Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 27-30
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 27 ข้าชื่อ ‘คนวิถีจิตฟ้า’
ผู้แกร่งกล้าในประวัติศาสตร์ที่ต่อกรกับเหล่ามารก็มีอยู่!
แต่ผู้ที่กล้าเป็นอริกับขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่ในดินแดนจิตโลกา อีกทั้งยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เป็นระยะเวลายาวนานนั้นยังไม่มีเลยจริงๆ! ถึงอย่างไรยิ่งพลังยุทธ์แข็งแกร่ง สถานะยิ่งสูงส่ง ก็ยิ่งมีเรื่องให้กังวลมากขึ้นเรื่อยๆ บุคคลกลุ่มที่อยู่ในระดับยอดสุดของดินแดนจิตโลกากลุ่มนั้น…บุคคลผู้ไร้เทียมทาน เหล่าขั้นสุดยอด และเหล่ามหาเคารพที่เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลผู้ไร้เทียมทานแล้วสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้จำนวนน้อยนิดเหล่านั้น
ในหมู่พวกเขาก็มีผู้ที่อยู่อย่างสันโดษ มองดูความเป็นความตายของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเงียบๆ อยู่บ้าง
เช่นในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทาน แม้กระทั่งผู้ที่ใส่ใจผู้อ่อนแอมากที่สุดอย่าง ‘เจ้าเมืองอนันต์’ สิ่งที่ใส่ใจมากที่สุดก็เพียงแค่ความเป็นระบบระเบียบเท่านั้น! ขอเพียงแค่ความเป็นระเบียบไม่ได้รับผลกระทบ เขาก็เพียงแค่พินิจดูทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเย็นชาเท่านั้น บำเพ็ญมาจนถึงระดับนี้ ก็ยังคงปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตที่สามัญธรรมดาที่สุดเหมือนเป็นระดับเดียวกันจริงๆ ผู้ที่ปรารถนาจะปกป้องพวกเขาก็มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้
และในบรรดาที่น้อยจนสามารถนับนิ้วได้นี้ต่างก็ยังมีความกังวลของตระกูลและขุมอำนาจอยู่ด้วย
ส่งผลให้ไม่มีผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดกล้าเผชิญหน้าต่อต้านกับขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่มาโดยตลอด!
วันนี้…ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนขึ้นมาแล้ว!
มิใช่ว่าเขาไม่หวั่นกลัว
เพราะในบรรดาบุคคลผู้ไร้เทียมทาน ก็มีบางคนที่มีจิตมารกล้าแกร่ง เขาก็กลัวว่าจะเปิดเผยตัวตนเช่นกัน!
แต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
พลังยุทธ์ของร่างแยกที่ตนปลอมแปลงเอาไว้ก็คือร่างแยกร่วมกับ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ที่พกเอาไว้อย่างลับๆ พลังยุทธ์เช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ขุมอำนาจมารมากมายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาตื่นตระหนกแล้ว
สำหรับการเคลื่อนไหวโดยใช้ตัวตนจริงของ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ในภายภาคหน้า ก็สามารถใช้อาวุธคละถิ่นที่จะหลอมสำเร็จในอนาคตได้! อาศัยอาวุธคละถิ่น สามารถสำแดงเคล็ดวิชาที่สูงส่งล้ำลึกขึ้นของเจ็ดกระบวนคละถิ่นได้ แตกต่างกับเคล็ดวิชาที่ตัวตนปลอมสำแดงอย่างสิ้นเชิง!
“นี่ก็เป็นการชั่วคราวเท่านั้น”
“บนดินแดนจิตโลกา ผู้ที่วิถีวิญญาณไปถึงขั้นสุดยอดนั้นไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว ถ้าหาก ถ้าหากวิถีเขตลวงโลกเทียมของข้าก็ไปถึงขั้นสุดยอดด้วย บางทีก็อาจจะมีหนทางจัดการกับมารเหล่านี้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเหตุใดขุมอำนาจมารหลายแห่งจึงได้กำเริบเช่นนี้ ก็มิใช่เพราะว่าฆ่าไม่ตายหรืออย่างไร ถ้าหากตนสามารถสังหารพวกเขาได้ ก็ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงระเบียบของดินแดนจิตโลกาได้อยู่แล้ว
ถ้าหากตนสามารถหนีออกจากกรงขัง ไปถึงอีกระดับขั้นหนึ่งได้ บางทีอาจจะสามารถส่งผลกระทบไปถึงพวกหยวนและเจ้าเมืองหลัวได้
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยสัมผัสกับเจ้าเมืองหลัวมาก่อนแล้ว รู้สึกได้ว่าเจ้าเมืองหลัวก็มีจิตใจเมตตากรุณาต่อผู้อ่อนแอเช่นกัน
“คิดไกลเกินไปแล้ว”
“ก้าวแรกของข้าในตอนนี้ก็คือทำให้วิถีอากาศไปถึงขั้นสุดยอด! จะต้องทำให้ได้ก่อนที่บ้านเกิดจะแหลกสลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ
……
ที่ส่วนลึกของทะเลสาบมารทมิฬ
เจ้าสำนักเหยียนโม๋และเจ้าสำนักทั้งสามชมดูเหตุการณ์การต่อสู้ผ่านกระจกยลฟ้า
“เฮอะ”
พวกเขาทั้งสามต่างก็มีสีหน้าไม่น่าดู
“น้องรอง น้องสาม ยอดฝีมือวิถีอากาศผู้ลึกลับผู้นี้ช่างโอหังเสียจริง” เจ้าสำนักเหยียนโม๋มิได้มีความเรียบเฉยดังเช่นปกติอีกต่อไป เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์ของเขากลับยังเหนือกว่าพวกข้าเสียอีก! ถ้าหากเขาไม่ต้องการรักษาหน้าตา สังหารหมู่พลพรรคใดๆ ที่พวกเราส่งออกไปจริงๆ แล้วล่ะก็ เกรงว่าพวกเราคงไม่มีหนทางเลยแม้แต่นิดเดียว”
ถึงแม้ว่าทะเลสาบมารทมิฬจะจัดได้ว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงในบรรดาขุมอำนาจมารแห่งดินแดนจิตโลกา แต่เจ้าสำนักทั้งสามต่างก็เป็นบุคคลระดับจอมเคารพทั้งสิ้น ไม่มีขั้นสุดยอดเลยแม้แต่คนเดียว
“แม้กระทั่งประมุขเกาะจันปายังต้องทนเลย แล้วพวกเราจะทำอย่างไรได้เล่า ทั้งยังต้องก้มหัวรอดูว่าเมืองอัคคีทิพย์จะตอบสนองอย่างไร” บุรุษอาภรณ์เขียวผู้มีสีหน้าซีดขาวพูด
“อืม”
“ก็คอยดูความเคลื่อนไหวในภายหน้าก็แล้วกัน”
พูดถึงขุมอำนาจมาร เมืองอัคคีทิพย์จึงจะแข็งแกร่งที่สุด
……
“ยอดฝีมือวิถีอากาศผู้นี้ช่างโอหังเกินไปแล้ว”
“นี่ก็เท่ากับเป็นอริกับพวกเรา สมควรตาย ถ้าหากเขากล้าเปิดเผยตัวตน ข้าจะต้องทำให้เขาได้รู้ถึงผลที่ตามมาของการยั่วยุพวกเราอย่างแน่นอน”
******
ถึงแม้ว่ามารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานแต่ละฝ่ายจะเดือดดาลหาใดเปรียบ แต่มาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขานี้แล้ว สายตาก็มีความร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต่างก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าชายชุดขาวผู้ลึกลับผู้นี้มีพลังยุทธ์น่าหวาดหวั่นเพียงใด! บวกกับที่พวกเขาไม่ทราบตัวตนของชายชุดขาวผู้นี้ อยากจะคุกคามชายชุดขาว ก็มีแต่ลงมือกับตัวจริงของชายชุดขาวเท่านั้น ใครจะไปมั่นใจได้เล่า ดังนั้นผลที่เกิดขึ้นก็คือหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงประกาศวาจาอย่างเปิดเผยแล้ว แต่กลับไม่มีพญามารริเริ่มลงมือกับเขาเลยแม้แต่คนเดียว
“ฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…” ประมุขเกาะจันปาที่ยืนประจันหน้าอยู่กับตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมา “นับถือ นับถือ ข้านับถือจริงๆ เป็นอริกับขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่ ข้านับถือเจ้าจริงๆ เลย! ตอนนี้เจ้ามิได้เปิดเผยตัวตน บรรดามารแต่ละฝ่ายก็ทำอะไรเจ้ามิได้เป็นการชั่วคราว แต่เมื่อใดที่เจ้าเปิดเผยตัวตน หึๆๆ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็เป็นฝันร้ายสำหรับเจ้าแล้ว!”
“ฝันร้ายหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเย็น
ต่อให้เปิดเผยแล้วอย่างไรเล่า
เมืองหิมะเหินถูกตนควบคุมจนน้ำสักหยดก็มิอาจเล็ดรอดได้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังมิกล้าวาดฝันที่จะจัดการกับตนเลย
แต่ขณะนี้ ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏชื่อของบุคคลสองคนขึ้นมา…จักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการอมตะ!
สองคนนี้มีความพิเศษบางอย่างอยู่
จักรพรรดิเซี่ยมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ ถูกคิดว่าเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกามาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน แต่ละฝ่ายต่างก็รู้กันดีว่าวิถีสองสายจักรพรรดิเซี่ยนั้น ทั้ง ‘วิถีอากาศ’ และ ‘วิถีเปลวเพลิง’ ต่างก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้วทั้งสิ้น! ในมือมีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ พลังยุทธ์ที่เขาสำแดงออกมาก็แข็งแกร่งกว่าเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานคนอื่นๆ อยู่ช่วงตัวหนึ่งเลยทีเดียว ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ รับมือในระยะเวลาสั้นๆ ก็ยังถูกโจมตีเสียจนได้รับบาดเจ็บแล้วหลบหนีไป
ราชันย์อนธการอมตะก็คือผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกามาเป็นระยะเวลายาวนาน ลึกลับหาใดเปรียบ นอกจากนี้เขายังขึ้นชื่อในด้านความโหดเหี้ยมน่าหวั่นเกรง พลังยุทธ์ก็ยากจะคาดเดาได้
“ถ่อมตัวสักหน่อยดีกว่า”
“รอให้ข้าหลอมอาวุธเทพอลวนได้สำเร็จก่อนเถิด ก็จะยิ่งขวัญกล้ามากขึ้น ถ้าหากสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้ ใครจะเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกาก็ยังยากที่จะพูดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ผู้ที่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าบนดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มากมายเช่นนั้น แต่ผู้ที่มีเคล็ดสืบทอดลับระดับสูงก็มีน้อยนิดยิ่งกว่า!สำหรับอาวุธคละถิ่นที่เหมาะสมในการผสานรวมกับเคล็ดสืบทอดลับระดับสูงนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตนเองเป็นเพียงหนึ่งเดียวหรือไม่!
ต่อให้มิใช่หนึ่งเดียว เคล็ดสืบทอดลับระดับสูงก็หายากถึงเพียงนั้น ผู้ที่มีอาวุธที่เหมาะสมก็จะต้องยิ่งมีน้อยอย่างแน่นอน!
ส่วน ‘วิถีอากาศ’ ก็มีข้อได้เปรียบอันยิ่งใหญ่ที่เหนือกว่าวิถีอื่นๆ นั่นก็คือ…ร่างแยก!
ในบรรดาวิถีทั้งหมดที่มีอยู่ วิถีอากาศมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่สุดกับโลกระดับที่สูงขึ้น ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ยังมิได้หนีออกจากกรงขังจึงมีเพียงแค่วิถีสายนี้เพียงสายเดียวเท่านั้น ที่สามารถมุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอื่นๆ ได้! และสามารถดูดซับพลังคละวิถีปรับปรุงวิญญาณ บำเพ็ญร่างแยกได้!
ระดับขั้นเดียวกัน
วิถีอากาศ ร่างแยกมากมายร่วมมือกัน พลังยุทธ์ก็ย่อมเหนือกว่าวิถีอื่นๆ
แน่นอนว่าสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตระหนักรู้ ต่างก็มีผู้แกร่งกล้าไปถึงระดับสุดยอดของวิถีต่างๆ แล้วทั้งสิ้น แต่ทางด้านวิญญาณ เช่น ‘โลกเทียม’ ‘ภาพจิต’ และ ‘เพลิงวิญญาณ’ วิถีต่างๆ ล้วนไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่ไปถึงขั้นสุดยอด! ถ้าหากทางด้านวิญญาณไปถึงขั้นสุดยอดแล้วจะมีพลังยุทธ์ระดับใด นี่ก็เป็นปริศนาอย่างหนึ่ง!
……
“สวบ”
หลังจากที่ประมุขเกาะจันปายิ้มหยันแล้วร่างกายก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพลวง ห้วงอากาศบิดเบี้ยวจนมีรอยแยกปรากฏออกมา แล้วเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
นี่ก็คือเคล็ดการหลบหลีกของเขา
อยากจะสังหารผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดนั้นยากเย็นเหลือเกิน!
“คราวนี้ข้าได้ประกาศวาจาอย่างเปิดเผย คงจะเหนี่ยวนำให้ขุมอำนาจมารเกิดความระแวดระวังแล้วกระมัง ขอเพียงแค่ทำการสังหารน้อยลงสักหน่อยก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจากไปในทันที
พรึ่บ
กลางอากาศมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันใด
เขามีรูปโฉมหล่อเหลางดงาม บนผ้าคลุมสีดำปักลวดลายดอกไม้สีทอง ในมือถือคทาอันหนึ่งเอาไว้ คทาแผ่รัศมีสีทองสลัวๆ แรงกดดันอันไร้รูปร่างปกคลุมทั่วฟ้าดิน ห่อหุ้มตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้
“บรรพชนราตรีนิรันดร์”
“เป็นบรรพชนราตรีนิรันดร์”
“บรรพชนราตรีนิรันดร์ปรากฏตัวขึ้นได้อย่างไรกันนี่”
ขุมอำนาจแต่ละฝ่ายบนดินแดนจิตโลกาที่ชมดูการต่อสู้อยู่ต่างก็พากันตื่นตะลึง
บรรพชนราตรีนิรันดร์ในมือถือคทา มองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง “เจ้าเป็นผู้สังหารจวินอ๋องดำกระมัง”
“จวินอ๋องดำหรือ บรรพชนราตรีนิรันดร์ผิดพลาดเสียแล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้ตื่นตระหนก เขาพูดพลางยิ้มน้อยๆ ว่า “ต่อให้พลังยุทธ์อย่างข้าอยากจะสังหารจวินอ๋องดำ ก็คงไม่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แล้วอยากจะให้ท่านบรรพชนมาช่วยเหลือไม่ทัน ความมั่นใจก็ยิ่งต่ำลงไปอีก”
“บนดินแดนจิตโลกา ยอดฝีมือวิถีอากาศที่สามารถสังหารจวินอ๋องดำได้มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้” บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยอย่างเย็นชา
“แล้วสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือข้าหรืออย่างไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามอย่างมีชั้นเชิง
“เจ้าใส่ใจมดปลวกพวกนั้นมากเกินไปแล้ว คราวก่อนเจ้าก็ถูกข้าสกัดเอาไว้ครั้งหนึ่งเพื่อช่วยเหลือมดปลวกพวกนั้น เสียดายก็แต่ทำให้ร่างแยกของเจ้าฆ่าตัวตายกระจัดพลัดพรายไปเสียแล้ว” บรรพชนราตรีนิรันดร์เอ่ยเสียงเย็น “ยอดฝีมือวิถีอากาศที่มีพลังยุทธ์เช่นนี้ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นแหละ ผู้ที่ใส่ใจผู้อ่อนแอเหล่านั้นถึงเพียงนี้ก็ยิ่งมีแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น มีความเป็นไปได้ถึงเก้าส่วนว่าเจ้าคือฆาตกร บอกนามของเจ้ากับข้ามาเสีย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่น
ไม่อยากยอมรับ
ถึงอย่างไรก็ยากยิ่งที่จะรับมือกับบรรพชนราตรีนิรันดร์
“ข้าชื่อจิตฟ้า คนวิถีจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“คนวิถีจิตฟ้าหรือ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ขมวดคิ้ว ในบรรดาผู้แกร่งกล้าระดับขั้นสุดยอดไม่มีชื่อนี้ เป็นเพราะว่าบุคคลลึกลับผู้นี้เป็นผู้ที่กำเนิดขึ้นมาใหม่จริงๆ หรือว่าจงใจเอ่ยนามปลอมขึ้นมากันแน่
“จิตข้าคือจิตฟ้า คนวิถีจิตฟ้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“หึ ต่อให้เจ้าพูดชื่อออกมามั่วๆ มากยิ่งกว่านี้ เจ้าก็คือฆาตกรที่สังหารจวินอ๋องดำอยู่ดีนั่นแหละ” คทาในมือบรรพชนราตรีนิรันดร์แผ่รัศมีแรงกล้าออกมาในทันใด รัศมีอันไร้ที่สิ้นสุดเปล่งประกายบนร่างตงป๋อเสวี่ยอิงในพริบตา พลังสกัดกั้นอันไร้ที่สิ้นสุดทำการพันธนาการเอาไว้
“บรรพชนราตรีนิรันดร์ ท่านสกัดข้าเอาไว้มิได้หรอก”
น้ำเสียงกึกก้องดังสนั่นทั่วฟ้าดิน
พรึ่บ
รอยแยกสีดำกะพริบวาบ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับฝืนพุ่งเข้าไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยพละกำลังที่ฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สองมีอยู่ อีกทั้งยังมีพลังของโลกดอกบัวเพลิงห้วงอากาศผนวกรวมอยู่ในตัว การพันธนาการของเขตพลังที่กินบริเวณกว้างใหญ่ของบรรพชนราตรีนิรันดร์ก็ยังสกัดเอาไว้ไม่อยู่
“หนีแล้วหรือ” บรรพชนราตรีนิรันดร์มองรอยแยกสีดำหายลับไปแล้วก็อดที่จะขมวดคิ้วมิได้
ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา
ย่อมไม่สามารถไล่ตามได้อยู่แล้ว!
เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ไปถึงระดับนี้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานคิดอยากจะสังหารก็ยังยากเย็นอย่างที่สุด
……
ชื่อของคนวิถีจิตฟ้าก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยเหตุนี้
ขุมอำนาจมากมายต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้อาจหาญคุกคามขุมอำนาจมารทั้งหมดที่มีอยู่ ยามอยู่ต่อหน้า ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็จากไปได้อย่างง่ายดาย พลังยุทธ์ของคนวิถีจิตฟ้าก็เป็นที่รู้กันทั่ว เป็นรองเพียงแค่ยอดฝีมือของบุคคลผู้ไร้เทียมทานเท่านั้น ขั้นสุดยอดธรรมดาทั่วไปล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาทั้งสิ้น
ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมิได้สนใจสิ่งรบกวนของโลกภายนอก ทุ่มเทจิตใจบำเพ็ญอยู่ในเมืองหิมะเหิน ไตร่ตรองใคร่ครวญกระบวนสังหารที่สี่ของยุทธวิธีหิมะเหินที่เขาค่อยๆ ก่อให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
………………………………………
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 28 ท่าไม้ตายที่สี่
สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว การทำให้วิถีอากาศบรรลุถึงขั้นสุดยอดจึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ตั้งสมญาว่า ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ขึ้นมา เขาก็แค่ไม่อยากจะทำให้รัฐเมฆทักษิณาและตระกูลอิงซานพาลเดือดร้อนไปด้วยเท่านั้นเอง! บัดนี้พลังของเขามีจำกัด แรงคุกคามก็แค่กล่าวได้ว่าทำให้ขุมอำนาจฝ่ายมารเหล่านั้นหวั่นเกรงเท่านั้น! หากตนสามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ ก็ไม่ใช่แค่สามารถช่วยพวกคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตนที่บ้านเกิดได้ นอกจากนี้หากมีอาวุธเทพอลวนอยู่ในมือ เกรงว่าก็คงมีคุณสมบัติพอจะสามารถช่วงชิงสมญานาม ‘ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกา’ ได้แล้ว
หากถึงระดับนั้น ก็คงจะเป็นภัยคุกคามบรรดามารร้ายมากยิ่งขึ้น
“เรื่องนี้ต้องอาศัยพลังจึงจะเอ่ยคำพูดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี
ยิ่งพลังแข็งแกร่งขึ้น จึงจะสามารถรับผิดชอบภาระที่หนักหน่วงขึ้นได้
“ท่าไม้ตายที่สี่…”
ในศาลาข้างทะเลสาบภายในจวนจ้าว
หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิ สุราไหนหนึ่งร้อนกรุ่น เขาดื่มสุราไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง ร่างแยกจำนวนมากของเขาก็กำลังรับรู้และสำแดงอย่างสุดกำลัง
“ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศเป็นสมบัติลับวิถีอากาศจำพวกโลกา สิ่งที่มันเชี่ยวชาญที่สุดก็คือปลดปล่อยบริเวณโลกาออกมา หรือไม่ก็เสริมพลังโลกาให้กับร่างกาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ สมบัติลับระดับยอดสุด ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ หลอมขึ้นโดยอาศัยสมบัติล้ำค่าอย่าง ‘แหล่งพลังเขตเพลิง’ เป็นพื้นฐาน แหล่งพลังเขตเพลิงคล้ายคลึงกับแหล่งกำเนิดห้วงสมุทรที่ตนเคยได้มามาก เพราะเป็นแหล่งให้กำเนิดเช่นเดียวกัน
จักรพรรดิเซี่ยนำความเร้นลับต่างๆ ของวิถีอากาศขั้นสุดยอดหลอมรวมเข้าไปในนั้นแล้วหลอมแปรเป็นสมบัติลับระดับยอดสุด
ปลดปล่อยพลังแห่งโลกาออกไปภายนอก เสริมความแข็งแกร่งให้ร่างแยกแต่ละร่าง พลังรบของร่างแยกแต่ละร่างก็จะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ซึ่งก็เป็นวิธีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงซ่อน ‘เจ็ดกระบวนคละถิ่น’ เอาไว้
“ปลดปล่อยบริเวณโลกาออกไป ภายในบริเวณนี้ ข้าเป็นเจ้าของ”
“ที่เหมาะสมกับสมบัติลับระดับยอดสุดมากที่สุดก็คือกระบวนท่าจำพวกบริเวณ” นัยน์ตาทั้งสองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผันไป ท่าไม้ตายที่สี่ที่เขาต้องการคิดค้นขึ้นมาก็คือท่าไม้ตายจำพวกบริเวณนั่นเอง
สามท่าไม้ตายก่อนหน้านี้
เป็นจำพวกการโจมตีทั้งหมด!
ในขณะที่ทำลายมารร้ายเหล่านั้น เนื่องจากเพียงกระบวนท่าเดียวก็ปกคลุมแทบทั้งตัวเมือง ลงมือหลายครั้ง แววอาฆาตที่โหมซัดออกไป…กลับกระตุ้นแสงทิพย์ภายในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิง ท่าไม้ตายที่สี่มีแบบจำลองคร่าวๆ ก่อนแล้ว
“บริเวณทั้งหมดทั่วทุกสารทิศก็คือมิติ”
“แม้แต่โลกชั้นสูงกว่านอกโลกกำเนิดก็เป็นประเภทหนึ่งของมิติเช่นเดียวกัน”
“เดิมทีมิติก็บรรจุสิ่งมีชีวิตทั้งปวงและโอบอุ้มทุกสิ่งเอาไว้อยู่แล้ว ‘บริเวณ’ ก็คือลักษณะพิเศษตามธรรมชาติของมัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในข้อนี้ดี
เดิมทีเขาก็รู้จักกระบวนท่าจำพวกบริเวณบางอย่างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเมฆาแดงหรือว่ากระบวนท่าจำพวกบริเวณต่างๆ ที่คิดค้นขึ้นมาก็ล้วนไม่มีคุณสมบัติพอจะจัดอยู่ในท่าไม้ตายยุทธวิธีหิมะเหินของเขาได้! กระบวนท่าที่สามารถจัดอยู่ในท่าไม้ตายได้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าสมบูรณ์แบบพอ และสามารถทำให้ความเร้นลับต่างๆ มากมายหลอมรวมเข้าไปในเจ็ดกระบวนคละถิ่นได้สำเร็จอย่างแท้จริง อานุภาพก็ยิ่งใหญ่พอ ไม่แพ้กระบวนท่าเจ็ดกระบวนคละถิ่นเลย
“บริเวณ…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ใต้ศาลาพลางถือจอกสุราซึ่งมีสุราอยู่เต็มเอาไว้ จู่ๆ เขาก็พลันหลับตาลง
เขานึกถึงโลกในระดับชั้นที่สูงยิ่งกว่า
เขาเคยสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกามุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอื่นๆ! ลำพังแค่ทะลุผ่านทางเชื่อมที่เหมือนกับ ‘ด้าย’ สายหนึ่งไปยังมิติชั้นสูงยิ่งกว่าที่เต็มไปด้วยพลังคละถิ่นอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างระมัดระวัง แม้แต่กายหยาบก็ยังมิอาจเข้าไปได้ มีเพียงวิญญาณที่มุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปตามทางเชื่อมเล็กจิ๋ว
ความรู้สึกเคว้งคว้างเช่นนั้น
ความรู้สึกกดดันอันใหญ่หลวงที่มาจากโลกระดับขั้นสูงกว่า เขายังจำได้แม่นยำราวกับเพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ!
สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากจะทำก็คือใช้วิถีอากาศผสานความเร้นลับในเจ็ดกระบวนคละถิ่นแล้วใช้พลังคละถิ่นคิดค้นสิ่งที่ให้ผลเหมือนกับ ‘บริเวณ’ ของโลกระดับขั้นสูงกว่าขึ้นมาใหม่ ภายใต้บริเวณเช่นนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ก็ทำได้เพียงละทิ้งกายหยาบแล้ววิญญาณอาศัยศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาทะลุผ่านไปเท่านั้น น่าหวาดกลัวเพียงใดกัน
ขอเพียงกระบวนท่าที่คิดค้นขึ้นมาสามารถสำแดงผลออกมาได้บางส่วนก็เพียงพอแล้ว
“วิ้ง…”
นอกศาลา อากาศกำลังสั่นสะท้านน้อยๆ
อณูหมอกดำทรงกลมแต่ละอณูของแก่นห้วงอากาศภายในสวนมหึมาแห่งนี้กำลังสั่นสะเทือนตามระลอกความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิง ฝูงปลาที่ก้นทะเลสาบเหล่านั้นถูกพละกำลังอันไร้รูปร่างตัดขาดและปกป้องเอาไว้ บริเวณอื่นๆ กลับมิได้รับการปกป้องใดๆ ทันใดนั้น…ฟึ่บๆๆ…น้ำทะเลสาบ กระเบื้องบนศาลา ต้นไม้ใบหญ้าริมตลิ่ง แปลงดอกไม้ ทางเดินหิน ดินโคลน…
ทั้งหมดดูเหมือนจะยังคงสภาพเดิม
แต่อันที่จริงแล้วอณูหมอกดำทรงกลมสั่นสะเทือน ทำให้โครงสร้างภายในของพวกมันสั่นสะเทือนไปด้วยจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนสิ้น เพียงแต่คงรูปร่างภายในเอาไว้ชั่วคราว ยังมิได้พังทลายลงมาเท่านั้นเอง
“ตู้ม!”
สวนใหญ่มหึมานี้ พลันสลายไปทั้งหมดในทันใด แล้วตกเข้าสู่ความมืดมิดอย่างสมบูรณ์
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังคงถือจอกสุรานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น โต๊ะยาว ไหสุราตรงหน้าเขารวมไปถึงเบาะรองนั่งล้วนไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ในความมืดมิดไกลออกไปยังมีเหล่าปลาที่ถูกโอบล้อมเอาไว้ ส่วนบริเวณอื่นๆ ล้วนถูกทำลายและเต็มไปด้วยความมืดมน
แม้ภายในสวนมหึมาจะเป็นเช่นนี้ แต่โลกภายนอกกลับมิได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย! ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญเพียร จึงห้ามมิให้คนภายนอกเข้ามาอย่างเด็ดขาด
“ฟิ้วๆๆ…” ฝูงปลาเหล่านั้นถูกโอบล้อมและลอยมาข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง พวกมันแต่ละตัวเบิกตากว้าง มองดูรอบด้าน มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง
“วิ้ง”
มิติรอบด้านมีรอยแยกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น และมีพลังคละถิ่นโหมซัดเข้าไป
ภายในเมืองหิมะเหิน เนื่องจากมีค่ายกลเสริมความแข็งแกร่งเอาไว้อย่างแน่นหนา พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถเทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้ เมื่อมาทดลองกระบวนท่าที่นี่จึงผ่อนคลายกว่า ดังเช่นตอนนี้ เขาสามารถปรับเปลี่ยนพลังคละถิ่นจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย
“ไม่มีรูใดที่เล็ดรอดไปได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้น มองดูพลังคละถิ่นจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซัดสาดเข้ามาทางรอยแยกอันดำมืด พลังคละถิ่นผสานกับอากาศอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเริ่มกดดันทุกทิศทุกทาง
กดดัน กดดัน!
กระบวนท่ากดดันนี้ เทพจักรวาลทั่วไปล้วนต้องถูกกดดันจนตายในพริบตาเดียว!
แต่เห็นได้ชัดว่านี่ยังไม่เพียงพอ สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการก็คือท่าไม้ตาย อย่างน้อยก็ต้องให้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูรู้สึกว่า ‘ยุ่งยาก’ อยู่บ้าง หากล้วนแต่มิอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูได้ กระบวนท่าเช่นนี้ก็ไร้ความหมาย
“บัดนี้แค่มีแบบจำลองได้อย่างพอถูไถเท่านั้น ยังต้องปรับปรุงให้สมบูรณ์ต่อไป”
พลังคละถิ่นภายในสวนมหึมาแห่งนี้หมุนเวียนและผสานกับอากาศในแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ตามความคิดต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาในห้วงสมอง
เขาทดลองอยู่ราวเดือนกว่าๆ
“ฟิ้ว”
ภายในสวนกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง พลังคละถิ่นถอยออกไป อากาศกลับคืนสู่สภาพปกติ รัศมีจากโลกภายนอกส่องสะท้อนมาถึงที่นี่
ทางเดินหิน ดินโคลน ต้นไม้ใบหญ้า น้ำในทะเลสาบ รวมไปถึงศาลา กลับถือกำเนิดขึ้นโดยตรงจากความว่างเปล่าแล้วร่อนลงไปยังตำแหน่งเดิม แม้แต่ฝูงปลาเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิงตลอดเวลาก็ยังถูกโยนลงไปในทะเลสาบ ‘บุ๋ง’ ปลากระโดดผลุงขึ้นมาเหนือผิวทะเลสาบก่อนจะทอดสายตามองรอบด้าน แล้วมุดกลับลงไปในน้ำแล้วดำผุดดำว่ายอย่างสุขอุรา
ตงป๋อเสวี่ยอิงรินสุราจอกหนึ่งให้ตนเอง ภายในสวนแห่งนี้ล้วนแต่เป็นวัตถุธรรมดาสามัญทั้งสิ้น สำหรับเทพจักรวาลวิถีโลกเทียมนั้น สามารถสร้างวัตถุขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้อย่างง่ายดาย
“ลองคิดดูอีกหน่อย”
การทดลองราวครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ พบปัญหาต่างๆ มากมาย ยังต้องค้นคว้าโดยละเอียดและบำเพ็ญเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ต่อไป
******
ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังค้นคว้าเพื่อทำให้ท่าไม้ตายที่สี่สมบูรณ์ บรรดาขุมอำนาจมารร้ายภายในดินแดนจิตโลกาเหล่านั้นก็รู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเทพจักรวาลระดับยอดสุดทั้งหลายต่างก็พากันรักตัวกลัวตายเป็นอย่างมาก! ในเมื่อ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ลั่นวาจาออกมาอย่างเปิดเผย ประมุขเกาะจันปาอ่อนแอกว่าพวกเขาอยู่ขุมหนึ่ง คนเถื่อนผู้ไร้เทียมทาน ผู้ใดจะกล้ารังแกกันเล่า
“หรือว่าเขาจะใช้อานุภาพข่มมารร้ายทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยตัวคนเดียวจริงๆ”
“บ้าคลั่งถึงเพียงนี้จริงๆ หรือ”
ต่อให้เป็นบรรดามารร้ายเหล่านั้นก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
บรรดามารร้ายระดับเทพจักรวาลข่าวสารฉับไว จึงล้วนแต่รู้ว่าคนวิถีจิตฟ้ามีตัวตนอยู่ และรู้ถึง ‘แรงคุกคาม’ ของคนวิถีจิตฟ้า แต่ดินแดนจิตโลกาใหญ่โตเกินไปแล้ว! บรรดามารร้ายระดับขั้นอลวนทั้งหลาย พวกที่พอจะมีคนหนุนหลังใหญ่โตก็ยังดีหน่อย หากไม่มีคนหนุนหลัง ก็ยังมีหลายคนที่ไม่รู้เรื่อของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ เลย
……
เวลาล่วงเลยไป
เป็นเวลาสามล้านปีหลังจากคนวิถีจิตฟ้าประมือกับประมุขเกาะจันปาแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ยิ่งบ้าคลั่ง ยิ่งเกลียดชังอย่างเข้มข้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านบรรพชนต้องการให้พวกเจ้าเกลียดข้า ฮ่าฮ่าฮ่า…” ชายชราอาภรณ์แดงคนหนึ่งอยู่ภายในโลกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ภายในมีวิญญาณ ที่เปี่ยมไปด้วยความขุ่นแค้นจำนวนนับไม่ถ้วน วิญญาณนับล้านล้านดวงกำลังร้องเสียงโหยหวนด้วยความเคียดแค้นชิงชัง มีผู้ที่แข็งแกร่งบางคนสามารถหลุดจากพันธนาการได้ และโจมตีไปทางชายชราอาภรณ์สีแดงครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ชายชราอาภรณ์สีแดงเป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน วิญญาณขั้นรวมเป็นหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในพวกนี้ไหนเลยจะสามารถคุกคามเขาได้
“เฮอะ”
รอยแยกสีดำกะพริบวาบคราหนึ่ง บุรุษอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นภายในโลกสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์แห่งนี้
ในฐานะที่ชายชราอาภรณ์สีแดงเป็นเจ้าของสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ ก็อดตกใจจนสะดุ้งโหยงมิได้ สมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ของข้า ผู้อื่นก็สามารถเข้ามาได้อย่างนั้นหรือ
สายตาของบุรุษอาภรณ์ขาวผู้นี้ที่มองมายังเขา ทำเอาชายชราอาภรณ์สีแดงรู้สึกว่าวิญญาณแข็งค้างไปแล้ว
“ตู้ม”
จากนั้นร่างของชายชราอาภรณ์สีแดงก็กลายเป็นผุยผงไป
“สมควรตายจริงๆ” สายตาของตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดมองวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้าน เดิมทีวิญญาณเหล่านั้นมีความเคียดแค้นสูงเทียมฟ้า หลังจากชายชราอาภรณ์สีแดงสิ้นใจไปแล้ว ความอาฆาตแค้นของวิญญาณเหล่านั้นก็พากันทะลักออกไป
“ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปเอง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง
วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเคลื่อนย้ายออกไปจนหมด! ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์เหล่านี้มีค่ายกลจำกัดเอาไว้ ส่งผลให้พวกเขาทำได้เพียงคงสภาพร่างวิญญาณเอาไว้เท่านั้น
ส่วนผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือเทพแท้ วิญญาณดูดซับพลังฟ้าดินแล้วสามารถทำให้กายกยาบฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
……
ประมาณเก้าล้านกว่าปีหลังจากคนวิถีจิตฟ้าประมือกับประมุขเกาะจันปา
“เจียอวี้ สำนึกเสียใจแล้วล่ะสิ วันนี้ ทั้งตระกูล ทั้งเมืองของเจ้า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะต้องตายเรียบ!” มารเฒ่าซึ่งแผ่ไอชั่วร้ายสูงเทียมฟ้ายืนอยู่กลางอากาศด้วยท่าทางเหิมเกริมหาใดเปรียบ
สตรีอาภรณ์ม่วงคนหนึ่งมองดูฉากนี้อย่างสิ้นหวัง
การช่วยเหลือคนในตอนนั้นได้ล่วงเกินมารเฒ่าเข้า บัดนี้พลังของมารเฒ่าก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และมาแก้แค้นแล้วอย่างนั้นหรือ
“เอ๊ะ”
สตรีอาภรณ์ม่วง ‘เจ้าเมืองเจียอวี้’ มองดูมือขาวผ่องที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้วยความตกตะลึง เมื่อกดดันลงไปคราหนึ่ง มารร้ายซึ่งหนีไม่ทันในตอนแรกก็กลายเป็นเถ้าธุลีไป
……
เมื่อเวลาล่วงเลยไป ก็พิสูจน์ชัดแล้วว่าสิ่งที่คนวิถีจิตฟ้าพูดนั้นมิใช่คำลวงเลย
ผู้ที่บังอาจสร้างหายนะตามอำเภอใจ ขอเพียงถูกพบเข้า ก็ต้องถูกฆ่าไม่เว้น
เรื่องนี้ก็ทำให้มารร้ายระดับเทพจักรวาลอย่างแท้จริงหวั่นกลัวอยู่ในใจ ภายในเวลาสั้นๆ ก็มิกล้าทำอะไรมั่วซั่ว
“ต้องอดทนเอาไว้”
“คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้เหิมเกริมถึงเพียงนี้ จะต้องมีจุดจบไม่สวยอย่างแน่นอน! รอให้ตัวตนของเขาเปิดเผยออกมาเสียก่อนเถอะ เขาก็จะรู้จักคำว่าสำนึกเสียใจแล้ว”
“ข้าและคนอื่นๆ อดทนกันมานานแล้ว อดทนไม่สู้สุดชีวิตกับเขา ดินแดนจิตโลกาแห่งนี้ ไม่มีทางมีผู้ใดกดดันข้าและคนอื่นๆ ไปตลอดกาลได้หรอก” บรรดามารร้ายเหล่านี้ก็มีความอดทนทีเดียว พวกเขาเชื่อว่า คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้เหิมเกริมถึงเพียงนี้ ไม่มีทางยั่งยืนอย่างแน่นอน
……
สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว เพียงแค่ได้ข่าวระหว่างเส้นทางการบำเพ็ญก็จะออกไป ‘ลงมือ’ ครั้งหนึ่ง หลังลงมือแล้วก็จะกลับมาตั้งใจบำเพ็ญต่อไป
หลังประมือกับประมุขเกาะจันปาได้ห้าสิบกว่าล้านปี
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…” ภายในศาลาข้างทะเลสาบภายในจวนจ้าว ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นดังกึกก้อง เบิกบานสำราญใจนัก
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 29 เดินออกจากทางเส้นนี้
ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นฝ่ามือออกไป ฝ่ามือดูเลือนราง ภายในมีน้ำวนถือกำเนิดขึ้นมา กลางน้ำวนมีพลังคละถิ่นปรากฏขึ้น น้ำวนนี้กำลังหมุนคว้างอยู่ ราวกับระลอกคลื่นที่โหมซัดและบีบอัดอย่างต่อเนื่อง
ระลอกคลื่นนับพันนับหมื่นโหมซัด ภายในยังมีคลื่นใต้น้ำซัดสาดอีกด้วย
พละกำลังมากมายบ้างก็บีบอัดเข้ามา บ้างก็โอบล้อม บ้างก็กดดัน…
เป็นการจำลองการรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงขณะท่องไปในมิติชั้นสูงยิ่งกว่าออกมา ซึ่งนี่เป็นการใช้การรับรู้เจ็ดกระบวนคละถิ่นและวิถีอากาศอย่างที่สุดของเขาแล้ว! เป็นกระบวนท่าที่เขาพึงพอใจมากอย่างแท้จริง แม้จะมีท่าไม้ตายเพิ่มขึ้นมาอีกท่าหนึ่ง ซึ่งขณะต่อสู้นั้นท่าไม้ตายจำพวกบริเวณจะมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก แต่ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงดีใจ ก็เพราะสามารถสัมผัสได้ว่า ค้นคว้า ‘วิถีอากาศ’ ได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นแล้ว
การยกระดับขั้นนั้น ฟังดูเหมือนจะลึกลับมาก
แต่อันที่จริงแล้วตนสามารถสัมผัสได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งนัก แปดสายหลอมรวมกัน ห่างจาก ‘ขั้นสุดยอด’ เพียงก้าวเดียวเท่านั้น แต่เพราะขาดไปนิดเดียวเท่านี้นั่นเอง ทำให้แม้ขั้นสุดยอดจะอยู่ตรงหน้า ก็เลือนรางราวกับค้นบุปผากลางหมอก
ทุกครั้งที่ระดับขั้นยกระดับขึ้นไป ก็เหมือนกับทำให้ ‘หมอก’ บางส่วนกระจายตัวไป! ทำให้ตนมองเห็นบางส่วนในนั้นได้อย่างชัดเจน
“เมื่อฝึกกระบวนท่านี้สำเร็จ ข้ารู้สึกว่าข้าก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เข้าใกล้ขั้นสุดยอดมากขึ้นอีกก้าวหนึ่งแล้ว!”
“เพียงแต่การฝึกกระบวนท่านี้ให้สำเร็จ ก็ได้ทุ่มเทการรับรู้ในช่วงเวลานี้ทั้งหมดไปแล้ว คิดจะยกระดับขึ้นอีกในช่วงสั้นๆ กลับกลายเป็นเรื่องยากเสียแล้ว”
“แต่ข้าจะสิ้นเปลืองเวลาเช่นนี้ไม่ได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
หากเป็นการบำเพ็ญตามปกติ หลังการสั่งสมอย่างยาวนานก็จะบรรลุ จากนั้นก็ใช้เวลามากขึ้นในการสั่งสม! อย่างการปะทะขั้นสุดยอดนั้น…ยากมากอยู่แล้ว จะต้องสั่งสมครั้งแล้วครั้งเล่า และบรรลุครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อการบรรลุไปถึงขั้นแน่นหนาหาใดเปรียบแล้ว จึงสามารถบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ตามธรรมชาติ! ถึงเวลานั้น สำหรับเขาแล้วก็จะสิ้นความกังขาเรื่องวิถีอากาศ!
ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลายอย่างประมุขรัฐเมฆทักษิณาหรือมหาเคารพฝูอี่ก็ล้วนแต่ติดอุปสรรคอยู่ มิอาจบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ แต่การจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดให้ได้ก่อนโลกกำเนิดบ้านเกิดจะแตกสลายนั้น ก็ยังคงยากเสียยิ่งกว่ายากอยู่ดี
“ใช้บุปผาโลกาอีกสักดอกดีกว่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ตอนนี้เมื่อหวนนึกไป
ตอนอยู่ในวังเทพจิตโลกา เขาใช้บุปผาโลกาต่อเนื่องกันอย่างฟุ่มเฟือยนัก ทว่าเมื่อดูจากผลลัพธ์แล้ว เขาได้เคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเจ็ดกระบวนคละถิ่นมา ทั้งยังมีวิธีหลอมอาวุธคละถิ่นที่เข้ากันได้ดีแนบมาด้วย เท่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว! เพราะถึงอย่างไรเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งวิชานี้ก็ทำให้ตนเข้าใจวิถีอากาศได้ลึกล้ำอย่างยิ่ง เพราะ ‘วิถีอากาศ ผสานกับ พลังคละถิ่น’ ตัวมันเองก็เป็นการใช้งานวิถีอากาศที่ซับซ้อนอย่างยิ่งอยู่แล้ว
……
ณ บ้านเกิด บุปผาโลกาดอกหนึ่งเบ่งบาน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าไปในนั้นเพื่อสัมผัสทุกสิ่ง
……
ขณะเดียวกับที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญนั้น บางครั้งก็จะออกมา ‘สังหารมารร้าย’ บ้าง
ขอแค่มีมารร้ายบังอาจเข่นฆ่า สร้างหายนะตามอำเภอใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะไม่อ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย
ภายในรัฐโบราณสหโลกา ณ ตำหนักใต้ดินของจวนอันหรูหราในตัวเมิองใหญ่แห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายนั่งขัดสมาธิอยู่ ตรงหน้าวางขวดสีดำขวดหนึ่งเอาไว้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ภายในขวดสีดำพลันมีวิญญาณจำนวนมากลอยออกมา แล้วก็ถูกชายหนุ่มผู้นี้สูดเข้าปากไป
“อื้ม ‘ไฟผลาญสามกัลป์’ ของข้าจวนจะฝึกสำเร็จแล้ว” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายเผยรอยยิ้มออกมา เขาอ้าปากสำรอกออกมาเบาๆ ก็มีเปลวเพลิงสีดำลอยออกมา กลิ่นอายชั่วร้ายคลุ้งคาวเลือดแผ่กำจายออกมา
“เป็นเพราะเจ้าคนวิถีจิตฟ้านั่นที่คุกคามไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้ข้าต้องเก็บรวบรวมวิญญาณเหล่านี้อย่างระมัดระวังถึงเพียงนี้ ระดับขั้นของข้าเพียงพอแล้ว ขาดแต่เพียงวิญญาณเท่านั้นเอง” นัยน์ตาของชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายฉายแววโกรธเกรี้ยว แม้จะโกรธเกรี้ยว แต่เขาก็ไร้หนทาง คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ต่อให้เป็นบรรพบุรุษของตระกูล แม้จะแข็งแกร่งกว่าคนวิถีจิตฟ้า แต่กลับยากที่จะโจมตีสังหารได้
อาจารย์ของเขาออกคำสั่งอย่างเคร่งครัดมานานแล้วว่า ให้เขาอดทนเอาไว้ก่อนชั่วคราว
แต่ความปรารถนาที่จะทำให้พลังยกระดับขึ้นไปนั้น ก็ทำให้เขายังคงลอบเก็บสะสมวิญญาณด้วยความระมัดระวัง
“เหิมเกริมถึงเพียงนี้ จะต้องอยู่ได้ไม่ยืดแน่ ในภายหน้าเขาต้องไม่มีจุดจบที่ดีแน่นอน” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายเกลียดชังคนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นมากเช่นเดียวกับมารร้ายทั่วไป เพียงแต่พวกเขาล้วนไม่กล้าเป็นปฏิปักษ์ด้วยก็เท่านั้นเอง
“ฟึ่บ”
รอยแยกสีดำกะพริบวาบคราหนึ่ง
บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นภายในโถงตำหนักใต้ดินแห่งนี้
ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายมองดูบุรุษอาภรณ์ขาวปรากฏกายขึ้นมา ราวกับน้ำแข็งถังหนึ่งรดลงบนศีรษะ เขามองดูอย่างตกตะลึง ใจก็สั่นไหว แข้งขาก็อ่อนยวบ สีหน้าก็ซีดขาว
“จิต จิต จิตฟ้า…” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายตื่นตะลึงเหลือแสน
คนวิถีจิตฟ้า
เพียงคนเดียวก็มีอานุภาพกดดันขุมอำนาจมารร้ายทั้งหมดในดินแดนจิตโลกาแล้ว!
เขาเอาชนะมารร้ายขั้นสุดยอดผู้ไร้เทียมทานอย่าง ‘ประมุขเกาะจันปา’ ได้
‘จวินอ๋องดำ’ แห่งรัฐโบราณสหโลกาก็น่าสงสัยว่าจะสิ้นใจด้วยน้ำมือของเขา
แม้ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายผู้นี้จะเคืองแค้นและเต็มไปด้วยความอาฆาต แต่เมื่อมองเห็น ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ความอาฆาตก็มลายหายไปจนสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงความหวาดหวั่นเท่านั้น! น่ากลัวเกินไปแล้ว! ผู้ทรงอิทธิพลที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ ยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่เก้าอย่างเขาคนหนึ่งไหนเลยจะรับมือได้
“คิดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้เจ้าทำร้ายสิ่งมีชีวิตมากมายถึงเพียงนี้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูขวดหยกสีดำนั้นแวบหนึ่ง วิญญาณภายในขวดมีนับพันล้านดวง เกรงว่าที่ถูกเขาทำร้ายคงจะมีมากมายตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพียงแต่วิธีการเร้นลับเกินไป แม้แต่เครือข่ายข่าวสารองสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็เพิ่งจะตรวจสอบพบ ทั้งยังเป็นเพราะนางผู้เป็นที่รักของศิษย์ขั้นรวมเป็นหนึ่งของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์คนหนึ่งถูกสังหาร เขาจึงตามหาศัตรูคู่แค้นมาตลอด จึงได้พบความจริงเข้า!
“ข้าเป็นคนสกุลฉื้อ เจ้าจะสังหารข้ามิได้” ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายตะโกนก้อง
“ตายเสียเถอะ”
นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงสาดประกายเย็นวาบ
ชายหนุ่มรูปงามท่าทางชั่วร้ายเบิกตากว้าง นัยน์ตาแฝงแววตื่นตระหนกเอาไว้ ทั้งสำนึกเสียใจและไม่ยอมจำนน เขาไม่อยากตาย ไม่อยากตายจริงๆ! เขายังอยากสำเร็จเป็นเทพจักรวาลอยู่นี่นา ในฐานะลูกหลานคนหนึ่งของสกุลฉื้อ เขาสร้างหายนะทั่วทิศตามอำเภอใจ วันคืนที่ทำตามใจตนเองอย่างสุขอุรานั้น เขายังอิ่มเอมกับมันไม่พอเลย
ปัง
ร่างกายของเขาแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไป
“เฮ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางขวดหยกสีดำนั้น แล้วถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง เขาโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บขวดหยกลงไป ที่นี่อยู่ในขอบเขตอำนาจของสกุลฉื้อ เขาจะปลดปล่อยคนที่น่าสงสารเหล่านี้ออกมา ก็ให้พ้นจากรัฐโบราณสหโลกาไปก่อนเถิด
เพียงหนึ่งชั่วลมหายใจให้หลัง
“คนวิถีจิตฟ้า!” เสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวสะท้อนไปทั่วท้องฟ้าทั้งตัวเมือง สกุลฉื้อเป็นตระกูลที่สร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรู ซึ่งแตกต่างจากผู้แกร่งกล้ารัฐโบราณคิมหันตวายุซึ่งเป็นชนพื้นเมืองดั้งเดิมทั่วไป ห้าบรรพชนแห่งรัฐโบราณสหโลกาล้วนแต่เป็นผู้มาจากภายนอกที่อาศัยจิตโลกากลับชาติมาจุติ ตระกูลใหญ่ที่วิวัฒน์ขึ้นมาที่นี่อย่างแท้จริงมีเพียงสองตระกูลเท่านั้น
ตระกูลสกุลฉื้อ เป็นถึงหนึ่งในสองตระกูลใหญ่แห่งรัฐโบราณสหโลกา
ขุมอำนาจเช่นนี้…
กลับปล่อยให้คนวิถีจิตฟ้าบุกสังหารเข้ามาภายในรัฐโบราณสหโลกาและสังหารลูกหลานคนสำคัญของพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ นี่มิใช่การท้าทายคนทั้งสกุลฉื้อหรือไร
“ลูกหลานสกุลฉื้อเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตไปนับล้านล้านชีวิต ในเมื่อเป็นมาร เช่นนั้นข้าก็จะสังหารเช่นกัน!” เสียงหนึ่งสะท้อนก้องไปทั่วทั้งฟากฟ้าเหนือตัวเมือง จากนั้นคนวิถีจิตฟ้าก็จากไป
……
เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
คนวิถีจิตฟ้าโหดเหี้ยมมากอย่างแท้จริง
ไม่ว่าผู้ใด ไม่ว่าจะมีเบื้องหลังใหญ่โตเพียงไหน หากกล้าสร้างหายนะตามอำเภอใจก็ต้องถูกสังหารหมดโดยไม่ละเว้น!
เขาสังหารเสียจนทำเอาคนสำคัญของขุมอำนาจใหญ่ฝ่ายต่างๆ สั่นสะท้านขึ้นมาบ้างแล้ว ที่ผ่านมาพวกเขาจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ถึงขั้นทำร้ายสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเพียงเพื่อ ‘เอาสนุก’ เท่านั้น! หรือถึงขั้นทำการทดลองกระบวนท่าหรือทำการประลองบางอย่าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ จำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่สนใจเลย เหมือนกับเหยียบมดปลวกตายไปอย่างไรอย่างนั้น
บัดนี้พวกเขาล้วนแต่ได้รับคำสั่งอันเข้มงวด! บวกกับที่คนวิถีจิตฟ้าบุกสังหารออกมาจนชื่อเสียงกระฉ่อน คนของตระกูลใหญ่แห่งหกรัฐโบราณจึงพากันเก็บเนื้อเก็บตัวขึ้นเป็นอันมาก
*******
ณ นครหลวงรัฐเมฆทักษิณา
“ท่านอาจารย์ขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาพบประมุขรัฐเมฆทักษิณา ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่งกำไลข้อมือสีทองวงหนึ่งมาให้พลางพูดยิ้มๆ ว่า “เสวี่ยอิง ของล้ำค่าที่เจ้าต้องการเหล่านี้ แม้แต่ละอันจะมิได้นับว่าได้มายากนัก แต่ถึงอย่างไรจำนวนก็มากเกินไป ข้าใช้เวลาไปแปดสิบกว่าล้านปีจึงสามารถเก็บรวบรวมได้ครบ”
“อีกไม่นานแล้ว เร็วกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เขาเข้าใจดีมากว่า ของล้ำค่าเหล่านี้เรียกว่าหาได้ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับ ‘เม็ดทรายอลวน’ แต่ถึงอย่างไรก็ซับซ้อนอยู่ดี เครือข่ายสายสัมพันธ์ของตนนั้นสู้ท่านอาจารย์มิได้ นอกจากนี้ก่อนจะขายสมบัติลับระดับยอดสุดออกไป นอกจากจะใช้มหาคุณูปการแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่าจำนวนมากในรัฐโบราณคิมหันตวายุมา มิเช่นนั้นแล้วเขาก็คงไม่มีผลึกแก้วจักรวาลมากพอจะซื้อไหว
เม็ดทรายอลวนนั้นได้มาจากการเจรจาตกลงกับรัฐโบราณคิมหันตวายุ
ส่วนวัสดุอื่นๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่ค่อยอยากจะเก็บรวบรวมจากที่นั่นสักเท่าใดนัก! แม้จะกล่าวว่าเมื่อไม่มีเคล็ดวิชาหลอมแปร เขาเชื่อว่าพวกจักรพรรดิเซี่ยเพียงแค่ดูจากรายการวัสดุก็มองอะไรไม่ออก แต่ก็ยังคงไม่อยากให้เกิดอุปสรรคอะไรขึ้นมา
“ในที่สุดก็ครบเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบกำไลสีเงินขึ้นมา แล้สัมผัสรับรู้วัสดุภายในทั้งหมด จากนั้นก็ตรวจดูรอบหนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
ครบหมดแล้ว
ในที่สุดก็สามารถเริ่มหลอมแปรอาวุธคละถิ่นได้แล้ว!
“เสวี่ยอิง” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเอ่ยขึ้น “หลายปีมานี้ เจ้าอาศัยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าสังหารมารร้ายเหล่านั้นก็นับว่าระมัดระวังดีอยู่ แต่เมื่อทำเช่นนี้ ท้ายที่สุดเจ้าก็สร้างความแค้นมากขึ้นทุกทีๆ! แม้แต่ลูกหลานตระกูลใหญ่ของรัฐโบราณเจ้าก็ไม่ละเว้น คู่แค้นมากขึ้นทุกทีๆ ตัวตนของเจ้ายังไม่ถูกเปิดโปงก็ยังดี หากเปิดเผยออกมาเมื่อไหร่ เจ้าก็คงมีศัตรูเกลื่อนโลกไปหมดแล้ว”
“ไหนเลยจะนับได้ว่ามีศัตรูเกลื่อนโลกเล่าขอรับ พูดได้เพียงว่ามารร้ายเป็นศัตรูของข้าหมดก็เท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มเจื่อน “ต่อให้มีศัตรูมากกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า แม้จะมีเป็นสิบล้านคน ข้าก็จะมุ่งหน้าต่อไป! นอกจากนี้มารร้ายก็รู้จักกลัวเช่นกัน เมื่อฆ่าจนพวกมันกลัวกันหมดแล้ว พวกมันก็ไม่กล้าทำชั่วแล้วล่ะขอรับ”
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพยักหน้าเบาๆ
ตัวเขาเองออกจะหวั่นเกรงอันตรายที่ศิษย์จะต้องเผชิญอยู่บ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์มีใจแน่วแน่เป็นอันมาก
และบัดนี้บรรดามารร้ายในดินแดนจิตโลกาก็ถูก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ เพียงคนเดียวคุกคามเข้าแล้วจริงๆ!
“เจ้าระวังเอาไว้เถิด ตลอดคืนวันอันยาวนานมาจนถึงบัดนี้ ดินแดนจิตโลกาไม่มีผู้ใดสามารถทำให้พวกเขาคร้ามเกรงไปตลอดกาลได้อย่างแท้จริงเลย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเตือน
“ท่านอาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวลใจไปหรอกขอรับ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่มีผู้ทำได้มาก่อนก็ตาม” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม “แต่เส้นทางก็มีคนเป็นผู้เดิน! ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนแรกที่เดินบนทางเส้นนี้”
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 30 กอบกู้และซาบซึ้ง
“ข้าต้องการให้การบูชาโลหิตในโลกกำเนิดอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้สิ้นซากไป การเข่นฆ่าครั้งใหญ่สูญหายไปจากผืนดินนี้ ผู้ที่กล้าก่อการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ จะต้องถูกทำลายจนสิ้น บางทีข้าอาจจะยังจัดการมารร้ายตัวฉกาจที่ไร้เทียมทานมิได้ แต่เมื่อมีทางเส้นนี้ ข้าก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันหนึ่งที่ข้าสามารถจัดการกับพวกเขาได้ก็เป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอาจารย์ยิ้มๆ
ประมุขรัฐเมฆทักษิณามองดูรอยยิ้มของศิษย์ ทันใดนั้นก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างกันขึ้นมาทันที
สำหรับผู้บำเพ็ญส่วนมากแล้ว เขาสนใจ ‘การทำตนเองให้ดี’ เสียมากกว่า เนื่องจากมีแต่มีชีวิตรอดเท่านั้น จึงจะมีหวังไต่ขึ้นสู่ยอดแห่งมหาวิถีได้
แล้วศิษย์ของตนเล่า
กลับมีจิตแห่งวิถีคมปลาบดุจมีด แม้ข้างหน้าจะไร้ทางเดิน เขาก็ฟันฝ่าหาทางเส้นใหม่ขึ้นมา! เขายอมบุกเบิกเส้นทางเส้นหนึ่งขึ้นมาเพื่อสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน! บางทีความเพียรพยายามเช่นนี้ จิตใจที่แน่วแน่เช่นนี้ สภาพจิตใจเช่นนี้…อาจจะเป็นสาเหตุที่ศิษย์ของตนมีพลังก้าวหน้าเช่นนี้ก็ได้กระมัง
“หากอยากจะจัดการกับมารร้ายที่ไร้เทียมทานเหล่านั้น เกรงว่าคงจะต้องกระโดดออกจากกรงขังจึงจะใช้ได้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากล่าว
“อาจจะมีสักวันหนึ่งที่ข้าสามารถกระโดดออกไปก็เป็นได้ ผู้บำเพ็ญอย่างพวกเรา ผู้ใดไม่ใฝ่ฝันอยากกระโดดออกจากกรงขังนี้บ้างเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ “ท่านอาจารย์ขอรับ ศิษย์ขอตัวก่อน”
เขายังต้องรีบกลับไปหลอมอาวุธอีก
เรื่องการหลอมอาวุธคละถิ่นมิอาจชักช้าได้
******
วันนั้น
กลางห้องลับใต้ดินแห่งหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายในจวนจ้าวแห่งเมืองหิมะเหิน
“โครมมม…” ประตูห้องลับพลันปิดลง ด้านบนมีอักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนลอยคว้างอยู่ ทั้งเมืองหิมะเหินถูกตงป๋อเสวี่ยอิงเสริมสร้างเสียจนแข็งแกร่ง ช่วงการหลอมอาวุธคละถิ่นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดและต้องระมัดระวังที่สุดด้วย
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวทั้งร่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งภายในห้องเงียบ เขาโบกมือคราหนึ่ง ธูปดอกหนึ่งถูกจุดขึ้น กลิ่นหอมแผ่กำจายไปทั่วทั้งห้องเงียบ
ต้องสงบจิตเสียก่อน
ภายในห้วงสมองมีกระบวนการหลอมอาวุธเทพอลวนซึ่งแนบมากับเจ็ดกระบวนคละถิ่นผุดขึ้นมา ด้วยระดับขั้นของเขาในตอนนี้ กระบวนการหลอมก็ไม่นับว่ายากสักเท่าใดนัก เพียงแต่ละเอียดยิบย่อยมาก เห็นได้ชัดว่า ‘หยวน’ ก็ได้คำนึงถึงว่าจะมอบให้แก่ชนรุ่นหลัง ว่าจะให้ชนรุ่นหลังสามารถหลอมอาวุธคละถิ่นขึ้นมาได้ เขาจึงตั้งใจแบ่งกระบวนการหลอมออกเป็นขั้นตอนต่างๆ กว่าหมื่นขั้น แต่ละขั้นตอนก็ง่ายดายขึ้นไม่น้อย
“คาดว่าใช้เวลาสักหมื่นล้านปีก็สามารถหลอมสำเร็จได้แล้ว แม้กระบวนการหลอมจะซับซ้อน แต่กลับไม่นับว่ายากนัก แค่ต้องเตรียมร่างแยกร่างหนึ่งแล้วหลอมอย่างสุดกำลังก็เป็นอันใช้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
แม้เขาจะสามารถทำให้ร่างแยกทั้งเก้ารักษาพลังที่แทบจะสมบูรณ์แบบเอาไว้ได้
แต่การหลอมอาวุธนั้นมิอาจรีบร้อนได้ ต้องค่อยๆ ทำไปทีละขั้น ร่างแยกเพียงร่างเดียวก็เพียงพอแล้ว
“ฟิ้ว”
วัสดุทั้งหมดเตรียมเอาไว้อย่างเพียงพอแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง ก็มีวัสดุสิบหกชนิดปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ในจำนวนนั้นมีเชื้อเพลิงชนิดพิเศษ มีของเหลว และมีดอกไม้…วัสดุต่างๆ ทั้งของเหลว ดอกไม้และผงต่างๆ หลอมรวมเข้าไปในเชื้อเพลิงอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ละขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนแต่สำแดงความเร้นลับของค่ายกลชนิดต่างๆ ออกมา เหนี่ยวนำพลังคละถิ่นหลอมรวมเข้าไปในนั้น ทำให้เปลวเพลิงที่ปะทุออกจากเชื้อเพลิงมีอานุภาพแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นบรรลุถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อในท้ายที่สุด นี่เป็นเพียง ‘เพลิง’ ใสตอนแรกสุดเท่านั้น การจะหลอมรวมเม็ดทรายอลวนนั้นไม่ง่ายเลย
……
บรรดามารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนในดินแดนจิตโลกาล้วนกำลังรอคอย รอคอยวันที่ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าจะเปิดเผยออกมา
พวกเขากลับไม่รู้ว่า…
‘คนวิถีจิตฟ้า’ ผู้นี้กลับกำลังหลอมอาวุธคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นอยู่
เวลาล่วงเลยไป
ขณะเดียวกัน ทุกครั้งที่ในดินแดนจิตโลกามีเรื่องการเข่นฆ่าหรือหายนะครั้งใหญ่เกิดขึ้น เขาก็จะปรากฏกายและลงมือโดยอาศัยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า!
แม้จะกล่าวว่าเขาลั่นวาจาอย่างเปิดเผยไปก่อนหน้านี้แล้วว่า คนของตระกูลใหญ่แห่งหกรัฐโบราณก็จะต้องถูกพันธนาการด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรดินแดนจิตโลกาก็ใหญ่โตเกินไปแล้ว! ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งก็จะมีมารร้ายสักตนหนึ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา! เพราะถึงอย่างไรการบำเพ็ญตลอดคืนวันอันยาวนาน ก็นับว่ามีผู้เดินไปตามเส้นทางแห่งมารร้ายมากมายนัก เนื่องจาก ‘เส้นทางแห่งมารร้าย’ นั้นต้องแก่งแย่งชิงดีกัน สามารถแย่งชิงทรัพยากรมาได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีเคล็ดวิชาใช้วิญญาณของผู้อื่นฝึกฝนวิชาด้วย วิธีแย่งชิงเหล่านี้ ยิ่งร้ายกาจเท่าใด กลับยิ่งรวดเร็วขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นในฐานะที่เป็นโลกกำเนิดที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา มารร้ายก็ย่อมมีมากมายนับไม่ถ้วน มีคนมากมายยิ่งนักที่ไม่มีเบื้องหลัง มารร้ายที่ไม่มีเบื้องหลังและมีพลังอ่อนแอ ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ มาก่อน
ส่วนผู้ที่ไม่มีเบื้องหลัง หรือมีพลังอ่อนแอเหล่านั้น พลังทำลายล้างของพวกเขากลับไม่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย
……
“การตายเพื่อเจ้าลัทธิของเรา เป็นเกียรติของเจ้าและคนอื่นๆ” มารเฒ่าตนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ พลางมองดูผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกจับมาไว้ตรงหน้า
ทันใดนั้น…
บุรุษอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากความว่างเปล่า มองดูมารเฒ่าผู้นี้ด้วยสายตาเย็นชา “สร้างหายนะให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนตามอำเภอใจ ควรฆ่าทิ้งเสีย”
เมื่อมารเฒ่ามองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นก็รู้สึกหนาวสั่นจากก้นบึ้งหัวใจ แม้เขาจะไม่รู้จัก ‘คนวิถีจิตฟ้า’ แต่แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายแล้วแผ่กำจายผ่านอากาศมานั้น ก็ทำให้มารเฒ่าหวาดหวั่นเหลือแสน เขาเข้าใจว่าแตกต่างกัปอีกฝ่ายมากมายยิ่งนัก มารเฒ่าไถลจากบัลลังก์ลงไปคุกเข่าทันที
เขาคุกเข่าวิงวอน “ไว้ชีวิตด้วยๆ ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิตด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะปรับปรุง ข้ายินดีอุทิศชีวิตให้ผู้อาวุโสขอรับ”
มารเฒ่าบำเพ็ญมาถึงระดับขั้นทุกวันนี้ เขาเคยชินกับการก้มหัวเมื่อเผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าเสียแล้ว
เมื่อเหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างมองเห็น มารเฒ่าที่อยู่สูงขึ้นไปผู้นั้นคุกเข่าลงอ้อนวอน ก็อดกังวลใจขึ้นมามิได้ กังวลว่าผู้แกร่งกล้าผู้นั้นจะไม่สังหารมารร้าย และไม่ช่วยเหลือพวกเขา
“อุทิศชีวิตให้ข้ารึ เจ้าคู่ควรหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงเย็นชา
ระลอกคลื่นมิติกดดันออกไป
ร่างกายของมารเฒ่ากระจัดกระจายไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันมองไปทางผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเบื้องล่างแล้วโบกมือคราหนึ่ง “รอดชีวิตกันเถิด”
เขาอพยพพวกเขาออกไปนอกประตูเมืองใหญ่ทันที
……
เขาสังหารมารร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า และช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้มารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนจะเกลียดชังเขามาก แต่ก็มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซาบซึ้งใจต่อผู้อาวุโสท่านนี้เป็นอันมาก
“รอดชีวิตก็ดีแล้วๆ”
“ท่านปู่ เป็นคนชุดขาวผู้หนึ่งที่ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้ขอรับ”
“อื้มๆ ท่านพ่อเจ้าก็จากไปแล้ว หากเจ้าก็ประสบเรื่องที่ไม่คาดคิดด้วย ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไรดี” ผู้บำเพ็ญคนหนึ่งกอดเด็กน้อยเอาไว้พลางพูดพึมพำ ในใจรู้สึกซาบซึ้งต่อผู้ช่วยชีวิตคนนั้นเป็นอันมาก
……
“พวกเรารอดแล้ว” มีสหายร่วมวิถีที่ยินดีจนน้ำตาร่วงหลังหายนะผ่านพ้นไป
……
“บุญคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้ ข้าจะไม่มีทางลืมเลย” ผู้บำเพ็ญจำนวนมากพากันจดจำบุญคุณเอาไว้
……
ผู้ที่ซาบซึ้งใจต่อตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีมากมายเกินนับไหว
ในจำนวนนั้นมีเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งมีที่มาอันเร้นลับคนหนึ่ง
“องค์หญิง ท่านประมุขกล่าวไว้ก่อนแล้วว่า ดินแดนจิตโลกาแห่งนี้อันตรายมาก ห้ามบุกเข้าไปมั่วซั่วเป็นอันขาด แต่ท่านก็ยังลอบออกมา ท่านดูเอาเถิด ท่านเพิ่งจะออกมาก็ประสบกับมารร้ายเสียแล้ว! ถ้าหาก ถ้าหากท่านสิ้นใจด้วยเงื้อมมือของมารร้ายนั่นจริงๆ ท่านประมุขจะเศร้าโศกเสียใจเพียงใดขอรับ” คนชุดดำผู้หนึ่งพูดเสียงต่ำ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เด็กหญิงข้างๆ กลับแหงนหน้า ทอดสายตามองไปยังขอบฟ้าไกลออกไป “ข้ารู้ตัวแล้วว่าผิด รู้ตัวแล้วว่าผิด ท่านอาฉิว ผู้ที่ช่วยข้าเอาไว้ผู้นั้นเป็นใครกันน่ะ”
“ตามข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนจิตโลกาที่พวกเราทราบ คนชุดขาวผู้นั้นก็คือผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งซึ่งอาศัยพลังของตัวคนเดียวทำให้มารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาหวาดหวั่น มีนามว่าคนวิถีจิตฟ้า” คนชุดดำกล่าว “ครั้งนี้ติดค้างคนวิถีจิตฟ้ามากนัก มิฉะนั้น มิฉะนั้น…”
“คนวิถีจิตฟ้าหรือ” เด็กหญิงกลับนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา
“ไปกันเถิดขอรับๆ รีบกลับกันเถิด” คนชุดดำกล่าว
“คนวิถีจิตฟ้าอาศัยอยู่ที่ใดกัน ข้าอยากจะไปเยี่ยมเขาสักหน่อย” เด็กหญิงเอ่ย
“ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าเป็นปริศนา ข้าไหนเลยจะทราบว่าเขาอยู่ที่ใดขอรับ” คนชุดดำกล่าว
“พวกเจ้าตรวจสอบให้ข้าที ข้าจะไปหาเขา ข้าจะไปหาเขา” เด็กหญิงลั่นวาจา
“องค์หญิง ไม่มีทางตรวจสอบได้หรอกขอรับ! คนวิถีจิตฟ้ากระทำการเช่นนี้ เป็นการล่วงเกินมารร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา เขาไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงหรอกขอรับ แล้วข้าจะหาพบได้อย่างไรกัน” คนชุดดำกล่าว เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ด้านข้างกลับมีแสงดาวรวมตัวกันขึ้นมา กลายเป็นบุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวอันหรูหราผู้หนึ่ง
“ท่านประมุข” คนชุดดำผู้นี้รีบคารวะทันที
บุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวมองดูบุตรสาวของตน แล้วก็เกิดความหวั่นกลัวขึ้นมา เขาเอ็ดตะโรว่า “เจ้านี่มันช่างดื้อดึงจริงๆ หนีออกมาเช่นนี้ แล้วกลัวข้าจะรู้เข้า แม้แต่วัตถุส่งสารจึงไม่เอามา อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเจ้าก็จะไม่มีชีวิตรอดแล้ว!”
“มิใช่ว่าข้าไม่เป็นอะไรหรอกหรือ” เด็กหญิงกลับก้มหน้าพูดเสียงอ่อน
“เฮอะ เจ้าชักจะบังอาจขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เห็นทีคงจะต้องดูแลอย่างเข้มงวดเสียแล้ว” บุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวคว้ามือเด็กหญิงเอาไว้ “ไป”
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้าอยากจะพบคนวิถีจิตฟ้าเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตะโกน
บุรุษผู้สวมอาภรณ์แสงดาวสะดุ้งเฮือกก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบทั่วดินแดนจิตโลกาเอง ทันทีที่รู้ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า ข้าจะพาเจ้าไปคารวะเขาเอง เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีบุญคุณช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้”
เขาพูดพลางพาเงาร่างของบุตรสาวและผู้ใต้บังคับบัญชาด้านข้างอันตรธานไปพร้อมกัน
……
ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ที่ซาบซึ้งต่อคนวิถีจิตฟ้าก็มีจำนวนนับไม่ถ้วน ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ่งเบิกบานใจและพึงพอใจ วันคืนค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไปเช่นนี้เอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น