Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 36 ตอนที่ 10-13

 ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 10 อาวุธลับของตงป๋อเสวี่ยอิง

 

แต่ละฝ่ายในสนามรบห้ำหั่นกัน และกำลังจับตามองสถานการณ์ของทั้งสนามรบ


 


อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำ…สามารถเทียบเคียงกับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ซึ่งหน้าได้! ตอนนั้นผู้อาวุโสพ่ายแพ้แล้วจึงจากดินแดนชนเผ่าไป พลังรบไร้ข้อกังขา


 


ผู้คนเชื่อว่าเป็นเพียงเทพจักรวาลชั้นที่สอง เป็นผู้บำเพ็ญที่มีระดับการคุกคามต่ำที่สุด ส่วนเรื่องที่เทียบเคียงกับอ๋องฝูซาได้น่ะหรือ เรื่องนี้ทำให้แต่ละฝ่ายตื่นตระหนกกันไปหมด


 


“พวกเราต่อสู้ไปพลาง มุ่งหน้าไปยังดินแดนชนเผ่าไปพลาง” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ดีใจใหญ่ ขณะเดียวกันก็ถ่ายเสียงให้แต่ละฝ่าย


 


“ดี มุ่งหน้าไปยังใจกลางกันเถิด” จอมกระบี่ยังคงผ่อนคลายเป็นอย่างมาก แม้เขาจะมิอาจโจมตีผู้อาวุโสทั้งสองนี้ให้พ่ายแพ้ไปได้ แต่ก็ได้อาศัยกระบี่เล่มนี้พันธนาการผู้อาวุโสที่มีพลังอันน่าหวาดหวั่นทั้งสองคนนี้เอาไว้ได้ ไม่ให้พวกเขาทั้งสองไปลงมือกับคนอื่น


 


“พลังของเขารึ” อ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำออกกระบวนท่าต่อเนื่องกันด้วยความโมโห แต่ละกระบวนท่าของนางล้วนแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย อานุภาพก็ยิ่งใหญ่พอ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรู้สึกว่าผ่อนคลายมาก เนื่องจากอีกฝ่ายแค่มีอานุภาพยิ่งใหญ่เกินไปเท่านั้น ความพิสดารที่แฝงเอาไว้กลับเรียบง่ายกว่ามากทีเดียว ตนถึงขั้นสามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบบ้างเล็กน้อย


 


“มหาสมุทรคละถิ่น!”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงยังแบ่งสมาธิไปสำแดงมหาสมุทรคละถิ่นออกมาอีกด้วย


 


โครมม…


 


บริเวณรอบด้านพลันโหมซัดและกดดันเข้ามา บวกกับ ‘พลังแห่งโลกา’ จากดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ นี่จึงจะเป็นกระบวนท่าที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ที่สุดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสำแดงออกมาได้ ผู้อาวุโสที่มีพลังแข็งแกร่งพอสองคนนั้นก็แล้วไปเถิด แต่เมื่อบรรดา ‘อ๋อง’ คนอื่นๆ ของเผ่ามรณะทมิฬสัมผัสได้ว่าตนถูกกดดันและพันธนาการต่างๆ มากมาย แต่ละกระบวนท่าล้วนแต่ได้รับผลกระทบ พลังก็พลันลดลงเป็นอย่างมากทันที!


 


 แม้มหาสมุทรคละถิ่นที่อยู่ในเกาะลอยคว้างจะมีขอบเขตไม่ใหญ่นัก  แต่ปกคลุมทั่วทั้งสนามรบได้ก็เพียงพอแล้ว


 


ชาวเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้จะหนีออกจากขอบเขตบริเวณก็ง่ายดายมาก เพียงแต่ว่าพวกเขามาก็เพื่อสังหารผู้บุกรุกเหล่านี้! หนีหรือ แล้วจะสกัดกั้นบุกรุกได้อย่างไรกันเล่า


 


“เขายังอ่อนแออีกหรือ” ในขณะนี้ บรรดาอ๋องทั้งหลายรวมทั้งผู้อาวุโสทั้งสองต่างก็ลอบก่นด่าในใจ


 


ผู้บำเพ็ญหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนนี้ทำให้พวกเขารู้สึกทนรับได้ยากนัก


 


อย่างท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นำชนพื้นเมืองออกจะมีกระบวนท่าตรงไปตรงมาอยู่บ้าง แต่กระบวนท่าของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวคนนี้กลับพิสดารกว่ามากทีเดียว ขณะที่คงบริเวณเอาไว้ ก็ยังคงสามารถจำกัดอ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำได้อยู่ดี


 


“พวกเราไม่สามารถสกัดชนพื้นเมืองเหล่านี้เอาไว้ได้แล้ว”


 


“บริเวณนี้ทำให้พวกเราสำแดงพลังออกมาได้ไม่หมด”


 


อ๋องสิบคนที่ล้อมชนพื้นเมืองเอาไว้พากันร้อนใจขึ้นมา


 


พลพรรคของชนพื้นเมืองในครั้งนี้แข็งแกร่งกว่าที่บรรยายเอาไว้ในรายงานเสียอีก! ก่อนหน้านี้ ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ทำให้ศัตรูงุนงงและเพื่อเคี่ยวกรำคนในเผ่าเป็นหลัก บัดนี้ เผ่ามรณะทมิฬได้โผล่ออกจากรังแล้ว ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ก็ย่อมเรียกตัวยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าซึ่งแอบซ่อนไว้ออกมาอีกสี่คนแล้วสร้างค่ายกลรบขึ้นมาสี่แห่งโดยมียอดฝีมือทั้งสี่เป็นศูนย์กลาง


 


ค่ายกลรบทั้งสี่ และตัวเขาท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้มีพลังรบแข็งแกร่งกว่าที่อยู่ในรายงานก่อนหน้านี้มากนัก


 


มนุษย์น้ำแข็งและชนพื้นเมืองยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพียงแต่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ และพยายามมุ่งหน้าไปทางดินแดนชนเผ่าได้


 


แต่ตอนนี้เมื่อสำแดง ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ ออกไป ก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกันขึ้นมาทันที!


 


ทางฝ่ายชนพื้นเมืองมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วที่เพิ่มพูนขึ้นทันที!


 


“ปลุกผู้อาวุโสใหญ่!” ผู้อาวุโสรอง ซึ่งมีร่างกายสูงตระหง่านหาใดเปรียบถ่ายเสียงพูดทันที


 


“ปลุกผู้อาวุโสใหญ่”


 


“ปลุกผู้อาวุโสใหญ่”


 


เนื่องจากเดิมทีที่นี่ก็อยู่ใกล้กับดินแดนชนเผ่ามากอยู่แล้ว เมื่อถ่ายเสียงสองครั้ง ก็ไปถึงหูของท่านอ๋องฉี่ตู้ซึ่งครองดินแดนชนเผ่าผู้นั้นแล้ว


 


ท่านอ๋องฉี่ตู้ไม่กล้าลังเลเลย เขารีบไปปลุกผู้อาวุโสใหญ่ให้ตื่นทันที


 


 


******


 


ภายในแอ่งน้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่งจากสามแห่งรอบแอ่งน้ำขนาดมหึมา ผู้อาวุโสใหญ่กำลังหลับใหล


 


“ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสใหญ่” ท่านอ๋องฉี่ตู้เรียกอยู่ที่นี่ เสียงระลอกคลื่นส่งถ่ายเข้าไปในกายของผู้อาวุโสใหญ่อย่างต่อเนื่อง


 


ผู้อาวุโสใหญ่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมา


 


จากนั้นร่างกายของสลายไปราวกับหมอก ก่อนจะรวมตัวกันขึ้นตรงหน้าท่านอ๋องฉี่ตู้


 


ผู้อาวุโสใหญ่จ้องมองท่านอ๋องฉี่ตู้ด้วยสายตาเยียบเย็น


 


“ผู้อาวุโสใหญ่” ท่านอ๋องฉี่ตู้ถ่ายเสียงรายงานรอบหนึ่ง “สถานการณ์ของศัตรูก็เป็นเช่นนี้เอง พวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามนำอ๋องสิบเอ็ดคนรวมทั้งอ๋องฝูซาบุกเข้าไปสังหาร ทว่าบัดนี้กลับให้ให้ข้าปลุกผู้อาวุโสใหญ่ เกรงว่าสถานการณ์คงจะพลิกผันขึ้นมา ไม่ทราบว่าต้องปลุกจักรพรรดิด้วยหรือไม่”


 


“ไม่ต้องหรอก หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ ก็คงไม่ใช่แค่กำชับให้เจ้ามาปลุกข้าหรอก หากไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย ก็ยังไม่ต้องปลุกจักรพรรดิ มิเช่นนั้นแล้วหากจักรพรรดิพิโรธขึ้นมา เฮอะๆ”


 


“ขอรับ” ท่านอ๋องฉี่ตู้ขานรับ


 


ผู้อาวุโสใหญ่มองดูท่านอ๋องฉี่ตู้แวบหนึ่งด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง จากนั้นก็หายวับไปกลางอากาศราวกับหมอก


 


ท่านอ๋องฉี่ตู้จึงถอนหายใจคราหนึ่ง


 


ผู้อาวุโสใหญ่…


 


หากกล่าวว่าผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามยังคงเป็นระดับอ๋อง เพียงแต่นับว่าเป็นระดับอ๋องขั้นสุดยอด เช่นนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้บรรลุระดับอ๋องและไปถึงระดับที่สูงกว่าอีกขั้นหนึ่งแล้ว!


 


เกรงว่าพลังของผู้อาวุโสใหญ่คงจะน่าหวาดหวั่นกว่าผู้อาวุโสทั้งสิบคนรวมกันเสียอีก


 


……


 


 


พวกชนพื้นเมืองห้ำหั่นกับอ๋องทั้งสิบอย่างสูสี ห้ำหั่นไปพลาง มุ่งหน้าไปยังดินแดนชนเผ่าไปพลาง จนมาถึงบริเวณใกล้ๆ


 


“ใกล้แล้ว จะถึงแล้ว”


 


พวกชนพื้นเมืองต่างก็ตื่นเต้นหาใดเปรียบ เดิมทีครั้งนี้พวกเขาห้ำหั่นอย่างสุดชีวิต หากล้มเหลว โอกาสที่คิดจะพลิกกระดานก็ต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำแล้ว เกรงว่าทั้งเผ่าเซวี่ยเหยียนก็คงจะล่มสลายไปในที่สุด เคราะห์ดี ระหว่างที่พวกเขาเคี่ยวกรำชาวเผ่าอยู่ภายนอก  ก็ได้พบกับกองกำลังผู้บำเพ็ญกองหนึ่ง! พลังของกองกำลังผู้บำเพ็ญแข็งแกร่งใช้ได้ทีเดียว


 


สวบ


 


จอมกระบี่ ตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงก็ยิ่งผ่อนคลายเข้าไปใหญ่


 


พลังของจอมกระบี่แข็งแกร่งยิ่งนัก กระบวนท่าก็พิสดารไม่เป็นสองรองใคร กระบี่เล่มหนึ่งต้านทานผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสองได้ นอกจากนี้ยังมีหนึ่งหรือสองกระบี่ที่พลัดไปถูกอ๋องฝูซาเข้า ทำเอาอ๋องฝูซาอดสูใจเป็นอันมาก เพราะถึงอย่างไรหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ขับดอกบัวเพลิงสีแดงสดทะยานไปนั้นก็รับมือได้ยากมากทีเดียว ทั้งยังประสบกับการลอบโจมตีที่แข็งแกร่งกว่าของบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่ใช้กระบี่


 


“เฮอะ” ทันใดนั้นเสียงเย็นชาก็ดังก้องขึ้นมา อุณหภูมิของฟ้าดินลดต่ำลงอย่างฮวบฮาบ บนผืนดินมีเกล็ดน้ำแข็งชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนรู้สึกใจสะท้านไปหมด กลิ่นอายเยียบเย็นดุจน้ำแข็งระลอกหนึ่งได้รุกคืบเข้าไปในกายของพวกเขาแล้ว


 


เงาร่างสายหนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ


 


เป็นชายชราอาภรณ์ดำซึ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่ ผมของเขาสยายออกไป เขามองดูคนทั้งกลุ่มด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขาอ้าปากขึ้นแล้วพ่นเมฆสีดำที่ม้วนตัวอยู่ออกมา…


 


ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล


 


เขาจมเข้าไปในโลกดำมืด มหาสมุทรคละถิ่นของตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มแหลกสลาย กระจายตัวออกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้ความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุด


 


“แตก”


 


ต่อสู้มาจนบัดนี้ จอมกระบี่ที่ทุ่มเทอย่างสุดกำลังเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง ประกายกระบี่อันโดดเด่นสะดุดตาสายหนึ่งเชือดเฉือนจนโลกดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดเกิดเป็นรอยแยกขึ้นมา ในที่สุดโลกดำมืดก็สลายไปตามประกายกระบี่


 


ชั่วขณะที่ความมืดสลายไปนั้น เบื้องหลังความดำมืดกลับมีเชือกหมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาแล้วพันธนาการไปทางจอมกระบี่อย่างบ้าคลั่ง


 


“ข้าจะรั้งเขาเอาไว้เอง” จอมกระบี่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันเช่นกัน เขามีความรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะ เคราะห์ดีที่แม้อานุภาพของกระบวนท่าของผู้อาวุโสใหญ่จะน่าหวาดหวั่น แต่ก็ยังคงหยาบเกินไป จอมกระบี่ยังสามารถพันธนาการได้อย่างพอถูไถ หากผู้ที่มาคือ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ หรือ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ อานุภาพแข็งแกร่งพอ ระดับความลึกลับยังอาจเป็นฝ่ายได้เปรียบเสียด้วย จอมกระบี่ทำมิได้แม้แต่พันธนาการเสียด้วยซ้ำ


 


เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสใหญ่และจอมกระบี่ ก็ทำได้เพียงพันธนาการเท่านั้น!


 


“ผู้อาวุโสใหญ่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บรรพชนแมลงตกใจใหญ่


 


“เฮอะ” ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสามและอ๋องอีกสิบเอ็ดคนกลับดีใจใหญ่ ขณะเดียวกันก็มั่นอกมั่นใจในตนเองเป็นอันมาก


 


“ทิ้งผู้บำเพ็ญสองคนนี้ไปก่อนร่วมแรงสังหารชนพื้นเมืองเสียก่อน แล้วค่อยลงมือกับพวกเขา” ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามถ่ายเสียงบัญชา


 


“ขอรับ”


 


ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม และอ๋องฝูซาหญิงสาวอาภรณ์ดำบุกสังหารไปทางชนพื้นเมืองพร้อมกัน หมายจะร่วมมือกับอ๋องทั้งสิบท่าน


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงกับบรรพชนแมลงต่างก็ร้อนใจขึ้นมา


 


บรรพชนแมลงนั้นช่วยไม่ได้ เขามีการรักษาชีวิตอันแข็งแกร่ง วิธีการก็พิสดารกว่าอยู่บ้าง แต่พลังรบก็ยังคงอ่อนแอ!


 


ส่วนเหล่าผู้แกร่งกล้าชนพื้นเมืองเหล่านั้น พวกเขาควบคุมท่านอ๋องทั้งสิบคนเอาไว้ ทันทีที่พวกเขาจบเห่ แล้วบรรดาอ๋องทั้งสิบคนร่วมมือกันลงมือขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงถามตนเองแล้วก็รู้สึกว่ามิอาจต้านรับได้!


 


“เสวี่ยอิง ปกป้องพวกเขาเอาไว้” จอมกระบี่ทุ่มเทอย่างสุดกำลัง เขาควบคุมผู้อาวุโสใหญ่ผู้นั้นเอาไว้แล้วถ่ายเสียงด้วยความกระวนกระวาย


 


“พี่ใหญ่หิมะเหิน ได้แต่ดูอาวุธลับของท่านแล้ว” บรรพชนแมลงก็ถ่ายเสียงพูดเช่นกัน


 


“ได้สิ”


 


ก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่บนดอกบัวเพลิงห้วงอากาศนัยน์ตาหนาวเหน็บ


 


ปัง…


 


ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นพลันปกคลุมไปทั่วทุกทิศทุกทาง


 


ผู้อาวุโสทั้งสองและอ๋องทั้งสิบเอ็ดคนที่ล้อมโจมตีชนพื้นเมืองอยู่ต่างก็ร่างกายสั่นสะท้าน ในจำนวนนั้นมีอ๋องแปดคนที่ล้มลงไปจากกลางอากาศ แต่ละคนสิ้นสติรับรู้ไป


 


ผู้อาวุโสทั้งสองและท่านอ๋องทั้งสามที่ยังเหลืออยู่ต่างพากันเผยสีหน้าเจ็บปวดและแตกตื่นออกมา สติรับรู้รางๆ สายหนึ่งทำให้พวกเขาเคลื่อนที่ในพริบตาเสียงดังสวบๆๆๆๆ แล้วหนีหายไปหมดทันที…


 


ทันใดนั้น


 


ก็เหลือเพียงผู้อาวุโสใหญ่ผู้นั้นแล้ว! ผู้อาวุโสใหญ่ซึ่งเดิมมีพลังสูงเทียมฟ้า พลังก็แข็งแกร่งหาใดเปรียบ ยามนี้กลับเผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมา แต่พลังของเขากลับลดลงตลอดอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของตอนที่เป็นระดับสุดยอกเท่านั้น ส่วนจอมกระบี่และบรรพชนแมลงก็พากันมองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ผลของอาวุธลับดีขนาดนี้เชียวหรือนี่


 


เรียกได้ว่าหนึ่งกระบวนท่ากวาดล้างทั่วสารทิศจริงๆ!

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 11 คนแรกของวิถีวิญญาณ

 

เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็กวาดเอาเผ่ามรณะทมิฬที่มีอยู่แทบทั้งหมดไป บ้างก็ตาย บ้างก็หนี ผู้อาวุโสใหญ่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวก็พลังยุทธ์ลดลงอย่างมหาศาล พลังคุกคามต่อจอมกระบี่ก็มิได้มากมายถึงเพียงนั้นแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ต้านทานการปะทะพลางมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเดือดดาล


 


“นี่มัน…”


 


ถ้าหากพูดถึงจอมกระบี่และบรรพชนแมลง ก็ยังนับได้ว่าเตรียมใจเอาไว้อยู่บ้าง เช่นนั้นเหล่าผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดที่เหลืออยู่กลุ่มหนึ่งของเผ่าเซวี่ยเหยียนนี้กลับยินดีจนแทบคลั่งอย่างยากที่จะเชื่อได้แล้ว!


 


“จู่ๆ ก็โดนกวาดไปเช่นนี้น่ะหรือ”


 


“เป็นจ้าวหิมะเหินผู้นั้นหรือ”


 


“เขา…ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญทั้งสามคน แต่กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ”


 


พวกเขาตื่นเต้นหาใดเปรียบ!


 


คราวนี้พวกเขาเดิมพันด้วยชะตาของทั้งเผ่าเซวี่ยเหยียน หากสำเร็จ เผ่าเซวี่ยเหยียนก็ยังมีหวังที่จะได้ลุกขึ้นแล้วกลับไปยังบ้านเกิด หากล้มเหลว เช่นนั้นก็จบสิ้นจริงๆ เสียแล้ว เกรงว่าเผ่าเซวี่ยเหยียนก็จะเลือนหายไปเหมือนกับชนพื้นเมืองเผ่าอื่นๆ บางกลุ่มในประวัติศาสตร์ เมื่อครู่ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามต้องการจะร่วมมือกับเหล่าอ๋องกลุ่มหนึ่งล้อมโจมตีพวกเขา ก็ทำให้พวกเขาทำการต่อสู้ครั้งสุดท้ายอย่างสิ้นหวังแล้ว


 


ใครจะไปคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผัน! ฟ้าหลังฝนช่างแสนสดใส!


 


“เร็ว เร็วเข้า รีบไปที่ดินแดนชนเผ่าเร็วเข้า รีบไปคว้าผลวิญญาณทิพย์มาครองก่อนที่จักรพรรดิแห่งเผ่ามรณะทมิฬจะฟื้นตื่น!” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียงเร่งเร้า


 


“เร็วเข้า!”


 


“ดินแดนชนเผ่า!”


 


บรรดาชนพื้นเมืองเหล่านี้แต่ละคนบ้าคลั่ง พุ่งตรงไปยังดินแดนชนเผ่าภายใต้การนำของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้อย่างบ้าคลั่ง


 


นี่เป็นการแข่งกับเวลา! เมื่อใดที่จักรพรรดิของเผ่ามรณะทมิฬปรากฏตัว เช่นนั้นก็จะน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าผู้อาวุโสใหญ่เสียอีก!


 


“เสวี่ยอิง เหตุใดมือสังหารผู้นี้ของเจ้าจึงได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้เล่า เกรงว่าบรรพชนฝานมาสำแดง ผลลัพธ์ก็ยังไม่แน่ว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยกระมัง!” พร้อมกันกับที่จอมกระบี่ต้านทานผู้อาวุโสใหญ่ สู้ไปพลาง มุ่งตรงไปยังดินแดนชนเผ่าไปพลาง พร้อมกันนั้นก็ถ่ายเสียงเอ่ยถามไปด้วย


 


ยามต่อสู้ สามารถแบ่งจิตใจมาสนทนาได้ด้วย เห็นได้ว่าตอนนี้จอมกระบี่ก็ผ่อนคลายเป็นอย่างมากแล้วจริงๆ


 


“พี่ใหญ่หิมะเหิน นี่ช่างแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ถึงแม้ในข้อมูลจะบอกว่าเผ่ามรณะทมิฬค่อนข้างจะอ่อนแอทางด้านปณิธานวิญญาณอยู่สักหน่อย แต่นี่ท่านก็มากมายเกินจริงไปเสียแล้ว” บรรพชนแมลงยากที่จะเชื่อได้


 


“เมื่อครู่ข้าก็พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ สูญสิ้นสติรับรู้ จากนั้น ‘อ๋อง’ แปดคนที่ถูกผลาญสังหารวิญญาณต่างก็แปลงร่างกลายเป็นไอหมอกสลายหายไป เหลือเอาไว้เพียงแค่อาวุธต่างๆ ทิ้งเอาไว้เท่านั้น อย่างเช่น ‘กรงเล็บสีแดงโลหิตอันแปลกประหลาด’ ‘ไม้เท้าที่ดูธรรมดาๆ อันหนึ่ง’ ซึ่งตงป๋อเสวี่ยอิงก็เก็บวัตถุเหล่านี้ขึ้นมาตามอำเภอใจ


 


เผ่ามรณะทมิฬเป็นชนเผ่าที่เชาวน์ปัญญาต่ำต้อยอย่างที่สุด


 


เกือบทั้งหมดของชนเผ่า ยามที่มองดูผู้มาจากภายนอกทั้งหมดทั้งมวล ต่างก็มีเพียงแค่การประเมินว่า ‘กินได้’ กับ ‘กินไม่ได้’ ราวกับสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น! มีเพียงระดับสุดยอดของชนเผ่าเท่านั้นที่นับว่าเชาวน์ปัญญายังพอใช้ได้ แต่ก็คิดจะสังหารผู้มาจากภายนอกทั้งหมดทั้งมวลลูกเดียวเช่นกัน! ยากที่จะร่วมมือด้วยได้


 


อย่างเช่นชนพื้นเมืองยังสามารถร่วมมือด้วยได้ หรือแม้กระทั่งทำข้อตกลง ทำการแลกเปลี่ยนกัน


 


แต่เผ่ามรณะทมิฬน่ะหรือ


 


แม้กระทั่งภายในเผ่ามรณะทมิฬ เกือบทั้งหมดก็ราวกับสัตว์เดรัจฉาน ต่างก็กลืนกินซึ่งกันและกัน ที่พักอาศัยของพวกมันก็หยาบแสนหยาบ แต่โดยทั่วไปแล้ววัตถุสำหรับทำอาวุธล้วนไม่ธรรมดา! ถ้ามิได้ฟูมฟักออกมาด้วยตนเอง เช่นนั้นก็เป็นวัตถุวิเศษบนเกาะลอยคว้าง


 


“ถึงแม้ว่าเผ่ามรณะทมิฬจะมีเชาวน์ปัญญาต่ำต้อย แต่ว่ากันว่าเป็นชนเผ่าที่ฟูมฟักออกมาจากซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แกร่งกล้า มีชีวิตที่วิเศษ ต่อให้เชาวน์ปัญญาและระดับจิตใจต่ำต้อยกว่านี้ การต้านทานของวิญญาณต่อโลกภายนอกก็ยังแข็งแกร่งอย่างที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้ อ้างอิงจากข้อมูลที่ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาสำรวจหุบเขาเขี้ยวหักสั่งสมเอาไว้ ถึงแม้ว่าวิญญาณของเผ่ามรณะทมิฬจะมีความพิเศษ แต่เชาวน์ปัญญาและระดับจิตใจต่ำเกินไป ทางด้านการต้านทานเคล็ดวิชาวิญญาณ…


 


กลับมิอาจสู้ผู้บำเพ็ญที่ป่ายปีนขึ้นมาจากผู้อ่อนแอทีละก้าวๆ ได้!


 


แม้กระทั่งเผ่าชนพื้นเมืองที่การต้านทานเคล็ดวิชาวิญญาณค่อนข้างร้ายกาจ ถึงแม้ว่าจะดีกว่าเผ่ามรณะทมิฬอยู่พอสมควร แต่กลับมิอาจเทียบชั้นกับผู้บำเพ็ญได้เลย


 


ผู้บำเพ็ญแข็งแกร่งที่สุดในด้านระดับจิตใจ


 


“เคล็ดวิชาวิญญาณ โดยทั่วไปแล้วมีผลลัพธ์ดีเป็นที่สุด”


 


“แต่ว่าทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่เคล็ดวิชาวิญญาณไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้นมีอยู่น้อยเสียจนน่าสงสารเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง “ส่วนใหญ่ยังไม่มีร่างแยกอีกด้วย! ย่อมไม่กล้าเอาชีวิตมาเสี่ยงอยู่แล้ว”


 


“แต่สมบัติลับล้ำค่าทางด้านวิญญาณที่ไปถึงพลังคุกคามระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง ในท้ายที่สุดแล้วก็มีน้อยนิดยิ่งนัก อยากจะควบคุมและกระตุ้น วิถีวิญญาณก็ต้องไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่ง อีกทั้งเมื่อใดที่สูญเสียร่างแยกไป สมบัติลับล้ำค่าก็ต้องถูกทิ้งไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด ถึงแม้ว่าดินแดนจิตโลกาจะรู้กันทั่วว่าเคล็ดวิชาวิญญาณจัดการเผ่ามรณะทมิฬให้ผลลัพธ์ดียิ่ง แต่ก็ยังยากนักที่จะใช้ในบริเวณกว้างขวาง


 


เคล็ดวิชาระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง โดยทั่วไปแล้วก็จะมีผลต่อระดับ ‘อ๋อง’ ในเผ่ามรณะทมิฬ


 


กับระดับจักรพรรดิ ก็สามารถมองข้ามไปได้เลย


 


ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาโจมตีหมู่ที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ทั้งยังเป็น ‘มือสังหาร’ ที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงด้วย! การโจมตีหมู่อาศัยตงป๋อเสวี่ยอิง ส่วนการตอบสนองผู้แกร่งกล้าที่สุดก็ยกให้จอมกระบี่แล้ว!


 


“ที่แท้วิถีเขตลวงโลกเทียมของเสวี่ยอิงไปถึงระดับขั้นใดแล้วกันแน่” จอมกระบี่อดที่จะแอบคิดมิได้


 


เขารู้เพียงแค่ว่า


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยตำราวิถีเขตลวงโลกเทียมทำข้อตกลงกับรัฐโบราณคิมหันตวายุจนได้ของอย่างดอกบัวเพลิงห้วงอากาศและเม็ดทรายอลวนหนึ่งแสนชั่งมาครอง


 


แต่กลับไม่รู้เลยว่าตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ได้ผสานรวมสี่สายทางด้าน ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ไปแล้ว กำลังผสานรวมสายที่ห้าอยู่ กระทั่งเพราะว่าตอนที่ช่วยเหลือสรรพชีวิตซึ่งถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กดขี่เป็นทาส ก็ยิ่งตระหนักรู้ทางด้านวิถีวิญญาณ มีแนวทางอันแม่นยำในการผสานรวมสายที่ห้าแล้ว ทางด้านวิถีวิญญาณ ไม่ต้องพูดถึงที่ดินแดนจิตโลกาเลย แม้จะดูในโลกกำเนิดจำนวนมากมาย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังยืนอยู่ที่จุดยอดสุดอยู่ดี


 


เป็นคนแรกของวิถีวิญญาณที่ดินแดนจิตโลกาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง!


 


เช่นสมบัติลับล้ำค่าอย่าง ‘อาภรณ์ราชันย์มาร’ นี้ เป็นเพียงแค่สองสายผสานรวมกันเท่านั้น!


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นผู้ที่ห้าสายต่างก็เริ่มค่อยๆ ผสานเข้าด้วยกันแล้ว… เขาสำแดงเคล็ดวิชาวิญญาณอย่างสุดกำลัง ผลลัพธ์ก็ย่อมล้ำเลิศที่สุดเท่าที่ดินแดนจิตโลกาเคยมีมาอยู่แล้ว!


 


“อย่าเพิ่งด่วนดีใจเร็วไปนักเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “เมื่อมือสังหารผู้นี้ของข้าออกมา


 


แน่นอนว่าจะต้องทำให้เผ่ามรณะทมิฬตื่นตระหนก เกรงว่าพวกเขาจะต้องไปปลุกจักรพรรดิของพวกเขาขึ้นมาเสียแล้ว! แม้กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่ผู้นี้ เมื่ออยู่ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของข้าก็ยังคงสามารถรักษาพลังเอาไว้ได้ถึงห้าส่วนเกรงว่าข้าจะส่งผลกระทบต่อจักรพรรดิผู้นั้นต่ำลงไปอีก! ดังนั้นพวกเราก็ต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด”


 


“ถูกต้อง”


 


“เร็วๆๆ ข้าไม่อยากจะเผชิญกับจักรพรรดิผู้นั้นเลยจริงๆ”


 


จอมกระบี่โต้ตอบกับผู้อาวุโสใหญ่ไปพลาง เคลื่อนเข้าใกล้ดินแดนชนเผ่าไปพลาง ส่วนอัตราเร็วของตงป๋อเสวี่ยอิงและบรรพชนแมลงก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นไปอีก


 


……


 


จักรพรรดิ


 


เกาะลอยคว้างแห่งใดๆ กลุ่มชนเผ่ามรณะทมิฬต่างก็มีจักรพรรดิอยู่คนหนึ่ง มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในทั้งเกาะลอยคว้าง และถือครองทรัพยากรที่ดีที่สุดในเผ่ามรณะทมิฬแต่เพียงผู้เดียว


 


โดยทั่วไปแล้วมักจะบำเพ็ญอยู่ในห้วงนิทราโดยตลอด! อ้างอิงจากข้อมูลที่จอมกระบี่ให้กับพวกตงป๋อเสวี่ยอิง การบำเพ็ญของบรรดาชนเผ่ามรณะทมิฬโดยทั่วไปแล้วล้วนอยู่ในห้วงนิทรากันทั้งสิ้น


 


การกลืนกินก็เป็นการบำเพ็ญอย่างหนึ่ง


 


ดูดซับทรัพยากรอยู่ในห้วงนิทราก็เป็นการบำเพ็ญเช่นกัน


 


ที่เกาะลอยคว้าง อย่าได้คิดที่จะเอาชนะ ‘จักรพรรดิ’ สักคนหนึ่งซึ่งๆ หน้าเลย! ถ้าหากมีพลังยุทธ์อย่างราชันย์อนธการอมตะและจักรพรรดิเซี่ยอาจจะยังสามารถพอสูสีกันได้ แต่สิ่งที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงคิดก็คือสามารถคว้าเอาสมบัติล้ำค่าหนีออกไปจากเกาะลอยคว้างได้ก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว


 


“สมควรตาย”


 


“ถึงกับ… ถึงกับมีผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้”


 


“จักรพรรดิ! ปลุกจักรพรรดิสิ!”


 


“ปลุกจักรพรรดิเร็วเข้า!”


 


ณ ดินแดนชนเผ่า


 


‘ระดับอ๋อง’ ที่แกร่งกล้าเป็นที่สุดสามคน ได้แก่ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามที่เคลื่อนที่ในพริบตาหลบหนีกลับมา รวมถึงอ๋องฝูซาด้วย หญิงสาวอาภรณ์ดำ‘อ๋องฝูซา’ นับได้ว่าเป็นระดับล่างที่สุดในบรรดาคนทั้งสามแล้ว


 


พลังยุทธ์ระดับพวกเขานี้จึงจะสามารถฝืนคงสติอันแจ่มชัดเอาไว้ภายใต้เคล็ดวิชาวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิง ทำได้เพียงแค่สำแดงเคล็ดการหลบหนีออกมาเท่านั้น


 


พวกเขาแต่ละคนพรั่นพรึง เดือดดาล และตื่นตระหนกไม่เป็นสุข


 


ปลุกจักรพรรดิ!


 


มีเพียง ‘จักรพรรดิ’ เท่านั้น จึงจะสามารถจัดการศัตรูได้


 


“ปลุกจักรพรรดิหรือ” อ๋องฉี่ตู้ผู้อยู่ที่ตำหนักผู้อาวุโสมองพวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามที่กลับมาอย่างสะบักสะบอมด้วยความตกตะลึง


 


“เร็วเข้า” พวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่จักรพรรดินิทราอยู่


 


“เป็นอะไรไปเล่า ที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” อ๋องฉี่ตู้ติดตามพวกผู้อาวุโสรองไปพลาง ถามไถ่เหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสามคนไปพลาง


 


“ตายแล้ว เหล่าอ๋องที่ไปด้วยกัน มีแค่พวกเราเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ ท่านอ๋องคนอื่นๆ ตายไปกันหมดแล้ว” สัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าสีเทาเงินตนหนึ่งส่งเสียงทุ้มต่ำ


 


“อะไรนะ อ๋องคนอื่นๆ ตายไปกันหมดแล้วอย่างนั้นหรือ” อ๋องฉี่ตู้ตื่นตระหนก


 


พลังยุทธ์ของเขานับได้เพียงว่าธรรมดาทั่วไปในบรรดาอ๋องเท่านั้นเอง


 


ถ้าหากไปด้วยกันน่ะหรือ เกรงว่าก็คงต้องตายกระมัง!


 


อ๋องฉี่ตู้ทั้งหวาดหวั่นทั้งตื่นตระหนก


 


“ที่แท้นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ต่อให้เหล่าอ๋องจะกำราบยอดฝีมือไร้เทียมทานที่ใช้กระบี่ผู้นั้นมิได้ ก็ควรจะต้องมีหวังในการรักษาชีวิตเอาไว้ได้สิ” อ๋องฉี่ตู้ถ่ายเสียงเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าจอมกระบี่ร้ายกาจ เหล่าอ๋องควรต้องระแวดระวังจึงจะถูกต้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคราวนี้แม้กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังออกไปต่อกรเลย


 


“เป็นผู้บำเพ็ญระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองผู้นั้น บอกว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่มีพลังยุทธ์อ่อนแอที่สุด! เขาต่างหากเล่าที่น่าหวั่นเกรงที่สุด”


 


“น่าหวั่นเกรง”


 


เหล่าอ๋องที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ เมื่อคิดถึงเขตลวงโลกเทียมอันน่าหวาดหวั่นเคลื่อนใกล้เข้ามา แรงดึงดูดชวนหลงใหลต่างๆ นานา ฉุดลากวิญญาณของพวกเขาเข้าไปในโลกลวงนั้นอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นแล้ว


 


พวกเขาก็เพียงแค่คงสติอันแจ่มชัดสายหนึ่งเอาไว้ได้เท่านั้น ถ้าหากเวลายาวขึ้นอีกหน่อยก็อาจจะควบคุมไม่อยู่จนติดกับได้เช่นกัน แม้กระทั่งสติสัมปชัญญะและพลังยุทธ์ที่สามารถแสดงออกมาได้ก็ต่ำเสียจนน่าอนาถ


 


ปัง…


 


ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามนำทางเหล่าอ๋องคนอื่นๆ อีกสี่คนมาถึงตรงหน้แอ่งน้ำขนาดมหึมาแห่งนั้น ภายในแอ่งน้ำมีของเหลวสีเขียวเข้ม ร่างกายมหึมาสีดำขลับร่างหนึ่งเอนกายอยู่กลางแอ่งน้ำ เพราะในความเป็นจริงแล้วมีขนาดใหญ่เกินไป ผิวกายก็โผล่พ้นผิวของเหลวในแอ่งน้ำออกมา มันอยู่ในห้วงนิทราแต่กลับไม่มีระลอกคลื่นเลยแม้แต่น้อยราวกับร่างไร้ชีวิตอย่างไรอย่างนั้น


 


อย่างเช่นผู้บำเพ็ญและเหล่าชนพื้นเมืองต่างก็มิอาจรู้สึกได้ถึงความพิเศษของจักรพรรดิที่อยู่ในห้วงนิทราผู้นี้


 


แต่ผู้ที่เป็นเผ่ามรณะทมิฬเช่นเดียวกันทั้งผู้อาวุโสและเหล่าอ๋องกลับสามารถรู้สึกได้ว่า ‘จักรพรรดิ’ ที่เอนกายอยู่ที่นั่น ซ่อนเร้นพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นเพียงใดเอาไว้ภายในกาย ถ้าหากสามารถกินจักรพรรดิลงไปได้ เกรงว่าพวกเขาก็อาจจะสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาได้บ้างกระมัง ด้วยพลังยุทธ์ของพวกเขา เกรงว่าคงจะมิอาจทำลายผิวหนังของจักรพรรดิได้เสียด้วยซ้ำ!


 


“จักรพรรดิ” พวกผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามแต่ละคนค้อมศีรษะลงต่ำด้วยความเคารพอย่างที่สุดแล้วเอ่ยปากเรียกจักรพรรดิของพวกเขา!

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 12 ดวงตาสีเทาดวงหนึ่ง

 

ส่วนอีกด้านหนึ่ง


พวกพลพรรคชนพื้นเมืองและตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งตัวเข้าไปในดินแดนชนเผ่าตามๆ กันไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าบริเวณรอบๆ ดินแดนชนเผ่าจะมีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างขัดขวางอยู่ แต่ก็ขัดขวางได้อย่างอ่อนแอยิ่งนัก


“ผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกา!” ผู้อาวุโสใหญ่เดือดดาลหาใดเปรียบ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยประสบกับการโจมตีของเขตลวงที่ยากจะต้านรับเช่นนี้มาก่อนเลย แรงปรารถนาดึงดูดอันน่าหลงใหลนั้นฉุดลากวิญญาณของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เขาบรรลุขั้นนั้นมาถึงระดับจักรพรรดิแล้ว แต่ก็ยังคงต้องแบ่งพลังจิตมากมายไปต้านทานอยู่ดี พลังคุกคามของกระบวนท่าที่สำแดงก็ลดต่ำลงอย่างมหาศาล


เดิมทีกระบวนท่าของเขาก็หยาบอยู่แล้ว พลังคุกคามลดต่ำลงอย่างมหาศาล แรงกดดันต่อจอมกระบี่ก็ต่ำลงไปเป็นอย่างมากแล้ว จอมกระบี่ก็เหาะเหินหลบเลี่ยงอย่างสบายๆ ไม่หยุดหย่อน


พรึ่บ


ทะลุผ่านระลอกคลื่น ด้านหน้าก็คือภูเขาสูงของดินแดนชนเผ่าที่ตั้งอย่างตระหง่านเป็นที่สุดแห่งนั้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงมองภูเขาสูงของดินแดนชนเผ่าที่อยู่ไกลออกไป ทันใดนั้นจิตใจก็วูบไหวคราหนึ่ง


พรึ่บๆๆ…


เงาร่างสายแล้วสายเล่าแน่นขนัดของหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวก็เหินบินไปทุกทิศทุกทาง! แต่เขามีร่างแยกกว่าหมื่นร่าง ร่างแยกที่มายังหุบเขาเขี้ยวหักในคราวนี้ที่มีพลังรบแข็งแกร่งก็คือร่างแยกทั้งเก้าเป็นหลัก!


ส่วนร่างแยกอื่นๆ นั้นพลังยุทธ์อ่อนแอกว่ามาก พอๆ กันกับพลังยุทธ์ของเทพจักรวาลธรรมดาๆ เท่านั้น


แต่นำมาใช้สำหรับ ‘หาสมบัติ’ ก็เพียงพอแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปล่อยร่างแยกออกมาหลายร้อยร่างตามอำเภอใจ


“พรืด!” บรรพชนแมลงหัวเราะเสียงดัง อาภรณ์สีดำของเขาแปลงเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วบินตรงไปทุกทิศทุกทางเพื่อไปหาสมบัติ


“สมควรตาย”ผู้อาวุโสใหญ่เดือดดาล ที่ผ่านมาล้วนเป็นพวกเขาเผ่ามรณะทมิฬที่กลืนกินผู้แกร่งกล้าเผ่าอื่นมาโดยตลอด เคยถูกบุกเข้ามาในดินแดนชนเผ่าเพื่อช่วงชิงสมบัติตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


น่าเสียดาย


บรรดาเผ่ามรณะทมิฬระดับยอดสุดของดินแดนชนเผ่าร่นถอยไปจนหมดสิ้นแล้ว เพราะว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าเผชิญหน้ากับเคล็ดวิชาวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นของผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาผู้นั้น กระทั่งเหล่าอ๋องโดยทั่วไปก็ยังต้านไม่อยู่ ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอกว่าสักหน่อยเหล่านั้นไปก็เท่ากับส่งไปตาย!


……


หุบเขาเขี้ยวหักเป็นสถานที่ที่ ‘หยวน’ ก่อตั้งขึ้น แล้วยังเป็นสถานที่ขัดเกลาซึ่ง ‘หยวน’ ทิ้งเอาไว้ให้กับผู้บำเพ็ญอีกด้วย


ที่นี่มีภยันตราย แล้วก็มีสมบัติวิเศษด้วย


แต่ว่าเกาะลอยคว้างมีอยู่มากมายเหลือเกิน เกาะลอยคว้างเพียงแห่งเดียว ถึงอย่างไรสมบัติล้ำค่าก็มีอยู่อย่างจำกัด! อีกทั้งยังมีบางส่วนที่ถูกระดับสูงของเผ่ามรณะทมิฬเห็นเป็นสมบัติล้ำค่าแล้วเก็บซ่อนเอาไว้ ก็มีแค่เพียงบางส่วนที่เผ่ามรณะทมิฬมิชมชอบ ไม่เห็นอยู่ในสายตา จึงโยนเอาไว้ข้างนอกเช่นเดิม


ในท้ายที่สุดแล้ว ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ กับผู้บำเพ็ญก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน! สมบัติล้ำค่าที่มีค่ากับผู้บำเพ็ญอย่างที่สุดกลับไม่มีประโยชน์อันใดต่อเผ่ามรณะทมิฬเลยแม้แต่น้อย


ในทางกลับกันสมบัติล้ำค่าที่ ‘ชนพื้นเมือง’ กับ ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ ให้ความสำคัญนั้นโดยปกติแล้วก็เหมือนๆ กัน


“หืม”


ร่างแยกหลายร้อยร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงบินไปยังทิศทางที่แตกต่างกันพร้อมกับตรวจตราอย่างรวดเร็ว


“นั่นมันอะไรกัน” ร่างแยกร่างหนึ่งในบรรดาร่างแยกเหล่านั้นค้นพบว่าภูเขาสูงของดินแดนชนเผ่ามีกระแสน้ำกระทบโจมตี เบื้องล่างของการกระทบนั้นกลับมีก้อนหินแปลกประหลาดอยู่มากมายหลายก้อน


ก้อนหินเหล่านี้แต่ละก้อนมีสีดำขลับ มีประกายแวววาว ถ้าหากดูอย่างละเอียดจะเห็นว่าที่พื้นผิวของก้อนหินสีดำมีลวดลายชั้นแล้วชั้นเล่า ลวดลายนี้ราวกับแผ่นเกล็ดอันงดงามเป็นอย่างยิ่ง


“ศิลาเกล็ดนิลหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคาดเดาออกมาได้ในทันทีแล้วเหินบินเข้าไป ร่างแยกร่างนี้โบกมือคราหนึ่ง แล้วควบคุมอากาศคว้าเอาศิลาเกล็ดนิลก้อนแล้วก้อนเล่าเหล่านี้ขึ้นมา


ศิลาเกล็ดนิลล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ทนทานยากทำลาย บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังมิอาจทำลายซึ่งๆ หน้าได้ สามารถใช้ประโยชน์ได้เฉพาะยามที่ผสมผสานกับกับวัสดุเสริมหลายชนิดเท่านั้น เป็นวัตถุหายากในการหลอมสมบัติลับล้ำค่า


“ศิลาเกล็ดนิลมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ หกร้อยยี่สิบห้าก้อนเชียวหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดีอยู่ในใจ


ศิลาเกล็ดนิลมากมายถึงเพียงนี้ มูลค่าก็สูงพอๆ กับสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าชิ้นหนึ่งแล้ว!


“สมกับที่เป็นหุบเขาเขี้ยวหัก การค้นพบในครั้งนี้ก็เทียบเคียงได้กับสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาที่เข้ามายังหุบเขาเขี้ยวหัก จะมีสักกี่คนที่สามารถบุกเข้ามายังดินแดนชนเผ่าที่เป็นศูนย์กลางสำคัญของเกาะลอยคว้าง ได้ ต่อให้เข้ามายังดินแดนชนเผ่าได้ แต่จะมีสักกี่คนที่จะมีร่างแยกจำนวนมากมายจนสามารถสำรวจได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับเขาบ้างเล่า


……


ก่อนหน้าที่จะเข้ามา ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่ และบรรพชนแมลงก็เคยหารือกันมาก่อนแล้วว่าจะแบ่งสมบัติล้ำค่าที่ได้รับจากหุบเขาเขี้ยวหักกันตามผลงาน! แน่นอนว่าผู้ใดที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สุดก็สามารถหยิบเอาไปได้ทันที แต่ก็ต้องชดเชยให้กับอีกสองฝ่ายที่เหลือด้วย


ถึงอย่างไรในบรรดาพวกเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยเคล็ดวิชาวิญญาณ จึงเชี่ยวชาญในการโจมตีหมู่! จอมกระบี่พลังรบแข็งแกร่งที่สุด บรรพชนแมลงก็รับผิดชอบหาสมบัติ เพราะแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนของเขาหาสมบัติได้อย่างร้ายกาจที่สุด


“ไม่มีแล้ว”


ร่างแยกหลายร้อยร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเสาะหา นอกจากค้นพบศิลาเกล็ดนิลแล้วในตอนนี้ก็ยังมิได้ค้นพบสมบัติล้ำค่าอื่นๆ เลย


ทันใดนั้นเอง…


ปัง!!!


กลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นขุมหนึ่งระเบิดขึ้นที่บริเวณไกลๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลง และจอมกระบี่ต่างก็สังเกตได้ในทันทีว่าที่บริเวณไกลออกไปนั้น นั่นก็คือสถานที่แห่งหนึ่งในส่วนลึกของภูเขาสูง สถานที่แห่งนั้นก็เป็นสถานที่ที่พลพรรคชนพื้นเมืองบุกสังหารเข้าไปเช่นเดียวกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีร่างแยกที่เข้าไปได้ใกล้เป็นอย่างยิ่ง


กลิ่นอายที่ระเบิดออกมาขุมนั้นช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน ยิ่งใหญ่เสียจนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่ และบรรพชนแมลงต่างก็หน้าถอดสี ที่ด้านบนของภูเขาสูงของดินแดนชนเผ่าก็มีหมอกดำที่แผ่กลิ่นอายแห่งความตายเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ล่องลอยอย่างดำทะมึนอยู่ที่บริเวณยอดภูเขาสูง


“เผ่าเซวี่ยเหยียนหรือ จะมาขโมยผลวิญญาณทิพย์ของข้าอีกแล้วหรือ” น้ำเสียงอันโอ่อ่าเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้ทำให้ทั่วฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือน


“เป็นจักรพรรดิ”


“มันฟื้นแล้ว”


“พวกเรารีบหนีไปเร็วเข้า”


จอมกระบี่ บรรพชนแมลง และตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ได้ในทันทีว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว


“รีบหนีโดยเร็วที่สุด เหล่าแมลงของข้าค้นพบสมบัติล้ำค่าแล้วสี่แห่ง พวกท่านเล่า” แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนบินมาจากที่ไกลๆ ตรงไปหาบรรพชนแมลงแล้วรวมตัวกันเป็นอาภรณ์สีดำห่อหุ้มอยู่บนร่างของบรรพชนแมลง “ข้าค้นพบแล้วแห่งหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยตอบ ร่างแยกร่างแล้วร่างเล่าเหินลอยมาจากทุกทิศทุกทาง


“เร็วเข้า ตอนนี้พลพรรคชนพื้นเมืองกำลังจัดการกันอยู่ อีกประเดี๋ยวจักรพรรดิผู้นั้นก็จะมาจัดการพวกเราแล้ว” จอมกระบี่เอ่ยอย่างเป็นกังวลและกระวนกระวาย


“จ้าวหิมะเหิน ได้โปรดช่วยเหลือเผ่าเซวี่ยเหยียนของข้าด้วย เผ่าเซวี่ยเหยียนของข้าก็จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง” น้ำเสียงกระวนกระวายเสียงหนึ่งลอยเข้าหูตงป๋อเสวี่ยอิง


“ข้าทิ้งร่างแยกหลายร่างเอาไว้ที่นี่เพื่อช่วยพวกเขาอีกแรง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดกับจอมกระบี่ในทันที


เขามีร่างแยกมากมาย


ในบรรดาร่างแยกหลายร่างที่ทิ้งเอาไว้ ร่างแยกที่มีพลังรบแข็งแกร่งอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่เพียงแค่ร่างเดียวเท่านั้น! ส่วนร่างแยกอื่นๆ ล้วนมีพลังยุทธ์ค่อนข้างอ่อนแอ หลักๆ แล้วก็ใช้เพื่อทำให้ศัตรูสับสนเมื่อยามต้องเผชิญกับอันตรายเท่านั้นเอง


“เอาล่ะ”


จอมกระบี่โบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บตัวบรรพชนแมลงกับตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์


ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แห่งนี้ ความนึกคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้ถูกขัดขวางการแทรกผ่านไปยังโลกภายนอก ยังคงสามารถสำแดงเคล็ดวิชาเขตลวงโลกเทียมได้เช่นเดิม


“ไป!”


เก็บตัวเพื่อนร่วมทางแล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก จอมกระบี่ก็หลบหนีอย่างสุดความสามารถในทันที!


พรึ่บ!


อัตราเร็วพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุด! สิ่งที่ได้รับจากการมายังเกาะลอยคว้างแห่งนี้ในครั้งนี้ก็เพียงพอแล้ว ต้องรู้ไว้ว่าการหนีออกไปนั้นยังต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร จอมกระบี่เองก็มิได้มีความมั่นใจมากนักว่าจะสามารถหนีจากผู้ใต้บังคับบัญชาของ ‘จักรพรรดิ’ ไปได้หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องหนีไปให้เร็วที่สุด! ถ้าหากตัวตายไป สูญเสียร่างแยกก็แล้วไปเถิด แต่ก็ต้องทิ้งสมบัติล้ำค่าต่างๆ ไปด้วย


พวกเขามายังหุบเขาเขี้ยวหัก… ด้านหนึ่งก็เพื่อขัดเกลาตนเองภายใต้อันตราย…! ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพื่อรวบรวมสมบัติวิเศษ มีสมบัติวิเศษบางอย่างที่มีส่วนช่วยเหลือในการบำเพ็ญด้วย


“ไล่ตามไป” ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไล่ตามอยู่ด้านหลังอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาเข้าใจกระจ่างดีว่าเมื่อใดที่ถูก ‘ทิ้งห่าง’ ด้วยเคล็ดลับการซ่อนเร้นกลิ่นอายของอีกฝ่าย หากนึกอยากจะพบตัวอีกครั้งนั้นเกรงว่าคงจะต้องสิ้นเปลืองเวลามิใช่น้อยเลยทีเดียว


ก็จะต้อง ‘ติดตาม’ ไปตลอด รอให้จักรพรรดิมาถึงแล้วก็เป็นเวลาที่ผู้บุกรุกเหล่านี้จะต้องชดใช้!


*******


ส่วนอีกด้านหนึ่ง


ณ ตำหนักผู้อาวุโส


ร่างแยกที่แข็งแกร่งเป็นที่สุดร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงที่นี่แล้ว มองปราดเดียวก็เห็นสถานการณ์ของตำหนักผู้อาวุโส


ทางด้านพลพรรคชนพื้นเมือง บริเวณหว่างคิ้วของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นั้นก็มีอัญมณีสีแดงโลหิตชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น พลังยุทธ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างชัดเจน เพิ่มพูนขึ้นมาหลายเท่าจนไปถึงระดับไร้เทียมทาน! เหล่าชนเผ่าด้านหลังเขาก็ก่อตัวกันเป็นค่ายกลรบ หว่างคิ้วของทุกคนล้วนมีของเหลวสีแดงโลหิตหยดหนึ่งปรากฏขึ้น กลิ่นอายก็พุ่งสูงขึ้นมาหลายเท่า


ทว่าศัตรูกลับแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง


ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม ทุกคนล้วนสามารถนับได้ว่ามีพลังรบระดับไร้เทียมทาน! อ๋องฝูซาและบรรดาอ๋องคนอื่นๆ ก็แข็งแกร่งอย่างที่สุดเช่นเดียวกัน


สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือผู้ที่กดดันให้ ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ต้องต่อสู้ในคราวนี้ก็คือยักษ์ตัวดำขลับคนหนึ่ง!เขามีร่างกายอันดำขลับไปทั้งร่าง มีดวงตาสามดวง ท่อนแขนใหญ่ทั้งคู่ยามที่โบกสะบัดก็แฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกอันลึกลับ ต่อตีเสียจนท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กระอักเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า โชคดีที่ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เป็นถึงชนพื้นเมืองจึงมีร่างกายแข็งแกร่งเป็นที่สุด


“เสี่ยงชีวิตหรือ เผาผลาญพลังสายโลหิตอย่างนันหรือ ไม่มีประโยชน์หรอก!” ยักษ์ตัวดำขลับผู้นี้ฟาดฝ่ามือเดียวก็ทำให้ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้จมลงไปอยู่ใต้ดิน ร่างกายอันบาดเจ็บสาหัสของเซวี่ยเหยียนจี้ก็บิดเบี้ยวแล้วฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะเดียวกันกับที่เขากำลังต่อสู้อย่างดุเดือดก็พุ่งไปทางต้นไม้ผลต้นโค้งอันแปลกพิสดารกลางบ่อน้ำด้านข้างต้นนั้น


“เสี่ยงชีวิตถึงเพียงนี้ ก็ยังอยากจะพุ่งไปหาต้นไม้ผลอันแปลกพิสดารต้นนั้นอีกหรือ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สนใจสิ่งอื่นใด


สำแดงกระบวนท่าเขตลวงอย่างสุดกำลังก่อน


ปัง…


โลกเขตลวงเคลื่อนเข้าโอบล้อมทั่วทั้งตำหนักผู้อาวุโสในทันใด ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสาม รวมถึงบรรดาอ๋องคนอื่นๆ ภายในตำหนักผู้อาวุโสก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงในทันใด แล้วสำแดงการเคลื่อนที่ในพริบตาหลบหนีไป สำหรับ ‘ท่านอ๋องฉี่ตู้’ เพราะรู้ว่าศัตรูบุกเข้าไปในดินแดนชนเผ่า ดังนั้นจึงได้หลบหนีไปไกลก่อนแล้ว เขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าการเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกาที่น่าหวั่นเกรงผู้นั้น พบหน้ากันเพียงแค่ครั้งเดียวเขาก็ต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว


ทางด้านเผ่ามรณะทมิฬคนอื่นๆ ล้วนหลบหนีไปจนหมด


แต่ ‘จักรพรรดิ’ ก็ยังคงมิได้เคลื่อนไหวเช่นเดิม


“หืม” ยักษ์ตัวดำขลับผู้นี้หันหน้ามองไปทางหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่ปรากฏตัวขึ้นภายนอกตำหนักผู้อาวุโสผู้นั้น ภายใต้การปะทะโจมตีของเขตลวงอันน่าหวาดหวั่น แม้กระทั่งจักรพรรดิก็ยังต้องแบ่งจิตใจไปต้านทาน พลังยุทธ์ก็ลดต่ำลงไปถึงสามส่วนในทันใด


ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งยิ่งกว่าผู้อาวุโสใหญ่เสียอีก


แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากับผู้อาวุโสใหญ่ต่างก็เป็นระดับจักรพรรดิด้วยกันทั้งสิ้น! ความแข็งแกร่งของวิญญาณของผู้อาวุโสใหญ่มีความแตกต่างพื้นฐานกับพวกผู้อาวุโสรองแต่ละคน แต่จักรพรรดิและผู้อาวุโสใหญ่กลับไม่มีความแตกต่างพื้นฐานระหว่างกันเลย


“เร็วเข้า!” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็ถ่ายเสียงให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาในทันที


“ชิงผลวิญญาณทิพย์มา!”


“ผลวิญญาณทิพย์!”


ชาวเผ่าเซวี่ยเหยียนเหล่านั้นพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง


……


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สังเกตต้นไม้ผลอันแปลกพิสดารต้นนั้น ของเหลวภายในบ่อน้ำที่ต้นไม้ผลต้นนี้เจริญอยู่เต็มไปด้วยสีดำสนิท ส่วนต้นไม้ผลก็โค้งงอและเจริญเติบโตจนสูงราวๆ สิบกว่าจั้ง ‘เปลือกผล’ ของผลไม้ทั้งสองลูกล้วนบางเฉียบจนสามารถมองเห็นประกายจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเวียนอยู่ภายในผลได้เลยทีเดียว


“ผลไม้นี้ดูแล้วไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง แต่ในข้อมูลก็มิได้มีบันทึกเอาไว้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองสำรวจไปถึงเรือนยอดของต้นไม้ผลประหลาดต้นนี้ในทันใด ตรงนั้นมี ‘ดวงตาสีเทา’ อยู่ดวงหนึ่ง ดวงตาสีเทาดวงนี้คล้ายกับถูกฝังติดเอาไว้ภายในต้นไม้ผลอย่างไรอย่างนั้น พลังคุกคามที่มันแผ่ออกมาก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนักผู้อาวุโสอยู่ตลอดเวลา


เพียงแต่ว่ากลิ่นอายที่จักรพรรดิระเบิดออกมาในตอนนี้มีพลังคุกคามแกร่งกล้ายิ่งกว่า ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมิได้สังเกตเห็นดวงตาสีเทาดวงนี้เลย


ยามที่มองไปนั้นเอง…


ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกับดวงตาสีเทาดวงนั้นก็จ้องมองซึ่งกันและกัน

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 13 จักรพรรดิผู้โกรธเกรี้ยว

 

ดวงตาสีเทาบนยอดต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนี้ มีอานุภาพกดดันเช่นเดียวกับล้านล้านปีที่แล้วมา มันปลดปล่อยออกมาตลอดเวลา โครงสร้างภายในดวงตาคู่นี้ยิ่งพิสดารเป็นอย่างมาก บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีระดับขั้นใดกัน ต่อให้เป็นฝุ่นผง ภายใต้สายตาของเขา ก็ล้วนกลายเป็นผืนดินมหึมาแห่งหนึ่งได้ สามารถเฝ้าดูโครงสร้างอันลึกซึ้งอย่างยิ่งของฝุ่นสีเทาได้ ก็สามารถเฝ้าดูการปรากฏของการหมุนเวียนกฎเกณฑ์บนวัตถุของโลกกำเนิดได้เช่นเดียวกัน


 


แต่ในยามนี้!


 


ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูดวงตาสีเทาคู่นี้ ก็อดเผยสีหน้าแตกตื่นออกมามิได้ เขามองดูดวงตาสีเทาคู่นี้โดยละเอียดอย่างมิอาจควบคุมได้


 


ในสายตาของเขา ดวงตาสีเทาขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น และใหญ่ขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว…


 


ไร้ที่สิ้นสุด!


 


โครงสร้างของดวงตาสีเทานี้ เดิมทีก็เร้นลับมากถึงเพียงนั้นอยู่แล้ว!


 


อย่างกายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงที่เทียบเท่ากับกายหยาบของ ‘เทพจักรวาลขั้นสุดยอดทางสายฝึกกาย’ นั้น ก็แฝงไว้ด้วยจุดที่น่าเหลือเชื่อต่างๆ เลือดแต่ละหยด แต่ละอณูล้วนแฝงไว้ด้วยความพิสดารเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน ‘ดวงตาสีเทา’ คู่นี้จึงพิสดารกว่ากายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอันมาก!


 


“งดงามเกินไปแล้ว”


 


“ขั้นสุดของความงาม”


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ เขามองดูดวงตาสีเทาคู่นี้ด้วยความลุ่มหลง


 


“จ้าวหิมะเหิน พวกเราเตรียมจะจากไปแล้ว ท่านจะให้พวกเราพาท่านจากไปพร้อมกันด้วยหรือไม่” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในห้วงสมอง


 


ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ซึ่งกำลังห้ำหั่นกับ ‘จักรพรรดิ’ แห่งเผ่ามรณะทมิฬอยู่ไกลออกไป


 


“จากไปรึ ท่านมั่นใจหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงด้วยความตกตะลึง จะออกจากดินแดนชนเผ่าแล้วหนีออกไปนอกขอบเขตของทั้งเกาะลอยคว้างก็ยังต้องใช้เวลาอยู่บ้าง


 


“พวกเรามีวิธีของพวกเราเอง” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียงพูด “พวกเราจะเคลื่อนไหวแล้ว ท่านจะไปด้วยหรือไม่”


 


“มิต้องสนใจข้าหรอก นี่เป็นเพียงหนึ่งในร่างแยกจำนวนมากของข้าเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด เขาพูดอย่างเรียบเฉยมาก ร่างแยกมีตั้งมากมาย เขาไม่สนใจสักนิดว่าร่างแยกเหล่านี้จะสลายไปหรือไม่! นอกจากนี้เขาก็ยังต้องชมดูดวงตาสีเทาคู่นั้นให้ดีอีกด้วย


 


ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถ่ายเสียงพูดว่า “บุญคุณครั้งใหญ่ของจ้าวหิมะเหินในครั้งนี้ เผ่าเซวี่ยเหยียนของเราะจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน พวกเราค่อยพบกันนอกเกาะลอยคว้างแห่งนี้ก็แล้วกัน”


 


“ได้สิ ไว้พบกันนอกเกาะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ


 


ขณะเดียวกันตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยากรู้อยากเห็นมาก


 


กองกำลังชนพื้นเมืองนี้กำลังพยายามพุ่งไปทางต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้นอย่างสุดชีวิต ส่วน ’จักรพรรดิ‘ แห่งเผ่ามรณะทมิฬผู้นั้นก็ขัดขวางไม่หยุด ขณะเดียวกันก็โจมตีอย่างโกรธแค้นไปที่ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นั้นเป็นหลัก


 


“ตู้ม ตู้ม ตู้ม…” ทุกท่วงท่าของยักษ์ร่างดำทะมึนล้วนแฝงไว้ด้วยอานุภาพอันน่าเหลือเชื่อ เพียงแต่กระบวนท่าของเขาเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเกินไป เมื่อท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้รับมือ ก็แค่ต้านรับอย่างทื่อๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น! เคราะห์ดีที่มีเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงปะทุออกมาอย่างสุดกำลัง ทำให้พลังของ ’จักรพรรดิ‘ ผู้นั้นเหลือเพียงเจ็ดส่วนของก่อนหน้านี้เท่านั้น ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้จึงสามารถต้านทานต่อไปได้


 


“ต้านทานได้เก่งจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบสีหน้าเปลี่ยนแปรไป


 


ตอนที่อานุภาพของยักษ์ร่างดำทะมึนยังมิได้อ่อนกำลังลงนั้น ก็เพียงพอจะเทียบได้กับพลังของ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ในตอนที่ปะทุออกมาเพื่อโจมตีเมืองหิมะเหินอย่างสุดชีวิตในตอนนั้น ต้องรู้ไว้ว่า ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ก็มิอาจคงสภาพน่าหวาดหวั่นเอาไว้ได้เป็นเวลานาน หากทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน…เมื่อราชันย์อนธการอมตะปะทุออกมา ก็สามารถครองความได้เปรียบในระยะเวลาสั้นๆ ได้


 


แต่เมื่อเวลานานเช้า หากราชันย์อนธการอมตะไม่สามารถคงสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ได้ ก็ต้องถูก ’จักรพรรดิ‘ ผู้นี้กดดันฝ่ายเดียวแล้ว แน่นอนว่าราชันย์อนธการอมตะสามารถป้องกันตนเองได้อย่างไร้ปัญหา


 


“ภายในหุบเขาเขี้ยวหักอันกว้างใหญ่ไพศาล นี่เป็นเพียงเกาะลอยคว้างที่แสนจะธรรมดาแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอ้าปากค้าง


 


แม้ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญจะมีกระบวนท่าพิสดาร เมื่ออานุภาพค่อนข้างอ่อนแอก็สามารถรักษาชีวิตได้


 


แต่หนึ่งแรงก็มิอาจสู้พลังอันยิ่งใหญ่ได้!


 


เมื่ออานุภาพแตกต่างกันถึงระดับหนึ่ง ก็ต้องถูกกวาดล้างไปเช่นกัน


 


“ว่ากันว่าเผ่าชนพื้นเมืองมีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ กายหยาบแข็งแกร่งเสียจนเกินจริง ส่วนท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ผู้นี้ กายหยาบน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าเสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์


 


เขาจับตามองอยู่ครู่หนึ่ง


 


แล้วก็มองดูดวงตาสีเทาคู่นั้นโดยละเอียดต่อไป เขาขัดเกลาไปพลาง จมดิ่งอยู่ในนั้นไปพลาง บนใบหน้าถึงขั้นเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


 


……


 


ยามนี้ ’จักรพรรดิ‘ ผู้นั้นโกรธแค้นมาก โกรธแค้นเสียจนอยากจะลงมือกับตงป๋อเสวี่ยอิง


 


เนื่องจากเพราะผู้บำเพ็ญที่สมควรตายคนนี้ ทำให้เขาต้องแบ่งสมาธิไปต้านทาน จนพลังได้รับความเสียหาย! แต่เหล่าผู้อาวุโสและอ๋องคนอื่นๆ หนีไปได้กันหมดแล้ว แม้แต่ ‘ผู้อาวุโสใหญ่’ ก็มิได้มาช่วยเหลือเขา! ผู้อาวุโสใหญ่สั่งให้คนมาถ่ายเสียงบอกว่าเขาไปสะกดรอยตามผู้บำเพ็ญที่ใช้กระบี่ผู้นั้นแล้ว!


 


ไม่มีคนช่วย


 


ค่ายกลรบทั้งสี่ของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้และผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ละค่ายกลรบล้วนสามารถเทียบเคียงกับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ได้!


 


หากจักรพรรดิต้องขัดขวางพวกเขาพร้อมกัน มือไม้ก็ต้องพันกันวุ่นวายอยู่บ้าง เขามิอาจออกกระบวนท่าไปจัดการกับตงป๋อเสวี่ยอิงได้! เพราะหากเขาไปจัดการเมื่อใด เกรงว่าชนพื้นเมืองเหล่านี้ก็คงจะสามารถหาโอกาสช่วงชิงผลวิญญาณทิพย์ไปได้


 


“ตู้ม”


 


หนึ่งในค่ายกลรบของผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้


 


เหนือผิวกายของยอดฝีมือทั้งสามของค่ายกลรบนี้ ต่างก็มีเกราะสีแดงโลหิตอันแปลกประหลาดอยู่ ภายใต้การกระตุ้น เกราะสีแดงโลหิตทั้งสามก็มีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียว อานุภาพของค่ายกลรบแห่งนี้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งทันใด! หากพูดถึงอานุภาพแล้วก็ถึงระดับ ‘ผู้อาวุโสใหญ่’ เลยทีเดียว! แข็งแกร่งกว่าท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้อยู่ขุมใหญ่ หลังจากอานุภาพปะทุขึ้นมาแล้ว ค่ายกลรบนี้ก็พุ่งตรงไปทางต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้น


 


“เผ่าเซวี่ยเหยียน แม้แต่สมบัติประจำเผ่าพวกเจ้าก็พกมาด้วยหรือ” จักรพรรดิตกใจมาก


 


เกราะทิพย์เซวี่ยเหยียน


 


มีทั้งหมดสามอันด้วยกัน! เป็นสมบัติประจำเผ่าของเผ่าเซวี่ยเหยียน ตอนที่ภายในยังไม่มีผู้แกร่งกล้าที่สุดยอดคอยปกป้องทั้งเผ่านั้น ก็มีผู้อาวุโสประจำเผ่าสามคนพกเกราะทิพย์เซวี่ยเหยียนคนละอัน แล้วร่วมมือกันก็เพียงพอจะปกป้องทั้งเผ่าได้แล้ว


 


สมบัติประจำเผ่าระดับนี้มิอาจสูญเสียไปได้ง่ายๆ! มาเสี่ยงอันตรายที่เกาะลอยคว้าง ยังจะพกสมบัติประจำเผ่ามาด้วยหรือ ต้องรู้ไว้ว่าหากผู้บำเพ็ญหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้นมิได้ปรากฏกายขึ้นมา แล้วผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามอยู่พร้อมหน้ากันตรงนั้นแล้ว…เกรงว่าสถานการณ์ของเผ่าเซวี่ยเหยียนก็คงจะเลวร้ายกว่านี้ หากพ่ายแพ้และสู้จนตัวตาย ก็จะต้องสูญเสียสมบัติประจำเผ่าไป!


 


“เผ่าเซวี่ยเหยียน บ้าไปแล้วหรือ” จักรพรรดิมิอาจเข้าใจได้ มันและเผ่าเซวี่ยเหยียนติดต่อกันหลายครั้งแล้ว เนื่องจากสมบัติล้ำค่าที่สำคัญที่สุดในเกาะลอยคว้างแห่งนี้อย่าง ‘ผลวิญญาณทิพย์’ นั้นมีผลน่าอัศจรรย์ต่อการทำให้พละกำลังของสายเลือดเผ่าเซวี่ยเหยียนตื่นรู้ ดังนั้นตลอดคืนวันอันยาวนาน ผู้แกร่งกล้ายยุคแล้วยุคเล่าของเผ่าเซวี่ยเหยียนต่างก็มาที่นี่เพื่อคิดหาวิธีช่วงชิงผลวิญญาณทิพย์ไป


 


แต่ก็ไม่เคยบ้าคลั่งถึงเพียงนี้มาก่อน!


 


“สมควรตาย”


 


พลังของจักรพรรดิได้รับผลกระทบ ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้และค่ายกลรบทั้งสี่ล้วนรับมือไม่ได้ง่ายๆ ในจำนวนนั้นพลังของค่ายกลรบแห่งหนึ่งก็ยังปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิและผู้อาวุโสใหญ่นั้นแตกต่างกัน สิ่งที่จักรพรรดิถนัดก็คือใช้กายหยาบเข้าต่อสู้ประชิดตัว กระบวนท่าทางด้านบริเวณซึ่งกินวงกว้างนั้นไม่เชี่ยวชาญนัก เพียงครู่เดียวจึงมิอาจสกัดกั้นได้ทันท่วงที


 


ฟิ้ว…


 


พลังของค่ายกลรบแห่งนั้นปะทุออกมา เมื่อเทียบกับจักรพรรดิ ความแตกต่างก็มิได้มากมายนักแล้ว เมื่อปะทุออกมาในระยะใกล้ๆ ทั้งยังมีสหายคอยช่วยเหลือ เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้นแล้ว


 


“ไม่!”


 


จักรพรรดิเดือดดาลขึ้นมา เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว เขาโบกมือคราหนึ่งแล้วตะปบไปทางผลวิญญาณทิพย์บนต้นไม้ผลแปลกพิสดารต้นนั้น


 


ต้นไม้ผลต้นนี้ มีผลอยู่ทั้งหมดสองผลด้วยกัน


 


จักรพรรดิและค่ายกลรบแห่งนั้น คว้าผลไม้เอาไว้คนละผลแทบจะพร้อมกัน!


 


“ยังไม่ทันสุกเลย พวกเจ้าก็มาชิงเอาไปแล้วหรือ” จักรพรรดิคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“หากรอจนสุกแล้ว จะยังเหลือมาถึงมือพวกเราหรือ”


 


พวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ดีใจใหญ่


 


แม้จะยังไม่สุกเต็มที่ แต่ก็ให้ผลถึงห้าส่วนแล้ว


 


“ไป!”


 


พวกท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ทั้งกลุ่มรวมตัวกันทันที ค่ายกลรบสลายไปจนสิ้น เหลือเพียงท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้คนเดียวเท่านั้น ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ถือใบไม้เหลืองซีดเอาไว้ในมือ ใบไม้ถูกบี้จนแตก


 


วิ้ง!


 


ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างปกคลุมท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ สายตาของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ไกลออกไปพลางยิ้มน้อยๆ


 


จากนั้นก็อันตรธานไป!


 


“สมควรตาย สมควรตาย สมควรตาย!!!” จักรพรรดิแหงนหน้าคำราม เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักผู้อาวุโส และยังแพร่ออกไป ระลอกการโจมตีอันน่าหวาดหวั่นก็พุ่งตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปและถอยหนีทันที! เคราะห์ดีที่เขามีพลังรบขั้นสุดยอด กายหยาบก็แข็งแกร่งพอ เสียงคำรามครั้งหนึ่งจึงไม่ถึงกับล้างสังหารเขาได้


 


“หนีรึ”


 


จักรพรรดิสาวเท้าออกไปแล้วบุกตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง


 


เขาเดือดดาลหาใดเปรียบ! หากมิใช่ผู้บำเพ็ญผู้นี้ เขามีผู้ช่วยกลุ่มใหญ่ ก็สามารถสกัดกั้นกองกำลังเผ่าเซวี่ยเหยียนเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย!


 


ผู้บำเพ็ญผู้นี้นี่เอง…ที่ทำให้ผู้ที่จะมาช่วยเขาหวั่นกลัวจนหนีหายไปหมด แต่เขาก็มิได้ตำหนิผู้ใต้บังคับบัญชาแต่อย่างใด เนื่องจากมีอ๋องกลุ่มหนึ่งสิ้นใจด้วยเงื้อมมือของผู้บำเพ็ญแล้ว


 


เดิมทีผลไม้ที่สุกแล้วทั้งสองผล ก็มีหวังจะทำให้พลังของเขายกระดับขึ้นได้บ้าง แต่บัดนี้ มีเพียงผลที่ยังไม่สุกเพียงผลเดียว สำหรับจักรพรรดิผู้นี้ ก็ไร้ประโยชน์เสียแล้ว! พอจะมีประโยชน์สำหรับพวก ‘อ๋อง’ บ้างก็เท่านั้น คิดจะรอให้ผลต่อไปเกิดขึ้นและสุกงอมน่ะหรือ ก็ต้องรอคอยอีกนานแสนนานหาใดเปรียบแล้ว


 


“รวดเร็วนัก” หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว


 


แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะหลบหนีไปด้วยความเร็วสูง


 


แต่เดิมทีจักรพรรดิก็สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เพื่อสกัดกั้นชนพื้นเมืองเหล่านั้น เขาจึงมิอาจออกกระบวนท่ามาลงมือกับเขาได้ บัดนี้เพียงแค่ทะยานไปคราหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ตามตงป๋อเสวี่ยอิงที่หลบหนีไปอย่างรวดเร็วได้ทัน ฝ่ามือมหึมาอันดำทะมึนก็ปกคลุมเข้ามา! ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าไม่มีที่ให้หลบหนีไปได้ เมื่ออยู่ภายใต้อานุภาพอันน่าเกรงกลัวเช่นนี้ กระบวนท่าถ่ายแรงของเขาก็ดูน่าขันนัก


 


“ปัง”


 


เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ร่างแยกซึ่งเป็นพลังรบหลักร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสได้อย่างง่ายดาย


 


เมื่อเผชิญหน้ากับ ’จักรพรรดิ‘ ผู้นี้ สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั่วไปก็ล้วนต้องบาดเจ็บสาหัสด้วยกระบวนท่าเดียว! มีเพียงคนอย่างท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ที่ปะทุพลังออกมาแล้วอยู่ในขั้นไร้ศัตรู และกายหยาบก็แข็งแกร่งถึงขั้นสุดเท่านั้น จึงสามารถต้านทานได้นานถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังคงได้รับบาดเจ็บสาหัสมากอยู่ดี


 


“ฟิ้ว…” ภายใต้อานุภาพอันน่าหวาดหวั่น กายหยาบของตงป๋อเสวี่ยอิงร่างนี้ก็สลายไปทันทีโดยไม่ทิ้งไว้แม้แต่ซาก ทว่าขณะที่ร่างแยกสลายไปนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงเรียบเฉยมาก มุมปากยังถึงขั้นแฝงรอยยิ้มเอาไว้เล็กน้อย เขามีร่างแยกนับหมื่น จึงย่อมไม่สนใจร่างแยกแค่ร่างเดียวอยู่แล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)