Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน ภาคที่ 35 ตอนที่ 23-26
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 23 ทัศนียภาพอันงดงามล้ำเลิศที่สุด
เมืองฟู่จวินก็เป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง ประชากรนับล้านล้านคน เจ้าเมืองฟู่จวินก็เป็นยอดฝีมือขั้นอลวนคนหนึ่ง อยู่ภายในเมือง พูดคำไหนก็เป็นคำนั้น
เสียงเครื่องดนตรีสะท้อนก้องอยู่ภายในโถงตำหนัก เหล่าสาวงามโลดเต้นฟ้อนรำ
เจ้าเมืองฟู่จวินกำลังรับรองแขกเหรื่อจำนวนหนึ่งอยู่ พูดคุยหัวเราะอย่างติดลมบน
“ปัง”
ทันใดนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองฟู่จวิน
“แย่แล้ว” เจ้าเมืองฟู่จวินสีหน้าแปรเปลี่ยน แล้วเคลื่อนที่ในพริบตาหายลับไปจากบนที่นั่งประธาน มาถึงยังกลางท้องฟ้าเบื้องบน
ฟิ้วๆๆ…
ด้านข้างมีเงาร่างสายแล้วสายเล่าปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน มียอดฝีมือใต้บังคับบัญชา แล้วก็มีแขกเหรื่อที่รับเชิญมางานเลี้ยงในครั้งนี้จำนวนหนึ่ง
พวกเขามองท้องฟ้าเบื้องบนที่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้กลางอากาศไกลออกไปมีมารกำลังควบคุมขวดสีดำใบหนึ่งอยู่ ขวดสีดำแผ่ระลอกคลื่นจางๆ ปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่งในปราการเมือง มีพลพรรคมารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏตัวขึ้นที่ทุกหนแห่งในเมืองฟู่จวินแล้วเริ่มต้นทำการสังหารหมู่ตามอำเภอใจ ขณะที่วิญญาณถูกสังหารหมู่ มีพลังวิเศษแผ่กระจาย ถูกระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างดึงดูดให้เข้าไปภายในขวดสีดำนั้นจนหมดสิ้น
“ขวดมารบูชาโลหิต!”
“เป็นการบูชาโลหิต!”
ทุกคนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงรวมทั้งตัวเจ้าเมืองฟู่จวินด้วย
กล้าบูชาโลหิตเมืองแห่งหนึ่ง ขุมอำนาจที่ทำเรื่องชั่วร้ายพรรค์นี้ได้ ไม่มีแม้แต่หนึ่งเดียวที่มิใช่ผู้บัญชาการมารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน! มารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานพรรค์นั้นก็เป็นผู้ที่เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังฆ่าไม่ตาย
ผู้ที่อยากขจัดความชั่วร้ายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มากมายนัก แต่ผู้ที่มีพลังยุทธ์พอจะทำเช่นนี้ได้ก็มีน้อยเสียจนน่าสงสาร ในบรรดาผู้แกร่งกล้าที่มีความสามารถ ผู้ที่เต็มใจจะริเริ่มทำการขจัดมารก็เกรงว่าจะมีเพียงน้อยนิดแค่สองสามคนเท่านั้น ที่น่าอนาถที่สุดก็คือ… แม้ว่าจะเป็นเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่สูงส่งเหนือผู้ใดก็ยังมีความกระดากใจ มารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานบางคนที่พวกเขาฆ่าไม่ตาย แต่บรรดาพญามารเหล่านั้นกลับมิใคร่จะสนใจความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชาสักเท่าใดนัก ในทางกลับกันก็สามารถเข้าไปในรัฐโบราณ ก่อให้เกิดภัยตามอำเภอใจ
ดังนั้นผู้ที่เต็มใจจะทำการขจัดมาร เมื่อคำนึงถึงสิ่งมีชีวิตใต้บังคับบัญชาของตนก็ยอมแพ้เสียแล้ว ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา พวกเขาก็ยินยอมแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมาจัดการกับมารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานเหล่านี้เป็นการเฉพาะแล้ว
“หมดกัน”
“การบูชาโลหิต การบูชาโลหิตมาเยือนแล้ว”
ในใจของพวกเจ้าเมืองฟู่จวินแต่ละคนสิ้นไร้ความหวัง บรรดาแขกเหรื่อจำนวนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ในบรรดาพวกเขามีผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนอยู่หลายคน แต่ก็เพียงแค่ส่งร่างแปรมา ส่วนร่างจริงก็ยังต้องนั่งประจำการยังที่มั่นอยู่
“เจ้าเมืองฟู่จวิน โปรดอภัยที่พวกข้าไร้ความสามารถ”
“โอ๊ย นี่คือมารแห่งเกาะจันปา ต้านไม่ไหวหรอก” ทันใดนั้นมีแขกที่ร่างแปรสลายไปในทันที
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ช่วยข้าด้วย”
“ท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมือง”
ด้านข้างก็มีบางคนที่ติดตามมายังเมืองฟู่จวินพร้อมกับแขกเหรื่อ แต่ร่างจริงมาที่นี่ก็ขอความช่วยเหลือ เพียงแต่อาจารย์ของพวกเขาและเหล่าเจ้าเมืองกลับส่ายศีรษะ บ้างก็เงียบงัน บ้างก็มองดูศิษย์ใต้บังคับบัญชาของตน “ท่านอาจารย์ช่วยเหลือพวกเจ้าไม่ไหว เผชิญหน้ากับเกาะจันปา ท่านอาจารย์ก็เป็นเพียงแค่มดปลวกเท่านั้น ก็ขึ้นกับโชคชะตาแล้วล่ะ!”
พวกเขาถึงขนาดที่ทิ้งร่างแปรเอาไว้ ความกล้าในการห้ำหั่นกับมารสักนิดก็ไม่มี กลัวเพียงแต่ว่าจะไปยั่วยุเกาะจันปาเข้า! พวกเขาเพียงแค่ต้องการอยู่ให้ห่างได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“ไม่…”
“ท่านอาจารย์…”
ผู้บำเพ็ญจำนวนมากมายล้วนสิ้นหวังหาใดเปรียบ
ล้านล้านชีวิตทั่วทั้งปราการเมืองต่างก็จมอยู่กับความสิ้นหวังในชั่วพริบตา แม้กระทั่งเจ้าเมืองฟู่จวินก็ยังทุกข์ทนกระวนกระวาย
“เจ้าเมืองฟู่จวินหรือ” พร้อมกับเสียงหัวเราะเยียบเย็น กองกำลังย่อยสามคนของมารขั้นอลวนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาแตรละคนต่างก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้าเมืองฟู่จวินเสียอีก สามคนร่วมมือกัน เจ้าเมืองฟู่จวินก็ไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด” เจ้าเมืองฟู่จวินกลับค้อมกายลงขอร้องในทันที
บรรดาลูกน้องและชนเผ่าที่อยู่ข้างๆ เขาเห็นท่านเจ้าเมืองของตนไม่มีความกระหายในการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับขอร้องเสียแล้ว ก็รู้สึกเจ็บปวดเศร้าโศกยิ่งนัก
“ไว้ชีวิตหรือ ก็มิใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้เจ้าก็ฟังบัญชาของพวกข้า ควบคุมค่ายกลทั่วทั้งเมืองฟู่จวินให้ช่วยเหลือพวกข้าสิ” มารขั้นอลวนทั้งสามต่างก็เผยรอยยิ้มออกมา ถึงอย่างไรทั้งปราการเมืองก็ใหญ่โตเกินไป สิ่งมีชีวิตมากมายเกินไป อ่อนแอเกินไป ถึงแม้ว่าจะทำการสังหาร ก็ต้องรักษาการสังหารให้ดีเป็นครู่ใหญ่! ถ้าหากมีเจ้าเมืองฟู่จวินใช้ค่ายกลช่วยเหลือ เช่นนั้นก็จะรวดเร็วขึ้นมาเลยทีเดียว
“ได้สิ” เจ้าเมืองฟู่จวินขบกราม เขาเองก็เศร้าโศกเสียใจมิใช่น้อยที่ต้องหักหลังประชากรในเมืองทั้งหมด เพียงแต่บำเพ็ญมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ จิตแห่งวิถึของเขาทั้งหมดก็เพื่อตนเองเท่านั้น! ขอเพียงแค่ตนเองมีชีวิตรอด ทั้งตระกูลล่มสลายแล้วอย่างไรเล่า ตระกูลยังมีสาขาอยู่ข้างนอก ผ่านระยะเวลาอันยาวนานก็จะแกร่งกล้าเช่นเดิม
หากแต่ตนจบเห่แล้ว เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะสูญเปล่า
“ข้าสามารถช่วยเหลือลูกๆ ของข้าได้หรือไม่” เจ้าเมืองฟู่จวินเอ่ยถาม
“เจ้าอยากตายหรือ” มารขั้นอลวนที่เป็นผู้นำคนหนึ่งสีหน้าเข้มขึ้น
“ไม่ๆ” ทันใดนั้นเจ้าเมืองฟู่จวินก็มิกล้าพูดมากอีก
……
ทั้งปราการเมืองฟู่จวินต่างก็ตกอยู่ท่ามกลางความตื่นตระหนกและสิ้นหวังขนานใหญ่ ภายในเมืองก็มีตำหนักย่อยของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์อยู่ รับศิษย์ที่นี่ เป็นถึงสิบสำนักใหญ่แห่งดินแดนจิตโลกา สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็แทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่ง ปราการเมืองที่นับได้ว่าค่อนข้างใหญ่โตอย่างเมืองฟู่จวิน ก็ต้องมีฐานที่มั่นอยู่แล้ว
“การบูชาโลหิต เหล่ามารแห่งเกาะจันปามาบูชาโลหิตแล้ว” เหล่าศิษย์ของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ที่ตำหนักย่อยแห่งนี้สิ้นหวังหาใดเปรียบ แล้วรายงานข่าวขึ้นไปในทันที
พวกเขานับได้ว่าเป็นระดับรากหญ้าที่สุดของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์แล้ว
ย่อมไม่เคยคิดมาก่อนอยู่แล้วว่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาจะมาช่วยพวกเขา เพราะว่าแม้กระทั่งตัวประมุขรัฐเมฆทักษิณาเองก็มีบางเรื่องที่ไม่กล้าทำ พวกมารต่างก็ไม่มีศีลธรรมจรรยา แต่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์นั้นกลับมีศีลธรรมจรรยาเป็นอย่างยิ่ง
ข่าวคราวถูกรายงานขึ้นไป
เพียงไม่นานข่าวคราวก็ขึ้นไปถึงตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว
*****
ณ เมืองหิมะเหิน
ธูปหอมดอกหนึ่งลุกไหม้อยู่ภายในห้องเงียบ กลิ่นหอมแผ่กำจาย ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างนั่งสมาธิอยู่ที่นั่น หลับตาบำเพ็ญด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังพยายามสั่งสมหมายจะให้เก้าสายผสานรวมกันได้สำเร็จไปถึงระดับสุดยอด ผสานรวมจากสิ่งที่ตระหนักรู้ในเจ็ดกระบวนคละถิ่นและเคล็ดวิชาบางส่วนของวิถีอากาศ แล้วคิดค้นยุทธวิธีหิมะเหินออกมาด้วยตนเอง สามกระบวนสังหารในนั้นยังเป็นวานที่ตงป๋อเสวี่ยอิงภาคภูมิใจ ตอนนี้เพราะว่าเขาหยั่งรู้แสงทิพย์วิญญาณ์ ก็กำลังทดลองคิดค้นกระบวนสังหารที่สี่ออกมา
กระบวนการคิดค้นกระบวนสังหารออกมา ก็คือการสั่งสมการตระหนักรู้ การบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้ น้ำหยดลงหินทุกวันจนหินกร่อน
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นในทันใด นัยน์ตามีแววโกรธแค้นสายหนึ่ง “บูชาโลหิตเมืองฟู่จวินหรือ แล้วยังเป็นเกาะจันปาด้วยอย่างนั้นหรือ”
เห็นเพียงว่ารูปลักษณ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่เปลี่ยนแปลงไปในทันใด เปลี่ยนแปรกลายเป็นรูปลักษณ์ของบุรุษที่ดูแปลกตาคนหนึ่ง รูปแบบของอาภรณ์ขาวก็มีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เดิมทีซ่อนเร้นกลิ่นอาย กลิ่นอายที่ปลอมแปลงออกมาก็เยียบเย็นเต็มไปด้วยไอชั่วร้าย
พรึ่บ
รอยแตกสีดำที่อยู่ด้านข้างกะพริบวาบ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หายลับไปไม่เห็นอีก
เพราะว่าห้วงมิติเมืองฟู่จวินถูกปิดผนึก คิดอยากช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ วิธีการธรรมดาทั่วไปย่อมไม่สามารถเข้าไปได้อยู่แล้ว แต่ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกานั้นกลับสามารถเข้าไปได้!
……
ณ เมืองฟู่จวิน
ภายในเรือนพักธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง รอยแยกสีดำกะพริบวาบขึ้นกลางอากาศ ก็คือบุรุษอาภรณ์ขาวใบหน้าแปลกตาคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
เสียงตะโกนร้องไห้ เสียงคำรามอย่างโมโห และเสียงของการห้ำหั่น…เสียงต่างๆ นานาแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งของเมืองฟู่จวิน ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นถึงยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านวิถีอากาศ ก็รับสัมผัสถึงเหตุการณ์ทั่วทุกหนแห่งของเมืองฟู่จวินได้โดยตรง ถึงแม้ว่าตั้งแต่เริ่มทำการบูชาโลหิต ถึงข่าวสารจะแพร่ไปว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมา เพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ระยะเวลาอันแสนสั้นเท่านั้นแต่กลับมีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่ถูกสังหารหมู่
‘พินิจดู’ เหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดในแต่ละแห่ง แววสังหารในดวงตาของตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นก็มิอาจปิดบังได้
“เกาะจันปา! คราวก่อนผลาญพลพรรคของพวกเจ้า คราวนี้พวกเจ้ายังกล้าบูชาโลหิตอีก!” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงอย่างโมโห เสียงตะโกนอย่างโมโหนี้ดังก้องไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองฟู่จวินอย่างน่าประหลาด ตงป๋อเสวี่ยอิงยื่นมือตรงขึ้นไปด้านบนอย่างเยียบเย็น…
ตูม!
กลางเวหาด้านบนพลันระเบิดในทันใด
รอยแยกของห้วงอากาศหลายร้อยสายแผ่ไปทั่วในทันที รอยแยกของห้วงอากาศสายแล้วสายเล่าจำนวนมากมายกระจายปกคลุมส่วนใหญ่ของเมืองฟู่จวิน กวาดผ่านพลพรรคมารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แล้วเหล่ามารขั้นอลวนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของรอยแยกของห้วงอากาศก็ถูกผลาญสังหารไปในทันที ไม่มีผู้ที่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อยสักคนเดียว
“ไม่”
“เป็นเขาอีกแล้ว!”
ได้ยินเสียงตะโกนอันโกรธเคืองที่ดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกหนแห่งในเมืองฟู่จวิน เหล่ามารที่เคลื่อนไหวที่เกาะจันปาในครั้งนี้ต่างก็หวาดหวั่นเสียแล้ว
พวกเขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งว่าภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์ของดินแดนจิตโลกา
อยากจะตะโกนอย่างโกรธเคืองให้ดังก้องไปทั่วทั้งปราการเมืองอันใหญ่โตมโหฬาร เทพจักรวาลธรรมดาทั่วไปย่อมไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว! แต่มารขั้นอลวนหลายคนในบรรดานั้นที่ควบคุมขวดมารบูชาโลหิตและค่ายกลก็ ‘พบตัว’ บุรุษอาภรณ์ขาวที่ตะโกนอย่างโกรธเคืองผู้นั้นแล้วก็อดที่จะตกใจเสียจนสั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณมิได้
เป็นเขา! ผู้แกร่งกล้าน่าหวาดหวั่นที่คราวก่อนล้างผลาญพลพรรคมารแห่งเกาะจันปากลุ่มหนึ่งของพวกเขาที่เมืองอันหยากู่ โชคร้ายอะไรเช่นนี้ คราวนี้เขาก็อยู่ที่เมืองฟู่จวินด้วยหรือ
ไม่ปล่อยให้พวกเขาได้คิดอะไรมาก
รอยแยกของห้วงอากาศที่บิดเบี้ยวก็ทะลุผ่านปราการเมืองผ่านห้วงอากาศอันน่าหวาดหวั่น กวาดผ่านพวกเขา
พวกเขาแต่ละคนล้วนพินาศย่อยยับ
และภายในปราการเมือง
เหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีสิ้นหวังต่างก็วิปลาสกันไปเป็นจำนวนมากแล้ว พวกเขารู้ว่า ‘การบูชาโลหิต’ มีความหมายเช่นไร! แม้กระทั่งท่านประมุขรัฐผู้สูงส่งของพวกเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าพญามารที่น่าหวาดหวั่นที่อาจหาญทำการบูชาโลหิตก็ยังต้องตัวสั่นงันงก ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้! ‘การบูชาโลหิต’ คือฝันร้ายของทั้งดินแดนจิตโลกา
“คราวก่อนเกาะจันปาผลาญทำลายพลพรรคกลุ่มหนึ่งของพวกเจ้า! คราวนี้พวกเจ้ายังกล้าทำการบูชาโลหิตอีก!” เสียงตะโกนดังลั่นสะท้อนก้องไปทั่วทุกหนแห่งของปราการเมือง
เสียงตะโกนดังลั่นนี้แฝงไว้ด้วยความเดือดดาลน่าหวั่นเกรง
แล้วยังทำให้เหล่าประชากรในเมืองที่สิ้นหวังจำนวนนับไม่ถ้วนเมื่อได้ยินแล้วต่างก็พากันตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน แต่พร้อมกันนั้นก็พากันยินดีจนแทบคลั่ง! ผู้ที่อาจหาญเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้ อาจหาญท้าทาย ‘เกาะจันปา’ ได้ จะต้องเป็นผู้แกร่งกล้าน่าหวาดหวั่นระดับสุดยอดของดินแดนจิตโลกาอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นท่านประมุขรัฐของพวกเขาก็ยังไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาเลย
ภายในใจของเหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็มีความหวังพุ่งพรวด
จากนั้นพวกเขาก็ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามล้ำเลิศที่สุดที่พวกเขาเคยได้เห็นตลอดชั่วชีวิตนี้…
รอยแยกของห้วงอากาศขนาดมหึมาสายแล้วสายเล่าแผ่ไปทั่วทั้งผืนฟ้าราวกับงูใหญ่ที่บิดร่างตัวแล้วตัวเล่า
สำหรับประชาชนธรรมดาทั่วไปแล้ว พลังวิสัยของพวกเขาก็มิอาจมองเห็นทั่วทั้งปราการเมืองได้ พวกเขาเห็นเพียงแค่ว่ามีรอยแยกของห้วงอากาศแผ่เข้ามาจากริมขอบฟ้า บิดเบี้ยวแพร่ผ่าน มารทั้งหมดในทัศนวิสัยของพวกเขา มารที่ดูน่าหวาดหวั่นมิอาจต่อกรได้ เมื่ออยู่ต่อหน้ารอยแยกอันน่าหวั่นกลัวเช่นนี้ ต่างก็พินาศย่อยยับไปในทันที
“งดงามเกินไปแล้ว”
ประชากรมากมายต่างก็จดจำภาพเหตุการณ์นี้เอาไว้ เหตุการณ์ที่พวกเขามิอาจลืมเลือนได้ชั่วชีวิต
“เมื่อไหร่ข้าจะโชคดีมีพลังยุทธ์เช่นนี้ได้บ้างหนอ” เด็กและเหล่าผู้เยาว์จำนวนมากต่างก็เกิดความหวังพรั่งพรูขึ้นในใจ ขณะนี้ในใจของพวกเขาต่างก็มีผู้แกร่งกล้าที่ยกย่องนับถือและปลาบปลื้มที่สุดแล้ว ก็คือผู้แกร่งกล้าที่กล้าเป็นอริกับเกาะจันปา ช่วยเหลือเมืองของพวกเขา และสำแดงเคล็ดวิชาที่น่าหวั่นเกรงเช่นนี้ออกมาผู้นั้นนั่นเอง!
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 24 การเข้าโจมตีของประมุขเกาะจันปา
เหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนของเมืองฟู่จวินเงยหน้าขึ้นมองรอยแยกของห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวขนาดมหึมาสายแล้วสายเล่าที่แผ่ไปทั่วเวหาเบื้องบนของเมือง มองดูเหล่ามารแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
มีบางคนที่หลั่งน้ำตาด้วยความยินดี
มีพลเมืองบางคนที่คุกเข่าลงร้องไห้คร่ำครวญอย่างใหญ่โต
แสดงอากัปกิริยาต่างๆ นานากันทั่วทุกหนแห่งภายในเมือง
ถึงอย่างไรยิ่งเป็นผู้บำเพ็ญ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานต่างก็สามารถขัดเกลาจิตแห่งวิถีของตนออกมาได้ เพียงแต่ว่าระดับขั้นการฝึกจิตใจสูงต่ำต่างกันเท่านั้นเอง แต่เพียงแค่มีชีวิตอยู่ได้นานถถึงระดับหนึ่ง ต่างก็มีความคิดที่ฝังแน่นพอด้วยกันทั้งสิ้น ความกังวลก็ยิ่งมาก ก็ยิ่งเพิ่มความไม่ยอมจำนนแล้วก็ตายไปเช่นนี้ พวกเขายังมีเรื่องที่อยากทำมากมายเหลือเกิน
การบูชาโลหิตมาถึง พวกเขาก็ไม่ยอมจำนนใจจริงๆ แต่ก็ไร้ซึ่งกำลัง! ดังนั้นการช่วยเหลือของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นการช่วยเหลือพวกเขาออกมาจากหุบเหวลึกแห่งฝันร้าย ก็ย่อมมีอากัปกิริยาแตกต่างกันไปอยู่แล้ว
“ก็เป็นผู้แกร่งกล้าน่าหวาดหวั่นผู้นั้นอีกแล้วหรือ” เทพจักรวาลแห่งเกาะจันปาที่ควบคุมผนึกสมบัติลับล้ำค่าอยู่ด้านนอกเมืองมองดูรอยแยกของห้วงอากาศสายแล้วสายเล่ากลางอากาศอย่างหวาดหวั่น เขาคิดอยากหนีขึ้นมาในทันใด!
“หนีหรือ”
เสียงเยียบเย็นดุจน้ำแข็งสายหนึ่งดังขึ้นในห้วงสมองของเทพจักรวาลผู้นี้
ปึง
จากนั้นระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็โจมตีบนร่างของเขา ร่างของมารระดับเทพจักรวาลผู้นี้ถูกแยกสลายไปในทันที พลพรรคมารที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ถูกผลาญสังหารจนสิ้นอีกครั้ง
……
และที่เกาะจันปา
ประมุขเกาะจันปานั่งอยู่ในตำแหน่งสูง บรรดาลูกน้องของเขาก็กระจายตัวกันอยู่ภายแต่ละแห่งในโถงตำหนัก แต่ละคนมองดูทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองฟู่จวินอยู่ห่างๆ ผ่านกระจกยลฟ้า
ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงตะโกนอย่างโกรธเคืองแล้วสำแดงกระบวนท่าผลาญสังหารที่กินอาณาบริเวณใหญ่โตนั้นเอง
“เป็นเขาอีกแล้วหรือ” ร่างกายอวบอ้วนหาใดเปรียบของประมุขเกาะจันปาสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความโมโห ดวงตาเล็กทั้งคู่จ้องมองภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่บนกระจกยลฟ้า
ประมุขเกาะจันปาก็คือผู้แกร่งกล้าระดับเทพจักรวาลขั้นสุดยอด เป็นถึงมารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน เขาปกครองกุมอำนาจอย่างโอหังมาเป็นระยะเวลายาวนานไร้ที่สิ้นสุด ต่อให้เป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ฆ่าไม่ตาย! ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้ามาทำการยุแหย่เขามาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว คราวก่อนเขาก็แค่ทำเป็นว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เรื่องเช่นเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง ประมุขเกาะจันปาเข้าใจว่านี่ย่อมมิอาจเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างแน่นอน!
ดินแดนจิตโลกากว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด
จะบังเอิญเผชิญกับผู้แกร่งกล้าคนนี้อย่างต่อเนื่องกันถึงสองครั้งได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ที่ต่อเนื่องกันทั้งสองครั้ง การบูชาโลหิตล้วนดำเนินไปเป็นระยะเวลาสั้นนิดเดียวเท่านั้น ผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับผู้นั้นจึงลงมือ!
มาดูตอนนี้ ผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับผู้นี้คงจะได้รับข่าวแล้วรีบมา
“นี่มันตบหน้าข้า จันปา เลยทีเดียวนะ!” ประมุขเกาะจันปายืนขึ้นมา
โถงตำหนักก็เงียบงันลงไปเสียแล้ว
ทุกคนมองไปทางประมุขเกาะบ้านตน
“พรึ่บ”
ประมุขเกาะจันปาพลันยื่นมือออกมา สองมือราวกับมีพลังอันน่าหวาดหวั่นเสียดฟ้า คว้าจับกลางห้วงอากาศ แคว่ก… ฉีกเปิดประตูห้วงมิติแห่งหนึ่งออกมา สามารถเห็นเมืองฟู่จวินที่อีกด้านหนึ่งของประตูได้! ร่างอวบอ้วนหาใดเปรียบของประมุขเกาะจันปาก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ก้าวผ่านประตูห้วงมิติแห่งนี้ ไปถึงด้านนอกเมืองฟู่จวินแล้ว
“ท่านประมุขเกาะจะห้ำหั่นกับผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับผู้นั้นขึ้นมาแล้ว” เหล่ามารระดับเทพจักรวาลของเกาะจันปาภายในโถงตำหนักกลุ่มหนึ่งกลับมีความชุลมุนกันขึ้นมา ถึงขนาดที่มีจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้ากระวนกระวายออกมา
“คราวก่อนผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับผู้นั้นก็จัดการพลพรรคของเกาะจันปาเรา คราวนี้ก็ลงมืออีก มีความแค้นกับเกาะจันปาของพวกเราใช่หรือไม่”
“พวกเราล้วนไม่รู้จักเขากันทั้งสิ้น บางทีอาจมีความแค้นกับท่านประมุขเกาะก็เป็นได้”
“ท่านประมุขเกาะห้ำหั่นกับผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับ ท่านประมุขเกาะมีพลังยุทธ์กล้าแกร่งก็ย่อมไม่หวั่นกลัวอยู่แล้ว แต่ถ้าหากผู้แกร่งกล้าผู้ลึกลับผู้นั้นลงมือกับพวกเราขึ้นมาเล่า ก็คงจะวุ่นวายใหญ่โตเสียแล้ว”
บรรดามารระดับเทพจักรวาลเหล่านี้ต่างก็มีความกระวนกระวายลุกลี้ลุกลนอยู่บ้าง
“วางใจเถิด ท่านประมุขเกาะได้จัดวางค่ายกลเอาไว้บนเกาะอย่างหนาแน่นมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานแล้ว ต่อให้บุคคลผู้ไร้เทียมทานมาถึง ท่านประมุขเกาะก็ยังสามารถต้านรับซึ่งๆ หน้าได้ ขอเพียงแค่พวกเราอยู่ภายในเกาะก็คงจะไม่มีอันตรายแล้วล่ะ”
“หรือว่าพวกเราจะซ่อนตัวอยู่กันภายในเกาะตลอดไปเลยดีเล่า”
พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ไปพลาง พินิจดูเหตุการณ์ด้านนอกเมืองฟู่จวินผ่านกระจกยลฟ้าไปพลาง
******
ด้านนอกเมืองฟู่จวิน
ตงป๋อเสวี่ยอิงผลาญสังหารมารระดับเทพจักรวาลผู้นั้น แล้วเก็บเอาสมบัติลับล้ำค่าที่มารตนนั้นทิ้งเอาไว้ขึ้นมา รวมถึงสมบัติลับล้ำค่าต้องห้ามชิ้นนั้นด้วย แล้วก็รู้สึกได้ว่าห้วงมิติด้านข้างถูกฉีกทึ้งเปิดออกมา เงาร่างอวบอ้วนสายหนึ่งก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็ข้ามผ่านระยะทางอันไกลโพ้น เดินเข้ามาผ่านประตูห้วงมิติที่ฉีกขาดนี้
“เป็นเขา ประมุขเกาะจันปาหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งในใจ
ทุกคนที่ไปถึงระดับสุดยอด เคล็ดลับวิชาก็ยิ่งทวีความลึกลับมิอาจคาดคะเนได้
เหมือนกับตน เพราะฝึกกายคละถิ่นชั้นที่สอง หลังผ่านการทำให้สมบูรณ์แบบของตนแล้ว ลำพังแค่ระดับความแข็งแกร่งของร่างกาย เกรงว่าคงจะเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือระดับสุดยอดทางด้านการหลอมกายแล้ว แต่เคล็ดลับวิชาควบคุมร่างกายนานาชนิดกลับมิอาจเทียบเคียงได้เลย อย่างเช่นพวกเจ้าศิลา การรวมและกระจายร่างไม่ธรรมดา สามารถปรากฏตัวที่แห่งหนใดในโลกกำเนิดได้ในพริบตา อาศัยร่างกายรับสัมผัสโลกกำเนิด ก็สามารถตรวจตราทุกหนแห่งของโลกกำเนิดได้ในพริบตา…
วิธีการต่างๆ นานาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มี!
แต่ทางด้านวิถีอากาศ ผสานรวมกับเคล็ดสืบทอดลับ เจ็ดกระบวนคละถิ่น เคล็ดวิชาที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงนั้นเป็นสิ่งที่ยอดฝีมือวิถีอากาศขั้นสุดยอดจำนวนมากพอสมควรต่างก็ไม่เข้าใจกันสักเท่าใดนัก พวกเขาใช้พลังคละวิถีได้ห่างชั้นกับตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจกระจ่างว่าความเร้นลับของวิถีอากาศยังอ่อนแออยู่พอสมควร ยังคงแสดงพลังรบขั้นสุดยอดออกมาเช่นเดิม
“ประมุขเกาะจันปาเป็น ‘สายพละกำลัง’ ขึ้นชื่อลือชาในด้านความโอหังในทางสายพละกำลัง เพียงแต่ว่าไปถึงขั้นสุดยอดแล้วก็มีสิ่งที่เกินกว่าจินตนาการต่างๆ นานา เป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่ง!” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ
ดูที่ดินแดนจิตโลกา ผู้ที่ไปถึงระดับสุดยอดทางสายพละกำลังมีเพียงแค่สองท่านเท่านั้น คนหนึ่งคือประมุขเกาะจันปา อีกคนหนึ่งคือจักรพรรดิเทพผลาญโลกา! จักรพรรดิเทพผลาญโลกามีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าอยู่ พลังยุทธ์ก็ย่อมต้องยิ่งน่าหวั่นเกรงอยู่แล้ว
“สมควรตาย”
ประมุขเกาะจันปามาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่สามารถช่วยเหลือเทพจักรวาลใต้บังคับบัญชาผู้นั้นได้ เขาก็เดือดดาลจนตาแทบถลน
ถึงแม้ว่าใต้บังคับบัญชาของเขาจะมีเทพจักรวาลอยู่ถึงสิบกว่าคน แต่ภายในระยะเวลาอันสั้นก็ตายอย่างต่อเนื่องไปถึงสองคน แล้วเขาจะไม่โมโหได้อย่างไรกันเล่า
“เจ้าจงใจเป็นปฏิปักษ์ต่อข้าอย่างนั้นหรือ” ประมุขเกาะจันปาถลึงตามองตงป๋อเสวี่ยอิง ห้วงอากาศโดยรอบกำลังบิดเบี้ยว พรึ่บๆๆ ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแผ่กระจายออกไปโดยมีประมุขเกาะจันปาเป็นศูนย์กลาง ปกคลุมทั่วบริเวณโดยรอบ อีกทั้งยังกดดันพันธนาการตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาเดือดดาลหาใดเปรียบ
และด้วยห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าโดยรอบร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง เคล็ดวิชาของประมุขเกาะจันปาย่อมไม่สามารถสัมผัสถูกร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างแท้จริงอยู่แล้ว
“ไม่รู้ว่าข้า จันปา ไปเป็นศัตรูกับเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ได้โปรดพูดมาดีกว่า ดีร้ายอย่างไรก็ให้ข้าได้เข้าใจสักหน่อยเถิด” ประมุขเกาะจันปาเอ่ยเสียงต่ำ ดวงตาเล็กทั้งคู่จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเต็มไปด้วยความร้ายกาจ
“เป็นศัตรูหรือ ระหว่างเจ้ากับข้า นี่เป็นครั้งแรกที่พบหน้ากัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ครั้งแรกหรือ” ประมุขเกาะจันปาขมวดคิ้ว “หรือว่าการสังหารของผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า ไปสังหารญาติสนิทมิตรสหายของเจ้าเข้าอย่างนั้นหรือ”
“ไม่เคยเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงได้คอยเป็นปรปักษ์กับข้า สังหารผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ล่ะ” ประมุขเกาะจันปาถามอย่างโมโห
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างเย็นชา “ทำไมเล่า ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้ากล้าสังหารหมู่บูชาโลหิตเมืองแห่งหนึ่ง แล้วข้ายังไม่สามารถสังหารพวกเขาได้อีกหรือไร”
“เจ้าสังหารพวกเขาเพราะการบูชาโลหิตอย่างนั้นหรือ” ประมุขเกาะจันปายากที่จะเชื่อได้
“ใช่แล้ว ก็เป็นเพราะการบูชาโลหิตนั่นแหละ! มารเหล่านี้ย่อมสมควรตายอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างเรียบเฉย
ประมุขเกาะจันปาไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง
บนดินแดนจิตโลกา…
ยังมีคนบ้าเช่นนี้อยู่จริงๆ หรือ
“จนถึงบัดนี้ ดินแดนจิตโลกามีการบูชาโลหิตมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เห็นเจ้าจะลงมือเลย แต่ในการบูชาโลหิตสองครั้งหลังสุดของเกาะจันปาของข้า เจ้ากลับลงมือเล่า” ประมุขเกาะจันปาเอ่ยเสียงต่ำ
“เพราะว่าก่อนหน้านี้ข้ายังไม่เคยบรรลุ พลังยุทธ์ไม่เพียงพอ ก็ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องลงมืออยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“หึๆ ดูท่าทางเกาะจันปาของข้าช่างโชคดีเสียจริง” ประมุขเกาะจันปาถลึงตามองตงป๋อเสวี่ยอิง “เจ้ามีพลังยุทธ์เช่นนี้ ก่อนหน้านี้จะต้องมิใช่ผู้ที่เงียบเชียบไร้ชื่ออย่างแน่นอน ที่แท้แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่”
“พลังยุทธ์แข็งแกร่ง ก็ต้องมีชื่อเสียงอย่างแน่นอนเช่นนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างเรียบเฉย
ประมุขเกาะจันปาเข้าใจ
บางทีอาจมีความเป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่งว่านี่คือผู้สันโดษคนหนึ่งจริงๆ เช่นนั้นหรือ แน่นอนว่าความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือผู้แกร่งกล้าผู้นี้คงจะซ่อนเร้นตัวตน ถึงอย่างไรกล้าทำเช่นนี้ได้ ก็เท่ากับฉีกหน้าเกาะจันปาของพวกเขา ถ้าหากเปิดเผยตัวตน มารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างประมุขเกาะจันปาผู้นี้… ก็ย่อมต้องแก้แค้นอย่างหนักหน่วงอยู่แล้ว!
“ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเป็นมาร ส่วนข้าก็คือหัวหน้าของพวกเขา เหตุใดเจ้าจึงไม่สังหารข้าเสียเล่า” ประมุขเกาะจันปายิ้มเย็น
“บุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็ฆ่าเจ้าไม่ตายกันทั้งสิ้น ข้าก็ยังมิอาจสังหารเจ้าได้ชั่วคราว จำเป็นจะต้องเปลืองแรงเปล่าด้วยหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“อ้อหรือ ความหมายของเจ้าก็คือ ถ้าหากเจ้าสามารถสังหารข้าได้ ก็จะสังหารข้าอย่างนั้นน่ะหรือ”
“ใช่แล้ว”
“น่าเสียดาย… บนดินแดนจิตโลกา ผู้ใดก็มิอาจสังหารข้าได้หรอก!” สองตาของประมุขเกาะจันปามีแววอาฆาตอันน่าหวาดหวั่นปรากฏขึ้นมาในทันที “อยู่ต่อหน้าข้า เจ้าปกปิดตัวตนมิได้หรอก”
ประมุขเกาะจันปาปล่อยหมัดออกมาอย่างฉับพลัน
กำปั้นอันอวบอ้วนระเบิดออกมาในทันที
ห้วงมิติโดยรอบแหลกสลายเป็นผุยผงจนสิ้น แรงปะทะอันไร้ที่สิ้นสุดพลันเข้าใกล้ร่างกาย
ผู้แกร่งกล้าระดับยอดสุดบนดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่เพียงเท่านั้น ที่เป็นด้านวิถีอากาศก็ยิ่งน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ จะต้องสามารถคาดเดาตัวตนของคนผู้ลึกลับผู้นี้จากเคล็ดวิชาการต่อสู้ได้อย่างแน่นอน! ประมุขเกาะจันปาต้องการจะต่อสู้เพื่อคาดเดาตัวตนของบุคคลตรงหน้า หลังจากนั้นก็จะทำให้บุคคลลึกลับผู้นี้ได้เข้าใจว่า…อะไรที่เรียกว่ามาร!
“ทำได้ดีนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมีจิตต่อสู้เดือดพล่าน
เขาอยากจะบรรลุถึงขั้นสุดยอด ก็จำเป็นต้องต่อสู้เพื่อขัดเกลา!
เขาอยากจะทำให้มารทั่วทั้งใต้หล้าต้องหวั่นเกรง ก็ยิ่งต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตนเอง!
และผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอด ‘ประมุขเกาะจันปา’ ก็คือเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดแล้ว!
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 25 สะเทือนแดนดิน (1)
การบูชาโลหิตเมืองสักแห่งหนึ่งนั้นเป็นเรื่องใหญ่นัก
ก็เหมือนกับตอนที่ ‘บูชาโลหิตเมืองอัคคีโชติ’ ในตอนนั้น เจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬก็พินิจดูผ่านกระจกยลฟ้าอยู่ห่างๆ ประมุขรัฐเมฆทักษิณา ฝานเทียนฉ่ง และผู้แกร่งกล้าของขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ที่ได้รับข่าว ต่างก็สามารถตรวจดูสถานการณ์ผ่านกระจกยลฟ้ากันได้ทั้งสิ้น
และการบูชาโลหิตเมืองฟู่จวินในคราวนี้ก็ดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจใหญ่จำนวนหนึ่งเช่นกัน
อย่างเช่นหกรัฐโบราณต่างก็มีผู้แกร่งกล้าที่รับผิดชอบสังเกตดูความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ทั้งหมดทั่วทั้งดินแดนโดยเฉพาะ ยังมีขุมอำนาจใหญ่จำนวนหนึ่งที่มีผู้แกร่งกล้าสอดแนมอยู่เช่นกัน
“เป็นบุคคลลึกลับผู้นั้น”
“เขาปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว แล้วยังผลาญพลพรรคหนึ่งของเกาะจันปาอีกด้วย เขามีความแค้นกับประมุขเกาะจันปาใช่หรือไม่ เหตุใดจึงจ้องจะเป็นปฏิปักษ์กับเกาะจันปาอยู่ตลอดเลยเล่า”
“อืม สองฝ่ายต้องมีความแค้นต่อกันอย่างแน่นอน! ไม่มีทางบังเอิญเช่นนั้นหรอก เขาบังเอิญอยู่ภายในเมืองที่ถูกบูชาโลหิตต่อเนื่องกันถึงสองครั้ง ต่อให้บังเอิญอยู่ทั้งสองครั้ง จะโหดร้ายเช่นนี้ สังหารทุกชีวิตของเกาะจันปาจนเกลี้ยงเกลาทั้งสองครั้งเลยหรือ”
ทุกฝ่ายพินิจดูอยู่ห่างๆ
พินิจดูไปพลาง อีกด้านหนึ่งก็วิพากษ์วิจารณ์ไปพลาง ในขณะนี้ทุกคนยังสงบและผ่อนคลายกันเป็นอย่างยิ่ง
เพราะพวกเขาต่างก็รู้ดีว่ายอดฝีมือ ‘วิถีอากาศ’ นั้นขึ้นชื่อในด้านการหลบหนี! พวกเขาเชื่อว่าบุคคลลึกลับผู้นี้สังหารพลพรรคมารของเกาะจันปาจนสิ้นแล้วก็สามารถหนีไปได้ในทันทีอยู่แล้ว
“ประมุขเกาะจันปามาแล้ว ดูท่าทางจะโกรธจนคลั่งแล้วด้วย”
“อะไรกัน เขาไม่หนีหรือ”
“สู้กันแล้ว สู้กันแล้ว!”
ผู้สังเกตการณ์ของแต่ละขุมอำนาจล้วนเต็มไปด้วยความโกลาหล!
ผู้มีพลังรบระดับสุดยอดสองคนประมือกันอย่างนั้นหรือ นี่เป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็นยิ่งกว่าการบูชาโลหิตมากมายนัก!
“ไปรายงานท่านประมุขรัฐเร็วเข้า”
“ไปรายงานฝ่าบาทจักรพรรดิเทพเร็วเข้า”
ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างพากันตื่นตระหนกเพราะเหตุนี้ เช่นจักรพรรดิเทพผลาญโลกา อ๋องสัตว์โลกา ประมุขรัฐจันทร์โรจน์ และเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานแต่ละคนต่างก็พากันชมดูการต่อสู้ผ่านกระจกยลฟ้าด้วยตาตนเองเพราะเหตุนี้!
“น่าสนใจจริงๆ” อ๋องสัตว์โลกานั่งอยู่บนบัลลังก์ ตรงหน้ามีอาหารเลิศรสนานาชนิดวางอยู่ เขากินอาหารคำโตพลางจ้องมองสถานการณ์การต่อสู้ที่ปรากฏบนกระจกยลฟ้าที่แขวนลอยอยู่ตรงหน้า “หรือว่ายอดฝีมือวิถีอากาศผู้ลึกลับผู้นี้จะไม่กลัวการห้ำหั่น จึงได้เปิดเผยเคล็ดวิชามากมายเหลือเกิน ไม่กลัวจะถูกคาดเดาตัวตนที่แท้จริงออกเลยหรือไร ต่อให้เป็นผู้แกร่งกล้าของหกรัฐโบราณ ด้วยนิสัยมารพรรค์นี้ของประมุขเกาะจันปา เกรงว่าคงจะไปถึงในรัฐโบราณแล้วสังหารหมู่ตามอำเภอใจเพื่อล้างแค้นสักรอบหนึ่งกระมัง!”
“ห้ำหั่นกันขึ้นมาแล้วจริงๆ หรือ”
“ไม่กลัวจะเปิดเผยเลยหรือ”
แต่ละฝ่ายพากันประหลาดใจ
เหมือนก่อนหน้านี้ที่สังหารหมู่มารที่อ่อนแอเหล่านั้น การโจมตีหมู่ที่กินอาณาบริเวณกว้างครั้งหนึ่ง เพียงแค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น ระมัดระวังสักเล็กน้อย ก็ไม่ต้องเปิดเผยตัวตนเลย
แต่เมื่อห้ำหั่นกับสุดยอดผู้แกร่งกล้าระดับเดียวกันขึ้นมา เช่นนั้นเคล็ดวิชาที่ต้องเปิดเผยก็คงมากมายเสียแล้ว
“จ้าวหิมะเหินผู้นี้มีความแค้นกับประมุขเกาะจันปาหรือไร” จักรพรรดิเซี่ยก็มองดูอย่างสงสัยอยู่บ้าง “เขาห้ำหั่นเช่นนี้ลงไปก็จะต้องเปิดเผยเคล็ดวิชามากมายอย่างแน่นอน ถึงแม้เขาจะขอให้พวกข้าไม่แพร่ข่าวของ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ออกไป เขาเป็นผู้ที่บรรลุใหม่ ผู้อื่นก็จะไม่สามารถเดาออกได้ว่าบุคคลลึกลับก็คือเขา จ้าวหิมะเหิน เป็นการชั่วคราว แต่ในอนาคต… เขา จ้าวหิมะเหินก็คงมิอาจไม่ลงมือไปได้ตลอดหรอกกระมัง เขาก็อาจจะเข้าไปผจญภัยในวังเทพจิตโลกา แล้วอาจไปยังหุบเขาเขี้ยวหัก ในที่สุดก็ต้องลงมืออยู่ดี! เมื่อใดที่ลงมือก็จะถูกค้นพบตัวตนได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก”
จักรพรรดิเซี่ยก็สงสัยไม่เข้าใจเช่นกัน
ผู้มีคุณสมบัติพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นมารที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานฝ่ายหนึ่งในใต้หล้านั้นมีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้
ทุกคนต่างก็มีเคล็ดลับวิชาที่ทำให้บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้! ดังนั้นถึงแม้ว่าเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานจะกล้าแกร่ง แต่ก็ยังต้องปวดหัวกับพญามารหลายตนนั้นเป็นอย่างมาก จะฆ่าก็ฆ่าไม่ตาย! ช่างทำให้เสียหน้ายิ่งนัก ถึงแม้ว่าขุมอำนาจใต้บังคับบัญชาของพญามารจะสูญเสียไปจนหมดสิ้น เกรงว่าพญามารก็คงยังไม่สนใจอยู่ดี
มาร โดยทั่วไปแล้วต่างก็เห็นแก่ตัวกันเป็นอย่างยิ่ง!
“นี่น้องเฟยเสวี่ยคิดจะทำอะไรกัน ต่อให้ช่วยเหลือมดปลวกจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องห้ำหั่นกับประมุขเกาะจันปาหรอกกระมัง เช่นนี้พอนานไป ในที่สุดก็ต้องเปิดเผยตัวตนน่ะสิ” มหาเคารพซือเทียนก็มองกระจกยลฟ้าแล้วขมวดคิ้ว
ตอนนี้ทางด้านรัฐโบราณคิมหันตวายุ ผู้ที่ล่วงรู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือบุคคลลึกลับผู้นั้นก็มีอยู่เพียงแค่บุคคลผู้ไร้เทียมทานสามคนกับมหาเคารพซือเทียนเท่านั้น
เพราะว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเคยขอความมั่นใจมาก่อนแล้ว รวมถึงข้อตกลงที่ทำกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ บุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสามและมหาเคารพซือเทียนก็ย่อมมิอาจเผยแพร่ออกไปได้อยู่แล้ว
แต่ยอดฝีมือวิถีอากาศที่ไปถึงพลังรบระดับ‘บุคคลลึกลับ’ นี้ในดินแดนจิตโลกาก็มีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้เลยทีเดียว
เมื่อใดที่ภายหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงใช้ตัวตนที่แท้จริงในการต่อสู้ เปิดเผยออกมา ก็สามารถคาดเดาออกได้อย่างง่ายดายแล้ว!
“โง่เง่าใช้ได้เลยทีเดียว หรือจะบอกว่าเขาไม่สนใจความเป็นความตายของตระกูลแล้วอย่างนั้นหรือ ก็ใช่ เขาเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิด คาดว่าคงมิได้มีความรู้สึกอันลึกซึ้งอะไรกับตระกูลอิงซานหรอก” มหาเคารพซือเทียนพินิจดู
……
แต่ละฝ่ายพินิจดูความเคลื่อนไหวของการต่อสู้ผ่าน ‘กระจกยลฟ้า’ ของฝ่ายตน
เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ บุคคลลึกลับมิได้หลบเลี่ยงและริเริ่มที่จะต่อสู้ใดๆ เลย แต่กลับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยตลอด
บนพื้นที่รกร้างที่ห่างจากเมืองฟู่จวินล้านล้านลี้แห่งหนึ่ง เงาร่างสองสายประมือกันอย่างรวดเร็วยิ่ง
“ระเบิด!”
ประมุขเกาะจันปาผู้อวบอ้วนเป็นที่สุดยื่นมือทั้งสองคราหนึ่ง มือข้างหนึ่งก่อให้เกิดม่านอากาศคลี่ปกคลุมท้องฟ้า ส่วนมืออีกข้างก็โผล่ออกมาจากส่วนลึกของดินราวกับพื้นพิภพแห่งหนึ่ง
ข้างหนึ่งอยู่บน ข้างหนึ่งอยู่ล่าง
ระหว่างฝ่ามืออันใหญ่โตมหึมาทั้งสองก็ก่อรูปเป็นห้วงน้ำวนสีดำสนิทที่พังทลาย
พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นไร้ที่สิ้นสุดเกิดปฏิกิริยาบนร่าง
“หมื่นเคล็ดมิกล้ำกราย”
ห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าบริเวณรอบๆ ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงพยายามต้านทานพละกำลังที่ผลาญทำลายฉีกทึ้งนี้เอาไว้ ปึงๆๆ ห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าระเบิดทลายเปิดกรงขัง ทำให้พลังนี้เคลื่อนย้ายไปถึงยังห้วงมิติชั้นสูงกว่า
“เคล็ดลับนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่ ทำอย่างไรจึงจะสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงได้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงต่อสู้สำแดงยุทธวิธีหิมะเหินไปพลาง ตรวจสอบข้อบกพร่องของเคล็ดวิชามากมายไปพลาง พร้อมกันนั้นก็ใคร่ครวญไปด้วยว่าควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไรดี
ที่ผ่านมาก็จมดิ่งอยู่กับการหยั่งรู้มาตลอด
และในการห้ำหั่นระหว่างความเป็นความตาย โดยเฉพาะตนเองก็ย่อมไม่เข้าใจว่าภายใต้เคล็ดวิชาของผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดของวิถีอื่นๆ ข้อบกพร่องจำนวนหนึ่งของเคล็ดวิชาของตนจะยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น ทำให้ตนเองเข้าใจถึงทิศทางในการแก้ไข สิ่งนี้ประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเป็นอย่างมาก
“พลั่ก” พลังที่หลงเหลืออยู่ของห้วงน้ำวนสีดำสนิทเกิดปฏิกริยาบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กะพริบร่างคราหนึ่ง ตลอดร่างราวกับม้วนภาพวาดที่บางเฉียบอย่างยิ่งแผ่นหนึ่ง ร่นถอยไปยังบริเวณไกลๆ อย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียง
“เจ้าก็รู้จักหลบด้วยหรือ เจ้ามีพลังยุทธ์เล็กน้อยเช่นนี้เองหรือ”
ประมุขเกาะจันปาเป็นต่อในทุกๆ ด้าน กดดันตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับมิได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเสียงดัง เขาก็เข้าใจว่าหากสำแดงเคล็ดวิชาของยุทธวิธีหิมะเหินโดยตลอดก็จะทำให้อีกฝ่ายสงสัยว่าตนเองมิใช่ ‘ขั้นสุดยอด’! เพราะว่าจนถึงตอนนี้ตนก็มิได้สำแดงเคล็ดวิชาความเร้นลับที่แฝง ‘วิถีอากาศขั้นสุดยอด’ ออกมาเลย ช่วยไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่มิได้อาศัยพลังงานภายนอก เขาก็มิอาจสำแดงออกมาได้
มิได้ตระหนักรู้แล้วจะสำแดงอย่างไรได้เล่า
ต้องอาศัยวัตถุภายนอก!
สุดยอดสมบัติลับล้ำค่า ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’
“หลังจากที่วิถีอากาศไปถึงระดับสุดยอดแล้วก็จะใช้พลังคละวิถี ข้าก็แค่ใช้เคล็ดวิชาพลังคละวิถีอย่างหยาบๆ จำนวนหนึ่งแสดงออกมารอบหนึ่งเท่านั้นเอง เจ้าก็ถึงกับมิอาจทำให้ข้าบาดเจ็บได้ ก็ดี ในเมื่อเจ้าทำให้ข้าต้องสำแดงพลังยุทธ์ที่แท้จริง เช่นนั้นข้าก็จะสนองความต้องการของเจ้าเอง!” เสียงหัวเราะของตงป๋อเสวี่ยอิงก้องสะท้อนฟ้าดิน หมัดหนึ่งของเขาพลันระเบิดออกสู่เบื้องหน้าในทันใด
ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศที่พกติดตัวเอาไว้ถูกกระตุ้นขึ้นมา
กระบวนท่านี้ก็เป็นเคล็ดวิชาที่ผสานรวมยุทธวิธีหิมะเหินกับดอกบัวเพลิงห้วงอากาศเอาไว้แล้ว ตอนนั้นก่อนหน้าที่เขาจะจัดการกับจวินอ๋องดำ เขาก็หยั่งรู้ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศอย่างละเอียดแล้ว สามารถผสานดอกบัวเพลิงห้วงอากาศที่มีพลานุภาพขั้นสุดยอดเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับยุทธวิธีหิมะเหินของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งพลังยุทธ์ก็ยังสามารถพลิกกลับขึ้นมาได้หลายเท่า!
“ปัง ปัง ปัง…”
กำปั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงระเบิดออกมาหมัดหนึ่งแต่กลับปรากฏเป็นเงามายาของกำปั้นขนาดใหญ่ขึ้น เงามายาของกำปั้นนี้ปกคลุมฟ้าดินส่วนใหญ่เอาไว้ ภายในแฝงเงามายาของกำปั้นจำนวนนับชั้นไม่ถ้วนเอาไว้ พลังคละวิถีอันปั่นป่วนเอ่อท่วมภายใน
ประมุขเกาะจันปาได้เห็นเหตุการณ์แล้วก็สีหน้าแปรเปลี่ยน คำรามเสียงต่ำเสียงหนึ่งแล้วก็ปล่อยหมัดออกมาเช่นกัน
สุดยอดผู้แกร่งกล้าทางสายพละกำลังย่อมไม่สนใจจะหลบซ่อนตัวอยู่แล้ว
“ปัง…”
กำปั้นทั้งสอง
กำปั้นของประมุขเกาะจันแฝงเอาไว้ด้วยพละกำลังไร้ที่สิ้นสุดอันลึกล้ำ ส่วนกำปั้นของตงป๋อเสวี่ยอิงกลับประหนึ่งว่าแบกโลกจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ พลังคละวิถีปั่นป่วนพรั่งพรู
ยามที่ปะทะกัน ทั่วทั้งฟ้าดินก็สั่นสะท้าน บริเวณที่ปะทะกันปรากฏปากถ้ำสีดำสนิทขึ้นมา ต่างก็สามารถมองเห็นโลกระดับที่สูงขึ้นได้
พละกำลังอันพรั่งพรูแผ่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง
ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนี้ทำให้เหล่าเทพจักรวาลทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาต่างก็สามารถรับรู้ได้ทั้งสิ้น
“พลั่ก”
ประมุขเกาะจันปาถูกทำให้ตระหนกเสียจนบินลอยถอยออกไป ในปากก็กระอักโลหิตออกมา ห้วงมิติจำนวนนับชั้นไม่ถ้วนก็ปะทะบนร่างอันอวบอ้วนของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ร่างกายของเขาเกิดบาดแผลขึ้นจำนวนหนึ่ง
จากนั้นเขาก็หยุดลงที่กลางอากาศไกลออกไป มองบุรุษอาภรณ์ขาวที่อยู่ห่างออกไปอย่างตื่นตระหนก
พลังยุทธ์นี้แข็งแกร่งเกินไปเสียแล้ว
“เจ้าอยากจะเห็นพลังยุทธ์ที่แท้จริงของข้ามิใช่หรือไร ฮ่าฮ่า ข้าเป็นวิถีอากาศ สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือร่างแยกอย่างไรเล่า นี่แหละจึงจะเป็นพลังของร่างแยกร่างหนึ่งของข้า!” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงสะท้อนก้องฟ้าดิน เห็นเพียงว่าบุรุษอาภรณ์ขาวอยู่ไกลออกไป แต่บริเวณโดยรอบกลับพรึ่บๆๆ… บุรุษอาภรณ์ขาวคนแล้วคนเล่าต่างพากันปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ มีบุรุษอาภรณ์ขาวถึงเก้าคนที่ต่างก็แผ่พลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นจ้องมองประมุขเกาะจันปา
ประมุขเกาะจันปาสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง คนเดียวก็ต้านไม่อยู่แล้ว นี่มากถึงเก้าคนเชียวหรือ
ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิ...
ตอนที่ 26 สะเทือนแดนดิน (2)
ในขณะนี้ ขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งบนดินแดนจิตโลกาต่างก็เคร่งขรึมกันเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่ง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ ‘จักรพรรดิชาง’ ‘บรรพชนฝาน ’‘มหาเคารพซือเทียน’ และ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ที่ล่วงรู้ตัวตนของตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็อกสั่นขวัญแขวน ทุกคนล้วนพินิจดูการต่อสู้ครั้งนี้ผ่านเคล็ดวิชาลับต่างๆ มากมาย
พลังยุทธ์ที่ร่างแยกเพียงร่างเดียวของตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงก็สามารถกดดัน ‘ประมุขเกาะจันปา’ ผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดได้แล้ว เมื่อร่างแยกเก้าร่างร่วมมือกันแล้วจะไปถึงระดับใดกันหนอ
คิดๆ ดูแล้วก็ทำให้เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็พากันรู้สึกถึงความตื่นตระหนก!
“พลังยุทธ์ของบุคคลลึกลับผู้นี้…” มหาเคารพฝูอี่ผู้สวมอาภรณ์สีฟ้าตลอดร่างก็อาศัยศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาสอดแนมดูการต่อสู้นั้นอยู่ห่างๆ “ร่างแยกร่างเดียวก็แข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้แล้ว ถ้าหากร่างแยกเก้าร่างร่วมมือกันได้สมบูรณ์แบบพอ เกรงว่าพลังยุทธ์ของเขาก็คงพอจะสูสีกับข้าได้เลยทีเดียวกระมัง”
มหาเคารพฝูอี่มีระดับขั้นจิตใจเช่นนี้ก็ยังเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหว
ไม่มีสุดยอดสมบัติลับล้ำค่าขั้นสุดยอด บางทีเคล็ดลับวิชาจำนวนมากก็อาจจะลึกลับกว่ามหาเคารพฝูอี่อยู่พอสมควร แต่พลังการต่อสู้ซึ่งหน้าก็ยังมิอาจสู้มหาเคารพฝูอี่ได้อยู่ดี
มหาเคารพฝูอี่เคยกดดันรัฐโบราณแห่งหนึ่งได้ด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว! แม้กระทั่งสุดท้ายที่ประมุขรัฐเสียดฟ้าลงมือ ก็ยังทำได้เพียงแค่กดดันเขาเท่านั้นเอง
แต่ขณะนี้มหาเคารพฝูอี่คาดการณ์ว่าพลังยุทธ์ของบุคคลลึกลับผู้นี้อาจจะใกล้เคียงกับเขาก็เป็นได้!
……
แต่ละฝ่ายชมดูการต่อสู้อย่างตื่นเต้น ต่างก็คาดการณ์กันว่าบนดินแดนจิตโลกาจะมีบุคคลผู้น่าหวาดหวั่นกำเนิดขึ้นมาอีกคนแล้วนับจากนี้เป็นต้นไป
“ประมุขเกาะจันปา เจ้ากลัวหรือ มิใช่ว่าเจ้าอยากเห็นพลังยุทธ์ที่แท้จริงของข้าหรืออย่างไร ข้าสำแดงอย่างสุดกำลัง แต่เจ้ากลับหวาดกลัวเสียแล้วหรือ” บุรุษอาภรณ์ขาวเก้าคนชี้นิ้วมือของตนนิ้วหนึ่งออกมาเบาๆ พร้อมกันแล้วขยับไปทางด้านหน้าน้อยๆ
พรึ่บ
ห้วงอากาศอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องหน้าถูกการขยับน้อยๆ นี้ทำให้เดือดพล่านขึ้นมาในทันใด ห้วงมิติที่กินพื้นที่ล้านล้านลี้ แบ่งตัวกลายเป็นห้วงมิติขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ภายในห้วงมิติขนาดเล็กทุกแห่งต่างก็มีฟองอากาศอยู่ฟองหนึ่ง ฟองอากาศเริ่มพังทลายจากริมขอบอย่างต่อเนื่องกันราวกับปฏิกริยาลูกโซ่ พังทลายมุ่งสู่ศูนย์กลางเข้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยวิสัยทัศน์ของเทพจักรวาลก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์โดยละเอียดของกระบวนท่านี้ได้
แต่การพังทลายรวดเร็วเกินไป พลานุภาพจากการพังทลายของฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับแม่น้ำหลากมารวมตัวกัน รวมตัวกันเข้ามายังจุดศูนย์กลางจนหมดสิ้น ซึ่งก็คือบริเวณที่ประมุขเกาะจันปาอยู่นั่นเอง
ประมุขเกาะจันปาอยากจะหนี แต่ฟองอากาศที่มีอยู่ก็เคลื่อนตามไป เขาติดอยู่ท่ามกลางฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนไปตลอดกาล
กระบวนท่านี้ก็คือหนึ่งในสามกระบวนสังหารของตงป๋อเสวี่ยอิง ‘ฟองอนันต์มลายสูญ’ นั่นเอง
ตอนนั้นที่สังหารประมุขรัฐเฉินฟ่านก็ใช้กระบวนท่านี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าตอนนั้นมิได้ใช้ ‘ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศ’ ตอนนี้ถึงแม้ว่าคราวนี้ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศจะมิได้ปรากฏออกมาภายนอก แต่ก็เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพกติดตัวเอาไว้ พลังของเขาก็กระตุ้นดอกบัวเพลิงห้วงอากาศก่อนแล้ว เช่นนี้อาณาบริเวณของกระบวนท่านี้จึงกว้างใหญ่เช่นนี้ได้ พลังคุกคามจึงได้น่าหวาดหวั่นเช่นนี้
“สมควรตาย” ดวงตาเล็กทั้งคู่ของประมุขเกาะจันปามองไปยังบริเวณรอบๆ อย่างเย็นชา
ด้วยความทระนงของการเป็นขั้นสุดยอด ทำให้เขารังเกียจที่จะหนี
ถ้าหากเขาอยากจะหนี แม้กระทั่งบุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยังต้านไม่อยู่! ทางสายพละกำลังไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว ฟ้าดินทุกกระเบียดนิ้วทั่วทั้งโลกกำเนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ราวกับของเล่นอย่างไรอย่างนั้น
แต่คราวนี้เขามิได้ต้านทานอย่างแข็งขัน หากแต่สำแดงเคล็ดวิชาอย่างสุดกำลัง ถ้าหากทำอย่างสุดกำลังแล้วจะยังมีผู้ใดที่ร้ายกาจกว่าผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดทางสายพละกำลังได้อีกเล่า
ฝ่ามือทั้งสองของประมุขเกาะจันปาประสานกันอยู่ตรงหน้าอก
ภายในอาณาบริเวณสิบจั้งโดยรอบตัวเขาเปลี่ยนกลายเป็นขมุกขมัว นอกบริเวณสิบจั้งจึงจะสามารถมองเห็นพละกำลังอันหม่นมัวโคจรโอบล้อมอย่างต่อเนื่องได้ด้วยตาเปล่า
“ปัง…”
ฟองอนันต์มลายสูญ!
ในที่สุดฟองอากาศขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มรอบตัวประมุขเกาะจันปาก็แตกสลาย! ตอนที่แตกสลาย มีระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างแทรกผ่านตรงไปยังประมุขเกาะจันปา แต่กลับถูกขัดขวางเอาไว้อย่างหนักหน่วง สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังคุกคามของกระบวนท่าที่ตนสำแดงนี้ดูเหมือนว่าจะถูกเคลื่อนย้ายโคจรอย่างต่อเนื่อง โคจรมาต้านทานเคล็ดวิชาของตนเอง แต่โชคดีที่เคล็ดวิชาที่ร่างแยกทั้งเก้าอาศัยดอกบัวเพลิงห้วงอากาศสำแดงออกมานั้น พลังคละวิถีที่ควบคุมมีอยู่มากพอ ดุดันพอ ถึงแม้ว่าจะถูกเคลื่อนย้ายจนลดทอนลงไปเป็นอันมาก แต่ก็มีส่วนน้อยที่ยังคงปะทะลงไปบนร่างของประมุขเกาะจันปาอยู่ดี
ประมุขเกาะจันปาสีหน้าเปลี่ยนแปรเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าการปะทะนี้ทะลุผ่านเข้าไปในส่วนลึกของร่างกายโดยตรง
“พรวด” ผิวหนังภายนอกล้วนมีสายโลหิตแทรกซึม ปากก็กระอักโลหิตออกมา
ประมุขเกาะจันปกจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ห่างออกไป
“ช่างเป็นเคล็ดวิชาป้องกันตัวที่ร้ายกาจน่าดูเลยทีเดียว ในด้านการถ่ายพลังก็เหนือกว่าหมื่นเคล็ดมิกล้ำกรายของข้าอยู่มากมายนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงยกย่องชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
“ภายใต้กฎเกณฑ์สูงสุด การโจมตีทั้งหมดที่สำแดงออกมาต่างก็อาศัย ‘พลัง’ มาสะท้อนทั้งสิ้น” ประมุขเกาะจันปามองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ข้าป้องกันอย่างสุดกำลัง ตามปกติแล้วย่อมมิอาจทำให้ข้าบาดเจ็บได้ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพลังคละวิถีที่เจ้าใช้จะมากมายและโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!”
“ข้ามิได้มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับเจ้าหรอก เพียงแต่หวังว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะทำการสังหารให้น้อยลงหน่อยเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด
เขาย่อมไม่อยากให้ประมุขเกาะจันปาบ้าคลั่งขึ้นมาจริงๆ อยู่แล้ว
เมื่อใดที่บ้าคลั่งขึ้นมา…
ถ้าหากประมุขเกาะจันปาไม่แยแสความเป็นความตายของผู้ใต้บังคับบัญชา ลำพังแค่คนเดียวก็สามารถสร้างค่ายสังหารใหญ่แห่งแล้วแห่งเล่าขึ้นมาได้อยู่แล้ว! นี่เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากเห็นเลย
แน่นอนว่าประมุขเกาะจันปาเองก็ไม่อยากกระทำให้เกินกว่าเหตุสักเท่าใดนัก ข้อแรก หากค่ายสังหารเกินกว่าขีดจำกัดโดยทั่วไป เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานจำนวนมากก็ย่อมมิอาจทนได้อยู่แล้ว ข้อสอง ‘หยวน’ ผู้ลึกลับแห่งดินแดนจิตโลกาผู้นั้น ถึงแม้ว่าจะยินดีที่ได้เห็นผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้ที่เข้มแข็งกว่า ได้เห็นการต่อสู้ แต่ค่ายสังหารที่เกินกว่าขีดจำกัดก็อาจยั่วยุ ‘หยวน’ ให้โมโหได้ เช่นนั้นผลที่ตามมาก็คงน่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมการบูชาโลหิตแต่ละครั้ง บรรดาพญามารจึงได้ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปจัดการกันทั้งสิ้น ไม่ลงมือทำด้วยตัวเอง
‘หยวน’ ยืนอยู่ที่ชั้นที่สูงกว่า มองลงมายังดินแดนจิตโลกา ผู้ที่กล้ายั่วยุหยวน ก็คงไม่ต้องพูดถึงผลลัพธ์ให้มากความเลย
เพียงแต่ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกับ ‘หยวน’ นั้นแตกต่างกัน
หยวนอาจจะรู้สึกว่าค่ายสังหารบางครั้งนั้นเป็นการกำจัดตามปกติ ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของระบบระเบียบทั้งหมดของทั้งดินแดนจิตโลกา เขาก็ไม่อยากจะสอดมือยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของเหล่าผู้บำเพ็ญ
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าสำหรับร่างกายที่อ่อนแอทุกร่าง การพูดถึง ‘ระบบระเบียบของภาพรวมดินแดนจิตโลกา’ นั้นไม่มีความหมายเอาเสียเลย! ผู้อ่อนแอแต่ละคนตายไปแล้ว ภาพรวมดินแดนจิตโลกาพัฒนาไปมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์! คนจำนวนน้อยแต่ละคนตายไป นั่นก็เป็นอันตรายธรรมดาๆ บนเส้นทางการบำเพ็ญ แต่มารระดับสุดยอดกลุ่มหนึ่งทำการสังหารหมู่ตามอำเภอใจ นั่นก็มิใช่การขัดเกลาแล้ว
นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงกับหยวน
หยวน สูงส่งเหนือผู้ใด เห็นผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เขาเพียงแค่ต้องการทวีคูณบุคคลที่สามารถ ‘หนีออกจากกรงขัง’ ได้เท่านั้นเอง! ความคิดของเขาก็มิใช่เรื่องผิด ไปถึงระดับขั้นเช่นเขา สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในโลกกำเนิดเปรียบเทียบกับเขาแล้วก็เป็นความแตกต่างระหว่างสองระดับขั้นใหญ่อย่างแท้จริงเลยทีเดียว
บุคคลดังเช่นหยวนก็ยังดี
ดังเช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่โหดเหี้ยมอำมหิตกว่าจำนวนหนึ่ง รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนภายในโลกกำเนิดสิบแห่งร้อยแห่งสูญพันธุ์ไป ขอเพียงแค่มีผู้แกร่งกล้าระดับสุดยอดสักคนหนึ่งหนีออกจากกรงขังไปได้ เช่นนั้นก็คุ้มค่าแล้ว!
ตอนนี้พลังยุทธ์ของตงป๋อเสวี่ยอิงอ่อนแออย่างยิ่ง เขามิอาจมีอิทธิพลต่อพวกหยวนได้เลย ได้แต่เหยียบย่างบำเพ็ญไปตามวิถีของตนเท่านั้น
“เพียงแค่หวังว่าค่ายสังหารจะน้อยลงสักหน่อยอย่างนั้นหรือ” ประมุขเกาะจันปามองดูบุรุษอาภรณ์ขาวตรงหน้า “เจ้าใส่ใจมดปลวกพวกนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ มดปลวกนับล้านล้านตายไปแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า”
“พวกเขาก็มีบิดามารดา มีภรรยาและบุตรชายบุตรสาวเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีการดิ้นรนบำเพ็ญอีกด้วย… จะเห็นเป็นมดปลวกจริงๆ แล้วสังหารหมู่นับล้านล้านชีวิตได้อย่างไรกันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ
“แล้วถ้าหากผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าสังหารต่อไปเล่า” ประมุขเกาะจันปาพูด
“เช่นนั้นข้าก็ได้แต่…สังหารต่อไป!” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองประมุขเกาะจันปา “สังหารผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าทุกคนที่ลงมือให้หมด! นอกเสียจากว่าเจ้า ประมุขเกาะจันปาลงมือด้วยตัวเอง ข้าก็ต้านไม่อยู่ แต่ค่ายสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าของเจ้า รอให้ ‘หยวน’ มาถึงก่อนเถิด ใครหน้าไหนก็ช่วยเจ้าไว้มิได้หรอก”
เนื้ออวบอูมบนใบหน้าประมุขเกาะจันปาบูดเบี้ยว
หยวนหรือ
สิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด และเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทาน แต่ละคนดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่กลับหวาดกลัว ‘หยวน’ ด้วยกันทั้งสิ้น
ยิ่งมาถึงระดับขั้นอย่างพวกเขานี้ก็ยิ่งเสียดายชีวิต
พวกเขาต่างก็มุ่งมาดปรารถนาถึงก้าวที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือการหนีออกจากกรงขังแห่งนี้
“ขุมอำนาจแห่งอื่นเล่า ทะเลสาบมารทมิฬ รัฐเหินประจิม ภูผาเมฆามาร และเมืองอัคคีทิพย์เล่า” ประมุขเกาะจันปาเอ่ยต่อไป “เจ้าก็จะสังหารอย่างนั้นหรือ”
“สังหารให้หมดนั่นแหละ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ผู้ที่กล้าทำการสังหารหมู่ ก็ต้องฆ่ามันให้หมด!”
ในขณะนี้…
ขุมอำนาจที่สังเกตการณ์ดูการต่อสู้ครั้งนี้อยู่ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็มีอยู่มากมายเหลือเกินแล้ว ถึงแม้ว่าสิ่งของอย่าง ‘กระจกยลฟ้า’ จะเห็นเพียงแค่สถานการณ์การต่อสู้เท่านั้น ไม่ได้ยินเสียงพูด แต่ผู้ใดที่ชมดูการต่อสู้อยู่มิใช่สุดยอดผู้แกร่งกล้าบ้างเล่า ดูจากการขยับปากของตงป๋อเสวี่ยอิงและประมุขเกาะจันปา ดูจากความเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศที่พวกเขาสังเกตดูอยู่ ต่างก็สามารถทราบถึงเนื้อความที่พวกตงป๋อเสวี่ยอิงพูดคุยกันแล้ว
วาจาเมื่อครู่ของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นการตักเตือนไปยังขุมอำนาจมารทั้งหมดทั่วดินแดนจิตโลกาอย่างเห็นได้ชัดว่า จะสังหารผู้ที่กล้าสังหารหมู่ตามอำเภอใจให้หมด!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น