Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 37-40
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 37 จักรพรรดิจวินเดือดดาล
ณ อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด
ที่แห่งนี้สงบเงียบกว่าดินแดนจิตโลกามากมายนัก หากแต่เป็นความสงบเงียบก่อนพายุฝนจะมา!
‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านทุ่มเทจิตใจเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ ได้รับความศรัทธาของเหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกทิพย์โบราณอันกว้างใหญ่ อาศัยร่างแปรทิพย์โบราณเปลี่ยนเป็นพลังต้นกำเนิด สถานที่แต่ละแห่งอย่างเช่นแผ่นดินอลหม่าน ก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ศรัทธาในตัวเขา ส่งพลังศรัทธาให้อย่างต่อเนื่อง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ก็สะสมอยู่ตลอด เตรียมตัวสำหรับการโจมตีสุดท้ายอีกครั้งยามที่มหาวินาศมาถึง ทดลองดูว่าสามารถควบคุม ‘กฎเกณฑ์สูงสุด’ ที่ยุคนี้ได้หรือไม่ ให้ตนเองสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ถ้าหากล้มเหลวก็ได้แต่รอยุคต่อไปแล้ว
ส่วนเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ อย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นต้น ต่างก็กำลังทุ่มเทเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ
ไม่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ก็ไม่มีทางต้านทานการแหลกสลายของโลกกำเนิดและถือกำเนิดขึ้นใหม่ได้
……
และที่ทางเดินโลกาพิศวง
ภายในมิติปิดผนึกแห่งหนึ่ง มีดอกไม้สีดำดอกหนึ่งแขวนลอยอยู่ กลีบของดอกไม้ประสานปิดโดยสมบูรณ์
หลังจากผ่านไปเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ดอกไม้สีดำดอกนี้ก็แย้มบานอย่างช้าๆ ในที่สุด เผยตัวบุรุษผอมบางที่มีหางหุ้มเกล็ดยาวเหยียดผู้ดูร้ายกาจที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่งออกมา ซึ่งก็คือฝูงมารผลาญทำลายคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้นำของฝูงมารผลาญทำลายทั้งหมดที่มีอยู่ในทางเดินโลกาพิศวงในตอนนี้อีกด้วย… นั่นก็คือจักรพรรดิจวิน
จักรพรรดิจวินค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ นัยน์ตากลับมีสีอันแปลกประหลาดอยู่
“ในที่สุดข้าก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว!” จักรพรรดิจวินมิอาจปิดบังความตื่นเต้นได้ เขามองดูห้วงมิติเบื้องหน้า เส้นสายพลังจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมทั่วทุกหนแห่ง และกฎเกณฑ์ทั้งหมดก็ถูกเขาควบคุมเอาไว้จนสิ้น เขาก็สามารถควบคุมพลังขั้นสุดยอดขุมนี้เอาไว้ได้อย่างสบายๆ
“ไปถึงขั้นสุดยอด อย่างน้อยต่อให้โลกกำเนิดแห่งนี้เกิดมหาวินาศ ข้าก็สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย สามารถมีชีวิตอยู่รอดไปถึงยุคหน้าได้อย่างง่ายดายแล้ว” จักรพรรดิจวินหรี่ตาคิดใคร่ครวญ “ฟังผู้อาวุโสชี้แนะ ภายในโลกกำเนิดแห่งนี้มีเจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สองคนที่ไปถึงขั้นสุดยอด จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายของสักยุคหนึ่งเมื่อเนิ่นนานมาแล้วก่อนหน้า แต่ว่าโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง ในท้ายที่สุดแล้วก็มีคนที่ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น พวกเขาล้วนเป็นคู่ต่อสู้ของข้าทั้งสิ้น”
หลังจากที่จักรพรรดิจวินไปถึงขั้นสุดยอดแล้วก็วางแผนหนีออกจากกรงขัง ไปถึงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว
แต่สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น…
รูปแบบที่เห็นได้บ่อยที่สุดก็คือควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง อาศัยพลังมหาศาลของโลกกำเนิดแห่งหนึ่งมาเป็นพลังของตน ทำให้ตนไปถึงระดับชีวิตอีกขั้นหนึ่งได้
สำหรับอีกรูปแบบหนึ่งนั้นก็คือการใช้พลังทำลายกฎ! บำเพ็ญตนเอง ก็สามารถฝืนหลบหนีออกจากกรงขังแห่งนี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้น ในทางกลับกันก็สามารถควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้ว
“เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว พื้นฐานของพวกเขาต่างก็ล้ำลึกกว่าข้าทั้งสิ้น”
“ข้าจะต้องคว้าโอกาสมาให้ได้ ตอนนี้ ยุคนี้ ข้าก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่กฎเกณฑ์สูงสุดให้กำเนิดออกมา เกิดมาก็เพื่อทำลายล้าง ขอเพียงแค่ข้ายิ่งทำลายล้างได้มาก กฎเกณฑ์สูงสุดก็ยิ่งมอบผลประโยชน์ให้มาก” จักรพรรดิจวินเอ่ยพึมพำ “ไม่ลงมือก็แล้วไปเถิด แต่พอลงมือแล้วก็ไม่ให้โอกาสจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาเลยแม้แต่น้อย จะต้องทำลายล้างทั้งโลกกำเนิดให้เร็วที่สุด ทำให้มันเข้าสู่มหาวินาศอย่างรวดเร็ว”
เมื่อใดที่เกิดมหาวินาศ
มิได้เป็นขั้นสุดยอดก็ต้องตายจนหมดสิ้น ก็คือฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้น ก็อาจถูกผลาญทำลายจนหมดสิ้น
แต่จักรพรรดิจวินกลับมิได้สนใจ
สิ่งที่เขาสนใจก็คือตนเองสามารถได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของกฎเกณฑ์สูงสุด! เขาผลาญทำลายก็เพราะทำไปตามครรลอง ทำไปตามอิทธิพลของกฎเกณฑ์สูงสุดเท่านั้น
แต่ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขากลับไม่ยอมจำนนสูญสลายไปเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนมีความปรารถนาที่จะอยู่รอด ก็ย่อมพยายามรักษายุคนี้เอาไว้อย่างสุดกำลังอยู่แล้ว
“รวบรวมพลังยุทธ์ก่อน”
“เมื่อใดที่เหมาะสม ก็เป็นเวลาลงมือแล้ว” จักรพรรดิจวินเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “ถึงแม้ว่าพวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะมิได้ด้อยไปกว่าข้า แต่ก็มิอาจคุกคามข้าได้ มิอาจต้านทานข้าได้เช่นกัน”
……
เพียงแค่ไม่กี่หมื่นปีให้หลัง จักรพรรดิจวินก็คิดว่าตนรวบรวมพลังยุทธ์ได้แล้ว
“ควรลงมือได้แล้วสินะ”
จักรพรรดิจวินแสยะยิ้ม
พรึ่บ… ห้วงอากาศโดยรอบพลันบิดเบี้ยวกลายเป็นถ้ำดำมืดออกมา จักรพรรดิจวินก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็หายลับเข้าไปภายในถ้ำมืดนั้นแล้ว
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็มาอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว
“โลกทิพย์นิจนิรันดร์”
จักรพรรดิจวินเดินออกมาจากถ้ำดำมืดแล้วมองลงไปยังเบื้องล่าง มองเห็นว่าท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าอันไกลโพ้นนั้นมีชนเผ่าอยู่เผ่าหนึ่ง ภายในเผ่ายังมีประชากรจำนวนมากดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ บริเวณที่ไกลออกไปลิบๆ มีปราการเมืองขนาดมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง
“หึๆๆ”
จักรพรรดิจวินหัวเราะเยียบเย็นเสียงหนึ่ง หางยาวเป็นเกล็ดของเขาก็แกว่งไกว
จากนั้นจึงโบกมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเขาออกมา
“ครืน…”
ห้วงอากาศอันไร้ขอบเขตเบื้องหน้าพลันเริ่มบิดเบี้ยว แผ่นดินถูกบิดเบี้ยวทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่งส่วนที่ลึกที่สุดของแผ่นดินก็ยังถูกทะลุทะลวงจนมองเห็นอากาศอันสับสนอลหม่านที่อีกฟากหนึ่งของส่วนล่างสุดของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ การบิดเบี้ยวนี้ก็แผ่ระลอกคลื่นไปทุกทิศทุกทาง ชนเผ่านั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ปราการเมืองขนาดมหึมาที่อยู่ไกลออกไปก็ถูกระลอกคลื่นบิดเบี้ยวผลาญทำลายไปในทันที
เหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนภายในปราการเมือง อีกทั้งยังมีเจ้าเมืองขั้นอลวนคนหนึ่งอยู่อีกด้วย!
แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีกำลังต้านทานเลยแม้แต่น้อย ปราการเมืองขนาดมหึมาแห่งนั้นพร้อมกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในถูกล้างผลาญไปราวกับเช็ดถูทิ้งจากบนรูปภาพอย่างไรอย่างนั้น
กระบวนท่าของจักรพรรดิจวินโหดเหี้ยมเกินไป เขามิได้จงใจจะไปสังหารหมู่ วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเขาก็คือต้องการจะทำลายล้างทั้งโลกทิพย์นิจนิรันดร์! โลกทิพย์นิจนิรันดร์เป็นสถานที่ซึ่งพวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาสั่งสมมาเป็นเวลาช้านานอย่างลำบากยากเข็ญจึงจะสร้างขึ้นมาได้ ต่อให้ขั้นสุดยอดอยากจะทำลายล้างให้หมดสิ้นก็ยังต้องอาศัยเวลาสักเล็กน้อย
“อะไรกัน”
ณ โลกทิพย์โบราณ
‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่เป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดรับสัมผัสได้อย่างเฉียบแหลมเพียงใด เคล็ดวิชาที่สำแดงอย่างสุดกำลังตามอำเภอใจนั้นของจักรพรรดิจวิน ขณะที่เพิ่งสำแดง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็รับสัมผัสได้แล้ว
เขาสวมอาภรณ์ผ้าโปร่งสีดำ มองบริเวณไกลๆ อยู่ห่างๆ มองปราดเดียวก็เห็นภาพเหตุการณ์ภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว
“เขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตกตะลึงอยู่บ้าง สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นฝูงมารผลาญทำลายเช่นเดียวกัน
ทว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลับมิได้มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามกลับมีเพียงแค่ความโมโหเท่านั้น!
“อยากจะได้รับผลประโยชน์จากกฎเกณฑ์สูงสุดผ่านการทำลายล้างหรือ ในอนาคตก็ยิ่งมีความมั่นใจในการถือครองกฎเกณฑ์ขั้นสูงกว่าอย่างนั้นหรือ” ประกายหนาวเหน็บในดวงตาของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กะพริบวาบแล้วเขาก็หายตัวไปกลางอากาศ ก็เหมือนกับเจ้าศิลาที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตัดสินใจเดินบนเส้นทางการใช้พลังทำลายกฎ แต่ทุกๆ ช่วงเวลาวิกฤติก็ยังดึงลากขาจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่! เพราะว่าเมื่อใดที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด ความเป็นความตายของเจ้าศิลาก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจักรพรรดิจวินไม่มีทางเดินบนเส้นทางอันยากเข็ญเป็นที่สุดอย่างการ ‘ใช้พลังทำลายกฎ’ ถึงแปดเก้าส่วนในสิบส่วน
เพราะว่าเจ้าศิลาเป็นสายฝึกกาย ไม่มีหนทางจึงได้เลือกการใช้พลังทำลายกฎ!
ดังนั้น…
จักรพรรดิจวินจึงจะเป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจที่สุดของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต
……
“หืม”
เจ้าศิลาที่หลับสนิทอยู่ที่ดวงอาทิตย์ดั้งเดิม ถึงแม้ว่าจะหลับ แต่การรับสัมผัสต่อโลกภายนอกก็ยังคงเฉียบแหลมเช่นเดิม
พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นขุมนั้นระเบิดออก แต่กลับแตกต่างกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง ชั่วครู่เดียวก็ทำให้เจ้าศิลาตื่นขึ้นมาเสียแล้ว
ร่างกายใหญ่มหึมาของเขาพุ่งขึ้นมาจากดวงอาทิตย์ดั้งเดิม
“ขั้นสุดยอดคนใหม่ อีกทั้งยังเป็นฝูงมารผลาญทำลายอีกด้วยหรือ” ชายชราร่างผอมเล็กก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็หายลับไปจากบนดวงอาทิตย์ดั้งเดิม เขาไม่มีทางทำให้ขั้นสุดยอดอีกคนหนึ่งได้รับผลประโยชน์จากกฎเกณฑ์สูงสุดไปอย่างง่ายๆ อยู่แล้ว
……
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“ก็ได้แต่ขอร้องท่านอาจารย์แล้วล่ะ” บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ทั้งสองท่านเป็นถึงผู้นำของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ก็ย่อมต้องรับสัมผัสได้ในทันทีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเผชิญหน้ากับการทำลายตามอำเภอใจของจักรพรรดิจวิน พวกเขาก็ยังปวดเศียรเวียนเกล้า
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น เพื่อสืบทอดคำสอน เพื่อให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนศรัทธาในตัวเขา แต่มิใช่ตั้งหน้าตั้งตาทำลายล้างเพียงอย่างเดียว
จักรพรรดิจวินนั้นไม่เหมือนกัน
แม้กระทั่งบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ไปขัดขวาง จักรพรรดิจวินก็อาจสำแดงเคล็ดวิชาขนาดใหญ่ตามอำเภอใจ ยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองขั้นสุดยอดสองคนก็ย่อมไม่สามารถคุ้มครองผู้อ่อนแอได้อยู่แล้ว
“หยุดมือนะ” เสียงตะโกนอย่างเย็นชา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว
“โลกกำเนิดนี้กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้าใกล้มหาวินาศทีละน้อยแล้ว ท่านจำเป็นต้องสังหารหมู่ด้วยหรือไร” เจ้าศิลาร่างผอมเล็กก็มาแล้วเช่นกัน
พวกเขาสองคนลงมือพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็คือมารผู้ยิ่งใหญ่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน ถึงกับมาช่วยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เชียวหรือ” จักรพรรดิจวินหัวเราะเสียงดัง แต่กลับเคลื่อนย้ายไปเป็นระยะทางกว่าครึ่งของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ในทันใด ไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งเพื่อทำลายล้างต่อไป
“ปัง”
เจ้าศิลาปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศข้างกายจักรพรรดิจวินแล้วกระแทกออกไปหมัดหนึ่ง
ทว่าจักรพรรดิจวินกลับยิ้ม เส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนในบริเวณรอบๆ บิดเบี้ยว ทำให้หมัดอันน่าหวาดหวั่นของเจ้าศิลาถูกขจัดออกไปเป็นส่วนใหญ่ พละกำลังที่เหลืออยู่ ทว่าเงาร่างของจักรพรรดิจวินกลับกะพริบวาบราวกับภูตผีแล้วหลบหลีกไปไกลแสนไกลเสียแล้ว
“เปรี้ยง…” สายฟ้าสีเทาฟาดลงมา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กุมหอกยาวเอาไว้ในมือแล้วพยายามขัดขวางอย่างสุดกำลัง
“ฮ่าฮ่า…”
จักรพรรดิจวินหัวเราะเสียงดัง เส้นสายบริเวณรอบๆ จำนวนนับไม่ถ้วนบิดเบี้ยว เขาทำได้เพียงแค่ป้องกันและหลบหนีเท่านั้น ไม่มีอิทธิพลคุกคามเลยแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรก็เป็นขั้นสุดยอดเช่นเดียวกัน ความสามารถในการรักษาชีวิตรอดต่างก็แข็งแกร่งเป็นที่สุด ถ้าหากตั้งใจจะหลบหนีหรือซ่อนตัว จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาต่างก็ยากยิ่งที่จะทำร้ายเขาได้
“พลั่ก…” แต่จักรพรรดิจวินยังคงสำแดงเคล็ดวิชาอยู่ เขาฟาดฟันฝ่ามือคราหนึ่ง ห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนก็บิดเบี้ยวแหลกสลาย เคล็ดวิชาการโจมตีของเขายิ่งกินอาณาบริเวณกว้างมากขึ้น วิถีอสนีบาตของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว ส่วนเจ้าศิลานั้นเป็นสายฝึกกายเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวเป็นที่สุด ภายในชั่วครู่เดียวพวกเขาต่างก็ยากที่จะต้านทานการทำลายล้างตามอำเภอใจของจักรพรรดิจวินได้
“ชิ้ง”
ประกายกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันยิ่ง
แทงตรงเข้ามาจากด้านหลังของจักรพรรดิจวิน ทะลุออกมาจากทรวงอก
จักรพรรดิจวินก้มหน้าลงมองปลายกระบี่ที่ทรวงอกอย่างยากจะเชื่อแล้วหันหน้าไปมองทางด้านหลัง ก็คือบุรุษผมขาวคนหนึ่ง
“จอมกระบี่หรือ” จักรพรรดิจวินจ้องมองบุรุษผมขาว
“จอมกระบี่หรือ” เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่จนใจไม่รู้จะทำอย่างไรกับจักรพรรดิจวินมาโดยตลอดก็มองดูภาพเหตุการณ์นี้อย่างตื่นตะลึง กระบี่ที่เงียบงันไร้สุ้มเสียงแต่กลับน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุดนั้น เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังค้นพบหลังจากที่จักรพรรดิจวินถูกกระบี่แทงแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงพลังคุกคามอันแรงกล้า พลังคุกคามที่จอมกระบี่นำพามานั้นยังเหนือกว่าจักรพรรดิจวินเสียอีก
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 38 จอมกระบี่ผู้น่าหวาดหวั่น
“จอมกระบี่ เขาก็เป็นขั้นสุดยอดด้วยหรือ บรรลุตั้งแต่เมื่อใดกัน” เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ตื่นตะลึงเหลือแสน ยามนี้พวกเขาย่อมมอง ออกอย่างแน่นอนว่าจอมกระบี่เป็นขั้นสุดยอดอย่างไร้ข้อกังขา อีกทั้งพลังก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอีกด้วย!
ฟิ้ว
ร่างของจักรพรรดิจวินที่ถูกแทงทะลุแผ่นอกกลับแยกออกทันใด แปรเป็นแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอีกครั้งไกลออกไป เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่เบา
เขามองมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า เจ้าทำร้ายข้าได้อย่างไรกัน ข้าเป็นถึงขั้นสุดยอด เจ้าออกกระบวนท่ามา แล้วข้าสัมผัสรับรู้มิได้ได้อย่างไรกัน”
“ขั้นสุดยอดก็ทำร้ายมิได้หรือ” จอมกระบี่กลับออกกระบี่อย่างเยียบเย็นไปอีกครั้ง
ฟิ้ว
ประกายกระบี่พาดข้ามท้องฟ้า ดูเหมือนว่าจะยังแลบแปลบปลาบอยู่ไกลออกไป แต่อันที่จริง ‘ดวงตา’ หลอกลวงตนเอง ประกายกระบี่ได้แทงเข้าไปในร่างกายแล้ว
“ตู้ม” สีหน้าของจักรพรรดิจวินเปลี่ยนแปรครั้งใหญ่ ก่อนร่างกายจะระเบิดออกอีกครั้งตามท่วงท่า เส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนบิดเบี้ยวแล้วรวมตัวกันขึ้นอีกครั้งไกลออกไป
“ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ” จักรพรรดิจวินไม่อยากจะเชื่อ ตัวเขาเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอด แต่กลับไม่มีแม้แต่แรงจะตอบโต้ แต่ละกระบี่เขาล้วนได้รับบาดเจ็บไม่เบา
จอมกระบี่กลับเพียงแค่ยิ้มอย่างเยียบเย็นเท่านั้น
ฟิ้ว…
กระบี่หนึ่งฟาดฟันออกมาอีกครั้ง
ประกายกระบี่เหมือนจะใหญ่โตตระหง่านง้ำกว่าท้องฟ้าเสียอีก หัวจิตหัวใจของจักรพรรดิจวินสั่นคลอนไปหมดด้วยเหตุนี้ ปังงง…เขาถูกฟันอีกครั้งจนร่างกายแปรเป็นแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน รอยเลือดที่อยู่กลางอากาศล้วนกลายเป็นแสงสีดำไปหมด เคราะห์ดีที่เขาเป็นฝูงมารผลาญทำลาย! ฝูงมารผลาญทำลายเชี่ยวชาญทางด้านการรักษาชีวิตเป็นอย่างยิ่งโดยกำเนิดอยู่แล้ว หากการรักษาชีวิตอ่อนแอกว่านี้สักหน่อย เกรงว่าอาการบาดเจ็บของเขาคงจะรุนแรงกว่านี้มาก
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เหตุใดข้าจึงมิอาจสกัดกั้นได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน” จักรพรรดิจวินทั้งตกตะลึงทั้งโกรธเคือง ทั้งไม่ยอมจำนน
ครั้งนี้เขามิได้ทดลองอีก
หากแต่มิติรอบร่างกายบิดเบี้ยวไป แล้วเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอด หากจะหลบหนีไปก็ทำได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
“หนีรึ” จอมกระบี่รวบรวมสมาธิสัมผัสรับรู้ทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพละกำลังของฝูงมารผลาญทำลายนั้น เขาเร่งไปในทันใด ร่างกายกะพริบวาบคราหนึ่งก็แหวกอากาศไปราวกับประกายกระบี่สายหนึ่งทันที
ส่วนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาที่อยู่ไกลออกไปต่างก็มองฉากนี้ด้วยความตกตะลึง
พวกเขาสองคนชะงักค้างไป
มองจนตาลายไปหมดแล้ว
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์รู้สึกวิงเวียนไปหมด
“พลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เจ้าศิลาไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง “ต่อให้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ก็ไม่ควรจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้กระมัง แข็งแกร่งกว่าพวกเราตั้งขุมใหญ่”
ส่วนจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ใบหน้าบูดเบี้ยวขึ้นมา “เป็นไปได้อย่างไรกัน จักรพรรดิจวินผู้นั้นก็เป็นขั้นสุดยอด เหตุใดจึงไม่มีแม้แต่แรงต้านทานจนถูกเหยียบย่ำอย่างสิ้นเชิงเช่นนั้นเล่า”
หากเปลี่ยนเป็นเขา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องถูก ‘จอมกระบี่’ เหยียบย่ำตามอำเภอใจเช่นเดียวกัน
ขณะเข่นฆ่า แต่ละกระบี่ของจอมกระบี่ เขา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนหลบไม่พ้น! เขาถึงขั้นต้องสูญเสียพลังชีวิตไปกับทุกกระบี่ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ก็จะถูกโจมตีจนตายไปต่อหน้าต่อตา
นอกเสียจากจะหลบหนี
“อานุภาพประกายกระบี่ของเขาเก็บงำไว้ภายใน เมื่อปะทุออกมากลับน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ต่อให้ข้าแผดเผาร่างแปรทิพย์โบราณออกมาโจมตีสุดกำลังก็ทำได้เท่านี้เอง” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์รู้สึกว่าหัวใจสั่นสะท้านไปหมด หากแผดเผาร่างแปรทิพย์โบราณออกมาโจมตีสุดกำลัง ก็จะสำแดงออกมาได้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น! แต่จอมกระบี่กลับดูเหมือนจะสบายมาก แต่ละกระบี่ล้วนแต่น่าสะพรึงกลัว
ต่อสู้อย่างผ่อนคลายมาก แต่อานุภาพกลับใหญ่โตเสียจนทำให้เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ใจสะท้านไปหมด
“หากข้าฝืนต้านทานเอาไว้ ก็ต้องได้รับบาดเจ็บ” เจ้าศิลาก็เข้าใจในจุดนี้ดี กระบวนท่าเช่นนี้มิอาจฝืนต้านทานได้เด็ดขาด “คิดไม่ถึงว่าในโลกกำเนิดแห่งนี้ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งจะเป็นจอมกระบี่ผู้นี้ไปได้”
“เขาแข็งแกร่งกว่าข้ามากมายยิ่งนัก” ทันใดนั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกทั้งอดสูทั้งโมโห
เขาคุ้นชินกับการเป็นผู้สูงส่งเหนือใคร
คุ้นชินกับการที่สิ่งมีชีวิตทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านจำนวนนับไม่ถ้วนหวั่นเกรงเขา แต่วันนี้พลังของจอมกระบี่กลับเหนือกว่าเขาอย่างสิ้นเชิง
……
ครั้งนี้จักรพรรดิจวินมาอย่างรวดเร็วเฉียบพลันเกินไปแล้ว
นอกจากโลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว ก็มีเพียงผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดอย่าง ‘เจ้าศิลา’ ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘จอมกระบี่’ ที่สามารถสัมผัสรับรู้ทั่วทั้งโลกกำเนิดได้ตลอดเวลาเท่านั้นที่สัมผัสได้ทันที พวกเขาเร่งมาในทันใด
อย่างตงป๋อเสวี่ยอิง แม้จะรับรู้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเจ็ดกระบวนคละถิ่นและคิดค้นยุทธวิธีหิมะเหินขึ้นมาได้ ทำให้พลังของเขาไม่ย่อหย่อนไปกว่าขั้นสุดยอดเลย แต่ส่วนที่น่าอัศจรรย์ทั้งหลายกลับสู้ไม่ได้ เช่นวิธีการรักษาชีวิต เช่นการสัมผัสรับรู้โลกกำเนิด ก็ห่างจากขั้นสุดยอดอยู่ขุมใหญ่ เขาแค่มีพลังในการต่อสู้ซึ่งหน้าที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งเท่านั้นเอง
ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิง ส่วนใหญ่ล้วนกำลังเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญอยู่
มีร่างแยกจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่ร่างเท่านั้นที่รับผิดชอบเรื่องสัพเพเหระอยู่
ใน ‘วังทวีสูญ’ แห่งโลกทิพย์กิเลนบูรพา เขาก็เตรียมร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้ที่นี่
“อะไรนะ”
“จักรพรรดิจวินสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว อยากจะทำลายล้างโลกทิพย์นิจนิรันดร์ แต่ถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสศิลาและจอมกระบี่ขัดขวางอย่างนั้นหรือ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสศิลาต่างก็ขัดขวางเอาไว้ไม่ได้ จอมกระบี่สำแดงสามกระบี่ออกไปต่อเนื่องกัน แต่ละกระบี่ล้วนทำให้จักรพรรดิจวินบาดเจ็บสาหัส จักรพรรดิจวินจึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอย่างนั้นหรือ”
เทพจักรวาลเช่นตงป๋อเสวี่ยอิง บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนห้วงอากาศ ราชันย์มีด ประมุขเหยากวงและท่านบรรพชนคีรีมารต่างก็ได้รับข่าว พวกเขาอดตกตะลึงจนตาค้างไม่ได้
จักรพรรดิจวินสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ
จอมกระบี่ก็เป็นขั้นสุดยอดหรือ นอกจากนี้พลังยังเหนือกว่าเจ้าศิลา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และจักรพรรดิจวินอีกหรือ
“นี่มันเรื่องอันใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงการส่งถ่ายทลายโลกาออกไปสอดส่องดู หมายจะจับตาดูการต่อสู้
……
จักรพรรดิจวินปรากฏกายขึ้นท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน พลางมองดูแผ่นดินอลหม่านตรงหน้า บนแผ่นดินอลหม่านมีสิ่งมีชีวิตอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน
“ทำลายให้หมดเถิด” จักรพรรดิจวินโบกมือคราหนึ่ง ตู้มมม ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดินอลหม่านในพริบตา แผ่นดินอลหม่านแห่งนี้สลายไปในทันทีโดยไม่เหลือไว้แม้แต่ซาก! เห็นได้ชัดว่าภายใต้การโจมตีของขั้นสุดยอด ทั้งแผ่นดินอลหม่านไม่มีอะไรโชคดีเหลือรอดมาได้เลย รวมไปถึงอาวุธต่างๆ ด้วย
“ไป” จักรพรรดิจวินหนีไปอีกทันทีโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
สวบ
อากาศด้านข้างบิดเบี้ยว จักรพรรดิจวินหายวับไป
แคว่ก จักรพรรดิจวินเพิ่งจะอันตรธานไป ก็มีประกายกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ แล้วรวมตัวขึ้นเป็นจอมกระบี่
“สมควรตาย” จอมกระบี่มองไปทางด้านข้าง ตามที่บันทึกเอาไว้ในแผนที่ดาวของอากาศอันสับสนอลหม่าน มีแผ่นดินอลหม่านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่นี่แท้ๆ บัดนี้กลับหายไปแล้ว
“ไล่ตามไป” จอมกระบี่ไล่ตามต่อไป
จักรพรรดิจวินหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง
ระหว่างหลบหนีก็เก็บงำกลิ่นอายทั้งหมดเอาไว้ จอมกระบี่จึงยากจะค้นพบได้ นี่เป็นเรื่องปกตินัก เหมือนอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงที่เก็บซ่อนกลิ่นอาย สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็หาไม่พบเช่นกัน!
หากจักรพรรดิจวินจะเก็บงำกลิ่นอายเพื่อซ่อนตัว จอมกระบี่ก็มิอาจพบได้จริงๆ แต่ขอเพียงมีระลอกคลื่นมากพอ จอมกระบี่ก็สามารถพบได้ แต่เมื่อพบเข้าและเร่งตามมานั้น กลับช้าไปก้าวหนึ่ง!
“ฮ่าฮ่าฮ่า จอมกระบี่ พลังของเจ้ายอดเยี่ยม แต่ก็สังหารข้าไม่ได้หรอก หากข้าตั้งใจจะทำลาย…เจ้าก็ต้านทานเอาไว้ไม่ได้หรอก” เสียงของจักรพรรดิจวินเหมือนประทับเอาไว้กลางอากาศอันสับสนอลหม่านรอบด้านอย่างไรอย่างนั้น มันสะท้อนไปมาไม่หยุด ทำให้จอมกระบี่ที่เร่งมาถึงสีหน้าคล้ำเขียวไปหมด
สวบ
……
ครั้งนี้จักรพรรดิจวินปรากฏกายขึ้นในโลกทิพย์กิเลนบูรพา
“ตู้ม!”
จักรพรรดิจวินเพิ่งปรากฏกาย ก็หมายจะโบกฝ่ามือหนึ่งไปยังตัวเมืองเบื้องล่างทันที
“ฟิ้ว”
ประกายกระบี่สายหนึ่งพลันวาดผ่านร่างจักรพรรดิจวินไป ทำให้ร่างกายของเขาถูกตัดเฉือนออก ร่างกายของจักรพรรดิจวินแยกออกจากกันทันที พลังทำลายล้างอันชั่วร้ายรวมตัวขึ้นอีกครั้งไกลออกไป เขามองดูจอมกระบี่ที่อยู่ไกลออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา “เจ้า เจ้าไล่ตามข้าทันได้อย่างไรกัน”
ก่อนเขาจะลงมือก็เก็บงำกลิ่นอายเอาไว้ตลอด
“ไม่ใช่สิ อาวุธไม่เหมือนกันเสียหน่อย” จักรพรรดิจวินมองไปทางจอมกระบี่ที่อยู่ไกลออกไปแล้วยิ้มพูดเสียงต่ำว่า“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า จอมกระบี่จะยังมีร่างแยกอีกร่างหนึ่งด้วย ทำไมรึร่างแยกของเจ้าร่างนี้มีไว้เพื่อปกป้องทั้งโลกทิพย์กิเลนบูรพาอย่างนั้นหรือ ก็ใช่สินะ วังทวีสูญพรรคของเจ้าตั้งอยู่ในโลกทิพย์กิเลนบูรพา เจ้าจะจัดร่างแยกร่างหนึ่งเอาไว้คุ้มกันที่นี่ก็เป็นเรื่องปกตินัก เพียงแต่ข้าอยากรู้มากว่า เจ้ามีร่างแยกสักกี่ร่างกัน”
สวบ
จักรพรรดิจวินหายวับไป เขาเร่งมุ่งหน้าไปยังโลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว
ยามนี้โลกทิพย์นิจนิรันดร์กลับไม่มีจอมกระบี่คอยคุ้มกันอยู่ จักรพรรดิจวินปรากฏกายขึ้นในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ แล้วก็รีบร้อนซัดฝ่ามือหนึ่งออกไปตามอำเภอใจ จากนั้นก็หนีไปทันที
ฟิ้ว จากนั้นจอมกระบี่ก็ปรากฏกายขึ้น
“จักรพรรดิจวินผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก นอกจากข้าจะต้องมีร่างแยกหลายร่างประจำการอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มิเช่นนั้นก็มิอาจขัดขวางเขาได้เลย” จอมกระบี่โกรธแค้น น่าเสียดาย อันที่จริงเขามีร่างแยกเพียงร่างเดียวเท่านั้น ทั้งยังเป็นเพราะเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณอีกด้วยจึงมีร่างแยกได้หนึ่งร่าง
“พวกเจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเป็นขั้นสุดยอดเหมือนกัน แต่พวกเขาล้วนแต่ไม่เชี่ยวชาญวิธีการจำพวกบริเวณทั้งสิ้น ยากที่จะคุ้มกันโลกทิพย์แห่งหนึ่งได้” จอมกระบี่ลอบส่ายหน้า
……
ชั่วขณะที่จักรพรรดิจวินมาถึงโลกทิพย์กิเลนบูรพา ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้มองเห็นจักรพรรดิจวินเข้าจริงๆ แล้วก็เห็นกระบี่หนึ่งของจอมกระบี่ทำให้จักรพรรดิจวินผู้นั้นบาดเจ็บด้วย
“พลังของจอมกระบี่ร้ายกาจยิ่งนัก รู้สึกว่าน่าจะมีพลังสามส่วนของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองแวบหนึ่งก็สามารถตัดสินได้แล้วว่า เนื่องจากตัวเขาเองมีอาวุธคละถิ่น ‘หอกชิงเหอ’ อยู่ในมือ จึงมีพลังราวสามส่วนของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเช่นกัน แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูที่นี่…ยึดเอาปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์เป็นมาตรฐาน ในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจปฐมบรรพชนราตรีนิรันดร์ดีที่สุด
ในอากาศอันสับสนอลหม่าน
ทุกคนล้วนไม่มีสมบัติลับอันสูงส่ง ไม่มีอาวุธคละถิ่น จอมกระบี่มีพลังเช่นนี้ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอดสงสัยไม่ได้…ว่าจอมกระบี่ก็ได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเช่นกัน!
“ทุกคนระวังเอาไว้ อยู่ในโลกทิพย์กิเลนบูรพา อย่าได้ออกไปเด็ดขาด จักรพรรดิจวินผู้นั้นหลบหนีไปทั่วทุกแห่งในอากาศอันสับสนอลหม่าน และเข่นฆ่าไปทั่วทุกหนแห่ง ข้ามีร่างแยกเพียงร่างเดียวซึ่งสามารถปกป้องโลกทิพย์กิเลนบูรพาเอาไว้ได้ตลอดเวลา ส่วนโลกทิพย์อื่นๆ…ข้ากลับมิอาจปกป้องได้แล้ว ร่างจริงของข้ายังต้องไล่ตามเขาต่อไป เพราะหากไม่ไล่ล่า เกรงว่าเขาก็คงจะยิ่งทำลายล้างตามอำเภอใจเข้าไปใหญ่” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด
เขาไล่ตามตลอดเวลา
จักรพรรดิจวินก็ทำได้เพียงทำลายล้างชั่วครู่แล้วหนีไปทันที ระดับการทำลายล้างก็ยังนับว่าค่อนข้างต่ำ
หากทำลายล้างเป็นระยะเวลายาวนาน…โลกทิพย์แห่งหนึ่งก็สามารถแตกทำลายได้เลยทีเดียว
“อะไรกัน”
“ยังทำลายล้างอยู่อีกหรือ”
“ทำอย่างไรดี จักรพรรดิจวินผู้นั้นทำลายที่แห่งหนึ่งแล้วก็หลบหนีไปทันที หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านจะต้องถูกทำลายจนเป็นอะไรไปแล้ว หรือการทำลายล้างครั้งใหญ่จะมาถึงเร็วกว่ากำหนดเล่า”
เทพจักรวาลแต่ละคนพากันร้อนรน
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจความยุ่งยากของจอมกระบี่ทันที จอมกระบี่มีร่างเพียงสองร่าง ร่างแยกร่างหนึ่งประจำการ ส่วนร่างจริงก็กำลังไล่ล่า มีหลายสถานที่ที่จอมกระบี่มิอาจประจำการเพื่อคุ้มกันได้
“จอมกระบี่ ข้าจะช่วยท่านอีกแรงหนึ่งเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดทันที
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 39 เป็นตงป๋อเสวี่ยอิง!
จอมกระบี่ยืนอยู่กลางท้องฟ้าอันเวิ้งว้างของโลกทิพย์กิเลนบูรพา การสัมผัสรับรู้ปกคลุมทั่วทั้งโลกทิพย์
“น่าเสียดาย เส้นทางที่ข้าบำเพ็ญคือวิถีทำลายล้าง หากเป็นวิถีระลอกคลื่นหรือวิถีอากาศที่เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณ ข้าก็สามารถสำแดงบริเวณปกคลุมทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน และทำให้จักรพรรดิจวินผู้นั้นมิอาจหลบหนีไปทั่วได้แล้ว” จอมกระบี่ลอบรู้สึกจนใจ เขาฝึกวิถีทำลายล้าง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ฝึกวิถีอสนีบาต เจ้าศิลาเป็นพวกฝึกกาย ไม่มีสักคนที่เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณ
ตามปกติแล้วพวกเขาก็สามารถสัมผัสรับรู้ความเคลื่อนไหวทั่วทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านได้
หากเป็นการสะกดรอย ก็สามารถสะกดรอยเทพจักรวาลได้แทบจะทั้งหมด!
แต่ว่า ‘ขั้นสุดยอด’ นั้นครบสมบูรณ์อย่างแท้จริง หากเก็บงำกลิ่นอายวิญญาณจนหมดก็มิอาจสะกดรอยได้เลย! แม้จอมกระบี่ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาล้วนสามารถสัมผัสรับรู้ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านได้ แต่กลับมิอาจสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของจักรพรรดิจวินเลย นอกเสียจากจักรพรรดิจวินจะเป็นฝ่ายปะทุพลังออกมาเอง! แต่หากเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญกระบวนท่าทางด้านบริเวณ บริเวณสามารถปกคลุมทั้งโลกกำเนิดอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ เช่นนั้น ก็สามารถสอดส่องดูสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั่วทั้งบริเวณได้
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของจักรพรรดิจวิน
ไม่ว่าจะเป็น ‘การเปลี่ยนแปลง’ ‘เก็บงำกลิ่นอาย’ ‘บินเคลื่อนที่’ ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ หรือ ‘ทะลุอากาศ’ หากอยู่ภายในบริเวณก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีที่ให้หลบหนีได้แล้ว
น่าเสียดาย…ที่พวกเขาล้วนแต่ไม่เชี่ยวชาญทั้งสิ้น!
เขาก็ยังดี อาศัยเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งที่ได้รับมา แม้จะไม่เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณ แต่บริเวณทำลายล้างที่สำแดงออกมาก็ยังคงสามารถปกคลุมโลกทิพย์แห่งหนึ่งได้ สามารถประจำการโลกทิพย์กิเลนบูรพาได้
แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลามิอาจทำได้แม้แต่การสำแดงบริเวณเพื่อปกคลุมโลกทิพย์เสียด้วยซ้ำ!
“ขั้นสุดยอดคนหนึ่ง หากจงใจหลบหนี สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูก็ยากที่จะฆ่าให้ตายได้ จักรพรรดิจวินผู้นี้หลบหนีและทำลายล้างอย่างไม่หยุดหย่อน…หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั้งโลกกำเนิดบ้านเกิดก็ต้องถูกทำลายลงไปเป็นแน่” จอมกระบี่ร้อนใจขึ้นมา แต่กลับคิดวิธีไม่ออก
“จอมกระบี่ ข้าจะช่วยท่านอีกแรงหนึ่งเอง” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งลอยมา
“เอ๊ะ” จอมกระบี่ที่ยืนอยู่กลางท้องฟ้าของโลกทิพย์กิเลนบูรพาสะดุ้ง “เป็นเสวี่ยอิงหรือ เขาจะช่วยข้า จะช่วยข้าอย่างไรกัน”
……
ฃวิ้ง
กลางท้องฟ้าเหนือโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นพลางมองดูแผ่นดินที่ถูกฉีกทึ้งไกลออกไป เขาส่ายหน้าน้อยๆ
ในโลกจอมมารดา ก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นอีกร่างหนึ่ง แล้วเหลือบมองลงไปยังสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน
ในโลกทิพย์ ก็มีตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏขึ้นอีกร่างหนึ่ง สำหรับสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่สวามิภักดิ์ต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จากใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้มีความอาฆาตด้วยเลย มีเพียงความสงสารเท่านั้น นี่คือพวกคนที่น่าสงสารกลุ่มหนึ่ง “ใกล้แล้ว พวกเจ้าใกล้จะได้คืนสู่อิสรภาพแล้ว”
บวกกับที่เดิมทีก็มีร่างแยกร่างหนึ่งอยู่ในโลกทิพย์กิเลนบูรพาอยู่แล้ว
ร่างแยกสี่ร่างสำแดงกระบวนท่าทางด้านบริเวณอออกมาพร้อมกัน
“ตู้มมม…”
โลกทิพย์นิจนิรันดร์
‘บรรพชนทิพย์’ และ ‘บรรพชนโลกา’ ผู้นำดั้งเดิมทั้งสองของโลกทิพย์แห่งนี้ต่างก็ร้อนรนใจขึ้นมา
“ทำอย่างไรดี แม้พลังของจอมกระบี่จะเกินกว่าที่จินตนาการไว้ แข็งแกร่งกว่าอาจารย์ของข้าและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้จะสามารถกดดันมารผลาญทำลายนั่นได้อย่างสิ้นเชิง แต่กลับฆ่าให้ตายมิได้ มารผลาญทำลายขั้นสุดยอดตนนั้นยังคงทำลายล้างต่อไป…หากทำลายล้างอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เกรงว่าสักพันปี ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านเข้าสู่การทำลายล้างครั้งใหญ่แล้ว” บรรพชนโลกากำหมัดแน่น
ไม่ยอมจำนน
หากโลกกำเนิดแตกสลาย พวกเขาก็ต้องตาย! เดิมทีเขาก็ยังคิดจะโจมตีขั้นสุดยอด ตอนนี้โลกกำเนิดกำลังจะถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตา เวลาน้อยนิดเท่านี้ เขาไม่มีหวังจะบรรลุได้แล้ว
“ขัดขวางเขาเอาไว้มิได้หรือ ขัดขวางมิได้เลยหรือ” บรรพชนทิพย์ก็เจ็บปวดใจ
เจ้าศิลาส่ายหน้าทอดถอนใจพลางมองดูทุกสิ่ง “หมดกัน ยุคนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว จะแตกสลายครั้งใหญ่แล้ว”
จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่กลางอากาศอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง สีหน้าเย็นชา
มองเห็น ‘จักรพรรดิจวิน’ ผลาญทำลายอยู่ต่อหน้าต่อตา จวนจะได้รับรางวัลใหญ่จากกฎเกณฑ์อันสูงส่ง แต่กลับมิอาจขัดขวางได้ ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จิตใจย่ำแย่นัก
ทันใดนั้น…
ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นก็พลันปกคลุมทั่วทั้งโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ระลอกคลื่นนี้ ราวกับคลื่นใต้น้ำใต้ห้วงสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลที่โหมซัดและบีบอัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แม้ดูเหมือนจะค่อนข้างสงบ ต่อให้เป็นต้นไม้ใบหญ้าในโลกทิพย์นิจนิรันดร์ก็มิได้รับผลกระทบแต่อย่างใด แต่พวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าศิลา บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ล้วนสัมผัสได้ว่า นี่คือสาเหตุที่ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนี้ต้องเก็บงำเอาไว้
ราวกับทะเลใหญ่ที่ยามสงบ ทั้งหมดก็สงบนิ่งมาก
แต่หากปะทุขึ้นมา อานุภาพก็จะน่าหวาดหวั่นขึ้นเป็นอันมาก
“ระลอกคลื่นนี้ปกคลุมทั่วทั้งโลกทิพย์เลยหรือ เป็นระลอกคลื่นมาจากที่ใดกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้าศิลา บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ต่างก็เริ่มตรวจสอบดู
ไม่นานนักก็พบชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวทั้งร่าง
“ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ”
“เป็นเขาหรือ”
……
ณ โลกจอมมารดา
ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงท่าไม้ตายที่สี่ของยุทธวิธีหิมะเหิน…‘มหาสมุทรคละถิ่น’ ออกมาเช่นกัน นี่เป็นการสั่งสมทางด้านวิถีอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงเองซึ่งห่างจากขั้นสุดยอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อผสานกับการรับรู้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง และอ้างอิงการรับรู้มิติชั้นสูงยิ่งขึ้นเป็นตัวอย่าง เขาเสียเวลาไปนานแสนนานจึงคิดค้นท่าไม้ตายขึ้นมาได้ในที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นท่าไม้ตายใด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้วนแต่พึงพอใจอย่างแท้จริง อานุภาพก็น่าพึงพอใจเช่นกัน
“นี่มันอะไรน่ะ” ‘จอมมารดา’ผู้ที่เก็บตัวกบดานอยู่ในโลกจอมมารดามาตลอดแหงนศีรษะมหึมาขึ้นแล้วมองดูท้องฟ้า นางมองเห็นบุรุษอาภรณ์ขาวที่สำแดงบริเวณอันน่าหวาดหวั่นออกมา
“ตงป๋อเสวี่ยอิงรึ เขา เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน” จอมมารดารู้สึกหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
ในยามนี้เอง
บัดนี้ยังมีโลกทิพย์คงอยู่อีกสี่แห่ง…โลกทิพย์โบราณ โลกทิพย์นิจนิรันดร์ โลกจอมมารดาและโลกทิพย์กิเลนบูรพา ร่างแยกทั้งสี่ของตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงกระบวนท่ามหาสมุทรคละถิ่นออกมาพร้อมกัน บริเวณปกคลุมโลกทิพย์แต่ละแห่งจนทั่ว
อันที่จริงเดิมทีวิถีอากาศก็เชี่ยวชาญทางด้านบริเวณเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว ‘มหาสมุทรอากาศ’ ซึ่งมีคุณสมบัติพอจะจัดเป็นท่าไม้ตายของยุทธวิธีหิมะเหินได้ก็ยิ่งร้ายกาจเข้าไปใหญ่ ต่อให้อยู่ในดินแดนจิตโลกา ก็สามารถปกคลุมบริเวณอันกว้างใหญ่อย่างยิ่งได้ เมืองใหญ่โดยทั่วไปก็สามารถปกคลุมได้อย่างง่ายดาย! ส่วนโลกทิพย์ทั้งสี่แห่งในโลกกำเนิดบ้านเกิด มีบริเวณค่อนข้างเล็ก อีกทั้งการกดดันของกฎเกณฑ์ก็อ่อนแออย่างยิ่งอีกด้วย
โลกทิพย์โบราณนั้นถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์หลอมแปรและถูกควบคุมอย่างสิ้นเชิงไปนานแล้ว
ส่วนโลกทิพย์อีกสามแห่ง ล้วนแต่สร้างขึ้นโดยเหล่าเทพจักรวาล! กฎเกณฑ์พื้นฐานที่สร้างขึ้นก็เป็นเพียงกฎเกณฑ์ระดับเทพจักรวาลเท่านั้น
มิอาจเทียบเคียงกับ ‘โลกทิพย์โบราณดั้งเดิม’ ได้เลย! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดินแดนจิตโลกาแล้ว ดินแดนจิตโลกานั้นมีหยวนเป็นผู้ควบคุม การกดดันของกฎเกณฑ์เข้มงวดกว่า ยิ่งเป็นผู้แกร่งกล้าหรือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ก็ล้วนได้รับผลกระทบจากพันธนาการอันไร้รูปร่าง
“กฎเกณฑ์กดดันน้อยนิดเท่านี้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึงในใจ
พลังของเขาในตอนนี้ สามารถเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ที่กดดันของโลกทิพย์ได้แล้ว! แม้แต่การกดดันโลกทิพย์โบราณ เขาก็ยังสามารถกดดันกลับไปได้
……
“ไม่มีประโยชน์หรอก ข้าจะไม่พัวพันกับเจ้า หนีไปพลาง ทำลายล้างไปพลาง แม้จะช้าหน่อยแต่ถึงอย่างไรก็ทำให้โลกกำเนิดแห่งนี้แตกสลายครั้งใหญ่ได้อย่างแน่นอน” จักรพรรดิจวินกลับหัวเราะเสียงเย็นเยียบ นัยน์ตาทั้งคู่ฉายแววสนุกสนานกับการทำลายล้าง เขาเกิดมาก็เพื่อทำลาย แม้บัดนี้พลังจะสามารถข่มความปรารถนาที่จะทำลายล้างเช่นนี้ได้แล้ว แต่ถึงอย่างไรความปรารถนานี้ก็ลึกล้ำเข้าไปถึงวิญญาณ
ยิ่งทำลายล้างก็ยิ่งพึงพอใจ
“สวบ”
เขาทะลุทะลวงไปอีกครั้ง จนมาถึงโลกจอมมารดา
“ทำลาย” เมื่อมาถึงโลกจอมมารดา หางของจักรพรรดิจวินก็สะบัดคราหนึ่ง ฟ้าดินราวกับถูกแยกออก
แต่จากนั้น
สีหน้าของจักรพรรดิจวินก็เปลี่ยนแปรไป!
เดิมทีเขายังหัวเราะอย่างเย็นชาด้วยความรังเกียจ เขาไม่เห็น ‘จอมมารดา’ แห่งโลกจอมมารดาผู้นั้นอยู่ในสายตาเลย ดังนั้นเมื่อมาถึงจึงลงมือทำลายทันที แต่เพิ่งจะทำลาย เขาก็สัมผัสได้ว่าพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นหาใดเปรียบโหมซัดเข้ามา!
“กดดัน!” ร่างแยกร่างหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งทำหน้าที่ประจำการอยู่ที่โลกจอมมารดาเป็นหนึ่งในเก้าร่างแยกที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แววหนาวเหน็บในดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบขึ้นมา อานุภาพของบริเวณปะทุขึ้นมาทันใด
จักรพรรดิจวินรู้สึกเพียงว่าพละกำลังอันน่ากลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุดรอบด้านโหมซัดเข้ามาโอบล้อมและบีบอัดเข้าไป เดิมทีหางของเขาสะบัดออกไปโจมตีคราหนึ่ง ภายใต้บริเวณอันน่ากลัวนี้ก็เผาผลาญไปจนสิ้นแล้ว
ภายใต้บริเวณนี้ จักรพรรดิจวินรู้สึกเพียงว่าทนรับได้ยากนัก แต่ละแห่งล้วนถูกบริเวณขัดขวาง
“ไยจึงมีบริเวณที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ได้เล่า” จักรพรรดิจวินไม่อยากจะเชื่อ “บริเวณเช่นนี้ ทำเอาพลังของข้าเสียหายอย่างใหญ่หลวง!”
“ฟิ้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวกลับปรากฏกายขึ้นจากกลางระลอกคลื่นอากาศ แล้วมาถึงตรงหน้าจักรพรรดิจวินในทันใด
“เป็นเจ้าหรือ ตงป๋อเสวี่ยอิง” จักรพรรดิจวินไม่อยากจะเชื่อ เขายังคงตะปบฝ่ามือออกไปพลางยิ้มเหี้ยมเกรียม ต่อให้มีบริเวณขัดขวาง ก็ยังคงมีเส้นสายบิดเบี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“เชือดเฉือนฟ้าดินครั้งใหญ่!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับใช้ฝ่ามือสะบัดออกไปราวกับดาบ ฟันฟาดออกไปเบื้องหน้า
ฟิ้ว!
เส้นสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น ฟ้าดินแยกออกมาจากใจกลาง แล้วปรากฏขึ้นตรงหน้าจักรพรรดิจวิน จักรพรรดิจวินตะปบออกไปคราหนึ่ง ก็มีเส้นสายบิดเบี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น มันเชือดเฉือนออกไปอย่างต่อเนื่องภายใต้ ‘เส้นสีดำ’ นี้ แต่อานุภาพของเส้นสีดำก็ถูกเผาผลาญไปไม่หยุด จนถึงตอนสุดท้าย เส้นสายบิดเบี้ยวก็ถูกหักสะบั้นลง เส้นสีดำนั้นยังคงฟันลงบนร่างของจักรพรรดิจวิน
ร่างกายของจักรพรรดิจวินบิดเบี้ยวไปคราหนึ่ง รอบด้านราวกับถ้ำดำมืด แล้วเขาก็ต้านทานอานุภาพสายหนึ่งที่หลงเหลืออยู่เอาไว้ได้
ใบหน้าของจักรพรรดิจวินเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “พลังของเขาไม่แพ้ข้าเลยหรือนี่”
ไหนเลยเขาจะรู้ว่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยห้ำหั่นกับจอมเคารพมาก่อน และมีประสบการณ์ประมือกับประมุขเกาะจันปาด้วย สำหรับขั้นสุดยอดแล้ว เขาไม่หวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย
“ฟิ้ว”
ประกายกระบี่สายหนึ่งพลันตัดผ่านร่างของจักรพรรดิจวินทันที ทำให้ร่างของจักรพรรดิจวินแยกออกเป็นสองส่วน จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันขึ้นอย่างรวดเร็ว เขามองดูจอมกระบี่ที่ปรากฏกายขึ้นไกลออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างแวบหนึ่ง “มีขั้นสุดยอดปรากฏกายขึ้นสองคนได้อย่างไรกัน”
แม้เขาจะเดือดดาลและไม่อยากจะเชื่อ แต่ร่างของจักรพรรดิจวินก็ยังคงกะพริบวาบคราหนึ่งทันที มิติรอบด้านบิดเบี้ยวแล้วก่อตัวเป็นเส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมา แล้วเขาก็หายวับไป
จอมกระบี่มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาถ่ายเสียงพูดว่า “อิงซานเสวี่ยอิง คนวิถีจิตฟ้าหรือ”
ร่างแยกเพียงร่างหนึ่ง ก็มีพลังเทียบกับขั้นสุดยอดได้แล้ว
ยามนี้จอมกระบี่จะเดาไม่ออกได้อย่างไรกันว่า ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ ก็คือคนวิถีจิตฟ้า!
“จอมเคารพกระบี่ปีศาจหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ
พวกเขาเชี่ยวชาญในการใช้กระบี่เช่นเดียวกัน
เป็นขั้นสุดยอดเหมือนกัน! จอมเคารพกระบี่ปีศาจรุ่งโรจน์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อทำนายจากช่วงเวลาที่จอมเคารพกระบี่ปีศาจถือกำเนิดขึ้นมาในสกุลชาง ก็เป็นเวลาเดียวกับที่จอมกระบี่เพิ่งจะเข้าไปในวังทวีสูญได้ไม่นานเท่าไหร่พอดี นอกจากนี้เขายังปฏิบัติต่อตนดีถึงเพียงนั้น ความคุ้นเคยอันไร้ชื่อเรียกนั้น ขณะเดียวกับที่จอมกระบี่ปะทุพลังออกมา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มั่นใจในสิ่งที่คาดเดาเอาไว้ในใจ!
ทั้งสองมองสบตากันแล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา
“หากเจ้าสามารถประจำการอยู่ที่โลกทิพย์ทั้งสี่ได้ ร่างแยกสองร่างของข้าก็สามารถไล่สังหารเขาได้ เพียงแต่ว่าเขาหนีไปทั่วทุกทิศทุกทาง อากาศอันสับสนอลหม่านกว้างใหญ่ไพศาล การจะสกัดเขาเป็นเรื่องยากมาก” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด
“ข้ามีวิธี” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มออกมา
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 40 บริเวณปกคลุม
สวบๆๆๆๆ…
ในยามนี้
ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ไพศาล มีตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวปรากฏกายขึ้นตามสถานที่ต่างๆ บ้างก็อยู่กลางท้องฟ้าเหนือแผ่นดินอลหม่าน บ้างก็อยู่ข้างจักรวาลแห่งหนึ่ง บ้างก็ท่องไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน แต่ทว่า บัดนี้อันตรายที่กำเนิดขึ้นมาในอากาศอันสับสนอลหม่านตามธรรมชาตินั้นทำอะไรร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้สักร่างแล้ว
ด้วยผลสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของเขาในตอนนี้ ก็ย่อมมีร่างแยกนับหมื่นเป็นธรรมดา! ที่ประจำการอยู่ในโลกทิพย์ทั้งสี่ ก็แค่ร่างแยกสี่ร่างเท่านั้น
ร่างแยกที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งที่หลงเหลืออยู่อีกห้าร่าง ตงป๋อเสวี่ยอิงสลายวิญญาณบางส่วนเองเพื่อทำให้อ่อนแอลง เนื่องจากบัดนี้พลังของเขายังคงถูกกฎเกณฑ์สูงสุดของโลกกำเนิดบ้านเกิดของตนจำกัดเอาไว้
ร่างแยกนับหมื่น วิญญาณของแต่ละร่างค่อนข้างอ่อนแอ แต่ระดับขั้นกลับเหมือนกันหมด
อาศัยระดับขั้นที่สูงส่งอย่างยิ่ง ร่างแยกแต่ละร่างล้วนแข็งแกร่งจนมีพลังระดับเทพจักรวาลเลยทีเดียว
“วิ้ง”
พลังระดับนี้มิอาจสำแดงท่าไม้ตายอันซับซ้อนของยุทธวิธีหิมะเหินออกมาได้ สำแดงได้เพียงกระบวนท่าจำพวกบริเวณที่เคี่ยวกรำในช่วงต้นเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวที่อ่อนแอคนหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน
อณูทรงกลมหมอกดำของแก่นห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้านล้วนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมเอาไว้ เขามิได้ต้องการท่าไม้ตายที่น่าหวาดหวั่นอย่าง ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ เขาต้องการเพียงให้บริเวณที่ปลดปล่อยออกมากว้างขวางพอเท่านั้น! ร่างแยกแต่ละร่างล้วนแต่สำแดงบริเวณออกมาอย่างสุดกำลัง แม้เขาจะบำเพ็ญ ‘วิถีอากาศ’ และ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ไปควบคู่กัน ขอบเขตของโลกเขตลวงก็นับว่าใหญ่พอ แต่หากพูดถึงกระบวนท่าทางด้านบริเวณ ก็ยังคงเชี่ยวชาญทางด้านวิถีอากาศมากกว่า
แต่การกดดันของกฎเกณฑ์ ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ นั้นอ่อนแอเสียยิ่งกว่าอ่อนแอ
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงยังเป็นผู้ปกครองเทพแท้นั้น ก็พเนจรไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน บริเวณที่สำแดงออกมาก็กว้างใหญ่หาใดเปรียบ
แต่บัดนี้น่ะหรือ
“วิ้ง”
แม้ร่างแยกเหล่านี้จะอ่อนแอ แต่ทุกร่างล้วนแต่มีระดับเทพจักรวาลทั้งสิ้น
บริเวณอากาศที่สำแดงออกมาล้วนแต่กว้างขวางอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
หนึ่งร่าง สองร่าง สามร่าง…
ร่างนับหมื่นร่างกระจัดกระจายกันอยู่ท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านแล้วสำแดงออกไปจนสิ้น
“อื้ม”
ร่างแยกนับหมื่นกลับเชื่อมโยงกับวิญญาณทั้งหมด ความทรงจำและความคิดล้วนเชื่อมโยงกันหมด
ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้บริเวณนับหมื่นปกคลุมอากาศอันสับสนอลหม่านกว่าครึ่งในพริบตา
“ขอบเขตอากาศอันสับสนอลหม่านราวเจ็ดส่วนถูกข้าปกคลุมเอาไว้แล้ว ทว่าหลายพื้นที่ล้วนแต่รกร้าง ที่ข้าต้องการปกป้องก็คือจักรวาลและแผ่นดินอลหม่านที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ร่างแยกบางร่างก็เริ่มเคลื่อนที่และเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว บัดนี้ด้วยผลสำเร็จทางด้านวิถีอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิงที่เหนือกว่าพวกจักรพรรดิเก้าเมฆา แค่เคลื่อนที่ในพริบตาคราหนึ่งก็สามารถไปได้ทั่วอากาศอันสับสนอลหม่านแล้ว
อากาศอันสับสนอลหม่านนั้น
บางบริเวณกว้างขวางอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีจักรวาลใดอยู่เลย สิ่งมีชีวิตบนแดนดินไม่ว่าหน้าไหนก็ต้องแห้งแล้งตายซากไปหมด
บางบริเวณกลับเป็นบริเวณที่จักรวาลและแผ่นดินอลหม่านค่อนข้างแน่นขนัด
ดังนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงละทิ้งพวกบริเวณที่เวิ้งว้างไป
ร่างแยกนับหมื่นร่างของเขาสามารถครอบคลุมอาณาเขตเจ็ดส่วนของอากาศอันสับสนอลหม่านได้ เมื่อละทิ้งพื้นที่รกร้างว่างเปล่าไป ก็ครอบคลุมพื้นที่ของอากาศอันสับสนอลหม่านที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เอาไว้แทบทั้งหมดแล้ว !
“ตายให้หมดเถอะ!”
กลางอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งหนึ่ง จักรพรรดิจวินปรากฏกายขึ้น เขาโบกมือคราหนึ่งก็ปกคลุมทั้งจักรวาลไกลออกไป
หากกล่าวว่า ‘มหาสมุทรคละถิ่น’ มีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่า เมื่อเข้าไปก็สามารถสัมผัสรับรู้ได้แล้ว แต่ยามนี้ร่างแยกนับหมื่นของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแค่อาศัยอณูทรงกลมหมอกดำสำแดงบริเวณออกไปเท่านั้น แม้อานุภาพจะอ่อนแออย่างยิ่ง แต่ผลลัพธ์ของการ ‘ตรวจสอบ’ กลับดียิ่งนัก! ขอบเขตกว้างขวาง จักรพรรดิจวินก็ยากที่จะตรวจพบได้
“เขาอยู่นี่”
สวบๆๆ!!!
เงาร่างสามสายปรากฏขึ้นไกลออกไป ร่างหนึ่งคือตงป๋อเสวี่ยอิง อีกสองร่างล้วนแต่เป็นจอมกระบี่ ชั่วขณะที่ปรากฏขึ้นนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้ลงมือคุ้มกันจักรวาลแห่งนั้นเอาไว้แล้ว
“รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว” จักรพรรดิจวินตกใจใหญ่ เขาเพิ่งจะสำแดงออกมา จอมกระบี่ก็มาแล้วหรือนี่
“สวบ สวบ”
จอมกระบี่สองคนออกกระบวนท่าพร้อมกัน
สวบ
จักรพรรดิจวินสาวเท้าเดินมาอีกครั้ง
“ข้าพบแล้ว ไล่ตามไป” บัดนี้บริเวณของตงป๋อเสวี่ยอิงปกคลุมขอบเขตเจ็ดส่วนของอากาศอันสับสนอลหม่าน จักรพรรดิจวินหายวับไปจากจุดหนึ่ง แล้วปรากฏขึ้นจากอีกจุดหนึ่ง ทั้งกระบวนการทะลุผ่านนี้ ทำให้อณูทรงกลมหมอกดำเกิดความเปลี่ยนแปลง เขาจึง ‘มองเห็นได้อย่างชัดเจน’ ขณะเดียวกับที่จักรพรรดิจวินทะลุผ่านไปนั้น ก็เก็บงำกลิ่นอายอย่างสิ้นเชิงแล้ว น่าเสียดาย ที่แม้เขาจะทะลุผ่านระยะทางอันยาวไกลมาก แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตบริเวณของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ดี
สวบๆๆ!
ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงพาจอมกระบี่ไล่ตามไปทันที
“ครั้งก่อนเหตุใดจึงบังเอิญถึงเพียงนั้น ข้าเพิ่งจะออกกระบวนท่าไปเขาก็ปรากฏกายขึ้นแล้ว รวดเร็วเกินไปแล้ว” จักรพรรดิจวินทะลุไปยังอีกจุดหนึ่งด้วยความระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ลอบสงสัย และไม่สบายใจอยู่บ้าง ตามปกติแล้ว หากสัมผัสรับรู้ได้ถึงระลอกคลื่นที่อยู่ไกลออกไปแล้วสำแดงกระบวนท่าเร่งตามไป ก็ต้องใช้เวลาชั่วอึดใจหนึ่ง
“แคว่ก”
ประกายกระบี่อันน่าหวาดหวั่นสองสายปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า แล้วฟาดลงบนร่างของจักรพรรดิจวิน ทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นแสงสีดำไป เขารวมตัวกันขึ้นอีกครั้งไกลออกไป ก่อนจะมองไปยังจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิงที่ปรากฏขึ้นห่างออกไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เป็นไปได้อย่างไร”
“หนี!”
จักรพรรดิจวินข่มโลหิตอันเดือดพล่านภายในกายเอาไว้ แล้วหนีโซซัดโซเซไป
เขาเพิ่งไปถึงอีกจุดหนึ่งอย่างระมัดระวัง ยังไม่ทันได้ถอนหายใจเสียด้วยซ้ำ
ประกายกระบี่ก็ร่อนลงมาอีกครั้ง!
“แคว่ก”
อาการบาดเจ็บทวีคูณขึ้นอีกครั้ง
……
หนี!
หนี!
หนี!
จักรพรรดิจวินรู้สึกราวกับว่า ไม่ว่าตนจะหนีไปที่ใดก็จะประสบกับการลอบโจมตีของประกายกระบี่ทันที! รวดเร็วเกินไปแล้ว! ไหนเลยเขาจะรู้ว่า เพื่อประหยัดเวลา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะให้ร่างแยกร่างหนึ่งพาจอมกระบี่ ‘เคลื่อนที่ในพริบตา’ ไล่ตามไป จักรพรรดิจวินเพิ่งจะไปถึงจุดหนึ่ง เขาก็เคลื่อนที่ในพริบตาไปถึงจุดเดียวกันแล้ว
บริเวณครอบคลุมพื้นที่ถึงเจ็ดส่วน หากจักรพรรดิจวินหนีออกไปอีกสักหลายครั้ง ก็จะพบว่า ‘พื้นที่รกร้าง’ ไม่อยู่ในขอบเขตของบริเวณ
แต่ว่าเมื่อเขาถูกโจมตีอย่างรุนแรงต่อเนื่องกันหลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนเป็นจอมกระบี่สองคนที่ร่วมมือกันออกท่าไม้ตายมา อาการบาดเจ็บก็ยิ่งรุนแรงขึ้น! จักรพรรดิจวินสัมผัสได้ว่าความตายใกล้เข้ามาแล้ว
“จะต้องเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้นอย่างแน่นอน เขามีกระบวนท่าทางด้านวิถีอากาศ เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ จะต้องใช้บริเวณปกคลุมทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านเอาไว้แน่ ดังนั้นไม่ว่าข้าจะหนีไปที่ใด ก็ล้วนแต่อยู่ในสายตาเขาทั้งนั้น!” จักรพรรดิจวินถูกไล่สังหารหลายครั้ง จึงเดาสาเหตุออกทันที
แม้เขาจะเข้าใจผิดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นขั้นสุดยอด
แต่ก็มิได้นับว่าผิดจนนอกลู่นอกทางอะไรนัก เพราะถึงอย่างไรพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เทียบเท่ากับขั้นสุดยอดแล้ว
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน มีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างจอมกระบี่โผล่มา โจมตีข้าจนไม่มีแรงตอบโต้ก็แล้วไปเถิด แต่ยังมีตงป๋อเสวี่ยอิงโผล่มาอีกคนอย่างนั้นหรือ ทั้งยังเป็นด้านวิถีอากาศอีกด้วยหรือ” จักรพรรดิจวินเดือดดาลอยู่ในใจ
สวบ
ครั้งนี้เขาตรงกลับไปยังทางเดินโลกาพิศวงแล้ว
ทางเดินโลกาพิศวงคือรังที่ให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลาย ซึ่งจำกัดผู้บำเพ็ญในทุกด้าน หากพวกตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้วสำแดงกระบวนท่าทางด้านบริเวณ ก็ล้วนแต่ต้องได้รับแรงกดดันมหาศาล! ดังนั้นจึงได้ตามหา ‘รัง’ ด้วยความยากลำบากถึงเพียงนั้น ที่นี่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มีทางปกคลุมขอบเขตอันกว้างขวางเพื่อตรวจสอบได้เลย
ที่นี่กฎเกณฑ์สูงสุดลำเอียงเข้าข้างฝูงมารผลาญทำลาย
“เขาหนีไปยังทางเดินโลกาพิศวงแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังจอมกระบี่ทั้งสองคนข้างกาย แล้วเอ่ยปากพูดว่า “ทางเดินโลกาพิศวงคือสถานที่ให้กำเนิดฝูงมารผลาญทำลาย ที่นั่นบริเวณของข้ามิอาจปกคลุมเป็นวงกว้างได้ นอกจากนี้มิติที่นั่นยังแปลกประหลาดยากเกินคาดเดาอีกด้วย”
“หนีไปยังทางเดินโลกาพิศวงแล้วหรือ” จอมกระบี่ก็เผยรอยยิ้มออกมา ส่วนร่างแยกอีกร่างหนึ่งก็หายวับไป “ก็ดี โจมตีเสียจนจักรพรรดิจวินผู้นั้นไม่กล้าปรากฏกายแล้ว แม้จะไม่สามารถสังหารเขาได้ มีบางคนที่ไม่ยอมจำนน แต่ถึงอย่างไรก็ขจัดภัยที่อากาศอันสับสนอลหม่านจะแตกสลายครั้งใหญ่ไปได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
จอมกระบี่มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วยิ้มออกมา “เสวี่ยอิง เจ้าเก็บงำได้ร้ายกาจนัก คนวิถีจิตฟ้าหรือ ยอดเยี่ยมใช้ได้ทีเดียว ตัวคนเดียวกลับใช้อานุภาพกดดันมารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาได้”
……
ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสนทนากับจอมกระบี่นั้น
เทพจักรวาลคนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนจับตามองการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนทิพย์ บรรพชนโลกา ท่านบรรพชนคีรีมาร ประมุขเหยากวง จักรพรรดิงูเมฆา ราชันย์มีดและบรรพชนกู่ต่างก็ตื่นเต้น! ไม่มีทางไม่ตื่นเต้น เพราะเมื่อจักรพรรดิจวินทำให้ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านเข้าสู่การแตกสลายครั้งใหญ่ในท้ายที่สุดจริงๆ แล้ว พวกเขาที่มิได้บรรลุถึงขั้นสุดยอดเหล่านี้ล้วนแต่ต้องตายทั้งสิ้น!
“คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยอิงก็จะบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้วเช่นกัน ช่าง ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง” ราชันย์มีดเอ่ยอย่างตกตะลึง ท่านบรรพชนคีรีมาร ประมุขเหยากวง บรรพชนห้วงอากาศ บรรพชนเทียนอวี๋ บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์และคนอื่นๆ ก็อยู่ข้างกายเขา เบื้องหน้าพวกเขามีภาพมากมายลอยล่องอยู่ ซึ่งได้แก่ภาพของโลกทิพย์ทั่งสี่ ในโลกทิพย์ทั้งสี่ แต่ละใบล้วนมีตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวคนหนึ่งประจำการอยู่เหนือฟากฟ้า
ภาพการประมือของตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิจวินเมื่อครู่ พวกเขาได้เห็นหมดแล้ว
“ไม่ว่าจักรพรรดิจวินจะหนีไปที่ใด ก็มิอาจหนีพ้นจากบริเวณของเสวี่ยอิงได้! เขายังคงถูกเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ไล่ล่าอยู่ตลอดเวลา อาการบาดเจ็บก็สาหัสมากขึ้นทุกทีๆ ฮ่าฮ่า เขาหนีไปแล้ว คาดว่าคงจะหลบเข้าไปในทางเดินโลกาพิศวงแล้ว! ทั้งอากาศอันสับสนอลหม่าน ก็มีเพียงทางเดินโลกาพิศวงเท่านั้นที่เป็นสถานที่คุ้มกันสุดท้ายของฝูงมารผลาญทำลายอย่างพวกเขากระมัง” เจ้าศิลาก็ปรากฏกายขึ้นที่นี่
เทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ล้วนอยู่ที่นี่ เจ้าศิลาเอ่ยวาจาชุดหนึ่งออกมา ทำให้เทพจักรวาลในที่นั้นต่างก็ทอดถอนใจคราหนึ่ง
อันตรายจากการแตกสลายครั้งใหญ่ได้รับการแก้ไขแล้ว!
“จอมกระบี่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว เสวี่ยอิงก็สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ” บรรพชนห้วงอากาศส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ
“วังทวีสูญของข้ามีขั้นสุดยอดสองคนอย่างนั้นหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋กะพริบตาคราหนึ่ง
นี่ช่างเป็นการเข้าใจผิดอันงดงามโดยแท้
สายตาของพวกเขามีจำกัด เมื่อมองเพียงผิวเผินว่าตงป๋อเสวี่ยอิงห้ำหั่นกับเผ่ามารขั้นสุดยอดอย่าง ‘จักรพรรดิจวิน’ ด้วยพลังที่เท่าเทียมกัน ก็ย่อมคาดว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นขั้นสุดยอดแล้ว
……
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เทพจักรวาลทั้งปวงต่างก็เบิกบานใจเป็นอย่างมาก เมื่อความตายเข้ามาประชิด จนบัดนี้สามารถหลบหลีกจากหายนะอันใหญ่หลวงได้ พวกเขาต่างก็โล่งใจและสุขสราญนัก
ณ อีกฟากฝั่งหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงและจอมกระบี่ก็กำลังพูดคุยกัน
“ถูกต้อง ตอนที่ข้ายังมิได้เข้าไปในวังทวีสูญก็ได้รับป้ายคำสั่งจิตโลกามาแล้ว! เพียงแต่ข้ายังไม่อยากละทิ้งสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแล้วไปจุติยังโลกกำเนิดอีกแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง ต่อมาข้าได้บำเพ็ญเคล็ดวิชาศาสตร์โบราณ และโชคดีสามารถบำเพ็ญร่างแยกร่างหนึ่งออกมาได้ ข้าจึงให้ร่างแยกกลับชาติไปจุติยังดินแดนจิตโลกาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย” จอมกระบี่ยิ้ม “ดังนั้น ดูเหมือนข้าจะเก็บตัวอยู่ตลอด และมิได้เผชิญอุปสรรคเพื่อเคี่ยวกรำตลอดมา แต่อันที่จริงแล้ว ข้าบุกฝ่าและเคี่ยวกรำอยู่ในดินแดนจิตโลกามาตลอด หากมิได้เผชิญอุปสรรคเพื่อเคี่ยวกรำเลย คิดจะสำเร็จเป็นเทพจักรวาล บรรลุถึงเทพจักรวาลชั้นที่สอง หรือกระทั่งขั้นสุดยอดน่ะหรือ การบำเพ็ญไหนเลยจะผ่อนคลายและง่ายดายถึงเพียงนั้นได้เล่า!”
“แต่ความเร็วในการบำเพ็ญของท่านก็ยังคงรวดเร็วเกินไปอยู่ดี” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “สามารถสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น