี้ ข้าจะจดจำเอาไว้ อ้อ ใช่แล้ว เมื่อครู่ตอนที่เจ้าสำแดงกระบวนท่าออกมา แม้แต่ยอดฝีมือของเผ่าแสงดาวเราก็ยังถูกกระบวนท่ากันหมด สามารถแยกฝ่ายเราและศัตรูออกจากกันได้หรือไม่”
“ไม่ ไม่ แยกฝ่ายเราและศัตรูหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้ายิ้มๆ “กระบวนท่าที่ผู้บำเพ็ญเราสำแดงออกมานั้นวิจิตรพิสดารมาก ไม่มีทางเกิดความผิดพลาดระดับนี้ได้อย่างแน่นอน ที่เมื่อครู่ถูกกระบวนท่ากันหมด ก็เพราะข้ากังวลว่า หากข้าลงมือกับยอดฝีมือทั้งห้าเผ่า แต่ยอดฝีมือเผ่าแสงดาวกลับมิอาจหยุดมือได้ทันทีแล้วสังหารยอดฝีมือทั้งห้าเผ่าจนเกลี้ยง เช่นนั้นก็จะน่าเสียดายแย่”
“ฮ่าฮ่า ถูกต้อง ขณะห้ำหั่นระหว่างความเป็นความตาย กระบวนท่าทางด้านวิญญาณของท่านก็เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ยอดฝีมือของพวกเราเผ่าแสงดาก็คงหยุดมือไม่ได้จริงๆ” ประมุขแสงดาวกระจ่างแจ้งขึ้นมา “เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เป็นเชลยให้หมดก็เป็นเรื่องดีต่อเผ่าแสงดาวเรา สามารถทำให้ศัตรูมิกล้าเปิดศึกขึ้นมาง่ายๆ อีก”
“ท่านประมุข” ผู้อาวุโสผมเงินด้านข้างคนหนึ่งพูดเสียงต่ำ “ชัยชนะครั้งใหญ่เช่นนี้ จ้าวหิมะเหินช่วยพวกเราทั้งเผ่าเอาไว้อีกแล้ว ยามนี้ ก็ควรเฉลิมฉลองให้ดีๆ สักตั้งหนึ่ง!”
“ใช่แล้ว ควรเฉลิมฉลอง ควรเฉลิมฉลอง” ประมุขแสงดาวหัวเราะดังลั่น เขายื่นมือออกไปจับมือตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ทันที “น้องหิมะเหิน นับแต่วันนี้ไป เจ้าคือผู้ที่มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อเผ่าแสงดาวของเรา”
ส่วนไกลออกไป องค์หญิงแห่งเผ่าแสงดาวที่ยืนอยู่กับมารดาก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างๆ นัยน์ตาทั้งคู่เป็นประกายเจิดจ้า นางพึมพำกับตนเองว่า “หิมะเหิน…นี่คือพรหมลิขิตหรือ”
******
ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง
ยอดฝีมือทั้งห้าเผ่ากลับโดยสารเรือลำใหญ่ ทะลุผ่านอากาศอันไกลโพ้นไปถึง ‘โลกเป่ยเหอ’
“ไม่ใช่แค่มิอาจโจมตีได้เท่านั้น ยอดฝีมือมากมายถึงเพียงนั้นกลับกลายเป็นเชลยไปหมดอีกด้วย ตอนนี้พวกเราอับจนหนทางแล้ว ได้แต่รายงานองค์จักรพรรดิเท่านั้น” ผู้นำทั้งห้าร้อนรนขึ้นมา ร้อนรนที่ยอดฝีมือของเผ่าตนกลายเป็นเชลยไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น