Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 31-36
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 31 ความโกรธเกรี้ยวของบรรพชนราต...
ภายในโถงตำหนักอันหรูหราแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มรูปโฉมหล่อเหลาผู้สวมอาภรณ์สีทองทั้งร่างและสวมอาภรณ์สีทองอันหรูหรางดงามนั่งอยู่ตรงที่นั่งประธานอย่างสบายใจ ยังมีหญิงสาวรูปร่างอรชรในชุดแพรสีดำนั่งอยู่ช้างๆ คอยป้อนสุราให้ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา
ถัดลงมาด้านล่าง มีแขกนั่งขนาบอยู่ฝั่งละคน พวกเขาล้วนมีสาวงามคอยปรนนิบัติ
แขกผู้หนึ่งคือชายชราอาภรณ์ดำรูปร่างอ้วนเตี้ย เขาคือเจ้าเมืองแห่ง ‘เมืองอัคคีทิพย์’ ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวอันดับหนึ่งของมารร้ายทั้งหลายทั่วดินแดนจิตโลกา ในฐานะผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดคนหนึ่ง เมืองอัคคีทิพย์ที่เขาปกครองก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถานที่รวมตัวอันดับหนึ่งของมารร้าย และด้วยเหตุที่พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของเขาคือสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ‘ประมุขวังอินทรีเหล็ก’ ด้วย
ทั้งดินแดนจิตโลกา นอกจากหกรัฐโบราณและราชันย์อนธการอมตะแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูอีกสองท่าน
มิใช่ว่าผู้ที่ไร้ศัตรูทุกคนจะต้องสร้างรัฐโบราณขึ้นมา
ประมุขวังอินทรีเหล็กก็เป็นหนึ่งในนั้น เรียกได้ว่าเขาเป็นผู้ที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัวมากที่สุดคนหนึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู เขาไม่เผยแพร่ลัทธิ ไม่ปกครองขุมอำนาจใหญ่ หากแต่บำเพ็ญอยู่ภายในวังอินทรีเหล็กของเขาตลอดเวลา แต่เมื่อมีพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายเช่นนี้ บวกกับที่ตัวเจ้าเมืองอัคคีทิพย์เองก็เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดอยู่แล้ว ดังนั้น ‘เมืองอัคคีทิพย์’ จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่รวมตัวอันดับหนึ่งของมารร้าย
ส่วนอีกคนหนึ่งคือสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนแมลงบินได้ บนร่างมีเกล็ดสีดำอยู่ ด้านหลังมีปีกใสกระจ่างอยู่ครู่หนึ่ง บนหน้าผากมีหนวดสองเส้น เขาก็คือบรรพชนแมลงผู้ลึกลับอย่างยิ่งนั่นเอง
“เฮ้อ นี่มันวันอะไรกัน มีแขกมาอีกแล้วรึ” ชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีทองอันหรูหราซึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานยิ้มพลางพูดเสียงเบา
รัศมีรวมตัวกันขึ้นภายในโถงตำหนัก รวมตัวกันเป็นบุรุษเสื้อคลุมกันลมสีดำปักลวดลายสีทอง ใบหน้าขาวซีด นัยน์ตาเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง เขาก็คือหนึ่งในสองสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแห่งรัฐโบราณบรรพชนผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ นั่นเอง
“ราตรีนิรันดร์ เจ้ามาแล้ว” ชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีทองอันหรูหรายิ้มพลางโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง ตรงหน้าสุดด้านล่างมีโต๊ะยาวพร้อมที่นั่งปรากฏขึ้นอีกชุด “มาๆๆ ข้ากำลังต้อนรับเจ้าเมืองอัคคีทิพย์และบรรพชนแมลงอยู่พอดี เจ้ามาได้บังเอิญจริงๆ มาชิมอาหารรสเลิศที่ข้าเตรียมเอาไว้เร็วเข้า”
บรรพชนราตรีนิรันดร์กวาดตามองแวบหนึ่ง
เจ้าเมืองอัคคีทิพย์เอย บรรพชนแมลงเอย
ก็แค่ขั้นสุดยอดสองคนเท่านั้น ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งเลย
“ราชันย์อนธการ” บรรพชนราตรีนิรันดร์พูดเสียงเรียบ “การเจรจาของเจ้าและข้าในตอนนั้น ต้องแก้ไขสักหน่อยแล้ว”
“แก้ไข มีอะไรต้องแก้ไขรึ” ราชันย์อนธการอมตะยังคงอิงแอบสาวงามข้างกาย แย้มยิ้มพลางมองลงไปด้านล่าง
“เจ้าต้องการวิญญาณแค้น ‘ขั้นสุดยอด’ สามดวง เดิมทีข้าใช้เวลามากหน่อยก็สามารถค่อยๆ บ่มเพาะวิญญาณแค้นเช่นนี้ขึ้นมาได้ แต่บัดนี้ คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นบ้าคลั่งเกินไปแล้ว หากในดินแดนจิตโลกาเกิดเรื่องการเข่นฆ่าตามอำเภอใจขึ้นมา เขาก็จะลงมือสังหารมารร้ายโดยไม่ไว้น้ำใจแม้แต่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำตามที่ราชันย์อนธการขอไว้ก็ยากเสียแล้ว” บรรพชนราตรีนิรันดร์กล่าว “ข้ารู้สึกว่าวิญญาณแค้น ‘ขั้นสุดยอด’ ตนหนึ่งก็เพียงพอแล้ว”
วิญญาณแค้น
หมายถึงวิญญาณซึ่งเต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทำให้วิญญาณเกิดความเปลี่ยนแปลงพิเศษบางอย่างขึ้นมา วิญญาณแค้น ‘ขั้นสุดยอด’ เป็นตัวแทนของตำนานชนิดหนึ่ง วิญญาณแค้นระดับนี้…มีความเคียดแค้นและความอาฆาตอันไร้รูปร่าง เพียงพอให้สังหารขั้นอลวนทั่วไปคนหนึ่งได้แล้ว
แต่นี่ก็คือขีดสุดแล้ว
ต่อให้เป็นวิญญาณแค้นที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็มิอาจเอาชนะเทพจักรวาลได้! ดังนั้น ‘วิญญาณแค้น’ จึงเป็นเพียงวิถีเล็กๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงสายหนึ่งเท่านั้น
แต่ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ต้องการ ตอนนั้นบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้เจรจาตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้นำของรัฐโบราณแห่งหนึ่ง จึงทำเรื่องพวกนี้ได้สะดวกกว่าราชันย์อนธการอมตะซึ่งจากดินแดนจิตโลกาไปนานแสนนานผู้นี้อยู่มากทีเดียว
“เจ้าเป็นถึงหนึ่งในสองบรรพชนแห่งรัฐโบราณบรรพชน เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็ทำมิได้หรือ” ราชันย์อนธการอมตะส่ายหน้า
“หากเจ้าเตรียมเรื่องพรรค์นี้อยู่ในรัฐโบราณของข้า คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นก็จะลงมือขัดขวางเช่นเดียวกัน” บรรพชนราตรีนิรันดร์ส่ายหน้า “บ่มเพาะวิญญาณแค้นขั้นสุดยอด จะต้องใช้วิญญาณจำนวนมหาศาลจึงจะมีหวัง”
ราชันย์อนธการอมตะเหลือบมองลงไปยังบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่อยู่เบื้องล่างพลางหัวเราะเบาๆ
บรรพชนราตรีนิรันดร์สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
เขาสัมผัสได้ว่ารอบยิ้มของราชันย์อนธการอมตะแฝงแววเหยียดหยันเอาไว้
ด้วยความหยิ่งผยองของบรรพชนราตรีนิรันดร์ ในดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ ผู้ใดจะกล้าดูแคลนเขาเล่า
“ราตรีนิรันดร์ ข้ากับเจ้าเจรจาตกลงกันเอาไว้แล้ว ก่อนหน้านี้ยังได้ตั้งสัตย์สาบานกันเอาไว้เป็นอย่างดีแล้วด้วย ผลประโยชน์ที่ข้าควรจะมอบให้เจ้า ข้าก็มอบให้ไปส่วนหนึ่งแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาของราชันย์อนธการอมตะเยียบเย็นขึ้นมา นัยน์ตาแฝงแววหนาวเหน็บเอาไว้ “ทำไมรึ ตอนนี้เจ้าจะบอกว่าทำไม่ได้ จะแก้ไขสัญญาอย่างนั้นหรือ รู้สึกว่าข้าต่อรองด้วยง่ายนักหรือไร”
กลิ่นอายมรณะอันไร้รูปร่างแผ่กำจายลงมา แล้วปกคลุมทั่วทั้งโถงตำหนัก
บรรพชนแมลงและเจ้าเมืองอัคคีทิพย์ที่อยู่เบื้องล่างต่างก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย
ส่วนบรรพชนราตรีนิรันดร์ซึ่งถูกพุ่งเป้ามาโดยตรง ภายใต้การกดดันของกลิ่นอายมรณะอันน่าเกรงกลัว หัวใจของเขาก็ยิ่งบีบรัดแน่น เขาเกิดความรู้สึกครั่นคร้ามราวกับเผชิญหน้ากับมิติระดับสูงยิ่งกว่าอย่างไรอย่างนั้น
“ตอนนั้นราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ ใช้กำลังกดดันฝ่ายต่างๆ แล้วชิงโอกาสเหยียบขึ้นไปบนเส้นทางโจมตีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ เมื่อคืนวันอันยาวนานผ่านพ้นไป เขาก็กลับมาแล้ว ดูเหมือนจะล้มเหลวเสียแล้ว ทว่าก็รู้สึกว่าพลังของเขาจะเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว” บรรพชนราตรีนิรันดร์ลอบโกรธแค้น แต่ก็ต้องข่มเพลิงโทสะเอาไว้
นานแสนนานก่อนหน้านี้
พลังของราชันย์อนธการอมตะ บรรพชนราตรีนิรันดร์นั้นรู้จักดี ถึงตอนนั้น ก็เป็นอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาแล้ว เกรงว่าคงไม่ต่างจากจักรพรรดิเซี่ยในตอนนี้มากสักเท่าใดนัก
ส่วนตอนนี้น่ะหรือ
บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็เดาไม่ถูกแล้ว เขาเพียงแค่รู้สึกว่าวิธีการของราชันย์อนธการอมตะพิสดารกว่าตอนนั้นมากทีเดียว
“ราชันย์อนธการ ข้ากล้ารังแกผู้อื่น จะกล้ารังแกเจ้าได้อย่างไรกัน เพียงแต่เจ้าก็รู้ว่า คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นรับมือได้ยากนัก พลังมิได้นับว่าแข็งแกร่งสักเท่าใดนัก แต่จะสังหารเขานั้นยากมาก เขายังตั้งใจสร้างความเสียหายอยู่ตลอดด้วย จะเก็บรวบรวมวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดสามดวงให้ครบในเวลาที่กำหนดไว้ ยากนัก” บรรพชนราตรีนิรันดร์กล่าว
“ยากก็ไปทำเถอะ สัตย์สาบานเป็นสิ่งที่เจ้าเองก็ตกลงในตอนนั้น ก็ต้องทำต่อไปสิ หากเจ้าฝ่าฝืนสัตย์สาบาน ก็ได้ แค่คอยรับผลที่จะตามมาให้ดีๆ ก็พอแล้ว” ราชันย์อนธการอมตะเหลือบมองลงไปเบื้องล่างพลางยิ้มเข็นชา
บรรพชนราตรีนิรันดร์เงียบงันอยู่ชั่วลมหายใจหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “ได้”
จากนั้นเงาร่างของเขาก็หายวับไปทันที
“เฮอะๆ”
ราชันย์อนธการอมตะหัวเราะเสียงเยียบเย็น
บรรพชนแมลงและเจ้าเมืองอัคคีทิพย์กลับสบตากันแวบหนึ่ง พวกเขามิได้เปล่งเสียงออกมา แม้พวกเขาจะไม่เกรงกลัวสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูเช่นกัน แต่เรื่องของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู พวกเขาก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว
……
“สมควรตาย!” บรรพชนราตรีนิรันดร์โกรธแค้นมากจริงๆ
นานเท่าไหร่แล้ว นานเท่าไหร่ที่มิมีผู้ใดกล้าเมินเฉยต่อเขาเช่นนี้!
แต่บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็เข้าใจว่าจักรพรรดิเซี่ยสามารถทำร้ายเขาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ที่ลึกล้ำเกินหยั่งมากกว่าผู้นั้น เป็นไปได้มากว่าพลังยังอาจแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิเซี่ยเสียอีก และนี่ก็คือเหตุผลที่บรรพชนราตรีนิรันดร์หวั่นเกรงเขาเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่า…
วิธีการของบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลนั้นช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เมื่อทั้งสองร่วมมือกันก็กล้าห้ำหั่นกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูทั้งสามของรัฐโบราณคิมหันตวายุแล้ว! ดังนั้นหากจะฉีกหน้าจริงๆ เขาและนิจรัตติกาลร่วมมือกันก็มั่นใจพอจะรับมือราชันย์อนธการอมตะได้ เพียงแต่ตอนนั้นได้ตั้งสัตย์สาบานเอาไว้ ทั้งยังเป็นเขาที่เรียกร้องอีกด้วย! เขากลัวว่าราชันย์อนธการอมตะจะไม่รักษาสัญญา
แต่ตอนนี้ สัญญาได้ถูกตกลงเอาไว้แล้ว ราชันย์อนธการอมตะไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข หากเขาฝ่าฝืนสัตย์สาบานก็จะส่งผลกระทบต่อจิตแห่งวิถีเป็นอย่างยิ่ง คิดจะกระโดดออกจากรงขังก็ยิ่งไม่มีหวังแล้ว
“รอก่อนเถิด” บรรพชนราตรีนิรันดร์พูดเสียงเบา
“วิญญาณแค้นขั้นสุดยอดหรือ ครั้งนี้ข้าจะลอบจับตามองด้วยตนเอง คนวิถีจิตฟ้ารึ เฮอะๆ กล้าสอดมือยุ่งเกี่ยว ข้าก็ต้องสืบเสาะตัวตนของเจ้าให้พบอย่างแน่นอน”
……
บรรพชนราตรีนิรันดร์เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
เขาเริ่มส่งเทพจักรวาลที่มีร่างแยกไปเก็บรวบรวมวิญญาณ โดยมิได้ทำการบ่มเพาะตามธรรมชาติในตัวเมืองทั้งสิบเก้าแห่งอย่างไม่หยุดหย่อนอย่างโอหังเหมือนก่อนหน้านี้ แม้การทำเช่นนั้นจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่ก็จะถูก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ขัดขวางได้ง่ายกว่าเช่นกัน ครั้งนี้เขาจะพยายามเก็บรวบรวมวิญญาณให้ได้มากที่สุดก่อนแล้วค่อยๆ สำแดงวิธีการออกมา บางทีจำนวนวิญญาณที่ต้องการอาจจะมหาศาลกว่า แต่ขอเพียงไม่ส่งผลกระทบต่อระเบียบของทั้งดินแดนจิตโลกา ‘หยวน’ ผู้นั้นก็จะไม่สนใจการแก่งแย่งชิงดีกันของมดปลวกจำนวนนับไม่ถ้วนภายในกรงขัง
วิญญาณจำนวนมากถูกเก็บรวบรวมอย่างต่อเนื่อง
บรรพชนราตรีนิรันดร์ลอบตั้งใจจับตามองโดยเฉพาะ
เพียงพริบตาเดียวการเก็บรวบรวมนี้ก็ดำเนินไปถึงกว่าร้อยล้านปีอย่างเงียบเชียบ เนื่องจากไม่อยากจะส่งผลกระทบต่อระเบียบต่างๆ และไม่อยากถูกคนวิถีจิตฟ้าพบเข้าด้วย
แม้บรรพชนราตรีนิรันดร์จะมีแผนการรับมือคนวิถีจิตฟ้า แต่หากไม่ถูกพบเข้าก็ย่อมดีกว่าแน่นอน
“สร้างหายนะให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน เจ้าและคนอื่นๆ สมควรตาย”
กลางท้องฟ้ายามราตรีเหนือตัวเมืองแห่งหนึ่งมีบุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้น ใบหน้าของเขาฉายแววโกรธขึ้ง เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน เมื่อโบกมือคราหนึ่ง รอยแยกมิติอันน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งก็ร่อนลงมาจากฟากฟ้า ทันใดนั้นก็โจมตีลงบนร่างของเทพจักรวาลที่อยู่ไกลออกไปผู้หนึ่ง ก่อนจะทำให้ร่างของเขาแหลกสลายเป็นผุยผงไปในทันที! นี่เป็นเพียงแค่เทพจักรวาลทั่วไปเท่านั้น ซึ่งบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้จงใจจัดเตรียมผู้ที่มีร่างแยกเอาไว้เป็นพิเศษอยู่แล้ว
ผู้ที่ไม่มีร่างแยก แม้แต่จวินอ๋องดำก็ยังสิ้นใจไปแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ไม่อยากเสี่ยงอันตราย ตัวบรรพชนราตรีนิรันดร์เองก็ทำใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่สำคัญที่สุดทั้งหลายต้องเสี่ยงอันตรายด้วยไม่ได้เช่นกัน
“เอ๊ะ”
บนยอดเขาแห่งหนึ่งภายในเมืองอันใหญ่โตแห่งนี้ บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้สวมเสื้อคลุมกันลมสีดำประดับลวดลายสีทองกำลังมองไปทางบุรุษอาภรณ์ขาวไกลออกไป ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือรวดเร็วเกินไปแล้ว เมื่อร่อนลงไปก็มีท่าไม้ตายร่อนลงไปเป็นระยะไกลลิบ เพียงกระบวนท่าเดียวก็ปลิดชีพได้! บรรพชนราตรีนิรันดร์มิทันได้ขัดขวาง ทว่าก็เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น เสียแล้วก็เสียไปเถิด
“มาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าจริงๆ ด้วย ข้าอุตส่าห์ระวังและหลบซ่อนมากแล้ว ไม่ไปหาเรื่องเจ้า เจ้ายังมาหาเรื่องข้าอีกรึ” โทสะของบรรพชนราตรีนิรันดร์พุ่งสูงเทียมฟ้าทันที
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 32 กลั่นแกล้งบรรพชนราตรีนิรันด...
เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังใช้ร่างแยกร่างหนึ่งหลอมอาวุธเทพอลวนอยู่อย่างระมัดระวัง ร่างแยกร่างอื่นๆ ล้วนกำลังบำเพ็ญอยู่ หมายจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดให้ได้โดยเร็วที่สุด
แต่ระบบข่าวสารของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ได้ส่งสารมา เขาจึงส่งร่างแยกมาลงมือสังหารมารร้ายอย่างสบายๆ เท่านั้น
ก่อนจะสังหารมารร้าย แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะตรวจสอบทั่วทั้งตัวเมืองภายในชั่วความคิดเดียว แต่เขาก็ไม่พบบรรพชนราตรีนิรันดร์เลยจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเมื่อมี ‘สมบัติลับอันสูงส่ง’ วิธีการบางอย่างของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ยิ่งยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก
“ช่วงชิงวิญญาณไปมากมายเพียงนี้เชียวหรือนี่” เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่ง แล้วปรากฏกายขึ้นภายในจวนอันผุพังหลังหนึ่ง เทพจักรวาลผู้นั้นกลายเป็นผุยผงไป แต่เขากลับทิ้งวัตถุบางอย่างเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้กระบวนท่าควบคุมเอาไว้อย่างประณีต เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อวัตถุภายนอกเหล่านี้ เขาหยิบขวดสีดำขวดหนึ่งขึ้นมา พลางตรวจดูวิญญาณจำนวนมากภายในขวด แความเหี้ยมเกรียมสายหนึ่งผุดขึ้นตรงหว่างคิ้วอย่างมิอาจควบคุม
“มารร้ายที่ถูกข้าสังหารไปเมื่อครู่เป็นคนของรัฐโบราณบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ก่อนที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยออกไป เขาก็ไม่กลัวบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลเลย
กลัวก็แต่ว่า ตัวตนจะถูกเปิดเผยออกไปเท่านั้น!
ดังนั้นเขาจึงพยายามเต็มที่ที่จะไม่ไปหาเรื่องพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล
“สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูผู้องอาจ ก่อนหน้านี้ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจวินอ๋องดำทำลายตัวเมืองสิบเก้าแห่ง บัดนี้ ‘น๋าฟูย่า’ เทพจักรวาลทั่วไปคนนี้ก็เก็บรวบรวมวิญญาณอย่างโหดเหี้ยมตามอำเภอใจเช่นนี้ น๋าฟูย่าก็เป็น เทพจักรวาลที่มีร่างแยก เมื่อครู่ที่ข้าทำลายไปก็เป็นเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของเขาเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นต่อมารร้ายเหล่านี้ “บรรพชนราตรีนิรันดร์ตามใจผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้เลยหรือ”
เขายังไม่ทันได้คิดอะไรมาก
“ไม่ดีแล้ว”
ในฐานะยอดฝีมือด้านวิถีอากาศ เขาจึงสามารถสัมผัสรับรู้และควบคุมอณูหมอกดำทรงกลมแต่ละอณูโดยรอบได้ ยามนี้เขาพลันสัมผัสได้ว่าพละกำลังระลอกหนึ่งกำลังโหมซัดเข้ามา
“บรรพชนราตรีนิรันดร์”
พละกำลังนี้คุ้นเคยเกินไปแล้ว
อาศัยการสัมผัสอากาศนี้ เขาก็ ‘พบ’ บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้สวมเสื้อคลุมกันลมสีดำแล้ว
“ไป”
ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่ตะประมือด้วย เขาสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาออกมาทันที
แคว่กกก…
รอยแยกสีดำสายหนึ่งผุดขึ้นมา
ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับถูกพละกำลังอันน่าหวาดหวั่นโจมตี แต่เขากลับยังคงสาวเท้าก้าวเข้าไปในรอยแยกสีดำ จะเห็นได้ถึงความแตกต่างของ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ และศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ นั้นมั่นคงกว่า! ต่อให้อยู่ภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่ง ก็ยังคงสามารถเปิดทางเชื่อมสายหนึ่งขึ้นมาได้อย่างพอถูไถ
เพราะถึงอย่างไรโดยแก่นแท้แล้ว ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาก็เป็นการเปิดทางเชื่อมสายหนึ่งในมิติชั้นสูงยิ่งกว่าที่น่าหวาดหวั่นขึ้นมา เพื่อเชื่อมต่อโลกกำเนิดสองแห่งอยู่แล้ว
หากไม่เสถียรพอ ไหนเลยจะสามารถต้านทานการกดดันโจมตีมิติชั้นสูงยิ่งกว่าได้
“ฟิ้ว!”
ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามควบคุมอากาศให้กดดันอย่างเต็มที่ แต่บริเวณหลายหมื่นลี้รอบจวนแห่งนี้ก็ยังคงพังทลายลงไปอยู่ดี
เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ ซึ่งก็คือบรรพชนราตรีนิรันดร์ในชุดเสื้อคลุมกันลมสีดำซึ่งสะบัดพลิ้วไปตามลม สีหน้าของบรรพชนราตรีนิรันดร์ราวกับมีน้ำแข็งชั้นหนึ่งปกคลุมไว้ เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไปแล้วรึ รับสักกระบวนท่าหนึ่งของข้าก็หนีไปแล้วอย่างนั้นหรือ ร่างกายของเขาสามารถต้านทานการโจมตีของข้าได้อย่างง่ายดายหรือนี่ ยอดฝีมือด้านวิถีอากาศ ต่อให้ค่อนข้างเชี่ยวชาญทางด้านการถ่ายแรงและการป้องกัน กายหยาบของเขาก็ไม่น่าแข็งแกร่งเช่นนี้จึงจะถูกต้อง!”
วิธีการต่างๆ เช่น ‘ศาสตร์การกลายเป็นอากาศธาตุ’ หรือ ‘การควบคุมอากาศ’ ทำให้ผู้แกร่งกล้าวิถีอากาศขั้นสุดยอดเชี่ยวชาญทางด้านการรักษาชีวิตเป็นอย่างมาก
แต่กายหยาบน่ะหรือ โดยทั่วไปล้วนแต่ไม่แข็งแกร่งนัก
ก็มีเพียงจักรพรรดิเซี่ยเท่านั้นที่คิดค้นปุจฉวิถีคละถิ่นขึ้นมา แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ผนวกเอาเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเจ็ดกระบวนคละถิ่นซึ่งเป็นการใช้งานพลังคละถิ่นชนิดต่างๆ เข้าไป ทำให้ฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองสมบูรณ์และยกระดับขึ้นได้บ้าง ความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นเพียงพอจะเทียบได้กับผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดที่ฝึกกายแล้ว
……
ฟิ้วๆๆ…
กลางท้องฟ้าเหนือทะเลกาฬอเวจีอันกว้างใหญ่ไพศาล ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นที่นี่ สีหน้าของเขาซีดขาวอยู่บ้าง ปากมีรอยโลหิตอยู่
แม้วิถีอากาศจะขัดขวางและทำให้อ่อนกำลังลงไปมากแล้ว อีกทั้งกายหยาบของตนก็แข็งแกร่ง แต่การโจมตีครั้งหนึ่งของผู้ที่มีระดับอันสูงส่งนั้น…ก็ยังทำให้โลหิตในกายของตนเดือดพล่านอยู่ดี เพียงแต่มิได้สูญเสียพลังชีวิตไป เคราะห์ดีที่เขาพกสมบัติลับระดับยอดสุด ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ไปด้วย หากไม่มีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ เกรงว่าตนก็คงต้องบาดเจ็บสาหัสด้วยการลอบโจมตีนั่นแล้ว
“อาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ ข้าก็มีคุณสมบัติพอจะเอาชีวิตรอดได้แล้ว หากฝึกฝนอาวุธเทพอลวนได้สำเร็จ ไหนเลยจะเกรงกลัวบรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นั้นกันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจในตนเองเป็นอันมาก
เขารับรู้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่ง และหลอมรวมเอาความเร้นลับชนิดต่างๆ ของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเข้าไปในกาย และทำให้เคล็ดวิชาฝึกกายสมบูรณ์ แล้วขัดเกลาเอายุทธวิธีหิมะเหินที่เหมาะสมกับตนเองที่สุดขึ้นมา! และเมื่อมีดอกบัวเพลิงห้วงอากาศคอยส่งเสริม พลังของเขาก็ไม่แพ้มหาเคารพฝูอี่แล้ว
เมื่ออาวุธเทพอลวนมาอยู่ในมือ…พลังจะต้องแข็งแกร่งกว่ามหาเคารพฝูอี่อยู่ขุมหนึ่งอย่างแน่นอน
กลัวว่าน่าจะเป็นจอมเคารพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของทั้งดินแดนจิตโลกา!
“บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นี้ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดส่องดูที่นั่นอยู่ไกลๆ ผ่านการส่งถ่ายทลายโลกา
******
แม้ทั้งสองฝ่ายจะประมือกันเพียงกระบวนท่าเดียว
หากพูดอย่างเคร่งครัดแล้ว เป็นบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่ลอบโจมตี ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นฝ่ายป้องกัน ขัดขวางและหลบหนีไป! แต่เนื่องจากบรรพชนราตรีนิรันดร์แค้นเคืองถึงขั้นสุด ที่ธุระในตัวเมืองทั้งสิบเก้าเมื่อครั้งก่อนถูกตงป๋อเสวี่ยอิงทำลายเสียแล้ว! จวินอ๋องดำก็ถูกสังหารไปด้วย! เขาอยู่ที่นั่นกับ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ยังข่มโทสะเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้เก็บรวบรวมวิญญาณจำนวนมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มาอีก แล้วบรรพชนราตรีนิรันดร์จะไม่โมโหได้อย่างไรกันเล่า
การลอบโจมตีนี้ ย่อมต้องพยายามแอบซ่อนท่าไม้ตายสุดกำลังเป็นธรรมดา!
อานุภาพของท่าไม้ตายระดับนี้ ผู้แกร่งกล้าจำนวนไม่น้อยทั่วดินแดนจิตโลกา ทั้งสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูและขั้นสุดยอดล้วนแต่สัมผัสได้
พวกเขาแต่ละคนพากันจับตามองมาทางนี้
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นน่ะ”
“ระลอกคลื่นของระดับขั้นอันสูงส่งหรือ”
แต่ละคนพากันเฝ้าดู
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เฝ้าดูเช่นกัน คิดจะดูว่าที่แท้แล้วบรรพชนราตรีนิรันดร์จะทำอะไร เพียงครู่เดียวเขาก็ ‘มองเห็น’ ซากปรักหักพังขอบเขตหลายหมื่นลี้ กลางท้องฟ้าเหนือซากปรักหักพังนั้น มีบรรพชนราตรีนิรันดร์ยืนอยู่
“สมควรตาย” เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงพบซากปรักหักพังเหล่านั้นเข้า คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นี้เห็นเหล่าผู้บำเพ็ญระดับล่างเป็นมดปลวกจริงๆ จะสำแดงกระบวนท่าก็ไม่รู้จักควบคุมขอบเขตเลย
บรรพชนราตรีนิรันดร์ยืนอยู่กลางอากาศ
สายตาเยียบเย็น ไม่แยแสรอบด้าน เขาพูดเสียงดังกังวานว่า “คนวิถีจิตฟ้า ข้ารู้ว่าเจ้าลอบซ่อนตัวอยู่”
มุมปากของตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยยิ้มเย็นเยียบผุดขึ้นมา
“เจ้าทำลายธุระของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า คิดจริงๆ หรือว่าตัวเจ้าเองจะไม่เผยร่างจริงออกมาได้ตลอดกาลน่ะ” แววเหี้ยมเกรียมในสายตาของบรรพชนราตรีนิรันดร์เข้มข้นขึ้น “เจ้ามิได้จะทำลายธุระของข้าอีกหรือไร เฮอะๆ ข้าลงมือทำด้วยตนเอง ดูสิว่าเจ้าจะขัดขวางอย่างไรได้”
แม้จะใช้การส่งถ่ายทลายโลกาสอดส่องดู มิอาจได้ยินเสียง แต่กลับสามารถวิเคราะห์ผ่านระลอกมิติและการขยับปากได้ว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์พูดอะไรออกมา
“ไปทำด้วยตนเองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าถอดสี
เขาสามารถสังหารมารร้ายธรรมดาสามัญได้
แต่จะสังหารบรรพชนราตรีนิรันดร์ได้อย่างไรกันเล่า จะสังหารสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูสักคนนั้นยากเกินไปแล้ว! ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายอย่าง ‘วังเทพจิตโลกา’ จักรพรรดิเซี่ยจะไล่สังหารบรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ยังสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดายเลย
อยู่ในดินแดนจิตโลกาที่ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ไม่มีค่ายกลสกัดกั้น สามารถหนีไปได้ทุกหนแห่ง
ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทั่วไป ก็สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้อย่างง่ายดาย! บรรพชนราตรีนิรันดร์…อยู่ในดินแดนจิตโลกา จะไปไหนก็ไปได้ทั้งนั้น
ต่อให้ไม่หนีไป แล้วห้ำหั่นกันซึ่งหน้า ก็เป็นบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่เป็นฝ่ายกดดันตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ดี!
……
“ราตรีนิรันดร์ ช่างไม่รักษาหน้าตนเองเลยจริงๆ” จักรพรรดิเซี่ยส่ายหน้าเบาๆ
“ไร้ยางอาย” จักรพรรดิชางมองดูฉากนี้แล้วก็พูดเสียงเย็นชาขึ้นมา
สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุทั้งสามมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับสองบรรพชนแห่งรัฐโบราณบรรพชนมาโดยตลอด
“เอ๊ะ”
เจ้าเมืองอนันต์กลับเกาะราวระเบียงพลางทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้ายามราตรีอันไร้ที่สิ้นสุด เขามองไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วพลันเอ่ยปากขึ้น เสียงนั้นถูกส่งไปยังอีกฟากหนึ่งของดินแดนจิตโลกา “ราชันย์อนธการ ช่วงนี้ราตรีนิรันดร์ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปก่อหายนะทั่วตัวเมืองทั้งสิบเก้าเพื่อเก็บรวบรวมวิญญาณอีกแล้ว วันนี้ยังข่มขู่คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นอย่างน่าไม่อายอีกด้วย เส้นทางการบำเพ็ญของเขาคงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้กระมัง เป็นเพราะเจ้าใช่หรือไม่”
“ฮ่าฮ่า ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ สหายเก่าของข้า” ราชันย์อนธการอมตะก็ถ่ายเสียงพูด
“เจ้าเลือกผู้ช่วยได้ดีจริงๆ ทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่ร้ายกาจพอและไม่รักษาหน้าเลยก็มีแต่ราตรีนิรันดร์และนิจรัตติกาลสองคนนี้เท่านั้น และสามารถรวมเอาประมุขรัฐจันทร์บุปผาผู้นั้นเข้าไปได้อย่างพอถูไถด้วย” เจ้าเมืองอนันต์พูดยิ้มๆ
“ก็แค่การแลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียมเท่านั้นเอง เจ้าเมืองอนันต์ เจ้าอยากจะแลกเปลี่ยนกับข้าดูสักตั้งไหมเล่า”
“แลกเปลี่ยนกับเจ้า ราชันย์อนธการน่ะหรือ เฮอะๆ ข้าไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว”
“เอ๊ะ”
“เขาปรากฏกายแล้วหรือนี่”
เจ้าเมืองอนันต์และราชันย์อนธการอมตะที่สนทนากันอยู่ต่างก็พากันตกตะลึงไป
……
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาที่จับตามองที่นี่อยู่ต่างก็มองดูด้วยความตกตะลึง กลางอากาศ ห่างจากบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่ไกลออกไปนัก มีรอยแยกสีดำสายหนึ่งกะพริบวาบขึ้นมา บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากในนั้น
คนวิถีจิตฟ้า!
เป็นเขา!
“เจ้ากล้าปรากฏกายด้วยหรือนี่” บรรพชนราตรีนิรันดร์มองดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่เดินออกมาด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง
“ท่านบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่ต้องการแม้แต่หน้าตนเองแล้ว แน่นอนว่าข้าก็ต้องเจรจากับท่านให้ดีๆ เสียหน่อย เพื่อเตือนท่านบรรพชนราตรีนิรันดร์ว่าดีร้ายอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตนเองเอาไว้บ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 33 กลั่นแกล้งบรรพชนราตรีนิรันด...
บรรพชนราตรีนิรันดร์จ้องมองบุรุษชุดขาวตรงหน้า ผ่านการลอบโจมตีเมื่อครู่ เขาก็เข้าใจว่าหากสู้กันตัวต่อตัว เขาก็ไม่สามารถต้าน ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้ลึกลับผู้นี้เอาไว้ได้
“น้องรอง” บรรพชนราตรีนิรันดร์เริ่มต้นติดต่อกับ ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านจัดการคนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นไม่ได้หรือ ต้องให้ข้าช่วยแล้วหรือ” บรรพชนนิจรัตติกาลถ่ายเสียงพูดเย้ยหยัน แม้จะบอกว่าคนทั้งสองเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย ผจญภัยมาด้วยกันตั้งแต่ก่อนหน้าสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่งเป็นระยะเวลายาวนาน แต่อุปนิสัยก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่
บรรพชนราตรีนิรันดร์มีความสันโดษกว่าอยู่พอสมควร เคล็ดวิชาลับก็ร้ายกาจกว่า ดูอย่างผิวเผินก็ยังใส่ใจรักษาหน้าตาอยู่ เพียงแค่ถึงช่วงเวลาวิกฤติเท่านั้นจึงจะสามารถฉีกหน้ากากลง จึงจะนับได้ว่าไร้ยางอายพอ ยามปกติทั่วไปก็ยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้
ส่วนบรรพชนนิจรัตติกาลนั้นไม่สนใจหน้าตาโดยสิ้นเชิงเลยจริงๆ! ถึงขนาดที่ทำการ ‘รังแก’ ‘สาป’ และอื่นๆ ต่อผู้อ่อนแออย่างเป็นธรรมชาติราวกับหายใจก็มิปาน
คู่นี้…
วิถีที่เชี่ยวชาญกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ผสานรวมกันขึ้นมาแล้วพลังรบก็แข็งแกร่งอย่างที่สุด
“อย่ามัวเปลืองน้ำลายอยู่เลย เจ้ามาให้เร็วที่สุดเถิด ร่วมมือกันจับเป็นร่างแยกนี้ของคนวิถีจิตฟ้าเอาไว้ให้ได้” บรรพชนราตรีนิรันดร์ถ่ายเสียงเร่งเร้า
“เขาเป็นยอดฝีมือวิถีอากาศ มีร่างแยกมากมาย”
“ขอเพียงแค่จับร่างแยกนี้แล้วผนึกวิญญาณของเขาเอาไว้ให้ได้ ทำให้เขามิอาจฆ่าตัวตายได้ ก็จะสามารถสอดแนมตัวตนของเขาได้อย่างแท้จริงแล้วล่ะ” บรรพชนราตรีนิรันดร์พูด “เจ้ากับข้าร่วมมือกันทำการลอบโจมตีก็ยังพอมีหวังที่จะจับกุมตัวเอาไว้ได้”
“ได้ แต่ว่าจะต้องส่งศิษย์คราวก่อนของท่านที่สู้ร่วมกันกับข้ามาให้เป็นศิษย์ของข้านะ”
“ได้สิ! แต่จะต้องจับกุมตัวมาให้สำเร็จล่ะ”
……
พวกเขาสองคนลอบวางแผนกันอย่างลับๆ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยืนอยู่กลางเวหา มองดูบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ผู้นั้น “บรรพชนราตรีนิรันดร์ ท่านเป็นถึงหนึ่งในสองบรรพชนของรัฐโบราณบรรพชน จำเป็นจะต้องลงมือกับผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอเหล่านั้นโดยไม่สนใจสถานะด้วยหรือไร”
“ข้าคิดอยากจะทำเช่นไร เจ้าสมควรที่จะตั้งคำถามอย่างนั้นหรือ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ยิ้มเย็น
“แน่นอนว่าข้ามีสิทธิ์ที่จะสงสัยอยู่แล้ว ท่านสังหารข้ามิได้ หรือแม้กระทั่งคุกคามข้าไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ข้ากลับสามารถคุกคามท่านได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยต่อไป
บรรพชนราตรีนิรันดร์สีหน้าเคร่งขรึม
เป็นถึงประมุขรัฐคนหนึ่ง… แน่นอนว่าต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชามากมาย และเขาย่อมไม่สามารถจัดการธุระต่างๆ มากมายก่ายกองได้ด้วยตนเองทั้งหมดอยู่แล้ว ก็จำเป็นต้องให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการ
ด้วยอุปนิสัยของคนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ รังเกียจความชั่วร้ายดุจคู่แค้น ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับมารเลยแม้แต่น้อย และตัวเขา บรรพชนราตรีนิรันดร์ก็มีอุปนิสัยเช่นนี้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มใหญ่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่มีนิสัยเป็นมารร้าย ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้นี้ก็จะทำการลอบสังหารจริงๆ ยอดฝีมือวิถีอากาศคนหนึ่งทำการลอบสังหาร รัฐโบราณบรรพชนก็ต้องมีเทพจักรวาลตายตกไปเป็นจำนวนมากพอดูเลยทีเดียว
“เจ้าคุกคามข้าอย่างนั้นหรือ” นัยน์ตาของบรรพชนราตรีนิรันดร์มีประกายหนาวเหน็บกะพริบวาบ
“บรรพชนราตรีนิรันดร์ ท่านจำเป็นด้วยหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ “ต้องการจะรวบรวมวิญญาณจริงๆ เชื่อว่าเดิมทีทั่วทั้งรัฐโบราณบรรพชนก็ใหญ่โตเหลือคณาอยู่แล้ว มีนักโทษที่ละเมิดกฎเหล็กของรัฐโบราณมากมาย นักโทษที่ถูกคุมขังเอาไว้เหล่านั้นถูกตัดสินโทษตายไปชุดแล้วชุดเล่า ท่านก็รวบรวมวิญญาณของพวกเขาเอาไว้ ข้าก็ย่อมไม่มีทางไปยุ่งวุ่นวายอยู่แล้วล่ะ”
บรรพชนราตรีนิรันดร์เงียบขรึม
วิญญาณของนักโทษหรือ
แน่นอนว่าเขาย่อมต้องรวบรวมเอาไว้ก่อนแล้ว! ด้วยอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของรัฐโบราณ จำนวนที่รวบรวมเอาไว้ก็มิใช่น้อย แต่เมื่อเทียบกับความต้องการของ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ แล้วก็ยังห่างกันมากมายเหลือเกิน
การเก็บรวบรวมครั้งใหญ่จำนวนนับล้านล้านจึงจะได้มาอย่างรวดเร็วกว่า!
“สิ่งที่เจ้าพูดมา…” บรรพชนราตรีนิรันดร์ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย “แม้จะมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ว่า…”
เอ่ยวาจายังมิทันจบ
ปัง! ปัง!
พลานุภาพอันน่าหวาดหวั่นสองขุม
ด้านหนึ่งคือรัศมีอันระยิบระยับจับตาไร้ที่สิ้นสุด ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือความมืดมืดที่ชวนให้คนใจสั่น
ความมืดมิดและรัศมีก็มีความสุดยอดราวกับฟ้าดินก็มิปาน
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกเพียงว่าโลกบริเวณรอบๆ เคลื่อนหมุน เคลื่อนหมุนอย่างต่อเนื่อง วิญญาณของตนก็ยังรู้สึกวิงเวียนอยู่บ้างภายใต้ ‘การเคลื่อนหมุน’ เช่นนี้ แต่ร่างเดิมของเขาเองก็เป็นยอดฝีมือเขตลวงโลกเทียมระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีโลหิตหัวใจมารดามังกรหมื่นสัมผัสหยดหนึ่งผสานรวมเข้าไปอีกด้วย วิญญาณแกร่งกล้าเพียงพอก็ยังสามารถรักษาสติอันแจ่มชัดที่เป็นพื้นฐานเอาไว้ได้
“เป็นการลอบโจมตี” ความคิดในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงวูบไหว
พรึ่บ
ร่างแยกร่างนี้กระจายตัวหายไปอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงราวกับฝุ่นผงก็มิปาน หายไประหว่างฟ้าดิน ไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
“อะไรกันนี่”
บุรุษผ้าคลุมดำอีกคนหนึ่งก็ค้นพบแล้ว ด้านบนผ้าคลุมของเขาดำสนิททั้งผืน สามารถมองเห็นลวดลายสีแดงโลหิตมากมายได้อย่างรางๆ เขาก็คือบรรพชนนิจรัตติกาลนั่นเอง
บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล
“พ่ายแพ้เสียแล้วหรือ” บรรพชนนิจรัตติกาลส่ายศีรษะเบาๆ “คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้วิญญาณแข็งแกร่งน่าดู ถึงกับสามารถรักษาสติอันแจ่มชัดเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ สามารถสลายร่างแยกนี้ไปได้ในทันทีเลยทีเดียว”
เพียงแค่มึนงงไปชั่วขณะเท่านั้นเอง
รอให้สติแจ่มชัดยิ่งกว่านี้ วิญญาณก็ต้องถูกผนึกแล้ว! ถึงแม้ว่าจะมีเคล็ดวิชาลับที่ซ่อนเร้นกลิ่นอายบางอย่างอยู่ แต่เมื่อถึงเวลาบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลต่างก็สามารถให้พละกำลังแทรกผ่านเข้าสู่วิญญาณได้โดยตรง แล้วค้นพบกลิ่นอายวิญญาณที่แท้จริงของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ได้อย่างง่ายดาย! แล้วอาศัยสิ่งนี้ค้นพบตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า
เหตุใดคนวิถีจิตฟ้าจึงได้โอหังเช่นนี้ สามารถทำให้เหล่ามารทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาสิ้นไร้หนทางเช่นนี้ได้เล่า
ก็เป็นเพราะว่าตัวตนของเขายังคงเก็บเป็นความลับ ไม่มีจุดอ่อนให้ตามได้อย่างไรเล่า!
“คราวนี้ล้มเหลวเสียแล้ว คราวหน้าก็ยิ่งไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลยน่ะสิ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ทั้งโมโหทั้งจนใจ
พรึ่บ
บุรุษชุดขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่า
“บรรพชนทั้งสองร่วมมือกันจัดการข้า ข้า คนวิถีจิตฟ้าช่างหน้าใหญ่เสียจริงเชียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหัวเราะฮ่าๆ ในเมื่อเขาเป็นผู้เริ่ม ‘กระตุ้น’ ยืนหยัดขึ้นมา! ก็ย่อมไม่มีทางไม่ระมัดระวังอยู่แล้ว!
ถึงแม้ว่าร่างแยกทั้งเก้าผสานรวมกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ เขาก็ย่อมมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าเขายืนหยัดขึ้นมาก็เป็นเป้าหมายเสียแล้ว!
ใครจะไปรู้ว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์จะมีกลเม็ดอย่างไรบ้าง อย่างเช่นร่วมมือกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานสองสามคนทำการล้อมจับ หรืออย่างเช่น ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าผู้นั้นมาร่วมวงด้วยก็เป็นได้มิใช่หรือ
เขามิอาจพ่ายแพ้ได้!
ตอนนี้เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนเลย
ดังนั้นจึงได้ส่งแค่ร่างแยกธรรมดาๆ มาร่างหนึ่ง มิได้พกพาสมบัติล้ำค่าใดๆ มาด้วยเลย
ร่างแยกของเขามีเกินกว่าหมื่นร่าง ร่างแยกธรรมดาๆ ร่างหนึ่งมา สลายตัวไปแล้วก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลย
“สองท่านหรือ ยังต้องการจะจัดการข้าอยู่หรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็แย้มยิ้มน้อยๆ พรึ่บ ร่างแยกนี้ของเขาสลายตัวไปอีกครั้ง
จากนั้น…
ก็มีบุรุษชุดขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่าอีก
“เป็นถึงผู้บำเพ็ญวิถีอากาศระดับสุดยอด มีร่างแยกมากมายนัก สลายไปร่างหนึ่งก็มีมาอีกร่างหนึ่ง ไม่จบไม่สิ้นหรอก! ความเร็วในการสลายตัวของข้ายังสู้ความเร็วในการบำเพ็ญร่างแยกของข้ามิได้เลย” ร่างแยกที่ปรากฏขึ้นใหม่ของตงป๋อเสวี่ยอิงร่างนี้ยิ้มตาหยีมองบรรพชนนิจรัตติกาลและบรรพชนราตรีนิรันดร์ที่อยู่ตรงหน้า
บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาลประสานสายตากันคราหนึ่ง
คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้…
ไม่เหมือนกับขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไป เขาเป็นขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ! ร่างแยกมากมายเหลือเกิน! พวกเขาคิดจะจับเป็นแล้วผนึกเอาไว้อย่างนั้นหรือ แต่วิญญาณของอีกฝ่ายดูเหมือนจะแกร่งกล้าเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้การร่วมมือลอบโจมตีอย่างสุดกำลังของพวกเขาก็ยังไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้เลย พวกเขาสองคนก็ยิ่งหมดหนทางแล้ว
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นั่น แล้วด้านข้างก็มีบุรุษชุดขาวเดินออกมาจากความว่างเปล่าอีกคนหนึ่ง หยิบเอาสุราไหหนึ่งออกมาแล้วเงยหน้าดื่มสุรา
สีหน้าของบรรพชนราตรีนิรันดร์เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันใด
สุราไหนี้…
อยู่ภายใน ‘เมืองราตรีนิรันดร์’ แห่งรัฐโบราณบรรพชน เมื่อสักครู่นี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ส่งร่างแยกร่างหนึ่งสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาแฝงตัวเข้าไปยังห้องเงียบที่บรรพชนราตรีนิรันดร์ใช้บำเพ็ญตามปกติ แล้วคว้าเอาสุรามาไหหนึ่ง ก่อนจะมายังที่แห่งนี้ในทันที
“ข้าจะสังหารมารจำนวนหนึ่งในรัฐโบราณบรรพชนก็เป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสองคนต่างก็ถือจอกสุราขึ้นดื่มพลางเอ่ยว่า “แน่นอนว่าข้าย่อมมิได้มีเจตนาจะเป็นอริกับท่านบรรพชนทั้งสองเลย ข้าก็แค่นึกอยากจะช่วยเหลือผู้บำเพ็ญอ่อนแอที่น่าสงสารเหล่านั้นก็เท่านั้นเอง ท่านบรรพชนทั้งสองก็ช่วยมีความกรุณา มีจิตเมตตา ให้หนทางรอดแก่พวกเขาสักทางหนึ่งเถิด การรวบรวมวิญญาณหรือ ก็ยังมีหนทางอื่นอยู่ ก็แค่สิ้นเปลืองเวลาสักหน่อยก็ใช้ได้แล้วนี่”
บรรพชนนิจรัตติกาลและบรรพชนราตรีนิรันดร์ประสานสายตากัน
ในใจทั้งเดือดดาลทั้งจนใจ
นี่ก็คือเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน เผชิญหน้ากับความจนใจของเหล่าพญามารผู้ไร้เทียมทานบนดินแดนจิตโลกาบางคน บรรดาพญามารผู้ไร้เทียมทานเหล่านั้นต่างก็หยิ่งทระนงกันเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่กล้าไปก่อให้เกิดภัยพิบัติในหกรัฐโบราณกันเป็นประจำ!
เพื่ออะไรน่ะหรือ
ก็เพราะเหล่าพญามารผู้ไร้เทียมทาน อาศัยการที่บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังฆ่าพวกเขาไม่ตาย และการที่บุคคลผู้ไร้เทียมทานมีภารกิจในมือมากมาย ย่อมไม่กล้าฉีกหน้าพวกเขาอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ผู้นี้เป้นปฏิปักษ์ต่อเหล่าพญามารผู้ไร้เทียมทาน เขานึกอยากจะช่วยเหลือผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอเหล่านั้น ว่ากันตามจริงแล้วเขาก็มีความคล้ายคลึงกันกับเจ้าเมืองอนันต์เป็นอย่างยิ่ง! เจ้าเมืองอนันต์ก็กำลังปกปักรักษา รักษาความเป็นระเบียบของดินแดนจิตโลกา รักษาให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเพิ่มจำนวนกันตามปกติ แต่เห็นได้ชัดว่า ‘ความเป็นระเบียบ’ ในสายตาของเจ้าเมืองอนันต์นั้นกินพื้นที่กว้างใหญ่กว่า แม้ว่าเมืองสักแห่งหนึ่งจะถูกสังหารหมู่ก็ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องการจะรักษาความเป็นระเบียบในความคิดของเขาเช่นเดียวกัน!
ความเป็นความตาย การต่อสู้ และการตกต่ำของการบำเพ็ญตามปกตินั้นเขาก็ย่อมไม่ใส่ใจอยู่แล้ว
แต่การสังหารหมู่นับล้านล้านชีวิตนั้น…ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างแน่นอน!
“ทำอย่างไรดีเล่า” บรรพชนนิจรัตติกาลถ่ายเสียงพูดกับบรรพชนราตรีนิรันดร์ “ราตรีนิรันดร์ พวกเรายังไม่รู้ความเป็นมาของคนวิถีจิตฟ้าผู้นี้อย่างแน่ชัด คุกคามเขาไม่ได้หรอก สำหรับการรวบรวมวิญญาณ ก่อนหน้านี้ท่านก็คงจะรวบรวมอย่างเงียบๆ มาเนิ่นนานมากแล้วกระมัง”
“รวบรวมมากว่าร้อยล้านปีแล้วล่ะ ข้าก็ระมัดระวังมากแล้วนะ แค่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ก็ยังถูกค้นพบเข้าเสียแล้ว” บรรพชนราตรีนิรันดร์ถ่ายเสียงพูด
“ท่านรวมรวมมากว่าร้อยล้านปีเพิ่งจะถูกค้นพบ เช่นนั้นก็รับปากเขาไปชั่วคราว แอบรวบรวมอย่างเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นไปก่อนก็แล้วกัน! แม้กระทั่งยามที่รวบรวมก็ต้องพยายามอย่างสุดกำลังอย่าให้คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ค้นพบได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับท่าน” บรรพชนนิจรัตติกาลถ่ายเสียงพูด “ขอเพียงแค่ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เจียมเนื้อเจียมตัวมากขึ้นสักหน่อย…คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้อยากจะค้นให้พบก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นแล้วล่ะ”
“ก็คงได้แต่เป็นเช่นนี้แล้วสินะ” บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยพึมพำ
ในใจเขาก็รู้สึกเศร้า แต่กลับจนใจไม่รู้จะทำเช่นไรได้
เผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าที่ไร้ซึ่งความกังวลแม้แต่น้อยพรรค์นี้ จะฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย อีกทั้งยังมีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วจะทำเช่นไรได้เล่า
“วางใจเถิด เขาไม่สามารถรักษาตัวตนเอาไว้เป็นความลับอย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้ตลอดไปหรอก ในท้ายที่สุดก็ต้องเปิดเผยตัวตนอยู่ดี” บรรพชนนิจรัตติกาลถ่ายเสียงพูด “ตอนนี้พวกเราก็อดทนกันไปก่อน รอให้ถึงเวลาที่เขาเปิดเผยตัวตน แล้วค่อยเอาคืนจากเขา! ไม่เพียงแค่พวกเราเท่านั้น เหล่ามารจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกทำให้ตื่นตระหนก เมื่อถึงเวลาก็จะต้องเอาคืนอย่างหนักหน่วงอยู่แล้ว รอให้ถึงวันที่ตัวตนของเขาเปิดเผย เขาก็จะได้เข้าใจว่าเหตุใดแต่ไหนแต่ไรที่ดินแดนจิตโลกาจึงไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้มาก่อนเลย”
“อืม” บรรพชนราตรีนิรันดร์พยักหน้า “ก็ทนเอาหน่อยแล้วกัน”
บำเพ็ญมาอย่างยาวนานไร้ที่สิ้นสุด พวกเขาก็มีความอดทนกันเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันที่คนวิถีจิตฟ้าเปิดเผยตัวตนวันนั้น
……………………………
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 34 หลอมอาวุธคละถิ่นสำเร็จ
เผชิญหน้ากับบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แย้มยิ้มน้อยๆ แล้วค้อมกายลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะหายตัวไปกลางอากาศ
เขาจากไปและแสดงความเคารพก็เพื่อไว้หน้า ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล’ เขามองออกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์มีจิตคิดล่าถอยแล้ว ด้วยตัวตนของอีกฝ่ายย่อมมิอาจเอ่ยปากยอมแพ้อย่างแน่นอน ในทางกลับกัน เขา ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ยังค้อมกายแสดงความเคารพแล้วจากไป ให้อีกฝ่ายเหนือกว่าขั้นหนึ่ง
“พวกบรรพชนราตรีนิรันดร์เป็นผู้นำของรัฐโบราณแห่งหนึ่ง แต่ตัวตนของข้า คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ กลับไม่มีจุดบกพร่องเลยแม้แต่น้อย แต่ก็มิอาจดูหมิ่นพวกเขามากจนเกินไปนัก เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาโกรธเคือง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้
ถ้าหากเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานเช่นเดียวกัน ดูหมิ่นกันด้วยวาจาก็แล้วไปเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นบุคคลในระดับเดียวกัน
แต่ตอนนี้ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ของเขาก็ด้อยกว่า ‘บุคคลผู้ไร้เทียมทาน’ อยู่มากนัก พลังยุทธ์ไม่สู้คน คราวนี้อีกฝ่ายต้องอดทน เดิมทีก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ถ้าหากดูหมิ่นตามใจชอบ ก็ยากที่จะให้พวกบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่บ้าคลั่งอาละวาดใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา!
“ไป”
บรรพชนนิจรัตติกาลหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วก็หายตัวไปมิอาจเห็นได้อีก
บรรพชนราตรีนิรันดร์มองออกไปไกลอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง คราวนี้ในที่สุดเขาก็ถูกกดดันจนต้องยอมก้มหัวเป็นการชั่วคราว แล้วเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที
……
ผู้ที่ได้เห็นการต่อสู้นี้มีน้อยนิดยิ่งนัก แม้กระทั่งเทพจักรวาลส่วนใหญ่ก็มิได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้
ก็มีเพียงแค่บุคคลผู้ไร้เทียมทานและบุคคลขั้นสุดยอดที่มีเพียงน้อยนิด ที่เพราะว่ารู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นของการต่อสู้ จึงได้ ‘ชมดู’ การต่อสู้ครั้งนี้อยู่ห่างๆ! ถึงแม้ว่าจำนวนของผู้แกร่งกล้าที่ชมดูการต่อสู้ครั้งนี้จะน้อยนิดเป็นที่สุด แต่ผลกระทบกลับยิ่งใหญ่เหลือเกิน
“บรรพชนทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนร่วมมือกันลอบจัดการก็ยังไม่สามารถทำให้คนวิถีจิตฟ้าเปิดเผยตัวตนได้เลย หลังการต่อสู้ครั้งนี้ ภายในระยะเวลาอันสั้น ก็ยากยิ่งที่จะสั่นคลอนคนวิถีจิตฟ้าผู้นี้แล้วล่ะ”
“อืม บรรดามารเหล่านั้นตั้งตารอให้คนวิถีจิตฟ้าเปิดเผยตัวตน เกรงว่าคงต้องรอนานมากเสียแล้วล่ะ”
“ช่างร้ายกาจเสียจริง บรรพชนทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนร่วมมือกันขึ้นมาก็น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด พวกเขาสองคนร่วมมือกันก็ยังจัดการคนวิถีจิตฟ้ามิได้ เกรงว่าคงต้องเป็นรัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุจึงมีหวังที่จะจัดการคนวิถีจิตฟ้าได้กระมัง เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็ให้ความสำคัญกับสถานะ คงมีไม่กี่คนหรอกที่จะไม่รักษาหน้าตาแล้วทำการลอบโจมตีเหมือนพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์”
“ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ คนวิถีจิตฟ้า ไร้กังวล!”
แต่ละฝ่ายต่างก็ทำการคาดการณ์ออกมา
บุคคลผู้ไร้เทียมทานทำการลอบโจมตีขั้นสุดยอดที่พลังยุทธ์อ่อนแออีกทั้งยังไม่มีสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ เดิมทีก็ไร้ยางอายอยู่พอสมควรแล้ว
ร่วมมือลอบโจมตีหรือ
ก็ยิ่งหน้าไม่อายเข้าไปใหญ่แล้ว
ก็มีแต่สองท่านนั้นของรัฐโบราณบรรพชนที่สามารถทำเช่นนี้ได้อย่างสบายๆ นิสัยอย่าง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ หรืออย่าง ‘จักรพรรดิเทพผลาญโลกา’ หากให้พวกเขาทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง! นอกเสียจากว่าจะมีผู้ที่ส่งผลกระทบไปถึงความหวังในการบรรลุ ‘คละถิ่น’ ของพวกเขาปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจึงจะไม่เสียดายสิ่งใด อย่างเช่นสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่งและสงครามประเทศโบราณครั้งที่สอง
ในยามปกติ คนส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสำคัญกับสถานะและหน้าตากันเป็นอย่างยิ่ง
*******
ชายหนุ่มหล่อเหลางดงามในอาภรณ์ทองงามหรูผู้สวมมงกุฎไว้บนศีรษะนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ตามลำพัง ถือสุราผลไม้สีแดงเลือดหมูเอาไว้ เขามองออกไปไกล สายตาของเขามองเห็นลำดับเหตุการณ์การต่อสู้เมื่อครู่ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
“ตั้งแต่กลับมาถึงยังดินแดนจิตโลกาก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาโดยตลอด” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามเอ่ยด้วยเสียงเบาทุ้มต่ำ มุมปากผุดรอยยิ้มขึ้นมา “ก็มีแต่หุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้นจึงจะทำให้ข้าได้รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายของวันคืนเมื่อครั้งกระโน้นได้ใหม่อีกครั้ง”
หุบเขาเขี้ยวหัก
สถานที่อันตรายอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา ซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำนวนหนึ่งถูกโยนเอาไว้ที่นั่นทั้งยังมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่ตายตกอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
กลับมาถึงบ้านเกิด สำหรับราชันย์อนธการอมตะแล้ว ก็มีเพียงแค่หุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้นที่ยังมีแรงดึงดูดต่อเขาบ้าง
“หยวน”
“ข้าล้มเหลวเสียแล้ว ก็จะไม่ให้โอกาสกับข้าอีกแล้วหรืออย่างไรกัน” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามเงยหน้าขึ้นมอง สายตาทะลุผ่านผนังโถงตำหนัก ทะลุผ่านอากาศอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ แล้วก็ได้เห็นห้วงมิติระดับที่สูงกว่าอย่างรางๆ
เขาไม่ยอมจำนนหรอก
ไม่ยอมจำนนใจจริงๆ!
“ยอมไม่ได้จริงๆ ก็แค่มดปลวกในกรงขังตัวหนึ่งเท่านั้นเองนะ” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามเอ่ยเสียงต่ำ
“ราชันย์อนธการ ท่านก็ได้เห็นแล้วนี่ขอรับ คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นยากที่จะไปพัวพันด้วยจริงๆ ดังนั้นยังขอให้ท่านราชันย์อนธการโปรดขยายเวลาให้อีกสักหน่อยเถิด ภายใต้ความจำกัดของระยะเวลาแต่เดิมนั้นข้าไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ นะขอรับ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ถ่ายเสียงพูด
มุมปากของชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามผุดรอยยิ้มเย็น “ราตรีนิรันดร์ ตอนนั้นเจ้าเองก็ได้ให้คำสัตย์สาบานเอาไว้แล้ว ตัวเองก็ต้องยอมรับสิ! สำหรับเวลาน่ะหรือ ข้าอนุญาตให้เจ้าได้มากที่สุดเป็นระยะเวลาสองเท่าของกำหนดเวลาเดิม แต่เมื่อใดที่เวลาขยายออกไปถึงสองเท่า ผลประโยชน์ที่ข้ารับปากเอาไว้ก็ต้องลดลงครึ่งหนึ่งล่ะนะ”
บรรพชนราตรีนิรันดร์เงียบงันไปในทันที
“แน่นอน ถ้าหากทำสำเร็จภายในระยะเวลาเท่าเดิม ก็จะเหมือนกับที่ตกลงไว้แต่แรกอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามพูด
เงื่อนไขของเขาก็นับได้ว่าผ่อนคลายแล้ว
อ้างอิงตามเงื่อนไขเดิม เมื่อใดที่เวลาน่าพึงพอใจ เช่นนั้นก็เป็นการผิดคำสาบานเสียแล้ว
ตอนนี้ขยายเวลาออกไปถึงสองเท่า ก็ยังอยู่ในขอบเขตของคำสาบานอยู่
“เอาล่ะ ข้าเห็นด้วย” บรรพชนราตรีนิรันดร์รับคำ
ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นนัยน์ตาทั้งสองก็มีเปลวเพลิงสีดำลุกโชน เขาเอ่ยด้วยเสียงเบาทุ้มต่ำว่า “คนวิถีจิตฟ้าหรือ น่าสนใจทีเดียว จะคุกคามเหล่ามารทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยกำลังของตนเพียงคนเดียว จะสิ้นเปลืองแรงไปหน่อยหรือไม่ ตรวจสอบตัวตนของเขาแล้วหรือ”
สำหรับเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกา กลิ่นอายที่ปลอมแปลงขึ้นมาของคนวิถีจิตฟ้านั้นไร้ซึ่งจุดบกพร่อง แต่สำหรับราชันย์อนธการอมตะที่ประสบกับภยันตรายจำนวนนับไม่ถ้วนจากภายนอกมาแล้วกลับมีวิธีสอดแนมได้
“โง่เง่านัก”
ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามขมวดคิ้วมุ่น “พละกำลังที่สะสมมาอย่างยากลำบาก จะมาใช้กับเรื่องที่เพียงเพราะ ‘ใคร่รู้’ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน ดูท่าทางกลับมายังดินแดนจิตโลกาแล้วจะสุขสบายมานานเกินไป ไม่มีอันตราย บวกกับการตัดโอกาส ความคิดจิตใจของข้าจึงได้เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว ความคิดจิตใจเช่นนี้ยังนึกอยากจะไปศึกษา ‘การใช้พลังทำลายกฎ’ ที่เจ้าเมืองหลัวอาศัยความทุ่มเทพากเพียรพยายามอย่างมหาศาลอีกหรือ”
สลัดความคิดที่อยากจะสอดแนมตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าทิ้งไปจากสมองอย่างรวดเร็ว
สำหรับราชันย์อนธการอมตะแล้ว ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ก็เป็นเพียงแค่ความสนุกเท่านั้น ไม่มีการคุกคามเลยแม้แต่นิดเดียว
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
เช่นเดียวกันกับที่สุดยอดผู้แกร่งกล้าจำนวนมากตระหนักดี ถึงแม้ว่าการเผชิญหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนจะมีผู้แกร่งกล้าที่ได้เห็นเพียงน้อยนิดอย่างยิ่ง แต่ผลกระทบก็ยังแผ่ขยายออกมาอยู่ดี
ความเป็นระเบียบทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
แม้กระทั่งสถานที่แต่ละแห่งที่มารมารวมตัวกันก็ยังเก็บเนื้อเก็บตัวลงไปเป็นอันมาก! ถึงแม้ว่าจะยังมีเรื่องโหดร้ายทารุณเกิดขึ้นอยู่บ้างเช่นเคย แต่ก็ยังห่างไกล มิอาจเทียบได้กับการสังหารหมู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงห้ำหั่นกับบรรดาผู้แกร่งกล้าที่โหดเหี้ยมเหล่านั้น ‘วิธีการคัดกรองของวิถีมาร’ เขาก็มิได้สอดมือยุ่งเกี่ยวเลย
ในระหว่างที่กาลเวลาเคลื่อนผ่านไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงอาศัยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าออกมาสังหารกำจัดมารที่สังหารหมู่ตามอำเภอใจบ้างเป็นครั้งคราว
มีผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่ตลอด
มีผู้ที่คิดว่าคงโชคดีรอดพ้นได้อยู่ตลอด
มีผู้ที่ระงับความบ้าคลั่งในจิตใจเอาไว้มิได้อยู่ตลอด
กำจัดให้สิ้น!
เพียงพริบตาก็ผ่านไปหมื่นล้านปีแล้ว
สำหรับเทพจักรวาลแล้วระยะเวลาเล็กน้อยเท่านี้ก็เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาปลีกวิเวกระยะสั้นช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เป็นระยะเวลาบำเพ็ญที่ค่อนข้างสั้น แม้กระทั่งอาศัย ‘บุปผาโลกา’ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความก้าวหน้าในด้านวิถีอากาศมากพอสมควรอีกครั้ง ถึงขนาดที่ทดลองขัดเกลากระบวนสังหารที่ห้าอย่างต่อเนื่อง แต่ระยะเวลา ‘ผ่านไปหมื่นล้านปี’ นี้ สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…
อาวุธคละถิ่น ในที่สุดก็หลอมได้สำเร็จแล้ว!
“ฟึ่บๆๆ”
ที่กลางห้องเงียบ
กลิ่นหอมแผ่กระจาย ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ที่เบื้องหน้าเขา หอกยาวสีดำสนิทเล่มหนึ่งแขวนลอยอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนว่าจะเยือกเย็นและธรรมดา แต่ถ้าหากรับสัมผัสอย่างละเอียดแล้วกลับรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างมิอาจอธิบายได้! นั่นคือพลังที่มาจากโลกระดับขั้นที่สูงขึ้นอีก วัสดุหลักที่สำคัญที่เป็นหัวใจของอาวุธคละถิ่นก็คือ ‘เม็ดทรายอลวน’
เม็ดทรายอลวนหนึ่งแสนชั่ง ปล้นชิงเม็ดทรายอลวนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาไปกว่าครึ่ง
โชคดีที่ ‘เม็ดทรายอลวน’ สูงส่งเกินไป เป็นมวลสารระดับขั้นที่สูงขึ้นอีก กลับทำให้เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานมิอาจใช้ประโยชน์ได้ รู้ดีว่าความเป็นมาไม่ธรรมดา ราคาก็ถูกกำหนดไว้อย่างเรียกได้ว่าแพงลิบลิ่ว แต่ไม่มีวิธีเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยตำราโลกเทียมก็ยังได้มาไว้ในครอบครองจนได้
หล่อหลอมอย่างยากลำบากทีละขั้นละตอนมาเป็นเวลาหมื่นล้านปี ในที่สุดตอนนี้ก็มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายแล้ว
“สวบ”
ของเหลวสีม่วงทองกลางอากาศสายหนึ่งเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นค่ายกลแห่งหนึ่งกลางอากาศ ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงนั้นเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง
ช่วยไม่ได้ ค่ายกลระดับสูงเกินไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้แต่อาศัยเจ็ดกระบวนคละถิ่น ภาพค่ายกลที่มีวิธีการหลอมติดมาด้วย ค่อยๆ ทำการควบคุมอย่างช้าๆ ถ้าหากให้เขาทำออกมาทั้งหมดในคราวเดียวนั้นเขาก็มิอาจทำได้
กว่าหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ผ่านไป ค่ายกลที่แปรเปลี่ยนจากของเหลวสีม่วงทองจึงเสร็จสมบูรณ์ เมื่อค่ายกลสำเร็จ ทั้งหมดก็กึ่งโปร่งแสง วับๆ แวมๆ คล้ายว่าจะอยู่ภายในโลกกำเนิด แล้วก็คล้ายว่าจะเชื่อมต่อกับมิติที่สูงกว่านอกโลกกำเนิด
“พรวด”
ค่ายกลนี้พุ่งเข้าใส่หอกยาวเล่มนี้ตามการควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง
ในขณะที่พุ่งเข้าไปนั้นเอง
รัศมีค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบขึ้นบนหอกยาวในทันที พลังอันน่าหวาดหวั่นพุ่งปะทะออกไปทุกทิศทุกทาง ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าต้านทานอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่พลังของการปะทะนี้ยังพุ่งทะลุการต้านทานทั้งหมด ปะทะบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ร่างกายที่แกร่งกล้าของเขายังรู้สึกได้ถึงแรงปะทะอันน่าหวาดหวั่น ถูกทำให้ตื่นตระหนกเสียจนเหินลอยถอยออกไปอย่างไม่รู้ตัวแล้วกระแทกเข้ากับผนังห้องเงียบ
โชคดีที่ห้องเงียบมีค่ายกลคุ้มกันอยู่อย่างหนาแน่น ด้วยเป็นถึงหัวใจสำคัญของทั้งเมืองหิมะเหิน จึงยังสามารถระงับกลิ่นอายที่ระเบิดออกมานี้เอาไว้ได้
หลังจากที่เก็บกลิ่นอายของหอกยาวสีดำสนิทเล่มนี้เอาไว้แล้ว ความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แทรกผ่านเข้าไปในทันที อาศัยเคล็ดวิชาเริ่มต้นปลอบประโลมอาวุธคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นเล่มนี้ อาวุธคละถิ่น เดิมทีก็เป็นอาวุธที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับที่สูงกว่าใช้งานอยู่แล้ว แต่ ‘หยวน’ ก็พิจารณาให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นการเฉพาะ หลอมอาวุธคละถิ่นที่เรียบง่ายที่สุดออกมาโดยอาศัยเม็ดทรายอลวนที่ธรรมดาที่สุดและพบเห็นได้บ่อยที่สุดของห้วงมิติระดับที่สูงกว่าเป็นพื้นฐาน
สำหรับวิธีการหลอมนั้นก็เรียบง่ายอย่างที่สุด
มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้น…จึงจะสามารถให้เทพจักรวาลใช้การอาวุธคละถิ่นเช่นนี้ได้
แม้กระทั่งอย่างเช่น ‘สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูง’ ก็เป็นสิ่งที่หยวนมอบให้ หากมิใช่เขามอบให้ ขั้นสุดยอดจะสามารถมีอาวุธระดับนี้ได้อย่างไร อันที่จริงแล้ว ‘สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูง’ ก็เพียงแค่แฝงเอาไว้ด้วยความเร้นลับของระดับคละถิ่นเท่านั้นเอง
“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว หลอมสำเร็จเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นที่แฝงอยู่ในหอกยาวเล่มนี้ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความยินดี
“หอกยาวเล่มนี้ จะช่วยให้ข้าเหยียบย่างไปถึงวิถีคละถิ่นได้ ก็เรียกมันว่า…ชิงเหอ ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
ชิงเหอ
ชื่อนี้หมายความถึงเมืองชิงเหออันเป็นบ้านเกิด ทั้งยังหมายความถึงภรรยาและบุตรชายบุตรสาว นั่นจึงจะเป็นบุคคลที่สำคัญที่่สุดในชีวิตเขา
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 35 ขั้นสุดยอดคนใหม่
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปถึงตรงหน้าหอกยาวสีดำสนิทที่แขวนลอยอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วยื่นมือออกไปจับบนด้ามหอก
มือกุมเอาไว้แล้วก็เกิดความรู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีความรู้สึกวิญญาณสั่นสะท้านอีกด้วย คล้ายกับว่าวิญญาณเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกับหอกยาว
“อาวุธเทพคละถิ่น คิดไม่ถึงว่าข้าจะได้ครอบครองอาวุธเทพคละถิ่นเล่มหนึ่งด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงสองตาเปล่งประกาย มองดูทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา มีสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงอยู่สิบกว่าชิ้น รวมกับชิ้นที่สูญหายไปหลังจากที่บุคคลผู้ไร้เทียมทานตายตกไปอีกจำนวนหนึ่งก็มีอยู่เพียงแค่ยี่สิบกว่าชิ้นเท่านั้นเอง! ส่วนอาวุธเทพคละถิ่นน่ะหรือ ต้องรู้ไว้ว่า ดูจากความยากในการได้มา เคล็ดสืบทอดลับขั้นสูงนั้นได้มายากกว่าสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูง
และอาวุธเทพคละถิ่นก็พบเห็นได้ยากยิ่งกว่าเคล็ดสืบทอดลับขั้นสูงเสียอีก
เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกาสะสมเม็ดทรายอลวนเอาไว้ไม่น้อยเป็นระยะเวลายาวนาน แต่กลับมีเพียงแค่เขา ตงป๋อเสวี่ยอิง เพียงคนเดียวเท่านั้นที่สะสมเอาไว้อย่างมหาศาล! อ้างอิงจากสิ่งนี้ก็มีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากว่าอาวุธเทพคละถิ่นบนดินแดนจิตโลกาก็มีแค่ชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
“พรึ่บ”
นั่งขัดสมาธิลงไป
หอกยาววางอยู่บนหน้าตัก ด้านหนึ่งจิตวิญญาณก็ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณหอกยาวไปพลาง อีกด้านหนึ่งก็ค่อยๆ หลอมแปรหอกยาวไปพลาง
เดิมทีการหลอมแปรอาวุธเทพคละถิ่นก็ยากเย็นอยู่แล้ว ว่ากันตามเหตุผล เทพจักรวาลก็ไม่มีหวังที่จะสามารถหลอมแปรได้ แต่โชคดีที่ทุกชิ้นส่วนของหอกยาวเล่มนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงหลอมขึ้นเองกับมือ กระบวนการหลอมที่ยุ่งยากซับซ้อนนั้นอันที่จริงแล้วก็ได้ผ่านการ ‘หลอมแปรตั้งแต่ก้าวแรก’ มาแล้ว ตอนนี้การหลอมแปรอีกครั้งก็กลับง่ายดายขึ้นเป็นอย่างมาก
ระยะเวลาเพียงแค่สามร้อยปี หอกชิงเหอก็ได้ดังใจทั้งหมดแล้ว
“เดิมทีข้าสามารถสำแดงได้เพียงแค่สามกระบวนแรกของเจ็ดกระบวนคละถิ่นเท่านั้น ตอนนี้อาศัยหอกชิงเหอก็สามารถสำแดงห้ากระบวนแรกได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่มีหอกชิงเหอ ต่อให้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ตนเองก็สามารถสำแดงได้ถึงเพียงแค่ขั้นนี้เท่านั้น
“ต้องศึกษาให้ดีๆ”
……
ถึงแม้ว่าพลังยุทธ์จะเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย แต่ ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่นก็เป็นเพียงแค่ก้อนกรวดที่ขวางเท้าก้อนหนึ่งเท่านั้น ให้เขาหยั่งรู้วิถีอากาศและพลังคละวิถีให้ดีจะดีกว่า
……
เรื่องที่ตงป๋อเสวี่ยอิงหลอม ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่นออกมา ไม่มีผู้ใดบนดินแดนจิตโลกาล่วงรู้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนจิตโลกาอันกว้างใหญ่ไพศาลก็หมุนไปข้างหน้าเช่นเดิม การปรากฏตัวของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ก็ทำให้ความเป็นระเบียบของดินแดนจิตโลกาดีขึ้นเป็นอย่างมากแล้ว เรื่องของ ‘การสังหารหมู่ครั้งใหญ่’ ก็น้อยลงไปกว่าเมื่อก่อนเป็นร้อยเท่า นี่ก็คือพลังการยับยั้งของผู้แกร่งกล้าไร้เทียมทานคนหนึ่ง
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกสามแสนล้านปีแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อยู่ระหว่างการกบดานบำเพ็ญเช่นเดิม แม้กระทั่งอาศัยการตระหนักรู้ของบุปผาโลกา และ ‘หอกชิงเหอ’ อาวุธเทพคละถิ่นสำแดงการหยั่งรู้บางส่วนของคละถิ่นกระบวนที่ห้า…ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคิดค้นกระบวนสังหารที่ห้าของยุทธวิธีหิมะเหินออกมาได้แล้วด้วย พลานุภาพน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการหลบหนีที่ล้ำเลิศเป็นที่สุด ประสิทธิภาพในการหลบหนีสามารถนับได้ว่าเป็นการผันแปรของ ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ เลยทีเดียว
อันที่จริงศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังค่อนข้างอ่อนแออยู่
หากเป็นศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาที่ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดสำแดงออกมา เช่นนั้นก็ลึกลับและสมบูรณ์แบบมากมายแล้ว ไม่เพียงแต่ตนเองจะสามารถหลบหนีได้เท่านั้น แต่ยังสามารถพาสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไปได้ด้วย!
วันนี้
ข่าวอย่างหนึ่งถูกส่งมาถึงตงป๋อเสวี่ยอิง
“อะไรนะ จอมเคารพกระบี่ปีศาจบรรลุไปถึงขั้นสุดยอดแล้วอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นข่าวนี้แล้วก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง “รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
จอมเคารพกระบี่ปีศาจเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับตนตอนอยู่ที่วังเทพจิตโลกา แม้กระทั่งบรรพชนราตรีนิรันดร์ลงมือกับตน จอมเคารพกระบี่ปีศาจก็เคยไปขัดขวางอย่างสุดกำลัง เป็นมิตรสหายที่ดีต่อตนอย่างแท้จริง เพียงแต่ว่า…
จอมเคารพกระบี่ปีศาจเป็นจอมเคารพถือกำเนิดใหม่คนหนึ่งของสกุลชางแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ทั้งยังเป็นจอมเคารพที่เยาว์วัยที่สุดคนหนึ่งของรัฐโบราณคิมหันตวายุอีกด้วย
เยาว์วัยเช่นนี้แต่กลับเหนือกว่าจอมเคารพคนใดๆ เหนือกว่ามหาเคารพฝูอี่ มหาเคารพซือเทียน และคนอื่นๆ ก้าวสู่ขั้นสุดยอดได้สำเร็จก่อนใคร
“ขั้นสุดยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเสียงต่ำ
เขาตรากตรำบำเพ็ญด้วยตนเองจึงได้เข้าใจว่าการจะไปถึงขั้นสุดยอดนั้นยากเย็นเพียงใด
เขาไปถึงแปดสายผสานรวมก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งยังมีบุปผาโลกา มีเคล็ดสืบทอดลับขั้นสูง การตระหนักรู้ของตนก็ยังสูงเป็นที่สุด แต่ก้าวสุดท้าย ตอนนี้ตนเองก็คิดค้นห้ากระบวนสังหารออกมาได้! สั่งสมอย่างแน่นหนาหาใดเปรียบ แต่ก็ยังรู้สึกว่าขาดอยู่อีกเล็กน้อย ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อใดจึงจะสามารถก้าวออกจากก้าวสำคัญก้าวนี้ได้เสียที
มหาเคารพฝูอี่ ประมุขรัฐเมฆทักษิณา มหาเคารพซือเทียนและคนอื่นๆ ต่างก็ติดอยู่ที่จุดคอขวดกันทั้งสิ้น
ดูที่ดินแดนจิตโลกา! นอกจากบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ขั้นสุดยอดคนอื่นๆ คงมีจำนวนราวๆ สองหยิบมือเท่านั้น
จำนวนนี้น้อยนิดเพียงใด
รัฐโบราณคิมหันตวายุ นอกจากบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามท่าน ก็ไม่มีขั้นสุดยอดอยู่อีกแล้ว! จอมเคารพกระบี่ปีศาจเป็นขั้นสุดยอดเพียงคนเดียวที่ถือกำเนิดขึ้นในรัฐโบราณคิมหันตวายุ นอกเหนือจากบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามท่าน ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
“พิธีฉลองขั้นสุดยอดหรือ จอมเคารพกระบี่ปีศาจดีต่อข้าเป็นที่สุด จะต้องเลือกของขวัญสักหน่อยแล้วรีบไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
……
ในที่สุดรัฐโบราณคิมหันตวายุก็มีขั้นสุดยอดถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว
งานพิธีเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่เพื่อแสดงความยินดีกับขั้นสุดยอดที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ก็ถูกจัดขึ้นที่ ‘เมืองจักรพรรดิชาง’ เมืองหลักของ ‘สกุลชาง’ หนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ ผู้แกร่งกล้าแต่ละฝ่ายต่างก็มาเข้าร่วม!
นครรัฐหลายสิบแห่งที่อยู่บริเวณรอบๆ ก็ย่อมมิกล้าไม่มาอยู่แล้ว
แม้กระทั่งอีกห้ารัฐโบราณอื่นๆ ก็ยังส่งเทวทูตมาเข้าร่วม ทั้งยังมีเมืองเล็กๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ถึงกับส่งประมุขรัฐมาเข้าร่วมด้วยตนเองเลยทีเดียว
“แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นเทพจักรวาลมากมายถึงเพียงนี้มาก่อนเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงในร่างหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวเคียงบ่ามากับประมุขรัฐเมฆทักษิณา ส่งมอบของขวัญแล้วก็เข้าไปภายในโถงตำหนักขนาดมโหฬาร ก่อนจะแยกกันนั่งลงภายใต้การนำทางของผู้ดูแล
มองไปปราดหนึ่ง เทพจักรวาลภายในโถงตำหนักแห่งนี้ก็อยู่กันอย่างคับคั่ง มีจำนวนเกินกว่าห้าร้อยคน! นี่ยังเป็นเพียงแค่ผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดีเท่านั้น ก็สามารถเห็นความแตกต่างระหว่างดินแดนจิตโลกากับอากาศอันสับสนอลหม่านได้จากสิ่งนี้
“ขั้นสุดยอดถือกำเนิดขึ้นมาได้ เดิมทีก็ยากเย็นเป็นอย่างยิ่งอยู่แล้ว อย่างเช่นผู้ที่บำเพ็ญตามลำพัง หรือว่าขั้นสุดยอดที่กำเนิดขึ้นมาในรัฐเล็กๆ โดยทั่วไปต่างก็มิอาจจัดพิธีเฉลิมฉลองเช่นนี้ขึ้นมาได้อยู่แล้ว ก็มีเพียงแค่รัฐโบราณเท่านั้นจึงจะเฉลิมฉลองตามอำเภอใจเช่นนี้ได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น “นอกจากนี้ ความเร็วในการบรรลุของจอมกระบี่ปีศาจผู้นี้ก็รวดเร็วเหลือเกิน สำเร็จเป็นเทพจักรวาลได้อย่างรวดเร็ว สำเร็จเป็นจอมเคารพได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ยังสำเร็จไปถึงขั้นสุดยอดด้วย ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขาช่างแสนสั้น ถึงแม้ว่าจะยาวกว่าเจ้าอยู่มากก็ตาม แต่เขาก็เพิ่งจะเคยเข้าไปในวังเทพจิตโลกาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง!”
“ตอนนี้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว ด้วยความเร็วในการบำเพ็ญอันชวนให้คนตกตะลึงเช่นนี้ของเขา เกรงว่าอยู่ที่วังเทพจิตโลกาก็ยังมีหวังที่จะได้สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงมาครอบครอง”
“นอกจากนี้พวกเขาสามคน ทั้งจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชาง และบรรพชนฝาน ก็จะต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อช่วยเหลือจอมกระบี่ปีศาจ… ดังนั้นก็พูดได้ว่าคราวหน้าที่วังเทพจิตโลกาเปิดออก ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจอมกระบี่ปีศาจผู้นี้จะได้สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงมาครอบครอง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาทอดถอนใจ “เทพจักรวาลมากมายถึงเพียงนี้มาเข้าร่วม ด้านหนึ่งก็คือเป็นการให้เกียรติรัฐโบราณคิมหันตวายุ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือเพื่อแสดงความปรารถนาดีต่อจอมกระบี่ปีศาจ! ถึงอย่างไรก็มีความเป็นไปได้เป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนใหม่”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“แน่นอน ระหว่างขั้นตอนของงานพิธี จอมกระบี่ปีศาจมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะก้มหน้าก้มตาบำเพ็ญบนวิถีของขั้นสุดยอดสักรอบหนึ่ง นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ดึงดูดเทพจักรวาลส่วนหนึ่งมากระมัง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูด เพียงแต่ในดวงตาก็มีแววคาดหวังอยู่บ้างรางๆ
กระหายอยากเป็นอย่างยิ่ง
กระหายอยากให้ตนเองไปถึงขั้นสุดยอดด้วยเช่นเดียวกัน
“ขั้นสุดยอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำเสียงต่ำ
คราวนี้มาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองของผู้อื่น ไม่รู้ว่าเมื่อใดตนเองจะสามารถบรรลุได้บ้าง ตนเองบรรลุแล้วจึงจะสามารถช่วยเหลือได้แม้กระทั่งเหล่าญาติมิตร พาพวกเขาไปจากอากาศอันสับสนอลหม่าน มุ่งหน้าไปใช้ชีวิตยังโลกกำเนิดแห่งอื่นได้!
“นั่นมิใช่จ้าวหิมะเหินหรอกหรือ”
“จ้าวหิมะเหินมาพร้อมกันกับประมุขรัฐเมฆทักษิณา จ้าวหิมะเหินผู้นี้เก็บเนื้อเก็บตัวเป็นอย่างยิ่ง คราวก่อนที่วังเทพจิตโลกาเปิดออก ว่ากันว่าเขาได้รับอะไรในนั้นกลับไปอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ในท้ายที่สุดกลับถูกบรรพชนราตรีนิรันดร์ผลาญสังหาร ไม่เพียงแต่ร่างแยกสลายไปจนสิ้นเท่านั้น สมบัติล้ำค่าก็ยังถูกช่วงชิงไปจนหมดอีกด้วย เดิมทีก็มีพลังยุทธ์ของจอมเคารพอยู่ ตอนนี้ไม่มีสมบัติล้ำค่าแล้ว พลังยุทธ์ก็คงลดต่ำลงไปเป็นอันมาก น่าเสียดายจริงๆ เลย”
“การสำเร็จเป็นจอมเคารพนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย ได้มาแล้วก็ต้องมาสูญเสียไป”
เทพจักรวาลที่รวมตัวกันอยู่ภายในโถงตำหนักมีมากเกินกว่าห้าร้อยคน ยามปกติพวกเขาต่างก็เป็นบุคคลผู้ทรงอำนาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่เป็นประมุขรัฐ ก็เป็นระดับสูงสุดเพียงไม่กี่คนของรัฐสักแห่ง ตามปกติแล้วก็ยากที่จะพบเจอได้สักครั้ง ตอนนี้งานฉลองในครั้งนี้…พวกเขาแต่ละคนกลับกำลังสนทนากับคนอื่นๆ อยู่
ยามที่สนทนามาถึงเรื่อง ‘จ้าวหิมะเหิน’ มีเทพจักรวาลบางคนที่เห็นใจ มีบางคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
แน่นอนว่า…
ต่างก็ถ่ายเสียงสื่อสารกัน ยังไม่ถึงขนาดที่พูดออกมาอย่างเปิดเผย! พวกเขาจะไม่ไว้หน้าจ้าวหิมะเหินก็ได้ แต่ก็ยังต้องไว้หน้าประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยู่!
“เสวี่ยอิง เทพจักรวาลจำนวนไม่น้อยยังรู้สึกเสียดายแทนเจ้าเลย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็สังเกตได้ถึงบริเวณรอบๆ ว่าบรรดาเทพจักรวาลเหล่านั้นมองมาทางนี้ ถึงแม้ว่าจะยิ้มแย้มหัวเราะ แต่ก็มีบางคนที่มองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความหมายบางอย่าง “ถ้าหากพวกเขารู้ว่าเจ้าก็คือคนวิถีจิตฟ้า ก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าสีหน้าจะแปรเปลี่ยนไปเช่นไร”
“เทพจักรวาลเหล่านี้ก็ไม่มีอะไรให้น่าสนใจหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถ่ายเสียงพูด เขามิได้ใส่ใจบรรดาเทพจักรวาลเหล่านั้นเลย “สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนอย่างข้าก็ยังเป็นการที่สามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้อยู่ดี ตอนนี้ที่ข้ามีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้ก็เพราะอาศัยวัตถุภายนอกเท่านั้นเอง”
“ใช่แล้ว ไปถึงขั้นสุดยอด” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าน้อยๆ
สองศิษย์อาจารย์ต่างก็มุ่งมาดปรารถนาจะไปให้ถึงขั้นสุดยอด
“มาแล้ว”
ทั่วทั้งภายในโถงตำหนักพลันเงียบสงัดลงมาในทันใด ด้านบนของตำหนักใหญ่ก็มีเงาร่างสี่สายปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ จักรพรรดิชาง จักรพรรดิเซี่ย และบรรพชนฝาน พวกเขาสามคนอยู่ตรงกลาง ส่วน ‘จอมกระบี่ปีศาจ’ กลับอยู่ที่ตำแหน่งทางด้านซ้ายมือของจักรพรรดิชาง
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 36 เขตลวงโลกเทียมคนแรก
จอมกระบี่ปีศาจนั่งอยู่ที่นั่น สายตากวาดมองลงมายังเบื้องล่าง แลกเปลี่ยนสายตากับคนคุ้นเคยบางคนอย่างง่ายๆ หรือแม้กระทั่งถ่ายเสียงทักทาย
เขาก็มองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงนี้เช่นกันแล้วแย้มยิ้มน้อยๆ พลางถ่ายเสียงพูดว่า “น้องเฟยเสวี่ย ยังจำตอนที่เจ้ากับข้าบุกผ่านด่านสิบแปดกัลป์นั่นด้วยกันที่วังเทพจิตโลกาได้หรือไม่ ถ้าหากครั้งนั้นข้าสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้ ก็มีความหวังที่จะพาเจ้าหนีไปได้แล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับความเมตตาและความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายแล้วก็ตกตะลึงอยู่บ้าง เขาถ่ายเสียงตอบกลับไปว่า “ตอนนั้นพี่กระบี่ปีศาจก็ทุ่มเทเพื่อข้าอย่างสุดกำลัง ข้าก็ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งแล้ว”
ในเวลานั้นจอมกระบี่ปีศาจที่ยังเป็นเพียงแค่จอมเคารพแต่ก็ไปขัดขวาง ถ้าหากมิใช่เพราะบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่อยากจะฉีกหน้ารัฐโบราณคิมหันตวายุ เกรงว่าแค่โบกมือก็ล้างผลาญจอมกระบี่ปีศาจในตอนนั้นได้แล้ว
จอมกระบี่ปีศาจแย้มยิ้มแล้วก็ถ่ายเสียงพูดคุยกับมิตรสหายที่คุ้นเคยคนอื่นๆ อีกหลายประโยค
และในขณะเดียวกันนั้นเอง…
จักรพรรดิชางก็กำลังจัดการพิธีฉลองในครั้งนี้ ถึงอย่างไรผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดในครั้งนี้ก็เป็นศิษย์สกุลชางของเขา
……
พวกจักรพรรดิเซี่ยอารมณ์ดีมากอย่างเห็นได้ชัด จัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างมีชีวิตชีวายิ่งนัก การแสดงมากมายทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เปิดวิสัยทัศน์กว้าง พิธีเฉลิมฉลองครั้งนี้จัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเก้าวันจึงค่อยเลิกราไป
“ประมุขรัฐเมฆทักษิณา พวกเราสองคนก็มิได้พบกันนานมากแล้วกระมัง คืนนี้ข้าจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ งานหนึ่งขึ้นที่เมืองจักรพรรดิชาง พอจะมีเวลาไปพบปะสังสรรค์กันสักหน่อยหรือไม่เล่า พี่สวรรค์โบราณก็อยู่ด้วย อ้อ พอถึงเวลา จ้าวหิมะเหินไปด้วยกันสิ”
“พี่เมฆทักษิณา”
“เมฆทักษิณา…”
เพราะเทพจักรวาลที่เข้าร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองมีเป็นจำนวนมาก ยากนักที่ทุกคนจะได้มาพบปะกัน รอจนงานเลี้ยงเลิกราไปแล้ว ทว่าแต่ละคนที่ได้รับเชิญมากลับไปจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ขนาดย่อมๆ กันขึ้นมาเสียแล้ว
ถึงอย่างไรแม้ว่าพิธีเฉลิมฉลองครั้งนี้จะคึกคัก แต่ก็ค่อนข้างเคร่งครัด งานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ จึงจะมีความผ่อนคลายมากกว่า
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นถึงจอมเคารพที่มั่งคั่งที่สุด เป็นผู้ก่อตั้งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ที่เป็นถึงหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ เป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้ล้ำเลิศแห่งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่มาเชื้อเชิญเขาก็ย่อมต้องมีมากมายอยู่แล้ว หลายคนก็ไว้หน้า เชิญ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ให้ไปด้วยกัน จ้าวหิมะเหินที่เป็นเพียงแค่เทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่ง ธรรมดาสามัญเหลือเกินในหมู่เทพจักรวาลที่มาเข้าร่วมงาน
“น้องเฟยเสวี่ย อย่ารีบไปนักเลย” ทว่าจอมกระบี่ปีศาจกลับมาเชื้อเชิญ ลากตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปด้วย “ข้ามีงานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ งานหนึ่ง จัดเลี้ยงมิตรสหายจำนวนหนึ่งเป็นการส่วนตัว เจ้ากับข้าเคยร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน อย่างไรก็อย่าได้ปฏิเสธเลยนะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจปฏิเสธได้ ก็ได้แต่ไปด้วยกันเท่านั้น
นี่ทำให้เหล่าเทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ต่างพากันปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง
“จอมกระบี่ปีศาจกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ได้ยินว่าพวกเขาบุกผ่านด่านสิบแปดกัลป์ของวังเทพจิตโลกาด้วยกัน”
“ก็แค่บุกผ่านวังเทพจิตโลกาเท่านั้น ความสัมพันธ์ก็สนิทชิดเชื้อกันเช่นนี้เลยหรือ”
เทพจักรวาลจำนวนมากต่างพากันริษยาเป็นอย่างยิ่ง
มาถึงระดับอย่างขั้นสุดยอดนี้ จอมกระบี่ปีศาจก็ทำอะไรตามอำเภอใจอย่างยิ่ง เขาอยากจะเชิญใครก็เชิญคนนั้น! ก็ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินผู้ใด ถึงอย่างไรขั้นสุดยอดหากตัวเป็นมาร ก็จะเป็นพญามารผู้ไร้เทียมทานในทันที… บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยากที่จะจัดการได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขา จอมกระบี่ปีศาจนั้นแสนสั้น มีความหวังที่จะได้สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงมาครอง เบื้องหลังยังมีพันธมิตรที่กล้าแข็งอย่างจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานอยู่อีกด้วย
ดังนั้นจอมกระบี่ปีศาจก็เชื้อเชิญเพียงแค่ผู้ที่มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดที่สุดเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น แม้กระทั่งประมุขรัฐเมฆทักษิณาเขาก็ยังมิได้เชิญมาเลย
งานเลี้ยงสังสรรค์ในคืนนั้น
จอมกระบี่ปีศาจก็ได้แนะนำตงป๋อเสวี่ยอิงให้กับมิตรสหายจำนวนหนึ่ง ให้ผู้อื่นได้รู้ว่าจ้าวหิมะเหินก็คือสหายร่วมเป็นร่วมตายของเขา จอมกระบี่ปีศาจ เพียงชั่วครู่ในสายตาของเทพจักรวาลจำนวนมากมายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา จ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็มีอาจารย์อย่าง ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ อีกทั้งยังมีจอมกระบี่ปีศาจที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย เทพจักรวาลจำนวนมากก็มีความเคารพยำเกรงในตัวจ้าวหิมะเหินเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าหากขอให้คนช่วยเหลือ ก็คงจะง่ายดายเป็นอย่างมาก
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้กลับทุ่มเทจิตใจให้กับการบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว อาศัยร่างแปรคนวิถีจิตฟ้ามาห้ำหั่นเหล่ามารเป็นครั้งคราวเท่านั้น
……
ณ คีรีมารสกุลฝาน
ต้นไม้เทพผลาญจิตที่ต้นเตี้ยกว้างใหญ่แข็งแกร่ง กิ่งก้านสาขาขนาดมหึมาสีม่วงเข้มแผ่ปกคลุมเบื้องล่างหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น
เวลาเคลื่อนผ่านไป มีใบไม้ที่ราวกับหินหยกสีม่วงเข้มสลักเสลาใบแล้วใบเล่าปลิดปลิวร่วงหล่นลงมา
นับตั้งแต่หลังจากทำข้อตกลงตำราโลกเทียมในตอนนั้นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีร่างแยกร่างหนึ่งบำเพ็ญอยู่ที่นี่มาโดยตลอด อ้างอิงจากเงื่อนไขของข้อตกลง เขาก็มีสิทธิ์บำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตเป็นเวลานานล้านล้านปี! แต่ถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสามแสนล้านปีแล้ว
หลังจากจอมกระบี่ปีศาจสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดเพียงแค่หมื่นกว่าปีเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นในทันใด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมืดมัวคล้ายกับมีการทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นอยู่
อีกพริบตาเดียว นัยน์ตาก็กลับเป็นปกติ
“สี่สายผสานรวมสำเร็จแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “วิถีเขตลวงโลกเทียม ข้าก็ผสานรวมสี่สายได้สำเร็จโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ห่างจากห้าสายผสานรวมไปถึงขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวสุดท้ายก้าวเดียวเท่านั้นเอง”
ห่างอีกเพียงก้าวเดียววิถีอากาศก็จะกลายเป็นขั้นสุดยอดแล้ว
ตอนนี้วิถีเขตลวงโลกเทียมก็เป็นเช่นนี้!
แต่ทั้งสองมีความหมายที่แตกต่างกัน
‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ เป็นถึงวิถีทางด้านวิญญาณ ระดับความยากก็ย่อมสูงเป็นอย่างยิ่ง ดูทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลทางด้านวิถีวิญญาณนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย! ผู้ที่วิถีวิญญาณไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้นมีน้อยยิ่งกว่าขั้นสุดยอดของวิถีอื่นๆ เสียอีก!
วิถีนี้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
แม้กระทั่งตำราก็ยังล้ำค่าหาใดเปรียบ!
“สี่สายผสานรวม” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ “ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย พรสวรรค์ทางด้านโลกเทียมของข้ายังสูงส่งกว่าวิถีอากาศเสียอีก”
ก็จริงอยู่
วิถีอากาศ เป็นเพราะว่ามีคนเดินไปก่อนหน้ามากมายเหลือเกิน ดังนั้นตนเองจึงได้รับโอกาสมามากมาย อย่างเช่นชุดเกราะของแม่ทัพโม่กู่ ศาสตร์ลับสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆา วิชาลับผู้ท่องของบรรพชนห้วงอากาศ เป็นต้น… ผลประโยชน์ต่างๆ นานา ซึ่งได้รับที่ดินแดนจิตโลกา อย่างเช่นยุทธวิธีเมฆาแดง วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า และปุจฉวิถีคละถิ่นอันใดก็ช่างเถิด บุปผาโลกาเก้าดอกที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้ เคล็ดสืบทอดลับขั้นสูงที่วังเทพจิตโลกาของหยวนที่ตนได้มา!
โอกาสอันดีมากมาย บวกกับพรสวรรค์ของตน จึงเดินมาถึงก้าวที่อยู่ในทุกวันนี้ได้
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว วิถีเขตลวงโลกเทียม โอกาสของโลกภายนอกก็น้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง
ที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด ตนสำเร็จเป็นขั้นอลวน ก็คือคนแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว! ตนเองก็เป็นคนเปิดทางเลยทีเดียว
และมาถึงดินแดนจิตโลกาก็ต้องลำบากลำบนกว่าจะได้รับตำราโลกจิตของบรรพชนฝานมา แม้กระทั่งตนเองเหนือกว่าบรรพชนฝานได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งบรรพชนฝานนึกอยากจะศึกษาตำราโลกเทียมที่ตนคิดค้นขึ้น ตอนนี้ตนผสานรวมสี่สาย… มองดูทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา วิถีเขตลวงโลกเทียมก็มีเพียงแค่เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นสี่สายผสานรวม
เรียกได้ว่าเป็นวิถีเขตลวงโลกเทียมคนแรกของทั้งดินแดนจิตโลกา!
……
ณ สถานที่อันไกลโพ้นแห่งหนึ่งของห้วงมิติระดับที่สูงกว่า
ชายชราผู้หนึ่งนั่งประจันหน้าจิบน้ำชาอยู่กับเจ้าเมืองหลัว
“หืม”
ชายชรากลับมองไกลออกไปยังทิศทางหนึ่งในทันใด
“ผู้อาวุโส เป็นอะไรไปหรือ” เจ้าเมืองหลัวถาม
“วิถีเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้น สี่สายผสานรวมเรียบร้อยแล้ว” หยวนตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้สร้างดินแดนจิตโลกาขึ้นมา ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือหนึ่งในผู้ที่เขาให้ความสนใจในโลกกำเนิดจำนวนมากมาย มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ขัดเกลาวิธีการหลอมอาวุธคละถิ่นที่ดัดแปลงให้ง่ายขึ้นมาให้เป็นการเฉพาะหรอก แล้วก็ยิ่งไม่มีทางมอบโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสให้ด้วย
“สี่สายผสานรวมก็มิได้อยู่ห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นแล้วหรือไร” เจ้าเมืองหลัวตกตะลึง “ที่ดินแดนจิตโลกาของท่านแห่งนั้น ผู้ที่วิถีทางด้านวิญญาณห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็มีแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงผู้เดียวเท่านั้นกระมัง”
“ถูกต้อง มีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!” หยวนก็อุทานเช่นกัน
วิถีวิญญาณก้าวหน้าได้ยากเย็นเหลือเกิน
ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองคิดว่าเป็นวิถีเขตลวงโลกเทียมคนแรกของดินแดนจิตโลกา แต่เขากลับไม่รู้ว่าตัวเขานั้นเป็นวิถีทางด้านวิญญาณคนแรกของดินแดนจิตโลกาอีกด้วย!
“โลกกำเนิดแต่ละแห่ง ส่วนใหญ่ต่างก็มิได้มีผู้แกร่งกล้ามากเท่าดินแดนจิตโลกาหรอก” หยวนอุทาน “ถึงแม้จะอาศัยจำนวนที่มากมายมหาศาล นับรวมทั้งผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งของสถานที่พิเศษบางแห่งของมิติคละถิ่น… ผู้ที่ทางด้านวิญญาณห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวนั้นถึงแม้ว่าจะมีอยู่เกินกว่าร้อยคน ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่บำเพ็ญเป็นระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิง!”
“ใช่แล้ว” เจ้าเมืองหลัวพยักหน้า
เท่าที่พวกเขาสองคนรู้
แต่ไหนแต่ไร…
แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีวิถีวิญญาณไปถึงขั้นสุดยอดเกิดขึ้นมาเลย! ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว! ดังนั้นหยวนก็ไม่มีหนทางมอบตำราลงมาให้กับดินแดนจิตโลกาได้เลย เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วยกันทั้งสิ้น แต่ก็มิได้เชี่ยวชาญทางด้านวิถีวิญญาณ
ตอนนี้เท่าที่พวกเขาล่วงรู้ ผู้ที่ลึกซึ้งที่สุดทางด้านวิถีวิญญาณก็คือเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะเป็นขั้นสุดยอดแล้ว
“ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขาสั้นเกินไปแล้ว” เจ้าเมืองหลัวก็ทอดถอนใจ “นับรวมกับระยะเวลาที่เขามีประสบการณ์ที่โลกกำเนิดบ้านเกิดของเขาและที่ดินแดนจิตโลกา รวมกันขึ้นมาแล้วก็ยังไม่ถึงสองล้านล้านปีเลยด้วยซ้ำ! ไม่ถึงสองล้านล้านปีก็ยกระดับวิถีเขตลวงโลกเทียมมาถึงขั้นนี้ได้แล้ว… ช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน พรสวรรค์ทางด้านเขตลวงโลกเทียมของเขาช่างชวนให้คนตื่นตกใจจริงๆ”
“อืม” สองตาของหยวนก็เปล่งประกาย “ข้ามีการคาดการณ์อย่างหนึ่งว่าถ้าหากเขตลวงโลกเทียมของเขาไปถึงขั้นสุดยอดแล้วเกรงว่าการจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็มิใช่เรื่องยากแล้วล่ะ ฮ่าฮ่า เขาคงจะบำเพ็ญจนบรรลุที่ดินแดนจิตโลกาของข้า ดูจากอุปนิสัยของเขายังใส่ใจผู้อ่อนแอเหล่านั้นมากกว่าเจ้ากับข้าเสียอีกนะ ช่างมีใจรำลึกถึงความหลัง รู้จักสำนึกบุญคุณ เมื่อถึงเวลาก็น่าจะเข้าร่วมกับพวกเราทางนี้ได้อย่างง่ายดาย”
“ใช่แล้ว” เจ้าเมืองหลัวยิ้มตาหยี “ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ส่งมอบบุปผาโลกาเก้าดอกให้กับเขา แต่ว่าเงื่อนไขทั้งหมดก็คือเขตลวงโลกเทียมของเขาไปถึงขั้นสุดยอด! วิถีทางตามปกติ การบรรลุไปถึงก้าวสุดท้ายของขั้นสุดยอดนั้นก็ยากเย็นเป็นที่สุดอยู่แล้ว เกรงว่าการจะบรรลุเขตลวงโลกเทียมได้นั้นก็คงจะยากเย็นยิ่งขึ้นไปอีก! โลกกำเนิดมากมาย ร้อยกว่าคนนั้นที่ทางด้านวิญญาณอยู่ห่างจากก้าวสุดท้ายเพียงแค่ก้าวเดียว ทว่าแต่ละคนต่างก็ติดค้างอยู่ที่นั่น ไม่มีผู้ใดสามารถก้าวออกจากก้าวสุดท้ายนั้นได้เลยแม้แต่คนเดียว”
หยวนพยักหน้าเบาๆ “ข้าเคยมอบโลหิตหัวใจมารดามังกรหมื่นสัมผัสหยดหนึ่งให้กับเขา สำหรับเขา เทพจักรวาลผู้ที่มิได้หนีออกจากกรงขังคนหนึ่งแล้ว นี่ก็คือขั้นสุดยอดของวิญญาณของเขาแล้ว พวกเราช่วยเขามิได้หรอก เขาก็ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว หลังจากนี้ไปก็ต้องให้เขาเดินไปเองแล้วล่ะ”
“อัตราเร็วในการบำเพ็ญของเขาช่างรวดเร็วจริงๆ พรสวรรค์ทางด้านนี้ก็ห่างชั้นกับคนอื่นๆ ที่รู้จักทั้งหมด” เจ้าเมืองหลัวก็พยักหน้า “ถึงแม้ว่าก้าวสุดท้ายจะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากพูดถึงความหวัง เขาก็มีหวังมากที่สุด”
“รอก่อนเถิด” หยวนแย้มยิ้มน้อยๆ “ใครๆ ก็ว่ากันว่าการที่ข้ารังสรรค์ดินแดนจิตโลกานั้นเป็นเรื่องเสียเวลา ทว่าพวกเขากลับไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานพอ แล้วยังต้องมีความอดทนมากพอ จึงจะมีผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น”
พวกเขาสองคนให้ความสนใจอยู่รอบหนึ่งแล้วก็มิได้ใส่ใจอะไรมากอีกแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้อยากจะให้เขตลวงโลกเทียมไปถึงขั้นสุดยอด เกรงว่าคงจะมิได้ง่ายดายเช่นนั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น