Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 8-10

 ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...

 

ตอนที่ 8 เหยื่อจวินอ๋องดำ

 

“ร้ายกาจ ร้ายกาจ”


ทั้งเก้าร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงแยกกันนั่งลงบนดอกบัวขนาดมหึมา รับรู้ไปพลาง และทดลองวิธีการใช้แบบต่างๆ ไปพลางๆ


ถึงอย่างไรอาวุธก็ต้องอาศัยผู้แกร่งกล้าเป็นผู้ใช้งาน


ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นแปดสายหลอมรวมกัน ห่างจากขั้นสุดยอดเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ทั้งยังฝึกฝนเจ็ดกระบวนคละถิ่นแล้วปรับปรุงและคิดค้นยุทธวิธีหิมะเหินซึ่งเป็นของตนเองขึ้นมา แน่นอนว่าเขาสั่งสมมาอย่างแน่นหนา จึงสามารถสำแดงอานุภาพทั้งหมดของ ‘ดอกบัวเพลิงอากาศ’ ดอกนี้ออกมาได้! ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ…จะผสานเอายุทธวิธีหิมะเหินของตนเข้ากับดอกบัวเพลิงอากาศ ทำให้พลังของตนบรรลุถึงขั้นที่แข็งแกร่งที่สุด!


“ตู้ม!”


บนดอกบัวเพลิงขนาดมหึมา มีตงป๋อเสวี่ยอิงเก้าคนนั่งขัดสมาธิอยู่ เงาร่างเลือนรางขึ้นมา หนึ่งกลายเป็นสอง สองกลายเป็นสาม สามกลายเป็นนับหมื่น บนดอกบัวเพลิงมีมิติที่แตกต่างกันปรากฏขึ้น ภายในแต่ละมิติล้วนมีตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่คนหนึ่ง มิติแน่นขนัดจำนวนนับไม่ถ้วน ตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนล้วนสำแดงกระบวนท่าที่แตกต่างกันออกมา


กลีบดอกบัวเพลิงพลันขยายใหญ่ขึ้น แล้วประสานกัน


เมื่อดอกบัวประสานกัน ทั้งหมดก็ห่อหุ้มตรงกลางเอาไว้ พลังคละถิ่นอันแข็งแกร่งแผ่กำจาย ดอกบัวเพลิงที่ประสานกันนี้มีกลิ่นอายของโลกกำเนิดอยู่หลายส่วนทีเดียว


“ฝึกกระบวนท่านี้สำเร็จแล้ว”


ดอกบัวเพลิงคลี่ออกมาอีก ยังคงมีร่างแยกอยู่เก้าร่าง “ดอกบัวเพลิงอากาศดอกนี้ช่างคุ้มค่าจริงๆ มิน่าเล่ายอดฝีมือเทพจักรวาลชั้นที่สองแต่ละคนจึงพากันอยากได้สมบัติลับระดับยอดชิ้นนี้ ความรู้สึกที่สามารถสำแดงกระบวนท่าขั้นสุดยอดท่าแล้วท่าเล่าออกมาได้ช่างยอดเยี่ยมโดยแท้! เมื่อผสานรวมกับเจ็ดกระบวนคละถิ่นของข้า ก็ยกระดับพลังโดยรวมของข้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนเพิ่มทวีขึ้นหลายเท่า”


“เป็นเวลาที่ควรจะไปยังรัฐโบราณบรรพชนได้แล้ว หากไม่มีดอกบัวเพลิงอากาศ ข้าจะลงมือกับจวินอ๋องดำก็มีความหวังริบหรี่ บัดนี้กลับมีความมั่นใจเจ็ดแปดส่วนแล้ว” ดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแววเยียบเย็นสายหนึ่งวาบผ่านไป


หากโลกภายนอกล่วงรู้เข้า เกรงว่าคงจะตะลึงงันกันไปหมด


สังหารระดับจอมเคารพคนหนึ่งหรือ ทั้งยังเป็นระดับจอมเคารพซึ่งมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแห่งรัฐโบราณคอยหนุนหลังด้วย ยากเกินไปแล้ว จวินอ๋องดำบุกฝ่าด่านสิบสองกัลป์ของวังเทพจิตโลกามาได้ บุกฝ่าไปได้ไกลกว่าพรานผู้ล่าและมหาเคารพผู่ซู่เสียอีก! จัดได้ว่าเขาเป็นอันดับต้นๆ ในระดับจอมเคารพ หากทอดสายตามองไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ก็กล้าพูดได้ว่าในบรรดาระดับจอมเคารพเช่นเดียวกัน ผู้ที่กล้าสังหารเขานั้น…มีจำนวนไม่เกินสองมือนับได้!


……


ณ เมืองจ้าวดำแห่งรัฐโบราณบรรพชน


จวนจวินอ๋องดำ


“จวินอ๋องดำขอรับ” ชายชราหน้าตาอัปลักษณ์ผู้หนึ่งคารวะด้วยความเคารพ “ข้าพบเจ้าหนุ่มผู้มีพรสวรรค์สูงส่งอย่างยิ่งคนหนึ่งในตัวเมืองของข้า จึงได้ตั้งใจพามาโดยเฉพาะ”


“อ้อ”


ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานก็คือจวินอ๋องดำ


จวินอ๋องดำพูดอย่างตกตะลึงว่า “อ้อ พรสวรรค์สูงส่งยิ่งรึ”


“ใช้แล้วขอรับ สูงส่งมาก บำเพ็ญมาเพียงพันกว่าล้านปีเท่านั้น ก็บรรลุถึงขั้นอลวนชั้นที่สิบแล้ว เพียงแต่ว่าภรรยาของเขาสิ้นใจไป ดังนั้นอารมณ์จึงแปลกประหลาดอยู่บ้าง” ชายชราหน้าตาอัปลักษณ์พูดด้วยความเคารพ “แน่นอนว่าเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าจวินอ๋องดำจะต้องเชื่อฟังมากอย่างแน่นอน”


“บำเพ็ญได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ คนผู้นี้ทำให้ข้านึกถึงจ้าวหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณาที่บุกฝ่าวังเทพจิตโลกาพร้อมกันกับข้า จ้าวหิมะเหินผู้นั้นช่างน่าสงสารจริงๆ ทว่าโชคร้ายของเขากลับกลายเป็นโชคดีของข้า” จวินอ๋องดำพูดยิ้มๆ “หม่าลา เจ้าปล่อยเจ้าหนุ่มน้อยที่น่ารักคนนั้นเอาไว้ในจวนของข้าก่อน ผ่านไปสักสองสามวันข้าจะไปดูเอง”


“ขอรับ” ชายชราหน้าตาอัปลักษณ์คารวะด้วยความเคารพ “เช่นนั้นข้าก็จะถอยไปก่อนแล้วขอรับ”


“ไปเถอะ” รอยยิ้มระบายไปทั่วใบหน้าของจวินอ๋องดำ ดูเมตตาเป็นอย่างมาก


ผู้ใต้บังคับบัญชาของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์แบ่งเป็นสองฝ่ายใหญ่ๆ


ฝ่ายหนึ่งคือสายตรงซึ่งนำโดยเก้าผู้ท่องราตรีนิรันดร์ เก้าผู้ท่องราตรีนิรันดร์เป็นมารรับใช้พิเศษที่ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์หลอมแปรขึ้นมาด้วยตนเอง จึงย่อมจงรักภักดี มีทางฝ่ายนี้ นอกจากมารรับใช้แล้ว ก็คือเทพจักรวาลผู้ที่วิญญาณมีรอยประทับของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์อยู่ จึงจงรักภักดีอย่างสมบูรณ์


ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งได้แก่เทพจักรวาลจำนวนมากซึ่งนำโดยจวินอ๋องดำและจวินอ๋องเหยียน ในฐานะเทพจักรวาล ก็ล้วนแต่ใฝ่หาอิสระทั้งสิ้น พวกเขาสวามิภักดิ์อยู่ใต้บังคับบัญชาของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ ก็เพื่อจะได้รับประโยชน์ต่างๆ จากปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ และพวกเขาก็จะคอยบริการปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ คนกลุ่มนี้มีจำนวนมากมายนัก จวินอ๋องดำและจวินอ๋องเหยียนเป็นระดับจอมเคารพเพียงสองคนที่มีอยู่ในจำนวนนั้น


“โชคดีขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ” จวินอ๋องดำเผยรอยยิ้มออกมา


นับตั้งแต่ลอบคิดบัญชีจ้าวหิมะเหินในวังเทพจิตโลกา เขาก็ยิ่งโชคดีขึ้นเรื่อยๆ เขาอาศัยผลประโยชน์ที่ได้รับจากด่านสิบสองกัลป์และสิ่งที่สั่งสมมาในอดีตรวมไปถึงคุณูปการที่ได้จากการลงมือกับจ้าวหิมะเหินแลกเปลี่ยนเอาสมบัติลับระดับยอดสุดที่เขาปรารถนามานานแล้วจากปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ปฏิบัติต่อพวกเขาโดยยึดถือ ‘การแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรม’


“ฝึกฝนศาสตร์ร่างแปรเงาจนสำเร็จและได้ช่วงชิงโอกาสเข้าสู่วังเทพจิตโลกามา ครั้งนี้โชคดีที่ได้ผลประโยชน์มาอย่างใหญ่หลวง ก็นับว่าฉวยโอกาสได้สมบัติลับระดับยอดสุดมาอีกเป็นชิ้นที่สอง พลังของข้าสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้เป็นอย่างมาก ก็สามารถอาศัยมันรับรู้ความเร้นลับขั้นสุดยอดต่างๆ มากมาย ความหวังที่จะได้บรรลุถึงขั้นสุดยอดก็สามารถเพิ่มขึ้นได้บ้าง” จวินอ๋องดำครุ่นคิด “บัดนี้ท่านปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์และท่านปฐมบรรพชนนิจรัตติกาลก็วางแผนครั้งใหญ่อยู่ หวังว่าจะไม่รีบร้อนสร้างความเดือดร้อนขึ้นมา”


เขาสวามิภักดิ์ต่อปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ สุดท้ายแล้วก็เพื่อตนเอง


สิ่งที่เขาใฝ่หาก็คือทำให้ตนเองบรรลุถึงขั้นสุดยอด! เขาไม่ยอมจำนนก้มหัวให้ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ตลอดไปหรอก


……


ณ ที่อีกแห่งหนึ่งในเมืองจ้าวดำ


“เอ๊ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงในรูปลักษณ์ชายหนุ่มชุดดำนั่งอยู่ภายในหอสุราแห่งหนึ่งพลางดื่มด่ำกับอาหารรสเลิศ  เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นรัฐโบราณของทางฝ่ายหนึ่ง เขามาถึงที่นี่เขาก็มิกล้าทำตัวเอิกเกริกด้วยการไม่ปกปิดตัวตน นับตั้งแต่ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ล้างสังหารเขาในวังเทพจิตโลกา ทั้งสองฝ่ายก็ผูกใจแค้นต่อกันแล้ว! ปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์อาจจะมิได้เห็นเขาอยู่ในสายตา แต่หากเขาเข้ามาอย่างเอิกเกริก เกรงว่าปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์คงจะไม่ใส่ใจที่จะฟาดคทามาที่เขาอีกสักครั้ง!


“ไม่อยู่หรือนี่ แล้วคนอื่นๆ เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบอึดอัดใจ “มีแค่ร่างแปรร่างหนึ่งที่ปกครองเมืองจ้าวดำอยู่หรือ”


นี่เป็นเพียงร่างแปรทั่วไปร่างหนึ่งเท่านั้น


ทว่าก็ปกตินัก ถึงอย่างไรทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีผู้ที่มีร่างแยกเพียงจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก เท่าที่ทราบ ก็มีเพียงทางสายวิถีอากาศและศาสตร์โบราณเท่านั้นที่สามารถปรากฏร่างแยกที่แท้จริงออกมาได้! แม้แต่ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ผู้ที่ไม่มีร่างแยกก็มีกว่าครึ่ง! เพราะถึงอย่างไรหากไม่มีพรสวรรค์ทางด้านวิถีอากาศ ก็คือไม่มีพรสวรรค์!


ร่างจริงก็จะเก็บตัวหรือไม่ก็ไปจัดการธุระสำคัญ โดยทั่วไปแล้วเรื่องราวจิปาถะต่างๆ ล้วนแต่เป็นร่างแปรไปจัดการ


“ร่างจริงอยู่ที่ใดกัน ลองค้นหาให้ละเอียดดีกว่า”


……


วันคืนต่อจากนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ดูเหมือนจะดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสตามสถานที่ต่างๆ ของรัฐโบราณบรรพชน แต่อันที่จริงแล้วกลับค้นหาจวินอ๋องดำอย่างละเอียด


ว่ากันตามหลักแล้ว


เรื่องที่ตนจะจัดการเขานั้น ไม่เคยเผยแพร่สู่ภายนอกมาก่อน! นอกจากนี้ต่อให้พูดออกมา จวินอ๋องดำก็คงจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าขันอย่างมากกระมัง ดังนั้นก็ไม่ควรซ่อนตัวจึงจะถูกต้อง!


“ไม่มี”


“ไม่มีเลย”


จวนทุกหลังและสถานที่เก็บตัวแต่ละแห่งของจวินอ๋องดำเขาล้วนค้นหาจนทั่วหมดแล้วก็ยังหาไม่พบเลย


ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขั้นสำแดงลูกไม้เขตลวงโลกเทียมออกมาลงมือกับบ่าวรับใช้ประจำตัวบางคนของจวินอ๋องดำ แน่นอนว่าในการลงมือกับบ่าวรับใช้เหล่านั้น วิธีการเขตลวงโลกเทียมของระดับเทพจักรวาลทั่วไปก็ใช้ได้แล้ว! เขาไม่มีทางเผย ‘กระบวนท่าเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง’ ออกมาอย่างแน่นอน พลังของบ่าวรับใช้เหล่านั้นล้วนอ่อนแอมากจึงสามารถพลิกดูความทรงจำของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ไม่เหลือข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย


“บ่าวรับใช้ประจำตัวก็ไม่รู้ เนื่องจากเรื่องสำคัญบางอย่างเช่นนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด


เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า


ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไร้หนทาง ทำได้เพียงท่องไปตามสถานที่ต่างๆ ในดินแดนจิตโลกา ชมดูทิวทัศน์ของสถานที่ต่างๆ และลิ้มรสอาหารของสถานที่ต่างๆ เท่านั้น จู่ๆ วันหนึ่ง…สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็ส่งข่าวมาว่าพบร่องรอยของจวินอ๋องดำในเขต ‘รัฐวายุโหม’!


“ฮ่าฮ่า ไม่เสียทีที่เป็นสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา เครือข่ายข่าวสารแทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่ง ขอเพียงจวินอ๋องดำมิได้จงใจซ่อนตัว ถึงอย่างไรก็ต้องถูกพบเข้าอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ข่าวก็มุ่งหน้าไปยังรัฐวายุโหมทันที

 

 

 


ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...

 

ตอนที่ 9 เงามืดอันหนักหน่วง

 

รัฐวายุโหม เป็นรัฐชั้นสามเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา


“จวินอ๋องดำเคยมายังหอสุราแห่งนี้มาก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงภายในห้องส่วนตัวแห่งหนึ่งของหอสุรา สายตาก็ทอดมองไป กาลเวลาย้อนกลับไป เพียงแต่เมื่อใกล้ถึงตอนที่จวินอ๋องดำอยู่นั้น กาลเวลาก็บิดเบือนไปและได้รับผลกระทบจนมิอาจตรวจดูได้อีกต่อไป “เคยมาที่นี่จริงๆ ด้วย เครือข่ายข่าวสารของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์มิได้ผิดพลาดจริงด้วย!”


แม้เขาจะมิใช่ยอดฝีมือทางสายกาลเวลา แต่ผู้ที่สามารถทำให้เขามิอาจย้อนเวลากลับไปตรวจสอบได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพจักรวาล


“อาจจะอยู่ภายในเมืองนี้ก็ได้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง


วิ้ง


น้ำวนอันไร้รูปร่างที่มีเขาเป็นศูนย์กลางแผ่รัศมีออกไปผ่านอณูทรงกลมหมอกดำทั้งหมด อีกไม่นานก็จะแพร่ไปทั่วทั้งตัวเมือง วิธีการค้นหาด้วยแก่นห้วงอากาศนี้เร้นลับยิ่งนัก


“ภายในเมืองไม่มีเทพจักรวาลเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “จวินอ๋องดำจากรัฐโบราณบรรพชนไปแล้วปรากฏกายขึ้นในรัฐเล็กๆ อันไกลโพ้นอีกแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา ก็คงไม่ถึงกับเดินทางเป็นระยะทางอันไกลโพ้นเพื่อมากินอาหารที่นี่มื้อหนึ่งหรอกกระมัง สถานที่ที่เขาอยู่ก็คงจะอยู่ภายในเขตรัฐวายุโหม”


“ตรวจดูให้ละเอียด”


แรงกดดันของดินแดนจิตโลการ้ายกาจเกินไปแล้ว วิธีการค้นหาผ่านแก่นห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีขอบเขตจำกัด


เขาสำแดงทลายโลกาตามที่ต่างๆ เพื่อสอดส่องดู…


เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม


“นี่คืออะไรกัน” สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย


เขาสอดส่องตัวเมืองอันไกลโพ้นแห่งหนึ่งของรัฐวายุโหมผ่านศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ภายในตัวเมืองมีไอหมอกสีดำจางๆ ปกคลุมไปทั่ว ไอหมอกนั้นอ่อนจางมาก ทั้งตัวเมืองหม่นมัวอย่างเห็นได้ชัด ส่วนชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนภายในเมืองก็ผิดปกติเป็นอย่างมาก


บ้างก็กำลังห้ำหั่น!


บ้างก็เคลื่อนที่ในพริบตาทะลุไปในตัวเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายคิดจะออกจากตัวเมือง แต่ทำอย่างไรก็มิอาจออกไปจากบริเวณที่มีไอหมอกจางๆ ปกคลุมนี้ได้


และมีบางคนที่รวมตัวกันเป็นกองกำลัง ค้นหาอะไรบางอย่างไปทั่วทุกมุมเมือง


ภายในเมือง…ทุกชั่วขณะล้วนมีชาวบ้านกลุ่มใหญ่สิ้นใจไปท่ามกลางการห้ำหั่นกัน ราวกับเป็นสถานที่แห่งฝันร้าย


“นี่มันเรื่องอันใดกัน เหตุใดแต่ละคนจึงเหมือนกับได้รับผลกระทบจากการล่อลวงอย่างนั่นเล่า นอกจากนี้ทั้งเมืองยังเหมือนกับตกเข้าสู่ค่ายกลบางชนิดจนพวกเขาออกมาไม่ได้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงเป็นอันมาก เนื่องจากเพียงแค่ใช้ทลายโลกาสอดส่อง เขามิอาจเข้าใจปัญหาของเมืองแห่งหนึ่งได้อย่างแท้จริง เพียงแค่มองดูอย่างผิวเผินเท่านั้น เขามั่นใจว่า “จะต้องมีใครสักคนทำร้ายชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งเมืองอย่างแน่นอน!”


นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงฉายแววดุร้าย


“ชาวบ้านภายในตัวเมืองเหล่านี้ประสบกับหายนะ ก็ควรจะต้องส่งสารออกไปสิ! เหตุใดรัฐวายุโหมจึงไม่มีปฏิกิริยาใดเลยแม้แต่น้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบโมโห “เป็นเพราะศัตรูมีความเป็นมาใหญ่โตนักหรือ”


รัฐวายุโหมเป็นรัฐชั้นสามเล็กๆ


มารร้ายที่แข็งแกร่งทั้งหลายก็เพียงพอให้ประมุขรัฐวายุโหมหวาดหลัวอย่างยิ่งได้แล้ว โดยทั่วไปก็ต้องเชิญให้พันธมิตรต่างๆ มาช่วยเหลือ ส่วนมารร้ายที่มีความเป็นมาใหญ่โต รัฐเล็กๆ ระดับนี้ก็ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้เท่านั้น!


“สมควรตาย”


ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิอาจทนได้


เขา ‘มองเห็น’ ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนล้มตายไป นี่จะต้องเป็นเพราะเป้าหมายบางอย่างของผู้คิดร้ายที่อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน


“ไปดูตัวเมืองอื่นๆ อีกดีกว่า” แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีเพลิงโทสะสูงเทียมฟ้า แต่กลับรีบสอดส่องตัวเมืองอื่นในทันที! ก่อนหน้านี้เขาตามหาจวินอ๋องดำด้วยการไล่ตรวจสอบจวนขนาดใหญ่ต่างๆ ภายในตัวเมืองแต่ละแห่งบัดนี้กลับเฝ้าดูความเคลื่อนไหวคร่าวๆ ทั่วทั้งตัวเมืองเสียเลย จึงย่อมเร็วกว่ามาก


ในชั่วเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ลมหายใจ


เขาก็ ‘กวาดดู’ ตัวเมืองทั้งหมดของรัฐวายุโหมแล้วรอบหนึ่ง สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงงันไปก็คือตัวเมืองทั้งสิบเก้าแห่งล้วนมีสถานการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้น ชาวบ้านทั้งหมดมิอาจออกจากเมืองได้! ผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอก็กลายเป็นผู้ที่เข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง ส่วนผู้ที่จิตใจแข็งแกร่งกว่าอยู่บ้างก็เสาะหาโอกาสรอดชีวิตภายในตัวเมือง แต่ก็มิอาจออกไปได้ ราวกับกำหนดเอาไว้แล้วว่าผู้ที่รอดชีวิตจะน้อยลงเรื่อยๆ ขั้นตอนเช่นนี้ หากไม่มีตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือเข้าไป…เกรงว่าจะดำเนินต่อเนื่องไปเป็นล้านปีหรือสิบล้านปีก็เป็นเรื่องปกตินัก


“ผู้ใดบังอาจถึงเพียงนี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบโมโห


สวบ


เขาหายวับไปกลางอากาศ แล้วเคลื่อนที่ในพริบตาไปเป็นระยะทางอันไกลโพ้นมายังตัวเมืองแห่งหนึ่งซึ่งมีไอหมอกสีดำอ่อนจางแผ่คลุมไปทั่ว


“เอ๊ะ ข้าเองก็มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาเข้าไปได้หรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง เขามองดูหมอกดำตรงหน้า ก่อนจะสัมผัสรับรู้ดูเล็กน้อยแล้วทะยานตรงเข้าไป


เขาทะยานเข้าไปอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง


เขาบินทะยานและเดินท่องไป แต่ก็มิได้รับผลกระทบใดจากไอหมอก ตนบินข้ามกำแพงเมืองเข้าไปในเมืองได้อย่างง่ายดาย


“เอ๊ะ ออกไปไม่ได้แล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลองเดินออกไปข้างนอก ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ราวกับเป็นโลกที่สร้างขึ้นเองภายใน “คล้ายกับการผนึกมิติอยู่บ้าง ทว่ามิได้ร้ายกาจถึงเพียงนั้น ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกายังสามารถแทรกตัวเข้ามาได้”


นับได้เพียงว่าก่อตัวเป็นโลกภายในแห่งหนึ่งเท่านั้น


เกรงว่าขั้นอลวนทั่วไปคงออกไปมิได้!


“ที่น่าประหลาดก็คือ ข้ามิอาจส่งสารได้แล้วอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดประหวั่นใจมิได้ วัตถุส่งสารที่ติดตัวมามิอาจส่งสารสู่ภายนอกได้ แน่นอนว่ามีร่างแยกและร่างแปรอยู่ก็สามารถสัมผัสรับรู้เชื่อมโยงกับโลกภายนอกได้เหมือนเดิม


เพียงแต่ว่าขั้นรวมเป็นหนึ่งทั่วไปมิอาจมีร่างแปรระยะไกลในดินแดนจิตโลกาได้


ผู้ที่มีร่างแยกน่ะหรือ ยิ่งพบเห็นได้ยากแล้ว


“มิอาจส่งสารได้ ชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วนภายในตัวเมืองที่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงอบพึมพำ “แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถึงอย่างไรก็มีตัวเมืองสิบเก้าแห่ง ประมุขรัฐวายุโหมจะต้องรู้เรื่องนี้แน่”


“ทำเพื่อเคล็ดลับชั่วร้ายบางอย่างหรือ”


ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกไม่ชอบมาพากล


สามารถส่งผลกระทบจนมิอาจส่งสารได้ ย่อมมิใช่วิธีการของเทพจักรวาลทั่วไปอย่างแน่นอน! นอกจากนี้ยังส่งผลต่อตัวเมืองถึงสิบเก้าแห่งในครั้งเดียวอีกต่างหาก


ต้องรู้ไว้ว่า แม้ประมุขรัฐวายุโหมจะอ่อนแอ แต่รัฐเล็กที่อ่อนแอเหล่านี้ก็รวมตัวกันเป็น ‘สมาพันธ์สวรรค์โบราณ’ อย่างการบูชาโลหิตในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็แล้วไป เนื่องจากรวดเร็วยิ่งนัก! แต่การลงมือกับตัวเมืองทั้งสิบเก้าแห่งเป็นเวลายาวนานเช่นนี้…ตามหลักแล้วประมุขรัฐวายุโหมก็ควรแจ้งให้ทั้งสมาพันธ์สวรรค์โบราณทราบ และสมาพันธ์สวรรค์โบราณก็ไม่ควรทนรับไว้ง่ายๆ


สมาพันธ์แห่งหนึ่งมีพลังแข็งแกร่งไม่แพ้รัฐเมฆทักษิณาเลย


“ความเป็นมาใหญ่โตเกินไปหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเบาๆ


แม้จะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันออยู่บ้าง


แต่ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู บัดนี้ก็มิอาจทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงล่าถอยได้!


“ข้าจะดูสิว่า ที่แท้แล้วเป็นมารร้ายตนใดกันแน่” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงสาดประกายหนาวเหน็บ ก่อนหน้านี้เขามายังรัฐวายุโหมแห่งนี้เพื่อไล่ล่าจวินอ๋องดำ บัดนี้เรื่องของจวินอ๋องดำกลับถูกเขาพักไว้ก่อนชั่วคราวแล้ว


เขาต้องการสังหารจวินอ๋องดำ แต่นั่นเป็นเรื่องความแค้นส่วนตัว


สำหรับมารร้ายตัวฉกาจที่ทำร้ายสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน เขามิอาจเห็นอีกฝ่ายทำบาปต่อหน้าต่อตาได้!


……


ภายในตัวเมือง ตงป๋อเสวี่ยอิงแผ่น้ำวนอันไร้รูปร่างออกมา แล้วแพร่ไปทั่วทั้งตัวเมืองผ่านอณูทรงกลมหมอกดำของแก่นห้วงอากาศทันที ในพริบตาเดียวก็ทราบจำนวนยอดฝีมือทั่วทั้งตัวเมืองอย่างแน่ชัดแล้ว


ขั้นอลวน…สองคน!


พวกเขาล้วนอยู่ในจวนแห่งหนึ่งภายในตัวเมือง


“อยู่ที่นี่”


ตงป๋อเสวี่ยอิงสาวเท้าออกไป แล้วปรากฏกายขึ้นบนถนนอันเงียบเหงาแห่งหนึ่งพลางมองดูจวนตรงหน้า


รอบด้านมีหมอกดำแผ่กำจายอยู่รางๆ แม้ไกลออกไปจะมีการห้ำหั่นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง แต่ใกล้ๆ จวนแห่งนี้กลับเงียบสงบนัก


“รีบไปเสีย”


เงาร่างสายหนึ่งกะพริบวาบขึ้นมาปรากฏข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง เป็นผู้บำเพ็ญต่างเผ่าซึ่งมีเขาเดี่ยวผู้หนึ่ง เขามองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วพูดเสียงต่ำว่า “นี่คือต้นกำเนิดของหมอกดำทั่วทั้งตัวเมือง ยอดฝีมือภายในเมืองของพวกเราร่วมมือกันโจมตีหลายรอบแล้ว บาดเจ็บล้มตายกันไปกว่าครึ่ง แต่ก็ทำอะไรมันมิได้เลย เจ้าอย่าเข้าใกล้จะดีกว่า”


“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูผู้บำเพ็ญต่างเผ่าซึ่งมีเขาเดี่ยวตรงหน้าแล้วยิ้มเล็กน้อย “ข้าเห็นว่าหมอกดำในตัวเมืองแห่งนี้แปลกประหลาด ดังนั้นจึงได้เข้ามาดู หมอกดำนี้ปกคลุมมานานเท่าใดแล้วหรือ”


“เจ้าจงใจเข้ามาหรอกหรือนี่” ผู้แกร่งกล้าเขาเดี่ยวต่างเผ่าสะดุ้งเฮือกแล้วเผยสีหน้าขมขื่นออกมา “ข้าและคนอื่นๆ อยากออกไปก็ออกไม่ได้ แต่เจ้ากลับเอาชีวิตมาทิ้งรึ เฮ้อ หมอกดำนี่ปกคลุมมานานเกือบสิบล้านปีแล้ว ชาวบ้านภายในเมืองคงตายไปครึ่งค่อนหนึ่งแล้ว! ก่อนหน้านี้ข้าและคนอื่นๆ ยังคิดว่าท่านประมุขรัฐจะมาช่วยพวกเรา หรือเหล่าเทพจักรวาลของสมาพันธ์สวรรค์โบราณเราจะมา แต่ทว่านานถึงเพียงนี้แล้วก็ไม่เคยมียอดฝีมือเข้ามาเลย ผู้ที่กล้าลงมือกับทั้งตัวเมืองเช่นนี้ ทั้งยังไม่รีบร้อนกวาดล้างทันที หากแต่ทรมานเป็นระยะเวลายาวนานอย่างต่อเนื่อง มารร้ายที่อยู่เบื้องหลังจะต้องมีความเป็นมาไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน บัดนี้แม้แต่ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งในเมืองหลายคนก็ยังเสียสติไปแล้ว เฮ้อ เจ้าเข้ามานี่ช่างบ้าบิ่นเกินไปแล้ว”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเล็กน้อย


ไม่มีคนมาช่วยหรือ


“ข้าจะดูเสียหน่อยว่า ที่แท้แล้วผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใครกันแน่ ทำให้ทั้งสมาพันธ์สวรรค์โบราณไม่กล้ายุ่งเกี่ยว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินตรงไปทางจวนแห่งนั้น เมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่ เขาก็ถบออกไปเต็มแรง ปัง…ประตูใหญ่ ถูกถีบจนกระเด็นลอยไป ประตูใหญ่กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งลอยหวือออกไปแล้วกระแทกเข้ากับระเบียงกำแพงและเรือนหลังแล้วหลังเล่าจนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไป…


ประตูใหญ่กลับมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อยอย่างน่าประหลาด ราวกับทะลุทั้งคูหาไปในพริบตาเดียว


“ปัง” ในที่สุดก็มีแสงสีโลหิตสายหนึ่งร่อนลงมาแล้วปะทะเข้ากับประตูใหญ่ที่บินร่อนไปด้วยความเร็วสูง ประตูใหญ่จึงแหลกสลายเป็นผุยผงไป


ภายในจวนก็มีคนอาภรณ์สีแดงโลหิตผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นแล้วจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาเยียบเย็น “ยอดฝีมือขั้นอลวนรึ น่าเสียดาย เป็นคนที่รนหาที่ตายอีกคนแล้ว!”

 

 

 


ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...

 

ตอนที่ 10 จวินอ๋องดำปรากฏกาย

 

“ในที่สุดก็โผล่มาคนหนึ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูคนอาภรณ์สีแดงโลหิตผู้นี้แล้วพูดเสียงเย็นชาว่า “เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเป็นใครกัน ถึงกับกล้าสำแดงเคล็ดลับปกคลุมนับล้านๆ ชีวิตทั่วทั้งตัวเมือง ทำตามอำเภอใจไร้ความคร้ามเกรง ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขาเช่นนี้”


คนอาภรณ์สีแดงโลหิตสะดุ้งเฮือก


เจ้านายที่อยู่เบื้องหลัง


คนอาภรณ์สีแดงโลหิตมองดูชายหนุ่มชุดดำตรงหน้า มุมปากกระดกขึ้นมาเล็กน้อย “ดูท่าเจ้าก็คงจะไม่โง่นี่ สามารถเดาได้ว่าเบื้องหลังเกี่ยวโยงใหญ่หลวงยิ่งนัก แต่เจ้าก็ยังกล้าบุกเข้ามา ข้าล่ะนับถือเจ้าจริงๆ” แม้ปากของเขาจะพูดเช่นนี้ ในใจคนอาภรณ์สีแดงโลหิตกลับระมัดระวังขึ้นมา ขณะเดียวกันเขาก็พลันอ้าปากขึ้น ฟิ้วๆๆ แมลงสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาจากปากเขาอย่างแน่นขนัด แล้วบินตรงไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างมืดฟ้ามัวดิน แล้วปกคลุมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้แทบจะในพริบตาเดียว


“น่าสงสาร”


“เฮ้อ โง่เง่าเกินไปแล้ว”


ไกลออกไปมียอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งภายในตัวเมืองแห่งนี้จับตามองอยู่ห่างๆ ก่อนแล้ว เมื่อมองเห็นฉากนี้เข้าก็พากันลอบส่ายหน้า ผ่านมานานเกือบสิบล้านปี พวกเขาก็รู้แล้วว่าต้นเหตุของหายนะก็คือจวนแห่งนี้! แต่ทว่ากองทัพใหญ่ที่พวกเขาร่วมมือกันในตอนนั้นก็บาดเจ็บล้มตายกันไปกว่าครึ่ง จึงไม่มีความมั่นใจที่จะเป็นปฏิปักษ์อีกต่อไปแล้ว


ฟิ้ว


ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งมีแมลงสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมอันตรธานไปราวกับฟองสบู่ แล้วเงาร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นด้านบน จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง “ตายเสียเถอะ”


แขนเสื้อเขาหอบม้วนเข้าไปแล้วห่อหุ้มทั้งมิติเอาไว้จนฟ้าดินมืดหม่น  ไม่ว่าจะเป็นคนอาภรณ์สีแดงโลหิตหรือว่าแมลงสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนถูกห่อหุ้มจนหมด มิติภายในนั้นสั่นสะเทือนคราหนึ่ง คนอาภรณ์สีแดงโลหิตและแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนกลายเป็นผุยผงไป


“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าเล็กน้อย คนอาภรณ์สีแดงโลหิตผู้นี้ก็แค่ ‘โหวโลหิตลอย’ ยอดฝีมือขั้นอลวนของรัฐชั้นสามรอบด้านแห่งหนึ่งเท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อว่าผู้ที่ทำตามอำเภอใจไร้ความคร้ามเกรงอยู่เบื้องหลังเช่นนี้ จะต้องมีที่มาใหญ่โตเป็นแน่!


จากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็โบกมืออีกครา


แคว่ก…


รอยแยกอากาศฉีกทึ้งทุกสิ่ง ทั้งจวนเบื้องล่างราวกับกระจกแตกออกอย่างไรอย่างนั้น ทุกบริเวณถูกฉีกทึ้งจนกลายเป็นผุยผงในทันใด


“เขาสังหารคนอาภรณ์สีแดงโลหิตผู้นั้นไปแล้วหรือ”


“นี่คือยอดฝีมือที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่งคนหนึ่งซึ่งมิใช่ขั้นอลวนทั่วไปอย่างแน่นอน อาจจะเป็นยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบก็เป็นได้” บรรดายอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งระดับยอดสุดของเมืองนี้ที่มองดูอยู่ไกลๆ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เกิดความหวังขึ้นสายหนึ่ง


ขั้นอลวนสิบชั้น!


หากเป็นเทพจักรวาลโดยทั่วไปที่ไม่มีสมบัติลับที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งก็แค่ระดับนี้เท่านั้น ต่อให้ประมุขรัฐวายุโหมของพวกเขามาเอง ก็เกรงว่าคงทำได้เพียงกดดันยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนนี้ได้อย่างพอถูไถเท่านั้น


พลังระดับนี้ เพียงพอจะเหิมเกริมไปทั่วรัฐหนึ่งได้แล้ว


“เอ๊ะ”


ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองลงไปเบื้องล่าง ผิวดินของทั้งจวนแห่งนี้ถูกเขาทำลายไปจนสิ้น เผยให้เห็นค่ายกลขนาดมหึมาเบื้องล่าง ค่ายกลราวกับฝาครอบคุ้มกันวังใต้ดินแห่งหนึ่งเอาไว้ เหนือผิวของทั้งวังใต้ดินมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ค่ายกลหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา กลิ่นอายชั่วร้ายอันเข้มข้นแผ่กำจายออกมา มันก็คือแหล่งกำเนิดที่แท้จริงของหมอกดำทั่วตัวเมืองเหล่านั้น


“ค่ายกลแปลกประหลาดนัก ผู้ที่วางค่ายกลจะต้องเป็นเทพจักรวาลที่ร้ายกาจอย่างยิ่งแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงประหวั่นใจขึ้นมา จากนั้นอากาศรอบด้านก็บิดเบี้ยวไป เขาสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็เข้าไปในน้ำวนอากาศแล้ว


ภายในวังใต้ดิน


มียอดฝีมือขั้นอลวนชายชราผมเงินผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ เบื้องหน้าเขามีต้นไม้ประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์อยู่ต้นหนึ่ง บนต้นไม้ประหลาดนั้นมีหินผลึกสีดำสามก้อนประดับอยู่ หินผลึกแต่ละก้อนมีแสงหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา หมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งตัวเมืองอันใหญ่โตของโลกภายนอกก่อตัวเป็นจังหวะประหลาดครั้งแล้วครั้งเล่าตามระลอกคลื่นหินผลึกบนต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์


“ถึงขั้นกล้าบุกเข้ามา ช่างไม่ประมาณตนเลยจริงๆ แมลงพิษของโหวโลหิตลอยคงจะสังหารได้อย่างง่ายดาย…อะไรนะ! โหวโลหิตลอยสิ้นใจแล้วรึ” ชายชราผมเงินซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในโถงตำหนักใต้ดินสีหน้าเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ในทันใด


โหวโลหิตลอยสิ้นใจรวดเร็วเกินไปแล้ว แค่พบหน้ากันคราวหนึ่งเท่านั้น!


พวกเขาทั้งสองรับผิดชอบประจำการอยู่ที่นี่ ตอนนี้จู่ๆ สหายก็มาตายจากไป ทำให้เขารู้สึกขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมา


“จวินอ๋องดำผู้ยิ่งใหญ่” ชายชราผมเงินถ่ายเสียงให้ผู้นำของตน “มียอดฝีมือขั้นอลวนคนหนึ่งบุกมาถึงถิ่นเรา ทันทีที่โหวโลหิตลอยพบหน้าก็ถูกสังหารเสียแล้ว”


“เป็นยอดฝีมือขั้นอลวนคนไหนกัน”


แม้ดินแดนจิตโลกาจะกว้างใหญ่ไพศาล จำนวนยอดฝีมือขั้นอลวนก็มากมายนัก แต่ขุมอำนาจระดับยอดสุดก็ยังคงสามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของขั้นอลวนได้อยู่ดี


“ไม่ทราบขอรับ ไม่รู้จักเลย! เป็นชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งซึ่งสำแดงกลเม็ดวิถีอากาศออกมา” ชายชราผมเงินพูดอย่างร้อนรน


วิถีอากาศนั้น เนื่องจากมีศาสตร์ร่างแยก


ดังนั้นทั้งดินแดนจิตโลกาจึงมีผู้ตั้งใจศึกษาค้นคว้าวิถีอากาศเป็นจำนวนมาก เช่นสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ในฐานะสิบสำนักใหญ่ก็บำเพ็ญวิถีอากาศเป็นหลัก


“เจ้าปกป้อง ‘ต้นอนธการ’ เอาไว้ให้ดี อย่าออกไปจากโถงตำหนัก ข้าจะจัดการเรื่องทั้งหมดนี่เดี๋ยวนี้แหละ”


“ขอรับ ข้าจะไม่ออกไป” ชายชราผมเงินรับคำ เขาจะไม่ออกไปอย่างแน่นอน! เพราะคาดว่าหากออกไปก็คงถูกสังหารทันทีที่พบหน้า อยู่ภายในโถงตำหนักแห่งนี้ดีกว่า ค่ายกลของโถงตำหนักแห่งนี้พิสดารไม่เป็นสองรองใคร ต่อให้เป็นเทพจักรวาลจะโจมตีให้แตกแล้วเข้ามาก็มิใช่เรื่องง่าย


ฟิ้ว


สีหน้าของชายชราผมเงินพลันเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ เนื่องจากด้านข้างไม่ไกลออกไปนัก มีน้ำวนอากาศปรากฏขึ้น แล้วชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในนั้น


“จวินอ๋องดำผู้ยิ่งใหญ่ เขามาแล้วขอรับ เขาสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา!” สีหน้าของชายชราผมเงินซีดขาว


ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเป็นวิธีเดินทางที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่ง สถานที่ที่สามารถสกัดกั้นมันได้นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย


ในตำนานยังมี ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ ที่เหนือกว่ามันอีก ซึ่งนั่นก็สามารถเดินทางได้เกินจริงยิ่งกว่านี้เสียอีก ถึงขั้นสามารถเข้าไปในโลกกำเนิดอื่นได้ และสามารถเข้าไปภายในที่เก็บสมบัติล้ำค่าที่ผู้อื่นหลอมแปรและควบคุมอยู่ได้ด้วย!


“นี่มันต้นอะไรน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม สายตากลับจับจ้องไปยังต้นไม้ประหลาดอันอัปลักษณ์ต้นนั้น ต้นไม้ประหลาดอัปลักษณ์นั้นเหมือนกับตายซาก ผิวเปลือกไม้ไม่มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย หินผลึกสีดำสามก้อนที่ประดับอยู่ด้านบนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกขยะแขยงอย่างไร้สาเหตุ ที่ทำให้เขาตกใจที่สุดก็คือ เขาจำไม่ได้เลย!


เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงมีสถานะอันใด แต่กลับจำต้นไม้ประหลาดต้นนี้มิได้ จำหินผลึกสีดำนี้มิได้!


เรื่องนี้ทำให้ในใจเขายิ่งระมัดระวังมากขึ้น! นี่ก็คือสาเหตุที่เขาปลอมแปลงเป็นขั้นอลวนก่อนชั่วคราว


“พูดมา!” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางเขา


“ข้าก็ไม่ทราบขอรับ ข้าก็ถูกบีบบังคับเช่นกัน” ชายชราผมเงินรีบวอนขอ


ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะเบาๆ


วิ้ง


ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันแทรกซึมเข้าไปในห้วงสมองของชายชราผมเงิน นี่คือขั้นอลวนธรรมดาคนหนึ่ง ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงเพียงกลเม็ดเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่งออกมาก็สามารถควบคุมเขาได้อย่างง่ายดาย แล้วพลิกดูความทรงจำของเขา


“เอ๊ะ” สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไป “ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณ…จวินอ๋องดำหรือ”


ในความทรงจำของชายชราผมเงิน เขามองเห็นสิ่งมีชีวิตสองท่าน


ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณ!


ยอดฝีมือระดับจอมเคารพที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา! ทว่าเมื่อมาถึงตอนนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล่วงรู้ว่า ‘ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณ’ เป็นประมุขของสมาพันธ์สวรรค์โบราณเพียงผิวเผินเท่านั้น ในที่ลับยังมี ‘เทพสวรรค์โบราณ’ อยู่อีกคนหนึ่ง! เทพสวรรค์โบราณ…เป็นยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอดคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งก็เท่านั้นเอง


ยอดฝีมือสองคนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นในความทรงจำของชายชราผมเงิน คนหนึ่งคือประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณ ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือจวินอ๋องดำ!


ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณลอบรวบรวมยอดฝีมือขั้นอลวนจำนวนหนึ่งอย่างลับๆ จากนั้นก็มอบให้จวินอ๋องดำ! ยอดฝีมือขั้นอลวนกลุ่มนี้มีทั้งหมดสามสิบแปดคนด้วยกัน พวกเขาล้วนฟังบัญชาของ ‘จวินอ๋องดำ’ เท่านั้น พวกเขาก็มิได้โง่งม ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณผู้สูงส่งเหนือใครเรียกตัวพวกเขามารวมกันด้วยตนเอง ส่วนบัดนี้ที่นำพวกเขามาจัดการธุระให้…กลับเป็นสิ่งมีชีวิตระดับจอมเคารพผู้หนึ่งแห่งรัฐโบราณบรรพชนนาม ‘จวินอ๋องดำ’


แม้แต่คนโง่ก็ยังเดาออกว่า ผู้ที่สามารถใช้งานจอมเคารพสองคนได้อย่างง่ายดายจะต้องมีเบื้องหลังที่เกี่ยวโยงยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่แน่ว่าอาจจะเกี่ยวโยงถึงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งสองแห่งรัฐโบราณบรรพชนก็เป็นได้! แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ว่าจวินอ๋องดำจะทำการเพียงคนเดียวลำพัง


“ความเป็นมาใหญ่โตนัก”


“สามารถใช้งานประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณและจวินอ๋องดำได้อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหวาดหวั่นใจขึ้นมา “รัฐโบราณบรรพชนกับสมาพันธ์สวรรค์โบราณมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”


ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันหันไปมองทางทิศหนึ่งและมองไปยังอากาศด้านข้าง


ขณะเดียวกันเขาก็โบกมือคราหนึ่ง


ปัง!


ฝ่ามือหนึ่งตะปบตรงลงไปที่ร่างของชายชราผมเงิน ชายชราผมเงินแหลกสลายหายไปทันที


สมาพันธ์สวรรค์โบราณซึ่งเป็นสมาพันธ์ที่รวมหลายรัฐเข้าไว้ด้วยกันนี้ เดิมทีหละหลวมมาก รัฐต่างๆ ก็วุ่นวาย มารร้ายจำนวนมากก็เหิมเกริมและตั้งตนอยู่ในตำแหน่งสูง ขั้นอลวนที่ประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณเรียกมาในครั้งนี้ชั่วร้ายเป็นอย่างมาก เนื่องจากประมุขสมาพันธ์สวรรค์โบราณก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาใหญ่โตอะไรนัก ผู้ที่มีจิตใจอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนี้ ต่อให้ถูกบีบบังคับ ก็ไม่ยอมทำให้สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตถูกกวาดล้างเป็นแน่


สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว นี่คือจิตแห่งวิถีของพวกเขา!


จิตแห่งวิถีมิอาจฝ่าฝืนได้!


จะสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าที่ไร้เทียมทานสักคนหนึ่ง พวกเขาคนใดบ้างที่ไม่เคี่ยวกรำจิตแห่งวิถีของตนจนทะลุปรุโปร่งบ้างเล่า


พวกวายร้ายที่เรียกตัวมาเหล่านี้ เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบความทรงจำดู เพลิงโทสะก็ยิ่งลุกโชนขึ้นมา เขาย่อมไม่ไว้น้ำใจแม้แต่น้อย


“ฟิ้ว” ขณะเดียวกับที่ทำลายชายชราผมเงินนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงมองดูอากาศด้านข้าง กลางอากาศมีเงาร่างสายหนึ่งเดินออกมา ซึ่งเป็นเงาร่างที่มีหมอกดำแผ่กำจายออกมา


ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาเข้ามา


ส่วนเงาร่างกลางหมอกดำนั้นกลับควบคุมค่ายกลของโถงตำหนักแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย


“จวินอ๋องดำรึ” แม้อีกฝ่ายจะจงใจปกปิดเรือนร่างเอาไว้ แต่เส้นทางที่อีกฝ่ายบำเพ็ญมานั้นไม่ถนัดทางด้านการเก็บงำกลิ่นอาย ในดินแดนจิตโลกา ผู้ที่เคยเห็นจวินอ๋องดำกับตาตนเองมีไม่มากนัก แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นหนึ่งในนั้นพอดี เพียงแวบเดียวก็จำได้ว่าผู้มาเยือนคือจวินอ๋องดำนั่นเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)