Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 41-44
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 41 เส้นทางของกฎเกณฑ์สูงสุด
จอมกระบี่พูดยิ้มๆ ว่า “ข้าบรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว ทั้งยังบำเพ็ญมาอย่างยาวนาน รู้สึกมั่นใจว่าจะใช้ด้าน ‘วิถีทำลายล้าง’ กดดันจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้สักตั้งหนึ่ง จึงได้ปะทุออกมาแล้วช่วงชิงต้นกำเนิดบางส่วนของโลกกำเนิดมา ภายใต้เงื่อนไขและทรัพยากรที่ดีที่สุดของรัฐโบราณคิมหันตวายุ ท้ายที่สุดยังได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งในวังเทพจิตโลกามาอีก รับรู้อยู่นานแสนนานจึงก้าวเข้าสู่ขั้นสุดยอดได้ในรวดเดียว”
“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“จะว่าไปแล้ว วิถีอากาศและเขตลวงโลกเทียมของเจ้า น่าจะเป็นอันดับหนึ่งในโลกกำเนิดของพวกเราแล้วกระมัง” จอมกระบี่เอ่ย “วิถีอากาศจวนจะถึงขั้นสุดยอดแล้วกระมัง เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ไปควบคุมพลังต้นกำเนิดนี้อีกเล่า”
“เพราะข้ากลัวหมาจนตรอกน่ะสิขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าบำเพ็ญวิถีอากาศและเขตลวงโลกเทียมควบคู่กันสองสาย ข้าก้าวหน้าได้รวดเร็วเสียจนกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปได้มากว่าเขาจะเหมือนกับจักรพรรดิจวิน ที่เลือกให้ยุคนี้สิ้นสุดลงเสียก่อน ถึงอย่างไรข้าก็ยังมิได้บรรลุถึงขั้นสุดยอด! เมื่ออากาศอันสับสนอลหม่านถูกทำลายลงไป ร่างจริงของข้าอยู่ที่นี่ก็ต้านทานมิได้ ต้องสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาจากไป หลังจากถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ในโลกกำเนิดอีกครั้งแล้ว ต่อให้ข้ากลับมาใหม่ ก็จัดเป็นผู้มาจากภายนอกแล้ว”
จอมกระบี่กระจ่างแจ้งขึ้นมา “ก็จริง ด้วยนิสัยของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นไปได้มากว่าอาจจะกระทบถูกเขาเข้าจริงๆ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
กระโดดออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น คือสิ่งที่เทพจักรวาลขั้นสุดยอดทุกคนปรารถนา!
เท่าที่เขารู้ในตอนนี้ วิธีกระโดดออกจากกรงขังได้แก่…
หนึ่ง ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด
สอง ก็คือใช้พลังทำลายกฎ ตนเองแข็งแกร่ง เหนือกว่าพันธนาการของกฎเกณฑ์สูงสุดทั้งปวง หากเป็นเช่นนั้น จะหันกลับมาหลอมแปรและควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่งก็ง่ายดายแล้ว
ส่วนวิธีควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด
ผู้บำเพ็ญขั้นสุดยอดโดยทั่วไปล้วนแต่เหมือนกับ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่เผยแพร่ลัทธิแก่สรรพชีวิต ให้สรรพชีวิตศรัทธาเขา สิ่งมีชีวิตอันทรงปัญญานี้จึงจะเป็นการรวมตัวของแก่นหลักแห่งฟ้าดินของโลกกำเนิด! ‘วิญญาณ’ เป็นเอกลักษณ์และลี้ลับ แม้แต่สำหรับเทพจักรวาล พละกำลังซึ่งเป็นแก่นแท้ที่สุดที่แฝงอยู่ในวิญญาณก็ยังเป็นประโยชน์ต่อวิญญาณเช่นกัน
หากในโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง สิ่งมีชีวิตจำนวนมากล้วนศรัทธาผู้แกร่งกล้าคนเดียวกัน!
ปณิธานของสรรพชีวิต! ก็คือปณิธานของโลกกำเนิด!
หากสรรพชีวิตศรัทธาผู้แกร่งกล้าคนเดียวกัน ปณิธานของโลกกำเนิดก็จะศรัทธาผู้แกร่งกล้าคนเดียว หากเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมสามารถปกครองทั้งกฎเกณฑ์สูงสุดได้อย่างสบายๆ และสำเร็จเป็นเจ้านายของโลกกำเนิดได้ในรวดเดียว! อาศัยพละกำลังอันมหาศาลของโลกกำเนิดหล่อเลี้ยงตนเอง ก็ย่อมสามารถก้าวออกจากก้าวนั้น และสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้
เพียงแต่ทางเส้นนี้ก็ยากมากเช่นกัน
ข้อแรก โลกกำเนิดแห่งนั้นจะต้องมีสิ่งมีชีวิตมากพอ หากในช่วงแรกที่โลกกำเนิดถือกำเนิดขึ้นมามีสิ่งมีชีวิตน้อยนิดเกินไป ปณิธานของสิ่งมีชีวิตก็จะส่งผลกระทบต่อโลกกำเนิดเบาบางมาก มีแต่ต้องถึงยุคที่รุ่งโรจน์อย่างยิ่งที่สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนบรรลุถึงขีดจำกัดที่โลกกำเนิดจะสามารถรับได้เท่านั้น ปณิธานของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนจึงจะมีคุณสมบัติพอจะส่งผลกระทบต่อปณิธานของโลกกำเนิดได้!
ข้อต่อมา ศรัทธาจะต้องเป็นศรัทธาอย่างแท้จริงที่เกิดจากวิญญาณเท่านั้น! หากศรัทธาไม่บริสุทธิ์พอก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นพวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จึงสำแดงรอบประทับหลอมรวมเข้าไปในวิญญาณของผู้นับถือแต่ละคน
ไร้ข้อกังขา
ว่าบนเส้นทางนี้ จะต้องถูก ‘กฎเกณฑ์สูงสุด’ ขัดขวาง ผู้แกร่งกล้าคนอื่นๆ ก็จะต้องขัดขวางเช่นกัน!
เช่นพวก ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ สามารถต้านรับการแตกสลายครั้งใหญ่ของโลกกำเนิดได้ เมื่อถือกำเนิดขึ้นมาใหม่นั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาก็ต้องตกอยู่ในห้วงนิทรา! รอจนพวกเขาตื่นขึ้นมา โลกกำเนิดก็ได้มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนวิวัฒน์ขึ้นมาแล้ว และมีเทพจักรวาลบางส่วนปรากฏขึ้นแล้ว…กฎเกณฑ์สูงสุดของโลกกำเนิดหมุนเวียนไป ก็เพื่อให้สิ่งมีชีวิตใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมามีแรงต้านทานเพียงพอ ‘ความสมดุล’ ก็เป็นหนึ่งในแก่นแท้ที่สำคัญของกฎเกณฑ์สูงสุด
……
นอกจากเผยแพร่ลัทธิ ทำให้ปณิธานของสรรพชีวิตช่วยตนปกครองกฎเกณฑ์สูงสุดแล้ว
ยังมีอีกวิธีหนึ่ง…ก็คือควบคุมต้นกำเนิดให้ได้!
โลกกำเนิดก็มีต้นกำเนิดเช่นกัน!
ต้นกำเนิดคือกฎเกณฑ์สูงสุดซึ่งเกิดจาก ‘วิถีขั้นสุดยอด’ แต่ละสายรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นต้นกำเนิดสายไหน…ก็ล้วนแต่เป็นระดับขั้นสุดยอด คิดจะควบคุม อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นระดับเทพจักรวาลชั้นที่สอง
หากต้นกำเนิดที่ปกครองมีจำนวนเกินครึ่งหนึ่ง ก็สามารถอาศัยสิ่งนี้ปกครองกฎเกณฑ์สูงสุดได้แล้ว!
แต่ปกครองได้เกินครึ่ง หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ
ก็หมายความว่าบนเส้นทางจำนวนมากล้วนแต่ต้องบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองทั้งสิ้น!
“วิถีอากาศของข้าบรรลุถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองตั้งนานแล้ว แม้แต่วิถีเขตลวงโลกเทียมก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น ไม่ให้ไปกระทบถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว เมื่อเผชิญหน้ากับจอมกระบี่ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง จอมกระบี่เป็นขั้นสุดยอดของรัฐโบราณคิมหันตวายุ เกรงว่าอีกไม่นานก็คงจะล่วงรู้ความลับมากมายเข้าอยู่ดี
“วิถีเขตลวงโลกเทียมก็บรรลุถึงชั้นที่สองแล้วหรือ” จอมกระบี่ตกตะลึง
“ข้อเจรจาตกลงกับรัฐโบราณคิมหันตวายุไปยกหนึ่งแล้ว และได้รับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศมาจากที่นั่นด้วย ดังนั้นพวกจักรพรรดิเซี่ยจึงรู้สถานะคนวิถีจิตฟ้าของข้ามาตั้งนานแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ฮ่าฮ่า มิน่าเล่า จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นบำเพ็ญมาหลายยุคแล้ว วิถีอสนีบาตเป็นขั้นสุดยอด บรรลุถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้ว ทั้งยังมี ‘วิถีทำลายล้าง’ ‘วิถีความมืด’ และ ‘วิถีแสงสว่าง’ ด้วย” จอมกระบี่กล่าว “ก่อนหน้านี้ข้ามีผลสำเร็จทางด้านวิถีทำลายล้างลึกล้ำกว่าเขา และฝืนชิงเอาสิทธิ์การปกครอง ‘วิถีทำลายล้าง มาได้ ที่เขาควบคุมก็น้อยกว่า แต่เจ้าบำเพ็ญเป็นระยะเวลาสั้นกว่าข้ามาก หาชิงเอาต้นกำเนิดสองสายได้ต่อเนื่องกัน จะต้องส่งผลกระทบต่อเขาเป็นแน่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ใช่แล้ว เดิมทีข้าคิดว่าจะเก็บเนื้อเก็บตัวไปตลอด รอให้บรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วข้าค่อยลงมือ!”
หากไม่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด
ถ้าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้มกระดานขึ้นมา ตนก็มิอาจต้านทานการแตกสลายครั้งใหญ่ได้
แม้จะกล่าวว่ามีขั้นสุดยอดเพิ่มมาอีกสักคนสองคน จะช่วยเคี่ยวกรำด้าน ‘การบำเพ็ญ’ แต่หากคู่ต่อสู้น่ากลัวเกินไป ก็มิใช่การเคี่ยวกรำ แต่เป็นหายนะแทนแล้ว!
ก่อนหน้านี้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่กลัว ‘จอมกระบี่’ เลย เนื่องจากจอมกระบี่เชี่ยวชาญเพียงแค่ ‘วิถีทำลายล้าง’ เพียงสายเดียวเท่านั้น วิถีเส้นนี้ก็ไม่เชี่ยวชาญด้านการเผยแพร่ลัทธิและควบคุมวิญญาณ ทั้งยังไม่เชี่ยวชาญด้านการปกครองต้นกำเนิดจำนวนมากเสียด้วย! ดังนั้นเขายังตั้งตารอคอยให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เติบโตขึ้น เนื่องจากโลกกำเนิดมีเขาและเจ้าศิลาเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นขั้นสุดยอด เจ้าศิลาก็อยู่ในห้วงนิทราตลอดเวลา เขารู้สึกว่าเงียบเหงาเกินไปแล้ว
แต่หากตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญไม่ถึงสองล้านล้านปีก็ปกครองต้นกำเนิดสองสายต่อเนื่องกันแล้วล่ะก็ จะต้องส่งผลกระทบต่อเขาอย่างแน่นอน
บางทีเขาอาจจะมั่นใจที่จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นได้
แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะล้มกระดาน ทำลายล้างโลกตั้งแต่เนิ่นๆ เสียเลย!
“เจ้ายังมิได้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดหรือ” จอมกระบี่มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง “ได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งจากวังเทพจิตโลกาแล้วกระมัง”
“ใช่แล้ว ข้ากับท่านเข้าไปในวังเทพจิตโลกาพร้อมกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “แม้จะมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง แต่จะบรรลุถึงขั้นสุดยอดก็ยังคงยากมากอยู่ดี”
จอมกระบี่พยักหน้า นัยน์ตาแฝงแววอึดอัดเอาไว้ “ใช่ ยากมาก”
เมื่อเดินผ่านทางเส้นนี้ไป จึงเข้าใจถึงความยาก
ผู้อื่นรู้เพียงว่าเขาบำเพ็ญได้รวดเร็วมาก แต่กลับไม่รู้ว่าเขาประสบกับอะไรมามากน้อยเพียงใด
“ข้าอยู่ในสกุลชาง การช่วงชิงภายในดุเดือดนัก ก่อนหน้านี้ข้ายังค่อนข้างอ่อนแอ จึงมิอาจแย่งชิงอันดับเข้าไปในวังเทพจิตโลกาได้ หลังจากสำเร็จเป็นจอมเคารพแล้ว จึงช่วงชิงอันดับมาได้” จอมกระบี่กล่าว
“เคราะห์ดีที่ท่านบรรลุ มิเช่นนั้นครั้งนี้จักรพรรดิจวินอุกอาจเช่นนี้ ก็คงยุ่งยากใหญ่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“โชคดีมากเช่นกันที่มีเจ้าอยู่ ลำพังข้าคนเดียวคงมิอาจหยุดยั้งเขาได้” จอมกระบี่ยิ้ม
ทั้งสองสบสายตากัน
แล้วก็ยิ้มออกมา
ใช่แล้ว
โชคดีอยู่บ้างจริงๆ พวกเขาทั้งสอง แค่คนเดียวมีพลังไม่พอ จึงมิอาจขัดขวางการทำลายล้างโลกของฝูงมารผลาญทำลายขั้นสุดยอดตนหนึ่งได้! ตอนนั้น ‘เจ้าเมืองหลัว’ สงสารสรรพชีวิต จำนวนนับไม่ถ้วนอย่างแท้จริง จึงได้มอบโอกาสให้ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่คนละครั้ง เจ้าเมืองหลัวก็มิได้มั่นใจอะไร เพียงแค่มอบความหวังให้เท่านั้น บัดนี้ก็สำเร็จขึ้นมาแล้วจริงๆ!
พวกเขาทั้งสองช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้
“ในเมื่อท่านจอมกระบี่บรรลุแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องอดทนต่อไปอีกแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ไล่ล่าจักรพรรดิจวินจนต้องหลบเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องอดทนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเข้าไปใหญ่”
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หรือ” จอมกระบี่นัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้าหมายความว่า…”
“ข้ากับท่านสองคนร่วมมือกัน สามารถบีบจักรพรรดิจวินจนเป็นเช่นนี้ได้! ก็สามารถบีบให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทำได้แต่หลบซ่อนเช่นกัน” แววตาของตงป๋อเสวี่ยอิงคมปลาบ “วิธีการเผยแพร่ลัทธิของเขาคือการทำให้สรรพชีวิตต้องตกเป็นทาส เข้าควบคุมวิญญาณของพวกเขาโดยตรง สามารถช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นได้เร็วเท่าไหร่ก็ทำให้เร็วที่สุดเถิด”
จอมกระบี่มองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถช่วยเหลือได้หรือ”
“ทำให้สรรพชีวิตต้องตกเป็นทาส ก็แค่วิธีควบคุมวิญญาณบางอย่างเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “พูดถึงการควบคุมวิญญาณแล้ว ท่านคิดว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะสามารถสู้วิถีเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองของข้าได้อย่างนั้นหรือ ข้าเคยตรวจสอบวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนั่นแล้ว ยังมีโอกาสแก้ไขได้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ข้ามิกล้าลงมือ ด้วยกลัวว่าจะทำให้เขาแตกตื่น”
“ดี” จอมกระบี่รอคอยด้วยความตื่นเต้น “ในเมื่อเจ้าสามารถช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตกเป็นทาสได้ เช่นนั้นก็สามารถลงมือได้ตลอดเวลาแล้ว”
“ครั้งนี้ต้องไล่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์นั่นไปในรวดเดียวให้ได้!” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รอคอย
ส่วนการสังหารน่ะหรือ
แน่นอนว่าเขาปรารถนา คนที่สิ้นชีวิตไปเพราะจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีมากมายยิ่งนัก แต่ว่าก็ยังคงสังหารมิได้! ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดนั้น ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็ยากจะสังหารได้
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 42 จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หลบหนี
ณ โลกจอมมารดา
จอมมารดาขวัญหนีดีฝ่อ มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่กลางอากาศไกลออกไปอย่างระแวดระวัง
“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” จอมมารดาจิตใจไม่สงบขึ้นมา
ทันใดนั้น…
ประกายกระบี่สีเขียวสองสายก็ผุดขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วเข้าสู่ร่างกายของจอมมารดาอย่างไร้สุ้มเสียง ร่างกายมหึมาของจอมมารดาสั่นสะท้าน จากนั้นก็พังสลายไปอย่างไร้ร่องรอย ยามนี้จอมกระบี่ทั้งสองร่างจึงปรากฏขึ้นข้างกาย พลางมองดูทุกสิ่งอย่างเยือกเย็น เพื่อความมั่นใจเต็มเปี่ยม ร่างทั้งสองของเขาจึงเคลื่อนไหวพร้อมกัน! จอมกระบี่บำเพ็ญจนมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง ต่อให้ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งหรือาวุธเทพคละถิ่น ก็มีพลังสามส่วนของปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์แล้ว
สังหารเทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่งหรือ
เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดายแล้ว
“จอมมารดาสิ้นใจไปเช่นนี้เองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ
เขายังจำได้ว่าตอนนั้น ในจักรวาลที่ตนเกิดมา ‘ลัทธิจอมมารดา’ ได้รุกรานเข้าไปในจักรวาลของตน ทั้งยังนำมาซึ่งหายนะครั้งใหญ่ด้วย
บัดนี้ จอมมารดา…’ต้นตอ’ ของลัทธิจอมมารดาทั้งโลกกำเนิดกลับถูกทำลายไปเช่นนี้เอง! นางกบดานมานานแสนนาน เกรงว่าคงจะสั่งสมอะไรเอาไว้มากมาย ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังอันสมบูรณ์กลับกลายเป็นว่างเปล่าไปหมด! แม้แต่จักรพรรดิจวินซึ่งเป็นขั้นสุดยอด เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมกระบี่ในตอนนี้ ก็มิอาจต้านทานได้เลย แล้วจอมมารดาจะทำเช่นไรได้อีกเล่า
“ไป” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด “ไปยังโลกทิพย์”
“รีบไล่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปเร็ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รอคอย พวกเขามิกล้าถ่วงเวลาให้ชักช้าออกไป ด้วยกลัวว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะตระหนักได้ถึงอันตราย
……
ณ โลกทิพย์
เนื่องจากสงครามที่จักรพรรดิจวินก่อขึ้นมาได้ยุติลงแล้ว แม้แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปกป้องที่นี่อยู่ก่อนหน้านี้ก็จากไปแล้ว
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ในชุดคลุมสีดำทั้งร่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงศิลาดำ ในใจซับซ้อนเหลือประมาณ
จักรพรรดิจวินมิอาจทำลายล้างได้สำเร็จ มิอาจได้รับสิ่งที่กฎเกณฑ์สูงสุดมอบให้ เขาก็ย่อมมองดูฉากนี้อย่างมีความสุขเป็นธรรมดา
แต่พลังของจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์หงุดหงิดใจเป็นอันมาก
“พวกเขาเติบโตได้รวดเร็วเกินไปแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากจะเชื่อ “จอมกระบี่ก็แล้วไปเถิด เพราะถึงอย่างไรก็นับว่าบำเพ็ญมาค่อนข้างนาน ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นเพิ่งจะบำเพ็ญมานานสักเท่าใดกัน เป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ ตั้งแต่เมื่อใดกัน ขั้นสุดยอดง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าพรสวรรค์ของเขาร้ายกาจหาใดเปรียบจริงๆ”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งขึ้นมา
ต่อให้เข้าไปในยุคหน้า หรือยุคถัดไปอีก
หากต้องช่วงชิงกับพวกจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิง เขาคิดจะปกครองกฎเกณฑ์สูงสุดนั้นก็มีหวังไม่มากนัก
“เมื่อมีพวกเขาขัดขวาง ยุคหน้าก็จะเผยแพร่ลัทธิได้ยากขึ้น” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ลอบพึมพำ “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นก็ยังเชี่ยวชาญเขตลวงโลกเทียมอีกด้วย การควบคุมวิญญาณไม่แพ้ข้าเลย”
เขากลับไม่รู้ว่าบัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองทางด้านเขตลวงโลกเทียมไปแล้ว
“ต้องวางมือจากเส้นทางการเผยแพร่ลัทธิเสียก่อน!”
“รับรู้วิถีสายอื่นๆ ก็แล้วกัน พยายามควบคุมต้นกำเนิดจักรวาลให้มากหน่อย นอกจากนี้ยังต้องบำเพ็ญสายต่างๆ ควบคู่กัน ก็อาจจะสามารถผสานรวมกันและทำให้ข้าใช้พลังทำลายกฎได้ในท้ายที่สุดกระมัง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ครุ่นคิด แม้จะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง แต่กลับไม่ย่อท้อเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาเข้าใจดีมากว่าการกระโดดออกจากกรงขังนั้นยากเย็นเพียงด “จอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นคงจะมิอาจกระโดดออกจากกรงขังนี้ได้ไปหลายยุคเลยกระมัง ท้ายที่สุดผู้ใดจะคว้าชัย ก็ยังบอกได้ยาก!”
“เอ๊ะ”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ถึงคลื่นอีกระลอกหนึ่ง “นี่มันเรื่องอันใดกัน หรือยังไล่ล่าจักรพรรดิจวินอยู่ จักรพรรดิจวินมิได้หนีไปแล้วหรือไร”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สัมผัสรับรู้ไปตามระลอกคลื่นทันที ก็พบว่าในโลกจอมมารดา ‘จอมมารดา’ แห่งโลกจอมมารดาได้สิ้นใจไปแล้ว!
เขายังมิทันได้แตกตื่น
“สวบ สวบ”
ประกายกระบี่สีเขียวเจิดจ้าดูอันตรายทั้งสองสายด็แทงเข้ามาในกายของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์体内,ประกายกระบี่เสียแล้ว รวดเร็วและกะทันหันนัก ด้วยพลังของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมิอาจหลบได้ทัน
ตู้ม!
ร่างกายของเขาระเบิดออกทันทีก่อนจะสลานหายไป
“โครมมม…” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นกลางท้องฟ้าเหนือโลกทิพย์อันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วสำแดง ท่าไม้ตาย ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ ของยุทธวิธีหิมะเหินออกมา
แสงสีดำที่กระจายออกจากร่างกายของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกันขึ้นอีกครั้งไกลออกไป ในฐานะฝูงมารผลาญทำลาย ความสามารถในการรักษาชีวิตของเข้าก็ไม่แพ้จักรพรรดิจวินเลย
เขามองดูจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงที่สำแดงบริเวณอันน่าหวาดหวั่นอยู่ไกลออกไปด้วยความตื่นตระหนก
“สมควรตาย”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดือดดาลเหลือแสน
เขารู้แล้ว
จอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ลงมือกับจักรพรรดิจวิน แล้วยังมาลงมือกับเขาอีก! ‘ร่างแปรทิพย์โบราณ’ ของเขาได้เสียไปจนหมดแล้วในสงครามกับเจ้าศิลา จนถึงตอนนี้ ก็ยังคงสั่งสมได้น้อยอย่างยิ่งอยู่ดี ต่อให้สั่งสมอย่างแน่นหนา เมื่อเผชิญหน้ากับจอมกระบี่ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน
“หนี”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แทบจะเลือกทางเส้นนี้ทันทีด้วยสัญชาตญาณ
จักรพรรดิจวินใช้การต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าพิสูจน์ข้อหนึ่งว่าเมื่อเผชิญหน้ากับ ‘จอมกระบี่’ ก็จะไร้แรงตอบโต้ ยิ่งประมือมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งบาดเจ็บสาหัสมากขึ้นเท่านั้น!
สวบ สวบ!
ร่างแปรทิพย์โบราณหลอมรวมเป็นหนึ่งกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แทบจะในพริบตาเดียว อีกทั้งสายฟ้าก็ลั่นครั่นครืนในพริบตา ทำให้มิติแยกออกเป็นทางเชื่อมน้ำวนสายหนึ่งในทันใด เขาแทรกตรงเข้าไปแล้วหายวับไปทันที
“ไล่ตาม!”
ด้วยวิธีการเดียวกับที่ไล่สังหารจักรพรรดิจวิน
ร่างแยกที่ค่อนข้างอ่อนแอร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิง พาจอมกระบี่สองท่านสำแดงการเคลื่อนที่ในพริบตา แล้วไล่สังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่หยุดหย่อน!
……
ไล่สังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไปพลาง
ส่วนในโลกทิพย์กลับมีร่างแยกอันแข็งแกร่งของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่สามร่าง
“ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม”
โลกเขตลวงขนาดมหึมาร่อนลงไป ขอบเขตของโลกเขตลวงห่างชั้นกับบริเวณห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่มากโข อย่างบริเวณห้วงอากาศ ร่างแยกขนาดใหญ่ปกคลุมโลกทิพย์และยังเกินไปอีกมาก! ส่วนโลกเขตลวง ร่างแยกสามร่างร่วมมือกันจึงสามารถปกคลุมได้อย่างพอถูไถ
“ต้องเร่งช่วยเหลือพวกเขา” ร่างแยกทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงโลกเขตลวงขนาดมหึมาปกคลุมทั่วทั้งโลกทิพย์เอาไว้
ทุกชีวิตบนโลกทิพย์
ตั้งแต่อ่นแอไปจนถึงเทพจักรวาลด้านอสนีบาตเพียงคนเดียวล้วนแต่ตกอยู่ในนั้นทั้งสิ้น เทพจักรวาลผู้นั้นเป็นเพียงเทพจักรวาลชั้นที่หนึ่ง บัดนี้วิถีเขตลวงโลกเทียมทั้งสี่สายของตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมรวมกันแล้ว! ห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขตลวงของเขาน่าเกรงกลัวเพียงใดกัน
“วิญญาณ”
“พละกำลังสายนั้น”
ตกเข้าไปในเขตลวง สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในโลกทิพย์ก็มิได้ต้านทานแต่อย่างใด วิญญาณของพวกเขาก็มิได้ขัดขืน ปล่อยให้ควบคุมแต่โดยดี
พละกำลังสายนั้นที่ประทับอยู่บนวิญญาณถูกตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกซึมเข้าไปอย่างระมัดระวัง
“เทพจักรวาลอสนีบาตผู้นั้นออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง”
“อื้ม แทรกซึมได้สำเร็จแล้ว”
“ตัดขาดหมดแล้ว”
ตัดขาดก่อน แล้วค่อยๆ ทำลายไป
ตัดขาด…ก็เพื่อป้องกันจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อาศัยรอบประทับนี้สังหารผู้ศรัทธาเหล่านี้นั่นเอง
……
ไม่เพียงแต่โลกทิพย์เท่านั้น ยังมีสถานที่ที่ค่อนข้างใหญ่ของขุมอำนาจของลัทธิทิพย์โบราณอย่างดินแดนเก้าเมฆาที่เขาส่งร่างแยกไป ทว่าสถานที่เหล่านั้นเล็กกว่าโลกทิพย์มากนัก ผู้ศรัทธาในโลกทิพย์คิดเป็นเก้าส่วนของผู้ศรัทธาจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว! เป็นเพราะโลกทิพย์ใหญ่โตยิ่งนัก
……
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ประสบกับการร่วมมือไล่ล่าของตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ เพลิงโทสะก็อัดแน่นเต็มอก เขามิได้นึกถึงการเข่นฆ่าผู้ศรัทธาตนเลย ด้วยสัญชาตญาณ เขาก็ยังคิดว่าผู้ศรัทธาคือแหล่งกำเนิดพละกำลังของร่างแปรทิพย์โบราณ จะปกป้องยังไม่ทันเลย แล้วจะเข่นฆ่าได้อย่างไรกัน
“พวกเขากล้าได้อย่างไร กล้าได้อย่างไรกัน!”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์แค้นเคืองหาใดเปรียบ
นานเกินไปแล้ว
ตลอดคืนวันอันยาวนาน ตั้งแต่ยุคต่างๆ ก่อนหน้านี้
เขาคุ้นชินกับการสูงส่งเหนือใคร คุ้นชินกับการทำให้ผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนหวั่นเกรง ความเคยชินเช่นนี้ดำเนินต่อเนื่องมาหลายยุคสมัยแล้ว! เมื่อยามนี้มาถึง เมื่อเขาถูกถอดบัลลังก์ออก ถูกไล่สังหารจนเหมือนกับสุนัขไร้บ้าน จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกอดสูใจอย่างใหญ่หลวง จะแค้นเคืองไปก็ไร้ประโยชน์! พลังของจอมกระบี่ผู้นั้นสามารถกดดันเขาได้อย่างสิ้นเชิง ส่วนวิถีอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทำให้เขามิอาจหลบหลีกไปไหนได้
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหนีไม่พ้นหรอก” เงาร่างสามสายปรากฏขึ้นอีกครั้ง ประกายกระบี่却เฉียดผ่านร่างกายไป
ร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระเบิดออกมาอีกครั้ง
“จะหนีไปไหนก็ต้องถูกไล่สังหารทั้งนั้นแหละ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลับไม่รู้เลยว่า เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงต้องสำแดงโลกเขตลวง จึงได้ย้ายร่างแยกทั้งสามซึ่งประจำการอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์ โลกจอมมารดาและโลกทิพย์กิเลนบูรพาไปยังโลกทิพย์โบราณเสียแล้ว
แต่ทว่า จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังหนีเอาชีวิตรอด ก็ย่อมมุ่งหน้าไปทางพื้นที่อันห่างไกลเป็นธรรมดา ไม่มีทางมุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์ทั้งหลายเองเป็นแน่
ฟิ้ว!
ตู้ม!
ประกายกระบี่ส่งเสียงอื้ออึง
ถูกโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า พลังชีวิตถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพียงพริบตานั้น เขาถูกลอบโจมตีถึงห้าครั้งติดต่อกัน พลังชีวิตสูญเสียไปถึงสามส่วนแล้ว เพราะถึงอย่างไรจอมกระบี่ก็ใช้สองร่างร่วมมือกันเคลื่อนไหว
“จะเป็นเช่นนี้ต่อไปมิได้แล้ว ได้แต่ต้องไปยังทางเดินโลกาพิศวงเท่านั้น” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดือดดาลขึ้นมา แต่กลับทำได้เพียงเลือกเส้นทางเดียวกับจักรพรรดิจวินเท่านั้น
สวบ!
อสนีบาตอันน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งแหวกทางเชื่อมสายหนึ่งขึ้นมา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เดินเลียบทางสายนี้ไป แล้วตรงเข้าสู่ทางเดินโลกาพิศวง
ทางเดินโลกาพิศวง
ที่นี่คือสถานที่ให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลาย และเป็นเขาวงกตขนาดมหึมาอย่างยิ่งอีกด้วย! มิติที่นี่แปลกประหลาดยากเกินคาดเดา
สวบๆๆ!
เงาร่างสามสายของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงที่นี่
“ทางเดินโลกาพิศวง” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกจากรอบด้านจะมีแรงกดดันและมิติเปลี่ยนแปลงอย่างน่าพิศวงแล้ว ยังมีมิติมากมายที่เป็นรอยเลื่อน! ขอบเขตการตรวจตราของตนเพิ่งจะแผ่ออกไปได้เล็กน้อยเท่านั้น บริเวณก็ถูกตัดขาดเสียแล้วเพราะรอยเลื่อน! รอยเลื่อนจำนวนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ที่นี่เกิดเป็นเขาวงกตขนาดใหญ่
เทพจักรวาลคิดจะตามหาฝูงมารผลาญทำลายที่นี่ก็ทำได้ยากมาก และนี่ก็คือกฎเกณฑ์สูงสุดที่ปกป้องฝูงมารผลาญทำลายเอาไว้
“พวกเราหาเขาไม่พบหรอก ต่อให้ใช้เวลาตามหาจอมเทพศักดิ์สิทธิ์พบอย่างยากลำบาก จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เล็ดรอดไปครั้งหนึ่ง พวกเราก็หาไม่พบอีกแล้ว ไปกันเถิด เขาก็ทำได้แค่หลบอยู่ที่นี่เท่านั้น เพราะหากเป็นที่อื่น พวกเราก็สามารถไล่สังหารเขาได้อย่างง่ายดาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“อื้ม ให้เขาหลบอยู่ที่นี่ตลอดไปก็แล้วกัน” จอมกระบี่ก็พยักหน้าแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
……
ภายในมิติปิดผนึกแห่งหนึ่งของทางเดินโลกาพิศวง
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่เพียงลำพัง
รอบด้านเต็มไปด้วยความเวิ้งว้างขาวโพลนราวหิมะ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองดูทุกสิ่งอย่างเงียบเชียบ ในใจรู้สึกวังเวงนัก
เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เสียได้
เขาถุกไล่ล่าเสียจนขึ้นไปก็ไม่มีทางเดิน ลงไปก็ไร้ประตู ทำได้เพียงหนีเข้ามาในทางเดินโลกาพิศวงเท่านั้น! และทางเดินโลกาพิศวงนี้ก็ยังกดดันเขาอีกต่างหาก! จะมีก็แต่พวกเผ่ามารผลาญทำลายที่ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้เท่านั้น ที่อยู่ในทางเดินโลกาพิศวงแล้วจะไม่ถูกกดดัน
“ข้ากลายเป็นเช่นนี้ไปแล้วหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้น
ทันใดนั้น…
“ผู้ศรัทธาของข้า” ทันใดนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็สัมผัสได้แล้ว
ร่างแยกหลายร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกซึมเข้าไปตัดขาดรอยประทับทั้งหมดภายใต้โลกเขตลวง ทำให้การติดต่อระหว่างเขาและเหล่าผู้ศรัทธาถูกตัดขาด แม้จะมิกล้ากล่าวว่าสำเร็จเต็มร้อย แต่รอยประทับของผู้ศรัทธาเก้าสิบเก้าส่วนก็ถุกตัดขาดหมดแล้ว
“เขาสามารถทำลายรอยประทับวิญญาณของข้าได้อย่างไรกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากจะเชื่อ
ถูกไล่สังหารจนต้องมาหลบอยู่ที่นี่
แม้แต่ผู้ศรัทธาก็ยังถูกช่วงชิงไปด้วยอย่างนั้นหรือ
ไม่มีอะไรอีกแล้วหรือ
ต่อให้โลกกำเนิดยุคหน้ามาถึง มีศัตรูตัวฉกาจอย่างจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ วันคืนของเขาก็คงจะต้องเศร้าโศกมากเช่นเดียวกัน
ขณะนี้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์รู้สึกว่าในใจเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง!
“ข้าไม่ยอมจำนนหรอก!” ใบหน้าที่สงบนิ่งมาตลอดของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์บูดเบี้ยว เผยให้เห็นด้านที่เป็นฝูงมารผลาญทำลายของเขา ร่างกายก็มีหมอกดำม้วนตัวขึ้นมา เขาคำรามเสียงต่ำว่า “ข้าไม่ยอมจำนนหรอก!”
เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของเขา สะท้อนก้องอยู่ในมิติอันเงียบเหงาแห่งนี้
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 43 เสียงแซ่ซ้องของวิญญาณ
หลังจากที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงคำรามต่ำอย่างบ้าคลั่งแล้วก็ค่อยๆ เงียบสงบลง
นัยน์ตาทั้งสองของเขาเย็นเยียบ
ด้วยเพลิงโทสะและไอสังหารในใจเขา ก็นึกอยากจะสังหารหมู่ผู้ศรัทธาจำนวนมากในการควบคุมเสียให้หมดสิ้นในความคิดเดียวเสียจริงๆ ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะตัดแยกรอยประทับของผู้ศรัทธาไปถึงร้อยละเก้าสิบเก้าแล้ว แต่สำนักทิพย์โบราณสืบทอดคำสอนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาอันยาวนาน เผยแพร่ไปเป็นอาณาบริเวณกว้างเหลือเกิน แม้กระทั่งมีการสืบทอดคำสอนไปถึงจักรวาลและแผ่นดินอลหม่านที่ไม่อยู่ในสายตาจำนวนหนึ่งด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่บันทึกสิ่งที่ตรวจจับได้ในข้อมูลเท่านั้น
เพลิงโทสะในอกของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังลุกโชน แต่เขากลับมิได้สังหารหมู่ ข้อแรก ผู้ศรัทธาน้อยนิดเพียงเท่านี้ก็ยังสามารถมอบศรัทธาให้ได้เล็กน้อย ข้อสอง เขาก็อยากจะอาศัยสิ่งนี้ในการล่วงรู้ความเปลี่ยนแปลงของโลกทิพย์แต่ละแห่ง ถ้าหากผู้ศรัทธาตายไปหมด เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็น ‘คนตาบอด’ อย่างแท้จริงแล้ว ไม่รู้อะไรที่โลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย
“ซ่อนไว้ได้ลึกเสียจริง”
“จอมกระบี่ไม่เพียงแต่ไปถึงขั้นสุดยอดเท่านั้น แต่พลังยุทธ์ยังเหนือกว่าข้ามากอีกด้วย ดูเหมือนว่าการคาดการณ์ของข้าจะถูกต้อง เขาจะต้องได้ป้ายคำสั่งจิตโลกาไปครอบครองแล้วอย่างแน่นอน!” นัยน์ตาของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มีประกายหนาวเหน็บกะพริบวาบ “เจียมเนื้อเจียมตัว ไม่เคยประสบกับการขัดเกลาความเป็นความตายเช่นนี้มาโดยตลอด สามารถไปถึงขั้นสุดยอดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ไปถึงแล้วก็ช่างเถิด แต่อยู่ดีๆ มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ยังมีตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นอีก! ตอนนั้นข้าก็ควบคุมเขาเอาไว้ได้แล้วอยู่ชัดๆ แต่เขากลับฆ่าตัวตายเสียนี่ ข้ายังคิดอยู่ว่ามีเคล็ดลับอันใด ตอนนี้ดูแล้วก็คงจะเป็นป้ายคำสั่งจิตโลกากระมัง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พึมพำ “คราวก่อนผู้ที่เข้าไปในโลกทิพย์โบราณของข้าเพื่อช่วยเหลืออวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยาเขาก็จะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน! ข้ายังคิดอยู่เลยว่าที่แท้แล้วเป็นผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับที่โผล่มาจากไหนกัน”
“ป้ายคำสั่งจิตโลกา”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ขบกราม
เขาใช้ชีวิตอยู่มายุคแล้วยุคเล่า ก็เคยได้ยินเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับป้ายคำสั่งจิตโลกามาก่อนแล้ว แต่ละยุคในอดีตก็มีผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกากลับชาติมาเกิดไปยังดินแดนจิตโลกา แต่ผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกาเหล่านั้นกลับไม่มีใครสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดเลยแม้แต่คนเดียว!
ผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกา โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศวัยเยาว์ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงหรือว่าจอมกระบี่ ต่างก็ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกามาครองตอนที่ยังเป็นขั้นอลวนกันทั้งสิ้น ผู้มีพรสวรรค์ขั้นอลวนคนหนึ่งกลับชาติมาเกิดยังดินแดนจิตโลกา… ในท้ายที่สุดยังคิดจะไปถึงขั้นสุดยอดด้วยอย่างนั้นหรือ ความหวังช่างริบหรี่ยิ่งนัก!
“คิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาเดียว ยุคนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นมาถึงสองคนแล้ว” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์รู้สึกเศร้าสลด พ่ายแพ้ได้อย่างน่าเศร้าสลดเหลือเกิน
ถูกผู้แกร่งกล้าล้ำเลิศสองคนร่วมมือกัน เพียงชั่วครู่ก็ต่อตีเสียจนเขา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อกรเลยแม้แต่น้อย ได้แต่อาศัยทางเดินโลกาพิศวงประทังชีวิตไปเท่านั้น!
******
ณ โลกทิพย์โบราณ
ตงป๋อเสวี่ยอิงสามคนแยกกันอยู่ที่ท้องฟ้าเบื้องบนในบริเวณที่แตกต่างกันของโลกทิพย์โบราณแล้วสำแดงโลกเขตลวงปกคลุม ทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ทั้งหมดในโลกทิพย์โบราณติดอยู่ภายในเขตลวง แต่ละคนต่างก็จมดิ่งอยู่ภายในนั้น มิได้ต้านทานเลยแม้แต่น้อย ล้วนทำตามการควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสิ้น
ถ้าหากต้านทานแม้แต่น้อย เช่นนั้นรอยประทับที่ตัดแยกเอาไว้ก็จะล้มเหลว!
“สวบๆๆๆ…”
เงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏตัวขึ้นที่ท้องฟ้าเบื้องบนของโลกทิพย์โบราณ
เจ้าศิลาร่างผอมเล็ก จอมกระบี่บุรุษอาภรณ์ขาว บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนห้วงอากาศ ราชันย์มีด บรรพชนโลกา บรรพชนทิพย์ ท่านบรรพชนคีรีมาร จักรพรรดิงูเมฆา บรรพชนกฎฉุนอี ประมุขเหยากวง บรรพชนกู่ และเทพจักรวาลคนอื่นๆ ทั้งหมดต่างก็ปรากฏตัวขึ้นพลางมองดูตงป๋อเสวี่ยอิง ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ยืนหลับตาอยู่กลางอากาศอยู่ห่างๆ แล้วมองไปยังสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ร่วงหล่นลงบนพื้นแผ่นดินอันไพศาลเบื้องล่าง
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือว่าสัตว์ประหลาด ผู้บำเพ็ญทุกเผ่าพันธุ์ต่างก็ติดอยู่ในห้วงนิทราทั้งสิ้น
โลกทิพย์โบราณเงียบสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ผู้ที่ศรัทธาในตัวจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์ บนวิญญาณต่างก็มีรอยประทับกันหมดแล้ว ก็สามารถช่วยเหลือได้ด้วยหรือ” ราชันย์มีดอุทาน “ล้ำเลิศยิ่งนัก”
“จอมมารดาตายไป ผู้ศรัทธาจำนวนนับไม่ถ้วนที่นางควบคุมเอาไว้ก็กลับเป็นอิสระจนหมด แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ตาย ก็ได้แต่ช่วยทีละคนแล้ว” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ “โชคดีที่เสวี่ยอิงมีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทางด้านโลกเทียม สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้! ถึงแม้ว่าสำนักทิพย์โบราณและลัทธิจอมมารดาจะเป็นสองสำนักใหญ่ แต่พูดถึงด้านจำนวนแล้ว สำนักทิพย์โบราณกลับมากมายกว่าลัทธิจอมมารดาอยู่มากนัก”
“อืม”
ทุกคนในที่นั้นพยักหน้า
“นี่เป็นคุณความดีครั้งใหญ่เลยทีเดียว” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“หวังว่าจะไม่เกิดปัญหาอันใดระหว่างนั้นนะ” บรรพชนทิพย์จ้องมองดูต่อไป พวกเขาต่างก็รู้กระจ่างดียิ่งว่าการพัวพันไปถึงวิญญาณนั้นมีความยุ่งยากมากเพียงใด! ในอดีต เมื่อใดที่ประทับรอยประทับวิญญาณ นั่นก็ดูเหมือนว่าไม่มีทางช่วยเหลือได้แล้ว ให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารด
ปลดปล่อยอย่างนั้นหรือ หรือว่าสังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจอมมารดาให้ผู้ศรัทธากลับคืนสู่อิสรภาพ หรือว่าตัดแยกรอยประทับเช่นเดียวกันกับตงป๋อเสวี่ยอิงนี้เล่า
ในอดีต วิธีการทั้งสามอย่างนี้ล้วนมิใช่ความจริง
ตอนนี้ จอมมารดาตายไปแล้ว
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แต่หลบซ่อนตัว ใช้ชีวิตอยู่ในทางเดินโลกาพิศวง
“ครืน…”
ระหว่างฟ้าดินมีระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนรางๆ
จอมกระบี่ เจ้าศิลา บรรพชนเทียนอวี๋และคนอื่นๆ ที่อยู่กลางอากาศต่างก็กลั้นหายใจมองดู พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดนั้น
“กำจัดเสีย” ร่างแยกทั้งสามของตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ค่อยๆ ขจัดรอยประทับเหล่านั้นอย่างช้าๆ
“สลาย”
ในขณะนี้
สิ่งมีชีวิตที่มิอาจนับจำนวนได้ของโลกทิพย์โบราณ ที่นี่เป็นโลกทิพย์โบราณที่มีอาณาบริเวณราวๆ หนึ่งในร้อยส่วนของ ‘โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ ในขณะนี้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็สลัดพันธนาการออกไปจนหมดสิ้นแล้ว รอยประทับในดวงวิญญาณรอยนั้นสลายตัวไป แต่ละคนต่างก็ได้รับอิสรภาพและหลุดจากพันธนาการในที่สุด!
“ฮ่า!”
สิ่งมีชีวิตของโลกทิพย์โบราณจำนวนนับไม่ถ้วน ดวงวิญญาณก็ย่อมแผ่ระลอกคลื่นออกมา นั่นคือระลอกคลื่นที่สุขสันต์หาใดเปรียบ ระลอกคลื่นแห่งอิสรภาพ ระลอกคลื่นแห่งการหลุดพ้น!
ผู้บำเพ็ญเกิดมาก็เป็นอิสระ!
เกิดมาเพื่อไล่ตามความอิสระเสรี!
ถูกกดขี่เป็นทาสมาเนิ่นนาน ถูกกดขี่เป็นทาสยุคแล้วยุคเล่า สามารถสังหารคนที่ตนรักโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยเพื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้กระทั่งฆ่าตัวตาย! นี่มิใช่ผู้บำเพ็ญอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับซากศพที่เดินได้! มีเพียงในขณะนี้ที่สามารถขจัดพันธนาการออกไปได้อย่างแท้จริง อิสรเสรีที่มาจากจิตวิญญาณเช่นนั้น จิตใจสว่างไสว จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรมี
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็พากันส่งเสียงแซ่ซ้องโดยสัญชาตญาณ! เสียงแซ่ซ้องเช่นนั้นทำให้เจ้าศิลา จอมกระบี่ บรรพชนเทียนอวี๋และคนอื่นๆ ที่ชมดูเหตุการณ์นี้อยู่ที่โลกทิพย์โบราณต่างก็รู้สึกได้ถึงความพรั่นพรึง
วิญญาณ…
เดิมทีก็ลึกลับอยู่แล้ว
ในที่สุดวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็กลับคืนสู่อิสรภาพ เสียงแซ่ซ้องจากจิตวิญญาณและระลอกคลื่นที่เหนี่ยวนำขึ้นมานั้นกวาดล้อมไปทั่วทั้งโลกทิพย์โบราณ แล้วก็ส่งผลกระทบไปถึงเทพจักรวาลเหล่านี้ พวกเขาต่างก็ได้รับผลพวงด้วยกันทั้งสิ้น ต่างก็รู้สึกว่าวิญญาณของตนสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
“อิสรภาพ!”
“อิสรภาพ!”
ไม่เพียงแต่โลกทิพย์โบราณเท่านั้น ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนทั้งมนุษย์และสัตว์ประหลาดเผ่าต่างๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือตามสถานที่อื่นๆ อย่างเช่นดินแดนเก้าเมฆา ต่างก็ฟื้นคืนสติแล้ว
พวกเขาหลั่งน้ำตาแห่งความตื่นเต้นและยินดีอย่างที่สุด
ถึงแม้ว่าดวงวิญญาณจะมีรอยประทับตลอดระยะเวลาอันยาวนาน แต่พวกเขาก็มีสติแจ่มชัดอยู่ตลอด ยุคแล้วยุคเล่าก็ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือพวกเขายังคงสวามิภักดิ์และศรัทธาต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจราวกับหุ่นเชิดก็มิปาน มีเพียงแค่ในขณะนี้เท่านั้นที่ความรู้สึกอันแปลกประหลาดนั้นเพิ่งจะมลายหายไป แล้วจึงรู้สึกได้ถึงความสุขกายสบายใจอย่างแท้จริง
“นับจากตอนนี้เป็นต้นไป ข้าจึงจะเป็นตัวข้า!” เทพจักรวาลวิถีอสนีบาตเพียงหนึ่งเดียวก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน มองผ่านสิ่งกีดขวางของห้วงอากาศ มองเห็นบุรุษอาภรณ์ขาวที่อยู่ไกลออกไป
ถึงแม้ว่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนจะไม่รู้ว่าผู้ใดช่วยเหลือพวกเขา ทว่าต่างก็รู้สึกซาบซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจ
ซาบซึ้งที่ช่วยเหลือพวกเขาออกมาจากหุบเหวลึกอันดำมืด
……
กลางเวหา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสามคนยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิม เขาและร่างแยกอื่นๆ ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ยามที่สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นได้รับอิสรภาพ วิญญาณก็ส่งเสียงแซ่ซ้องโดยสัญชาตญาณ
เสียงแซ่ซ้องอย่างพร้อมเพรียงกันของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายเหลือคณา ทำให้แม้แต่พวกเจ้าศิลาและจอมกระบี่ที่ชมดูอยู่ต่างก็พากันพรั่นพรึง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งมีความรู้สึกแรงกล้า
เสียงแซ่ซ้องระลอกแล้วระลอกเล่าพุ่งปะทะใส่ตน
“วิญญาณ”
“อิสรภาพ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงน้ำตาหลั่งรินโดยไม่รู้ตัว
น้ำตาแห่งความซาบซึ้ง
ซาบซึ้งกับความมุ่งมาดปรารถนาที่วิญญาณมีต่ออิสรภาพ
ในขณะนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีหนทางสำหรับผสานรวม ‘วิถีวิญญาณ’ สายสุดท้ายของการผสานรวมห้าสาย ของ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ แล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่มีแม้กระทั่งทิศทางที่ถูกต้องแม่นยำเลยด้วยซ้ำ! แต่ตอนนี้เขามองเห็นหนทางแล้ว
“วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน จึงจะเป็นพื้นฐานของโลกกำเนิดแห่งนี้”
“ความปรารถนาของสรรพชีวิตสามารถส่งผลกระทบต่อความปรารถนาของโลกกำเนิดได้! แต่การกดขี่สรรพชีวิตเป็นทาส… วิถีทางนี้ก็เป็นเรื่องที่ผิดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขนาดที่เกิดความรู้สึกชนิดหนึ่งขึ้น ถึงแม้ว่าการเผยแพร่ความศรัทธาจะมีหวังที่จะทำให้สรรพชีวิตศรัทธาในการควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดได้ แต่ทว่าเขากลับมีความรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าการทำให้สรรพชีวิตศรัทธานั้นมิใช่เรื่องผิด แต่วิธีการกดขี่ดวงวิญญาณเป็นทาสนั้นน่าจะละเมิดข้อห้ามระดับที่ลึกล้ำกว่าบางอย่าง
วิถีทางสายนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมีลางสังหรณ์ว่าจะไม่สามารถควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดได้!
อย่างเช่นหยวนและเจ้าเมืองหลัว ต่างก็มิได้มีความสำเร็จล้ำลึกทางด้านวิถีวิญญาณ ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของวิถีวิญญาณของห้วงมิติจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้เขาก็มีเพียงแค่ลางสังหรณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น
“เมื่อห้าสายผสานรวมกันแล้ว บางทีข้าอาจจะเข้าใจได้มากยิ่งขึ้นกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
เมื่อก่อนหน้านี้
ห้าสายผสานรวม ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ของเขาไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว ก็มิได้มีความมั่นใจ แต่วันนี้เขาเห็นหนทางก็มีความแน่ใจแล้ว
“ให้เวลากับข้าอย่างเพียงพอ ก็มีความหวังที่ข้าจะเดินบนทางเส้นนี้ไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตา มองเห็นเหล่าผู้บำเพ็ญของโลกทิพย์โบราณจำนวนนับไม่ถ้วนเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและปิติยินดีแล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา
เขาช่วยเหลือสรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน
และสรรพชีวิตก็ได้ชี้เส้นทางการบำเพ็ญของวิญญาณออกมาให้เขา
ยื่นหมูยื่นแมวกัน นี่ก็เป็นการโคจรของกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งกระมัง
“เสวี่ยอิง”
“ฮ่าฮ่า ช่างมีความสุขเหลือเกิน”
“นี่เป็นวันที่มีความสุขที่สุดวันหนึ่งในชีวิตข้าเลย จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ข่มขู่คุกคามพวกเรามาโดยตลอดถึงกับตกใจกลัวจนต้องหลบซ่อนตัวเพื่อรักษาชีวิตรอดเลยทีเดียว ฮ่าฮ่า”
บริเวณไกลออกไปมีเสียงลอยมา เจ้าศิลา จอมกระบี่ บรรพชนเทียนอวี๋ และเหล่าเทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งต่างพากันเข้ามาจนหมด แต่ละคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทุกคนมีความสุขเบิกบานใจ ในวันนี้ พวกเขาได้เห็นจอมมารดาที่ชั่วร้ายมาอย่างยาวนานสิ้นชีพ และได้เห็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ทั่วทั้งโลกกำเนิดโกลาหลมาโดยตลอดเป็นดังสุนัขจนตรอก วันนี้พวกเขาได้หลุดพ้นจากการเผชิญกับภัยของมหาวินาศ วันนี้พวกเขาได้เห็นทั้งจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงขั้นสุดยอด วันนี้ยังได้เห็นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเกือบหนึ่งส่วนของอากาศอันสับสนอลหม่านกลับคืนสู่อิสรภาพ ได้ยินเสียงแซ่ซ้องของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน…
ทุกคนรู้สึกสุขสันต์และสบายใจ ชนิดที่ไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อนเลย
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มแล้วก้าวเข้าไปหา!
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 44 พลังต้นกำเนิด
ณ วังทวีสูญ ภายในสวนที่เต็มไปด้วยเสียงนกร้องและบุปผานานาพรรณส่งกลิ่นหอมอบอวล เหล่าเทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ดื่มสุราเฮฮา มีความสุขกันเป็นอย่างยิ่ง
“มา มา มา เสวี่ยอิง เราสองคนมาดื่มกันสักจอกหนึ่งเถิด” บรรพชนห้วงอากาศอยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง นั่งอยู่บนพื้นหญ้าพลางถือจอกสุราดื่ม “น่าเสียดายที่ท่านอาจารย์ของเจ้ามิได้อยู่จนเห็นวันนี้ ถ้าหากเขาได้เห็นก็จะต้องเบิกบานใจยิ่งอย่างแน่นอน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบาๆ
ปรมาจารย์กู่ฉี
สิ้นชีพด้วยน้ำมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์! เสียดายเพียงแต่ว่าตอนนี้ตนมิอาจสังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ตายได้ ต่อให้ตนเองกลายเป็นขั้นสุดยอดก็ไม่มีหวัง บางที ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ไปถึงขั้นสุดยอด จึงจะมีความหวังที่จะสังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ตายได้อยู่บ้างกระมัง นี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น! เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรบนดินแดนจิตโลกาก็ไม่เคยมีใครไปถึงขั้นสุดยอดทางด้านวิถีวิญญาณมาก่อนเลย
“อาจารย์ของเจ้าเขามีความสุขกับการเป็นอิสระ แต่ก็มีจิตใจเมตตาต่อสรรพชีวิต ดังนั้นเขาจึงเป็นอริกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์” บรรพชนห้วงอากาศเอ่ยพึมพำเสียงต่ำ “เขาอาศัยเคล็ดลับวิถีอากาศหนีไปในทันทีที่เห็นสถานการณ์ไม่ดี แต่ว่าในอดีตจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มิได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเท่านั้นเอง เมื่อใดที่โมโหขึ้นมาจริงๆ แล้วใช้พละกำลังของร่างแปรทิพย์โบราณ เขาก็ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะต้านทานเลยเสียด้วยซ้ำ”
“ข้าก็อยากจะแก้แค้นให้กู่ฉีอยู่เหมือนกัน แต่ข้าก็กลัวว่าจะตายอย่างไม่มีประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อยภายใต้เงื้อมมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังอยู่ข้างๆ ใช่แล้ว ก่อนที่พลังยุทธ์ของเขาและจอมกระบี่จะก้าวหน้าอย่างมหาศาล ก็ไม่มีหนทางใดๆ ในการเผชิญหน้ากับ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ เลยจริงๆ ต้องเป็นฝ่ายรับโดยตลอด! พวกประมุขโลกและบรรพชนทิพย์ยังสามารถต้านทานต่อหน้าได้ แต่ก็จนใจมิอาจทำอะไรจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ สำหรับระดับอย่างบรรพชนเทียนอวี๋และบรรพชนห้วงอากาศนั้นถ้าหากต้านทานแล้วเมื่อใดที่ไม่ระวังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้แล้ว ต่างก็อาศัยสมบัติลับล้ำค่าคุ้มกายต้านทาน เพียงชั่วพริบตาก็สามารถหลบหนีไปได้ในทันทีแล้ว หรือจะขอความช่วยเหลือให้ประมุขโลก ราชันย์มีด และคนอื่นๆ มาช่วยเหลือ
น่าเสียดาย
ความผิดหวังเช่นนี้ผ่านเลยมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็ได้แต่หลบซ่อนตัวอยู่ที่ทางเดินโลกาพิศวงเท่านั้น! มีจอมกระบี่และเสวี่ยอิงอยู่ เช่นนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แต่หลบซ่อนตัวเช่นนี้ไปตลอดกาล” ท่านบรรพชนคีรีมารน้ำเสียงแข็งกร้าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าบำเพ็ญมาเนิ่นนานเช่นนี้ ในภายหน้าก็มีสหายได้มากขึ้นหน่อยแล้ว” เจ้าศิลาแยกเขี้ยวยิ้ม “ข้ามองออกว่าการหยั่งรู้ของพวกเจ้าสองคนล้วนสูงส่งเป็นที่สุด ก็มีความหวังที่จะประสบความสำเร็จสูงสุดก่อนที่จะเกิดมหาวินาศ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าสองคนจะประสบความสำเร็จสูงสุดอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ต่อไปพวกเราก็คงจะได้เป็นสหายกันไปอย่างเนิ่นนานแล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ประสานสายตากันคราหนึ่ง
ตัวพวกเขาสองคนเองต่างก็รู้กระจ่างดีว่า หนึ่งคือพวกเขามีเจ้าเมืองหลัวให้โอกาส สองคือพวกเขาต่างก็ได้รับเคล็ดสืบทอดลับขั้นสูงสุดที่ดินแดนจิตโลกา ก็มีแรงช่วยเหลืออย่างสูงถึงสองอย่าง จึงยกระดับได้รวดเร็วกว่าที่เจ้าศิลาคาดการณ์เอาไว้ นอกจากนี้ในความเป็นจริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงยังไปไม่ถึงขั้นสุดยอด! เพียงเพื่อให้ ‘จักรพรรดิจวิน’ และ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ หวาดหวั่น ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่จึงได้ลอบหารือกันอย่างลับๆ
ความเข้าใจผิดที่ว่าเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง ‘สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด’ แล้ว ก็ปล่อยให้เข้าใจผิดเช่นนี้ต่อไปเถิด!
วิถีอากาศขั้นสุดยอด! เขตพลังแกร่งกล้า
ทำให้จักรพรรดิจวินและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มิอาจมีความคิดที่จะดิ้นรนได้เลยแม้แต่นิดเดียว!
ถ้าหากพวกเขาล่วงรู้…ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยร่างแยกจำนวนมากมายพยายามอย่างสุดกำลัง จึงสามารถแผ่ปกคลุมอาณาบริเวณส่วนใหญ่ของอากาศอันสับสนอลหม่านได้ เกรงว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดิจวินก็ยังอาจมาวุ่นวายด้วยได้อยู่ดี!
“ข้าต้องสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำกับตนเอง
ไม่ว่าจะเพื่อช่วยเหลือญาติมิตรจำนวนหนึ่งให้ออกจากโลกกำเนิดมาเสาะหาหนทางดำรงชีวิตอีกเส้นหนึ่งก่อนเกิดมหาวินาศ หรือเพื่อเพิ่มพลังคุกคามต่อ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดิจวิน’ พลังยุทธ์ก็ต้องยกระดับอย่างรวดเร็วทั้งสิ้น
……
ตอนนี้วังทวีสูญมีสถานะสูงส่งอย่างที่สุดเพราะว่ามีขั้นสุดยอดอยู่ภายในสำนักถึงสองคน!
แต่เพื่อมิให้ลดทอนพลังต้นกำเนิดของอากาศอันสับสนอลหม่าน พวกตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมิได้สรรสร้างโลกทิพย์ต่อไป เพียงแต่รักษาความเป็นระเบียบเอาไว้ต่อไป พยายามทำให้ยุคนี้ของโลกกำเนิด ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ คงอยู่ต่อไปได้นานขึ้นอีกสักระยะ
“ฟิ้ว”
กลิ่นกำยานหอมฟุ้ง
กลิ่นหอมแผ่ไปทั่วทั้งภายในห้องเงียบ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นี่ตามลำพัง สติรับรู้เริ่มเข้าไปรวมตัวกับกฎเกณฑ์สูงสุดที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง
ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับสัมผัสได้ถึงห้วงมิติอันแปลกประหลาดที่มีอยู่ในกฎเกณฑ์สูงสุด ดูคล้ายว่ามันมีขนาดเล็กอย่างที่สุด เล็กจนถึงขนาดที่เคล็ดลับห้วงอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังตรวจหาไม่พบ แล้วก็ดูเหมือนว่าใหญ่โตเหลือคณา จนทั่วทุกหนแห่งของโลกกำเนิดล้วนมี ‘มัน’ อยู่ทั้งสิ้น
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงจิตใจวูบไหว
สติรับรู้เข้าไปสู่ห้วงมิติอันแปลกประหลาดแห่งหนึ่งอย่างง่ายดาย
นี่คือ ‘ห้วงมิติต้นกำเนิด’ ที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของโลกกำเนิดอากาศอันสับสนอลหม่าน มีความคล้ายคลึงกับหัวใจของโลกเผ่าเซี่ยอยู่เล็กน้อย แต่มีความลึกลับมากยิ่งกว่า มีเพียงด้านสติรับรู้ของวิญญาณเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ามาได้ สารอื่นใดต่างก็ไม่สามารถเข้ามาได้ทั้งสิ้น! ขนาดของมันไม่สามารถใช้ขนาดของสารธรรมดาทั่วไปมาใช้วัดได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าภายในห้วงมิติต้นกำเนิดอันลึกลับแห่งนี้ แหล่งต้นกำเนิดหลากสีสันแห่งแล้วแห่งเล่าเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกันจนดูเหมือนจะโกลาหล แต่ในความเป็นจริงแล้วมันโคจรด้วยร่างที่ก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกกลุ่มต้นกำเนิดต่างก็แสดงถึงวิถีสายหนึ่ง!
พลังต้นกำเนิดของโลกกำเนิดก็ได้สูญสลายไปเป็นอันมากตอนที่โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแหลกสลาย ต่างก็รวมตัวกันเป็นโลกกำเนิดแห่งแล้วแห่งเล่าออกมา แหล่งต้นกำเนิดในตอนนั้นก็ ‘สูญไปอย่างมหาศาล’ แล้ว ดังนั้นจึงมีทางเดินโลกาพิศวงปรากฏขึ้นมาได้ ฟูมฟัก ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’ ที่เป็นตัวแทนของการผลาญทำลายออกมา ให้พวกมันมาเพิ่มความเร็วของการทำลายล้างทั้งโลกกำเนิด
สัญชาตญาณของโลกกำเนิดก็คือการเริ่มฟูมฟักโลกที่แกร่งกล้าสมบูรณ์แบบเพียงพอออกมาใหม่ ถึงแม้ว่าจะสูญเสียพลังไปอย่างมหาศาลก็ตาม
แต่กฎเกณฑ์ก็ยังคงสูงส่งเป็นที่สุดเช่นเดิม
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิง ‘พินิจดู’ แหล่งต้นกำเนิดหลากสีสันแห่งแล้วแห่งเล่า พวกมันเกี่ยวเนื่องผสมปนเปกัน ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า ถึงขนาดที่ยากจะพูดได้อย่างชัดเจนว่ามีแหล่งต้นกำเนิดอยู่มากน้อยเพียงใดกันแน่
เพราะมีบางส่วนที่มีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน
อย่างเช่น ‘แสงสว่าง’ กับ ‘ลำแสง’ แหล่งต้นกำเนิดสองแหล่งนี้มีด้านที่ตรงกันมากมายหลายด้าน
อย่างเช่น ‘ไร้ภาพ’ กับ ‘ไร้กำลัง’ แหล่งต้นกำเนิดสองสายนี้ก็มีส่วนที่ตรงกันมากมาย
แต่ในนั้นมีแหล่งต้นกำเนิดอยู่สองแห่งที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสนิทสนมคุ้นเคย
กลุ่มต้นกำเนิดขยายตัวออกไปอย่างมากที่สุด มันแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้วงมิติต้นกำเนิด มันก็คือแหล่งต้นกำเนิดของ ‘วิถีอากาศ’
ต้นกำเนิดอีกกลุ่มหนึ่ง ก็คือภาพลวงอันมิอาจคาดเดาได้ ทั้งยังแพร่ผ่านพื้นที่เขตพลังขนาดมหึมา นอกจากนี้มันยังลึกลับยิ่งกว่า ดูเหมือนว่าจะแทรกผ่านส่วนลึกของแหล่งต้นกำเนิดจำนวนหนึ่งอีกด้วย มันก็คือแหล่งต้นกำเนิดของ ‘เขตลวงโลกเทียม’
“แทรกซึมเข้าไป”
สติรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแทรกซึมเข้าไปในแหล่งต้นกำเนิดวิถีอากาศก่อน
ปัง!
ข้อมูลจำนวนมหาศาลปะทะสติรับรู้ของตน มันกว้างใหญ่ไพศาลและทานทน เพียงแค่ไปถึงวิถีอากาศระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองก็จะสามารถประทับรอยประทับวิญญาณของตนเองได้สำเร็จ สามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดสายนี้ได้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ห่างจากขั้นสุดยอดเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ก็ยิ่งง่ายดายขึ้นไปอีก อาศัยเวลาอีกเพียงแค่เล็กน้อยก็สามารถประทับรอยได้แล้ว!
หลังจากนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็ใช้เวลาอีกชั่วจิบชาหนึ่ง ประทับรอยประทับวิญญาณบนแหล่งต้นกำเนิดวิถีเขตลวงโลกเทียม
ตัดสินจากมุมมองนี้ ถึงแม้ว่าขาดอีกเพียงวิถีเดียวก็จะผสานรวมได้สำเร็จแล้ว แต่การสั่งสมทางด้านวิถีอากาศของตนก็ยังลึกซึ้งกว่าทางด้าน ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’
“ขอเพียงแค่ประทับรอยได้สำเร็จเกินครึ่งของแหล่งต้นกำเนิด ก็สามารถอาศัยสิ่งนี้ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นในคราวเดียวได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง
ทำให้วิถีสายหนึ่งสำเร็จเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองอย่างนั้นหรือ
ยากเย็นยิ่งนัก
อย่างเช่นจอมกระบี่ บรรพชนฝาน จักรพรรดิเทพผลาญโลกา บรรพชนราตรีนิรันดร์และคนอื่นๆ อีกมากพอสมควรสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด พวกเขาจำนวนมากต่างก็มุ่งมาดปรารถนาว่าจะสามารถสำเร็จเป็นเทพจักรวาลทางด้านวิถีอากาศได้ เช่นนี้ก็สามารถบำเพ็ญร่างแยกออกมาได้มากมายแล้ว! แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรเส้นทางการพัฒนาของผู้บำเพ็ญทุกคนก็มีประสบการณ์ต่างๆ นานา อุปนิสัย จิตแห่งวิถี และโชคชะตาที่แตกต่างกัน… หรือความรอบรู้เกี่ยวกับโลก เป็นต้น ต่างก็เป็นตัวกำหนดให้พวกเขาเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในบางวิถี ไม่เชี่ยวชาญอย่างยิ่งในบางวิถี!
ทำให้วิถีหนึ่งไปถึงเทพจักรวาลก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งแล้ว การจะไปถึง ‘เทพจักรวาลชั้นที่สอง’ ได้ ก็ยิ่งยากเย็นขึ้นไปอีก
เกินกว่าครึ่งของแหล่งต้นกำเนิดอย่างนั้นหรือ
ไม่ต้องพูดถึงคู่แข่ง ลำพังแค่ ‘วิถี’ เกินครึ่ง ไปถึงเทพจักรวาลชั้นที่สอง ก็ทำให้ขั้นสุดยอดคนใดๆ ต่างก็พากันรู้สึกสิ้นหวังแล้ว
“การควบคุมแหล่งต้นกำเนิดสองสายสามารถระดมพลังต้นกำเนิดจักรวาลจำนวนมากเหล่านี้ไว้ใช้เองได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายศีรษะ สำหรับเทพจักรวาลชั้นที่สองแล้วการเคลื่อนย้ายพลังต้นกำเนิดจักรวาลก็สามารถทำให้พลังยุทธ์ยกระดับขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว แต่สำหรับตนที่มีพลังรบขั้นสุดยอด พลังต้นกำเนิดเท่านี้มารวมอยู่บนร่างก็มิอาจนับเป็นอะไรได้เลย
“น่าเสียดาย ไม่มีทางหยั่งรู้อย่างละเอียดได้เลย”
แหล่งต้นกำเนิดที่มีอยู่ทั้งหมดเกี่ยวเนื่องสอดประสานกันเข้าเป็นหนึ่งเดียว ก่อรูปร่างเป็นกฎเกณฑ์สูงสุดอันสมบูรณ์แบบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่สามารถตระหนักรู้แหล่งต้นกำเนิดแหล่งใดแหล่งหนึ่งโดยเฉพาะได้ เขาทำได้เพียงแค่มองเห็นกฎเกณฑ์สูงสุดอันไพศาลอย่างทุลักทุเลเท่านั้น ซับซ้อนเกินไปเสียแล้ว!
“เปรียบเทียบกับการตระหนักรู้กฎเกณฑ์สูงสุด หรือว่าการใช้พลังทำลายกฎสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ค่อยมาควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดได้ง่ายดายกว่ากระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ต่างก็ว่ากันว่าการควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีใครมีความมั่นใจในตนเองขนาดที่ไปหยั่งรู้กฎเกณฑ์สูงสุดเลย เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่มีทางหยั่งรู้ได้เลย
……
ทางด้านโลกกำเนิดบ้านเกิดนี้กลับสู่ความเงียบสงบ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดิจวินก็มิได้มายุ่มย่ามอีก บางทีพวกเขาอาจจะยอมรับโชคชะตา รอคอยไปจนถึงยุคต่อไปแล้วก็เป็นได้
ยุคต่อไป โลกกำเนิดบ่มเพาะดินแดนขนาดมหึมาออกมาใหม่ ภายใต้แหล่งต้นกำเนิดอันแข็งแกร่งที่สุด ดินแดนกว้างใหญ่ กฎเกณฑ์สูงสุดกดดันอย่างแกร่งกล้าที่สุด! แม้กระทั่งเป็นขั้นสุดยอด นึกอยากจะให้เขตพลังแผ่ปกคลุมทั่วทั้งดินแดนโลกกำเนิดก็เป็นเรื่องเพ้อฝันแล้ว ถึงยุคนั้น พวกเขาสองคนก็ยังมีความมั่นใจที่จะต่อสู้กับตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่
แต่ทางด้านดินแดนจิตโลกานี้ก็เงียบสงบกว่าเช่นกัน
ร่างแยกหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงบำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตต่อไป มองเห็นวิถีทางผสานรวมห้าสาย ก็ย่อมทุ่มเทจิตใจศึกษา ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ มุ่งเป้าหมายไปยังขั้นสุดยอด! การบำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตมีผลลัพธ์ดีเยี่ยมเป็นที่สุด บำเพ็ญโดยใช้ร่างแยกเดียวก็เพียงพอแล้ว
ส่วนร่างแยกอื่นๆ ก็ศึกษาวิถีอากาศต่อไป วิถีอากาศของเขาสั่งสมได้ล้ำลึกเป็นอย่างยิ่งแล้ว กำลังศึกษากระบวนสังหารที่หกแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีวิธีการอื่น บุปผาโลกาก็ใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว! ตอนนี้เขาก็ได้แต่สั่งสม สั่งสม และสั่งสมเท่านั้น จนกระทั่งไปถึงย่างก้าวนั้นได้สำเร็จ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น