Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 45-50
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 45 ผู้ท่องมรณะ
ภายในสวนอันเงียบสงัดแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา
“พลั่กๆๆ” มือหนึ่งถือไหสุรา มือหนึ่งถือจอกสุรารินให้กับตนเองอย่างสบายใจ
‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ผู้สวมอาภรณ์สีทองงามหรูตลอดร่าง ศีรษะสวมมงกุฎกำลังนั่งขัดสมาธิ รินเองดื่มเองอยู่ เขากำลังดื่มสุราอย่างตั้งอกตั้งใจ สัมผัสกับรสชาติของสุรา
ทันใดนั้นกลางอากาศด้านข้างก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ก็คือ ‘บรรพชนแมลง’ แมลงมีปีกบินที่ดูคล้ายกับรูปร่างมนุษย์นั่นเอง
“บรรพชนแมลงหรือ” ราชันย์อนธการอมตะดวงตาเป็นประกายแล้ววางจอกสุราลงพลางเอ่ยถามว่า “มาหาข้าถึงที่นี่ เจ้าพร้อมแล้วหรือไร”
“สิ่งของที่ข้าต้องการเล่า” บรรพชนแมลงหยิบเอาวัตถุกึ่งโปร่งแสงที่ดูราวกับอำพันชิ้นหนึ่งออกมา ด้านในก็มี ของเหลวเจ็ดสีที่หายากเป็นที่สุดไหลเวียนอยู่ เขาส่งวัตถุประหลาดชิ้นนี้ตรงไป
เมื่อราชันย์อนธการอมตะได้เห็นแล้วก็เผยสีหน้ายินดี ก่อนจะตรวจสอบโดยละเอียดพลางเอ่ยว่า ”วางใจเถิด เจ้ากับข้าลั่นสัตย์สาบานเอาไว้แล้ว ข้าจะตระบัดสัตย์ได้อย่างไรกัน โอ้ หนึ่งร้อยหยด ไม่เกินมาเลยแม้แต่หยดเดียว เจ้านี่ช่างใจแคบเสียจริงเชียว แต่ว่าค่อนข้างบริสุทธิ์เลยทีเดียวนะ ฮ่าฮ่า บรรพชนแมลง มิเสียแรงที่เป็นแม่ทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิกลืนโลกาในตอนนั้น จักรพรรดิกลืนโลกาปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ ให้เจ้าได้สืบทอดต่อจากเขา แม้กระทั่ง ‘น้ำทิพย์กลืนโลกา’ นี่ ก็สามารถเอาออกมาได้ถึงหนึ่งร้อยหยดเลยทีเดียว”
“พรึ่บ” ราชันย์อนธการอมตะพลิกมือ ในมือก็มีกำไลข้อมือวงหนึ่งปรากฏขึ้นมาแล้วโยนออกไป “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการ ได้เตรียมเอาไว้ให้เจ้าก่อนแล้วล่ะ”
“ดี”
หลังจากบรรพชนแมลงรับมาแล้วก็ตรวจตราดูอย่างละเอียดรอบหนึ่งพลางเผยสีหน้ายินดีออกมา
“เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะนะ”
“ฮ่าฮ่า ถ้าหากเจ้ายังต้องการสมบัติล้ำค่าอันใดก็มาหาข้าได้เลย ล้วนสามารถใช้น้ำทิพย์กลืนโลกามาแลกเปลี่ยนได้ทั้งสิ้น” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยวาจา
“หากมีความต้องการก็จะมาหาฝ่าบาทราชันย์อนธการอย่างแน่นอน” บรรพชนแมลงพูดจบแล้วปีกแก้วผลึกทั้งคู่ที่อยู่ด้านหลังก็ขยับไหวน้อยๆ แล้วเขาก็หายลับสายตาไป
“หึๆ สามารถเอาออกมาได้ถึงหนึ่งร้อยหยด เกรงว่าผลประโยชน์มหาศาลที่จักรพรรดิกลืนโลกาเหลือทิ้งเอาไว้ในตอนนั้นคงตกอยู่ในมือของเขาจนหมดเลยทีเดียวกระมัง” ราชันย์อนธการอมตะมองดูบรรพชนแมลงหายลับไปแล้วก็พึมพำกับตนเอง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มพลางก้มหน้าลงมองดูวัตถุประหลาดในมือ นัยน์ตาเปล่งประกายค่อนข้างตื่นเต้น “ในที่สุดก็รวบรวมมาได้แล้ว หลังจากกลับมาแล้วก็สิ้นเปลืองเวลาไปยาวนานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็รวบรวมทั้งหมดมาได้เสียที”
น้ำทิพย์กลืนโลกาเป็นสิ่งที่ในตอนนั้นบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ‘จักรพรรดิกลืนโลกา’ อาศัยสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงเก็บรวบรวมมาจากห้วงมิติคละถิ่นระดับสูงกว่า
การรวบรวมทุกหยาดหยดนั้นยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือ ‘ส่วนผสม’ ที่ดีที่สุดที่จักรพรรดิกลืนโลกาใช้เพาะเลี้ยงแมลงอสูร ให้เหล่าแมลงอสูรกิน แมลงอสูรอยกจะไปถึงพลังรบระดับเทพจักรวาล น้ำทิพย์กลืนโลกานั้นมีประสิทธิผลดีที่สุด เพียงแต่ว่าตั้งแต่จักรพรรดิกลืนโลกาตกต่ำไป…น้ำทิพย์กลืนโลกานี้ก็กลายเป็นตำนานเล่าขานไปเสียแล้ว! ถึงแม้ว่าตอนนั้นจักรพรรดิกลืนโลกาจะถูกล้อมสังหาร แต่ก่อนที่จะตายก็ได้ซ่อนเร้นสิ่งที่สำคัญที่สุดเอาไว้
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะถูก ‘บรรพชนแมลง’ แม่ทัพใหญ่ผู้เป็นลูกน้องของจักรพรรดิกลืนโลกาผู้นี้ครอบครองเอาไว้เสียแล้ว! บรรพชนแมลงก็สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วเช่นกัน จึงกล้าเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ออกมา!
“ราตรีนิรันดร์เพาะเลี้ยงวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดออกมาสามตน โลหิตดั้งเดิมของนิจรัตติกาล ‘ศิลาอัคคีทิพย์’ ที่เจ้าเมืองอัคคีทิพย์ส่งมา บวกกับ ‘น้ำทิพย์กลืนโลกา’ ของจักรพรรดิกลืนโลกาในตอนนั้น ยังมีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันสมบูรณ์แบบที่ข้าได้มาก่อนหน้านี้อีกร่างหนึ่งด้วย” ราชันย์อนธการอมตะดวงตาเปล่งประกาย ตื่นเต้นหาใดเปรียบ “ตอนนี้ขาดเพียงแค่การบูชาสุดท้ายให้พลังเพียงพอเท่านั้นก็จะสำเร็จได้ในคราวเดียว หลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ออกมาได้สำเร็จแล้ว”
“ตอนนั้นข้าหลอมผู้ท่องมรณะร่างหนึ่งออกมาอย่างลำบากยากเข็ญ น่าเสียดายที่ข้าล้มเหลวในการต่อสู้ครั้งนั้น ให้ผู้ท่องมรณะไปต้านทานศัตรูตัวฉกาจ แล้วข้าจึงได้หนีกลับมา” ราชันย์อนธการอมตะระลึกวันเวลาในอดีตแล้วโลหิตก็พลุ่งพล่าน
เขาเหยียบย่างบนวิถีของการโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่น
เส้นทางสายนี้
มิใช่เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น มีผู้แกร่งกล้าของโลกกำเนิดคนอื่นๆ ที่เริ่มต้นมุ่งหน้าเหยียบย่างบนเส้นทางของการโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นภายใต้การช่วยเหลือและชี้แนะอยู่ เพิ่งเริ่มต้น เขาก็ยังได้รับการช่วยเหลืออยู่บ้าง แต่พอล้มเหลวอย่างต่อเนื่องสามครั้งก็ไม่มีความช่วยเหลือใดๆ อีกต่อไป เริ่มต้นดิ้นรนอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวังกับผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ อีกมากมายที่ล้มเหลวเช่นเดียวกัน
เขาสามารถสละ ‘ผู้ท่องมรณะ’ หนีกลับดินแดนจิตโลกาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
“โชคดีที่ข้ายังมีซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่ร่างหนึ่ง เมื่อใดที่หลอมได้สำเร็จ ก็เป็น ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ แล้ว นี่จึงจะเป็นเคล็ดวิชาลับที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า อาศัยสิ่งนี้ข้าก็มีความมั่นใจในการไปบุกหุบเขาเขี้ยวหักแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะเผยรอยยิ้มออกมา “อาศัยโอกาสบางอย่างของหุบเขาเขี้ยวหัก บางทีการใช้พลังทำลายกฎของข้าก็อาจมีหลักประกันขึ้นมาบ้าง”
เส้นทางสายนี้ช่างยากเหลือเกิน เพียงแค่สามารถได้รับความช่วยเหลือมาได้ เขาก็ย่อมคิดหาทุกวิถีทางอยู่แล้ว
“พวกบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล แต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าข้าแกร่งกล้ากว่าเมื่อก่อนพอสมควรแล้ว แต่ก็แค่แกร่งกล้ากว่าอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ข้าประสบกับการเกิดและตายอย่างหนักหน่วงมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้จนศึกษาวิธีการหลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ออกมาได้ จึงจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยพึมพำ
ตอนนั้นผู้ร่วมทางจำนวนหนึ่งบนเส้นทางนั้นของเขา มีบางคนที่ตายตกไป แล้วก็มีผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศน่าอัศจรรย์บางคนที่เดินบนวิถีทางที่เป็นเอกลักษณ์ ถึงแม้ว่าเส้นทางจะผิด แต่ก็ทำให้ตนสำเร็จเป็น ‘ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ได้
ราชันย์อนธการอมตะมิได้เลือกทำเช่นนั้น
เพราะว่าเมื่อใดที่เดินไปถึงก้าวนั้น เส้นทางของการ ‘สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ก็จะถูกตัดขาดเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำให้เคล็ดวิชาการหลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ในอดีตของเขาสมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง รวบรวมเคล็ดวิชาของผู้ร่วมทางคนอื่นๆ มากมาย หรือแม้กระทั่งวัสดุบางอย่างไปทดสอบ ก็ทำให้เขายกระดับวิธีการหลอม ‘ผู้ท่องมรณะ’ ไปจนถึงขั้นที่สูงกว่าได้ในที่สุด
อาศัยซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเป็นพื้นฐาน ‘ผู้ท่องมรณะ’ ที่หลอมออกมาจึงจะกล้าแกร่งพอ!
ราชันย์อนธการอมตะประสบกับทุกสิ่งอย่างเหล่านั้นแล้วจึงเข้าใจว่าความแตกต่างระหว่าง ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ นั้นช่างยิ่งใหญ่ อย่างเช่นผู้ที่บำเพ็ญขึ้นมาจากขั้นอ่อนแอที่สุดมาตลอดทางก็สามารถควบคุมการใช้ประโยชน์จากวิถีได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด ถึงขนาดที่มีโลกกำเนิดแห่งหนึ่งเป็นพื้นฐาน! นั่นจึงจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่ง! ส่วนสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแต่กำเนิดจำนวนหนึ่งนั้น การใช้ประโยชน์จากวิถีล้วนงุ่มง่ามเป็นอย่างยิ่ง อาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ ผู้อ่อนแอจำนวนหนึ่งในบรรดานั้น… ถ้าหากเขามีสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงแล้วมาต่อสู้กัน ก็ย่อมตกเป็นรองอย่างแน่นอน!
“ดินแดนจิตโลกาเป็นสิ่งที่หยวนสรรสร้างขึ้น”
“หยวนเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซึ่งดูเหมือนว่าจะยืนอยู่ที่จุดสูงสุดที่โบร่ำโบราณที่สุด ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าเมืองหลัวผู้เป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ประสบความสำเร็จด้วยการใช้พลังทำลายกฎเลย”
ราชันย์อนธการอมตะมีประสบการณ์อยู่ข้างนอกมากมายถึงเพียงนั้นจึงได้เข้าใจสถานะของหยวนและเจ้าเมืองหลัว
“ได้ยินว่าซากงูใหญ่อันน่าหวาดหวั่นซากหนึ่งที่ทำให้แม้แต่หยวนยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงจะฆ่าให้ตายได้ในตอนนั้นก็ถูกหยวนโยนเอาไว้ในโลกสักแห่งหนึ่งในหุบเขาเขี้ยวหัก” นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะมีความมุ่งมาดปรารถนา สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดของหุบเขาเขี้ยวหักก็คือชิ้นส่วนของซากงูใหญ่ซากนั้น ‘มณีอสรพิษเขี้ยวหัก’ อะไรนั่นก็เป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนหนึ่งที่ไม่สลักสำคัญอันใดของงูใหญ่ตนนั้นเท่านั้นเอง
……
หุบเขาเขี้ยวหักอันตรายเกินไป
ยิ่งเป็นสถานที่สำคัญก็ยิ่งอันตราย! ถึงแม้ว่าราชันย์อนธการอมตะจะเคยเข้าไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็มิกล้าบุกเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามจำนวนหนึ่ง ถ้าหากมี ‘ผู้ท่องมรณะ’ เขาก็มีความมั่นใจแล้ว
รัตติกาลลึกล้ำยิ่งนัก
ที่ชายขอบของดินแดนจิตโลกา ณ ภูเขาร้างอันแห้งแล้งไร้นามแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรา ศีรษะสวมมงกุฎเข้ามายังที่แห่งนี้
“มาแล้ว ช่วงเวลาวิกฤติมาถึงแล้ว”
ราชันย์อนธการอมตะโบกมือคราหนึ่ง
ปัง ปัง ปัง!!!
เสาสำริดต้นแล้วต้นเล่าปรากฏขึ้นกลางอากาศ เสาสำริดมากถึงสิบหกต้นเจาะลึกเข้าไปในแผ่นดิน พวกมันมีขนาดใหญ่ขึ้นและหนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาก็คล้ายกับว่าเสาสูงเสียดฟ้าสิบหกต้นกระจายตัวไปอยู่ทุกหนแห่งของภูเขาร้างแห่งนี้
“โครม” แล้วราชันย์อนธการอมตะก็โบกมือคราหนึ่ง ซากศพของสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าขนาดใหญ่มหึมาหาใดเปรียบร่างหนึ่งเอนอยู่บนภูเขาร้าง บนร่างของมันมีลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโคจรอยู่ บนแขนขาทั้งสี่ล้วนมีโซ่ตรวนพันธนาการอยู่ ตอนนี้โซ่ตรวนเหล่านี้เชื่อมต่อ ‘เสาสำริด’ ที่ราวกับเสามหึมาสูงเสียดฟ้าสิบหกต้นนั้นอย่างรวดเร็ว บนโซ่ตรวนก็มีลวดลายลับโคจรอยู่เช่นกัน ส่งเสริมซึ่งกันและกันกับลวดลายลับบนพื้นผิวซากศพ ก่อตัวเป็นผนึกขนาดมโหฬารขึ้นมา กดดันทั้งซากศพเอาไว้
“ส่วนอื่นๆ ของบรรพชนนิจรัตติกาล โลหิตดั้งเดิมของมันหาได้ยากยิ่ง แข็งแกร่งกว่าพลังชีวิตของหยาดโลหิตภายในกายผู้แกร่งกล้าทางสายหลอมกายไม่รู้ตั้งกี่เท่า” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยชื่นชม
ถึงอย่างไรร่างจริงของบรรพชนนิจรัตติกาลก็คือทะเลโลหิตแห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าของราชันย์อนธการอมตะมีเตาใหญ่อันหนึ่งปรากฏขึ้น ภายในเตาใหญ่มีศิลาอัคคีทิพย์อันล้ำค่าอยู่เก้าชิ้น กระตุ้นเล็กน้อยก็มีเพลิงสีขาวซีดลุกโชติช่วงขึ้นมาแล้ว
จากนั้นราชันย์อนธการอมตะก็ควบคุมอย่างระมัดระวัง เห็นเพียง ‘ทรงกลมหยาดโลหิต’ ที่มีขนาดประมาณศีรษะของคนธรรมดากกลุ่มหนึ่งลอยอยู่ด้านบนของเตาใหญ่อันนี้ ถูกเปลวเพลิงสีขาวซีดนี้เผาไหม้
พรึ่บๆๆ ลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนบนพื้นผิวของทรงกลมหยาดโลหิตกะพริบวาบไหลเวียน ภายในก็ถูกเผาไหม้อย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นความว่างเปล่า ภายในของเหลวค่อยๆ เริ่มปรากฏประกายสีเขียวอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ
เผาไหม้มาจนถึงท้ายที่สุดก็เปลี่ยนแปรกลายเป็นแก้วผลึกสีเขียวขนาดเท่านิ้วมืออันหนึ่งที่รวมตัวเข้าด้วยกัน
ราชันย์อนธการอมตะกลั้นหายใจ
“ไป”
ชี้ไปยังที่ไกลๆ
แก้วผลึกสีเขียวอันนี้ก็ลอยไปทางซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมานั้น
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 46 แผ่นดินสั่นสะเทือน
เพราะว่าเคยมีประสบการณ์การหลอมผู้ท่องมรณะมาก่อนแล้ว แต่เคล็ดลับการหลอมนี้เป็นสิ่งที่ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ฟันฝ่าอุปสรรคอันสาหัสนานาแล้วคิดค้นขึ้นมา ในขณะนี้ก็ย่อมเปี่ยมไปด้วยทักษะและผ่อนคลายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
“ฟึ่บ”
แก้วผลึกสีเขียวชิ้นนั้นแทรกเข้าไปในร่างกายของสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าร่างมหึมาหาใดเปรียบนั้น
ราชันย์อนธการอมตะจ้องมองอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้าง ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ เขาจึงรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของซากสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้านี้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนอย่างยิ่งสายหนึ่งขึ้นมา
“ทุกอย่างเหมือนกับที่คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิดเลย”
“หลังจากที่โลหิตดั้งเดิมหลอมแปรพลังชีวิตอันบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่ขุมนั้นแล้ว ในที่สุดก็เหนี่ยวนำให้เกิด ‘ความมีชีวิตชีวา’ ของซากศพนี้ขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว”
“น้ำทิพย์กลืนโลกา ไป!” ราชันย์อนธการอมตะเอื้อมมือไปคว้าวัตถุประหลาดที่ราวกับอำพันเอาไว้แล้วโยนตรงออกไป วัตถุประหลาดนั้นลอยมาถึงด้านบนของซากสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้า ภายใต้การควบคุมของราชันย์อนธการอมตะ ทันใดนั้นของเหลวเจ็ดสีหยดหนึ่งก็ลอยออกมาจาก ‘วัตถุประหลาดสีอำพัน’ แล้วตกลงไปในร่างของซากสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าเบื้องล่าง เห็นเพียงว่าลวดลายลับจำนวนนับไม่ถ้วนที่สลักอยู่บนพื้นผิวของซากศพนี้ก็ถูกกระตุ้นเช่นเดียวกัน ของเหลวเจ็ดสีเพิ่งสัมผัสโดนก็ถูกดูดกลืนและแปรสภาพในทันที
หนึ่งหยด สองหยด สามหยด…
ราชันย์อนธการอมตะ ‘ให้อาหาร’ อย่างระมัดระวัง ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซากนี้ก็ค่อยๆ มีชีวิตชีวามากขึ้น กลิ่นอายต่างก็หมุนกลิ้งอยู่เป็นระลอกๆ แต่บริเวณโดยรอบมีค่ายกลกดดันอยู่ จึงมิได้แพร่กระจายไปสู่ภายนอก
ใช้เวลาไปสองชั่วยามก็ให้ ‘น้ำทิพย์กลืนโลกา’ หนึ่งร้อยหยดเป็นอาหารจนหมดสิ้น ส่วนท้องของซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็กระเพื่อมขึ้นลงบ้างแล้ว ยามที่หายใจ ลมหายใจก็แผ่กวาดไปโดยรอบ เพียงแต่ยังคงไม่มีสติรับรู้ใดๆ เช่นเดิม
ในท้ายที่สุดสิ่งที่ต้องการควบคุมก็คือซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นซากหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับต่ำมากก็ตาม แต่ก็มิใช่ว่าวิธีการทั่วไปจะสามารถควบคุมได้ เช่นหุ่นเชิดธรรมดาทั่วไป หรือแม้กระทั่งอาวุธ ต่างก็สามารถก่อเกิดจิตวิญญาณได้อย่างง่ายดายยิ่ง! ในทางกลับกัน การจะให้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก่อเกิดจิตวิญญาณนั้น…ยากเย็นกว่าตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
“ช่วงเวลาวิกฤตที่สุดมาถึงแล้ว หึๆ บนดินแดนจิตโลกาคงจะไม่มีใครกล้าทำลายการบูชาของข้ากระมัง” นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะมีประกายหนาวเหน็บ “ใครกล้าขวางข้า ทำลายมันเสีย!”
“เริ่มได้!”
ราชันย์อนธการอมตะประทับตราที่หน้าอก ทุ่มเทอย่างสุดกำลังเหนี่ยวนำควบคุมลวดลายลับที่สลักเสลาอยู่ภายในซากศพนี้อยู่ก่อนแล้ว
ปัง! ปัง! ปัง!
ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมาที่เอนกายนอนอยู่ตรงนั้นแต่กลับกำลังหายใจอย่างแปลกประหลาด ที่บริเวณช่วงหน้าอกและท้องของมันมีกระแสน้ำวนสีดำสามแอ่งปรากฏขึ้นในทันใด
“เร็วเข้าสิ”
ราชันย์อนธการอมตะนึกคิดคราหนึ่งแล้วโยนวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดสามตนนั้นออกมา
วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดก็หมายถึงระดับสุดยอดของวิญญาณแค้น เป็นวิญญาณแค้นที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในบรรดาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่บรรพชนราตรีนิรันดร์จับไปแล้วเคี่ยวกรำบ่มเพาะออกมาในที่สุด วิญญาณแค้นนั้นเป็นวิญญาณกล้าแกร่งอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังอาฆาตอย่างไร้ที่สิ้นสุด ความเคียดแค้นชิงชังเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะผลาญสังหารขั้นอลวนได้เลย! เทพจักรวาลลำพังอาศัยแค่ความโมโห ต่างก็ไม่สามารถมาถึงขั้นนี้ได้
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
ต่อให้วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดสามตนนี้น่าหวาดหวั่นกว่านี้ แต่กลับถูกกระแสน้ำวนสีดำสามแห่งนั้นดูดกลืนลงไปในพริบตาเสียแล้ว ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดทุกตนร้องโหยหวน ไม่ยอมจำนน แต่ก็ได้แต่จมเข้าไปในกระแสน้ำวนสีดำ
“อ๊ากกกก”
“ไม่…”
“ฆ่าๆๆ…”
หลังจากที่กระแสน้ำวนสีดำสามแห่งดูดกลืนวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดไปแล้วก็พุ่งทะยานขึ้น กระแสน้ำวนสีดำทุกสายต่างก็มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงล้านลี้ สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนบนซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมา
ภายในกระแสน้ำวนสีดำยังมีใบหน้าของวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดปรากฏขึ้นมาเป็นระยะๆ! ทุกใบหน้าต่างก็ร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมาน ถึงอย่างไรตอนนี้พวกมันก็กำลังถูกเผาไหม้เป็นพลังงานอยู่
“มาเถิด มาเถิด มาเถิด” ราชันย์อนธการอมตะเผยสีหน้าตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่งออกมา
โครม…
รัฐประเทศแต่ละแห่งที่อยู่บริเวณรอบๆ ทุกแห่งล้วนมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่บริเวณชายขอบของดินแดนจิตโลกา แต่เมื่อรวมกันขึ้นมาแล้วก็ยังคงมีพื้นที่ใหญ่โตมโหฬารอยู่ดี
ในขณะนี้เหนือท้องฟ้าของพื้นที่เหล่านี้กลับมีค่ายกลอันร้ายกาจสีดำปรากฏขึ้น ตอนนี้เป็นยามฟ้าสว่างแจ้งแล้ว แต่ค่ายกลอันร้ายกาจนี้กลับปกคลุมท้องฟ้าอย่างไร้ซึ่งขอบเขต ปกคลุมส่งผลกระทบกินบริเวณรัฐประเทศสิบห้าแห่ง!
ภายในเมืองจำนวนมากในอาณาบริเวณที่ถูกปกคลุมนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ประหลาด หรือเหล่าพืชพรรณมีชีวิตต่างๆ เหล่าผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ ล้วนสัมผัสได้ว่าพลังดูดกลืนดำทะมึนขุมหนึ่งกำลังส่งผลต่อวิญญาณของพวกเขา พวกเขามีบางคนที่กำลังนอนหลับ มีบางคนที่กำลังบำเพ็ญ มีบางคนที่กำลังใช้แรงงานอยู่อย่างยากลำบาก แต่ในขณะนี้วิญญาณแต่ละดวงล้วนพากันออกจากร่างอย่างมิอาจควบคุมได้เลย
“เจ็บปวดเหลือเกิน”
พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าวิญญาณเจ็บปวดรวดร้าวราวกับมีดกรีดเฉือนก็มิปาน
“เป็นอะไร พวกเราเป็นอะไรไปกันนี่”
พวกเขามองไปรอบๆ
พวกเขากำลังลอยขึ้น วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็กำลังลอยขึ้น!
ก้มหน้ามองลงไปยังปราการเมืองเบื้องล่าง ร่างกายร่างแล้วร่างเล่าภายในปราการเมืองต่างก็ร่วงหล่นอยู่ที่นั่น
“ไม่ ไม่…”
ไม่ว่าจะเป็นทารกน้อยที่ยังอยู่ภายในครรภ์มารดา หรือว่าประมุขรัฐแห่งหนึ่งที่สูงส่งไปจนถึงระดับเทพจักรวาลแล้ว ต่างก็ถูกดูดกลืนวิญญาณออกไปจากร่างกายอย่างมิอาจควบคุมได้เช่นเดียวกันทั้งสิ้น
ปราการเมืองแห่งหนึ่ง วิญญาณนับล้านล้านดวงกำลังลอยขึ้นไป
นครหลวงของประเทศแห่งหนึ่ง วิญญาณก็ยิ่งปกคลุมฟ้าบดบังดวงตะวันอย่างแน่นขนัดแล้วถูกดูดกลืนให้ลอยไปยังทิศทางหนึ่ง
กว้างใหญ่ไพศาล…
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนทนรับความเจ็บปวดอันแรงกล้า พวกเขากำลังดิ้นรน กำลังร้องโหยหวน แต่ก็ล้วนไร้ประโยชน์ แม้กระทั่งเทพจักรวาลก็ยังมิอาจดิ้นหลุดออกไปได้
……
รัฐประเทศสิบสองแห่งในรัฐประเทศสิบห้าแห่งที่ได้รับผลกระทบต่างก็ถูกปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง ความมากมายของดวงวิญญาณก็ย่อมมิอาจคาดคะเนได้อยู่แล้ว วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังถูกดูดกลืนให้ลอยไปทาง ‘จุดหนึ่ง’ นั้นไป
“มาเถิดๆ”
ราชันย์อนธการอมตะยืนอยู่กลางอากาศ ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง
ฟิ้ว
ดวงวิญญาณกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลที่อยู่ไกลออกไปถูกเคลื่อนย้ายตรงเข้ามา ถูกกระแสน้ำวนสีดำขนาดยักษ์สามแอ่งที่ปรากฏอยู่กลางเวหาเหนือซากศพขนาดมหึมาของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นดูดกลืนเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
การดูดกลืนนี้ก็จำเป็นจะต้องค่อยๆ เข้ามาทีละก้าว! ราชันย์อนธการอมตะรับผิดชอบจัดหา ‘อาหาร’ เคลื่อนย้ายวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วบริเวณเข้ามา! และตอนนี้วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็กำลัง ‘ลอย’ เพียงแค่ได้รับผลกระทบของการดูดกลืนแล้วก็ลอยมาเท่านั้น
“คาดว่าวิญญาณมากมายขนาดนี้ก็เพียงพอสำหรับระยะเวลาสิบสองวันเป็นอย่างมากที่สุด เผาไหม้วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดเป็นการเหนี่ยวนำ ด้วยการบูชาสรรพชีวิตก็เพียงพอที่จะกระตุ้นจิตวิญญาณของร่างสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่เริ่มแฝงความมีชีวิตชีวานี้เล็กน้อยแล้ว! จิตวิญญาณส่วนหนึ่งก็สามารถหลอมเป็นผู้ท่องมรณะสำเร็จได้แล้ว” ราชันย์อนธการอมตะตั้งหน้าตั้งตาคอยเป็นอย่างยิ่ง
“อะไรกัน”
“นี่…”
ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เหล่าผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดรับสัมผัสฟ้าดินได้เฉียบแหลมกว่าเป็นอันมาก ความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของพวกเขาก็ยังลึกล้ำกว่าอีกด้วย
ยามที่ค่ายกลบูชานี้เริ่มต้นระเบิด พวกเขาต่างก็รู้สึกได้กันแล้วทั้งสิ้น
“บ้าคลั่ง บ้าคลั่งเกินไปแล้ว” ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ซึ่งอยู่ที่พระราชวังหลวงรัฐโบราณคิมหันตวายุดูฉากนี้อยู่ห่างๆ อาศัยความสำเร็จของวิถีอากาศ เขาก็เห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ส่งผลกระทบต่อรัฐประเทศสิบห้าแห่งนั้นแล้ว วิญญาณจำนวนมหาศาลกำลังลอยขึ้นมา ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวน
ในแวบแรกเขาก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาในทันใด!
ราชันย์อนธการอมตะ!
ราชันย์อนธการอมตะ… นั่นคือบุคคลร้ายกาจผู้น่าหวั่นเกรงก่อนสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง ในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ราชันย์อนธการอมตะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง เขาเป็นตัวแทนของ ‘ความตาย’ ไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตมากมายเท่าใดที่ต้องตายไปเพราะเขา
ดินแดนจิตโลกาในตอนนั้น พลังยุทธ์ทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่สู้ปัจจุบันนี้ บวกกับที่ไม่มีผู้ใดสามารถคุกคามราชันย์อนธการอมตะได้เลย
“เป็นเขา” จักรพรรดิเซี่ย ‘มองเห็นแล้ว’ มองเห็นซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นโซ่ตรวนเสาสำริดสิบหกต้นขนาดมหึมาพันธนาการเอาไว้ร่างนั้นแล้ว มองเห็นกระแสน้ำวนสีดำขนาดมหึมาสามแห่งกำลังดูดกลืนวิญญาณจำนวนมหาศาล
……
“เป็นราชันย์อนธการอมตะอย่างนั้นหรือ ได้ยินว่าเนิ่นนานก่อนหน้านี้เขาก็อหังการมากมิใช่หรือ”
จักรพรรดิเทพผลาญโลกานั่งสูงอยู่บนบัลลังก์พลางดูอยู่ห่างๆ เขาในตอนนี้เป็นผู้ที่รู้กันทั่วว่าเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่หยิ่งผยองอหังการที่สุดคนหนึ่ง เพียงแต่ได้เห็นฝีไม้ลายมือเช่นนี้ของราชันย์อนธการอมตะ มองเห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังลอยขึ้นมาเหล่านั้น ได้เห็นซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนั้น จักรพรรดิเทพผลาญโลกาก็ยังอดที่จะอกสั่นขวัญแขวนมิได้
พวกเขายังมีความแตกต่างระหว่างกันอยู่
อย่างเช่นซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันสมบูรณ์แบบซากหนึ่ง มองดูดินแดนจิตโลกา ก็ไม่มีผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ สามารถนำเอาออกมาได้อีกแล้ว
……
“เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เจ้าเมืองอนันต์เดือดดาลอย่างยิ่ง
……
“นับถือ นับถือ” ประมุขรัฐจันทร์บุปผาดูอยู่ห่างๆ แต่ก็เผยรอยยิ้มออกมา “สมกับที่เป็นราชันย์อนธการอมตะจริงๆ พอกลับมาแล้วก็มีฝีไม้ลายมือเช่นนี้”
……
“แผนการของเขาถึงกับต้องใช้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ไปเอาซากมาจากไหนกัน เอามาจากในหุบเขาเขี้ยวหักหรือ หรือว่าได้รับมาจากโลกภายนอกเล่า” บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลก็ดูอยู่ห่างๆ เช่นกัน พวกเขาต่างก็ช่วยจัดหาทรัพยากรบางส่วนมา เพียงแต่ตลอดมาก็ไม่เคยรู้ว่าราชันย์อนธการอมตะต้องการจะทำอะไรกันแน่ ตอนนี้ในที่สุดก็ได้ล่วงรู้เสียที
……
“นี่มันอะไรกัน” บรรพชนแมลงมองดูอยู่ห่างๆ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “เขาถามหาน้ำทิพย์กลืนโลกาก็เพื่อสิ่งนี้เองหรือ”
……
“คนวิปลาสคนหนึ่งแท้ๆ” บรรพชนสามท่านของรัฐโบราณหิมะน้ำแข็งมองดูอยู่ห่างๆ แล้วต่างก็พากันยิ้มหยัน พวกเขาต่างก็เดินบนวิถีใช้พลังทำลายกฎ รังเกียจสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง
……
ถึงแม้ว่าผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดแต่ละคนจะค้นพบได้ตั้งแต่ในครั้งแรกแล้ว แต่ว่าผู้ที่ลงมือจริงๆ ก็มีอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น!
“พรึ่บ” พรึ่บ” “พรึ่บ”
เงาร่างสามสายปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณไม่ห่างจากซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมาแทบจะในเวลาเดียวกัน นั่นก็คือจักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้า
จักรพรรดิเซี่ยก็ทำการควบคุมอากาศ ทำให้วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีถูกเคลื่อนย้ายหยุดลงในทันใด
“หยุดมือนะ” จักรพรรดิเซี่ยตะโกนอย่างโกรธเคือง
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 47 การคุกคามของมารอันน่าหวาดหวั่น
ความเคลื่อนไหวของราชันย์อนธการอมตะในครั้งนี้ใหญ่โตเกินไปแล้วจริงๆ ส่งผลกระทบต่อรัฐประเทศถึงสิบห้าแห่ง
ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ จำนวนหนึ่งจะมิได้มีการรับสัมผัสอันเฉียบแหลมเทียบเคียงได้กับเหล่าขั้นอลวน แต่เมื่อค่ายกลขนาดใหญ่มหึมานั้นโคจรต่างก็รับสัมผัสได้แล้ว
แม้กระทั่งเหล่าขั้นอลวนที่อยู่ใกล้ๆ กับรัฐประเทศสิบห้าแห่งนั้นต่างก็สามารถรับสัมผัสกันได้แล้วทั้งสิ้น
“นี่มันอะไรกัน” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ใต้ศาลาแต่ก็ผุดลุกขึ้นยืนในทันใดแล้วมองไปยังห้วงอากาศไกลออกไป
อาศัยการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกา
เขาก็มองเห็นมหาภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้นที่ชายขอบของดินแดนจิตโลกา เขามองไปยังปราการเมืองแห่งหนึ่งแล้วก็มองเห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน มองไปยังปราการเมืองอีกแห่งหนึ่ง ก็เห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังดิ้นรน วิญญาณมากมายเหลือคณา…กำลังเหินลอยปกคลุมแผ่นฟ้าบดบังดวงตะวัน
“จอมกระบี่ ท่านรู้หรือไม่ว่าที่แท้แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งสารไปถามไถ่จอมกระบี่ แล้วก็ถามไถ่ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างไรการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกาของเขาก็ได้แต่สอดแนมไปทั่วทุกหนแห่งเท่านั้น
“หืม”
สอดแนมพบแล้ว
ตามกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นนั้นไปจนสอดแนมพบต้นตอแล้ว
นั่นก็คือซากสัตว์ประหลาดสี่กีบเท้าขนาดมหึมาร่างหนึ่ง ซากศพถูกโซ่ตรวนเสาสำริดสิบหกต้นพันธนาการเอาไว้ ด้านบนมีกระแสน้ำวนสีดำสีดำขนาดมหึมาสามแอ่ง ภายในกระแสน้ำวนมีวิญญาณกำลังร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา บริเวณรอบๆ ยังมีวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกตรึงเอาไว้กลางอากาศอีกด้วย
จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับชายหนุ่มอาภรณ์ทองหรูหรา ศีรษะสวมมงกุฎอีกคนหนึ่ง
“เป็นราชันย์อนธการอมตะ” ทางด้านจอมกระบี่ส่งสารมา “ดูเหมือนว่าราชันย์อนธการอมตะจะกำลังสำแดงเคล็ดการบูชาอะไรสักอย่างอยู่ ซากศพนั้นคือซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น เขาอาศัยวิญญาณทั้งหมดของรัฐประเทศสิบห้าแห่งรอบๆ รวมทั้งวิญญาณเทพจักรวาลของประมุขรัฐประเทศเหล่านั้นมาทำการบูชา! การบูชาเพิ่งเริ่มต้น พวกจักรพรรดิเซี่ยก็เข้าไปทำการขัดขวางแล้ว”
“บ้าคลั่งเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี
บูชามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เปรียบเทียบกับวิธีการของราชันย์อนธการอมตะแล้ว การบูชาโลหิตเมืองสักแห่งหนึ่งก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย รัฐประเทศแห่งหนึ่งมีเมืองมากมายเพียงใด รัฐประเทศเกือบสิบห้าแห่งเลยทีเดียวนะ! น่าจะเป็นประชากรราวๆ หนึ่งหรือสองส่วนในร้อยส่วนของดินแดนจิตโลกาเลยทีเดียว! ดินแดนจิตโลกาเจริญรุ่งเรืองกว่าโลกกำเนิดบ้านเกิดของตนเป็นอันมาก ด้านหนึ่งก็เพราะบ้านเกิดเคยผ่าน ‘การแหลกสลายของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ จนแหล่งต้นกำเนิดสูญสิ้นไปอย่างมหาศาล ส่งผลให้จำนวนประชากรน้อยกว่ายุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม สอง ดินแดนจิตโลกาเป็นสิ่งที่หยวนตั้งใจสรรสร้างและปกป้องดูแล จำนวนผู้บำเพ็ญก็ต้องเหนือกว่าโลกกำเนิดธรรมดาทั่วไปเป็นอันมากอยู่แล้ว
เพียงแค่หนึ่งหรือสองส่วนในร้อยส่วนของดินแดนจิตโลกาก็มากพอที่จะเทียบเคียงได้กับผู้คนราวๆ ส่วนหนึ่งของบ้านเกิดได้แล้ว
ตนเองจัดการกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่บ้านเกิด ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังช่วยเหลือได้เป็นอันมาก เขามิอาจลืมเลือนแรงปะทะที่เกิดขึ้นจากเสียงแซ่ซ้องตามสัญชาตญาณของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนพรรค์นั้นได้เลย
“บูชาสิ่งมีชีวิตมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดือดดาลอย่างยากที่จะเชื่อได้
ต่างก็ว่ากันว่าราชันย์อนธการอมตะเป็นตัวแทนของ ‘ความตาย’
เพียงแต่เมื่อได้เห็นกับตาตนเองเขาก็ยังพรั่นพรึงอยู่ดี!
“เขากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงโมโหเป็นอย่างยิ่ง
……
ภายใต้การติดตามของตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรวาลต่างๆ มากมาย เรื่องนี้ก็มีผลกระทบยิ่งใหญ่เหลือเกิน เหล่าผู้แกร่งกล้าส่งข่าวสื่อสารกัน แม้กระทั่งขั้นอลวนต่างก็ล่วงรู้กันทั้งสิ้น เพียงชั่วพริบตาผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็ให้ความสนใจกับภูเขาร้างไร้นามแห่งนั้นกันหมด! ให้ความสนใจว่าพวกจักรพรรดิเซี่ยจะสามารถขัดขวาง ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ได้หรือไม่
“จักรพรรดิเซี่ย ได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาในยุคปัจจุบันนี้อย่างนั้นหรือ” ราชันย์อนธการอมตะผู้หล่อเหลางดงามอมยิ้มน้อยๆ “สามารถบำเพ็ญวิถีสองสายไปจนถึงขั้นสุดยอดได้ ก็นับว่าเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ แต่ก็ยังไร้เดียงสาไปสักหน่อยอยู่ดี”
จักรพรรดิเซี่ยสีหน้าเข้มขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ตะเบ็งเสียงเอ่ยว่า “ราชันย์อนธการ ท่านถึงกับสำแดงเคล็ดวิชาลับดูดกลืนวิญญาณมากมายมหาศาลถึงเพียงนนี้ ส่งผลกระทบต่อรัฐประเทศสิบห้าแห่ง ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกามีรัฐประเทศอยู่ทั้งหมดเพียงแค่เท่าไหร่เอง ท่านทำเกินไปแล้วนะ เรื่องพรรค์นี้เกรงว่า ‘หยวน’ ก็จะต้องมีบทลงโทษลงมาอย่างแน่นอน”
“ราชันย์อนธการ ท่านเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานสักเท่าไหร่ ก็อย่าทำอะไรให้มันมากเกินไปนักเลยดีกว่า สังหารสิ่งมีชีวิตมากมายเช่นนี้ นี่เป็นบาปมหันต์เลยทีเดียวนะ” เจ้าเมืองอนันต์ก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน
ประมุขรัฐเสียดฟ้าก็เอ่ยว่า “ราชันย์อนธการ ได้โปรดปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอเหล่านี้ด้วยจิตใจเมตตากรุณาสักหน่อยเถิดนะ”
ราชันย์อนธการอมตะแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “เอาล่ะ อย่าได้สิ้นเปลืองวาจากันอีกเลย การบูชาในครั้งนี้มีความสำคัญต่อข้าเป็นอย่างมาก พวกเจ้าหน้าไหนก็อย่าได้มาขัดขวางข้า”
เขาโบกมือขวาคราหนึ่ง
บนฝ่ามือก็มีเปลวเพลิงลุกโชน
เปลวเพลิงนั้นแฝงไว้ด้วยการทำลายล้างและความตาย
จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้าได้เห็นเหตุการณ์แล้วต่างก็หน้าถอดสี สามารถมองออกได้จากกระบวนท่านี้ว่าพลังยุทธ์ของราชันย์อนธการอมตะมิได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิเซี่ยเลย!
“ดินแดนจิตโลกาแห่งนี้เป็นสถานที่ที่หยวนปกป้องดูแลอยู่นะ” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยเสียงเย็น
“ข้ารู้จักอุปนิสัยของหยวนดียิ่งกว่าเจ้าเสียอีก” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน “ในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่น หยวนก็นับได้ว่าปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ก็ไม่มีทางมาขัดขวางแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก อย่างเช่นสถานที่ที่มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นคุ้มครองอยู่บางแห่ง ที่ให้สรรพชีวิตในโลกกำเนิดทั้งหมดตายไปเพียงเพื่อให้ผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งได้ก้าวหน้าขึ้นก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ข้าก็เพียงแค่บูชาชีวิตในดินแดนจิตโลกาเพียงแค่ส่วนสองส่วนในร้อยส่วนเท่านั้นเอง นี่จะนับเป็นอะไรได้เล่า สำหรับทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว เพียงไม่นานก็ขยายพันธุ์มาทดแทนได้แล้วล่ะ”
“ดินแดนจิตโลกาในตอนนี้แย่ตรงที่ดินแดนไม่กว้างใหญ่พอ การขยายเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตไปถึงขีดสุดเสียแล้ว บูชาเพียงนิดเดียวก็ยังอาจทำให้ทั่วทั้งดินแดนเกิดระลอกคลื่นมากสักหน่อย มีความสนุกมากสักหน่อย”
ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยตามใจชอบ “ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบ หยวนก็ไม่มีทางมายุ่งวุ่นวายหรอก”
“ยังมีพวกเจ้าสามคนนี่อีก”
“รีบๆ จากไปเร็วๆ เสียจะดีกว่านะ” มุมปากของราชันย์อนธการอมตะผุดรอยยิ้มเย็นรอยหนึ่งขึ้นมา
จักรพรรดิเซี่ยกวาดตามองปราดหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นว่า “ราชันย์อนธการ เกรงว่าพลังยุทธ์ของท่านกับข้าจะมิได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่หรอกนะ ถึงจะคุกคามท่านมิได้ แต่การจะทำลายงานของท่าน ทำลายค่ายกลของท่านนั้นสามารถทำได้อย่างสบายๆ ข้าขอเตือนว่าท่านเบามือสักหน่อยจะดีกว่า”
“เจ้าช่างบังอาจนัก!”
ราชันย์อนธการอมตะเผยสีหน้าดุร้ายออกมา น้ำเสียงเยียบเย็นราวกับลอยออกมาจากหุบเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุด “ข้าใช้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ข้าใช้สิ่งล้ำค่ามากมาย ทุ่มเทอะไรไปมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อการบูชาในครั้งนี้! ผู้ใดบังอาจทำลายงานของข้า ข้าขอสาบานว่าจะต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อให้มันต้องนึกเสียใจภายหลัง! ศิษย์รุ่นหลังของพวกเจ้า บรรดาเจ้านายของพวกเจ้า รัฐประเทศของพวกเจ้า เมืองของพวกเจ้า… ข้าจะฆ่า ฆ่า ฆ่า เสียให้สิ้น!”
จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ และประมุขรัฐเสียดฟ้าได้ยินเสียงนี้แล้วต่างก็อดที่จะหัวใจสั่นสะท้านคราหนึ่งมิได้
พวกเขาต่างก็รู้ว่าราชันย์อนธการอมตะมิได้โป้ปด
เพราะก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง เขาก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว! เขาเป็นตัวแทนของ ‘ความตาย’!
“เส้นทางการบำเพ็ญอื่นๆ ของข้าล้วนไม่มีหวังแล้วทั้งสิ้น ข้าคร้านจะต่อสู้กับพวกเจ้า! รอให้การบูชาสิ้นสุดลงแล้วข้าก็จะเข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหักแล้วไม่กลับออกมาอีกเลย” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “พวกเจ้ารู้เอาไว้เสีย อย่าได้มารบกวนข้า มิฉะนั้น… พวกเจ้าก็คงรู้นะว่าข้าจะทำเช่นไร”
จักรพรรดิเซี่ยมีสีหน้าไม่น่าดู
คนบ้า
ราชันย์อนธการอมตะก็คือคนบ้าคนหนึ่ง! นอกจากนี้ยังเป็นคนบ้าที่ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ อีกด้วย เขาไม่มีรัฐประเทศ ไม่มีขุมอำนาจใต้บังคับบัญชาใดๆ ให้ต้องสนใจ ราชันย์อนธการอมตะเดือดดาลขึ้นมา เช่นนั้นก็ไม่อยากคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเลย
“เฮ้อ ราชันย์อนธการ ท่านวิปลาสเช่นนี้ ในที่สุดก็จะต้องนึกเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน” เจ้าเมืองอนันต์ถอนหายใจเสียงหนึ่งแล้วหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
“ไปเถิด” ประมุขรัฐเสียดฟ้าก็ส่ายศีรษะ
จักรพรรดิเซี่ยมองราชันย์อนธการอมตะอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่งแล้วก็หายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดียวกัน
พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงจิตใจอันแน่วแน่ของราชันย์อนธการอมตะเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เรื่องนี้มีความสำคัญกับราชันย์อนธการอมตะเป็นอย่างยิ่ง ไปทำลายเรื่องของเขา เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่อยากทนรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย
“เฮอะ” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มเย็น
ไม่มีการขัดขวางของพวกจักรพรรดิเซี่ยแล้ว
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนกลางอากาศก็เหินลอยไปยังกลางกระแสน้ำวนสีดำสีดำขนาดมหึมาสามแอ่งอีกครั้ง
“ไม่นะ…”
“ช่วยพวกเราด้วย ช่วยพวกเราด้วย”
“ไม่อยากตาย ไม่อยากตาย”
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ก่อนหน้านี้หยุดค้างอยู่กลางอากาศได้เห็นพวกจักรพรรดิเซี่ย ผู้แกร่งกล้าที่น่าหวาดหวั่นทั้งสามคนจากไปแล้วต่างก็กระวนกระวายกันขึ้นมาในทันใด แล้วพากันร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
……
ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้แกร่งกล้าแต่ละฝ่ายล้วนนิ่งเงียบ
พวกจักรพรรดิเซี่ยร่นถอยไปแล้ว
ทุกฝ่ายต่างก็ล่วงรู้ถึงการคุกคามของ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ แล้ว แม้แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่พินิจดูการเปลี่ยนแปลงของริมฝีปากของพวกเขา พินิจดูกระแสอากาศระลอกคลื่นบริเวณรอบๆ ผ่านการสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกา ก็ยังสามารถล่วงรู้เนื้อความในคำพูดได้
สำหรับพวกจักรพรรดิเซี่ยแล้ว
ไปช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชายของของรัฐประเทศสิบห้าแห่ง เกรงว่ารัฐประเทศทางฝ่ายตนก็จะบาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน แม้กระทั่งพลังยุทธ์ของจักรพรรดิเซี่ยก็ยังสามารถคุ้มครองได้เพียงแค่ปราการเมืองไม่กี่แห่งเท่านั้น รัฐโบราณคิมหันตวายุใหญ่โตเกินไป ‘สกุลเซี่ย’ สืบเชื้อสายมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เชื้อสายก็กระจายไปทั่วปราการเมืองทุกแห่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุ! ชีวิตที่ตายไปในรัฐประเทศสิบห้าแห่งนั้น กับการตายของเผ่าพันธุ์ตน… พวกจักรพรรดิเซี่ยก็ได้ทำการเลือกเรียบร้อยแล้ว
แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามที่มีจิตใจเมตตาต่อผู้อ่อนแอต่างก็ร่นถอยกันไปแล้ว
หรือกระทั่งประมุขรัฐจันทร์บุปผา บรรพชนราตรีนิรันดร์ อ๋องสัตว์โลกา และคนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่สามารถขัดขวางได้แล้ว พวกเขาบางคนถึงขนาดที่ชมดูเรื่องวุ่นวายนี้อย่างสนุกสนาน
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน”
ในบรรดาเทพจักรวาลก็มีบางคนที่มีใจเมตตาสงสาร ก็โมโหและกระวนกระวายขึ้นมา
“หรือว่าจะมองดูทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นตาปริบๆ เช่นนี้เล่า”
“ใครจะกล้าไปกันเล่า ราชันย์อนธการอมตะสามารถหยิบเอาซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นออกมาได้ตามใจชอบ ก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่ง เขาก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทานอยู่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้เขามีพลังยุทธ์เช่นไรแล้ว ไม่แน่ว่าแม้กระทั่งรัฐโบราณก็ยังไม่สามารถขัดขวางการแก้แค้นของเขาได้เลยเสียด้วยซ้ำ! แล้วใครจะกล้าไปขัดขวางเขากันเล่า”
“เฮ้อ…”
ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากโศกสลดอยู่ในใจ มองดูทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ
“มิใช่ว่าคนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นจะขัดขวางมารทั้งหมดทั้งมวลหรือไร คราวนี้เขากล้าโผล่ออกมาหรือไม่เล่า”
“นี่คือราชันย์อนธการอมตะเชียวนะ! มารธรรมดาทั่วไปจะมาเปรียบเทียบได้อย่างไรกัน แต่ว่าตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าเป็นความลับ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้” ทุกฝ่ายพากันวิพากษ์วิจารณ์ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่กล้าออกมา
……
ภายในเมืองหิมะเหิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูทุกสิ่งทุกอย่าง ยามที่มองดูพวกจักรพรรดิเซี่ยร่นถอย สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเสียแล้ว
“เสวี่ยอิง เจ้าอย่าได้ปรากฏตัวเป็นอันขาดเชียวนะ ราชันย์อนธการเป็นคนบ้าคนหนึ่ง เขาเป็นร่างแปรของความตาย อย่าได้ไปยั่วยุเขาเลย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากำลังส่งสารให้กับตงป๋อเสวี่ยอิง เขาถ่ายเสียงอย่างกระวนกระวาย “เจ้าเคยบอกว่าหากพลังยุทธ์ไม่เพียงพอก็ต้องอดทน มีพลังยุทธ์ยิ่งใหญ่เพียงใดก็ยิ่งทำการใหญ่ได้มากเท่านั้น…พลังยุทธ์ของราชันย์อนธการอมตะล้ำลึกจนมิอาจคาดเดาได้เลยทีเดียวนะ”
“เสวี่ยอิง! เคล็ดวิชาลับของราชันย์อนธการยากคาดเดาได้ ฟังที่จักรพรรดิเซี่ยพูดเถิด ราชันย์อนธการเคยไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างลึกลับบางแห่งในห้วงมิติคละถิ่นมาแล้ว มีประสบการณ์มากมาย ถ้าหากเจ้าปรากฏตัวก็จะต้องอันตรายเป็นอย่างมาก” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดู
การสอดแนมส่งถ่ายทลายโลกาของเขามองเห็นวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ท้องฟ้าเบื้องบนของปราการเมืองแต่ละแห่งและอาณาบริเวณแห่งแล้วแห่งเล่าเหล่านั้น
มีพวกเขาบางคนที่ยังคงเป็นเพียงแค่วิญญาณเด็กเท่านั้น มีบางส่วนที่เป็นวิญญาณเยาว์วัยที่อ่อนแอ มีบางส่วนที่เป็นวิญญาณผู้บำเพ็ญที่แกร่งกล้า ทั้งชายหญิง ทั้งเด็กและคนชรา ผู้บำเพ็ญทุกเผ่าพันธุ์… จำนวนมากมายเหลือคณา แต่พวกเขาดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ ในขณะนี้ผู้ใดบนดินแดนจิตโลกาจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้กันเล่า
มองดูพวกเขาถูกดูดกลืนไปตาปริบๆ เช่นนี้น่ะหรือ
“ราชันย์อนธการอมตะ คงจะต้องเผชิญหน้ากับท่านจริงๆ เสียแล้วสินะ” ยามที่ห้ำหั่นกับมารจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกานั้นตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เคยคิดมาก่อนว่าอาจจะต้องเผชิญกับราชันย์อนธการอมตะ บุคคลที่ชั่วร้ายน่าหวาดหวั่นที่สุดในตำนานเล่าขานผู้นั้นเข้าสักวัน!
……
ณ ภูเขาร้างไร้นาม
ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นขนาดมหึมา กระแสน้ำวนสีดำขนาดยักษ์สามสายกำลังดูดกลืนวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน ราชันย์อนธการอมตะผู้หล่อเหลางดงามที่อยู่ด้านข้างยืนอยู่กลางอากาศ มองดูทั้งหมดนี้อย่างเย็นชา เขาเชื่อว่าทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางเขาได้!
“หืม” ราชันย์อนธการอมตะหันหน้าไปมอง “ยังมีผู้ที่บังอาจถึงเพียงนี้อยู่อีกหรือ”
รอยแยกสีดำปรากฏวาบขึ้นที่กลางอากาศ บุรุษอาภรณ์ขาวคนหนึ่งเดินออกมา ซึ่งก็คือรูปลักษณ์ของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ หลังจากที่เปลี่ยนแปลงกลิ่นอาย ดัดแปลงรูปลักษณ์แล้วนั่นเอง
“คนวิถีจิตฟ้า!”
“คนวิถีจิตฟ้าปรากฏตัวขึ้นจริงๆ เสียแล้ว”
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 48 ตัวตนเปิดเผย
“เสวี่ยอิงเขา…” ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองเห็นฉากนี้อยู่ลิบๆ ผ่านการส่งถ่ายทลายโลกา สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างมิอาจควบคุมได้ เขาส่ายหน้าเล็กน้อย
เขาไม่อยากเห็นฉากนี้เลยจริงๆ!
แม้จะรำคาญใจอยู่ลึกๆ ถึงขั้นหวังว่าราชันย์อนธการอมตะจะตายตกไป แต่ถึงอย่างไรเขาก็เคยลั่นสัตย์สาบานเอาไว้ จึงกลายเป็นศิษย์ของราชันย์อนธการอมตะ
อีกฝั่งหนึ่ง ก็คือศิษย์ที่เขามีความสัมพันธ์อันดียิ่งอย่างแท้จริง เขาไม่อยากให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นปฏิปักษ์กับราชันย์อนธการอมตะผู้น่าหวาดหวั่นนี่เลยจริงๆ!
“เสวี่ยอิงเก็บงำกลิ่นอาย กระบวนท่าการต่อสู้ที่เขาเชี่ยวชาญก็ไม่เคยสำแดงโดยใช้สถานะ ‘จ้าวหิมะเหิน’ มาก่อน ความคงไม่แตกหรอกกระมัง” จอมกระบี่ที่ใส่ใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกันก็มองดูอยู่ห่างๆ “กลัวก็แต่ว่าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้…จะมีวิธีการใดที่ยังไม่รู้อีกบ้าง”
สิ่งที่ไม่รู้ จึงจะน่ากลัวที่สุด
ราชันย์อนธการอมตะโยนศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างหนึ่งออกมา ทำให้บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดของทั้งดินแดนจิตโลกาหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปหมด
“ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้คนวิถีจิตฟ้ากล้าปรากฏกาย ข้าก็นับถือเขา เยี่ยมยอดนัก” เมื่อพวกจักรพรรดิเซี่ยถอยไป ผู้แกร่งกล้าทั้งหลายสัมผัสได้ถึงความอดสูใจแต่ก็ไร้กำลัง บัดนี้ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ปรากฏกาย แม้พวกเขาจะไม่มั่นใจในคนวิถีจิตฟ้าสักเท่าใดนัก แต่ในเมื่อกล้าปรากฏกาย พวกเขาก็นับถือในความกล้าหาญของคนวิถีจิตฟ้าแล้ว
……
ไม่ต้องสนใจว่าโลกภายนอกจะคิดอย่างไร
ตงป๋อเสวี่ยอิงยอมออกมา ก็เพื่อสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น
ตู้ม เพียงชั่วความคิดเดียวก็ควบคุมอากาศให้ควบคุมวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ เขาใช้การกระทำแสดงจุดยืนของตนเอง จากนั้นจึงเอ่ยปากพูดว่า “ราชันย์อนธการ…”
เพิ่งจะปริปากไป!
“บังอาจนัก เจ้าคู่ควรมาสอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้าด้วยหรือ” เสียงของราชันย์อนธการอมตะสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน มือหนึ่งกลับปกคลุมเข้ามา ฝ่ามือนั้นประหนึ่งความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุด เพียงมือเดียวก็ยังใหญ่โตกว่าทั้งจักรวาลมากนัก ความดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับถอยไปทันที
ฟิ้ว
ขณะเดียวกับที่ถอยไปนั้น รอบด้านกลับมีน้ำวนอากาศอันบิดเบี้ยวปรากฏขึ้น ที่ปลายสุดของน้ำวนเป็นทางเชื่อมอันดำมืด
“สวบ”
อานุภาพของฝ่ามือหนึ่งของราชันย์อนธการอมตะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง น้ำวนอากาศกำลังสลายไป ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงประสบกับการรุกรานอันดำมืดนั้นก็ฝืนทะลุผ่านทางเชื่อมอันดำมืดไป แล้วหลบไปไกลกว่าสิบล้านลี้
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายห่างออกไปสิบล้านลี้ บนร่างก็เต็มไปด้วยโลหิตสดๆ ร่างกายกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
“กายหยาบของเขานี่เทียบได้กับขั้นสุดยอดด้านฝึกกายคนหนึ่งเลยทีเดียว ร้ายกาจๆ ถึงด้านพลังชีวิตจะอ่อนแอกว่าขุมใหญ่ แต่วิธีการป้องกันก็เหมือนจะร้ายกาจยิ่งกว่า” ราชันย์อนธการอมตะเอ่ยปากขึ้น “สามารถรับกระบวนท่าหนึ่งของข้าได้โดยไม่ตาย ก็มีคุณสมบัติพอจะเอ่ยวาจาได้ มีอะไรอยากพูดก็พูดมาให้เต็มที่เถิด”
ราชันย์อนธการอมตะจ้องมองคนวิถีจิตฟ้าตรงหน้าเขม็ง
นี่เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งเท่านั้น ก็ยังมิอาจฆ่าให้ตายได้! แม้จะกล่าวว่าเขามิได้ทุ่มสุดกำลัง แต่คนวิถีจิตฟ้าก็มีร่างแยกตั้งหลายร่าง!
“ราชันย์อนธการ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “ท่านเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นนี้ ไม่กลัวหยวนจะลงโทษเอาหรอกหรือ ท่านบอกว่าท่านเข้าใจนิสัยของหยวนดี แต่เวลาล่วงเลยไป…ความคิดของหยวนเกี่ยวกับเรื่องจะจัดการโลกกำเนิดอย่างไรอาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็ได้ เท่าที่ข้ารู้ ‘เจ้าเมืองหลัว’ คงจะเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่แข็งแกร่งมากท่านหนึ่ง เขาเวทนาผู้ที่อ่อนแอมากยิ่งกว่า ภายใต้ผลกระทบจากเจ้าเมืองหลัว เกรงว่าความคิดของหยวนคงจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย”
ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
เป็นไปได้จริงๆ เสียด้วย!
เขารู้อะไรมากกว่า เจ้าเมืองหลัว สิ่งมีชีวิตที่ ‘ใช้พลังทำลายกฎ’ จนสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นผู้นั้น ค่อนข้างปกป้องผู้ที่อ่อนแออย่างแท้จริง เขาเมตตามากกว่า ‘หยวน’ อยู่บ้าง
“ท่านเข่นฆ่าเช่นนี้ เมื่อหยวนลงโทษ ท่านจะสามารถทนรับได้หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“เฮอะๆ หยวนมีสถานะเช่นใดกัน ความคิดของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปง่ายๆ ได้อย่างไร” ราชันย์อนธการอมตะพูดเสียงเย็นชา เขาไร้ทางเลือก! หากไม่หลอมแปรผู้ท่องมรณะออกมา เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาเขี้ยวหักได้เลย
“นอกจากหยวนอาจจะลงโทษแล้ว ข้า คนวิถีจิตฟ้าก็จะพยายามขัดขวางการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของท่านด้วย” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงมีแววหนาวเหน็บกะพริบวาบขึ้นมา
“เจ้ากล้ารึ!” ราชันย์อนธการอมตะโมโหใหญ่
“แน่นอนว่าข้าต้องกล้าอยู่แล้ว! ราชันย์อนธการมีพลังแข็งแกร่ง ข้าทำอะไรท่านมิได้หรอก แต่ว่าค่ายกลของเจ้าในครั้งนี้ปกคลุมไปถึงสิบเก้ารัฐ! ค่ายกลอันใหญ่โตเช่นนี้ ราชันย์อนธการคงต้องทุ่มเทความคิดจิตใจไปมากมายจึงจะหลอมแปรขึ้นมาได้สำเร็จกระมัง ข้าเลือกที่แห่งหนึ่งตามอำเภอใจ แล้วทำลายจุดสำคัญของค่ายกลสักแห่งก็ใช้ได้แล้ว ด้วยผลสำเร็จทางด้านอากาศของข้า ร่างแยกของข้ามีมากมาย…หากใช้ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกากระจายตัวกันไปทั่วทุกหนทุกแห่งแล้วทำลายตามอำเภอใจ ท่านจะสามารถขัดขวางได้สักกี่แห่งกัน”
ราชันย์อนธการอมตะฟังแล้วสีหน้าก็ไม่น่ามองสักเท่าใดนัก
หากร่างแยกนับร้อยร่างแยกกันลอบโจมตีทั่วทุกหนแห่ง ราชันย์อนธการอมตะนั้นไม่เข้าใจศาสตร์ร่างแยก! เขาทำได้เพียงขัดขวางแค่แห่งหรือสองแห่งเท่านั้น
ด้วยพลังของคนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ การทำลายค่ายกลก็เป็นเรื่องง่ายมาก
“หากเจ้ากล้าทำเช่นนี้”
ราชันย์อนธการอมตะพูดเสียงต่ำว่า “ข้าก็จะเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน เจ้าขัดขวางข้ามิได้หรอก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับส่ายหน้า “ถึงข้าไม่ขัดขวางท่าน ท่านก็เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตทั้งสิบห้ารัฐอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงยังต้องถอยอีกเล่า”
ขอเพียงขัดขวางและทำลายล้าง
ต่อให้ราชันย์อนธการอมตะระบายโทสะออกมา เชื่อว่าการเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตก็คงไม่เกินกว่าจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งสิบห้ารัฐ เพราะหากมากกว่านี้ ‘หยวน’ ก็อาจจะมาลงโทษแล้ว
ราชันย์อนธการอมตะถึงขั้นไม่กล้าระบายโทสะเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อเขาระบายโทสะออกไปตามอำเภอใจครั้งหนึ่ง ในภายหน้าหากคิดจะ ‘บูชา’ เนื่องจากเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตเพื่อระบายโทสะมากเกินไป เขาก็มิอาจบูชาขนานใหญ่อย่างแท้จริงได้
“เจ้า…เจ้า…”
นัยน์ตาทั้งสองของราชันย์อนธการอมตะมีแววอาฆาตเดือดพล่าน
จักรพรรดิเซี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็ถอยกันไปหมดแล้ว แต่คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ยังคงไม่ล่าถอย
ถึงตนจะเอาสรรพชีวิตมาขู่ คนวิถีจิตฟ้าก็ยังไม่สนใจอยู่ดี
“จักรพรรดิเซี่ย เจ้าเมืองอนันต์ พวกท่านรัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาจะไม่ขัดขวางเขากันสักคนเลยหรือ จะปล่อยให้เขาทำลายการใหญ่ของข้าหรือ” ราชันย์อนธการอมตะถ่ายเสียงพูด
“รัฐโบราณสหโลกาของข้าไม่มียอดฝีมือพรรค์นี้”
“รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าก็ไม่มียอดฝีมือระดับนี้เช่นกัน”
แต่ละคนพากันถ่ายเสียงตอบ
เห็นได้ชัดว่ารัฐโบราณต่างๆ เช่นรัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาล้วนดูอยู่ข้างๆ โดยไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลแห่ง ‘รัฐโบราณบรรพชน’ ก็พากันชมดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ พวกเขาไม่ชอบคนวิถีจิตฟ้า และไม่ชอบ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ผู้นี้เช่นกัน! ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งตัวตนเป็นปริศนา ไร้เรื่องที่ต้องห่วงพะวง เป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอด ส่วนอีกคนก็ไร้เรื่องห่วงพะวงเช่นกัน แต่กลับเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในตอนนี้
ราชันย์อนธการอมตะลอบหงุดหงิดใจ
เขาก็มิอาจใช้อานุภาพกดดันอีกฝ่ายได้
มิเช่นนั้นแล้วสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งหลายร่วมมือกัน ราชันย์อนธการอมตะก็ยุ่งยากใหญ่แล้ว
“ดีมาก”
“คนวิถีจิตฟ้า เจ้านี่ช่างบังอาจดีจริงๆ ยอมออกมาเพื่อมดปลวกจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้ เพียงคนเดียวก็สามารถบีบมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้แล้ว” ราชันย์อนธการอมตะยิ้มหยัน “มิใช่เพราะว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าหรือไร น่าเสียดายที่ข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเข้าเสียแล้ว!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสีหน้าเปลี่ยนแปรไปเสียแล้ว
รู้จักตัวตนของตนอย่างนั้นหรือ
ราชันย์อนธการอมตะน่ะหรือ จริงหรือหลอกกันแน่
“อะไรนะ”
“เขารู้จักตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าอย่างนั้นหรือ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
“ที่แท้แล้วคนวิถีจิตฟ้าคือใครกัน ที่แท้แล้วคือใครกัน รีบพูดมาเร็วเข้า พูดออกมา” บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดทั้งหลายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาที่จับตามองที่นี่อยู่พากันกังวลใจเป็นอันมาก บ้างก็ตกตะลึง บ้างก็โห่ร้องด้วยความตื่นเต้น บรรดามารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น รอคอยวันนี้มาตั้งนานแล้ว! รอคอยวันที่จะตรวจสอบจนพบตัวตนที่แท้จริงของคนวิถีจิตฟ้า!
เพียงแต่พวกเขาก็ทำไม่ได้ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ในตำนานผู้นี้ถึงกับเอ่ยวาจานี้ออกมา กล้าพูดเช่นนี้ จะต้องมั่นใจอย่างแน่นอน
ราชันย์อนธการอมตะมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากมีรอยยิ้มผุดขึ้นมา “ทำไม ไม่เชื่อรึ”
วิ้ง
ราชันย์อนธการอมตะขบกรามกรอด
หัวใจของเขาเป็นสีทองอย่างน่าประหลาด ราวกับโลหะอย่างไรอย่างนั้น ยามนี้โลหิตสีทองหยดหนึ่งกำลังแผดเผา นัยน์ตาทั้งคู่ของราชันย์อนธการอมตะฉายแสงสีทองออกมา นัยน์ตาสีทองทั้งคู่ราวกับมองทะลุอดีตและอนาคต ประหนึ่งมองทะลุปรุโปร่งทุกสิ่ง และมองเห็นคนวิถีจิตฟ้าตรงหน้าผู้นั้น คนวิถีจิตฟ้าเก็บงำกลิ่นอายวิญญาณจนหมด ยามนี้กลับถูก ‘ดวงตาสีทองอันแปลกประหลาด’ คู่นี้มองเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง การปลอมแปลงนั้นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง!
ราชันย์อนธการอมตะตอกตะลึงไปบ้าง จากนั้นก็มองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ แล้วถ่ายเสียงพูดว่า “รัฐเมฆทักษิณา อิงซานเสวี่ยอิงใช่ไหม ที่ข้าพูดถูกต้องหรือไม่”
เขาถ่ายเสียงพูด เห็นได้ชัดว่าไม่อยากฉีกหน้า
สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปรไป
ถูกพบเข้าแล้ว
ถูกพบเข้าแล้วจริงๆ
“จะว่าไปแล้ว เจ้าก็มีศักดิ์เป็นศิษย์หลานของข้าอีกต่างหาก” ราชันย์อนธการอมตะถ่ายเสียงพูด “ศิษย์หลานคนดี รีบจากไปโดยเร็วเถิด อย่าทำให้งานใหญ่ของข้าเสียหายเลย แล้วครั้งนี้ข้าก็จะละเว้นเจ้า มิเช่นนั้นแล้ว อย่าได้โทษว่าข้าแล้งน้ำใจก็แล้วกัน”
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 49 ราชันย์อนธการอมตะผู้โกรธแค้น
ผู้แกร่งกล้าระดับยอดทั้งหลายของดินแดนจิตโลกาใช้วิธีการต่างๆ นานาเพื่อชมดูการประจันหน้ากันระหว่างราชันย์อนธการอมตะและคนวิถีจิตฟ้า
ยามนี้ สีหน้าของคนวิถีจิตฟ้าไม่น่ามองเอาเสียเลย! ราชันย์อนธการอมตะกลับยิ้มเย็นอย่างได้ใจ…
“เห็นทีราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ตะพบตัวตนที่แท้จริงของคนวิถีจิตฟ้าเข้าจริงๆ เสียแล้ว”
“รีบเปิดเผยออกไปเร็วเข้า”
“รีบเปิดเผยเร็วเข้า”
“ดูท่าแล้วคงจะกำลังถ่ายเสียงพูดคุยกัน ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ไม่มีทางเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน!”
“ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้จะเปิดเผยออกไปได้อย่างไร เพราะทันทีที่เขาเปิดเผยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า คนวิถีจิตฟ้าก็จะต้องบ้าคลั่งยิ่งขึ้นเป็นแน่ เขาจะต้องไม่เหลือที่ให้แม้แต่น้อย และทำลายค่ายกลมหึมาแห่งนั้นลงไป เมื่อไม่มีค่ายกลมหึมาแห่งนั้นคอยควบคุมแล้ว ภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์ภายในดินแดนจิตโลกาจะสามารถควบคุมวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของทั้งสิบห้ารัฐได้อย่างไรกัน”
“ข้ารอมานานเกินไปแล้ว อยากจะรู้ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้านัก ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นกลับไม่เปิดเผยออกมาเสียนี่!”
แต่ละฝ่ายจับตามอง
ในจำนวนนั้นบรรดามารร้ายต่างพากันรอคอยด้วยความร้อนรนใจ
และมีบางคนที่เยียบเย็นและสันโดษ ที่อยากจะรู้ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ
แน่นอนว่าก็มีผู้ที่เคารพ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ อย่างบ้าคลั่งเป็นจำนวนมาก บางคนเป็นผู้แกร่งกล้าที่รุ่งโรจน์ขึ้นมาจากการที่คนวิถีจิตฟ้าช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตเอาไว้ บางคนเคารพเทิดทูนเนื่องจากการกระทำของคนวิถีจิตฟ้าล้วนๆ ผู้แกร่งกล้ากลุ่มนี้กลับหวังว่าตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าจะไม่เปิดเผยออกมา นี่คือเสาหลักที่กดดันมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้! จะล้มลงมิได้เด็ดขาด!
……
“ศิษย์หลานรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ท่านอาจารย์ ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้คืออาจารย์ทวดหรือขอรับ”
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยได้ยินเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประมุขรัฐเมฆทักษิณากับราชันย์อนธการอมตะมาก่อนเลย
“เขาพบตัวตนของเจ้าเข้าจริงๆ แล้วหรือ เฮ้อ เสวี่ยอิง ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้กลายเป็นอาจารย์ของข้า ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเจ้าคารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว! ตอนนั้น เพื่อให้ได้ ‘ดาบทวิภพ’ มา ก็ต้องตั้งสัตย์สาบาน คารวะ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ เจ้าของดาบทวิภพนี้เป็นอาจารย์ และอุทิศตนเพื่อเขา” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงพูด “เดิมทีข้าคิดว่าเขาสิ้นใจไปนานแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าผ่านไปนานแสนนาน เขาจะกลับมาเสียนี่! เสวี่ยอิง ข้าขอให้เจ้าอดทนเอาไว้ เขาพบตัวตนของเจ้าแล้ว ก็อย่าได้ฝืนต้านทานต่อไปอีกเลย ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้เป็นคนสติฟั่นเฟือนคนหนึ่ง ตอนแรกพูดว่าเขาเป็นตัวแทนของความตาย ก็เพราะเขาเคยชินกับการเข่นฆ่าเสียแล้ว หากเจ้าเป็นศัตรูกับเขาจริงๆ…เขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา
จะว่าไปแล้ว อาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็น่าสงสาร ที่ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยสัตย์สาบาน
“รีบถอยไปโดยเร็วเถิด” ราชันย์อนธการอมตะมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางยิ้มน้อยๆ แล้วถ่ายเสียงพูดว่า “เจ้าเป็นศิษย์หลานของข้า อย่าได้กลั่นแกล้งรังแกอาจารย์ทวดเลย”
“เดิมทีข้าคารวะอาจารย์อย่างอิสระมากอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตอบ “ราชันย์อนธการ ข้าขอให้ท่านวางมือเสียเถิด บัดนี้ท่านเก็บวัตถุจานค่ายกลของค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนที่วางเอาไว้เสีย ท่านยังสามารถลดความเสียหายลงไปให้ต่ำที่สุดได้ มิเช่นนั้นแล้ว หากข้าลงมือเมื่อไหร่ ท่านก็จะเสียหายใหญ่หลวงแล้ว”
ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าเข้มขึ้น “อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าจะเป็นศัตรูกับข้ารึ”
“หากท่านไม่เข่นฆ่าสรรพชีวิต ข้าก็ย่อมไม่เป็นศัตรูกับท่านแน่ ราชันย์อนธการ…ท่านเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ นานจนป่านนี้แล้ว ท่านก็ยังมิอาจสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ หรือท่านจะไม่คิดดูให้ดีเสียหน่อยเล่า ว่าบางทีทางเส้นนี้ของท่านอาจผิดพลาดก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “เมื่อเดินจนสุดทางแล้วมิอาจบรรลุได้หากหันกลับมาก็อาจจะมีฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งอยู่ก็เป็นได้ ตอนนี้ล้มเลิกการเข่นฆ่า ล้มเลิกความคิดทั้งหลายที่แล้วมา หากโอบอ้อมอารีต่อสรรพชีวิต ท่านอาจจะรับรู้อีกอย่างหนึ่งขึ้นมาก็เป็นได้ การประสบผลสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วยเหตุนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้”
เมื่อทางหนึ่งเดินต่อไปไม่ได้
หักลับมาแล้วค่อยลองดูอีกทีหรือ
“นานแสนนานก่อนหน้านี้ข้าเคยลองแล้ว แต่ก็ไร้ประโยชน์ เรื่องของการบำเพ็ญ ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาคอยชี้แนะหรอก!” สีหน้าของราชันย์อนธการอมตะเข้มขึ้น “ตอนนี้เจ้ารีบจากไปให้เร็วเสียเถอะ ข้ายังถือว่าเจ้าเป็นศิษย์หลานของข้า ต่อจากนี้ไปเจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยเหลือ ข้าก็ยังสามารถช่วยเจ้าได้ หากเจ้าจะขัดขวางข้าจริงๆ ก็อย่าโทษว่าข้าไร้น้ำใจก็แล้วกัน ทั้งตระกูลอิงซานของเจ้าข้าจะล้างสังหารให้สิ้นซากไป และยังมีรัฐเมฆทักษิณาด้วย! รัฐเมฆทักษิณาก็ต้องชดใช้แทนเจ้าด้วยเช่นกัน!”
ปากของราชันย์อนธการอมตะก็พูดไปอย่างนั้นเอง
ทำลายตระกูลอิงซาน แน่นอนว่าเขาไม่ลังเลเลย
แต่จะทำลายรัฐเมฆทักษิณาหรือ
รัฐเมฆทักษิณารัฐหนึ่ง ก็ใกล้เคียงกับรัฐชั้นสามสิบห้าแห่งแล้ว นอกจากนี้หากทำเช่นนั้น ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ก็ต้องบ้าคลั่งขึ้นมาเป็นแน่ หากประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วนคนหนึ่งบ้าคลั่งขึ้นมา แรงทำลายล้างก็คงไม่ต่ำกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสักเท่าใดนัก
……
ราชันย์อนธการอมตะกดดันและเกลี้ยกล่อมไปพลาง และถ่ายเสียงให้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไปพลาง “รีบเกลี้ยกล่อมศิษย์ของเจ้าคนนี้เสีย อย่าให้เขาโง่งมเช่นนี้ต่อไปเลย! หากทำลายการของข้า มิใช่แค่ตระกูลอิงซานของเขาเท่านั้น รัฐเมฆทักษิณาของเจ้าก็ต้องมีจุดจบไม่สวยแน่”
“อะไรนะขอรับ ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่าคนวิถีจิตฟ้าคืออิงซานเสวี่ยอิงอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือนี่”
“ความลับระดับนี้ ต้องเก็บเป็นความลับอย่างสิ้นเชิง ไม่เปิดเผยให้ใครล่วงรู้อีกเป็นคนที่สองอยู่แล้ว ข้าไม่ทราบเลยจริงๆ ขอรับ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงพูด
“เฮอะ” ราชันย์อนธการอมตะก็รู้สึกว่าเรื่องพรรค์นี้จะต้องเก็บเป็นความลับเต็มที่อยู่แล้ว “อิงซานเสวี่ยอิงศิษย์ของเจ้าก็คือคนวิถีจิตฟ้าคนนั้น บัดนี้เขาคลุ้มคลั่งอยากจะขัดขวางข้า เจ้ารีบเกลี้ยกล่อมเขาเสีย ให้เขาอย่ามาทำลายเรื่องของข้า”
“ขอรับ ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาเดี๋ยวนี้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตอบ
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศ สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เขาจ้องมองราชันย์อนธการอมตะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วถ่ายเสียงพูดว่า “ราชันย์อนธการ ท่านจะหาใครมาเกลี้ยกล่อมข้าก็ไร้ประโยชน์ ท่านควรจะรู้ว่าข้ากลับชาติมาจุติ…ตอนนั้นแม้แต่จะคารวะบรรพชนฝานเป็นอาจารย์ข้าก็ไม่สน ที่ข้ายอมคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์เป็นอิสระกว่า ไม่มีอะไรผูกมัด คัมภีร์และสมบัติล้ำค่าของรัฐเมฆทักษิณาข้าก็ล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น ท่านคิดว่าเขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมข้าได้อย่างนั้นหรือ”
ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าไม่น่ามองยิ่งขึ้นไปอีก
บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!
อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้กลับชาติมาจุติ ไม่สนใจประมุขรัฐเมฆทักษิณา ไม่แน่ว่าความรู้สึกผูกพันต่อตระกูลอิงซานก็มีจำกัด!
“ไม่มีประโยชน์หรอกขอรับ เมื่อครู่ข้าเกลี้ยกล่อมเขามาตลอด แต่แม้ข้าจะรับเขาเป็นศิษย์ กลับมิได้สอนอะไรเขาจริงๆ เลย ตอนนี้พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก ข้าผูกมัดอะไรเขามิได้ และเกลี้ยกล่อมเขามิได้ด้วย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงด้วยความร้อนรน “ทำอย่างไรดี ท่านอาจารย์ ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไรดี”
“เจ้าคนไร้ค่า” ราชันย์อนธการอมตะถ่ายเสียงพูดด้วยความโกรธเคืองหาใดเปรียบ ตามปกติแล้วเขาก็ยังไว้หน้าประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยู่บ้าง บัดนี้เขาคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วจริงๆ
“ข้าอับจนหนทางจริงๆ ท่านอาจารย์!” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากลับถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน
เขาจงใจทำเพื่อขีดขอบเขตให้ชัดเจน
เพื่อป้องกันมิให้ตอนที่ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งขึ้นมา แล้วมาพาลลงมือกับรัฐเมฆทักษิณาไปด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกลงกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาไว้อย่างดิบดีแล้ว
……
“ราชันย์อนธการ อย่าถ่วงเวลาอีกเลย ท่านจะถอยหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตะคอก
“ถอยรึ ถอยอย่างไรเล่า ข้าแผดเผาวิญญาณแค้นขั้นสุดยอด และวางค่ายกลเพื่อการบูชาในครั้งนี้ แล้วข้าจะถอยได้อย่างไรกัน” ราชันย์อนธการอมตะจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็งแล้วถ่ายเสียงตะโกนว่า “หากข้าถอยไป ก็จะเสียวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดไปเปล่าๆ การบูชาล้มเหลว มิอาจสร้างจิตวิญญาณขึ้นมาได้ พลังชีวิตของศพนี้ก็จะค่อยๆ สลายหายไป แล้วคืนสู่ความตายดังเดิม น้ำทิพย์กลืนโลกาและสมบัติล้ำค่ามากมายที่ข้าเสียไป ก็จะสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ สิ่งที่ข้าทุ่มเทไปเพื่อการบูชาในครั้งนี้ก็เปล่าประโยชน์แล้ว เจ้าจะให้ข้าถอยได้อย่างไรกันเล่า”
เขาทุ่มเทมากเกินไปแล้ว
หากครั้งนี้ล้มเหลวก็มีเพียงศพสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเท่านั้นที่ยังคงสมบูรณ์ดี สมบัติล้ำค่าอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่เสียไปเปล่าๆ ทั้งสิ้น
คิดจะถวายสมบัติล้ำค่าเพื่อบูชาอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อใดแล้ว!
นอกจากนี้มีคนฟั่นเฟือนอย่างอิงซานเสวี่ยอิงอยู่ จะบูชาอีกครั้ง ก็คงต้องถูกทำลายเหมือนกันกระมัง!
“อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าเดินไปตามทางของเจ้า ข้าเดินไปตามทางของข้า อย่าได้บีบบังคับข้าเลย” ผิวกายของราชันย์อนธการอมตะมีเปลวเพลิงสีทองลุกโชน
“ข้าไม่ได้คิดจะบีบบังคับท่าน เป็นท่านต่างหากที่บีบบังคับให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนไร้หนทางจะเดิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงชี้ไปทางวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยค้างเติ่งอยู่รอบๆ วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็จับจ้องมาที่นี่เช่นกัน แต่ละตนล้วนตั้งตารอคอย “ท่านจะเดินไปตามทางของท่าน แต่กลับทำให้วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสูญสิ้นไป นี่เป็นเส้นทางของมารร้าย ควรต้องทำลายเสีย”
“ในเมื่อท่านไม่ยอมถอยไปเอง เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ต้องลงมือแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากตะคอกอย่างโกรธเคืองเป็นครั้งแรก
“เจ้ากล้ารึ!”
ราชันย์อนธการอมตะคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
ร่างกายของเขาราวกับความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด กลิ่นอายราวกับหอบม้วนฟ้าดินเอาไว้ ฝ่ามือทั้งคู่กลับมีเปลวเพลิงสีทองอันสะดุดตาแฝงเอาไว้ มันปกคลุมเข้ามาทันที
ยามนี้ รอบด้านราวกับตกเข้าสู่โลกแห่งความตายอันดำมืดก็มิปาน
ในโลกแห่งความตาย มีเปลวเพลิงสีทองอันน่าหวาดหวั่นอยู่…ทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความตาย
“น่ากลัวนัก เป็นพละกำลังที่น่ากลัวนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้แล้วว่าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้แข็งแกร่งกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์อยู่ขุมใหญ่อย่างเห็นได้ชัด
ครั้งนี้ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงมีน้ำวนปรากฏขึ้นมา แล้วพยายามแหวกหลุมดำทะมึนให้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง นี่ก็คือหนึ่งในศาสตร์การป้องกันและหลบหนีในบรรดาท่าไม้ตายของยุทธวิธีหิมะเหินของตงป๋อเสวี่ยอิง…‘รุดหนีหมื่นโลกา’ นั่นเอง!
แต่ครั้งนี้กลับล้มเหลวเสียแล้ว!
ภายใต้เปลวเพลิงสีทองที่ปกคลุมอยู่ ภายใต้แรงกดดันของโลกอันดำมืด น้ำวนเหนือผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แหลกสลายไปจนสิ้น ร่างกายของเขามิอาจพุ่งทะยานออกไปได้ ประสบกับพละกำลังอันไร้ที่สิ้นสุดโจมตีเข้าสู่ร่างกาย แม้เขาจะดิ้นรนต้านทานเอาไว้ แต่ก็ต้านทานได้เพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น ร่างกายของเขาก็แหลกสลายหายไปจนสิ้นในที่สุด
แต่กระนั้น…
ก็ไร้ประโยชน์!
เมื่อเผชิญหน้ากับราชันย์อนธการอมตะ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตราย แม้แต่ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศเขาก็ยังมิได้พกมาด้วย! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธเทพคละถิ่นอย่าง ‘หอกชิงเหอ’ เลย! เขาแค่เตรียมร่างแยกที่แข็งแกร่งร่างหนึ่งเอาไว้ก็เท่านั้นเอง เมื่อไม่มีสมบัติลับคอยช่วยเหลือ ร่างแยกก็มีพลังรบเพียงขั้นสุดยอดเท่านั้น ทางด้านการรักษาชีวิต การหลบหนีและด้านอื่นๆ เมื่อเทียบกับขั้นสุดยอดที่แท้จริงแล้วก็ยังห่างชั้นอยู่มากโข
ราชันย์อนธการอมตะจริงจังขึ้นมาก็สามารถสังหารร่างแยกร่างนี้ได้
“เอ๊ะ” สีหน้าของราชันย์อนธการอมตะเปลี่ยนแปรไป
สามารถทำลายขั้นสุดยอดคนหนึ่งได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
นอกจากนี้ สมบัติลับอะไรก็ไม่เหลือทิ้งไว้เลยหรือ
“สวบ” “สวบ” “สวบ”…
ในยามนี้เอง
ภายในขอบเขตของทั้งสิบห้ารัฐ ต่างก็มีบุรุษชุดขาวคนแล้วคนเล่าปรากฏขึ้น ในพริบตาเดียวก็มีร่างแยกกว่าร้อยร่างกระจายตัวกันอยู่ตามบริเวณต่างๆ
“ไม่นะ” ราชันย์อนธการอมตะแตกตื่นเหลือแสน เขาถ่ายเสียงอย่างร้อนรนว่า “อิงซานเสวี่ยอิง ขอเพียงเจ้าไม่ทำลายการของข้า ทุกสิ่งก็สามารถพูดกันดีๆ ได้”
“ขอเพียงท่านไม่บูชา ทุกสิ่งข้าก็สามารถพูดด้วยดีๆ ได้”ร่างแยกนับร้อยร่างต่างก็เอ่ยปากขึ้น
“เป็นเจ้าที่ไม่ให้ทางข้าเดินเลย!” ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งไปแล้ว
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!…
ร่างแยกกว่าร้อยร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงมีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ ที่แข็งแกร่งก็มีพลังขั้นสุดยอดอย่างสมบูรณ์ เมื่อปะทุออกมา อากาศก็ปริแตกออก ค่ายกลมหึมาที่วางเอาไว้ก็ถูกซัดกระจายไป แทบจะในพริบตาเดียว จุดหลักของค่ายกลในบริเวณกว่าสิบแห่งก็ถูกทำลายไป ค่ายกลสีดำขนาดมหึมาซึ่งเดิมทีปกคลุมเหนือท้องฟ้าทั้งสิบห้ารัฐกลับกำลังสั่นสะท้าน เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงทำลายใจกลางอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลสีดำขนาดมหึมานั้นก็สลายหายไปในที่สุด
กลางท้องฟ้าเหนือรัฐทั้งสิบห้า ในที่สุดก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
ท้องฟ้าสว่างรำไร งดงามและเงียบสงบดังที่เคยเป็นมา
ส่วนวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล่องลอยอยู่เหนือทั้งสิบห้ารัฐกลับดิ้นหลุดจากแรงพันธนาการนั้นจนสิ้น และกลับคืนสู่อิสรภาพกันถ้วนหน้า
“ถอยไป ถอยไป” วิญญาณแต่ละดวงรีบลอยไปทางกายหยาบของตนตามการสัมผัสรับรู้ในทันที
“ไม่ ไม่…”
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือทำลายนั้น ราชันย์อนธการอมตะก็พยายามขัดขวางอย่างสุดกำลัง
แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงมีมากมายเกินไป!
“อิงซานเสวี่ยอิง!!!” ราชันย์อนธการอมตะแหงนหน้าคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
เสียงคำรามนี้
สะท้อนก้องไปนับล้านล้านลี้ ทำเอาสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา
ในยามนี้เอง บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดของดินแดนจิตโลกาจึงได้ล่วงรู้อย่างแท้จริงว่า คนวิถีจิตฟ้า…ก็คือจ้าวหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ นั่นเอง!
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 50 ผู้ใดก็ช่วยเจ้ามิได้
ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ พลางมองไปยังกระจกยลฟ้าที่ล่องลอยอยู่ตรงหน้า บนกระจกยลฟ้า คำว่า ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ที่ราชันย์อนธการอมตะคำรามออกมา ทำให้ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาผู้นี้สีหน้าเปลี่ยนแปรไป
“ผู้มีพระคุณของข้า ผู้มีพระคุณใหญ่หลวง…ที่แท้แล้วคือจ้าวหิมะเหินหรอกหรือ” ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาใจสะท้าน เขาทั้งกังวลใจแทนผู้มีพระคุณอิงซานเสวี่ยอิง ทั้งเดือดดาลกับความบ้าคลั่งตามอำเภอใจของราชันย์อนธการอมตะ
“ดินแดนจิตโลกากว้างใหญ่ไพศาล จะไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางมารร้ายตนหนึ่งได้เลยหรือไร หรือว่ามารร้ายทำเรื่องร้ายกาจก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วหรือ ผู้ที่ขัดขวางมารร้ายกลับต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทากำหมัดทั้งสองข้างแน่น ดวงตาแดงก่ำ
นางผู้เป็นที่รักของเขา บุตรสาวของเขา
ญาติมิตรทั้งหมดไปจนถึงชนร่วมเผ่าของเขาล้วนแต่ได้รับการช่วยเหลือจาก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ทั้งสิ้น! เป็นเพียงหนึ่งในตัวเมืองที่ไม่สะดุดตาซึ่งคนวิถีจิตฟ้ากอบกู้เอาไว้ตลอดเวลาอันยาวนานหลายแสนล้านปีเท่านั้นเอง
เรื่องเช่นนี้ สำหรับ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ แล้วเป็นเรื่องธรรมชาติราวกับหายใจอย่างไรอย่างนั้น สิ่งมีชีวิตที่เขาช่วยเอาไว้มีมากเกินไปแล้ว! ผ่านคืนวันยาวนานเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตมากมายที่เขาช่วยเหลือเอาไว้ก็ได้บำเพ็ญจนเป็นผลสำเร็จแล้ว ผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นอลวนก็มีหลายคน
“ศิษย์เอ๋ย” อาจารย์ของชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาซึ่งอยู่ด้านข้างปรายตามองเขาแวบหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าตัวเมืองที่ทั้งตระกูลของเจ้าอยู่นั้นถูกคนวิถีจิตฟ้าช่วยเอาไว้ ทว่าราชันย์อนธการอมตะแข็งแกร่งเกินไป พวกเรารัฐโบราณสหโลกาไม่เหมาะแก่การฉีกหน้าเขาเลย”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ชายหนุ่มอาภรณ์สีเทาขบกรามกรอด
เขาเกลียด
ถ้าหาก ถ้าหากเขามีพลังมากพอ สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้มีพระคุณได้ เช่นนั้นจะดีเพียงไร!
บัดนี้ขั้นอลวนตัวเล็กๆ อย่างเขาคนหนึ่ง ไม่มีแม้แต่พลังที่จะเร่งเดินทางไปที่นั้นเสียด้วยซ้ำ! เกรงว่าเพียงสายตาหนึ่งของราชันย์อนธการอมตะก็สามารถสังหารเขาได้แล้ว
……
“ผู้มีพระคุณ”
“ตัวตนที่แท้จริงของผู้มีพระคุณคือจ้าวหิมะเหินหรือ”
พ่อลูกคู่หนึ่งอยู่ในจวน ตรงหน้ามีคลื่นน้ำโหมซัด บนคลื่นน้ำก็มีภาพจากที่ไกลออกไปปรากฏขึ้น
“ผู้มีพระคุณมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกเราพ่อลูก เนื่องจากเขาช่วยข้าและคนอื่นๆ เอาไว้ ข้าจึงมีโอกาสสำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้ น่าเสียดายที่ช่วยเหลือผู้มีพระคุณไม่ได้!”
……
บรรดาผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมีบุญคุณช่วยชีวิตเอาไว้ก็กังวลและร้อนใจหาใดเปรียบ ยังมีผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่พลังอ่อนแอ ไม่รู้เลยว่าตัวตนของผู้มีพระคุณ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ที่พวกเขาซาบซึ้งมาตลอดได้เปิดเผยออกมาแล้ว พวกเขายังคงใช้ชีวิตธรรมดาสามัญ เพียงแต่รู้สึกซาบซึ้งต่อผู้มีพระคุณผู้นั้นอยู่ที่ก้นบึ้งของหัวใจเท่านั้นเอง
“ตลอดคืนวันอันยาวนาน ดินแดนจิตโลกาเพิ่งจะมีคนวิถีจิตฟ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทำให้มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนสั่นสะเทือน ตอนนี้เสาหลักต้นนี้จะล้มลงแล้วอย่างนั้นหรือ เฮ้อ!” ใบหน้าของเทพจักรวาลที่นั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่งยากจะปกปิดความโกรธเอาไว้ได้
“ข้าก็กลัว กลัวว่าจะมีวันนี้ นับตั้งแต่คนวิถีจิตฟ้าฮึกเหิมไปทั่วโลก กลัวว่าจะมีสักวันที่ตัวตนของเขาต้องเปิดเผยออกมา!”
“ก่อนหน้านี้ราชันย์อนธการอมตะก็เคยคุกคามจ้าวหิมะเหินมาก่อน แต่จ้าวหิมะเหินไม่สนใจว่าตัวตนจะเปิดเผย ยังคงช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทั้งสิบห้ารัฐต่อไป! เขากล้าทำเช่นนี้ จะมีหลักประกันหรือไม่”
“มีหลักประกัน หลักประกันอะไรกัน แม้แต่รัฐโบราณคิมหันตวายุและรัฐโบราณสหโลกาก็ยังไม่อยากจะพัวพันกับคนบ้าอย่างราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ จ้าวหิมะเหินจะยังมีหลักประกันใดได้อีกเล่า ต่อให้เขาโชคดีรักษาชีวิตเอาไว้ได้ คนใกล้ชิดที่เขาใส่ใจและชาวเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนก็จะประสบกับหายนะ”
ผู้บำเพ็ญจำนวนมากพากันทอดถอนใจ
บำเพ็ญ ส่วนมากก็มีผู้ที่ใส่ใจอยู่
ไม่ว่าจะเป็นคนสนิท สหายร่วมเป็นร่วมตาย หรือว่าชาวเผ่า…ที่สนใจแค่ตนเองอย่างแท้จริง โดยไม่สนใจคนอื่นๆ ใต้ฟ้าดินนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย! อย่าง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ นั้นถือกำเนิดขึ้นมาในฝูงมารผลาญทำลาย อย่าง ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ นั้นบำเพ็ญเส้นทางสายมรณะ เดิมทีนิสัยก็สุดโต่งอยู่แล้ว ขอเพียงมีนิสัยปกติสักหน่อย ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวเพียงลำพังกันทั้งนั้น
******
ผู้ที่เป็นห่วงและกังวลใจนั้นมีอยู่ แต่ผู้ที่จงเกลียดจงชัง อยากให้ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้นี้ต้องจบเห่ก็มีเช่นกัน เช่นนั้นขุมอำนาจมารร้ายแต่ละฝ่ายก็จะโห่ร้องยินดี พวกเขาล้วนกำลังรอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดหลังจากนี้
“ฮ่าฮ่า ทำให้ราชันย์อนธการอมตะเดือดแค้นขึ้นมา เกรงว่าชนร่วมเผ่าของเขาก็คงต้องตายจนสิ้นซากกันหมด! ต่อให้เป็นตัวเขาเอง เกรงว่าเพิ่งจะปรากฏกายก็คงจะถูกราชันย์อนธการอมตะสังหารกระมัง! ร่างแยกทั้งหมดของเขาคงทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างอัตคัต ไม่กล้าโผล่หัวออกมา”
“ไม่แน่ว่า…ราชันย์อนธการอมตะอาจจะมีวิธีสังหารเขาก็เป็นได้! เพราะถึงอย่างไรราชันย์อนธการอมตะก็สามารถมองตัวตนของเขาออก ทั้งยังสามารถนำศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างหนึ่งออกมาได้ ราชันย์อนธการอมตะอาจจะมีวิธีการบางอย่างที่เหนือกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้ก็เป็นได้”
“ฮ่าฮ่า พูดมาตั้งนานแล้วว่า ไม่มีผู้ใดสามารถกดดันข้าและคนอื่นๆ ไปได้ตลอดหรอก! คนวิถีจิตฟ้าที่โง่เง่า เป็นเขาที่ไปยั่วยุราชันย์อนธการอมตะ เป็นเขาเองที่รนหาที่ตาย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูสิว่าเขาจะมีจุดจบอย่างไร”
มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนรอคอย
……
แต่ละฝ่ายต่างก็จับตามองด้วยความสนใจ ส่วนราชันย์อนธการอมตะก็บ้าคลั่งขึ้นมาอย่างแท้จริง หลังจากเขาโบกมือคราหนึ่งเพื่อเก็บซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นร่างนั้นลงไปแล้ว ก็เริ่มทำการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
ตู้ม
ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็ทะลุผ่านระยะทางอันไกลโพ้นได้แล้ว เขามุ่งหน้าตรงไปสังหารร่างแยกร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิง
“ตายเสียเถอะ”
ฝ่ามือมหึมาของราชันย์อนธการอมตะราวกับมีโลกดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดแฝงเอาไว้ ภายใน ฝ่ามือหนึ่งตะปบออกไป หลบจนมิอาจหลบได้อีกแล้ว จึงตกเข้าไปในนั้นเสียแล้ว! อานุภาพของฝ่ามือนี้ยังน่ากลัวกว่าการลอบโจมตีอย่างสุดกำลังของบรรพชนราตรีนิรันดร์เสียอีก ถึงขั้นมีความรู้สึกเหมือนกับตกเข้าสู่มิติคละถิ่นอย่างไรอย่างนั้น ทั้งโลกมรณะอันดำมืดกำลังเชือดเฉือนเข่นฆ่าตนเอง
“ปัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งร่างแยกนับร้อยร่างออกไปทำลายค่ายกล ร่างแยกเหล่านี้มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ ถึงอย่างไรผู้ที่มีพลังระดับขั้นสุดยอดได้ก็มีน้อยยิ่งนัก
ร่างแยกร่างนี้มีพลังเพียงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองเท่านั้น
จึงถูกทำลายไปในพริบตา!
“ตายเสียเถอะ ไปตายให้หมดเสียเถอะ”
ราชันย์อนธการอมตะยืนอยู่ตรงนั้น บนใบหน้าราวกับมีเกล็ดน้ำแข็งชั้นหนึ่งฉาบเอาไว้ มือทั้งสองก็ทะลุผ่านระยะทางอันยาวไกลไร้ที่สิ้นสุดมา แล้วตะปบลงบนร่างแยกร่างหนึ่งทันที
สวบๆๆๆ…
ฝ่ามือของเขาตะปบลงไป ร่างแยกแต่ละร่างก็สลายไป
และมีร่างแยกที่ค่อนข้างแข็งแกร่งร่างหนึ่งที่ต้านทานได้สองฝ่ามือจึงจะสลายไป
หลังจากราชันย์อนธการอมตะทำลายร่างแยกไปได้สามสิบกว่าร่างแล้ว ร่างแยกร่างอื่นๆ ทั้งหมดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็หนีจากไปหมดแล้ว อันที่จริงหากจะหนีจริงๆ คาดว่าราชันย์อนธการอมตะก็คงจะสังหารร่างแยกทันเพียงแค่สองสามร่างเท่านั้น ที่เขาสามารถสังหารได้มากมายถึงเพียงนี้…ก็เพราะตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะอาศัยสิ่งนี้ ให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่าที่แท้แล้วราชันย์อนธการอมตะแข็งแกร่งเพียงใด
“หนีรึ เจ้าหนีได้พ้นรึ” สีหน้าของราชันย์อนธการอมตะเหี้ยมเกรียม
ตู้ม
เงาร่างของราชันย์อนธการอมตะหายวับไปกับอากาศ
……
เมื่อปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง
ก็มาถึงกลางท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหินอันใหญ่โต เมืองหิมะเหินกว้างใหญ่ไพศาล เป็นตัวเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของรัฐเมฆทักษิณาในปัจจุบันนี้ ประชากรมีมากมายนับไม่ถ้วน,ประชากรในตัวเมืองเพียงแห่งเดียวก็มากกว่ารัฐชั้นสามทั่วไปแห่งหนึ่งแล้ว
“อิงซานเสวี่ยอิง!” เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของราชันย์อนธการอมตะสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดิน แล้วสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าเหนือเมืองหิมะเหิน ทว่าค่ายกลของเมืองหิมะเหินหมุนเวียนไปตั้งนานแล้ว แสงรำไรปกคลุมไปทั่วทั้งตัวเมืองและตัดขาดการส่งถ่ายเสียงด้วย! เพราะถึงอย่างไรด้วยวิธีการของราชันย์อนธการอมตะ แค่เสียงของเขาก็เพียงพอให้ผู้อ่อนแอทั้งหลายตายตกไปได้แล้ว
“ผู้ใดก็ช่วยเจ้ามิได้ นอกจากนี้ทั้งเมืองหิมะเหินยังต้องถูกฝังไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย!” ราชันย์อนธการอมตะคำราม
แม้เขาจะแค้นเคืองหาใดเปรียบ แต่ถึงอย่างไรก็เคยปะทะกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมาก่อน และพบอุปสรรคมามากพอ เขายังคงความมีเหตุมีผลเอาไว้! แม้ปากจะพูดจาร้ายกาจ แต่อันที่จริงแล้วเขากลับไม่กล้าเข่นฆ่ามากเกินไปนัก! เนื่องจากหากการเข่นฆ่ามากเกินไป ถ้าในภายหน้าจะบูชาอีก แล้วจะทำเช่นไรเล่า หากล้างสังหารสองครั้งเป็นจำนวนมากเกินไปจน ‘หยวน’ โมโหขึ้นมา ผลที่ตามมาก็จะน่ากลัวแล้ว!
หากหยวนจะสังหารเขา แค่พลิกฝ่ามือก็ทำลายได้แล้ว!
ดังนั้นต่อให้ราชันย์อนธการอมตะแก้แค้น ทำลายทั้งเมืองหิมะเหินก็นับว่าถึงขีดสุดแล้ว! เนื่องจากประชากรของเมืองหิมะเหินก็มากกว่ารัฐชั้นสามทั่วไปแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาหวังว่าเมื่อการบูชาสิ้นสุดลงแล้วจะพา ‘ผู้ท่องอมตะ’ เข้าไปในหุบเขาเขี้ยวหัก โดยไม่จำเป็นต้องกลับมาอีกแล้ว ดังนั้นจึงหาญกล้าบูชารัฐเกือบสิบห้าแห่ง! แต่บัดนี้การบูชาล้มเหลว เขาก็ต้องวางแผนอยู่ในดินแดนจิตโลกาต่อไปอีกนาน…เช่นนั้นเมื่อสังหารขึ้นมา ก็ต้อง ‘เบามือ’ หน่อยแล้ว
“ราชันย์อนธการ ท่านจะลงมือกับจ้าวหิมะเหินก็แล้วไปเถิด ชาวเมืองหิมะเหินจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย ได้โปรดปล่อยไปเถิด” เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือจอมเคารพกระบี่ปีศาจผู้สะพายกระบี่เทพเอาไว้
“จอมเคารพกระบี่ปีศาจหรือ”
“จอมเคารพกระบี่ปีศาจแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุปรากฏกายแล้วหรือ”
“เขาจะขัดขวางราชันย์อนธการอมตะหรือ”
แต่ละฝ่ายมองดูฉากนี้แล้วต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“จอมกระบี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่เหนือท้องฟ้าของเมืองหิมะเหินแล้วตกตะลึงอยู่บ้าง เขาถ่ายเสียงพูดว่า “จอมกระบี่ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามากวนน้ำให้ขุ่นแล้วล่ะขอรับ ราชันย์อนธการอมตะเป็นแค่คนฟั่นเฟือนคนหนึ่งเท่านั้น”
จอมเคารพกระบี่ปีศาจกลับยังคงยืนอยู่กลางอากาศตรงข้ามราชันย์อนธการอมตะ
ราชันย์อนธการอมตะยิ้มเหี้ยมเกรียมพลางพูดว่า “เฮอะ จอมเคารพกระบี่ปีศาจรึ ทำไมกัน พวกเจ้ารัฐโบราณคิมหันตวายุจะเข้าร่วมกับเรื่องนี้ด้วยหรือ”
แม้เขาจะโกรธแค้น แต่กลับไม่รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด
เนื่องจากจอมเคารพกระบี่ปีศาจมิใช่ขั้นสุดยอดทั่วๆ ไป ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขาสั้นนัก เป็นขั้นสุดยอดเพียงคนเดียวในรัฐโบราณคิมหันตวายุต่อจากสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งสาม จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางจะต้องปกป้องจอมเคารพกระบี่ปีศาจผู้นี้อย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน!
“มิใช่รัฐโบราณคิมหันตวายุของข้าจะเข้าร่วม เพียงแต่ว่าตัวข้าจะมาเกลี้ยกล่อมท่านเท่านั้นเอง” จอมกระบี่เอ่ยปาก
“รีบไสหัวไปให้พ้นจากข้าเสีย ไม่มีเวลาพูดพล่ามกับเจ้าแล้ว!”
นัยน์ตาของราชันย์อนธการอมตะฉายแววหนาวเหน็บ มือขวาบดบังท้องฟ้าเอาไว้ ภายในฝ่ามือมีโลกดำมืดอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ เขาตะปบตรงเข้ามา
จอมกระบี่ก็พลันถอนกระบี่ขึ้นมาในทันใด ชั่วขณะที่ประกายกระบี่ด้านหลังเขาออกจากฝักนั้น บริเวณนับล้านล้านลี้รอบด้านก็กลายเป็นโลกแห่งประกายกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน อานุภาพยังแข็งแกร่งกว่าจอมกระบี่เมื่ออยู่ในโลกกำเนิดอากาศอันสับสนอลหม่านเป็นอันมาก เพราะถึงอย่างไรจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานก็ให้ความสำคัญกับจอมกระบี่เป็นอันมาก หากทุ่มสุดกำลังเพื่อช่วยเหลือเขา สมบัติล้ำค่าที่จอมกระบี่ได้มาก็ดีกว่าดอกบัวเพลิงห้วงอากาศมากนัก
เป็นสมบัติลับที่แข็งแกร่งที่สุดชิ้นหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุทางสายวิถีทำลายล้างที่แปรรูปลักษณ์เป็นรูปกระบี่
ด้วยลูกไม้ของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งของจอมกระบี่ เมื่อถือสมบัติลับชิ้นนี้เอาไว้ในมือ พลังที่สำแดงออกมาก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าตอนที่อยู่ในบ้านเกิดของเขาเป็นธรรมดา กล่าวคือมีพลังเป็นแปดส่วนของบรรพชนราตรีนิรันดร์เลยทีเดียว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น