Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 36 ตอนที่ 1-3

ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 1 เรียนรู้จากกันและกัน

เมืองหิมะเหินกว้างใหญ่ไพศาล ภายในก็มียอดเขาและหุบเขามากมาย อย่างเช่นแม่เฒ่าอิงซานก็ถือครองทิวเขาแห่งหนึ่งแล้วสร้างที่พำนักอยู่ที่นั่น


ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนแมลงปาถัวเฉิน และจอมกระบี่ พวกเขาสามคนกำลังประลองเรียนรู้จากกันและกัน


“ขวับ ขวับ ขวับ”


บรรพชนแมลงปาถัวเฉินกะพริบร่างแปรเปลี่ยนไม่หยุดหย่อน ปีกของเขากระพือไหวคราหนึ่ง อัตราเร็วรวดเร็วถึงขีดสุด


ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็กุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ ถึงแม้ว่าจะมิได้ควบคุมให้ค่ายกลเมืองหิมะเหินลงมือ แต่ก็ยังคงต่อตีจนบรรพชนแมลงปาถัวเฉินยับเยินอยู่บ้าง สถานที่มากมายในหุบเขาแห่งนี้กลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว แน่นอนว่าบริเวณรอบๆ ก็มีค่ายกลตัดแยกอยู่ ทำให้พวกเขาทั้งสามคนต่อสู้กันโดยไม่ส่งผลกระทบไปถึงโลกภายนอก


“หยุดๆๆ” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินตะโกนขึ้น “สมแล้วที่เป็นอาวุธเทพคละถิ่น ร้ายกาจๆ ดูท่าทางข่าวที่ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นปล่อยออกมาก็เป็นความจริงอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว!”


“จริงหรือ จริงกับผีน่ะสิ!”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหยุดลง อุปนิสัยของเขานับได้ว่าดีแล้ว แต่ก็ยังอดที่จะเอ่ยด่าออกมามิได้ “ยังพูดว่าอะไรอีก ไม่ว่าขั้นสุดยอดที่บำเพ็ญวิถีใดๆ ได้รับอาวุธเทพคละถิ่นมา ต่างก็สามารถเพิ่มพูนพลังยุทธ์ได้อย่างมหาศาล! พูดจาเหลวไหลได้เต็มปากเต็มคำนัก อาวุธเทพคละถิ่นนี่เป็นสิ่งที่ข้าหลอมขึ้นมาเองกับมือจึงสามารถหลอมแปรได้ นอกจากข้า เทพจักรวาลคนอื่นใดต่างก็ไม่มีทางหลอมแปรได้หรอก! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเอาไปใช้เลย ข้อสอง นี่คืออาวุธที่ผสานรวมกับสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับที่ข้าได้มา ผู้ที่บำเพ็ญวิถีอื่นๆ ต่อให้สามารถหลอมแปรได้ก็ไม่สามารถใช้งานได้อยู่ดีนั่นแหละ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแค่หลอมแปรก็ยังทำมิได้เลย!”


“ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่หิมะเหิน ใครใช้ให้การต่อสู้ครั้งเดียวของท่านทำให้หวาดหวั่นพรั่นพรึงไปทั่วดินแดนจิตโลกากันเล่า ทั้งยังฝังแค้นกับราชันย์อนธการอมตะด้วย เขาคิดบัญชีกับท่านก็เป็นเรื่องธรรมดานี่” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดยิ้มๆ


“ก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก อยู่ที่เมืองหิมะเหิน แม้กระทั่งราชันย์อนธการอมตะก็ยังทำอะไรเสวี่ยอิงมิได้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ ก็ยังไร้ความหวังยิ่งกว่าอีก” จอมกระบี่พูด


แม้กระทั่งจักรพรรดิเซี่ยก็ยังอ่อนแอกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ก็ยังเกิดเรื่องยุ่งยากมากขึ้นอีกเป็นกอง”


จิตใจละโมบ…


บุคคลผู้ไร้เทียมทานที่ตกต่ำไปก่อนหน้านี้อย่างเช่นจักรพรรดิกลืนโลกาตายไปด้วยเหตุใดน่ะหรือ มีผู้ที่เข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหักแล้วต้องตาย! แล้วก็มีผู้ที่ตายเพราะเผชิญกับการล้อมโจมตีของบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่ดินแดนจิตโลกา ตกอยู่ภายใต้การล้อมโจมตีเพราะเหตุใดน่ะหรือ พูดกันจริงๆ แล้วก็ล้วนเป็นเพราะ ‘ความละโมบ’ ทั้งสิ้น พูดให้น่าฟังหน่อยก็ล้วนเป็นเพราะแสวงหาทางเดินบนเส้นทางการบำเพ็ญให้ไกลยิ่งขึ้น


“เสวี่ยอิง เจ้ากับข้าก็มาประลองกันดูหน่อยสิ” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ


“ได้เลย”


ตงป๋อเสวี่ยอิงดวงตาเป็นประกาย “เจ้าก็ระวังด้วยล่ะ”


พูดแล้วหอกชิงเหอในมือก็แทงออกมาในทันใด!


ฝีหอกนี้กระตุ้นห้วงอากาศจนทั้งห้วงอากาศต่างก็เปลี่ยนเป็นดำทะมึน พลังคละวิถีอันไร้ที่สิ้นสุดท่ามกลางความดำทะมึนพุ่งเข้าใส่จอมกระบี่ราวกับกระแสน้ำวนตามการพุ่งของหอกชิงเหอ


ปลายหอกไม่จำเป็นต้องปะทะถูกศัตรู พลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นของฝีหอกนี้ก็ทะลุผ่านอากาศแพร่ไปถึงจอมกระบี่นี้แล้ว


“พรึ่บ” ประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนบนผิวกายของจอมกระบี่ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า คุ้มกันกายตน ต้านทานการโจมตีนี้เอาไว้ ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาคุ้มกันร่างกายที่เขาตระหนักรู้จากในสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับจะร้ายกาจ แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าพลังแทรกผ่านอันแปลกประหลาดบางส่วนแพร่มาถึงในร่างกายของเขา แต่ร่างกายของเขากลับดุจดังประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน บดทำลายพลังโจมตีอย่างรวดเร็วอยู่ภายใน เพียงแต่ว่าก็ยังอดที่จะร่นถอยหลังไปก้าวหนึ่งมิได้


“วิถีอากาศช่างน่าสนใจจริงๆ” จอมกระบี่กลับหัวเราะเสียงดัง “เจ้าก็รับกระบี่ข้าด้วยล่ะ”


พรึ่บ


ประกายกระบี่กะพริบวาบ ประกายโลหิตสายหนึ่งกะพริบวาบแล้วก็มาถึงตรงหน้าตงป๋อเสวี่ยอิง


ดูเหมือนจะเงียบงันไร้สุ้มเสียง แต่กลับทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงในทันใด แล้วหอกก็หมุนเบาๆ คราหนึ่ง จากนั้นห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าจำนวนนับไม่ถ้วนก็ขัดขวางเอาไว้ ทว่าประกายโลหิตสายนั้นกลับน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ทะลุผ่านห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างง่ายดาย ห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่ากลับมิได้สูญสิ้นไป พลังคุกคามของประกายโลหิตอ่อนลงเพียงแค่สามสี่ส่วนเท่านั้นแล้วแทงทะลุเข้าไปภายในร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิง


ผ่านวิธีการถ่ายถอนพลังต่างๆ ของการกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุดยอด ทรวงอกของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังมีบาดแผลปรากฏขึ้นรอยหนึ่งที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าปากแผลสมานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว


“ร่างกายนี้ของเจ้าช่างแข็งแกร่งเสียจริง” จอมกระบี่อดที่จะพูดขึ้นมิได้


“กระบี่ท่านนั่นแหละที่ยากจะต่อกร” หอกยาวในมือตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนปั่นคราหนึ่ง ฟ้าดินก็ปั่นป่วนหมุนวนขึ้นมา…


……


สองฝ่ายขับเคี่ยวกัน


ฝ่ายหนึ่งเป็นวิถีทำลายล้าง วิธีการที่สำแดงออกมาก็แฝงเอาไว้ด้วยสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ ส่วนอีกฝ่ายก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงที่กุมอาวุธเทพคละถิ่นไว้ในมือ เคล็ดวิชาวิถีอากาศที่สำแดงออกมาก็ใกล้เคียงกันเลยทีเดียว


แต่ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด!


“เสวี่ยอิง มิใช่ว่าเจ้ามีร่างแยกมากมายหรือไร รวมเคล็ดลับที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาพร้อมกันเลยสิ!” จอมกระบี่เอ่ยกระตุ้น


“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเป็นฝ่ายต้องการเองนะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเสียงดัง


ด้านข้างมีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศขนาดมหึมาดอกหนึ่งปรากฏขึ้นมาพร้อมกันในทันใด บนดอกบัวเพลิงห้วงอากาศอันจับตามีตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่เก้าคน แต่ละคนต่างก็สำแดงเคล็ดวิชาออกมาพร้อมกัน


ถ้าหากพูดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ มีพลังสามส่วนของบรรพชนราตรีนิรันดร์


เช่นนั้นร่างแยกทั้งเก้าผสานรวมกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศก็พอๆ กันกับพลังสามส่วนของบรรพชนราตรีนิรันดร์! เพราะร่างแยกทั้งเก้าทุกร่างต่างก็มีวิญญาณเจ็ดส่วนของระดับขั้นสูงสุด เพราะเคยดูดซับโลหิตหัวใจของ ‘มารดามังกรหมื่นสัมผัส’ มาก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นวิญญาณเจ็ดส่วน ร่างแยกทุกร่างล้วนไม่ด้อยไปกว่าวิญญาณของขั้นสุดยอดโดยทั่วไปเลย พลังจิตก็เพียงพอสำหรับสำแดงเคล็ดวิชาโดยทั่วไปแล้ว


พลังรบขั้นสุดยอดเก้าคน ทั้งยังมีพลังแห่งโลกาของดอกบัวเพลิงห้วงอากาศส่งเสริมอีกด้วย! สิ่งที่สำคัญก็คือในดอกบัวเพลิงห้วงอากาศแฝงเอาไว้ด้วย ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ ผ่านเคล็ดการร่วมโจมตีที่วิถีอากาศขั้นสุดยอดติดตั้งอยู่ทำให้ร่างแยกทั้งเก้าร่วมมือกันขึ้นมา ผลลัพธ์จึงจะดีเยี่ยมเป็นที่สุด จึงทำให้พลังยุทธ์เพิ่มขึ้นกว่าตอนที่ไม่มีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศหลายเท่า


ตอนนี้มีอาวุธเทพคละถิ่นแต่ก็มีส่วนที่ติดขัดอยู่บ้าง


ก็คือมี ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่น อยู่เพียงแค่เล่มเดียวเท่านั้น! พลังยุทธ์ที่ร่างแยกที่ถือหอกชิงเหอสำแดงออกมาเหนือกว่าร่างแยกอื่นๆ มากมายนัก (ร่างแยกอื่นๆ เก้าร่าง ผนวกรวมกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศจึงจะสามารถเทียบเท่าได้) ความแตกต่างมากเกินไป การผสานรวมก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลสักเท่าใดนัก


อย่างเช่น ‘เมืองหิมะเหิน’ ก็แตกต่างกันแล้ว


ค่ายกลมากมายที่ติดตั้งอยู่ภายในเมืองหิมะเหินก็เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น อย่างเช่นจวนจ้าวก็มีค่ายกลอยู่ ถึงขนาดที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องพกแก่นสำคัญติดตัวเอาไว้


เขานึกคิดคราหนึ่ง


ก็สามารถเหนี่ยวนำค่ายกลมากมายได้แล้ว จากนั้นตนเองก็สำแดงท่าไม้ตายอันแข็งแกร่งที่สุดออกมา


ค่ายกลเหล่านี้…ต่างก็ผสานรวมเจ็ดกระบวนคละถิ่นคิดค้นออกมา ต่างก็เป็นเลิศในการกระตุ้นพลังคละวิถี! ผสานรวมกันขึ้นมากับอาวุธเทพคละถิ่น…ก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างแท้จริง!


ทว่าพลังแห่งโลกาของ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ กับหอกชิงเหอผสานรวมกันขึ้นมา ผลลัพธ์กลับย่ำแย่ลงไปเป็นอันมาก


“ปัง ปัง ปัง…”


ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศและร่างแยกทั้งเก้าสำแดงเคล็ดการร่วมโจมตี!


ร่างแยกอีกร่างหนึ่งที่กุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือก็ลงมือเช่นกัน ร่วมมือกัน แต่ก็ยังคงถูกจอมกระบี่โจมตีจนยับเยินอยู่บ้าง ถึงอย่างไรจอมกระบี่ระเบิดพลังยุทธ์อย่างสุดกำลังก็มีแปดส่วนของบรรพชนราตรีนิรันดร์แล้ว


“ยังสำแดงเคล็ดวิชาเขตพลังร่วมกับหอกชิงเหอก็จะเหมาะสมกว่า” หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทดสอบหลายครั้งแล้วจึงได้เปลี่ยนแปลงเคล็ดวิชา


พรึ่บ…


ร่างแยกทั้งเก้าสำแดงเคล็ดการร่วมโจมตี สำแดงเคล็ดวิชาเขตพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา


ตัวดอกบัวเพลิงห้วงอากาศเองก็เป็นสมบัติของโลกอยู่แล้ว ก็เชี่ยวชาญทางด้านเขตพลังเป็นที่สุด


“ครืน…” เขตพลังอันแกร่งกล้าราวกับคลื่นใต้น้ำบีบตัวออกมาแล้วโอบล้อมจอมกระบี่เอาไว้ เพียงพริบตา จอมกระบี่ก็เผชิญกับการกดดันของเขตพลังตลอดเวลา อีกทั้งเขตพลังคุกคามก็แปรเปลี่ยนไม่หยุดหย่อน ทำให้พลังยุทธ์ของจอมกระบี่ได้รับผลกระทบ


ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงกุมหอกชิงเหอเอาไว้ในมือ พลังยุทธ์บีบคั้นจอมกระบี่


ถึงแม้ว่าจะยังคงไม่สามารถครองความเหนือกว่าได้เช่นเดิม แต่ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด


“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะขึ้นมาในที่สุด


“เขตพลังนี้ของเจ้าช่างทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างแท้จริง” จอมกระบี่ก็รู้สึกว่ายากจะรับได้เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะได้ครอบครองสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับแล้วก็มีเคล็ดเขตพลัง แต่กลับมิอาจสู้กับ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ที่เดิมทีก็เป็นสมบัติของโลกอยู่แล้ว ภายใต้การร่วมมือกันของร่างแยกทั้งเก้า เขตพลังนี้ก็แกร่งกล้าอย่างแท้จริง


ทั้งสองฝ่ายหยุดมือแล้วร่อนลงบนพื้นดิน


“ต่อให้อยู่ที่โลกภายนอก ประมือกับพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์ เจ้าก็สามารถทำได้อย่างสบายๆ แล้ว” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ


“น่าเสียดาย เพียงแค่ข้าเคลื่อนไหวใหญ่โตข้างนอกนั่น ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นก็จะต้องมาสังหารข้าอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ถึงแม้ว่าเขตพลังของข้าจะนับว่าร้ายกาจ แต่ในสายตาของบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่เชี่ยวชาญทางด้านเขตพลังอย่างแท้จริงก็ยังคงไม่แข็งแกร่งพอหรอก เมื่ออยู่ต่อหน้า ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ‘โลกแห่งความตาย’ ของเขาเคลื่อนลงมา ก็เพียงพอที่จะกดดันเขตพลังของข้าแล้ว เขตพลังก็ย่อมไม่สามารถช่วยเหลือข้าได้ ข้าถืออาวุธเทพคละถิ่นเอาไว้ในมือแล้วสู้กับเขา ถ้าหากหลบหนีช้าก็อาจจะถูกเขาสังหารเอาก็ได้ ร่างแยกร่างหนึ่งสูญสลายก็สลายไปเถิด แต่การที่อาวุธเทพคละถิ่นถูกช่วงชิงไปนั้นต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่ข้ามิอาจทนรับได้”


จอมกระบี่พยักหน้า


เขตพลังกดดันศัตรู ก็ต้องมีความสุขอย่างแน่นอน


แต่ถ้าหากเป็นเขตพลังของศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า… เช่นนั้นเคล็ดเขตพลังที่สำแดงออกมาก็เป็นผลจากการถูกกดดัน!


“ในวันหน้าที่เจ้าออกไป ไม่คิดจะเอาอาวุธเทพคละถิ่นไปด้วยหรือไร” จอมกระบี่เอ่ยถาม


“ไม่ล่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “รอให้ถึงวันที่ข้าสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด จึงจะเป็นเวลาที่อาวุธเทพคละถิ่นออกจากเมืองหิมะเหิน!”


“ถูกต้อง ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นก่อให้เกิดคลื่นลม แพร่ข่าวลือออกไป การต่อสู้ครั้งนั้นของพี่ใหญ่หิมะเหินก็ชวนให้คนตกตะลึงเกินไป ผู้ที่เกิดจิตใจละโมบขึ้นมาจะต้องมีมากมายอย่างแน่นอน! พวกเขาไม่กล้ามารนหาที่ตายที่เมืองหิมะเหิน แต่ถ้าหากออกไป… ก็ยุ่งยากเสียแล้วล่ะ” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินก็เห็นด้วย


“อืมๆ เสวี่ยอิง การบำเพ็ญของเจ้าสั่งสมมาอย่างแน่นหนาอย่างยิ่งแล้ว นึกอยากจะบรรลุไปถึงขั้นสุดยอดก็ต้องการเพียงแค่จุดวิกฤติให้บรรลุอีกครั้งก็ใช้ได้แล้ว” จอมกระบี่พูด


“บรรลุอีกครั้งหรือ ข้าก็รู้ว่าบรรลุอีกครั้งก็ใช้ได้แล้ว แต่การบรรลุก้าวสุดท้ายนี้ยากเย็นขนาดไหน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า


“เค่อชิงเฟยเสวี่ย”


น้ำเสียงสายหนึ่งดังขึ้นที่บริเวณรอบๆ ในทันใด


ตงป๋อเสวี่ยอิง จอมกระบี่ และบรรพชนแมลงปาถัวเฉินต่างก็หันไปมอง เห็นเพียงว่าด้านข้างตรงที่ว่างกลางอากาศมีพลังฟ้าดินรวมตัวกัน รวมตัวกันออกมาเป็นเงาร่างสามสายของพวกจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน และจักรพรรดิชาง แต่นี่ก็เป็นพลังฟ้าดินรวมตัวกัน เป็นเพียงแค่ร่างแปรเท่านั้น! เห็นได้ชัดว่าพวกจักรพรรดิเซี่ยส่งร่างแปรมา ก็หมายความว่าไม่มีจิตคิดเป็นปรปักษ์


มิฉะนั้นหากร่างจริงมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะต้องตื่นตัวระแวดระวังอย่างแน่นอน!


“จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงทักทายพลางพูดยิ้มๆ “ทั้งสามท่านมายังเมืองหิมะเหินของข้า ช่างเป็นเกียรติแก่เมืองหิมะเหินของข้าจริงๆ”


“ฮ่าฮ่า… ตอนนี้ใต้หล้า ใครจะไม่รู้จักชื่อมหาเคารพหิมะเหินบ้างเล่า ที่เมืองหิมะเหิน แม้กระทั่งราชันย์อนธการก็ยังต้องล่าถอยเลย” จักรพรรดิเซี่ยพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ


ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มรับแขกผู้มาเยือน


ทว่าในใจก็เข้าใจรางๆ ว่าการที่อีกฝ่ายมานั้น เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับอาวุธเทพคละถิ่น

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 2 เยี่ยมเยียน

 

จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน และจักรพรรดิชาง บุคคลผู้ไร้เทียมทานสามท่านมาถึง ความสัมพันธ์ของจอมกระบี่กับพวกเขาไม่ธรรมดา ก็ย่อมเพียงแค่ประสานสายตากันคราหนึ่งเท่านั้น ทว่าบรรพชนแมลงปาถัวเฉินกลับมีแววตาเย็นชา มิได้เอ่ยวาจาอันใดฃ


เขามีความแค้นกับสกุลฝาน ทั้งยังเคยสังหารยอดฝีมือของสกุลฝานอีกด้วย!


ล่วงเกินสกุลฝาน…ก็เท่ากับล่วงเกินสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ! ด้วยอุปนิสัยของบรรพชนแมลงปาถัวเฉิน ก็ไม่รังเกียจที่จะก้มศีรษะอยู่แล้ว


“บรรพชนแมลง” บรรพชนฝานเอ่ยปากพูดพลางยิ้มน้อยๆ “ได้ยินว่าเจ้ากับเด็กรุ่นหลังของสกุลฝานของข้าบางคนมีความแค้นต่อกันอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าพวกเขาเด็กรุ่นหลังเหล่านั้นไปล่วงเกินเจ้าเมื่อไหร่กัน เจ้าก็ไปติดตามจักรพรรดิกลืนโลกาตั้งแต่ก่อนหน้านี้เนิ่นนานแล้ว เด็กรุ่นหลังของสกุลฝานของข้าพวกนั้นคงจะไม่มีโอกาสไปสร้างความแค้นกับเจ้าหรอกกระมัง!”


ถ้าหากเป็นบรรพชนแมลงที่แท้จริงก็ย่อมมิอาจมีความแค้นต่อกัน


แต่ปาถัวเฉินผสานรวมกับแมลงอสูรขั้นสุดยอด สามารถสวมรอยเป็นบรรพชนแมลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ  สำหรับบรรพชนแมลงตัวจริง…ในความเป็นจริงแล้วก็ได้ตายไปก่อนหน้านี้นานแล้ว เพียงแต่ตายไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง ดังนั้นก่อนหน้านี้เพื่ออยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว เพื่อปิดบังการยกระดับอย่างฉับพลันของตนเอง บรรพชนแมลงปาถัวเฉินจึงได้จงใจปิดบังตัวตนนี้ สำหรับในตอนนี้น่ะหรือ ถึงแม้จะไม่กลัวว่าตัวตนจะเปิดเผยออกไป แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก จึงยังอาศัยตัวตนของบรรพชนแมลงเคลื่อนไหวเช่นเดิม


อย่างไรก็ตาม ญาติสนิทมิตรสหายของเขาก็ไม่อยู่นานแล้ว ถึงแม้ว่าดินแดนจิตโลกาจะกว้างใหญ่ไพศาล เขาก็เป็นเพียงแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น ในทางกลับกัน ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ผู้มีพระคุณก็เป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขามากที่สุดแล้ว


บรรพชนแมลงปาถัวเฉินเอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่มีความแค้นกับข้า แต่ก็มีความแค้นกับศิษย์ของข้า! หึๆ สกุลฝาน เด็กรุ่นหลังของพวกเจ้าช่างกำเริบเสิบสานจริงๆ น่าเสียดายที่มาย่ำยีถึงบนหัวข้า ข้าก็มิอาจทนได้หรอก!”


“ฮ่าฮ่า… ก็แค่เรื่องเล็กๆ เรื่องเดียวเท่านั้น เจ้าก็เป็นเพื่อนสนิทของเค่อชิงเฟยเสวี่ย เค่อชิงเฟยเสวี่ยกับสกุลฝานของข้ามีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีต่อกัน ความขุ่นข้องหมองใจเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตก็ปล่อยผ่านไปเช่นนี้เถิด ดีไหมเล่า” บรรพชนฝานพูดพลางยิ้มน้อยๆ เขาสูงส่งเหนือผู้ใด ก็ย่อมมิใคร่จะใส่ใจความขุ่นข้องหมองใจเล็กๆ น้อยๆ ของศิษย์สกุลฝานอยู่แล้ว ถึงอย่างไรสกุลฝานก็ใหญ่โตยิ่งนัก เพียงแต่วา ‘บรรพชนแมลง’ ผู้นี้ ทั้งเป็นขั้นสุดยอด ทั้งยังไร้ห่วงไร้กังวลอีกด้วย


ศัตรูเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะมีความแค้นด้วย


เพราะว่าเขามิอาจคาดเดาได้ อีกทั้งยังมิอาจฆ่าเขาให้ตายได้ด้วย


“วางใจเถิด ผู้ที่ควรสังหารข้าก็ได้สังหารไปก่อนแล้ว! ผู้ที่ไม่ควรสังหาร ข้าก็ไม่มีทางไปยุ่งด้วยอยู่แล้ว” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา


“ฮ่าฮ่า” บรรพชนฝานพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แต่กลับรู้สึกว่าบรรพชนแมลงผู้นี้มีอุปนิสัยเย็นชาน่าดูเลยทีเดียวเขาหันไปมองทางตงป๋อเสวี่ยอิง “เค่อชิงเฟยเสวี่ย ต่างก็ว่ากันว่ายามที่เจ้าอยู่ที่วังเทพจิตโลกาก็ประสบเคราะห์ใหญ่ ถูกบรรพชนราตรีนิรันดร์ผลาญสังหาร สมบัติล้ำค่าถูกช่วงชิงไปจนหมดสิ้น! ตอนนี้ดูแล้วสิ่งที่เจ้าได้รับมาจริงๆ จากวังเทพจิตโลกาจะเป็นสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับสินะ!”


จักรพรรดิเซี่ยและจักรพรรดิชางก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงเช่นกัน


“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ได้มาโดยบังเอิญเมื่อครั้งแรกที่เข้าไปยังวังเทพจิตโลกาน่ะ”


“ข้าก็ได้รับมาตอนที่เข้าไปครั้งแรกเช่นเดียวกัน” จอมกระบี่ปีศาจที่อยู่ข้างๆ ก็รำพึงขึ้น


“พวกเจ้าสองคนมาจากโลกกำเนิดแห่งเดียวกัน สำนักเดียวกัน พรสวรรค์ในการหยั่งรู้นี้ต่างก็สูงส่งอย่างแท้จริง” จักรพรรดิเซี่ยรำพึง “ตอนนั้นที่หยวนสรรสร้างดินแดนจิตโลกา สรรสร้างวังเทพจิตโลกา อยากจะได้รับ ‘สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ’ มา แต่ก็ยังยากเย็นกว่าสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ขั้นหนึ่ง! ตอนนี้พวกเจ้าสองคนก็ได้มาครองแล้ว ขอเพียงแค่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด เข้าไปยังวังเทพจิตโลกาอีกครั้ง การจะได้สุดยอดสมบัติลับล้ำค่ามาก็เป็นเรื่องสบายๆ แล้ว กระบี่ปีศาจสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว… สำหรับเค่อชิงเฟยเสวี่ยก็เชื่อว่าใกล้แล้วล่ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางพูดยิ้มๆ อย่างจนใจ “ข้าก็อยากจะเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นสุดยอดเช่นกัน แต่ก้าวนี้ง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ไหนกันเล่า”


“ข้าอยากถามว่าอาวุธเทพคละถิ่นนั้นของเจ้า คงจะใช้เม็ดทรายอลวนหลอมขึ้นมากระมัง” จักรพรรดิเซี่ยพูด


“จักรพรรดิเซี่ยรู้ด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง


เขาก็พูดกับบรรพชนแมลงและจอมกระบี่แล้ว ต่อให้จอมกระบี่บอกให้พวกจักรพรรดิเซี่ยล่วงรู้ ก็ต้องบอกตนสักคำล่วงหน้าก่อน


“เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น!” จักรพรรดิเซี่ยพูด “ตอนนั้นเจ้าถูกผลาญสังหารที่วังเทพจิตโลกา ร่างแยกสลายไปจนสิ้น มิได้นำสมบัติล้ำค่าใดๆ ออกมาเลย สิ่งที่สามารถนำออกมาได้…ก็เพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น! บวกกับก่อนหน้านี้เจ้าซื้อเม็ดทรายอลวนจากข้าไปมากถึงหนึ่งแสนชั่ง เช่นนี้เมื่อมารวมกันแล้วข้าก็คาดเดาได้ว่าคงจะเป็นอาวุธเทพคละถิ่นที่เจ้าหลอมขึ้นมา”


“ใช่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าแล้วมิได้ปิดบังอีกต่อไป “เพียงแต่ว่าเคล็ดวิชาสืบทอดนี้ เจ้าก็รู้ว่ามิอาจเผยแพร่สู่ภายนอกได้”


พวกเขาสามคนทั้งจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และบรรพชนฝานต่


สุดยอดเคล็ดสืบทอดลับและเคล็ดวิชาสืบทอดอันล้ำค่ามากมาย ถึงแม้ว่าหยวนจะถ่ายทอดลงมาให้ แต่กลับไม่สามารถเผยแพร่สู่ภายนอกได้!


สิ่งที่พวกเขาเผยแพร่สู่ภายนอกอย่างเช่นปุจฉวิถีคละถิ่น และเคล็ดวิเศษไร้ภาพเป็นต้น ล้วนเป็นสิ่งที่พวกจักรพรรดิเซี่ยคิดค้นขึ้น


“พวกข้าบำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นในตอนนี้ ก้าวต่อไปต่างก็อยากจะก้าวออกจากกรงขังแห่งนี้ สำเร็จเป็นคละถิ่นแล้ว!” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยปาก จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานก็มองตงป๋อเสวี่ยอิง


จักรพรรดิเซี่ยพูดต่อไปอย่างเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้นข่าวที่ราชันย์อนธการอมตะแพร่ออกไป พวกเราก็มิอาจเชื่อได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน แต่อาวุธเทพคละถิ่น ก่อนหน้านี้พวกข้ายังไม่เคยได้ยินกันมาก่อนเลยเสียด้วยซ้ำ! ดังนั้นหวังว่าเจ้าจะช่วยอธิบายสักหน่อย ให้พวกเราได้เข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้าง”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “เรื่องนี้ง่ายดายนัก”


เขาก็เข้าใจเจตนาของพวกจักรพรรดิเซี่ย! ว่ามีความมุ่งมาดปรารถนาต่อการหนีออกจากกรงขังมากมายเพียงใด


อย่างเช่นจักรพรรดิเซี่ย ก่อนหน้านี้ก็เป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแล้ว ต่อให้เป็น ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ก็ได้แต่ใช้ไพ่ใบสุดท้ายถึงจะกดดันจักรพรรดิเซี่ยได้เท่านั้น ยอดฝีมือผู้โดดเดี่ยว! จักรพรรดิเซี่ยนั้นโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง มุ่งมาดปรารถนาต่อการหนีออกจากกรงขังมากมายเหลือเกิน ถ้าหากความต้องการแค่นี้ตนยังมิอาจสนองได้ เช่นนั้นก็คงจะผิดต่อพวกเขาเกินไปแล้ว


“อาวุธเทพคละถิ่น ที่จริงแล้วเป็นอาวุธของสิ่งมีชีวิตคละถิ่น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอธิบาย “พวกเราเทพจักรวาลโดยทั่วไปแล้วย่อมไม่สามารถใช้การได้ ทั้งยังไม่สามารถหลอมแปรได้ด้วย แต่ว่า ‘หยวน’ กลับคิดวิธีการออกมาได้ ทำให้ข้าหลอมอาวุธเทพคละถิ่นชิ้นหนึ่งขึ้นมากับมือตัวเอง เพราะว่าเป็นกระบวนการที่ข้าหลอมขึ้นมาเองกับมือ วัสดุทุกชิ้นส่วนล้วนเคยผ่านการหลอมแปรของข้า อาวุธที่หลอมขึ้นมาได้สำเร็จ เมื่อเทียบกันการหลอมแปรก็ผ่อนคลายแล้ว เพราะทำให้เทพจักรวาลคนหนึ่งอย่างข้าก็ยังสามารถหลอมแปรได้สำเร็จ  ข้อหนึ่ง จะต้องเป็นวิถีที่ข้าเชี่ยวชาญ ข้อสอง จะต้องง่ายดายมากพอ ดังนั้นอาวุธคละถิ่นชิ้นนี้จึงเป็นอาวุธคละถิ่นทางด้านวิถีอากาศ! นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธคละถิ่นที่แท้จริงก็ผ่านการดัดแปลงให้ง่ายดายขึ้นแล้วด้วย”


“โอ้” จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และบรรพชนฝานต่างก็พยักหน้าน้อยๆ


“เชิญดู” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง หอกชิงเหอก็ปรากฏขึ้นในมือ เขากระตุ้นเล็กน้อย ลวดลายลับบนหอกชิงเหอจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นมาในทันใด “พวกท่านดูก็รู้แล้วล่ะ”


จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และบรรพชนฝานพินิจดูอย่างละเอียดต่อไป


จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานก็มีความสับสนอยู่บ้าง


จักรพรรดิเซี่ยกลับดูเข้าใจได้เป็นส่วนใหญ่ในทันที เขาเข้าใจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิถีอากาศทั้งหมด แต่ยังมีอีกหลายด้านที่เขาก็ยังมีความสับสนอยู่บ้าง ถ้าหากมีการชี้นำของสุดยอดเคล็ดสืบทอดลับ ก็จะยิ่งเข้าใจได้อย่างง่ายดาย แต่เพียงแค่ลวดลายลับที่ปรากฏอยู่ภายนอกเท่านั้น ยากยิ่งนักที่จะเข้าใจทะลุปรุโปร่งทั้งหมด ถึงอย่างไรเคล็ดลับมากมายที่เกี่ยวข้องกับพลังคละวิถีก็ละเอียดอ่อนเกินธรรมดา


นอกจากนี้ ลวดลายลับบางส่วนที่หลอมขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แค่สลักเสลาลงไปทีละชิ้นส่วนเท่านั้น เมื่อแยกส่วนกันเขาก็เข้าใจ แต่พอประกอบเข้าด้วยกันทั้งหมดแล้วแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจเลย


“เป็นอาวุธคละถิ่นวิถีอากาศจริงๆ ด้วย” จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า “วิถีอื่นๆ ได้ไปก็ไร้ประโยชน์ นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าจะเชี่ยวชาญทางด้านการระดมพลังคละถิ่นเป็นที่สุดด้วย เค่อชิงเฟยเสวี่ย ขอบใจมาก! ที่ให้พวกข้าได้ชมดูลวดลายลับของอาวุธเทพคละถิ่น”


ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม “เรื่องเล็กเท่านั้นน่า”


ดูลวดลายลับแล้วอยากจะวิวัฒน์เคล็ดวิชาออกมานั้นยากเย็นเพียงใด


ก็อย่างเช่นสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มิใช่น้อย ลวดลายลับของสุดยอดสมบัติลับล้ำค่า กระตุ้นคราหนึ่งก็ปรากฏชัดขึ้นมาแล้ว แต่ให้ผู้อื่นดูแล้วอย่างไร ด้วยระดับขั้นสุดยอด ชมดูความเร้นลับที่เกี่ยวข้องกับระดับไร้ถิ่น ก็ได้แต่รู้สึกว่าเลือนรางยิ่งนัก


ความซับซ้อนของอาวุธเทพคละถิ่นไม่ด้อยไปกว่าสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าเลย


ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกว่ามันแบ่งออกเป็นขั้นตอนยิบย่อยมากเกินไป สิ้นเปลืองเวลาไปยาวนานจึงจะสามารถหลอมสำเร็จได้


……


ในวันต่อมามีผู้มาเยี่ยมเยียนตงป๋อเสวี่ยอิงมากมาย


ห้าบรรพชนของรัฐโบราณสหโลกาก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มมาเยี่ยมเยือน รัฐโบราณเสียดฟ้าและรัฐโบราณหิมะน้ำแข็งต่างก็มาเยี่ยมเยือนเช่นเดียวกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้อนรับ แล้วยังใจกว้างอย่างยิ่งให้พวกเขาได้ชมดูลวดลายลับของอาวุธเทพคละถิ่นด้วย! อันที่จริงแล้วทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีแค่ ‘ผู้พเนจร’ และ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ เท่านั้นที่สามารถดูเข้าใจได้เป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่ดูเข้าใจหลักๆ ก็ยังเป็นส่วนของวิถีอากาศทั้งสิ้น


ในความเป็นจริงแล้วคนอื่นๆ ต่างก็เลือนรางเหลือเกิน ได้แต่ตัดสินได้อย่างรางๆ เท่านั้นว่าลวดลายลับเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับวิถีอากาศ


บวกกับผู้พเนจรและจักรพรรดิเซี่ยต่างก็ช่วยพูดออกไปอย่างเปิดเผยแล้วว่า…นั่นคืออาวุธเทพคละถิ่นทางด้านวิถีอากาศ! ยอดฝีมือวิถีอากาศเท่านั้นจึงจะสามารถใช้การได้ นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าเทพจักรวาลต่างก็ไม่สามารถหลอมแปรได้ด้วย


คำพูดสุดท้ายที่ว่า ‘ดูเหมือนว่าต่างก็ไม่สามารถหลอมแปรได้’ ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นการไว้หน้าตงป๋อเสวี่ยอิง! ตัวจักรพรรดิเซี่ยเองก็มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ผู้พเนจรนั้นเพราะว่าอุปนิสัย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาทยิ่งทำให้ผู้พเนจรมีความรู้สึกที่ดีต่อตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกไปสู่สาธารณะ


บวกกับพลังยุทธ์ที่แกร่งกล้าของตงป๋อเสวี่ยอิง ที่เมืองหิมะเหิน ก็เรียกได้ว่าเทียบเคียงกับขุมอำนาจอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแล้ว!


เดิมทีราชันย์อนธการอมตะยังคิดจะอาศัยเรื่องนี้นำพาเรื่องยุ่งยากครั้งใหญ่มาให้ตงป๋อเสวี่ยอิง แต่กลับกลายเป็นว่าคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว!


“เฮอะ ประมุขรัฐจันทร์บุปผาหรือ เขาก็อยากจะดูลวดลายลับของอาวุธเทพคละถิ่นของข้าด้วยหรือไร”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับขับไล่ร่างแปรของอีกฝ่ายในทันที


ประมุขรัฐจันทร์บุปผา บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนนิจรัตติกาลและเหล่ามารขั้นสุดยอดจำนวนหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ไว้หน้าเลย อยากจะดูอาวุธเทพคละถิ่นอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถิด! อย่างไรก็เกลียดชังพวกเขามาตั้งนานแล้ว! มารในรัฐโบราณจันทร์บุปผา ตงป๋อเสวี่ยอิงสังหารขึ้นมาก็ไม่ไว้ไมตรีเลยแม้แต่น้อย

 

 

 


ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด...

 

ตอนที่ 3 การเชื้อเชิญของจอมกระบี่

 

ราตรีเยียบเย็นดั่งวารี


ณ ตำหนักใต้ดินอันเย็นเยียบ ตัวตำหนักกว้างใหญ่ ภายในกลับดูใหญ่โตยิ่งกว่าเมื่อผ่านค่ายกลมิติ


ตำหนักมีหกชั้นด้วยกัน


สามชั้นบนเป็นสถานที่พำนักของประมุขตำหนักและบรรดาศิษย์ของท่านประมุข


ส่วนสามชั้นล่างเป็นสถานที่ทดลอง


บัดนี้ ณ ชั้นล่างสุด ชั้นนี้มืดมน พื้นดินส่องเป็นแสงสีแดงเข้ม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด


“ในที่สุดก็รวบรวมตัวอย่างสำหรับทดลองได้ครบแล้ว” นัยน์ตาของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำเต็มไปด้วยแววรอคอย เขาหยิบขวดหยกขวดหนึ่งออกมาแล้วดึงจุกขวดออก ทันใดนั้น เงาร่างคนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอยออกมาเสียงดังพึ่บพั่บไปหมด ผู้บำเพ็ญนับล้านล้านคนถูกเคลื่อนย้ายออกมาจนหมด ผู้บำเพ็ญที่ถูกปล่อยออกมาเหล่านี้มองดูรอบด้านด้วยความแตกตื่น


ผืนดินอันแดงเข้มมืดมิด แผ่กลิ่นคาวโลหิตออกมา


ทำให้พวกเขาจิตใจไม่สงบมากยิ่งขึ้น


“จะต้องรวดเร็ว หากชักช้าอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงได้”


“มหาเคารพหิมะเหินที่สมควรตาย ยุ่งเรื่องคนอื่นดีนัก เหตุใดจึงต้องสนใจเรื่องความเป็นความตายของมดปลวกเหล่านี้อยู่ได้” ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำลอบพึมพำ “ทำให้การทดลองของข้าต้องระมัดระวังมากขึ้น จนไม่กล้าทดลองตัวอย่างมากนัก ทว่าครั้งนี้สำคัญเกินไปแล้ว จะต้องมีตัวอย่างทดลองมากพอ! มัวแต่สนใจไม่ได้แล้วข้าต้องทดลองให้เร็วที่สุด”


ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็อดสูใจนัก


เดิมทีเขาก็ค้นคว้ากายหยาบและวิญญาณของผู้บำเพ็ญอยู่แล้ว ทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อคลำทางสำหรับบำเพ็ญ


นับตั้งแต่ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผุดขึ้นมาในโลก เขาก็ระมัดระวังมากขึ้นทันที ตัวอย่างในการทดลองแต่ละครั้งก็น้อยลงเป็นอันมาก อย่างการเข่นฆ่าเล็กๆ น้อยๆ ในดินแดนจิตโลกาก็พบเห็นได้บ่อยยิ่งนัก อย่างการฆ่าล้างแค้น ในดินแดนจิตโลกาก็ต้องมีสิ่งมีชีวิตนับหมื่นที่ตายไป ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจัดการก็ไม่ทัน! มีเพียงการล้างสังหารขนาดใหญ่เท่านั้น เขาจึงจะมาจัดการ


เพียงแค่มีบางการทดลองที่ต้องใช้ตัวทดลองมากมายอย่างยิ่งจริงๆ


“วัสดุอื่นๆ ที่ข้าเก็บรวบรวมมา เพียงพอสำหรับการทดลองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งนี้จะต้องสำเร็จให้จงได้”


“ทำให้เต็มที่”


ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำพลันปรากฏกายขึ้นกลางอากาศในมิติชั้นนี้ เงารางของร่างกายขนาดมหึมาทำให้สิ่งมีชีวิตเบื้องล่างจำนวนนับไม่ถ้วนตื่นตระหนกหาใดเปรียบ ร่างกายใหญ่โตของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำปกคลุมเบื้องล่าง ดวงตาเยียบเย็นกลับสำแดงเคล็ดวิชาอันน่าหวาดหวั่นออกมา ทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ประหวั่นพรั่นพรึงมากขึ้นไปอีก “ข้าต้องการลูกมือเพียงสิบคนเท่านั้น คนที่ต้านทานไว้ไม่ไหวก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น!”


พูดยังไม่ทันขาดคำ ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็สาดจุดแสงสีม่วงอันไร้ที่สิ้นสุดลงมา


จุดแสงสีม่วงยังคงร่อนลงมา


ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ พลางมองดูประมุขตำหนักอาภรณ์ดำผู้นั้นด้วยสายตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง


“มหาเคารพหิมะเหิน!” ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำกลัวเสียจนแข้งขาอ่อนไปหมด


เขากลัวฉากนี้จะเกิดขึ้น แต่ต่อให้กลัวมากกว่านี้ ก็ยังคงถูกมหาเคารพหิมะเหินพบเข้าอยู่ดี!


ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำตะโกนขึ้นทันทีว่า “ท่านจะสังหารข้าไม่ได้ ข้าทำไปเพื่อการบำเพ็ญเท่านั้น”


“ฟิ้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง จุดแสงสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนก็กลายเป็นความว่างเปล่าไปหมดตามระลอกคลื่นอากาศ


“เพื่อการบำเพ็ญหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา


“ข้ากำลังฝึกกายหยาบสำหรับสายฝึกกาย และกำลังค้นคว้าวิญญาณ ข้าจำเป็นต้องทดลอง” ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำตะโกน “ข้ามิใช่มารร้าย ข้าแค่ต้องการทดลองเท่านั้นเอง”


สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดมองไปยังเบื้องล่าง “ผู้บำเพ็ญสามหมื่นแปดล้านคนเพื่อการทดลองของเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เจ้ายังมิใช่มารร้ายอีกรึ”


“ข้าใช้พวกมดปลวกมาทดลอง นี่ก็มีความผิดด้วยหรือ”ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำคำรามเสียงต่ำ


“มดปลวกหรือ เช่นนั้นในสายตาของข้า เจ้าก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง บริเวณที่ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำอยู่ก็ถูกกดดันจนกลายเป็นภาพผืนหนึ่งทันที เมื่อภาพนี้สลายไป ประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็กลายเป็นความว่างเปล่าไปจนสิ้น


จากนั้นสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปลี่ยนแปรไป “ไม่ดีแล้ว”


“ตู้ม!!!”


ทั้งวังพลันระเบิดออก


ท้ายที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็ควบคุมอากาศทันที เพื่อปกป้องสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์ทั้งหมดเอาไว้ ต่อให้เป็นศิษย์และผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำผู้นั้น หากเป็นผู้ที่ ‘ความแค้น’ น้อย เขาก็ได้ปกป้องเอาไว้เช่นกัน ส่วนผู้ที่มีความแค้นอันน่าหวาดหวั่นอยู่กับตัว ก็สลายหายไปจนสิ้นตามการระเบิด


“สวบ”


เขาพาสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนย้ายไปยังทุ่งร้างแห่งหนึ่งด้านข้าง


“ทิ้งลูกหลงเอาไว้ด้วยหรือนี่ หากตัวตายไป ทั้งคูหาก็จะทำลายตัวเองอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเย็นชา สำหรับเทพจักรวาลทั่วไป การทำลายตัวเองอาจจะเป็นภัยคุกคามอยู่บ้าง แต่สำหรับเขาแล้ว บริเวณของเขาก็สามารถปกป้องสิ่งมีชีวิตที่เขาต้องการจะปกป้องได้ทั้งหมด


“ความเคลื่อนไหวใหญ่โตมากทีเดียว”


เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น


ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไป บนทุ่งร้างอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งได้รับการช่วยเหลือก็ซาบซึ้งใจขึ้นมา บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของประมุขตำหนักอาภรณ์ดำก็ไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ทันใดนั้นความมืดระลอกหนึ่งก็ร่อนลงมาในทันใด ความมืดระลอกนี้กวาดทุกสิ่งไปอย่างมืดฟ้ามัวดิน สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นถูกทำลายไปท่ามกลางความมืดอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกกระแทกเสียจนกระเด็นลอยไป ปากกระอักเลือดออกมาก่อนจะหยุดอยู่กลางอากาศ


“ความเคลื่อนไหวใหญ่โตนัก” เสียงแผ่วเบายังคงสะท้อนก้องอยู่ข้างหูในตอนนี้


ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองออกไปไกล


ไกลออกไปมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟากฟ้า ซึ่งก็คือ  ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ชายหนุ่มอาภรณ์สีทองหรูหราที่สวมมงกุฎเอาไว้บนศีรษะนั่นเอง เขามองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงด้วนสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตซึ่งตนอุตส่าห์ช่วนเอาไว้ต้องมาสลายไปในพริบตา ไม่สบายใจมากเลยใช่หรือไม่”


สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงคล้ำเขียว


แน่นอนว่าเขาโกรธแค้น!


สิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเหล่านั้นถูกทำลายไปจนหมดเช่นนี้เอง


“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ราชันย์อนธการอมตะกลับหัวเราะตามอำเภอใจ “ข้าพูดไว้ก่อนแล้วว่า ขอเพียงเจ้ากล้าไปจากเมืองหิมะเหิน หากพบเจ้าหนึ่งครั้ง ข้าก็จะทำลายหนึ่งครั้ง! เจ้าคิดจะช่วยเหลือพวกมดปลวกเหล่านั้น เช่นนั้นข้าก็จะทำลายพวกเขาทิ้งเสีย ฮ่าฮ่า หากเจ้าไม่ลงมือ อาจจะพวกเขามีบางคนที่เคราะห์ดีรอดชีวิตจากหายนะก็เป็นได้ แต่หากเจ้าช่วยเหลือพวกเขา เจ้าก็จะช่วยเอาไว้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว”


“ครั้งนี้เป็นข้าที่ประมาทเอง ครั้งหน้า เมื่อข้าช่วยคนแล้วก็จะรีบพากลับไปยังเมืองหิมะเหินทันที” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง


“ฮ่าฮ่า พากลับเมืองหิมะเหินหรือ ง่ายดายมาก ข้าก็จะจงใจก่อการเข่นฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่าขึ้นมาเลย” ราชันย์อนธการอมตะพูดยิ้มๆ


“เข่นฆ่ามากเข้า ระวังหยวนจะลงมือสังหารเจ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเย็นชา


“ฮ่าฮ่า วางใจเถิด ข้าคงไม่ลงมือเองหรอก ช้าจะให้พวกผู้ใต้บังคับบัญชาลงมือ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มจนตาหยี


“เช่นนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าก็จะถูกสังหารไปจนหมดนะ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว


“งั้นรึ วางใจเถิด เรื่องก่อสงครามหรือสร้างหายนะ การเข่นฆ่าต่างๆ เป็นเรื่องที่ข้าถนัดมากอยู่แล้ว” ราชันย์อนธการอมตะมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ถึงตอนนั้นเมื่อสิ่งมีชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่าตายไป ก็จะเจ็บปวดใจและเคืองแค้นมากใช่หรือไม่”


หากเป็นผู้ที่เห็นผู้ที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นมดปลวก แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจ


พวกคนที่เห็นแก่ตนอย่างยิ่งก็คงไม่แยแสเช่นกัน


ราชันย์อนธการอมตะจงใจยั่วยุนิสัยของตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะถึงอย่างไรราชันย์อนธการอมตะก็มีเพลิงโทสะสุมเต็มอกอย่างแท้จริง! ครั้งก่อนการบูชาถูกทำลาย ความเสียหายของเขาจึงใหญ่หลวงเกินไปแล้ว


“ตอนที่ข้าอ่อนแอ แม้ดินแดนจิตโลกาจะมีการบูชาโลหิต มีการเข่นฆ่า ข้าก็จะเผชิญหน้าอย่างเยียบเย็นเช่นเดียวกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “หากข้าสามารถลงมือได้ก็ย่อมต้องลงมือเป็นธรรมดา หากข้าช่วยไม่ไหว ข้าก็หมดหนทาง ถ้าทำสุดกำลังทั้งหมดก็จะไม่ละอายแก่ใจแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดจบก็หมุนกายจากไปทันที


“ไปรึ”


ราชันย์อนธการอมตะตะปบฝ่ามือหนึ่งลงไป ความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดเข้าปกคลุม


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยิ้มเย็นพลางทำให้ร่างแยกร่างนี้สลายไปเอง เขามีร่างแยกมากมายนัก ฝึกร่างแยกขึ้นมาก็รวดเร็วนัก เขาจึงไม่สนใจเลย


……


ราชันย์อนธการอมตะมิได้พูดปดจริงๆ


เขาเริ่มก่อความวุ่นวายขึ้นมา และนำมาซึ่งการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ แม้จะมิใช่เขาที่ลงมือด้วยตนเอง แต่กลับมีเขาที่คอยขับเคลื่อนไป


เคราะห์ดีก็คือ ผู้ที่พอจะมีเบื้องหลังหรือมีพลังอยู่บ้างต่างก็รู้ถึงภัยคุกคามของ ‘มหาเคารพหิมะเหิน’ กันทั้งนั้น จึงมิกล้าเข่นฆ่าครั้งใหญ่!


“สมควรตาย”


“เจ้าบ้า”


“เห็นทีราชันย์อนธการอมตะผู้นี้คงจะจงเกลียดจงชังข้ามากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในเมืองหิมะเหินก็เดือดแค้นเป็นอันมาก


สวบ


เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น


“จอมกระบี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนหน้ามอง จอมกระบี่ร่อนลงมาจากกลางฟากฟ้า แล้วนั่งลงตรงข้ามตงป๋อเสวี่ยอิง แล้วหยิบไหสุราของตงป๋อเสวี่ยอิงมารินให้ตนเองอย่างคล่องไม้คล่องมือ เมื่อดื่มลงไปแก้วหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ราชันย์อนธการอมตะก่อความวุ่นวายทั้งหลายขึ้นมาและนำมาซึ่งการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ก็เพื่อพุ่งเป้ามาที่เจ้ากระมัง”


“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางพูดเสียงเย็นชา “ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ทำเรื่องเหล่านี้เพียงเพื่อระบายความโกรธเท่านั้น”


“นั่นเพราะเขารู้สึกว่าสูญเสียมากเกินไป นอกจากนี้ยังต้องมาสะดุดด้วยน้ำมือของเจ้าอีกด้วย จึงรู้สึกว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง” จอมกระบี่กล่าว “หากพลังของเจ้าแข็งแกร่งพอ สามารถคุกคามเขาได้ เกรงว่าเขาก็คงจะเตรียมการอย่างระมัดระวังกว่านี้มากทีเดียว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า


เมื่อตนออกจากเมืองหิมะเหิน ก็ถูกราชันย์อนธการอมตะเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิง!


ดังนั้นเขาจึงทำตามอำเภอใจเช่นนี้!


“เสวี่ยอิง แม้บ้านเกิดของพวกเราจะห่างจากการแตกสลายครั้งใหญ่อีกค่อนข้างนาน” จอมกระบี่กล่าว “แต่เจ้าก็ต้องพยายามบรรลุถึงขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด! แม้ข้าจะบรรลุถึงขีดสุดกก็จริง แต่ข้ากลับไม่รู้ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา เจ้าต้องบรรลุถึงขั้นสุด อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจึงสามารถพาคนจากไปได้”


“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เขาไม่เคยผ่อนคลายมาก่อนเลย


“เจ้าก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญอยู่ที่นี่ และติดอุปสรรคอยู่ ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมาะกับการออกไปเผชิญกับการเคี่ยวกรำด้วยความเป็นความตายเสียมากกว่า” จอมกระบี่กล่าว “ข้าก็วางแผนจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเขี้ยวหักสักรอบหนึ่ง เจ้าไปด้วยกันกับข้าเถิด ยังมีบรรพชนแมลงด้วย หากเขายินดี ก็ไปด้วยกันให้หมด”


“ไปหุบเขาเขี้ยวหักหรือ” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นประกาย


หุบเขาเขี้ยวหักอันตรายอย่างยิ่งโดยแท้ แม้แต่บุคคลผู้ไร้เทียมทานเข้าไปก็อาจจะต้องตายตกไป


ทว่าตนมีร่างแยก จึงไม่กลัวตาย


“อื้ม ข้าเพิ่งจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดจึงวางแผนเข้าไปสำรวจดูสักหน่อย นอกจากนี้ข้าก็มีจุดหมายปลายทางอยู่แห่งหนึ่งด้วย” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ “สิ่งที่รัฐโบราณคิมหันตวายุรู้เกี่ยวกับหุบเขาเขี้ยวหักนั้นสูงกว่ารัฐเมฆทักษิณาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”


“ท่านมีจุดหมายปลายทางแล้วหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ดี เช่นนั้นข้าย่อมยินดีไปอย่างแน่นอน ส่วนปาถัวเฉิน ข้าจะไปถามเขาเสียหน่อย”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)